** สองตอนที่ผ่านมา เราได้เพลงใหม่ๆ จากนักอ่านสองท่าน เอาไว้ใช้ประกอบอารมณ์ดราม่าของคู่นี้มาล่ะค่ะ
เพลงแรก.. : วันแห่งการจากลา (เจมส์-เรืองศักดิ์) จากคุณ i2212
(อิฉันไปหาลิ้งเพลงจากยูทูปมาแปะให้นะคะ เผื่อใครอยากเอาไปประกอบฉาก)
http://www.youtube.com/watch?v=5xFRrTsPdtcเพลงที่สอง : นอนกับความเหงา (โรส-ศิรินทิพย์) จากคุณsilverspoon
อันนี้คุณsilverspoon ได้แปะเพลงเอาไว้แล้วในหน้า35 (หน้านี้แหละ) ลองเลื่อนๆ ขึ้นไปหาฟังดูนะคะ ทั้งสองเพลงสะเทือนอารมณ์ดีมากค่ะ (ทั้งๆ ที่คนเขียน ตอนเขียน ฟังเพลงสารพัด และแทบไม่เกี่ยวข้องเลย<<มันไม่เข้าไปในหูหล่อนสินะ!!)
---------------------------------------------------
红孔雀นกยูงแดง 26
การผ่าตัดของต้วนเฟิงเป็นไปอย่างเรียบร้อย และประสบผลสำเร็จพอสมควร นายตำรวจหนุ่มกลับมามีความรู้สึกที่ขาอีกครั้ง สัปดาห์หน้าหลังแผลหายเรียบร้อย เขาจะเริ่มทำกายภาพบำบัด ส่วนแผลไฟไหม้บนใบหน้า หมอบอกว่าผิวหนังของเขาฟื้นตัวดีพอสมควร ทำศัลยกรรมตกแต่งนิดหน่อย ใบหน้าก็คงจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้
พอได้ยินว่าต้องทำศัลยกรรม ต้วนเฟิงก็จัดแจงมองหาใบหน้าหนุ่มๆ อันเป็นที่ชวนฝันของสาวๆ ถึงกับขอร้องให้ลู่อี้เผิงที่ไปเยี่ยมเป็นประจำพริ๊นต์ออกมาเป็นแคตตาล็อกเพื่อจะได้เลือก ลู่อี้เผิงฟังแล้วก็ต้องถอนหายใจด้วยความอ่อนอกอ่อนใจ
“ผู้กองต้วน หน้าเดิมคุณก็ดีอยู่แล้ว ไม่ต้องไปเลียนแบบหน้าคนอื่นหรอก”
ต้วนเฟิงส่งเสียงอย่างไม่เห็นพ้องด้วย “ไม่นะ ผมว่าหน้าเดิมผมดั้งยังโด่งไม่พอ สารวัตรว่าเสริมดั้งหน่อยดีมั้ย เอาประมาณสารวัตรดีกว่า ผมว่ากำลังดี”
ลู่อี้เผิงกะพริบตาปริบๆ ก่อนที่เจ้านกกระตั้วในกรงจะร้องแทรกขึ้น “ไม่หล่อ ไม่หล่อ”
“โห... เสี่ยวชิกทำไมพูดแบบนี้” ต้วนเฟิงหันไปเอาเรื่องกับนก หลังผ่าตัดและแผลไฟไหม้หายดีแล้ว ลู่อี้เผิงก็พาแปะชิกชิกมาเยี่ยมต้วนเฟิงทุกวัน จนหนึ่งคนกับหนึ่งตัวเริ่มจะสนิทกันแล้ว
“ที่ว่าไม่หล่อน่ะ ฉันหรือสารวัตรลู่กันแน่”
“ไม่บอก ไม่บอก” เจ้านกน้อยว่า ต้วนเฟิงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “หนอยเอาเปรียบกันนี่ ที่จริงจะพูดว่าสารวัตรไม่หล่อใช่ไหมล่ะ?!!”
