ผมนั่ง ๆ นอน ๆ คิดหาวิธีเปลี่ยนใจให้ตากับยายย้อนอนาคตไปหาอดีตให้ผม ทุกเช้าตากับยายจะเข้ามาคุยแล้วอ้างเหตุผลที่ไม่สามารถส่งผมกลับไปอดีตได้คือ ‘ผมท้อง’ ผมใช้สมองอันชานฉลาดของผมคิดแล้วคิดอีกมาได้สองสามวัน ถ้าจะนับให้ดีก็ตั้งแต่รู้ว่าผมท้องก็ผ่านมาแล้ว 15 วัน
แล้ววันนี้ผมก็ตัดสินใจเสียที ถ้าไม่ตัดสินใจอะไรบางอย่างผมคงไม่ได้กลับไปอดีตที่จากมาแน่ ๆ ผมถลกเสื้อนอนขึ้นดูหน้ากระจก พุงของผมโตขึ้นมาเล็กน้อยหากไม่ตะแคงดูก็เหมือนตอนผมยัดข้าวไป 3 จานเฉย ๆ แต่ไอ้ที่ย้ำผมตลอดเวลาว่าผมไม่ได้อ้วน แต่ผมกำลังมีลูกทำให้ผมต้องหาทางกำจัดลูกตัวเอง ใช่ว่าผมใจร้ายแต่คุณก็ต้องเข้าใจว่าผมอยากกลับไปที่ ๆ ผมอยู่จริง ๆ
ผมเดินลงมาชั้นล้างพร้อมกับเจ้าหมาไฮโลเช่นทุกวัน ขบวนแห่บรรดาคนใช้ตั้งขบวนรอผมไปกราบไหว้ศาลตายายเช่นทุกวันตั้งแต่ผมมา ผมเดินมุ่งหน้าไปที่ศาลแถมวันนี้จ้องตากับยายด้วยสายตาผู้ด้อยโอกาสธูปถูกส่งให้กับมือของผม
“ตาจ๋า ยายจ๋า ถ้าโฟมกลับไปเหมือนตอนที่โฟมมาตากับยายก็ส่งโฟมกลับได้ใช่ไหมจ๊ะ ถ้าอย่างนั้นโฟมจะทำให้โฟมเหมือนเดิมตากับยายรอไปส่งโฟมได้เลย” ผมพูดแค่นั้นก็ปักธูปไปกระถางทองแดง แต่ปักยังไงก้านธูปก็ไม่ยอมจมลงบนทรายในกระถาง ผมรู้ว่าตากับยายไม่เห็นด้วยกับผม แต่ชีวิตผม..ผมก็อยากเลือกเอง
วันนี้ทั้งวันผมเอาแต่วิ่งออกกำลังกาย ผมอยากออกแรงมาก ๆ อะไรที่เค้าห้ามในหนังสือไอ้กระผมลงทุนทำหมด
ห้ามทำงานหนัก........................ วิ่งกับไอ้ไฮโลแม่งทั้งวัน
กินอาหารที่มีประโยชน์.......................... กินอาหารบ้านมันก็ดูไม่มีประโยชน์อยู่แล้วไม่ต้องดิ้นรนอะไรมาก
ห้ามดื่มสุรา..... อันนี้หายาก ไม่หามากินดีกว่า
สุขภาพจิตที่ดี....ผมอารมณ์ไม่ได้อยู่แล้วเพราะงั้นหายห่วง
“นายท่านค๊า! อย่าวิ่งคะอย่าวิ่ง” ป้านองบีวิ่งตามผมกับไฮโลมาติด ๆ พร้อมขี้ปลาทอง
“ไม่เป็นไรหรอกป้า ออกกำลังกายเฉย ๆ” ผมวิ่งวนรอบ ๆ น้ำพุป้าเค้ากับขี้ปลาทองก็วิ่งตาม
“ไม่ได้นะคะ เดี่ยวจะเป็นอันตรายกับคุณหนูในท้อง” อันนี้แหละจุดประสงค์ ผมวิ่งไปไม่ถึง 5 รอบ ผมก็หมดแรงนั่งหอบแห๊ก ๆ แผนออกกำลังกายหักโหมของไม่เหมาะกับผม
