(ต่อครับ)
เสียงทุ้มขรึมนั้นเว้นห้วงไปอีกพักใหญ่ จึงพูดต่อ
“พี่ว่าเหมาะกับน้อง"
ร่องรอยแห่งความสงสัยคลายออกเป็นรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่แย้มขึ้นในดวงตาคู่สวย เรียมลลิตรเอ่ยนิ่ม ๆ ตามนิสัย
"เมื่อยังเด็ก ผมชอบเล่นสนุก เช้าจดเย็นลืมเวลา แล้วจะโดนนมละเอียดเอ็ด โดนจับนั่งพับเพียบ เอาไม้ตีตาตุ่ม หัดให้สำรวม พูดคะขา จะได้คลายซนลงบ้าง"
เรียมลลิตรเล่าไปเรื่อย ๆ ไม่รู้ตัวว่าเผลอสนทนามากกว่าทุกครั้ง ทั้งยังใช้น้ำเสียงสนิทสนมกับอีกฝ่ายมากเกินกว่าที่ตนเองจะคาดคิด
"จำได้ว่าตอนนั้นนั่งนานจนตะคริวกินเท้าไปหมด หิวจนปวดท้อง นมละเอียดให้ทำอะไรก็ทำ ไม่พยศ พอนานเข้าก็ติดเป็นนิสัย"
ขวัญสรวงยืนรับฟังอย่างเงียบ ๆ แต่ละถ้อยคำที่อีกฝ่ายพูดออกมาอย่างเป็นธรรมชาตินั้นทำให้ยิ้มกริ่มอย่างเพลิดเพลิน
“นึกภาพน้องซนไม่ออก”
“ซนครับ ผมโดนก้านมะยมหวดประจำ”
ขวัญสรวงหัวเราะ กระนั้นก็มองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกทึ่ง
ใครจะคิดว่าคนที่ดูนิ่งสง่า กิริยาวาจางดงาม สำรวมสุภาพแบบนี้ ครั้งหนึ่งเคยทำให้ผู้ใหญ่ปวดหัวเพราะซนมาก่อน ชายหนุ่มจึงได้แต่มองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกสนใจ มีความสุขที่ได้รับฟังเรื่องต่าง ๆ อย่างไม่รู้เบื่อ จึงได้แต่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น
จวบจนกระทั่งความเบิกบานใจเกินกว่าเหตุนั้นบรรเทาลงจนปรกติ ชายหนุ่มจึงกระชับมือที่เกาะกุมขึ้นแล้ววกกลับมาพูดถึงเรื่องที่ค้างไว้
"อยู่ที่นี่จะซนเท่าไรก็ได้ พี่ไม่ดุ สัญญาว่าจะไม่เด็ดก้านมะยมมาเฆี่ยน”
เรียนลลิตรเผลอหัวเราะเบา ๆ รวงแก้มปลั่งเป็นสีชมพูระเรื่อ
“กลางวันก็อยู่เสียที่นี่ ขาดเหลืออะไรก็บอกให้นมละเอียดจัดหา สายบุญก็ได้ บ้านใกล้เรือนเคียงกัน ไม่ยุ่งยากอะไร นานเข้า คนที่ราวีเขาจะได้เลิกราไปเอง ไม่ขุ่นข้องหมองใจกัน"
ได้ยินแล้ว คนหนีร้อนมาพึ่งเย็นก็เอ่ยขอบคุณด้วยความซาบซึ้งใจ
จากหน้าต่างของห้องที่ยืนอยู่นั้น สามารถมองเห็นบริเวณด้านข้างของตำหนักน้อยได้เช่นกัน แม้จะไม่ถ้วนทั่วอาณาเขตแต่ก็มากพอจะให้ประจักษ์ถึงทัศนียภาพเกือบทั้งหมดด้วยไม่มีร่มไม้สูงกำบัง ขวัญสรวงจึงแนะตามเหมาะสม
"ที่บ้านน้องควรปลูกต้นไม้ไว้บ้าง มีไม้มงคลหลายอย่าง นอกจากจะร่มรื่น ให้ดอกให้ผล ร่มไม้เหล่านี้ยังช่วยพรางสายตาคนนอก เป็นกุศโลบายของคนโบราณท่าน"
"กุศโลบาย?"
