ปั จ ฉิ ม บ ท • จ้ า ว ธ า ร า
ไม่เพียงแต่กลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งติดจมูก
ไม่เพียงเสียงผิวน้ำกระเซ็นกับเสียงสายฝนที่โหมกระหน่ำ
บางทีอาจจะมีเสียงกรีดร้อง……
….ไม่สิ….ไม่มี… ….ไม่มีอะไรเลย…. เท่าที่จำได้…มันคือความเงียบงัน หรือบางทีอาจจะมีเพียงแค่หัวใจเราเท่านั้นที่เงียบงันได้ขนาดนี้ เพียงแค่เราไม่สามารถรับรู้ถึงทุกสรรพสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นรอบตัว เพียงแค่ไม่อาจละสายตาจากดวงตาสีอำพันคู่ตรงข้าม…ที่ไม่แสดงอารมณ์ใดออกมานอกจากความว่างเปล่า
หรืออาจจะเป็นตัวเราเอง…ที่สัมผัสถึงสิ่งนั้นไม่ได้
มันมากกว่าความโกรธ ความเกลียดชัง
ไม่สิ.. ก็แค่ความรู้สึก….ที่ไม่อาจสรรหาศัพท์มนุษย์ใดมาอธิบาย เพียงแค่ข้างในผลึกแก้วนั้นแตกสลาย หัวใจที่แสนอ่อนแอบอบบางนี้…เพียงแค่คำลวง แค่คำโกหก แค่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมานั้นไม่มีความหมาย เพียงแค่นั้น
ราวกับว่าร่างกายของเรา…เป็นเพียงก้อนตะกอนความแค้นที่กลั่นออกมาเป็นรูปร่าง
เพียงเท่านั้น ชั่ววินาทีที่สติเลือนหายไป คือตอนที่เราตัดสินใจกระชากสร้อยคอสีอำพันออกมาด้วยตัวเอง แต่เพียงแค่นั้นอาคมที่จางก็ไม่ได้เสื่อมคลาย…กายมนุษย์ยังคงรูปอยู่อย่างนั้นให้คนในบ้านทุกคนพอจะทันตั้งตัว ก่อนสัมปัชชัญญะทั้งหมดจะกลืนหายไปเป็นเพียงสัตว์เดรัจฉานขนาดมหึมาแบบที่ไม่ได้คืนกายมานานแสนนานแล้ว
ไล่ล่า
ขัดขืน
จนมุม
ทรยศ
แก้แค้น
….ราวกับว่าวัฏจักรเหล่านั้น...ไม่มีวันสิ้นสุด
คนๆนั้นเป็นยิ่งกว่าผู้มีพระคุณ ยิ่งกว่าพ่อ ยิ่งกว่าแม่ ยิ่งกว่าแค่คนที่เลี้ยงดูตัวเองมา
และ…
….เราฆ่า…ด้วยมือของเราเอง “พี่วัน…” ใช่…ตอนนั้น…ก็มีเสียงเรียกเหมือนตอนนี้
“ไอ้พี่วัน…ไอ้พี่วัน…” ใช่…
….นั่น….ราวกับว่านานแสนนานมาแล้วนั้น…. ผมลืมตาขึ้นรับแสงอาทิตย์ที่เล็ดลอดเข้ามาจากม่านระเบียง ปรือตามองเงาร่างที่คุ้นเคยเดินแต่งตัวผูกไทพร้อมตามหาข้าวของในห้องไปด้วย เมื่อเห็นว่าผมตื่น เขาก็ไม่ได้เรียกชื่อผมอีก แต่เปลี่ยนมาถามคำถามแทน
“เห็นนาฬิกาข้อมือไกรมั้ย?”
ผมปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง “เรือนไหนล่ะ?”
“ก็มีอยู่เรือนเดียวอ่ะ”
“ถอดทิ้งไว้ในห้องน้ำรึเปล่า?”
“เอ้อจริงด้วย”
สิ้นคำเขาก็หมุนตัวเดินกลับเข้าห้องน้ำไป และออกมาในสภาพแต่งตัวเรียบร้อย
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ขี้ลืมแบบนี้เสมอ และบางครั้งผมก็สงสัยว่า…ทำไมจระเข้อย่างเราถึงผูกมัดตัวเองไว้กับความแค้นหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต อาจเป็นเพราะช่วงชีวิตที่ยาวนานกว่า…ผ่านอะไรมามากมายกว่า…และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ที่ทำให้เรา…จำเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นได้มากกว่า
…และยึดติดกับมัน…มากจนเกินไปในบางครั้ง “จะไปไหนน่ะ?” ผมถอนหายใจ พลิกตัวมานอนมองเขาอีกครั้ง “แต่งตัวซะเต็มยศเลย”
“บ๊ะ ก็สอบไง ทำมาลืมไปได้”
“เอ้อจริงด้วย”
……จระเข้ก็คงจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ขี้ลืมไม่แพ้กัน ผมยิ้ม รู้สึกเขลานักที่นั่งคิดเรื่องอะไรแบบนั้น “Get A นะครับ”
“แหม่ะ ขอบใจนะ” เขาทำเสียงประชดประชัน ขณะหยิบรองเท้าผ้าใบมาสวม “อย่าลืมกินข้าวกลางวันด้วยล่ะ ถ้าขี้เกียจก็ต้มมาม่า…แต่ข้าวมันไก่ยังมีอยู่ห่อนึงในตู้เย็นนะ”
“ครับผม”
“อย่าลืมออกไปตากแดดด้วยเดี๋ยวเป็นเชื้อรา แล้วก็…นอนเป็นนีทที่ดีเฝ้าห้องไปนะ”
“ครับผม”
“ไอ้พี่วัน”
“หืม?”