“เอาเปรียบ เอาเปรียบ” แปะชิกชิกร้องต่อ ลู่อี้เผิงหัวเราะออกมา ตั้งแต่เขาพาแปะชิกชิกมาเยี่ยม ต้วนเฟิงก็ดูท่าทางจะร่าเริงขึ้น ตอนแรกทุกคนเป็นห่วงว่าเขาจะมีภาวะซึมเศร้าเพราะเรื่องขาที่อาจจะไม่สามารถกลับมาเดินเหินได้อย่างปกติ ซ้ำยังเรื่องหน้าเสียโฉมอีก แต่ต้วนเฟิงมีพื้นฐานจิตใจเข้มแข็งน่าดู เขาซึมไปหลายวัน แต่หลังจากนั้นก็พอจะทำใจรับเรื่องที่เกิดขึ้นได้ และพยายามจะปลอบใจตัวเองไปในตัว ลู่อี้เผิงนับถือผู้ชายคนนี้ขึ้นมามากจริงๆ
ทะเลาะกับนกอยู่ได้สักพัก ต้วนเฟิงก็หันกลับมาพูดกับนายตำรวจหนุ่ม “สารวัตร ขนมันเริ่มขึ้นแล้วนะครับ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นคนละตัวกับวันนั้นซะอีก”
“อืม.. เห็นว่ามันถอนขนตัวเองเพราะไม่เจอเจ้าของน่ะ” ลู่อี้เผิงตอบ ต้วนเฟิงพยักหน้า สักพักก็พูดขึ้นมา “แต่ไม่เป็นไร ตอนนี้มันมีสารวัตรแล้ว มันคงไม่ถอนขนแล้วล่ะ”
ลู่อี้เผิงยิ้มออกมา ก่อนจะพูดต่อ “ผู้กองต้วน คุณอยากจะทำศัลยกรรมอะไรก็ตามใจแล้วกัน แต่ผมชอบหน้าคุณแบบเดิมมากกว่า”
“โห... นี่ถ้าเป็นผู้หญิง ผมต้องคิดว่าสารวัตรสารภาพรักกับผมแน่ๆ ” ต้วนเฟิงพูด และหัวเราะก๊ากทันทีที่เห็นหน้าของลู่อี้เผิง “สารวัตรอย่าทำหน้าเหมือนเห็นผีแบบนั้นซี่ ผมไม่อยากเป็นเมียสารวัตรจริงๆ หรอกน่า เห็นว่าพยาบาลที่ห้องกายภาพบำบัดสวยน่าดู... ท่าทางผมจะต้องทำกายภาพบำบัดนาน ไม่แน่นะสารวัตร ผมอาจจะได้แต่งเมียก่อนเดินได้ก็ได้”
“เดินได้ก่อน เดินได้ก่อน” แปะชิกชิกพูดแทรกขึ้น ต้วนเฟิงหันไปพูดกับมันอีก “ใช่ๆ เดินได้ก่อน แล้วค่อยแต่งเมีย”
“ไม่แต่ง ไม่แต่ง” เจ้านกน้อยร้อง และกระโดดโลดเต้นอยู่ในกรง ลู่อี้เผิงจึงได้ดูคนกับนกทะเลาะกันอีกครั้ง
ต้วนเฟิงทะเลาะกับนกแล้วก็หัวเราะเอง พลอยทำให้ลู่อี้เผิงหัวเราะไปด้วย พอถึงเวลาฉีดยาแก้อักเสบ นายตำรวจหนุ่มถึงได้ขอตัวกลับ
“สารวัตรเริ่มไปทำงานวันนี้แล้วใช่ไหมครับ” ต้วนเฟิงถาม ขณะที่ลู่อี้เผิงเตรียมจะเดินออกจากห้อง คนถูกถามพยักหน้า ต้วนเฟิงเงียบไปพักหนึ่ง
“สารวัตร... ถ้าสามเดือนผมยังเดินไม่คล่อง สารวัตรขอผู้ช่วยคนใหม่เลยนะ อย่าลืมถามก่อนล่ะว่าเขานั่งรถไฟเหาะตีลังกาไหวรึเปล่า เขาจะได้ไม่ตกใจกลัวเวลานั่งรถกับสารวัตร”
ลู่อี้เผิงหัวเราะออกมา “ผมไม่มีคู่หูคนใหม่แล้วล่ะ”
“?!”
