อัพเดทนิยายรูปเล่ม "ทัณฑ์กามเทพ"
ราคาเล่มละ 430 บาท
ติดต่อ
www.facebook.com/Aislin.Napoon หรือ Aislinnovelsอย่าแสดงเมลบนบอร์ด.com (ฮอทเมล)
ปล. ในรูปเล่มมีตอนพิเศษแบบจุใจอีก 3 ตอนแถมให้ด้วยนะคะ (ไม่อัพลงเว็บค่ะ)
หรือถ้าหากสนใจแบบ Ebook สามารถโหลดได้จากเว็บ MEB ได้เลยค่ะ
www.mebmarket.com(Search ชื่อเรื่อง “ทัณฑ์กามเทพ”)
*********************************
เมื่ออาการบาดเจ็บจากการโดนยิงดีขึ้นมากจนเกือบจะหายเป็นปกติ นภัทรจึงอนุญาตให้วิศรุตออกจากโรงพยาบาลเพื่อไปพักฟื้นต่อที่บ้านได้ ศรารัตน์มารับผู้เป็นพี่ชายด้วยตัวเอง ตลอดระหว่างทางจากโรงพยาบาลกลับบ้านทัดเทวา หญิงสาวไม่ยอมพูดอะไรกับวิศรุตสักคำ แม้ว่าวิศรุตจะพยายามทำลายบรรยากาศอึดอัดภายในรถโดยการยกเรื่องต่างๆมาพูดก็ตาม แต่ ศรารัตน์ก็ยังตอบน้อยเสียจนแทบจะนับคำพูดได้ ในใจของหญิงสาวตอนนี้กำลังคิดใคร่ครวญอะไรบางอย่างเงียบๆ
“เดี๋ยวสิศรา ฉันมีเรื่องอยากจะพูดด้วย” ศรารัตน์ชะงักเท้าที่กำลังก้าวขึ้นบันไดหินอ่อนแล้วหันมาสบตาผู้พูดด้วยแววตาไม่แสดงอารมณ์
“ขึ้นไปคุยที่ห้องทำงานก็แล้วกัน”
“ไอ้โอมกับไอ้พงษ์เล่าให้ฉันฟังหมดแล้วเรื่องแผนการของเธอ” วิศรุตเริ่มเปิดประเด็นถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาไม่นานนี้ “ขอบใจเธอมากนะที่เลือกยืนข้างฉัน” ศรารัตน์ถอนหายใจบางแล้วส่ายศีรษะเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร
“นายไม่ต้องมาขอบใจฉันหรอก ฉันก็แค่ทำในสิ่งที่สมควรทำเท่านั้น อาวันชัยกับภาคินสมควรที่จะได้รับกรรมแล้ว ทั้งเรื่องยักยอกเงินบริษัทแล้วก็เรื่องที่วางแผนฆ่าเราสองคนด้วย” หญิงสาวยิ้มมุมปากก่อนเอ่ยต่อ “ฉันต่างหากที่ควรจะขอบคุณนาย ถ้าไม่ได้นาย ฉันก็คงจะตายไปแล้ว” ศรารัตน์หมายถึงเรื่องที่วิศรุตมาช่วยเธอเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่โดนภาคินจับไปที่โกดังร้างแล้วก็ล่าสุดที่เขาตามไปช่วยเธอที่ถูกภาคินจับเป็นตัวประกัน
วิศรุตยิ้มให้ผู้เป็นน้องสาวด้วยความคิดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำขอบคุณแบบนี้จากปากของศรารัตน์ แต่ไหนแต่ไรมาตั้งแต่เด็ก เขากับศรารัตน์มักจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอด ศรารัตน์เองก็ยอมลงให้เขาง่ายๆเสียเมื่อไหร่ ดังนั้นการได้ยินคำพูดขอบคุณจากอีกฝ่ายในวันนี้ก็เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายมากแล้ว
“ในที่สุดเรื่องทุกอย่างก็จบลงเสียที” ศรารัตน์ระบายลมหายใจเป็นเชิงว่าโล่งอกที่ทุกอย่างกำลังจะเป็นไปในทางที่ดี หากแต่เมื่อวิศรุตได้ยินประโยคนั้นจากหญิงสาว ชายหนุ่มกลับนึกถึงอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้... เรื่องศรากับกานต์ ศรารัตน์เคยบอกเอาไว้ว่าหลังจากที่เรื่องทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เธอจะแต่งงานกับนภัทรทันที คำว่าแต่งงานที่ผุดขึ้นมาในหัวของวิศรุตทำให้ใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังระบายยิ้มน้อยๆค่อยๆคลายลงโดยไม่รู้ตัว วิศรุตเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่านภัทรไม่ใช่ของเขาแต่เป็นของศรารัตน์ต่างหาก
