ตอนที่ 7 กระท่อมกลางป่า
Part ต้น (มันลงไม่หมดค่ะ ยาวไป ถถถ รอแป๊บนะคะ จัดช่วงปลายก่อน)
รุ่งเช้า หลังจากอาบน้ำเสร็จ ผมกับก้อนหินก็กินปลาเป็นการส่งท้ายเผื่อจะไม่ได้กลับมากินอีก รสชาติมันดีจริงๆ นะ ขนาดไม่ได้ปรุงอะไรเลยยังอร่อย ก่อนหน้านี้ตอนเช้าก่อนออกไปสำรวจพื้นที่ ผมพยายามแล่เนื้อปลาเป็นชิ้นบางๆ ทำปลาแดดเดียวแต่ผึ่งลมแทนแดด เพราะในนี้มันครึ้ม นานๆ ลมจะพัดใบไม้ให้แดดส่องทะลุมาสักที พอหมาดหน่อยก็เอาห่อใบไม้ใส่ถุงที่พกไว้อีกที เผื่อทางข้างหน้าไม่มีอะไรกินจะได้เอาไว้กินกันตาย (ที่จริงติดใจ)
ผมหยิบเป้มาสะพาย ถือไม้ปลายแหลมที่เหลาไว้ แล้วเริ่มออกเดินทางทันทีโดยมีก้อนหินเดินตามอยู่ข้างๆ ผมถามมันแล้วนะว่าจะอยู่รอพ่อแม่รึเปล่า มันก็ส่ายหัวแล้วก็เดินตามมา บอกตามตรงว่าผมดีใจมากที่มันไปด้วยกัน ถ้าทิ้งไว้ผมคงเดินทางอย่างไม่มีความสุข คงจะละล้าละลังเป็นห่วงมันอยู่นั่นแหละ ก็อยู่ด้วยกันจนผูกพันไปแล้วนี่
ผมเดินมาจนถึงซุ้มต้นไม้ กรอกน้ำใส่ขวดไว้เผื่อไม่เจอแหล่งน้ำข้างหน้า ลองชะโงกผ่านซุ้มไปดูข้างนอก ก็เห็นสัตว์ป่าเล็กๆ ออกมากินอาหารกันตามปกติ เลยก้าวออกไปข้างนอก พอเดินห่างไปสักพักก็หันกลับมามองโดมต้นไม้ที่อาศัยอยู่หลายวันเป็นการล่ำลา
เดินมาได้สักพักสายตาก็สะดุดเข้ากับร่างใหญ่ๆ ร่างหนึ่งที่นอนอยู่บนพื้น เมื่อเข้าไปใกล้ผมค่อนข้างตกใจ เพราะมันคือสิงโตควายที่ไล่กวดเราเมื่อวานนี่เอง แต่ตอนนี้มันตายไปแล้ว และมีแมลงวันเริ่มมาตอมตามแผล ผมได้แต่มองอย่างแปลกใจ แค่โดนข่วนกับกัดขานี่ถึงกับตายเลยเหรอ ไม่มั้ง มันอาจจะตายเพราะสาเหตุอื่นก็ได้ ผมส่ายหัวแล้วเดินต่อไปอย่างสบายใจมากขึ้น อย่างน้อยก็ไม่ต้องระแวงว่าจะโดนไอ้ตัวนี้วิ่งไล่แดกอีกละ โดยไม่ทันสังเกตว่าแมลงวันที่ตอมอยู่นั้นค่อยๆ ตกลงมาตายทีละตัว
ผมตัดสินใจมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือเรื่อยๆ โดยใช้ความรู้ในการเดินป่ามาใช้ ค่ำไหนก็นอนนั่น ใต้ซอกหินบ้าง โพรงไม้ใหญ่ๆ บ้าง บนต้นไม้บ้าง โชคดีที่ไม่เจอสัตว์ร้าย เดินไปได้ไม่ถึงสัปดาห์ก็มาเจอกับลำธาร ไม่แน่ใจว่าใช่ลำธารสายเดียวกันไหม แต่ผมตัดสินใจเดินตามลำธารไป ซึ่งดูตามทิศทางแล้วต้นน้ำน่าจะอยู่ทางทิศเหนือพอดี
หลังจากอยู่กับก้อนหินมาหลายวันทำให้แน่ใจว่าก้อนหินเป็นสิ่งมีชีวิตที่เลี้ยงง่ายมากกกก มันกินได้ทุกอย่างที่ขวางหน้า กินได้ทั้งเนื้อสัตว์ (โดยเฉพาะปลาที่ชอบมากเป็นพิเศษ) ใบไม้และผลไม้ (ที่เห็นสัตว์อื่นๆ กิน) พามันกินอะไรมันก็กินได้หมด แต่ดูจะชอบกินเนื้อสัตว์มากกว่า โดยเฉพาะแบบดิบๆ
มีอยู่วันหนึ่ง ระหว่างที่ผมกำลังเก็บผลไม้อย่างเพลิดเพลิน หันมาอีกทีก็แทบกรี๊ดแต๋วแตก มันแดกงูอยู่ครับ!