“ผมไปทำงานนะ หายไวๆ ล่ะผู้กอง”
--------------------------------------------------
ลู่อี้เผิงกลับไปทำงานวันแรก ก็ได้ยินข่าวลือซุบซิบเรื่องเขากับหงคงฉ่วยพอสมควร แต่นายตำรวจหนุ่มไม่สนใจ ยังคงตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างขยันขันแข็งเหมือนเดิม หนังสือพิมพ์หลายฉบับติดต่อมาขอสัมภาษณ์เขาเป็นการส่วนตัว เกี่ยวกับเรื่องคดีระเบิดเรือ และเรื่องที่เขาเป็นคนรักลับๆ ของหงคงฉ่วย ซึ่งลู่อี้เผิงปฏิเสธไปทุกฉบับ แต่เจ้าพวกนั้นก็ยังตามวุ่นวายกับเขาได้ไม่เว้นแต่ละวัน
บางครั้งลู่อี้เผิงนึกในใจว่า ถ้าหงคงฉ่วยยังอยู่ เจ้าพวกนี้จะกล้าไล่ตามถ่ายรูป กล้าไล่สัมภาษณ์เขาขนาดนี้ไหม
แต่ตอนนี้หงคงฉ่วยไม่ได้อยู่แล้ว....
ผ่านไปหนึ่งเดือน ขนของแปะชิกชิกเริ่มจะงอกขึ้นมาใหม่ แน่นและขาวเป็นเงามันเหมือนสมัยอยู่กับเจ้าของเดิมแล้ว ขณะที่ต้วนเฟิงดูมีความสุขกับการทำกายภาพบำบัด ท่าทางจะจีบพยาบาลที่เล็งเอาไว้ติดจริงๆ
คดีฆ่าล้างตระกูลหรง คดีวางระเบิดรถ และคดีระเบิดเรือ ยุติการสืบสวนลงด้วยเหตุผลที่ว่า ผู้ต้องหาทั้งหมดเสียชีวิตและหายสาบสูญ แฟ้มคดีถูกเก็บเข้าห้องรวบรวมเพื่อเอาไว้เป็นกรณีศึกษา รูปถ่ายเมื่อสามสิบกว่าปีที่แล้วของหงคงฉ่วยถูกเก็บเงียบเอาไว้อีกครั้ง
มานึกดูแล้วก็น่าใจหายจริงๆ เขาใช้ชีวิตใกล้ชิดกับหงคงฉ่วย แต่ไม่เคยมีรูปถ่ายของผู้ชายคนนั้นเก็บไว้เลย
ที่มีก็แค่รูปถ่ายที่ถ่ายมาจากภาพถ่ายเมื่อสามสิบกว่าปีก่อนซึ่งอยู่ในแฟ้มคดีอีกทีหนึ่ง...
รูปถ่ายในวัยเด็กของหงคงฉ่วย ถูกพี่ชายสั่งทำลายทิ้ง หงคงฉ่วยที่แยกตัวออกมาได้ ใช้ชีวิตลึกลับ กระทั่งรูปถ่ายไว้ประดับบารมีในคฤหาสน์อย่างที่พวกมาเฟียหรือคนใหญ่คนโตชอบวางหรือแขวนโชว์ ยังไม่มีให้เห็นสักรูป มีเพียงตัวอักษรจีนสามคำแขวนประดับอยู่
红孔雀 (หงคงฉ่วย=นกยูงแดง)
บางครั้งเวลาอาบน้ำ ลู่อี้เผิงอดไม่ได้ต้องลูบมือไปบนโคนขาอ่อนด้านในของตน บนขาของเขาก็มีคำสามคำนั้นเขียนอยู่...
หงคงฉ่วยทิ้งเอาไว้เพียงชื่อ ที่จะกลายเป็นเรื่องเล่าขานไปอีกนานแสนนาน.....