“ตอนนี้เรื่องยุ่งๆก็จบไปแล้ว เธอคิดจะ... แต่งงานเมื่อไหร่ล่ะ” คำว่าแต่งงานถูกเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่ศรารัตน์กลับได้ยินอย่างชัดเจน หญิงสาวหันหลังให้คู่สนทนา แววตาสีน้ำตาลเหม่อมองออกไปยังท้องฟ้ายามเย็นภายนอก ผ่านทางหน้าต่างบานสูงในห้องทำงาน
“แล้วนาย... อยากให้ฉันแต่งงานกับหมอกานต์จริงๆน่ะเหรอวิน” คำถามย้อนกลับนั้นทำให้วิศรุตอึ้งไป ชายหนุ่มเสมองไปทางอื่นแล้วกลั้นใจพูดออกมาทั้งที่เจ้าตัวก็ทราบดีว่าความจริงมันคืออะไร
“เธอสองคนแต่งงานกันก็เหมาะสมดีแล้ว อันที่จริงมันก็เป็นสิ่งที่เธอต้องการอยู่แล้วนี่นา” ศรารัตน์หันกลับมาสบตากับวิศรุตทันทีเมื่ออีกฝ่ายพูดจบ
“ลองถามใจตัวเองให้ดีเถอะวินว่านายต้องการแบบนั้นจริงอย่างที่พูดหรือเปล่า หรือพูดแค่เพื่อให้ตัวเองตัดใจจากหมอกานต์ได้เท่านั้น”
เสียงเคาะประตูห้องทำงานทำให้นภัทรหลุดออดจากภวังค์ความคิดของตัวเอง คุณหมอหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองผู้มาใหม่ที่เปิดประตูเข้ามาก่อนจะพบว่าเป็นพงศธร
“กำลังเหม่อคิดอะไรอยู่วะไอ้กานต์” ด้วยความที่เป็นเพื่อนรักกันมานานทำให้พงศธรจับสีหน้าและความรู้สึกของอีกฝ่ายได้อย่างแม่นยำ “เรื่องวินกับคุณศราหรือเปล่า” สีหน้าของนภัทรที่เปลี่ยนไปทำให้พงศธรรู้ว่าเขาเดาถูก
“จบเรื่องวุ่นๆแล้ว ต่อไปก็คงจะเป็นงานมงคลของแกกับคุณศราสินะ” พงศธรฝืนยิ้มแล้วกระเซ้านภัทรที่กำลังทำหน้าเฉยชาแบบไม่รู้สึกรู้สาอะไรทั้งนั้น “แกควรจะเตรียมตัวเป็นเจ้าบ่าวได้แล้วนะ”
“แกก็รู้ว่าฉันไม่อยาก”
“แต่เพราะแกรักวินไม่ใช่เหรอ เพราะว่าแกรักวิน แกถึงได้ยอมแต่งงานกับคุณศรา” ความจริงข้อนี้ทำให้นภัทรเงียบไปทันที เขาปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวเองคิดแบบนั้น ถ้าหากว่าพอถึงเวลานั้นขึ้นมาจริงๆ เขาจะทำได้อย่างที่ปากเคยบอกไปหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย นภัทรพยายามบังคับตัวเองให้ลืมวิศรุต แต่ยิ่งฝืนก็เหมือนยิ่งตอกย้ำให้รู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นกว่าเก่า ชายหนุ่มรู้ดีว่าทำแบบนี้มันไม่ยุติธรรมสำหรับศรารัตน์เลยสักนิด แต่เขาลืมวิศรุตไม่ได้
“แล้วแกล่ะไอ้พงษ์ ถ้าคนที่แกรักกำลังจะแต่งงานกับคนอื่น แกจะทำยังไง” พงศธรยิ้มเศร้าแต่คำพูดที่ออกจากปากแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นชัดเจนในความรู้สึกของเจ้าตัว
“ถ้าเขาไม่ได้รักฉัน มันก็ไม่มีประโยชน์หรอก สิ่งที่ฉันต้องการก็คงจะคล้ายๆกับวินนั่นแหล่ะ... การได้เห็นคนที่เรารักมีความสุขกับคนที่เขารัก เท่านั้นก็พอแล้วล่ะ”
เมื่อนภัทรกลับมาถึงบ้าน ผู้เป็นมารดาก็บอกเขาว่ามีเพื่อนมารอพบอยู่ที่ห้องรับแขก คุณหมอหนุ่มวางกระเป๋าเอกสารลงบนเก้าอี้ไม้ที่นั่งประจำของตนก่อนจะเดินเข้าไปในตัวห้องรับแขก ภาพแผ่นหลังที่เคยคุ้นสายตาของคนที่นั่งอยู่ทำให้นภัทรต้องชะงักฝีเท้า ชายหนุ่มใช้ดวงตาสีถ่านจับจ้องภาพเบื้องหลังของวิศรุต จนผ่านไปสักพัก คนที่กำลังนั่งอิงอยู่บนโซฟาจึงรู้สึกตัวและหันมามอง
“วิน” นภัทรทักก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าอีกฝ่าย “มานานหรือยัง” วิศรุตช้อนสายตามองนภัทรก่อนจะตอบเสียงแผ่วว่าตนเพิ่งจะมาไม่นาน นภัทรเงียบไปอย่างไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี คุณหมอหนุ่มจึงเสเปลี่ยนเรื่องไปถามว่าอาการบาดเจ็บของชายหนุ่มเป็นอย่างไรบ้าง