แผนสอง...ผมหาน้ำตามพื้นหินอ่อนขัดมัน ดูทำไมนะหรอ...คุณไม่เคยเห็นนางเอกในหนังที่ลื้นเพราะเหยียบน้ำแล้ว พอผมลื้นตัวผมก็จะกระแทกกับพื้น แล้วผมก็จะแท้ง
ผมก้มมองพื้นเหมือนหาเศษเหรียญ มองอยู่นานก็ไม่เห็นจะมีน้ำสักดวงที่พื้น แม้แต่ห้องน้ำพื้นยังแห้งสนิทชนิดที่ราไม่สามารถเพาะเชื้อได้ ผมแกล้งกินน้ำแล้วทำน้ำหก เท้าผมยังไม่ทันไปเหยียบทักทายกับพื้นพวกสาวใช้ขี้ปลาทองก็กรูมาเช็ดสะแห้งสนิท สงสัยแผนสองก็คงไม่เข้าท่าคงต้องใช้แผนสาม
ท่านผู้อ่านครับ...นาทีระทึกใจกำลังจะมาถึง ทำไมนะหรอครับ...ผมกำลังจะเล่นแสตนอินอยู่ ผมชะโงกหน้ามองดูบันไดตั้งแต่ชั้นบนสุดที่ผมยืนอยู่ ไปจนถึงพื้นถ้าผมตกบันไดไม่ใช่แค่ผมจะแท้งอย่างเดียว ผมคงจะหัวแตก แขนหัก ดั้งเดาะ คอเคล็ด เจ็บขา ม้ามแตก อะไรประมาณนั้น แต่ไอ้โฟมตั้งใจจะทำอะไรแล้วไม่คิดจะหันหลังกลับ
ผมสูดหายใจเข้าลึกลื๊ก....... ค่อย ๆ หลับตาแล้วก้าวเท้าไปข้างหน้า เดี่ยวก่อนแล้วผมจะลงท่าธรรมดามันก็เหมือนเดินลงบันไดปกตินะสิ คิดได้ดังนั้นผมก็เลยนอนราบกับพื้น...กลิ้งลงน่าจะดีกว่า จะหันหลังกลิ้งหรือว่า เอาหน้าออกดีจะได้บังคับทิศทางถูก...คิดสาระตะอยู่นานไอ้แผนสามคงไม่เข้าท่า กลัวผมจะตายห่าก่อนกลับไปอดีตจริง ๆ ผมเลยเดินลงบันไดอย่างปลง ๆ
แผนสุดท้ายคือแผนตกต้นไม้....ไอ้กระผมเดินออกไปยังหลังบ้าน กวาดตาดูสวนหย่อมสุดอลังการที่มีไม้ดอกสวย ๆ เต็มไปหมด บางต้นไม่มีใบเลยสักกะใบแต่ดอกออกสะเต็มต้น ผมเดินเลาะไปให้ไกลจากคนสวนแล้วก็ขี้ปลาทองสองสามคน ผมขมวดคิ้วเมื่อเห็นคนสวนคนหนึ่งกำลังจะดึงต้นอัญชันทิ้ง
“เดี่ยวครับ เดี๊ยว! อย่าพึ่งดึง” ผมวิ่งไปห้ามลุงคนสวนอย่างเร็ว ดีที่ผมมาทันไอ้ต้นอัญชันเลยลอดชีวิต
“นายใหญ่มีอะไรให้ผมรับใช้ครับ” ผมจะบอกว่าไม่ต้องรับใช้ กำลังหาทางปีนต้นไม่ก็กระไรอยู่ก็เลยกวักมือเรียกสาวใช้มาใกล้ ๆ
“ลุง..ทีหลังเห็นต้นนี้ ดอกสีนี้ไม่ต้องถอนทิ้งนะ เค้าเรียกต้นอัญชันดอกมันเอามาทำสีผสมอาหารได้” ผมเก็บดอกอัญชันใส่ในชายเสื้อ แล้วค่อยให้สาวใช้อีกที
“แต่มันอาจเป็นอันตรายได้นะครับ ไม่รู้มีสารตกค้างรึเปล่า”
“แล้วมันขึ้นตรงนี้นานรึยังละลุง” ผมดูรอบ ๆ เห็นมันก็ต้นไม่ใหญ่มาก มันพึ่งพันกับเหล็กดัดของกุหลาบข้าง ๆ
