“ลุง ๆ เอาลูกนั้น! ที่มันเหลือง ๆ นั้นแหละ ลูกเล็กไม่ต้องเอาลงมานะลุง” พวกคุณงงกันใช่ไหมละว่าผมกำลังสั่งคนทำอะไร
ผมกำลังยืนอยู่ใต้ต้นกระท้อนในโรงเรือนที่คราวก่อนผมได้มาเป็นลมทิ้งไว้ อ่าว....ไม่ได้อยากรู้เรื่องนี้หรอ อ๋อ... คือว่าหลังจากที่พวกหมอ ๆ เค้าดีใจที่ผมได้ลูกแฝดมา ผมก็งง ๆ จับอะไรไม่ค่อยได้ซักพัก แต่ที่แน่ ๆ ไอ้คนทำผมท้องกอดผมไม่ยอมปล่อย วันนี้ผมจะเข้าไปฝากท้องครับเมื่อคืนไม่ได้ฝากเพราะว่าสามีผมลืมไปว่าผมเป็นต่างด้าว ไม่มีบัตรอะไรสักอย่างวันนี้ผมมาเลยทำเอกสารปลอมแปลงให้ทันตอนเย็นเพื่อไปฝากท้องให้เป็นเรื่องเป็นราว
ผมที่ว่าง ๆ นั่งๆ นอน ๆ อยู่ในห้องทำงานที่แปรสภาพคล้ายห้องนอนเพื่อผมไปแล้วครึ่งหนึ่งอย่างปลง ๆ ออกมาข้างนอกทั้งทีจะให้ผมอยู่นิ่ง ๆ ก็ใช่ที่ผมเลยออกมาเดินโฉบแถวโรงเรือนแห่งนี้ ผมไม่ได้แอบมาคนเดียวนะครับ มีผู้ชายล้ำ ๆ หน้าตาเหมือนพวกออกคุกมาใหม่ ๆ สามสี่คนเดินตามหลังผมอยู่ไม่ไกล อามรมณ์เจ้าพ่อเก็บเงินไถแม่ค้าตามแผงตลาดสด
ผมถามหมอตอนอยู่โรงพยาบาลว่าการท้องแฝดเป็นเรื่องแปลกมากเลยหรอ แล้วผมก็ได้คำตอบที่เหมาะสมกับใบหน้าอันอบอุ่นไม่กวนตีนเหมือนไอ้หมอหน้าเหียกที่ชอบมาตรวจผมว่า คนไทยในยุก 3000 ที่ผมอยู่ส่วนมากเป็นเลือดผสมเอเชีย ก็อย่างที่รู้ ๆ พวกไทยแท้ ไทยไม่แท้นั้นแหละครับ การที่ครอบครัวไทยไม่แท้แต่งงานกันเองมีโอกาสท้องยากมาก หรือท้องแล้วอาจจะแท้งในระยะ 1-2 เดือนเป็นอย่างมาก โชคดีหน่อยก็อยู่รอดในท้องแม่ได้
หาแม่ที่รู้ว่าเป็นไทยไม่แท้แล้วมีเงินหน่อยก็จะพยายามซื้อเลือดพวกที่มีสายเลือดเข้มข้นกว่ามาถ่ายให้กับร่างกาย เพื่อลูกที่อยู่ในท้องจะได้แข็งแรง...ฟังอย่างนี้แล้วน่าสงสารใช่ไหมครับ พอมาถึงกรณีของผมที่ดอดปุ๊ปเชื้อพ่อมันวิ่งมาผมสมกับไข่หรืออันฑะไม่รู้ มาผสมกันปกติการมีลูกก็ยากอยู่แล้วแต่ผมกลับท้องแฝดมาอีก ถ้าเป็นบ้านเราก็คงโดนขอหวยแหละครับ