ฟังไม่ผิดครับ มันแดกงู!!!
พอเห็นผมยืนช็อคมองมันกัดงูเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อยเหมือนกำลังกินไส้กรอก มันก็ยื่นงูที่หัวหายไปแล้ว เหลือเพียงตัวที่ยังดิ้นกระแด่วๆ ปลายหางยังพันอยู่ที่มือมันมาให้
อ๊ากกกกกก!!! ผมถอยหลังหนีอย่างเสียจริต ผลไม้ที่เก็บร่วงกระจายลงพื้น
ไม่ต้องมามีน้ำใจ
กูไม่แดกกกกกกกก!!!
พอเห็นผมถอยหนี มันก็เอียงคอมองทำหน้าแบ๊วใส่ แล้วก็กัดกินต่อเฉยยย โอ๊ย! ผมจะบ้า เผลอไม่ได้เลยครับ ทั้งไอ้ตัวที่คล้ายแมงมุม แมงป่อง ตะขาบ ถ้ามันจับได้ยัดเข้าปากหมดเลย ผมแทบจะทึ้งหัวอย่างคลุ้มคลั่ง กลัวมันจะน้ำลายฟูมปากจากพิษแทบแย่ แต่ยังดีที่มันก็ไม่มีอาการอะไรเลย หลังจากนั้นก็ต้องคอยระวังไม่ให้มันหยิบอะไรแปลกๆ เข้าปาก กลัวเจอสัตว์มีพิษแรงๆ เข้าจะเป็นอันตรายเอา... (ไม่น่าจะทันแล้วนะดิน)
ผ่านไปสัปดาห์กว่า ก็ยังไม่วี่แววว่าจะเจอมนุษย์สักคน เจอแต่ต้นไม้ใบหญ้าและสัตว์ป่าเล็กๆ แถมยังเหมือนกับว่าป่ามันจะเริ่มทึบขึ้นเรื่อยๆ ผมชักจะหวั่นใจว่าเลือกมาถูกทางรึเปล่า ไม่ใช่ว่าแทนที่จะเข้าเมืองหาผู้คน แต่กลายเป็นว่าหลงป่าลึกกว่าเดิมนะ
แต่กังวลได้ไม่ถึงวัน ลำธารที่เดินเลียบมาก็เริ่มกว้างขึ้น จนกลายเป็นบึงน้ำกว้างเกือบไร่ ก่อนจะคอดและแคบเป็นลำธารทอดยาวไปต่อ
บริเวณริมบึงมีต้นไม้ใหญ่มากพอๆ กับต้นไม้ในโดมที่จากมาแผ่กิ่งก้านคลุมบึงทั้งบึงไว้ มีม่านบาหลีห้อยระย้าคลุมลงมาแทบจะระพื้น ใต้ร่มเงาต้นไม้มีกระท่อมที่สร้างจากไม้ไผ่ มุงด้วยใบไม้คล้ายๆ ใบจากอยู่หลังหนึ่ง
ผมกวาดตามองรอบๆ ก็เห็นเพียงกระท่อมหลังนี้หลังเดียว ไม่เห็นจะมีหลังอื่นอีก ใครมาสร้างกระท่อมโดดเดี่ยวเดียวดายกลางป่าแบบนี้วะ ไม่แน่อาจจะเป็นนายพรานสร้างเอาไว้พักตอนออกมาล่าสัตว์ก็ได้
ผมแหวกม่านบาหลีออก แล้วเดินเข้าไปข้างใน เดินไปได้สักพักก็ชะงัก กลัวจะเจอตัวอะไรแปลกๆ อีก หรือถ้าโชคร้ายเจอโจรป่าละซวยเลย เลยไปแอบตรงพุ่มไม้มองอยู่สักพักก็ไม่เห็นอะไรออกมา จึงตัดสินใจเดินเข้าไปสำรวจ