“ได้สักพักแล้วละครับ ผมจะดึงหลายทีก็ไม่ได้ดึงสักที” ลุงคนสวนยังคงเดินตามผมไปเรื่อย ๆ ผมก็ดูไปเรื่อย ๆ เหมือนกัน
“งั้นมันก็ไม่สารตกค้างหรอกถ้าไม่มีใครเอาสารพิษไปรดมัน หรือพ้นยาอะไรกับมัน ขอที่มาจากธรรมชาติเราล้างให้สะอาดก่อนกินก็ทานได้” ผมพูดไปก็เข้าไปในเรือนเพาะชำ สาวใช้ขี้ปลาทองก็ยังเดินตามผมมาอยู่
“แต่ประเทศเราไม่เคยมีคนกินมันนะครับ” ลุงคนสวนยังคงพยายามอธิบายถึงว่า ธรรมชาติจะสร้างสีสด ๆ มาล่อให้แมงมาดอมดมแล้วจะสังหารโหดมันทันที ฉะนั้นพืชสีสดส่วนมากจะมีพิษ แต่ผมเชื่อโคตรพ่อโคตรแม่ผมมากกว่า ผมกินอัญชันผสมในบัวลอยไข่หวานออกบ่อยไม่เห็นตายเลย
“ไม่เป็นไรจริงๆ ลุงก็ทำตามที่ผมสั่งเหอะ” ผมเดินเข้ามาในโรงเพาะชำ เห็นสตอเบอรี่เพื่อนสนิทของผมออกลูกแดงสดสวยจนผมกลืนน้ำลายที่มันสอขึ้นมาในปาก ผมใช้มือเด็ดมันขึ้นมาเช็ดเสื้อสองสามทีก็เอาเข้าปากที่อ้ากว้าง..
“ไม่ได้นะคะนายใหญ่! นั้นกินไม่ได้” สตอเบอรี่ที่กำลังจะเข้าปากผมจนต้องหยุดเพราะโดนฉุดกำลังสองจากสองนางบ้านนา แถมหันไปมองลุงคนสวนข้าง ๆ ยังตาเหลือกสะน่าตกใจอีก
“ทำไมกินไม่ได้ ไอ้นี้กินได้” ผมชี้นิ้วไปที่ไอ้ลูกแดง ๆ ในมือให้พวกเจ้าหล่อนดู
“มันเป็นผลไม้ป่านะคะ นายท่านเก็บมาจากป่าแล้วเอามาเพาะพันธ์ในนี้เพราะเห็นว่าสวยดี แต่ไม่มีใครกล้ากินเพราะกลัวว่ากินแล้วจะตาย” ปลงตกครับไอ้โฟม อัญชันก็ไม่รู้จัก สตอเบอรี่ก็เข้าใจผิดว่าเป็นผลไม้ป่า เอามาปลูกแต่เสือกห้ามกิน เอามาดูเล่น...ชีวิต
“ลุงคนสวนมานี้สิ” ผมกวักลุงที่ยืนค้างอยู่นาน ลุงเค้าเดินมาใกล้ ๆ ผม
“ลุงไปเอาต้นนี้มาเยอะ เลยนะ แล้วก็แยกกอเล็ก ๆ ในกระถางนี้มาปลูกแยก รอมันต้นใหญ่ ค่อยลงแปลงนะ” ผมชี้ไปพูดไป แถมเด็ดกอต้นสตอเบอรี่ให้ลุงดู ลุงก็พยักหน้าหงึกหงักตามผม พอบอกไปหมดแล้ว ผมก็เด็ดสตอเบอรี่ที่มีสีแดงสุกให้แม่บ้านอีกคนถือตามผมกลับเข้าบ้านไป