ข่าวของผมท้องแฝดแพร่ไปอย่างรวดเร็วไปพร้อมๆ กับข่าวว่าผมมีเลือดไทยแท้ที่เข้มข้นเหมือนบรรพบุรุษทำให้นักข่าวอยากให้ผมพิสูจน์เลือดว่าจริงหรือเปล่า ว่าไงนะครับ...อ๋อ..เรื่องฟิล์มกับพี่แอนนี่นะหรอครับ ผมไม่รู้ข่าวพึ่งมารู้กับพวกคุณนี้แหละ ผมก็อยากจะตรวจเลือดลูกของผมเหมือนกันครับว่าเป็นลูกที่เกิดจากอสุจิของผมมันวนไปผสมกับไข่ของผมเอง หรือว่าเป็นอสุจิของพี่ทรีรอไว้คลอดได้ 3 เดือน แล้วผมจะเข้าไปตรวจเลือดแล้วกันครับ 555+ เกาะกระแส
กลับมาเข้าเรื่องของผมกันต่อ ผมเข้ามาในโรงเรือนกับพวกพี่หน้าเหี้ยมไม่นานก็เจอลุงคนที่ดูแลโรงเรือนนี้ คุยกันไปคุยกันมาถึงรู้ว่าลุงเค้าเป็นหัวหน้าทีมวิจัยชื่อเซตรี ลุงเค้าพาผมเดินเข้าไปทางด้านใกล้ๆ ห้องทำงานในโรงเรือน ลุงเค้าบอกว่าอยากให้ผมดูต้นไม่ต้นนี้สักหน่อยพอผมเห็นมันน้ำลายจะใหลให้ได้ กระท้อนลูกใหญ่ ๆ เหลืองสวยเชียวครับน่าเอามาจับแช่อิ่ม หรือลอยแก้ว ด้วยเหตุนั้นลุงอีกคนจึงโดนลุงเซทรีใช้ให้ปีนไปเก็บกระท้อนให้ผมกิน
“ขอบคุณครับ... รักลุงตรีที่สู๊ด!” ผมไหว้ขอบคุณเมื่อลุงนำถาดกระท้อง3 -4 ลูกมาให้ผม
“นายใหญ่จะเอาไปทำอะไรหรอครับ” ผมหันไปมองลุงตรี อย่าบอกว่าลุงยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร หรือว่าจะจริง
“ลุงตรี....ลุงว่าต้นที่ลุงพาผมมามันเป็นต้นอะไร” ผมชี้ไปที่ต้นกระท้อนใหญ่ ลุงตรียิ้มให้ผมแล้วบอกว่า
“ต้นสูงใบเลี้ยงเดี่ยว สายพันธุ์เอเชียเขตร้อน รหัส ค ๐๒๕๔๒ ครับ”
“นั้นชื่อของมันหรอลุง” ผมเดินไปอย่างโง่ ๆ เงยหน้าดูป้ายที่กันคนโง่ถามที่ติดไว้กับลำต้น อ่านอย่างปลง ๆ งี่เด็กไทยไม่ต้องจำรหัสต้นไม่พวกนี้กันจนต้องไปสอบเอ็นเข้ามหาลัยรึไงวะ
“มันเป็นการเรียกสายพันธุ์ก่อนจะตั้งชื่อครับ ต้นนี้อยู่กับเรามานานแล้วตั้งแต่หัวหน้าวิจัย 3 รุ่นก่อน เคยมีคนทดลองกินเจ้าลูกพวกนี้จนท้องเสียกันมาแล้วนะครับ ผมไม่อยากให้นายใหญ่เสี่ยง”
“ฮ่า ๆ ท้องเสียเลยหรอ ก็สมควรหรอก ฮ่า ๆ” ผมเอาแต่หัวเราะจนท้องเต่งตึงไปหมด ถ้ากินตอนไม่แก่ หรือว่าเยอะมันก็สมควรท้องเสียแหละครับ และที่สำคัญห้ามกินน้ำเปล่าหลังจากกินกระท้อนเด็ดขาด
“ผมพูดเรื่องจริงนะครับ นั้นทำให้ทีมวิจัยรุ่นใหม่ ๆ ไม่ทำวิจัยต้นนี้ต่อเพราะกลัวติดเชื้อท้องร่วง”
“วะฮ่า ๆ ท้องเสียมันติดกันได้ที่ไหนละลู๊ง! ฮะ ๆ โอ้ย...ขำปวดท้อง” ผมค่อย ๆ นั่งลงพื้นถนนใกล้ ๆ อย่างหมดแรง ผมเห็นพวกพี่หน้าเหี้ยมเตรียมมาพยุงผม แต่ผมห้ามไว้ก่อน