จากสายตาแล้วกระท่อมเหมือนสร้างมานาน แต่บริเวณโดยรอบดูสะอาดสะอ้าน น่าจะมีคนอาศัยอยู่หรือไม่ก็น่าจะจากไปไม่นาน เพราะด้านหน้ากระท่อมมีขี้เถ้าที่เหลือจากการก่อกองไฟอยู่
เพราะมัวแต่สังเกตตัวกระท่อม ตอนก้าวข้ามพุ่มไม้ไปจึงสะดุดอะไรสักอย่างเกือบจะล้มคว่ำ แต่ผมเอามือค้ำพื้นไว้แล้วกลับลำทุกขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
ก้อนหินที่ตามมาข้างหลังปรบมือเปาะแปะให้
ผมเหล่ตามองก้อนหิน เหตุการณ์นี้คุ้นๆ ชอบกล นี่มึงคงไม่ได้ล้อเลียนกูอยู่ใช่ไหมหิน? ผมมันเขี้ยวจนอยากจะจับมันฟัด แต่หันไปเจอสิ่งที่ตัวเองสะดุดหัวทิ่มซะก่อน
มนุษย์?
สิ่งมีชีวิตที่นอนคว่ำตะแคงหน้ามานี่มนุษย์แน่นอน ว่าแต่... ตายหรือยังวะ นอนนิ่งเลย
ผมขยับเข้าไปใกล้ๆ แล้วใช้ปลายเท้าเขี่ยเบาๆ บริเวณขา ก้อนหินก็ทำตามเหมือนเลียนแบบ ผมเลยนึกขึ้นได้ว่าไม่ควรทำตัวอย่างที่ไม่ดีให้เด็กเห็น ถึงจะเป็นเด็กสัตว์ เอ๊ย! ถึงจะเป็นสัตว์ก็เถอะ เลยเปลี่ยนเป็นใช้ไม้เขี่ยแทน...
“อืม” ร่างตรงหน้าครางเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ปรือตาขึ้น ยื่นมือขึ้นมาข้างหนึ่งแล้วบอกเสียงแผ่ว
“ช่วยด้วย!” ก่อนที่มือข้างนั้นจะตกลงแล้วเขาก็นิ่งไป
“เฮ้ย!”
“ลุงๆ เป็นอะไรรึเปล่า” พอเห็นร่างตรงหน้าแน่นิ่งไป ผมก็สังเกตรอบกายเผื่อจะเป็นแผนลวง แต่ทุกอย่างก็เงียบสนิท เลยนั่งคุกเข่าแล้วจับร่างตรงหน้าพลิกขึ้นนอนหงาย แล้วสำรวจดูว่าบาดเจ็บตรงไหน พอจับโดนตัวก็ต้องสะดุ้ง
“อื้อหือ ตัวร้อนเชียว” ผมขยับไปข้างหลังแล้วใช้แขนโอบรอบอก จับบริเวณข้อมือที่ไขว้กันให้แน่น แล้วลากไปกิน เอ๊ย! ผมหมายถึงลากเข้ากระท่อมไป
ด้านในมีเตียงเล็กๆ ตั้งอยู่ชิดริมด้านในติดกับหน้าต่างที่เปิดค้างไว้ กว่าผมจะจับตัวเขาขึ้นไปไว้บนเตียงได้สำเร็จก็เล่นเอาหอบเหมือนกัน ก้อนหินเดินตามเข้ามาแล้วมองรอบตัวด้วยความสนใจ นอกจากเตียงแล้วยังมีชั้นไม้ที่ทำขึ้นง่ายๆ มีผ้าหยาบๆ ไม่กี่ผืนวางอยู่บนชั้น ชั้นข้างๆ มีสิ่งที่เหมือนกับเครื่องครัวอย่างหม้อกับชามวางอยู่ มีภาชนะคล้ายโอ่งดินและกระบวยตักน้ำวางใกล้ๆ หน้าประตู