---------------------------------------------------
วันนี้ลู่อี้เผิงเลิกงานก็แวะไปเยี่ยมต้วนเฟิง ทานอาหารเย็น และกลับมาที่บ้านพัก กลับมาถึงเขาก็วางกรงแปะชิกชิกที่พาไปที่ทำงานด้วยเป็นประจำออก เจ้านกน้อยดูจะเป็นที่นิยมที่แผนกของเขา แม้หลายคนจะนึกสงสัยว่ามันอาจจะเป็นนกของหงคงฉ่วยก็ตาม ลู่อี้เผิงไม่เคยตอบรับหรือปฏิเสธ เขาไม่เคยพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องของหงคงฉ่วยเลยถ้าไม่จำเป็น ไม่ว่าก่อนหน้านี้ หรือในตอนนี้ก็ตาม
แปะชิกชิกออกจากกรงได้ก็บินมาเกาะไหล่เขา เอาศีรษะถูไถอย่างที่ชอบทำประจำ แล้วค่อยๆ สางผมของเขาด้วยจะงอยปาก ลู่อี้เผิงเล่นกับนกอยู่สักพักก็เดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือ บนโต๊ะนอกจากจะมีหนังสือด้านนิติเวช กฎหมาย และอาชญวิทยาแล้ว ยังมีรูปถ่ายใส่กรอบเล็กๆ วางเอาไว้หลายรูป ไม่ว่าจะเป็นรูปพ่อที่อุ้มเขาซึ่งแต่งเครื่องแบบตำรวจจำลอง รูปตัวเองในวัยเด็กที่สวมหมวกยืนยืดทำท่าราวกับนายตำรวจใหญ่ รูปถ่ายกับเครื่องแบบนักเรียนโรงเรียนนายร้อยตำรวจที่ถ่ายกับเพื่อนตอนเรียนจบ รูปถ่ายในเครื่องแบบเต็มยศสีดำในวันที่ได้รับเข้าบรรจุ กระทั่งชุดสีฟ้าที่เป็นเครื่องแบบของสายตรวจก็มีถ่ายเอาไว้
นี่คืออาชีพที่เขาใฝ่ฝัน นี่คือความฝันในวัยเด็กที่เขาไล่คว้าเอาไว้ได้อย่างเต็มภาคภูมิ
ลู่อี้เผิงมองดูรูปถ่ายพวกนั้น จากนั้นน้ำตาก็ไหลหยดออกมาอาบแก้ม
อากาศยังคงหนาวเย็นอยู่พอสมควร แม้จะอยู่ในบ้าน ลู่อี้เผิงกระชับเสื้อกันหนาวเข้ากับตัว ปล่อยน้ำตาให้ไหลออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่มีอะไรไหลออกมาอีก
รอจนคราบน้ำตาแห้ง นายตำรวจหนุ่มหยิบกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่งขึ้นมา จากนั้นก็บรรจงเขียนข้อความบางอย่างลงไปบนนั้น
ท้องฟ้าด้านนอกมืดสนิทนานแล้ว อากาศหนาวเย็นลงเรื่อยๆ แปะชิกชิกบินจากกรงที่เปิดอยู่มาเกาะใกล้ๆ กับโป๊ะไฟเขียนหนังสือ เพื่ออิงไออุ่นจากหลอดไฟ พลางมองดูคนบนโต๊ะเขียนข้อความลงไปในแผ่นกระดาษ
ลู่อี้เผิงเขียนตัวอักษรลงบนกระดาษอย่างบรรจง เมื่อเขียนเสร็จแล้วก็พับทบเข้าหากัน พับอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นก็หยิบซองสีขาวซองหนึ่งขึ้นมา สอดกระดาษที่พับแล้วแผ่นนั้นเข้าไป จากนั้นวางมันไว้บนโต๊ะ
กว่าลู่อี้เผิงจะเขียนจดหมายเสร็จ ก็เป็นเวลาค่อนข้างดึกพอสมควรแล้ว นายตำรวจหนุ่มลุกขึ้นจากโต๊ะ แต่เปิดโป๊ะไฟเอาไว้แบบนั้น เพราะเห็นเจ้านกสีขาวกำลังหลับสบาย ท่าทางจะอุ่นกำลังดี
ลู่อี้เผิงลุกจากโต๊ะเขียนหนังสือก็ตรงไปยังตู้เสื้อผ้า เปิดมันออกและเอื้อมมือไปหยิบเสื้อตัวหนึ่ง จากนั้นก็เริ่มต้นเปลี่ยนเสื้อผ้า
ใกล้เที่ยงคืนเต็มทีแล้ว บ้านทั้งบ้านเงียบสนิท ทั้งเงียบทั้งหนาว ลู่อี้เผิงยืนอยู่หน้ากระจก อาศัยแสงไฟสลัวจากโคมเขียนหนังสือที่เปิดทิ้งเอาไว้ มองดูตัวเองในชุดเครื่องแบบตำรวจเต็มยศสีดำสนิท มีตราประจำกรมประดับอยู่ที่อกด้านซ้าย
นี่คือเครื่องแบบที่เขาเคยใฝ่ฝันจะใส่ และเคยสวมใส่มันอย่างเต็มภาคภูมิ....