คำถามนั้นเรียกรอยยิ้มของคนตัวสูงขึ้นอีกครั้ง ขวัญสรวงแกล้งแชเชือน ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ทำเป็นไม่ได้ยิน
ผ่านไปสักครู่ ใบหน้าเรียบเฉยจึงหันมามองพร้อมกับแววตาที่เต็มไปด้วยความฉงน ก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายอมยิ้มเบิกบานใจหนักหนา
"ทำไมต้องยิ้ม"
ยิ่งปราม เหมือนยิ่งยุ คนตัวโตกว่าจึงยิ้มเอา ๆ
"พี่ยิ้มไม่ได้หรือ"
เรียมลลิตรมองอีกฝ่ายด้วยอารมณ์กรุ่น เพราะความไม่สันทัดแตกฉานในภาษาไทย คราก่อนที่เข้าใจผิดเรื่อง "ลูกของกำนัน" กับ "ของกำนัล" จึงถูกขวัญสรวงหยอกเย้าเสียพักใหญ่ พอครานี้ที่ไม่เข้าใจความหมายของคำว่า "กุศโลบาย" ขวัญสรวงคนเดิมก็เอาแต่ยิ้มเย้า ชื่นมื่นนักหนา
ร่างประเปรียวเบือนใบหน้าที่เต็มไปด้วยความฉุนไปอีกด้าน ก่อนจะเอี้ยวตัว ก้าวขากลับไปทางประตู
แต่ขวัญสรวงนั้นขืนแรง ไม่ยอมปล่อยมือ
"จะไปไหนหรือ"
"มานานแล้ว นมละเอียดคงรอ สมควรกลับเสียที"
จริงอยู่ที่ใบหน้านั้นยังคงเรียบนิ่งเป็นปรกติ หากแต่เสียงแผ่วเนิบกลับลงน้ำหนักคำกว่าทุกครั้ง
มีหรือที่คนช่างสังเกตจะไม่รู้สึก
ขวัญสรวงรีบเอียงหน้าหนีไปอีกด้าน กำมืออีกข้างหลวม ๆ แล้วยกมาป้องเหนือริมฝีปาก จากนั้นก็ลอบหัวเราะจนร่างที่สูงใหญ่สั่นไหว
แม้ว่าหันหลังอยู่ หากแต่บ่าและหัวไหล่ที่กระเพื่อมน้อย ๆ นั้นก็ชัดเจนพอจะเข้าใจว่าอีกฝ่ายหันหน้าไปอีกด้านเพราะเหตุใด เรียมลลิตรจึงเอ่ยปากอีกครั้ง
"อะไร"
คนตัวโตค่อย ๆ หันกลับมาด้วยท่วงท่าที่ดูขรึม ทว่าดวงตาอันสุขุมคู่นั้น บัดนี้กลับดูขี้เล่น แจ่มใส เบิกบานเต็มที่ ยิ่งไม่มีคำตอบให้ คนที่เอ่ยถามก็ยิ่งปั้นปึ่ง
"งอนหรือ"
เอ่ยถามคนที่ยืนนิ่งคล้ายกับว่าเป็นคนแปลกหน้ากัน ไม่เคยรู้จักมาก่อน เมื่อไม่ได้มีถ้อยคำใดกลับ คนอารมณ์ดีนักหนาก็เอ่ยต่ออย่างไม่ลดละ
"ทำไมเรียมต้องงอนพี่"
คนถูกถามไม่ได้ตอบความ แต่มุ่นหัวคิ้วขมวดขึ้น ริมฝีปากบางเรียบเชิดจนรั้นรับกับปลายจมูก
ขวัญสรวงนั้นกลับยิ่งเบิกบานใจ ถึงขนาดแกล้งออกแรงดึงอีกฝ่ายเข้ามาใกล้แล้วตะครุบตัวเอาไว้ด้วยสองแขน
คนตัวสูงทิ้งน้ำหนักลงนั่งที่ขอบหน้าต่าง ดึงอีกฝ่ายที่ขืนตัวไว้ให้เข้ามาใกล้ขึ้นอีก ยิ่งฝืน ก็ยิ่งออกแรงรั้ง กระทั่งเรียมลลิตรนั่งลงบนตักนั่นแหละ ขวัญสรวงจึงพอใจ
ใบหน้าคมคายแหงนขึ้นอย่างเชื่องช้า ก่อนที่น้ำเสียงทุ้มกังวานจะแว่วขึ้น
"ทำไมน้องจึงชอบเอาแต่ใจนัก"
"อย่าทึกทักแบบนั้น"
รอยย่นระหว่างหัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน ทั้งยังใบหน้าที่แสดงความรู้สึกไม่ชอบใจ ล้วนทำให้ขวัญสรวงอมยิ้ม
"เดี๋ยวนี้แสดงความรู้สึกได้ด้วยหรือ"
"แล้วทำไมถึงต้องแสดงไม่ได้ล่ะ?"