“นายใหญ่เป็นอะไรมากไหมครับ” ลุงตรีเดินเข้ามาใกล้ๆ ผมอย่างเป็นห่วง ผมจะบอกว่าขำจนแน่นท้องก็อายปากเลยเรียกลุงให้มานั่งใกล้ๆ ผม แล้วก็กวักมือเรียกพี่เหี้ยมที่ถือกระท้อนให้มาเอาของผมมาคืนด่วน
“ลุงตรี...ไอ้ต้นนี้แถวบ้านผมเรียกว่า ‘ต้นกระท้อน’ ที่ลุงมีก็เป็นพันธ์หวาน ๆ หน่อย แล้วที่พวกทีมวิจัยท้องเสียก็เป็นสรรพคุณของผม คือ ช่วยให้ขับถ่าย แต่อย่ากินเยอะเท่านั้นเอง เวลากินก็เอาลูกที่มันดูเหลือง ๆ ไม่แข็งมากอย่างลูกนี้ แล้วก็ทุบ!” ผมหยิบลูกกระท้อนมาลูกหนึ่ง แล้วก็ยกขึ้นทุบกับพื้นข้าง ๆ ตุ๊บตั๊บ ๆ จนมันอ่วมอรทัยไปทั้งลูก เอามาดม ๆ ก็หอมดี
“พอมันนิ่ม ๆ แบบนี้เรากินข้างในได้ ลุงมีมีดมะ”
“มีครับ ผมทำให้”
“ไม่ต้อง..ผมทำเอง” ผมหยิบมีดพกเล็ก ๆ ของลุงมาผ่าออกเห็นเนื้อด้านในกับเม็ดขาว ๆ แล้วน้ำลายไหล คิดถึงน้ำปลาเอามาจิ้มน่าอร่อย
“เปลือกเราก็ปลอกออก เม็ดของมันกินไม่ได้นะลุงแต่ดูด ๆ เอาเนื้อกินได้ เนื้อมันจริง ๆ คือสีส้ม ๆ น้ำตาลๆ นี้แหละ....ลุงกินไหม” ผมปลอกเสร็จซีกเดียวก็เข้าปากเห็นแก่ตัวไม่ปลอกให้ลุงตรีด้วย กินแล้วน้ำลายมันพุ่งปรี๊ด ๆ จริง ๆ
“เป็นไงบ้างครับ” ลุงตรีปลอกส่วนของตัวเองแต่ยังไม่กล้าเอาเข้าปากเหมือนผม
“อุงอินเอย อะอ่อย” ผมที่กำลังเคี้ยวเม็ดมันอยู่พูดค้อนข้างลำบากกาย แต่อร่อยใจครับ ผมสังเกตเห็นลุงตรีกัดกินน้อย ๆ หน้าเบ้ ๆ คงเพราะความเปรี้ยว แล้วไม่นานก็กัดคำต่อไป
“เอ็นไออุง อีอะอ่าว”
“เปรี้ยว ๆ หวาน ๆ ดีครับ แล้วเราจะไม่ท้องเสียหรอครับนายใหญ่” ขออนุญาตคายเม็ดออกก่อนครับ เมื่อยแก้ม
“กินมาก ๆ อาจจะท้องเสียได้เหมือนกัน ลุงอย่าเลิกวิจัยต้นนี้ต่อเลยตอนผมเรียนเห็นบอกว่าต้านมะเร็งได้ด้วยนะ”
“อะไรคือมะเร็งครับนายใหญ่” ออนะ...แล้วไอ้ผมจะอธิบายไอ้โรคมะเร็งยังไงดี
“น่าลุง วิจัยต่อเถอะผมจะไปแล้ว” ผมลุกขึ้นอย่างลำบาก มีพี่เหี้ยมกับลุงตรีช่วยพยุงอยู่ใกล้ ๆ
“แล้วมาเที่ยวอีกนะครับนายใหญ่” ผมโบกมือลาแล้วออกรถกลับไปพร้อมกับพี่เหี้ยม ผมถูกพยุงลงรถด้วยแม่สาวที่เจอเมื่อวานนะครับ คนไหนหรอ..คนที่เชิดใส่ผมในห้องประชุมนะ เธอมารับผมลงรถด้วย