ผมเข้าไปในครัวเอาสตอเบอรี่ที่เก็บมาแช่น้ำล้างให้สะอาด พักทิ้งไว้ให้สะเด็ดน้ำ แล้วหันมาล้างอัญชันต่อ ผมก็เพลินกับการเล่นทอดลองวิทยาศาสตร์สมัย ม.2 อีกครั้ง ผมเด็ดใบเลี้ยงดอกอัญชันออก แล้วส่งดอกอัญชันให้พ่อครัวปั่นระเอียด ผมขอผ้าขาวบางมาคั้นน้ำที่ปั้นออกมา ได้น้ำสีน้ำเงินม่วงสด... น้ำตาลต้มที่ผมให้ป้ายองบีต้มรอตอนปั้นคั้นน้ำก็เสร็จพอดี ผมสั่งให้พ่อครัวเอาหม้อน้ำหวานไปทำให้เย็น..ไม่นานหม้อน้ำหวานก็เย็นสนิท ผมตักน้ำหวานใส่เหยือกแก้วใส่พอประมาณ แล้วเต็มสีดอกอัญชันเข้าไปค้นให้เขากัน
ผมส่งสัญญาณให้เอาน้ำแข็งเปล่าใส่แก้วมาให้ 1 แก้ว แก้วเดียวพอครับจะให้พวกนี้ชิมเฉย ๆ หนาวจะตายอยู่ละจะมาตั้งหน้าตั้งตากินน้ำเย็น ๆ ก็ใช่ที่ ผมตักน้ำสีน้ำเงินลงในแก้ว จิบชิมก็เข้าท่าแล้วส่งให้ป้านองบี
“ป้านองบีลองเลย อร่อย” บรรดาสาวใช้ฉุดให้ป้านองบีอย่ากินน้ำกัญชา เอ๊ย! อัญชันในมือผมคงไม่มั่นใจในฝีมือ
“กินได้จริง ๆ หรอคะ” ป้าถามแต่ผมก็พยักหน้าให้ ป้ายกแก้วขึ้นจิบอย่างหวาด ๆ แต่พอจิบไปคำ อีกคำก็ตามมา
“หอมดีนะคะนายใหญ่” ป้านองบีดมน้ำอัญชันในมือ ตาโต
“เดี่ยวผมทำอะไรให้ดู” ผมรับแก้วในมือป้ามาวางที่โต๊ะ แล้วบีบน้ำมะนาวลงไปในแก้ว คน ๆไปจากน้ำสีน้ำเงินก็กลายเป็นสีแดงคล้ำ เรียกเสียฮือฮามาก 555+ ดูเป็นเดวิด คอปเปอร์ฟิวไงงั้น
“คราวนี้มันจะเปรี้ยวๆ หวาน ๆ หน่อย ป้านองปีก็แจกคนในบ้านกินแล้วกัน อ้อ...อย่าลืมให้ลุงคนสวนด้วยนะ ส่วนผมไปนอนเล่นข้าง ๆ เตาผิงนี้แหละ” ผมถือจานสตอเบอรี่ออกไปไม่ทันพ้นประตู บรรดาพ่อครัว กับเชฟก็กรูมาดูผลงานระดับหมึกแดงของผม
ผมเดินไปตรงมุมโปรดที่สุดในบ้านหลังนี้ มันมีความไฮโซแบบหนังฝรั่งที่ครั้งหนึ่งผมเลยหัวเราะเพราะบ้านเพื่อนผมมีมันอยู่ มันคือเตาผิงครับ...ก็คิดดูสิครับประเทศไทยปีที่ผมจากมาร้อนตับแตก จะมีเตาผิงไว้ปิ้งหมูกระทะหรืออย่างไร แต่ตอนนี้มันเป็นสิ่งที่ผมคิดว่าสมควรจะมีในเมืองไทยในตอนนี้
ขออธิบายหน่อยนะครับว่าไอ้ที่ที่ผมว่ามันเป็นยังไง มันก็ปกติเหมือนบ้านฝรั่ง ดีหน่อยที่พื้นหินอ่อนไอ้หื่นทรีมันสั่งพรหมขนสัตว์มาปู กลัวผมกลิ้งไปไหนจะเจอพื้นเย็น ๆ รอบ ๆ ถูกกั้นไปดูโซฟาสีเทาตัวยาวชิดกัน ข้างล่างมีเหมือนเบาะผ้านวมหนากอง ๆ อยู่ กับหมอนอีกประมาณ 8 ใบ มีทีวีไว้ให้ผมกดเล่นหลายช่อง อาหารการกินก็แสนสบาย