ผมเดินไปหยิบผ้าผืนบางๆ ที่แขวนไว้บนราวตรงมุมห้องมา กวาดตามองไปเห็นถังน้ำก็หยิบแล้วเดินไปตักน้ำมาใช้ผ้าชุบน้ำบิดให้หมาดแล้วเริ่มเช็ดตัวลดไข้และสำรวจไปด้วยว่ามีแผลตรงไหนหรือโดนตัวอะไรกัดหรือเปล่า แต่ไม่เห็นร่องรอยก็เบาใจ น่าจะหมดสติเพราะมีไข้เฉยๆ
พอเช็ดตัวเรียบร้อยแล้วก็ค้นยาแก้ไข้จากในกระเป๋ามายัดเข้าปากแล้วป้อนน้ำตาม หลังจากนั้นก็คอยเช็ดตัวลดไข้ให้ทั้งคืน เรื่องดูแลคนป่วยนี่ผมถนัดครับ เคยดูแลย่ากับคุณไฟมาก่อน โดยเฉพาะคุณไฟเวลาไม่สบายทั้งเหวี่ยงทั้งวีนหนักกว่าปกติหลายเท่า ใครก็เข้าใกล้ไม่ได้ยกเว้นย่ากับผม ผมเหม่อมองไปข้างนอกหน้าต่าง ไม่รู้ว่าป่านนี้คุณไฟจะเป็นยังไงบ้างนะ
“แค่กๆๆ”
เสียงไอทำให้ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมา หลังจากเผลอหลับไปตอนใกล้รุ่งสาง เห็นคนตรงหน้าลืมตาขึ้นมองเพดาน ผมเลยยื่นมือไปอังหน้าผากดูว่าไข้ลดหรือยัง ลุงแกสะดุ้งแล้วยื่นมือมาจับข้อมือของผมไว้จนผมพลอยตกใจไปด้วย
“ใคร” เสียงแหบแห้งถามขึ้น
จะตอบยังไงดีล่ะ ต้องเท้าความกันยาวเลยนะ...
“ผมแค่ผ่านมาครับ” พูดจบก็ปลดมือแกออกอย่างเบามือ แล้วก้มลงไปแกะมือก้อนหินที่เกาะขากางเกงไว้เพราะมันหลับอยู่ตรงปลายเท้า พอมันสะดุ้งก็ตบหัวเบาๆ ให้มันหลับต่อ แล้วจึงลุกไปตักน้ำพร้อมอธิบายไปด้วย
“พอดีผมผ่านมาแล้วเห็นลุงล้มอยู่หน้ากระท่อม เลยพากลับเข้ามาพักในกระท่อม ลุงตัวร้อนมากผมเลยให้กินยาแล้วก็เช็ดตัวลดไข้ให้ครับ” ผมเดินกลับมาประคองลุงลุกขึ้นนั่ง แล้วยกกระบวยไปจ่อที่ริมฝีปาก
“ดื่มน้ำก่อนครับ ค่อยๆ นะครับ ค่อยๆ จิบ เดี๋ยวสำลัก” ลุงแกกินน้ำจนเกือบหมด ก่อนจะดันออก ผมพึมพำขออนุญาตก่อนจะแตะเช็คอุณหภูมิที่หน้าผาก ไข้ลดแล้วนี่นา ดีจัง
“เข้ามาได้ยังไง?”
“ก็เดินเข้ามานี่แหละครับ...” ลุงนี่ถามแปลกๆ
“... ช่างเถอะ ขอบใจเจ้ามากที่ช่วยข้าไว้” หือ... เจ้า – ข้า อะไรของลุง!!