“รีบลงมาได้แล้ว ไม่รู้รึไงว่าทำให้คนอื่นเค้าวุ่นวาย...ฉันมาทำงานไม่ได้มาตามคนไร้สมอง” เจ้าคุณเธอพูด ๆ รดใส่หัวผมมือก็พยุงอยู่ พอพูดงี่ผมก็แกะมือเธอออก
“ป้า.... เมนส์ไม่มา หรือว่าผัวหายถึงได้มาว่าผมงี่ละ” เอาซี่... ผมนะเก่งกับหมา ด่าผู้หญิงประจำแค่นี้ต้องเจอ
“ไร้สกุลรุนชานติ ฉันไม่อยากเอาตัวมาลดต่ำกับแก ไอ้พวกกระหรี่!” คือ..ผมเข้าใจว่าพวกเธอคงไม่เข้าใจคำว่า โสเภณี จึงเลี่ยงมาให้คำว่ากระหรี่แทน
“ใครกระหรี่หะป้า พูดงี่ก็สวยเด้!” ผมพูดขึ้นแล้วพี่หน้าเหี้ยมก็กรูกันเข้ามา อย่ามาใกล้งานนี้ไอ้โฟมเองหงุดหงิดมาหลายวันแล้วขอสักที
“แกไงไอ้กระหรี่ นี้พวกเธอไม่รู้รึไงว่าไอ้นี้นะจริง ๆ เป็นกระหรี่ในห้องแดง พอดีอยากจับท่านประธานก็เลยทำเป็นท้อง” โอ้ยปรี๊ดครับปรี๊ด......
“อีป้าหน้าปลวก พูดให้ดี ๆ นะ ผมไปเป็นเมียน้อยพ่อป้ารึไงถึงได้มาว่าผมอย่างงี่”
“ไม่ต้องมาตีสองหน้า มีญาติแกมาติดต่อหาแกบอกว่าเป็นพ่อแกบ้าง เป็นแม่แกบ้าง หน้าตาแต่ละคนต่ำ ๆ ทั้งนั้น” ผมเริ่มรู้สึกว่าอีป้านี้คงมีปัญหาทางสังคมอ่อน ๆ คือป้าเค้าชอบย้ำไอ้คำว่าต่ำ หรือแบ่งชนชั้นอะไรประมาณนั้น อับประยศสุด ๆ โดนผู้หญิงด่ากระหรี่
“เหอะ! ที่ป้ามาว่าผมอย่างงี่..คงผิดหวังที่ไม่ได้เป็นเมียไอ้ผัวของผมละสิ ถึงได้มาเต้นแร้งเต้นกาหน้าด้านหน้าหาเป็นปูนงี่ ที่หน้าตาดีที่โปะเครื่องสำอางกี่ชั่วโมงละ หรือว่าทาหนา ๆ เอาไว้กันกระสุน”
“ไอ้กระหรี่ กรี๊ด!!!!!!!!!! ไอ้ต่ำ ไอ้สถุน ไอ้ ไอ้ ไอ้.....” ผมเห็นป้าเค้าเต้นอยู่อย่างนั้น ด่าผมได้แค่นี้หรอ คอยดูวิชาที่ผมเก็บมาจากเจ๊ของผม กับเพื่อนสาวแท้ของผมดีกว่า
“ด่าหมดแล้วใช่ไหม ผมจะสอนให้นะป้าเวลาจะด่าใครให้สะใจต้องด่าว่า อีดอกทอง อีแรด อีปลวก อีร่าน อีเหี้ย อีหน้าปลาบู่ชนเขื่อน อีหน้าเหียก อีกเสี้ยนตำเท้า อีเหาปลาฉลาม อียาน อะไรประมาณนี้ถึงจะเรียกว่าสะใจ”
“ไอ้กระหรี่พ่อแม่ไม่สั่งสอน” โหย..คำนี้มาจี๊ดอีกแล้วครับ
“ป้า....ผมไปด่าพ่อแม่ป้าตอนไหน ผมพูดอะไรเคยพาดพิงบุพการีหรือเปล่า เล่นอะไรก็ให้รู้เสียมั่งพ่อแม่เค้ามีไว้พูดเล่นหรออีดอก” อ่าว..หลุดด่าไปคำหนึ่ง
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด แก!”