“น่าจะหายดีแล้วล่ะ ขอบใจมากนะที่เป็นห่วง” นภัทรพยักหน้าน้อยๆก่อนจะเข้าสู่อาการนิ่งเงียบอีกครั้ง วิศรุตลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายจนร่างกายแทบจะติดกัน ลมหายใจอุ่นร้อนของวิศรุตที่เป่ารดข้างแก้มทำให้นภัทรเม้มริมฝีปากแน่น
“ที่มาวันนี้ ฉันแค่อยากจะมาลานาย” ประโยคสุดท้ายของวิศรุตทำเอานภัทรตัวชาไป คุณหมอหนุ่มจ้องลึกลงไปในดวงตาสีน้ำตาลโศกที่แสนคุ้นเคยนั้นก่อนจะถามเสียงแหบพร่า
“นายจะไปไหน” วิศรุตนิ่งไปสักพักก่อนจะพยายามฝืนยิ้มให้ทั้งที่ในใจกำลังทรมานเหลือเกิน
“ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะกลับอังกฤษ” คำตอบของคู่สนทนาเสมือนสายฟ้าที่ผ่าฟาดลงมากลางใจของนภัทร ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆวิศรุตถึงเลือกที่จะกลับไปอยู่ต่างประเทศอีกครั้ง แต่ถึงแม้ในใจจะรู้อย่างนั้น ปากเจ้ากรรมก็อดถามออกไปไม่ได้
“ทำไมนายถึงต้องไปล่ะวิน นายไม่เห็นเคยบอกก่อนหน้านี้เลย”
“ตอนนี้เรื่องทุกอย่างก็คลี่คลายลงด้วยดีแล้ว นายเองก็กำลังจะแต่งงานกับศราในไม่ช้านี้ ฉันก็คิดว่าตัวเองควรจะกลับอังกฤษเสียที เพราะตอนแรกก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะกลับมาอยู่เมืองไทยนานๆอยู่แล้ว” นภัทรรู้ดีว่าวิศรุตมีเหตุผลมากกว่านั้น “อีกอย่าง ฉันคงจะทนทำใจไม่ได้แน่หากว่าต้องเห็นนายแต่งงานกับน้องสาวตัวเองจริงๆ” วิศรุตหมายความอย่างที่พูดทุกอย่าง แม้ว่าตอนนี้เจ้าตัวกำลังยิ้มอยู่ แต่ภายในดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นไม่ได้มีรอยยิ้มเลยสักนิดเดียว
“นาย... จะไปเมื่อไหร่?” คำพูดของนภัทรติดขัด ชายหนุ่มเอามือไปสัมผัสกับใบหน้าหล่อเหลาราวรูปสลักของวิศรุตอย่างแผ่วเบา แต่อีกฝ่ายกลับเอามือของนภัทรออกจากใบหน้าตนช้าๆ
“ฉันจะเดินทางพรุ่งนี้” สีหน้าตื่นตะลึงของอีกฝ่ายไม่ได้ทำให้วิศรุตตกใจแต่อย่างใด ชายหนุ่มเดาเอาไว้อยู่แล้วว่าต้องป็นแบบนี้ ตอนแรกเขาตั้งใจจะไปโดยไม่ลานภัทรเสียด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายแล้วความรู้สึกในใจก็ชนะจนได้ เขาอยากเจอหน้า นภัทรอีกครั้งก่อนที่จะต้องจากกันไปไกลแสนไกล
“วิน”
“ฉันรักนายมาตั้งแต่ม.หนึ่ง จนกระทั่งถึงตอนนี้ วันนี้ เวลานี้ ความรักที่ฉันมีต่อนายก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่นายรู้ไหมกานต์ สิ่งหนึ่งที่ฉันภูมิใจและดีใจที่สุดก็คือ...” วิศรุตเว้นวรรคไปเล็กน้อยแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้ สึกลึกซึ้งที่มีให้คนตรงหน้ามาตลอดสิบสามปีเต็ม “การได้รับความรักจากนาย” สิ้นคำพูดของวิศรุต นภัทรก็ดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดแน่นราวกับกลัวว่าชายหนุ่มจะจางหายไปกับอากาศเดี๋ยวนั้น
“อย่าไปเลยนะวิน อย่าจากกันไปแบบนี้” วิศรุตส่ายหน้าแล้วพูดว่า
“ถ้าฉันไม่ไป ศราก็จะต้องรู้สึกผิดมากกับเรื่องนี้ ส่วนนายเองก็จะต้องอยู่ท่ามกลางความรู้สึกครึ่งๆกลางๆแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ เราจากกันแบบนี้น่ะดีที่สุดแล้วกานต์” นภัทรไม่ยอมรับให้เรื่องมันจบแบบนี้ คุณหมอหนุ่มใช้มือสองข้างดันตัววิศรุตออกห่างแล้วเอ่ยเสียงแหบเครือ
“ฉันไม่อยากให้นายไป ถ้าหากเราไม่ได้เจอกัน...”