“เจ้าชื่ออะไร” ผมอึ้งได้สักพักยังไม่ทันได้ตอบคำถามก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าลุงแกพูดกับผมแต่สายตาแกมองตรงไปข้างหน้าอย่างเดียว นานๆ ถึงจะกระพริบสักที ผมเลยยกมือโบกไปตรงหน้าแก ก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง
“ลุงตาบอดเหรอครับ”
“ใช่ ตาข้ามองไม่เห็น” เอ่อ... มันก็อย่างเดียวกันไหมลุง ว่าแต่ลูกหลานก็ใจร้ายใจดำเกินไปละ ทิ้งให้ลุงอยู่คนเดียวกลางป่ากลางเขาแบบนี้ทั้งที่ตาบอด คงลำบากน่าดู น่าสงสารจริงๆ
“ลุงอยู่คนเดียวเหรอครับ แล้วลูกหลานล่ะ”
“ใช่ ข้าอยู่คนเดียว ส่วนลูกหลาน... ข้าไม่มีหรอก” ชีวิตรันทดไปอีก ถ้าไม่อยากโดดเดี่ยวแบบลุง เรียนจบผมคงต้องรีบสร้างครอบครัวสินะ
“แล้วลุงมาอยู่ในป่าได้ยังไง อยู่ที่นี่มานานหรือยังครับ” พอเจอคำถามหลายคำถามลุงก็หัวเราะออกมาเบาๆ แต่ก็ยังตอบอย่างอารมณ์ดี
“มาได้เพราะชะตากำหนด ส่วนอยู่มานานไหม อืม... ข้าอยู่มานานมากแล้วละ” คำว่านานลากยาวจนผมนึกสงสัยว่ามันนานสักกี่ปีกัน แต่ยิ่งฟังยิ่งงง ชะตาอะไรวะ แถมคำพูดก็ยังแปลกๆ สงสัยนอกจากตาบอดแล้วลุงคงเลอะเลือนหน่อยๆ
“แล้วลุงไม่ลำบากเหรอครับ ตาก็มองไม่เห็น”
“ไม่หรอก ถึงสายตาจะมองไม่เห็น แต่ก็ได้สิ่งอื่นมาทดแทน อย่างเช่น... เจ้ามากับใคร... หรือตัวอะไร” ผมชะงักกึก มองหน้าลุงทันที
“ข้าได้ยินเสียง.. เสียงลมหายใจของอีกหนึ่งชีวิตในนี้” ผมก้มลงมองก้อนหินที่นอนแผ่หลับอยู่ใกล้ๆ
“เอ่อ... ผมมากับ คือ... ผมก็ไม่รู้ว่ามันคือตัวอะไรครับลุง ผมไม่เคยเห็นมาก่อน”
“ผมก็อยากจะถามใครสักคนเหมือนกัน ว่าที่นี่มันคือที่ไหนกันแน่ ทำไมมีแต่เรื่องประหลาดๆ สัตว์หน้าตาแปลกๆ อีกอย่างก็อยากจะถามลุงด้วยว่าไอ้ตัวที่มาด้วยเนี่ยมันคือตัวอะไร เผื่อลุงจะรู้จัก เอ่อ ขอโทษครับ ลืมไปว่าลุงมองไม่เห็น”
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องเกรงใจ ยังไงเจ้าก็เข้ามาช่วยเหลือข้าไว้ ชะตาเราคงต้องกัน แต่ก่อนสายตาข้าก็ยังดีอยู่ เดินทางไปทั่ว พบเห็นอะไรมาก็มาก สงสัยอะไรก็ถามมาได้เลย”
“ที่นี่มันคือที่ไหนครับ” ถามคำถามสำคัญก่อน จะได้รู้ว่าจะหาทางกลับบ้านได้ยังไง
“ที่นี่คือดินแดนไวเวิร์น”
.
.
.
“ขอโทษนะครับ ลุงเคยเข้าเมืองไหมครับ”
“เคยสิ ข้าเคยเดินทางไปทั่วทุกเมืองแล้ว”
“แล้วลุงรู้จักประเทศไทยไหมครับ”
“ไม่... ข้าไม่รู้จัก ดินแดนไวเวิร์นมีอาณาจักรแค่สามอาณาจักรใหญ่ๆ คือ อาณาจักรรุค, อาณาจักรบาอัล และอาณาจักรเคลเบรอส ถึงจะมีเมืองเล็กเมืองน้อยแต่ข้าก็รู้จักทุกเมือง เมืองที่เจ้าว่ามาข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน”
.
.
.