“ทำไม....ครับ” ผมเชิดหน้าท้าฝ่ามือ มึงมาเลยมึงมา ป้าตบก่อนผมตะกระทืบเลย ไปโรงพักหวังว่ายังคงปรับ 500 บาทเหมือนเดิม มาเลยเล่นถึงพ่อเบิ้ม แม่จันทร์ ไอ้โฟมสู้ตาย ผมจะเหมือนผู้หญิงไปทุกวันแล้วแหะ
“หยุดเดี่ยวนี้นะ!” ผมยังคงยืนเชิดหน้าอยู่ที่เดิม ส่วนป้าดอกเค้าก็ยังคงมีจุดยืนของตัวเองเหมือนกัน พี่ทรีเดินมาแบบเสียงมาก่อนตัว ด้านหลังมีพี่เหี้ยมหนึ่งในสี่กุมารคงไปตามมา
“พี่ให้เบญจามารับโฟม ทำไมถึงมาชวนเค้าทะเลาะแบบนี้” ผมมองหน้าไอ้ผัวหน้าปลวกของผมอย่างเคือง ๆ
“ทำไมจะว่าไม่ได้ มันไม่ใช่แม่ผมซะหน่อยที่ต้องนับถือ”
“โฟม! แต่เบญจาอายุมากกว่าโฟมนะ” ผมมองหน้าไอ้ปลวกนี้อย่างไม่ลดละ เอาสิมึงอยากมีเรื่องกับกูก็จัดให้
“แล้วไง...จะแก่กว่านี้อีก 10 ปี แต่กูไม่อยากนับถือกูก็ไม่นับไม่ถือให้หนักหรอกโว้ย!” ผมเห็นดวงตาของไอ้ปลวกนี้แข็งกร้าวอย่างเห็นได้ชัด เอาสิมึง..
“ขอโทษเค้าซะ เค้าอุส่ามารับ” ผมยิ้มกับคำพูดออกแนวสั่งของไอ้ปลวกข้างหน้า
“เสือกมารับเอง ใครใช้..?”
“โฟม! พี่ชักจะเหลืออดกับโฟมแล้วนะ อย่าเห็นว่าพี่ยกย่องให้เป็นนายใหญ่แล้วมาทำตัวเบ่งที่นี้” ไอ้ปลวกนี้ตะคอกใส่ผม
“เพี๊ยะ! กูจะบอกให้....แม้แต่มึงก็ไม่มีสิทธิมาสั่งกู อย่าว่าแต่ใครเลยถ้ากูคิดว่าไม่ผิดกูก็จะเชื่อตัวเอง...กูเคยขอร้องให้มึงมายกย่องกูไหม กูเคยอ้อนวอนให้กูอยู่กับมึงไหม กูเคยไปข่มขื่นมึงรึเปล่า บอกกูมาเซ่!”