น้ำเสียงผะแผ่วนั้นยังคงเชื่องช้า แต่ผู้พูดนั้นเอ่ยมันขึ้นทันควัน
"ผมจะกลับแล้ว"
ขวัญสรวงไม่ปล่อยมือ
"พี่ไม่ให้กลับ"
เมื่ออีกฝ่ายดื้อแพ่ง เรียมลลิตรจึงทำได้แค่เพียงเบือนหน้าไปอีกด้านแล้วนิ่งเงียบเป็นรูปปั้น
"เรียม” คนตัวสูงเอ่ยเสียงกระซิบ “น้องพี่ โปรดฟังก่อน"
การหยอกนั้นสิ้นสุดไปนานแล้ว ขวัญสรวงกอดคนที่นั่งอยู่บนตักตัวเองเต็มมือ แม้จะเป็นอากัปกิริยาที่ค่อนข้างแปลก แต่เมื่อเทียบกับความไม่สบายจิตใจที่อีกฝ่ายกำลังรู้สึกก็เปรียบดังธุลีเล็ก ไม่มีความหมายใดให้ชายหนุ่มใส่ใจ
ใบหน้าคมเข้มเอียงเข้าหา เอ่ยแต่ละถ้อยคำด้วยความสัตย์
"พี่เป็นห่วง อยากให้เสียอยู่ที่นี่ด้วยกัน น้องอยู่ที่บ้าน ถึงใกล้เท่านี้แต่ก็ไกลพี่ ไม่รู้จะต้องเจอกับอะไรบ้าง พี่ก็พลอยกังวล"
เสียงทุ้มนั้นเว้นห้วง คล้ายจะรอว่าคนฟังว่าว่ากล่าวสิ่งใด แต่เมื่อทุกสิ่งยังคงนิ่งดังเดิม ขวัญสรวงจึงเปรยต่อด้วยน้ำเสียงไม่สบายใจ
"ใช่เพียงแต่พี่ นมละเอียดก็คงกลัดกลุ้ม เรียมไม่สงสารท่านหรือ"
แผ่นหลังนั้นยังคงสง่าตั้งตรงเป็นฉาก เปรียบดังกำแพงสููงทรงพลัง เรียมลลิตรยังคงเงียบ ไม่ขยับแม้แต่น้อย จนคนพูดชักใจคอไม่ดี แง่งอนก็เรื่องหนึ่ง แต่ความสุขสงบปลอดภัยจากแขกที่เจ้าบ้านคงไม่เต็มใจต้อนรับนั้นสำคัญกว่ามาก
ขวัญสรวงลากลมหายใจยาว เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"อยู่ที่นี่ มีอะไรจะได้ช่วยกันดูแล พี่เต็มใจ ไม่ถือเป็นเรื่องลำบากให้ต้องเกรงใจกัน"
เงียบไปชั่วครู่เหมือนครุ่นคิดตรึกตรอง สุดท้ายคนไม่ยอมพูดจาก็เอ่ยปากขึ้น
"ไม่ชอบให้จ้อยมาที่บ้านอย่างนั้นหรือ"
ใบหน้าที่ไม่สบายใจของคนที่ปรกติมักยิ้มแย้มอยู่เสมอทำให้เรียมลลิตรเป็นกังวลเกินกว่าจะใส่ใจกับความหมางเมินเล็กน้อย
"เขาเป็นคนอันตรายหรือ"
ขวัญสรวงนิ่งเงียบด้วยความรู้สึกหลายหลาก ไม่เชิงว่าสิ้นคำตอบ แต่ลังเลว่าจะพูดอย่างไรเสียมากกว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ไม่อาจเรียกเต็มปากได้ว่าถูกหลู่เกียรติ อารมณ์ฮึกเหิมของจ้อย สุดท้ายก็เปรียบได้เพียงสุนัขเห่าใบตองแห้ง ความต่างนั้นมีมากเสียเกินกว่าจะนำมาเทียมกัน
เรียมลลิตรเองก็เงียบไปนานเหมือนครุ่นคิด ก่อนจะตัดสินใจพูดขึ้น
"ถ้าทำให้ทุกคนเป็นกังวลขนาดนั้น จะบอกให้เขาไม่มาอีกแล้วกัน"
ยังมีแก่ใจเป็นห่วงจ้อยอีกหรือ
ขวัญสรวงเอ่ยคำถามนั้นกับตนเองในขณะที่สบดวงตาคู่สวย แววตาคู่นั้นกำลังแสดงความรู้สึกผิดอยู่ในที