ชิบหายแล้ววววว!!! อาณาจักรเชี่ยอะไรไม่เคยได้ยินมาก่อนในชีวิต ประเทศไทยไม่มีชื่อจังหวัดหรืออำเภอแบบนี้แน่ๆ ผมมั่นใจ
เดินป่าอยู่ประเทศไทยดีๆ แล้วกูมาโผล่ที่ดินแดนไวเวิร์นของลุงได้ยังไง???
ที่สำคัญ กูจะกลับบ้านได้ยังไงงงงงง!!!
“เจ้าเป็นอะไรไป ทำไมเงียบ”
ผมช็อคอยู่ครับ ฮือออออ
“ละ... ลุงครับ”
“หืม”
“คะ... คือว่าผมตกลงมาจากหน้าผาที่ป่าทางทิศใต้ ละ... แล้วก็มาที่นี่ครับ” ถามเองงงเอง ลุงจะงงไหม
“เป็นไปไม่ได้ ภูเขาทางทิศใต้คือภูเขาไฟไวเวิร์นลูกใหญ่ปล่องอยู่สูงลิบลิ่ว แถมยังเป็นภูเขาไฟที่ภายในยังปะทุอยู่ อากาศแถวนั้นมันร้อนมากจนมนุษย์เข้าใกล้แทบไม่ได้ แม้แต่มังกรยังไม่สามารถขึ้นไปได้ แล้วเจ้าจะขึ้นไปได้ยังไง”
“ห๊ะ!!!!!!!!!”
ภูเขาไฟ!!! = ประเทศไทยไม่มี
มังกร!!! = โลกเราก็ไม่มี มีแต่ตัวเหี้ย
...
คือเชี่ยอะไรรรรร!!!!
“ก๊าส” เสียงของผมคงดังไป จนทำให้ก้อนหินตื่นขึ้นมาขยี้ตาแล้วคลานกระดึ๊บๆ มาเกาะขาเอาหัวถูเหมือนเคย หิน มึงเปลี่ยนสปีชีส์เป็นหนอนแล้วเหรอ เดี๋ยวๆ ดิน มึงอย่าเพิ่งนอกเรื่อง
ก่อนหน้านี้ก็ตงิดๆ อยู่บ้าง เพราะตั้งแต่ที่ฟื้นมาก็มีแต่เรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นตลอด ทั้งเรื่องแผล กำแพงอากาศ ทั้งสิงโตควาย ทั้งก้อนหิน แต่ก็ได้แต่หลอกตัวเองว่าคงไม่ใช่ ใครจะคิดว่าจะโผล่มาโลกอื่นล่ะครับ มันแฟนตาซีเกิ๊นนนนน
แต่ตอนนี้คงต้องยอมรับความจริง ว่าโลกที่เหยียบอยู่นี่มันเป็นคนละโลกกับโลกที่จากมา
แล้วทีนี้ จะเอายังไงกับชีวิตดี? ได้อิสระมาแบบงงๆ คงต้องตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่ในโลกนี้ต่อไป หรือจะหาทางกลับบ้านดี
เฮ้อ! ลองสำรวจโลกดูลู่ทางก่อนก็แล้วกัน กลับได้ก็กลับ กลับไม่ได้ก็อยู่มันที่นี่แหละ ไหนๆ ก็ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว ครอบครัวก็ไม่มี ถึงจะเป็นห่วงคุณไฟบ้างแต่ก็คิดว่าท่านทูตกับคุณหญิงคงไม่ปล่อยให้คุณไฟลำบากหรอก ไม่นานคุณไฟก็คงจะทำใจได้และลืมผมไปเอง ยังไงผมก็ไม่ใช่คนสำคัญอะไรสำหรับคุณไฟอยู่แล้วนี่ ก็แค่เด็กในบ้านที่โตมาด้วยกัน
พอปลงตกก็ผงกหัวหงึกหงักอยู่คนเดียว ก่อนจะชะงักหันไปมองลุงที่นั่งรออย่างใจเย็น
“ลุงครับ” ลุงเบือนหน้ามามองเลิกคิ้วเป็นเชิงบอกให้พูดต่อได้เลย