ผมรู้ว่าที่ผมตบมันก็แรงไม่น้อย ก็ผมเป็นผู้ชายนี้ไม่ใช่ผู้หญิงจะได้ตบดัดจริตไปเท่านั้นแล้วเอาน้ำตามาเป็นออฟชั่นเสริม ส่วนผมนะหรอ...ตบแล้วสะใจ น้ำตาไม่มีสักหยดทุกคนแถวนั้นนิ่งกันหมดรวมไอ้เวรนั้นด้วย ผมเดินไปเรื่อย ๆ ไม่ได้ดูว่าผมไปที่ไหน ก็ที่ไหน ๆ ก็เหมือนกันหมด เดินไปเรื่อย ๆ จนเข้ามาโรงเรือนที่ลึกสักหน่อย ผมแอบเข้าไปด้านในด้วยการป้องกันไม่หนาแน่นอาจเป็นเพราะนี้ก็เที่ยงแล้วทีมวิจัยคงไปทานข้าวกันหมด
โรงเรือนที่นี้มีแต่ดอกไม้ทั้งนั้นครับ ปลูกเป็นแปลงยาวสุดลูกหูลูกตาอยู่หลายพันธ์ ผมเห็นภาพที่ดูสวยหน่อยก็ค่อยสบายใจขึ้น ผมเดินไประหว่างแปลกดอกทานตะวัน กับดอกอะไรสักอย่างสีชมพูก็ดูสวยดีครับ ผมเดินไปเรื่อย ๆ ในใจก็คิด คิดว่าผมไม่ผิด
ทำไมมันไม่หัดถามผมก่อนว่าเป็นอะไร ทำไมต้องเอาอายุมาวัดว่าใครผิดใครถูก ถ้าผู้ใหญ่มันเหี้ยใส่เด็กก็ต้องทนงั้นหรอ งั้นประเทศไทยที่ผมอยู่กับที่นี้ก็คงไม่ต่างกัน อีกหน่อยที่นี้ก็คงมีครูลวนลามเด็ก พ่อข่มขืนลูก เด็กอนุบาล 3 ลวงเด็ก ม.6 ไปข่มขืน
ผมเดินพ้นแปลงทานตะวันก็มาเจอดอกสีเหลืองดอกเล็ก ๆ ปลูกกว้างเต็มไปหมดต่อจากต้นตานตะวัน ผมว่าน่าจะปลูกต้นเตี้ย ๆ ไว้ด้านหน้าจะได้เห็นต้นเล็ก ๆ พวกนี้ด้วย ถ้าเอาไว้ตรงกลางอย่างงี่คนอื่นมาดูก็คงคิดว่าโรงเรือนนี้มีแต่ดอกทานตะวันแหง๋ม
ผมนั่งลงแถวนั้นแล้วมองออกไปรอบ ๆ มีแต่ดอกไม่กับสีสันสดสวย กลิ่นดอกไม่มีกลิ่นบ้างไม่มีกลิ่นบ้างลอยมาอ่อน ๆ กับอุณภูมิอุ่น ๆ ผมลูบดอกไม้สีเหลืองเล็ก ๆ นั้นอย่างเหม่อลอย ทำไมป้าคนนั้นถึงตั้งป้อมกับผมด้วย ผมก็ว่าผมไม่ได้ไปทำอะไรเค้านะแล้วทำไมต้องทำกับผมแบบนี้ แม่ผมก็ไม่ได้เล่นชู้กับใครสบายใจได้ว่าพ่อป้ากับแม่ผมไม่ได้ลักลอบกันแน่ ๆ แล้วป้าเค้าโกรธอะไร
หรือว่า...ผมแย่งผัวป้าเค้า ก็คงอย่างนั้น ก็ดูจากสถานการณ์ว่าผมเป็นกระหรี่ด้วยสายตาเคียดแค้น แถมมองผมเหมือนสัตว์ชั้นต่ำ คงคิดว่าผมต่ำสะเต็มประดา ชื่อเบญจาเป็นชื่อไทยแท้ คงมาจากผู้ดีเก่าอะไรเทือกนั้นละมั่ง คงกะจะล่อไอ้เวรนั้นให้เป็นผัว จะได้เป็นคุณนายไปทั้งชาติ แต่ดันเจอผมเสียก่อนแถมท้องก่อนแต่งอีกก็เลยรู้สึกเสียหน้า ไม่ก็แค้นจับใจ ผมอยากกลับบ้าน...