แม้ภายนอกจะคล้ายคนนิ่งเฉยไร้ความรู้สึก แต่ขวัญสรวงกลับตระหนักรับรู้ได้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนจิตใจดี เอื้อเฟื้อ เห็นแก่ความรู้สึกของคนอื่นมากกว่าตนเอง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถ้าเป็นคนอื่นคงไม่จบลงด้วยความรู้สึกเมตตาปรานีของเจ้าบ้าน ซึ่งก็เห็นได้ชัดว่าน้ำใจของเรียมลลิตรนั้น มีพลานุภาพเหนือกว่าความใหญ่โตของจ้อยเหลือคณา
"หิว"
จู่ ๆ คนที่นั่งอยู่บนตักก็เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เมื่อเห็นคนที่นั่งกอดมองอย่างตกตะลึงก็เอ่ยซ้ำด้วยน้ำเสียงช้าเนิบ
"หิวแล้ว"
ความตึงเครียดค่อย ๆ คลี่ออก ขวัญสรวงยิ้มขึ้นทันที ลืมเรื่องไม่สบายใจต่าง ๆ ไปเสียสิ้น
"อยากทานอะไรเป็นพิเศษไหม"
"ไม่รู้" เรียมลลิตรตอบสั้น
"อาหารน่าจะพร้อมแล้ว วันนี้สายบุญคงทำกับข้าวหลายอย่าง พี่ว่าเราลงไปดูข้างล่างกันไหม" ขวัญสรวงจับร่างเปรียวที่อยู่บนตักให้ลุกขึ้นขึ้น แล้วเดินนำออกไปจากห้อง "แต่คงต้องรีบหน่อย บ่ายนี้ ลูกศิษย์จะมาที่บ้าน"
เรียมลลิตรพยักหน้าน้อย ๆ รับอย่างไม่ติดขัด ก่อนจะเอ่ยถาม
"ได้สิ แล้วนายสิทธิ์เป็นใครหรือ"
คนตัวสูงหันขวับกลับมามอง ทั้งที่รู้ว่าจะต้องโดนอีกฝ่ายคาดโทษเข้าให้อีก แต่ก็อดไม่ได้จริง ๆ
"อะไร"
จำเลยไม่ได้ตอบคำถามแต่ฉีกยิ้มกว้างเต็มที่ เรียมลลิตรรับรู้ได้ในขณะนั้นเองว่าตนคงไม่เข้าใจภาษาไทยอย่างแตกฉาน และเมื่อขวัญสรวงไม่มีทีท่าว่าจะให้คำตอบ จึงค่อย ๆ พูดทีละคำเหมือนจะเปรยกับตนเอง
"อธิปน่าจะรู้จัก"
เพียงประโยคสั้น ๆ ที่แว่วขึ้นนั้นกลับทำให้รอยยิ้มของขวัญสรวงค่อย ๆ เจื่อนลงอย่างง่ายดาย
ช่วงเวลากลางวัน ท้ายตลาดอันเป็นที่ตั้งของเวทีลิเกจะค่อนข้างเงียบเหงา มีเพียงแผ่นป้ายเขียนด้วยลายมือว่าค่ำนี้จะมีการแสดงลิเกเรื่องใดพอให้พอรู้ว่ายามตะวันลับไปจากขอบฟ้าไปแล้ว ความคึกคักจึงจะกลับมาอีกครั้ง
ชีวิตชีวานั้นซ่อนอยู่หลังเวที เมื่อไม่ได้ทำการแสดง ต่างคนก็ต่างใช้ชีวิตของตนเอง บ้างก็ฟังละครวิทยุ บ้างก็นอนคุดคู้ บ้างก็นั่งเล่นไพ่ พวกช่างศิลป์ทำฉากก็จะทำงานซ่อมแซมสีที่ถลอกจางของตน
คณะลิเกเทวราชของนางผุยประกอบด้วยนักแสดง เหล่าช่างที่คอยดูแลเปลี่ยนอุปกรณ์ เหล่าแม่ครัวคอยหุงหาอาหาร รวมแล้วก็ร่วมยี่สิบชีวิต ทุกคนใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันหลังเวที ไม่แบ่งแยกชายหรือหญิง เด็กหรือชรา กินด้วยกัน นอนด้วยกันหลังฉากไม้ตีกั้นง่าย ๆ แห่งนั้น