“ผมว่า ผมน่าจะหลุดมาจากโลกอื่น เพราะที่ๆ ผมอยู่มันไม่มีภูเขาไฟ ไม่มีมังกร...” ผมก้มลงมองก้อนหิน พอจะเดาได้ลางๆ ว่ามันเป็นตัวอะไร
“ถ้าผมจะกลับไปโลกเดิมนี่ มันมีทางจะเป็นไปได้ไหมครับ” ลุงฟังอย่างสงบ ไม่ได้มีทีท่าว่าจะตกใจอะไร เหมือนจะเคยชินกับเรื่องแบบนี้ โหย ลุงสตรองมาก ถ้าเป็นผมนี่คงคิดไปแล้วว่าไอ้นี่ไม่บ้าก็เมา
“ข้าไม่แน่ใจ นานมาแล้วเคยมีคนผ่านมาและถามข้าแบบนี้เหมือนกัน ข้าแนะนำให้เข้าไปในเมือง เพื่อไปถามปราชญ์ของอาณาจักร เผื่อจะได้คำตอบบ้าง แล้วก็เจอเจ้านี่แหละมาถามเป็นรายที่สอง”
ปราชญ์อาณาจักร คือ ตัวอะไรวะ
“แสดงว่าผมต้องเข้าไปในเมืองใช่ไหมครับ”
“ใช่”
“แล้วลุงรู้ไหมครับว่าทางเข้าเมืองไปทางไหน”
“อืม ถ้าจะเข้าเมือง ต้องเดินไปทางทิศเหนือเรื่อยๆ หรือไม่ก็เดินเลียบแม่น้ำไปเรื่อยๆ ก็จะพบกับอาณาจักรเคลเบรอสซึ่งอยู่ใกล้กับชายป่าที่สุด”
“แล้วลุงพอจะรู้ไหมครับว่าตัวที่มากับผมนี่มันคือตัวอะไร” ผมบรรยายลักษณะของก้อนหินให้ฟัง ถึงจะพอเดาได้ แต่เพื่อความมั่นใจก็เลยลองถามอีกที
“อ้อ... มันคือลูกมังกร ว่าแต่เมื่อครู่เจ้าบอกว่ามันมีสีอะไรนะ ข้าฟังไม่ถนัด” ผมถอนหายใจ กะแล้วว่าต้องใช่
“สีเขียวครับลุง สีเขียวคล้ายๆ มรกต” ลุงอึ้งไปสักพัก พึมพำชะตาๆ อะไรสักอย่าง ก่อนจะถอนหายใจบ้าง
“ถ้าจะออกไปข้างนอก เจ้าต้องหาอะไรปกปิดสีของมันหน่อย เพื่อความปลอดภัยของมันและตัวเจ้าเอง ต้นไม้ใหญ่หน้ากระท่อม เปลือกของมันสามารถเคี่ยวเป็นสีดำได้ เจ้าไปเลาะออกมาเคี่ยวแล้วทาให้มัน อ้อ... อย่าถามถึงสาเหตุ เพราะข้าบอกไม่ได้ รู้ไว้แค่ว่า ข้าหวังดีจากใจจริง เจ้าแค่ทำตามแค่นั้นก็พอ” จากที่จะเอ่ยปากถามก็เลยต้องหุบลงอย่างอัตโนมัติ เอาเถอะ เชื่อไว้ไม่เสียหาย ทำตามก็ไม่ใช่เรื่องลำบากอะไร
“เจ้าสนใจจะเรียนเรื่องสมุนไพรไหม ข้าพอจะมีความรู้อยู่บ้าง ข้าอยากจะตอบแทนที่ช่วยข้าไว้ ถ้ามีความรู้ติดตัวจะได้ไม่ลำบาก”
อืม... ไม่ได้เรียนสัตวแพทย์ เรียนสมุนไพรศาสตร์แทนก็ได้วะ
“ก็ดีเหมือนกันครับ งั้นผมรบกวนด้วยนะครับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็พักอยู่ที่นี่ไปก่อนก็แล้วกัน ถ้าเจ้าเรียนรู้จนพอใจแล้วค่อยเดินทางต่อ”
“ขอบคุณครับลุง” ผมยกมือไหว้ลุง ถึงลุงจะมองไม่เห็นก็เถอะ