ผมกระโจนลงนอนบนฟูกหนานุ่ม ส่วนมือก็หม่ำไอ้ผลเล็ก ๆ อย่างอร่อย ไอ้เจ้าไฮโลที่ตามผมไปทุกที่ ตอนนี้ก็กระโดดนอนบนโซฟาแทนที่จะมานอนพื้นแบบผม ความสบายใจทำให้ผมนั่งกินนอนกินดูทีวีจนผมว่าผมลืมอะไรไปบางอย่าง แต่ช่างเถอะเหนื่อยแล้ว ห๊าว..ง่วงนอน แต่ต้องกินให้หมดก่อนแล้วค่อยนอนทีเดียว
“กลับมาแล้ว” เสียงที่ผมคุ้นเคยตามหลอกหลอนผมตลอดดังขึ้นด้านหลัง ผมได้ยินเสียงไอ้หมาไฮโลลงจากโซฟาก็รู้ว่าอีกไม่นานไอ้เจ้าของเสียงก็ตามมา
“มานอนอยู่นี้เอง เฮ้ย! โฟมกินอะไรนะ” ไอ้หื่นทรียกจานในมือผมออกอย่างเร็ว ดีผมคว้างมาได้ลูกหนึ่ง
“สตอเบอรี่ กินได้อร่อยนะ” ผมกัดสตอเบอรี่โชว์มันไปคำหนึ่งแต่มันยังคงมองผมแปลก ๆ
“โฟมนี้คงเป็นอาการแพ้ท้องใช่ไหม ถึงอยากกินของป่า ของแปลกแบบนี้” สลด...แปลกบ้านมัน แต่มันธรรมดาสุด ๆ บ้านผม
“ช่างแม่งเหอะ เอามาเร็วจะกิน” ผมลุกขึ้นนั่งพยายามขอจานของผมคืนดี ๆ
“ทำไมพูดไม่เพราะอีกแล้ว ไม่กลัวถูกลงโทษหรอ” ผมข้ามเรื่องสำคัญเล่าพวกคุณไปใช่ไหม คือผมสัญญากับมันว่าจะเรียกมันว่า ‘พี่’ แทนเรียกว่า มัน
“โฟมอยากกิน พี่...คืนให้โฟมเหอะ” ผมยังคงยื่นมือออกไปขอไอ้ลูกแดง ๆ ในจาน ผมอยากกินจริง ๆ นะ อยากมาก
“พอแล้วไม่รู้ว่ากินอะไรแล้วจะอันตรายรึเปล่า” ไอ้พี่ทรีมันพลักจานผมให้ไปไกล ผมก็พยายามจะตามเก็บแต่ขาดันไปสะดุดกับหมอนก่อน
“เฮ้ย! โอ๊ย~…..” ผมที่ล้มลงไม่เป็นท่า ถึงแม้ไอ้พี่ทรีจะรับผมทันแต่รู้สึกเหมือนท้องผมจะกระแทกเขากับตัวไอ้พี่ทรีอย่างจัง
“โฟม! โฟมเจ็บตรงไหนบอกพี่ก่อน” ผมที่เริ่มนอนตัวงอเป็นกุ้งโดนน้ำ เพราะความเจ็บในท้อง
“ปวดท้อง ช่วยผมด้วย...ผมปวด” น้ำตาไอ้โฟมไหลอีกแล้ว ไม่รู้ไปเอาน้ำตามาจากไหนช่วงนี้ดราม่าใส่ไอ้พี่ทรีบ่อยเลยติดนิสัย
“อย่าเป็นอะไรนะ เดี่ยวพี่เรียกหมอก่อน ป้านองบี! เอเมท! เรียกหมอด่วน! เดี่ยวนี้!” ผมได้ยินไอ้พี่ทรีพูดประโยคนี้ซ้ำ ๆ ผมที่ปวดท้องเริ่มหายใจไม่ออก แล้วสติผมก็หลุดไป
‘
ตานั้นแหละไม่ดูหลานดี ๆ ’
‘
ยายนั้นแหละทำอะไรอยู่ ไปดูแต่ของไหว้ละสิ’
‘
ก็เห็นผัวมันมาแล้ว ก็คิดว่าไม่มีอะไรนี่ตา’
‘
ก็คิดเหมือนกันนั้นแหละ’
ผมที่หลับอยู่ฟังเสียงของตายายเถียงกันไปมา ผมรู้สึกหนัก ๆ ที่ท้องอย่างประหลาด ผมอยากถามตากับยายว่าตอนนี้ผมเป็นอะไรแต่ผมก็ไม่มีแรงพอ
‘
ตา...เหลนเราจะเป็นอะไรไหม’ ยายไม่ห่วงโฟมเล๊า!