บนเครื่องแบบชุดนี้ แทบทุกอณู มีความฝันและความตั้งใจของเขาสอดแทรกอยู่ เขารักการเป็นตำรวจ รักมากกว่าสิ่งใดๆ หลังจากได้รับเครื่องแบบนี้มา ลู่อี้เผิงตั้งใจว่าคงจะได้สวมใส่มันอย่างภาคภูมิในทุกงานพิธีการ ในทุกครั้งที่ได้รับมอบหมายอย่างเป็นทางการจากกรมตำรวจ
เขาไม่เคยถอดเครื่องแบบนี้ต่อหน้าใครเลย ไม่เคยมีเลยสักครั้ง กระทั่งผู้บังคับบัญชาก็ไม่เคยสั่งให้เขาถอด
แต่เขากลับถอดมันออก... ต่อหน้าคนคนหนึ่ง.....
ลู่อี้เผิงค่อยๆ ถอดหมวกออก จากนั้นก็ดึงเน็กไทสีดำ เขาค่อยๆ ถอดเครื่องแบบเต็มยศนั้นออกอีกครั้ง
ไม่ใช่เพราะคำสั่งจากใคร หรือเป็นการบีบบังคับจากไหน
เขาถอดมันออก เพราะเสียงหัวใจของตัวเขาเอง
--------------------------------------------
“โอ้โห... สารวัตร มาแต่เช้าเลยนะเนี่ย” ต้วนเฟิงเอ่ยทักคนที่เปิดประตูเข้ามาด้วยน้ำเสียงร่าเริง “สารวัตรมาได้จังหวะจริงๆ มาเป็นประธานตัดไหมให้ผมใช่ไหมล่ะครับ”
ลู่อี้เผิงยิ้มออกมา “อืม ผมอยากดูว่าหน้าคุณจะกลับหล่อเหมือนเดิมรึเปล่า”
ต้วนเฟิงหัวเราะออกมา “แน่นอนสิครับ ระวังนะ สารวัตรอาจจะหลงรักผมก็ได้ โอ๊ย... พูดไปได้นะผม ฮ่าๆ ”
ลู่อี้เผิงพลอยหัวเราะออกมาด้วย สักพักหนึ่งแพทย์ก็เดินเข้ามาพร้อมกับพยาบาลและถาดเครื่องมือ จากนั้นผ้าพันแผลบนหน้าของต้วนเฟิงก็ถูกแกะออก แล้วไหมที่เย็บเอาไว้บางๆ ก็ถูกดึงออกทีละเส้น ตัดไหมเสร็จ แพทย์ก็ส่งกระจกให้เขาถือเพื่อมองหน้าตัวเอง
“โอ้โห... ขอบคุณครับหมอ เรียบเนี๊ยบอย่างกับไม่เคยไปโดนอะไรมาเลยแน่ะ”
แพทย์เจ้าของไข้ยิ้มให้เขา คุยอะไรกันอยู่สองสามคำ จากนั้นก็ออกจากห้องไป ต้วนเฟิงหันมามองลู่อี้เผิง “สารวัตรไม่คิดจะพูดอะไรหน่อยหรือครับ”
“อืม... ผมดีใจที่หน้าคุณกลับมาเหมือนเดิมนะ” ลู่อี้เผิงว่า ต้วนเฟิงทำหน้าผิดหวัง “โธ่ ผมอุตส่าห์ให้หมอเสริมดั้งขึ้นมานิดหนึ่งนะเนี่ย สารวัตรจะชมว่าหล่อขึ้นก็ไม่ได้”
“ปกติคุณก็หล่ออยู่แล้วล่ะ” ลู่อี้เผิงพูดยิ้มๆ ต้วนเฟิงมองเขาอีกครั้ง แล้วถามออกมา “วันนี้ไม่ได้พาเสี่ยวชิกมาด้วยหรือครับ?”