“ไม่ต้องห่วงหรอก นายเคยบอกเองไม่ใช่เหรอว่าใจของนายจะเป็นของฉัน เหมือนกับที่หัวใจของฉันจะเป็นของนาย อย่าลืมสิ” น้ำใสๆไหลออกจากดวงตาดำขลับอย่างเงียบเชียบ นภัทรกัดกรามแน่นเพื่อข่มความรู้สึกก่อนจะเค้นเสียงออกมาเป็นคำพูด
“ถ้าอย่างนั้นก็... ลาก่อนวิน”
“ลาก่อน” คำพูดลาของวิศรุตเหมือนเป็นค้อนหนักๆที่ทุบลงมายังหัวใจของนภัทรจนแทบแหลกสลาย คำว่าลาก่อนของวิศรุตเมื่อตอนที่ฝ่ายนั้นจะไปเรียนต่อเมืองนอกสมัยเพิ่งจบม.ห้ายังไม่ทำให้นภัทรรู้สึกเจ็บปวดเท่าวันนี้เลย อาจเป็นเพราะความรู้สึกของเขาที่มีต่อวิศรุตในตอนนั้นยังไม่ได้ผูกพันลึกซึ้งเช่นในตอนนี้ก็เป็นได้
คุณหมอหนุ่มมองวิศรุตที่เดินออกจากห้องรับแขกไปด้วยแววตาฉ่ำน้ำก่อนจะทรุดตัวลงนั่งกับโซฟาอย่างคนที่หมด เรี่ยวแรงจะยืน เมื่อรักมากก็ย่อมเจ็บมากเป็นธรรมดา นภัทรเพิ่งเข้าใจคำพูดนี้อย่างถ่องแท้ก็วันนี้เอง
“อะไรนะ นี่แกจะกลับอังกฤษงั้นเหรอ” เสียงอุทานของภาณุดังลั่นห้องรับแขกบ้านทัดเทวา ชายหนุ่มวางแก้วกาแฟที่กำลังยกจิบอยู่ทันที “แกจะไปเมื่อไหร่”
“พรุ่งนี้” คำตอบสั้นๆของวิศรุตทำให้ภาณุยิ่งอึ้งเข้าไปอีก “อันที่จริงฉันคิดเรื่องนี้ไว้ตั้งนานแล้ว แต่ก็มัวแต่ติดงานที่บริษัท ตอนนี้ก็คงได้เวลาที่จะต้องไปจริงๆเสียทีเพราะว่าที่บริษัทก็ลงตัวแล้ว”
“แล้วทำไมแกถึงต้องไปด้วยวะ ก็ใช้ชีวิตอยู่เมืองไทยแกก็ไม่ได้ลำบากอะไรนี่นา ทำไมต้องกลับไปอังกฤษด้วย”
“ฉันกะว่าจะไปดูงานของบริษัททัดเทวาที่อังกฤษน่ะ ส่วนสาขาใหญ่ที่ไทยก็ให้ยัยศรารับช่วงต่อไป” ภาณุไม่เชื่อในคำตอบของวิศรุตแม้แต่น้อย ชายหนุ่มเชื่อว่าต้องมีเหตุผลอื่นอย่างแน่นอน
“ฉันไม่คิดว่าแกจะไปอังกฤษเพียงเพราะว่าเรื่องงานอย่างเดียว” วิศรุตเม้มปากแน่น ชายหนุ่มเบนหน้าไปอีกทาง ไม่อยากให้ภาณุเห็นบางอย่างข้างในแววตาของตนแต่เจ้าตัวก็รู้ดี เขาหลอกคนตรงหน้าที่เป็นเพื่อนรักกันมานานไม่ได้
“ไม่ว่าจะเพราะอะไร ถึงยังไงฉันก็ต้องไปอยู่ดีนั่นแหล่ะ” ภาณุถอนหายใจเฮือกแล้วเอ่ยขัดเสียงเรียบ
“เพราะเรื่องไอ้กานต์กับศราใช่ไหม” คราวนี้วิศรุตหันไปสบตาคนพูดทันที ภาณุเดินเข้ามาใกล้อีกฝ่ายแล้วใช้สองมือจับไหล่คนตรงหน้าเอาไว้แน่น “การที่แกไปแบบนี้มันก็เหมือนกับการหนีหัวใจตัวเองนั่นแหล่ะวิน”
“แล้วแกจะให้ฉันทำยังไงล่ะ จะให้ฉันฝืนยิ้มมองดูเค้าสองคนแต่งงานกันทั้งที่ในใจกำลังร้องไห้อย่างนั้นเหรอ จะให้ฉันเอาความรักของตัวเองไปผูกมัดกานต์เอาไว้ ทั้งๆที่เค้าควรจะได้แต่งงานมีชีวิตคู่ที่สมบูรณ์แบบกับผู้หญิงสักคนเนี่ยนะ ฉันทำไม่ได้ไอ้โอม” มือที่จับไหล่วิศรุตค่อยๆคลายลง ถึงอย่างไรความจริงที่ต้องยอมรับก็คือความรักระหว่างผู้ชายด้วยกันมันไม่มีทางเป็นไปได้อยู่ดีนั่นแหล่ะ ภาณุมองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าตนด้วยความสงสารแต่ก็จนใจที่ตัวเองไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย
“ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้ฉันจะไปส่งแกนะ”
“ไม่ต้องหรอก” วิศรุตปฏิเสธ ถ้าหากว่าภาณุไปส่งที่สนามบินจริงๆ เขาก็คงยิ่งรู้สึกอาลัยอาวรณ์และไม่อยากไปอังกฤษแน่ๆ “ลากันวันนี้เลยจะดีกว่า”
“แกทำให้ฉันนึกถึงความรู้สึกตอนม.ห้า หลังจากสอบเสร็จที่ฉันมาส่งแกขึ้นรถเพื่อไปสนามบิน ตอนนั้นแกก็บอกฉันกะทันหันว่าต้องไปอังกฤษ แต่ก็ไม่ได้บอกตอนจวนตัวแบบครั้งนี้” ภาณุพยายามสูดลมหายใจลึกเพื่อสะกดกลั้นความรู้สึกใจหายเอาไว้ “ตอนนั้นแกไปเพื่อเรียนต่อ แต่ครั้งนี้แกไปเพราะ... เรื่องอื่น” วิศรุตฝืนยิ้มกับคำพูดนั้นในขณะที่ภาณุก็ตบไหล่ชายหนุ่มเบาๆแบบที่เคยทำประจำเวลาต้องการให้กำลังใจอีกฝ่าย “ถ้าแกตัดสินใจแล้ว ขอให้แกโชคดีนะวิน ไอ้เพื่อนรัก” วิศรุตพยักหน้าก่อนจะเข้าไปกอดภาณุจนแน่นซึ่งอีกฝ่ายก็กอดตอบด้วยความรู้สึกที่ไม่ต่างกัน
ความรักความผูกพันฉันเพื่อนระหว่างเขาและภาณุงอกเงยขึ้นตามวันและเวลา ภาณุคือเพื่อนที่เขารักมากที่สุดและยอมรับตัวตนที่แท้จริงของเขาได้โดยไม่คิดรังเกียจ ฝ่ายนั้นจะคอยตบบ่าปลอบใจเมื่อเขาท้อแท้หมดหวัง จะคอยยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเวลาที่เขามีปัญหาโดยที่เขาไม่จำเป็นต้องร้องขอ จะคอยซับน้ำตาและยืนเคียงข้างเมื่อเวลาที่เขาต้องการใครสักคน เพื่อมาเข้าใจ วิศรุตกอดภาณุด้วยความรู้สึกตื้นตันและขอบคุณกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เพื่อนคนนี้ทำเพื่อตนมาโดยตลอด
“ขอบใจนะโอม ขอบใจแกจริงๆ” ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ สิ่งหนึ่งที่จะยืนยงไม่มีวันสลายก็คือมิตรภาพอันงดงามของคำว่าเพื่อนนั่นเอง
ศรารัตน์ยืนนิ่งอยู่ในห้องพระมาเป็นเวลานานแล้ว หญิงสาวเหม่อมองรูปของบิดามารดาที่แขวนไว้บนผนังห้องด้วยความรู้สึกหลากหลายปนเปจนแยกไม่ออก วันนี้เป็นวันที่วิศรุตจะเดินทางไปอังกฤษ แต่เธอก็ไม่ได้ไปส่ง ยังคงยืนนิ่งอยู่ในห้องนี้เงียบๆ เสียงเปิดประตูทำให้ศรารัตน์เหลียวหน้าไปมอง เมื่อเห็นว่าคนที่เข้ามาคือวิศรุต หญิงสาวจึงถามขึ้นเสียงเบา
“ยังไม่ไปสนามบินอีกเหรอ” วิศรุตสั่นศีรษะแล้วบอกว่าจะมาลาพ่อกับแม่ก่อน ชายหนุ่มเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้ากรอบรูปขนาดใหญ่แล้วเอ่ย
“ผมกำลังจะไปคุมงานบริษัทที่อังกฤษนะครับ ถ้าพ่อกับแม่ยังอยู่ก็คงจะต้องภูมิในใจตัวผมมากแน่ๆ แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ บริษัททางนี้ผมจะให้ศราเป็นคนดูแลทั้งหมดเอง ศราเค้าเก่งกว่าผมตั้งเยอะ เค้าไม่มีทางทำให้พ่อกับแม่ผิดหวัง ไม่มีทางทำให้วงศ์ตระกูลทัดเทวาเสียชื่อเป็นอันขาด” วิศรุตหันไปพูดกับศรารัตน์ที่ยืนอยู่ข้างๆ “ฝากงานด้วยนะศรา”
“จากผลงานบ้านเทวานิรมิตของนายทำให้บอร์ดผู้บริหารพอใจมากนะ พวกนั้นยอมรับในฝีมือของนายแล้ว คิดดีแล้วเหรอที่จะทิ้งงานที่นี่ไปกลางคันแบบนี้” วิศรุตพยักหน้า ดวงตาสีน้ำตาลโศกทอประกายหนักแน่นกับการตัดสินใจของตนในครั้งนี้ ไม่ว่าศรารัตน์จะพูดอย่างไรก็คงไม่มีทางเปลี่ยนความตั้งใจของเขาได้อยู่ดี