“อ้อ... คุยกันมาตั้งนาน ผมลืมตอบคำถามลุงไปเลย ผมชื่อก้อนดิน เรียกดินก็ได้ครับ ส่วนมังกรที่มาด้วยผมตั้งชื่อให้ว่าก้อนหิน แล้วลุงชื่ออะไรครับ”
“ข้าชื่อเซเรส”
พอตกลงกันได้และทำความรู้จักกันเรียบร้อยแล้ว ผมก็ให้ลุงพักผ่อน ส่วนผมกับก้อนหินก็ไปหาปลามาย่าง เมื่อปลาสุกก็แกะเนื้อใส่ชามไปให้ลุงกิน แล้วให้กินยาเพื่อกันไม่ให้ไข้กลับ ก่อนจะหลับลุงก็สอนวิธีการเคี่ยวเอาสีจากเปลือกไม้พร้อมให้พู่กันมาหนึ่งอัน
หลังกินปลาจนอิ่มทั้งคู่ ผมก็เอามีดไปแซะเปลือกต้นไม้มาใส่น้ำต้มแล้วเคี่ยวไปเรื่อยๆ กลิ่นมันหอมคล้ายกลิ่นไม้กฤษณา ผมเคี่ยวจนได้สีดำสนิทก็ปล่อยไว้ให้เย็นตามคำแนะนำของลุง แล้วไปตัดกระบอกไม้ไผ่ที่เจอแถวหลังกระท่อมมาใส่ไว้
ผมเอาพู่กันมาจุ่มแล้วเริ่มต้นทาสีให้กับก้อนหินที่มองดูอย่างสนใจและนั่งนิ่งๆ ให้ทาแต่โดยดี ลุงเซเรสบอกว่าสีของเปลือกไว้ชนิดนี้ไม่เป็นอันตรายกับก้อนหิน สีมันจะติดทนนานอยู่ได้เป็นเดือนกว่าจะจาง แถมยังทนน้ำอีกด้วย จะเช็ดออกก็ต่อเมื่อใช้น้ำมันที่สกัดจากดอกสโนว์ฟ็อกซ์ ซึ่งเป็นดอกไม้หายาก เนื่องจากมันจะขึ้นอยู่เฉพาะตีนภูเขาไฟไวเวิร์นในช่วงฤดูหนาวจัดเท่านั้น
ทาเสร็จผมก็เคียงคอมองสภาพก้อนหินเวอร์ชั่นเปลี่ยนสี ฝีมือดีเหมือนกันนี่หว่า มองแล้วก็นั่งหัวเราะอยู่คนเดียว อย่างฮาอ่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆ จากสีเขียวสดใสเหมือนแมลงทับ กลายเป็นสีดำปี๋ เหลือแต่ลูกกะตากับฟัน กร๊ากกกก ก้อนหินเอียงคอมองผมหัวเราะ ก่อนจะกระโดดพุ่งมากอดแล้วเอาหัวถูแรงๆ เหมือนจะเอาคืน ผมเลยจับมันฟัดด้วยความเอ็นดู
ตอนเย็นๆ หลังจากทำกินข้าวกินปลาเสร็จ (เรียกให้มันดูดีไปงั้นแหละครับ ที่จริงกินปลาอย่างเดียวกับผลไม้นิดหน่อย) ลุงก็เริ่มเอาตำราสมุนไพรมาสอนผม ลุงบอกว่ามันเป็นตำราสมุนไพรที่ลุงเขียนขึ้นระหว่างที่เดินทางศึกษาสมุนไพรในแต่ละอาณาจักรก่อนที่ตาจะบอด พอถามถึงสาเหตุที่ตาบอด ลุงก็แค่ยิ้มให้แต่ไม่ตอบ ผมเลยไม่กล้าซักไซ้ เพราะแต่ละคนก็คงมีเรื่องราวที่บอกใครไม่ได้ ดึกๆ อากาศเริ่มเย็น ตาผมก็เริ่มปรือจะหลับมิหลับแหล่
“สิ่งที่ใช้เป็นยารักษาโรคที่ดีที่สุดและใช้แก้พิษได้ดีที่สุดก็คือ...” แล้วร่างกายผมก็ปิดสวิตช์ไป โดยไม่ทันได้ฟังท้ายประโยค และไม่ได้เห็นว่าลุงเซเรสกำลังจ้องไปยังก้อนหินเขม็งเหมือนกับตั้งใจจะบอกประโยคนั้นกับก้อนหินโดยตรง