ผมไม่ได้หมายถึงบ้านไอ้เหี้ยนั้นนะครับ ผมหมายถึงกลับบ้านเมืองไทยกันแสนวุ่นวายกว่าที่นี้ล้านเท่า รถติดกว่าที่นี้ล้านล้านเท่า มีคนอิจฉาริษยากว่านี้ทุกมุม หน้าหนังสือพิมพ์มีแต่ข่าวบัดซบทุกวัน แต่ที่นั้นก็มีพ่อเบิ้มลุงขายพิซซ่าออร่ากล้วยแขก กับแม่จันทร์แรมคนสวยนั่งคอยจับผิดพ่อเม้มตังค์ มีพี่ฟาร์มทนายความแสนเก่งเป็นที่เชิดหน้าชูตาคุณนายจันทร์ มีเจ๊ฟางสาวห้าวขาโหดทิ้งผู้ชายเพราะรู้ว่าท้องมาก่อน แล้วก็ไอ้เพื่อนที่มหาลัยอีกหลายคน
คิดถึงก๊อกน้ำ.....หลังเล่นบาส คิดถึงกระดาน..รูปวาที่เคยถือ คิดถึงสมุดรายงาน...คำปรึกษาหารือ คิดถึงขนมหน้ามหาลัยที่เคยซื้อ...ทุกวัน กับเวลาที่ไม่กี่วัน ทำให้เรื่องราวที่เกิดขึ้น...เหมือนฝัน เมื่อวานยังหยอกล้อเล่นหัวกัน เหมือนความทรงจำที่ผ่านมานั้น...ยังไม่นาน ผมร้องไห้กับดอกไม้ไส้เดือน แต่เวลาเดียวกันผมก็ยิ้มกับลูกในท้องทั้งสองคน
ผมเลิกเสื้อขึ้นดูท้องของผม มือก็ลูบเค้าสองคนเหมือนปลอบ ๆ วันนี้ลูกผมน่ารักทั้งสองคนสงสัยเห็นผมเหนื่อยๆ เลยไม่ดื้ออ้วกแตกเป็นลม หรือบ่นหิวเลยแม้แต่น้อย ผมลุกขึ้นเช็ดน้ำตาแล้วจัดเสื้อให้เข้าที่ ถอดเสื้อมาผูกไว้กับท้องเหมือนผ้ากันเปื้อนกันลูกหนาว เดินลัดเลาะไปเจอดอกดาวเรืองก็นึกถึงตากับยาย ผมเด็ดดอกดาวเรืองดอกใหญ่ ๆ หอบไว้กับชายเสื้อกันหนาว มันก็สนุกดีครับบางทีก็กลัวเจอพวกหนอนเหมือนกัน ผมเก็บมาเยอะมากเลย ก็กะเอาไว้ว่าลงร้อยได้สองพวงใหญ่ ๆ แต่ผมก็คิดขึ้นได้ ศาลตากับยายอยู่ในบ้านไอ้เวรนั้นแล้วผมจะเอาไปฝากตากับยายได้ยังไง
ผมเดินไปทรุดตัวพิงกับต้นอะไรสักอย่างไม่มีใบเลยแม้แต่น้อย มีแต่ดอกสีเหลืองเต็มต้นคล้ายเอาดอกต้อยติ่งมาย้อมให้เป็นสีเหลืองแล้วจัดเป็นช่อ ๆ ไปผูกไว้กับต้น ผมนั่งเหยียดขามองดอกดาวเรืองที่ผมเด็ดมากับตัก หลังของผมล้ามากขึ้นกว่าเดิมคงเพราะผมเดินมากกว่าทุกวันผมพิงต้นประหลาดนั้นมองแมกไม้นาน ๆ พันธ์อยากเพลิน ๆ เหนื่อยนะครับ...ชีวิตผม ผมแสบตาจังของพักสายตาซักหน่อยแล้วผมจะหาทางออกให้กับลูกแล้วก็ผมเอง
ผมหลับไปนานพอควรหลังจากดูนาฬิกาแล้วว่ามันเกือบจะ 2 ทุ่มครึ่งเข้าไปแล้ว แต่ในโรงเรือนยังคงสว่างเหมือนกลางวันตอน 9 โมงเช้าไม่มีผิด ผมเก็บดอกดวงเรืองให้เขากองกับตักผม แล้วแกะเสื้อที่ผู้กับเอวมาสวม กระชัดให้แน่นหนาแล้วหยิบดอกดาวเรืองที่เริ่มเหี่ยวมาสองดอก ขอโทษพวกดอกที่ไม่ได้ไปต่อเราคงมาด้วยกันไกลเพียงเท่านี้ ผมเดินลัดเลาะแปลงมุ่งไปทางดอกทานตะวันเพราะจำได้ว่าประตูโรงเรือนอยู่ติดกับแปลงทานตะวัน