“งานที่อังกฤษคงมีเยอะมากที่รอให้ฉันไปคุมด้วยตัวเอง บางทีฉันอาจจะยุ่งมากจนไม่มีโอกาสมาร่วมงานแต่งงานของเธอกับกานต์ ขอโทษล่วงหน้าเลยแล้วกันนะ” ศรารัตน์พยายามสบตาวิศรุตที่กำลังหลุบตาต่ำเพื่อซ่อนสีหน้าไม่ให้อีกฝ่ายเห็น
“ฉันอยากจะถามครั้งสุดท้าย นายอยากให้เรื่องทุกอย่างจบลงแบบนี้จริงๆน่ะเหรอ” วิศรุตตอบว่าใช่ ศรารัตน์จึงถามต่อว่าทำไม ทำไมถึงต้องยอมทำขนาดนี้ด้วยทั้งที่ชายหนุ่มเองก็กำลังเจ็บปวดมากเหมือนกัน
“ถ้าฉันไม่เป็นฝ่ายยอมเจ็บ เธอก็ต้องเจ็บ สู้ฉันยอมเสียสละดีกว่า แบบนี้น่ะดีที่สุดแล้ว” น้ำตาหยดหนึ่งค่อยๆไหล ออกมาจากดวงตาสีน้ำตาลของศรารัตน์อย่างช้าๆเมื่อได้ยินคำพูดถัดมาของวิศรุตที่หันไปพูดกับรูปภาพบิดามารดา “การเสียสละคือสิ่งที่คนเป็นพี่สมควรทำให้น้องใช่ไหมครับ ตั้งแต่เด็กจนโต ไม่ว่าศราต้องการอะไร ผมก็ไม่เคยที่จะยอมสละของตัวเองให้เธอเลย และนี่ก็คงเป็นครั้งแรกที่ผมจะได้เสียสละเพื่อน้องสาวของตัวเองบ้าง” วิศรุตพยายามกลั้นก้อนสะอื้นลงคอขณะที่พูดกับหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างกายตน “ขอให้เธอกับกานต์มีความสุขมากๆนะ รักกานต์ให้มากๆแทนฉันด้วยนะศรา” ศรารัตน์ปาดน้ำตาที่ไหลออกมาแล้วพยายามคุมเสียงไม่ให้สั่นไปมากกว่านี้
“นายไม่รักหมอกานต์แล้วเหรอวิน” วิศรุตจุดยิ้มบางๆที่มุมปากขณะเอ่ยด้วยน้ำเสียงชัดเจนที่ดังสะท้อนเข้าไปถึงขั้วหัวใจของคนฟัง
“รักสิ แต่ฉันก็รักน้องสาวของตัวเองเหมือนกัน” วิศรุตสบตาผู้เป็นน้องสาวราวกับต้องการบ่งบอกความรู้สึกทั้งมวลให้อีกฝ่ายได้รับรู้ ถึงอย่างไรศรารัตน์ก็เหมาะสมและคู่ควรกับนภัทร ไม่ใช่พวกผิดเพศแบบเขา
พูดจบวิศรุตก็ขอตัวทันที ชายหนุ่มบอกว่าถึงเวลาจะต้องไปรอเช็กอินที่สนามบินแล้ว ศรารัตน์ได้แต่มองตามแผ่นหลังของผู้เป็นพี่ชายด้วยความเศร้าและซาบซึ้งกับความรักความปรารถนาดีที่อีกฝ่ายมีให้ตนมาโดยตลอด หญิงสาวมองประตูห้องที่ปิดลงก่อนจะพูดพึมพำกับตัวเอง
“นายอยากให้เรื่องจบ แต่ฉันไม่มีวันยอมให้มันจบแบบนี้แน่วิน”
วิศรุตเดินมาขึ้นรถยุโรปคันหรูที่จอดรออยู่หน้าบ้าน ลุงมั่นเปิดประตูรถให้ชายหนุ่มขึ้นไปนั่งที่เบาะหลังก่อนจะสั่งคนขับให้ไปส่งผู้เป็นเจ้านายที่สนามบินเพื่อออกเดินทางไปยังประเทศอังกฤษ
วิศรุตมองผ่านกระจกรถและทอดสายตาไปยังเบื้องนอก ภาพสองข้างทางที่รถกำลังแล่นผ่านไม่ได้เข้าหัวชายหนุ่มเลย ในสมองของวิศรุตตอนนี้มีแต่เรื่องเดิมๆระหว่างตนกับนภัทรซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น ชายหนุ่มเอนตัวลงให้ศีรษะราบไปกับ เบาะรถก่อนจะหลับตาลงปล่อยความคิดล่องลอยไปเรื่อยๆ