จันดีเป็นเพียงคนเดียวที่ใช้ชีวิตไม่เกี่ยวข้องกับผู้ใด หล่อนเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของนางผุย เจ้าของคณะลิเก ข้อนี้จึงนับเป็นข้อยกเว้น หล่อนจึงมีที่พักแยกออกมาต่างหาก มีความเป็นส่วนตัว ห้องหับน้ำท่าสะดวกสบายต่างจากคนอื่น
บ่ายนี้ ขณะที่นางผุยกำลังคิดบัญชีรายรับรายจ่ายของคณะลิเกเทวราช จันดี ผู้เป็นลูกสาวกลับเพลิดเพลินกับการดูเครื่องประดับแพรวพรรณในหีบ ทุกอย่างล้วนเป็นของงาม มีราคาสมกับผู้เป็นเจ้าของห้อง ในตอนที่หญิงสาวกำลังส่องกำไลหยกชิ้นใหม่ที่เพิ่งได้มาจากจ้อย เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงของนายดำ หัวหน้าฝ่ายช่างศิลป์ของคณะลิเก
"แม่ผุย จันดี นายศักดิ์มาขอพบ"
หลังจากได้ยินเสียงตอบรับของเจ้าคณะ ประตูห้องก็เปิดขึ้นพร้อมกับนายศักดิ์ ผู้ติดตามของจ้อยซึ่งคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
"ดำ เอ็งออกไปก่อน ข้าจะคุยธุระ"
สิ้นคำสั่งของนางผุย ประตูก็ปิดสนิทลงอีกครั้ง
ศักดิ์หันมาหาหญิงสาวที่นั่งพับเพียบอยู่กลางห้อง จันดีรู้ดีว่าควรทำอย่างไร หล่อนส่งยิ้มหวาน ใบหน้าที่งามแฉล้มจึงยิ่งดูสวยสะกดใจ
"พี่ศักดิ์มีธุระอะไรกับจันดีหรือเปล่าจ้ะ"
ศักดิ์พยักหน้าพร้อมกับเสียงถอนหายใจที่ดังขึ้น
"ข้าแวะมาบอกว่าวันนี้พี่จ้อยคงไม่มา ไม่ต้องรอให้เสียเวลา"
"จ้ะพี่ จันดีต้องขอบใจพี่ศักดิ์มากนะจ๊ะที่ส่งข่าว"
หล่อนตอบเสียงหวานใส เป็นกันเอง ปราศจากอาการขวยเขิน ผิดกับนางผุยที่ดูจะประหลาดใจกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินอยู่ไม่น้อย จึงเอ่ยถามด้วยความเคลือบแคลง
"เป็นอะไรรึ หรือว่าไม่สบาย"
"สบายน่ะสบายดี แต่พักนี้ไม่รู้เป็นอะไร ดูเบื่อ ๆ ไม่มีอารมณ์ออกไปรื่นเริงอะไรเหมือนเมื่อก่อน"
"หรือจะเบื่อนางจันเข้าแล้ว" นางผุยโพล่งขึ้นอย่างคนที่นั่งไม่ติด "ติดพันสาวใหม่หรือ นายของพ่อศักดิ์มีมองสาวคนไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า"
"ไม่เห็นนะ"
"หรือว่านางน้ำทิพย์ ลูกแม่บานชื่นนั่น เห็นว่าหน้าตากิริยาใช้ได้"
"ไม่ใช่หรอก ไม่เห็นจะไปบ้านนายเทิดแบบแต่ก่อน" ศักดิ์ส่ายหัวเหมือนจนปัญญา "ส่งข่าวแค่นี้ ข้ากลับละ เผื่อจะเรียกใช้ ไม่อยู่จะลำบาก"
"เดี๋ยวสิพ่อศักดิ์" นางผุยรั้งไว้
หล่อนเปิดลิ้นชัก หยิบห่อผ้าแพรจีนสีเลือดนกที่ใส่เงินเอาไว้ขึ้นมาแล้วเดินมาส่งให้กับศักดิ์ที่ยืนอยู่หน้าประตู
"ยังไงก็ขอบใจพ่อศักดิ์มากนะที่มาส่งข่าว มีอะไรก็อย่าลืมมาบอกกัน"