ประตูไม่ได้ล็อคไว้เหมือนกับมีใครช่วยผมให้ผมเดินทางปลอดภัย ผมหมุนดอกดาวเรืองในมือเล่นไปเรื่อย ๆ หันซ้ายขวาว่าจะไปทางไหนต่อ จะออกไปด้านนอกบริเวรบริษัทหรือว่ากลับไปอยู่โรงเรือนดอกไม้อย่างน้อยมันก็อบอุ่นดี จะให้ดีก็ต้องไปโรงเรือนพิเศษ ผมอ่านป้ายที่บอกถึงตำแหน่งโรงเรือนแล้วก็ออกเดินทางไปทันที อากาศช่วงนี้ก็เย็นอย่างนี้ปกติแต่ที่ผมหนาวเพราะว่าผมไม่ได้มีเสื้อหนาๆ อย่าที่เคยสวมอยู่ ตอนนี้ก็มีแต่เสื้อกันหนาวแค่นี้ก็ดีแล้ว
ต่างด้าวไม่พอยังท้องอีกรันทดสุด ๆ ผมเดินเงยหน้ามองดวงจันทร์ไปเรื่อย ๆ มือข้างหนึ่งซุกเข้าไปในกระเป๋าเสื้อลูบท้องของผมอยู่ อีกมือยังคงถือดอกดาวเรืองเอาให้ตากับยาย อีกนิดเดียวโฟมมึงก็จะถึงแล้ว อีกนิดเดียว ผมปวดล้าไปทั้งตัวหนาวสั่นจนแทบก้าวขาไม่ออก ผมเห็นเงาต้นมะพร้าวไม่ห่างกับผมมากนัก ผมค่อย ๆ ก้าวเข้าไปในโรงเรือนก็รู้สึกอุ่นขึ้นน้ำตาผมไหลออกมาอย่างเหลืออด
ผมก็แบบนี้แหละร้อง ๆ หยุด ๆ เป็นปกติ ผมเดินเข้าไปยังต้นกระท้อนที่จำได้ว่ามีห้องทำงานของลุงเซตรีอยู่ ผมหิวน้ำ....ผมเหนื่อย...ผมง่วงนอน...ผมคิดถึงแม่...คิดถึงพ่อ..คิดถึงตากับยาย..แล้วก็ห่วงลูกในท้องของผม ผมเดินจนมาถึงห้องเหมือนตู้คอนเทรนเนอร์เอาไว้สำหรับทีมวิจัยทำงาน ด้านในมีแต่โต๊ะแล้วก็โซฟา..เอ๊ะ! มีกาน้ำร้อนด้วยหวานไอ้โฟมละ
ผมมองกาน้ำร้อนกับอะไรสักอย่างเต็มโต๊ะไปหมด ไม่กล้าเสี่ยงกินเหมือนที่พวกเค้าไม่กล้ากินของที่ผมรู้ว่ากินได้นั้นแหละครับ ผมเลยกินน้ำอุ่น ๆ ประทังท้องไปก่อน แล้วเข้ามาทรุดตัวนั่งโซฟา อยู่ ๆ แสงด้านนอกห้องก็หรี่ลงผมเห็นแบบนั้นก็ไม่รู้ทำยังไงจึงรีบไปปิดประตูห้อง แล้วหันมาคว้าหมอนพิงมานอนราบกับพื้นแถวนั้น ผมไม่อยากนอนโซฟาเพราะมันทั้งเล็กแล้วก็แคบ ถ้าผมหลับลึกกลิ้งลงมาไม่ใช่แค่ผมที่จะเจ็บ..ลูกในท้องก็เจ็บด้วย
หนังท้องของผมกระตุกเป็นพัก ๆ ทำให้ผมนิ้วหน้า ค่อยข้างมันใจว่าลูกผมไม่ได้ดิ้นแน่ ๆ แต่ไม่รู้ว่าผมเป็นอะไร ไอ้ผมเองก็เป็นท้องแรกจะปรึกษาใครก็ลำบาก จึงได้แต่เอนหลังนอนหลับไป
“หลับนะลูก.....”
*****
มาแก้ไขคำผิดคะ ถ้าเจออีกแจ้งจับได้เลยคะ