‘ฉันรู้ว่านายรังเกียจฉันมาก รู้ว่านายไม่ใช่คนที่ชอบเพศเดียวกันแบบฉัน รู้ว่านายคงเบื่อและอึดอัดที่ต้องมารับมือกับนิสัยร้ายกาจที่ฉันชอบแสดงใส่นายอยู่เสมอ แต่ฉันก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ฉันชอบนายมาตลอดตั้งแต่ม.หนึ่ง แม้จะผ่านมาห้าปีแล้วแต่ฉันก็ยังคงชอบนาย ได้ยินไหมนภัทร... ฉันชอบนาย’
‘ตั้งแต่เกิดเรื่อง ทุกครั้งที่ฉันหลับตาก็นึกถึงแต่เรื่องนี้ ฉันผิดมากนักเหรอที่เกิดมาเป็นพวกชอบเพศเดียวกัน ผิดมากเหรอไงที่เลือกรักผู้ชายคนเดียวกับน้องสาวตัวเอง ฉันไม่ได้อยากจะทำร้ายศรา ฉันไม่ได้อยากจะให้เป็นแบบนี้ ฉัน...’
‘ทุกครั้งที่ฉันเห็นนายเจ็บปวด เห็นนายเอาแต่โทษตัวเองอยู่ตลอดเวลา เห็นนายต้องมาเสียน้ำตาเพราะเรื่องนี้ที่ฉันเป็นตัวต้นเหตุแต่แรก นายรู้ไหมว่าฉันรู้สึกยังไง ไม่ใช่แค่นายที่เสียใจหรอกวิน ฉันเองก็เสียใจเหมือนกัน ยิ่งเห็นนายเอาแต่โทษตัวเองอยู่แบบนี้ฉันก็ยิ่งเสียใจ... เสียใจที่รู้สึกว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง แม้กระทั่งการปลอบใจนายฉันก็ยังทำไม่ได้เลย’
‘ของขวัญพิเศษสำหรับนายคนเดียว’
‘อันที่จริงนายไม่จำเป็นต้องให้ก็ได้’
‘แหวนวงนี้ฉันเลือกเองกับมือ ด้านหลังของแหวนก็สลักเอาไว้เป็นชื่อของนาย ‘กานต์... ผู้เป็นที่รัก’ ดังนั้นถ้านายไม่รับไว้ฉันคงจะเสียใจมาก’
‘ให้เรื่องทุกอย่างมันจบแค่นี้เถอะนะ ไม่ว่าจะพยายามฝืนแค่ไหน สุดท้ายเรื่องระหว่างเรามันก็ลงเอยด้วยคำว่าเป็นไปไม่ได้อยู่ดี’
‘การที่เรามีความสัมพันธ์กันในคืนนั้น คิดเหรอว่าฉันไม่ได้รู้สึกอะไรกับนายเลย แล้วความรู้สึกนั้นมันก็ไม่ใช่ทั้งความเหงาและความสงสารอย่างที่นายเข้าใจด้วย’
‘นาย... หมายความว่ายังไง’
‘ช่างเถอะ ความรู้สึกของฉันตอนนี้มันคงไม่สำคัญแล้วเพราะนายเป็นคนบอกเองว่าถึงอย่างไรเรื่องระหว่างเราก็ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่ดี ถ้านายอยากให้ฉันดูแลคุณศรามากนักล่ะก็ ฉันก็จะทำอย่างที่นายต้องการ’
‘ฉันแค่หวังว่าต่อจากนี้นายจะดูแลศราให้ดี อย่าให้น้องสาวของฉันต้องเสียใจอีก’
‘เดี๋ยวก่อนวิน... ฉันขอกอดนายเป็นครั้งสุดท้ายจะได้ไหม... ที่ฉันอยากจะบอกก็คือ ฉันรักนายนะวิน ขอโทษด้วยที่ฉันรู้สึกตัวช้าไป’
‘ขอบคุณนะ ขอบคุณจริงๆ ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง รวมถึงสิ่งที่นายจะทำเพื่อฉันด้วย’
‘ถ้าคิดว่าการที่นายยอมเสียสละความรักของตัวเองเพื่อให้คุณศรามีความสุข ฉันก็อยากบอกให้นายรู้เหมือนกันว่า...ถ้าหากการเสียสละของฉันทำให้นายมีความสุข ฉันก็ยินดี... ถึงแม้ความเป็นจริงและกฏเกณฑ์ทางสังคมบางอย่างทำให้เราเดินไปด้วยกันไม่ได้ แต่ฉันเชื่อว่าข้างในนี้... ใจของนายจะเป็นของฉัน เหมือนกับที่หัวใจฉันเป็นของนาย’
‘ถึงแม้ในความเป็นจริงเราจะอยู่ด้วยกันไม่ได้ แต่สำหรับฉัน... นายจะอยู่ในนี้เสมอ’
‘ถ้านายบอกฉันอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อตอนเรียนม.ปลาย ฉันก็คงมีความสุขมาก แต่นายก็เพิ่งมาบอกเอาป่านนี้’
‘ขอโทษที่ฉันรู้ใจตัวเองช้าไป ขอโทษ...’