“อ้อ.. เปล่า ผมให้มันอยู่ที่บ้านก่อนน่ะ เพราะเดี๋ยวคงต้องขับรถทางไกล”
“?!” ต้วนเฟิงมองหน้าเขาอีกครั้งด้วยสีหน้าแปลกใจทันที “สารวัตรจะไปไหนน่ะครับ”
“ยังไม่รู้เลย” ลู่อี้เผิงตอบไปตามตรง ก่อนจะยิ้มให้ต้วนเฟิงอีกครั้ง “ผู้กอง กว่าผู้กองจะเดินคล่อง คงจะมีสารวัตรคนใหม่มาทำหน้าที่แทนผมแล้วล่ะ ไม่ต้องไปตั้งกฎหาคนที่ไม่กลัวรถไฟเหาะตีลังกาหรอกนะ”
“สารวัตรหมายความว่าไงครับเนี่ย?!” ต้วนเฟิงพูดด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ลู่อี้เผิงมองหน้าเขาอีกครั้ง “ความจริงผมเพิ่งตัดสินใจเด็ดขาดเมื่อคืนนี้เอง เห็นว่าคุณสนิทกับผมมากที่สุด เลยมาบอกคุณก่อนไป”
“สารวัตร!” ต้วนเฟิงเรียกชื่อเขาอีกครั้ง และพยายามลุกขึ้นมาจากเตียง “เกิดอะไรขึ้นน่ะครับ ทำไมจู่ๆ ถึงได้.....”
ลู่อี้เผิงเดินไปประคองตัวเขาเอาไว้ “ขอโทษนะผู้กอง ที่ผมอาจจะทำให้ผิดหวัง แต่ผมตัดสินใจแล้ว”
ต้วนเฟิงมองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจ “เพราะอะไรน่ะครับสารวัตร คุณจะไปไหนกันแน่?”
ลู่อี้เผิงยิ้มบางๆ บนใบหน้า “ผมจะไปตามหานกน่ะ”
--------------------------------------------------------
จดหมายลาออกในซองสีขาวถูกวางอยู่บนโต๊ะของเฉินฉิน กว่าเขาจะเห็น นายตำรวจหนุ่มก็ขับรถออกจากเมืองไปแล้ว ทิ้งบ้านพักของตัวเองเอาไว้พร้อมกับเครื่องแบบเต็มยศที่แขวนอยู่หน้าตู้
ตอนที่เห็นจดหมายลาออกของลู่อี้เผิง ในมือของเฉินฉินมีจดหมายอยู่อีกสองฉบับ ฉบับแรกเป็นหนังสือปรับเพิ่มขั้นเงินเดือน ซึ่งมีชื่อของลู่อี้เผิงอยู่ด้านบนสุด ส่วนอีกฉบับ เป็นรายงานจากกองชันสูตรและกองพิสูจน์หลักฐานเกี่ยวกับศพขึ้นอืดในวันนั้น
รายงานในจดหมายสรุปโดยใจความว่า ลักษณะการสวมกางเกงและเข็มขัดของศพผิดปกติ เหมือนเพิ่งถูกคนอื่นสวมให้หลังจากเสียชีวิตแล้ว
ทันทีที่เห็นจดหมายลาออกของลู่อี้เผิง เฉินฉินเก็บรายงานฉบับนี้ไว้ในส่วนลึกสุดของลิ้นชักโต๊ะทันที ก่อนจะถอนหายใจออกมา
-------------------------------------------------------
ลู่อี้เผิงขับรถที่มีประวัติว่าเข้าอู่บ่อยที่สุดไปตามถนนเส้นเล็กๆ ภายในรถนอกจากกระเป๋าเดินทางที่ใส่เสื้อผ้านิดๆ หน่อยๆ และเต็นท์สำหรับพักค้างคืนแล้ว ก็มีนกตัวหนึ่งอยู่ในกรงที่วางอยู่ตรงเบาะหน้า คาดเข็มขัดนิรภัยซะด้วย ด้านหลังยังมีกระถางใส่ต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงที่กำลังออกหม้อสวย วางอัดเอาไว้กับกระเป๋าเดินทางและถุงเสบียงอย่างแน่นหนา เพื่อกันมันล้มคว่ำ