หวงแต่เหลนแม่มันจะตายแล้ว
‘
ไม่เป็นไรยาย คุยกันแล้วไอ้เหลนสองคนมันตกใจแม่มันนิดหน่อยตอนนี้สบายดี’ ตามุดรูไหนไปคุยกับลูกผมละนั้น
‘
ค่อยยังชั่วหน่อย หายเร็ว ๆ นะหลาน เจ้าเหลนทั้งหลายก็รีบมาให้ตากับยายเจอนะลูก’
หลังจากประโยคนี้ผมก็ลืมตาขึ้นมองเพดานอย่างสะลึมสะลือ ผมเห็นไอ้พี่ทรีที่เดินออกมาจากห้องน้ำรีบเข้ามาดูผม ส่วนไอ้หมาไฮโลก็มานอนเลียหน้าผมจนเหนียวไปหมด
“โฟม... เจ็บตรงไหนอีกไหม โฟมคุยกับพี่หน่อย” ผมหันไปมองดีส อีส อะ ผัว ผมอย่ารำคาญ อารามปวดหัวด้วยเลยชักสีหน้าใส่
“ไม่ได้เป็นอะไร” เสียถอนหายใจของไอ้พี่ทรีดังขึ้น ผมมองหน้าซีด ๆ ของมันแล้วก็ตลกดี มันคงตกใจมากเลยนะนั้น
“ทีหลังจะเดินจะลุกก็ระวังตัวหน่อยนะ ไม่ใช่ว่าพี่อยากบ่นหรอก แต่ตัวโฟมก็มีลูกอยู่จะทำอะไรก็คิดถึงลูกบ้าง”
“ห่วงแต่ลูกก็ไปท้องเองสิ” น้อยใจครับ ผมเป็นแบบนี้ประจำช่วงสองสามวันมานี้
“ก็ห่วงทั้งคู่นั้นแหละ ลูกเจ็บโฟมก็เจ็บด้วยพี่ก็ห่วงทุกสิ่งทุกอย่าง นั้นแหละ....” ไอ้พี่ทรีมันก้มลงมากอดผม ใบหน้าที่เย็นหลังจากผ่านการอาบน้ำกำลังแนบแก้มที่ร้อนของผมอยู่
“วันหลังจะระวังแล้วกัน ตอนนี้ปล่อยก่อน” ผมพลักเบา ๆ ไอ้ตัวที่มองผมก็ยิ้มใหญ่ มือของมันลูบหน้าผากผมไปมา
“พี่มีของมาให้ด้วย” ไอ้พี่ทรีกดโทรศัพท์ไปไม่นาน ป้านองบีก็ยกถาดสตอเบอรี่ถาดใหญ่มาให้ ผมตาโตน้ำลายยืดเห็นแล้วอยากกินชะมัด
“พี่ให้บริษัทตรวจแล้ว มันมีวิตามิน ซี สูง โฟเลต และแอนโธไชยานินส์ มี......”
“พอแล้ว จะกินได้รึยัง?” ทีอย่างนี้ละมารู้ดี โด่.....กูรู้ก่อนอีก ไอ้พี่ทรีลุกขึ้นมานั่งพิงหัวเตียง แล้วพยุงผมให้พิงพี่เค้าอีกที ถาดที่เต็มไปด้วยสตอเบอรี่ถูกส่งมาวางบนตักของผม โดยมีมือของดีส อีส อะ สามีผมประคองอยู่ ผมมือไม้สั่นตอนหยิบมันเข้าปาก
สวรรค์ชัด ๆ ผมกินได้ไปสองลูก ก็คิดว่าตอนที่อยู่อดีตมันต้องมีอะไรมากินเคียง ๆ ด้วยนิน่า ผมคิดไปกินไปสักพักก็เริ่มนึกออก
“พี่ทรี...โทรสั่งป้านองบีเอา
พริกเกลือให้หน่อยสิ”