สีหน้าเคร่ง ๆ ของศักดิ์ดูอารมณ์ดีขึ้น ชายหนุ่มพยักหน้ารับคำแล้วรีบกลับไป คล้อยหลังไปแล้ว นางผุยจึงเดินกลับมานั่งที่โต๊ะ หยิบหมากที่เชี่ยนไว้ขึ้นมาเคี้ยวด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะหันมาสอบสวนหญิงสาวที่นั่งเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่หน้ากระจกบานเล็ก
"เอ็งไปทำอะไรให้พ่อจ้อยไม่ชอบใจหรือเปล่า"
จันดีหัวเราะน้อย ๆ อย่างคนอิ่มสุข ดวงตาดูใสเป็นประกาย
"แม่จะไปเดือดร้อนทำไมล่ะจ้ะ เขาจะมาก็มา ไม่มาก็ไม่มา"
"นางจัน เอ็งระวังให้ดีเถอะ อย่าหวังจะได้สบายง่าย ๆ นางเด็กน้ำทิพย์นั่นข้าเคยเห็น สวยน้อยเสียปะไร"
นางผุยบ้วนหมากที่เคี้ยวไว้ลงกระโถน หันมาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น
"ข้าจะเตือนไว้ ถ้ายังไม่อยากตกสวรรค์ก็รีบจับพ่อจ้อยเสียให้อยู่หมัด คนมีฐานะ เป็นถึงลูกกำนัน ไม่ได้มีมาถึงเอ็งมากนักหรอกนะ"
"แม่ก็คิดมากไป"
"เอ็งสิคิดน้อยไป คิดว่าพวกทองหยอง ต่างหู กำไล เครื่องประดับเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เอ็งได้มามันเยอะหรือไร รวมกันจะสักกี่ร้อย ขายเป็นเงินไม่เท่าไรก็หมด แต่ถ้าเอ็งได้กับพ่อจ้อย เอ็งจะสบายไปทั้งชาตินะนางจัน"
"แล้วใครบอกว่าฉันไม่คิดล่ะ"
คำตอบง่าย ๆ ของจันดีทำเอาผุยชะงัก มองลูกสาวตัวเองอย่างไม่เข้าใจ หญิงสาวหยิบหวีขึ้นมา แปรงเส้นผมที่ยาวประบ่าช้า ๆ จนคลี่สยายออกดั่งพู่ไหม
"พี่จ้อยก็ดีนะ แต่ถ้าไม่ดีที่สุด ฉันก็ไม่อยากลงแรงให้เหนื่อย"
"เอ็งหมายถึงอะไร"
จันดีวางหวีลงบนโต๊ะ หยิบดอกมะลิซ้อนที่วางอยู่บนผ้าเช็ดหน้าขึ้นเหน็บหู แล้วคลานมานั่งพับเพียบตรงหน้านางผุยด้วยกิริยาอ่อนช้อย
"แม่จ้ะ เขาว่าที่ปลายเวิ้งคลองแสนแสบมีปลาตัวโตอยู่"
สีหน้าของผู้เป็นแม่แสดงอาการตกใจไม่น้อย
"เอ็งหมายถึง..."
"คฤหาสน์ใหญ่โตอย่างกับวังตั้งสองหลังตรงนั้น จันยังไม่เคยเห็นเลย ได้ยินแต่ชาวบ้านเขาพูดว่างามนัก ลือกันอีกว่าคุณชายขวัญสรวงที่อยู่ในคฤหาสน์ก็งามไม่แพ้กัน"
"นี่เอ็ง..."
จันดีพยักหน้าน้อย ๆ พวงแก้มแดงปลั่ง หล่อนยิ้มเห็นฟันสะอาดขาว ดูราวกับเด็กสาวบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเวลาที่อ้อนผู้ใหญ่เพื่อขอของเล่น
“จันไปเที่ยวเล่นได้ไหมจ้ะ”
"ทำไมจะไม่ได้ เอ็งนี้มันถูกใจข้าเสียจริง" นางผุยพูดเสียงฮึกเหิม หยิบหมากขึ้นเคี้ยว ชอบอกชอบใจนัก "ไม่เสียแรงที่ข้าฟูมฟักสั่งสอนมาเองกับมือ"
+++++++++++++++++++++++++
ฉลองคริสต์มาส + คอมใหม่ ลงสองตอน
อ่านต่ออีกตอนนึงนะครับ เอาให้ตายกันไปข้างนะฮะนะฮะ!!!