ลู่อี้เผิงทิ้งความฝันของเขาเอาไว้ที่บ้านพักหลังเดิม ทิ้งทุกอย่างที่เขาคว้ามาได้เอาไว้เบื้องหลัง มุ่งหน้าตรงไปยังสถานที่ที่เขาก็ยังไม่แน่ใจว่าตั้งอยู่ตรงไหนกันแน่ เพียงแต่นายตำรวจหนุ่มรู้ว่าเขาจะต้องไปยังสถานที่นั้นให้ได้
ทำงานมาห้าปี ลู่อี้เผิงมีเงินเก็บอยู่พอสมควร พอจะใช้เดินทางได้ในช่วงเวลาหนึ่ง วางแผนใช้ดีๆ อาจจะเดินทางได้เป็นปีๆ เลยก็ได้
เขายอมทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อตามหานกยูงตัวใหญ่ที่โบยบินพาหัวใจหนีจากเขาไป
นายตำรวจหนุ่มขับรถมุ่งหน้าลงไปทางใต้ ไปยังทีที่เขาเองคิดว่าจะมีนกอยู่
หวังว่านกยูงสีแดงตัวนั้นจะยังรอเขาอยู่นะ
------------------------------------------------------
อากาศในยามเช้าตรูสดชื่นเย็นสบาย บรรดานกน้อยใหญ่ต่างร้องกันเสียงระงม โผบินออกจากรัง ดำเนินกิจวัตรต้อนรับวันใหม่อย่างเช่นทุกวันที่เคยผ่านมา
บนลานกว้างหน้าบ้านพักที่พอจะเรียกได้ว่าคฤหาสน์หลังย่อมๆ ที่สร้างอยู่บนหน้าผาสูง ผู้ชายคนหนึ่งนอนเอนกายอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวยาว เขาสวมเสื้อผ้าไหม ทับด้วยเสื้อขนสัตว์สีขาวอีกชั้นหนึ่ง ผิวของชายคนนั้นขาวละเอียดเหมือนหิมะ แสงแดดอ่อนๆ ทาบทาลงบนเค้าหน้าหมดจดคมคาย ดวงตาคู่นั้นปิดสนิท ลมหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ราวกับกำลังดื่มด่ำกับธรรมชาติรอบตัวอย่างมีความสุขก็ไม่ปาน
นกกระตั้วสีขาวสะอาดตัวหนึ่งก็บินพึ่บๆ เข้ามา ดวงตาที่ปิดสนิทคู่นั้นเบิ่งโพลงขึ้นทันที นกตัวนั้นบินมาเกาะที่ไหล่ของเขา ก่อนจะเอาศีรษะถูไถอย่างรักใคร่
“คงฉ่วย คงฉ่วย”
ใบหน้าได้รูปปรากฏรอยยิ้มละมุน ในเงาของแสงอาทิตย์ยามเช้า ร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้ม
-------------------------------------------------------
-จบ-
.
.
.
.
.
.
.
** ทุกคนเห็นคำว่า"จบ"ด้านบน ต้องเอามือทุบจอแล้วอยากเอาเลือดหัวข้าพเจ้าออกมาแน่ๆ เลย!!!
อันที่จริงเรื่องยังมีต่อ แต่พอดีโปรโมชั่นนี้ไม่ได้รวมของหวานเอาไว้ (มีแต่มาม่าไซส์บิ๊ก ชามโตขนาดพิเศษ!!!!<<โดนโบก
) อนึ่ง รายการของหวานขอสงวนสิทธิ์เอาไว้เป็นของสมน้ำหน้าคุณ เอ๊ย ของสมนาคุณในรวมเล่มนะคะ...
แต่.... จากคอมเม้นต์(แทบทุกคอมเม้นต์) ทุกคนดูหวังกับของหวานเอาไว้มาก... ไหนๆ ก็ไหนๆ ท่านผู้อ่านอุตส่าห์กล้ำกลืนทานมาม่าแสนอร่อยของอิฉัน (ไม่อร่อยย่ะ!!! เอามาม่าหล่อนไปเททิ้งเลยป๊ายย<<ปิดหู ไม่รับรู้) อิฉันเลย... เอาบางส่วนของขนมหวาน (หวานจริงเดะ?) ที่จะอยู่ในรวมเล่มมาให้อ่านกันเป็นที่ให้โล่งใจ(แน่รึ?) ก่อนนะคะ