‘ฉันไม่ได้โกรธนายหรอก ดีใจมากกว่า เพราะถ้านายบอกรักฉันตั้งแต่วันนั้น ฉันก็คงจะมีความสุข แต่ก็คงจะไม่เท่าวันนี้ วันที่เราสองคนผ่านเรื่องราวต่างๆมาด้วยกัน... วันที่ฉันรู้สึกมีความสุขมากที่สุดเมื่อได้ยินคำบอกว่ารักจากปากของนาย’
‘ฉันรักนายมาตั้งแต่ม.หนึ่ง จนกระทั่งถึงตอนนี้ วันนี้ เวลานี้ ความรักที่ฉันมีต่อนายก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่นายรู้ไหมกานต์ สิ่งหนึ่งที่ฉันภูมิใจและดีใจที่สุดก็คือ... การได้รับความรักจากนาย’
‘อย่าไปเลยนะวิน อย่าจากกันไปแบบนี้’
‘ถ้าฉันไม่ไป ศราก็จะต้องรู้สึกผิดมากกับเรื่องนี้ ส่วนนายเองก็จะต้องอยู่ท่ามกลางความรู้สึกครึ่งๆกลางๆแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ เราจากกันแบบนี้น่ะดีที่สุดแล้วกานต์’
‘ฉันไม่อยากให้นายไป ถ้าหากเราไม่ได้เจอกัน...’
‘ไม่ต้องห่วงหรอก นายเคยบอกเองไม่ใช่เหรอว่าใจของนายจะเป็นของฉัน เหมือนกับที่หัวใจของฉันจะเป็นของนาย อย่าลืมสิกานต์’
สิบสามปีที่ผ่านมาจนกระทั่งถึงวันนี้นับได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่วิศรุตทั้งเจ็บปวดและมีความสุขไปพร้อมๆกัน ชายหนุ่มมีความสุขที่สุดท้ายนภัทรก็ตอบรับความรักของเขาด้วยความรู้สึกแบบเดียวกัน แต่แล้วก็กลับต้องทุกข์เมื่อเข้าใจกับความจริงที่ว่ารักแบบผิดธรรมชาติเช่นนี้ ยังไงมันก็ไม่มีทางเป็นจริงไปได้
วิศรุตคิดถึงเรื่องเก่าๆที่ผ่านมาระหว่างตนกับนภัทรแล้วน้ำตาเจ้ากรรมก็ไหลออกมาอย่างเงียบเชียบโดยไม่รู้ตัว
Aislin: กลับมาแล้วจ้า อิซลินเจ้าเก่าหายหน้าไปนานอีกแล้ว ขอโทษด้วยนะคะ เพราะช่วงนี้นอกจากจะยุ่งเรื่องงานที่ทำประจำแล้ว ก็ยังต้องเริ่มยุ่ง (มากๆ) กับการเตรียมเรียนต่อปริญญาโทอีกด้วย เลยไม่ค่อยได้เปิดคอมเล่น/อัพนิยายเท่าไหร่ ถ้าเปิดก็จะเน้นทำงานมากกว่า แต่ไม่ต้องห่วงค่ะ ถ้าหากใครคิดถึงคนเขียนตาดำๆคนนี้ แวะไปพูดคุยทักทายที่ในแฟนเพจ www.facebook.com/aislin.napoon ได้เลยเน้อ เข้ามาตอบข้อความสม่ำเสมอแน่นอนค่ะ
มาว่าถึงนิยายตอนนี้บ้างดีกว่า ตอนนี้ก็ใกล้จะได้ฤกษ์ปิดจบเสียที หลังจากลุ้นกันมานานมากๆ ฮ่าๆๆ เดี๋ยวตอนหน้าจะได้รู้แล้วล่ะค่ะว่าบทสรุปของความรักวิน/กานต์จะจบลงอย่างไร จะน้ำตาท่วมจอแค่ไหน อย่าพลาดเด็ดขาดเน้อออออ ปล. หนังสือรูปเล่มยังมีเหลือนะคะ ใครสนใจติดต่อมาได้ผ่านทางอีเมลหรือแฟนเพจได้เลยจ้ะ เพราะในเล่มจะมีตอนพิเศษแถมให้แบบจุใจอีก 3 ตอน รับรองว่าหาอ่านจากเว็บไหนก็ไม่มีเน้อ อิอิ ^0^