อีกฝ่ายหรี่ตามองผม “พออายุสักห้าสิบ พี่จะเป็นลุงมีพุงมีนมนอนอ้วนแบบนี้มั้ยเนี่ย?”
ผมปรือตาลง หัวเราะเบาๆ “ไม่อ่ะ พี่คงจะเป็นคุณลุงเจ้าสเน่ห์ยืนถอดเสื้อรดน้ำต้นไม้อวดซิกแพ็คกับสาวม.ปลายแถวบ้าน”
“…จัดการกับวันแพ็คนั่นก่อนเถอะ”
พูดเสร็จก็ปิดประตูโครม เล่นเอาผมต้องเลิกผ้าห่มตรวจสอบพุงตัวเองเลยทีเดียว
ก็จริงอยู่ที่หลายเดือนที่ผ่านมาผมเอาแต่นอนเล่นทำตัวเป็นคุณชายไปวันๆ แต่ก็ไม่เห็นต้องขู่หาอะไรขนาดนั้น…ผมไม่ใช่คนขี้เกียจอะไรสักหน่อย ก็แค่เป็นนักศึกษาดรอปเรียน แล้วก็รอลงเรียนพร้อมอีกฝ่ายในปีหน้าก็เท่านั้นเอง
แต่พูดกันตามตรงแล้ว…เรื่องแบบนั้นไม่สลักสำคัญอะไรกับผมเท่าใดนักจนผมนึกถามตัวเองอยู่หลายครั้งหลายหนว่าเราทำอะไรอยู่กันแน่
ผลการเรียน ใบปริญญา เพื่อนที่มหา’ลัย
…สิ่งเหล่านั้นมีค่าอะไรงั้นหรือ… ทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมาผมก็อยากทำเพียงแค่ขดตัวนอนอยู่ในผ้าห่มต่อเท่านั้นเอง หรือไม่ก็หายใจรดไปวันๆเพื่อให้ได้นอนใหม่ คงจะมีตัวขี้เกียจฝังอยู่ในกระดูกสันหลังผมไปแล้ว…
…เพราะแค่เหตุผลที่จะมีชีวิตอยู่…ผมยังไม่รู้เลย… ‘เพราะท่านคือจ้าว…’ หลายเสียงที่อยู่ในหูพากันกลอกใส่ ผมไม่รู้ว่าเสียงเหล่านั้นเป็นของใครบ้าง…ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันดังมาจากที่ไหน แต่เพราะมันดังมาตลอด…มาตลอดตั้งแต่ที่ผมลืมตาดูโลกใบนี้
‘จ้าวผู้ปกครอง…ผู้อยู่เหนือมวลกุมภาทั้งปวง’ ‘…จ้าวธารา’ วินาทีถัดจากนั้นผมตัดสินใจสะบัดคำถามพวกนั้นทิ้งไป ทั้งๆที่พวกมันทั้งหมดต่างหลอกหลอนอยู่ในสมองนี้มาเกือบครึ่งปี ทุกครั้งที่ข่มตานอน ทุกครั้งที่รับรู้ว่าตัวเองยัง…มีลมหายใจ
ถึงได้รู้ว่า ‘หนึ่งชีวิต’ ถูกช่วงชิงไปง่ายดายแค่ไหน
…การฆ่ากัน…มันง่ายดายแค่ไหน… ไกรชอบพูดเสมอว่าผมเย็นชา ตายด้าน ไม่แสดงอารมณ์…ซึ่งถ้าพูดอย่างเข้าข้างตัวเองสุดโต่งนั่นหมายถึง...ผมไม่ถนัดแสดงออกเท่าไหร่
ผมไม่อยากอ้างเหตุผลว่าเพราะผมเป็นจระเข้ ถึงได้เผลอทำตัวว่าไม่รู้สึกรู้สาอะไร ก็แค่การโยนความผิดง่ายๆว่าเพราะผมถูกเสี้ยมสอนมาตลอดว่าห้ามรู้สึกอะไร ต้องแข็งแกร่งมากกว่านี้…เข้มแข็งไปถึงข้างในหัวใจ
‘ความรู้สึก’ เป็นเพียงจุดอ่อน…จุดอ่อนที่ทำให้เราถูกเล่นงาน
ตอนนี้ผมคงเศร้าอยู่ ใช่ ตอนนั้นก็เหมือนกัน
…ตอนที่หนีมา…ในครั้งนั้น… ผมเดินเข้าห้องน้ำ จัดการธุระส่วนตัวเพียงไม่นานก็หมุนตัวจะเดินออกมา…แล้วชะงักลงที่หน้าต่าง สิ่งที่สะดุดตาในกระจกคือดวงตาสีอำพันสว่างคู่นั้น…ผมหลุบตาลง ตั้งสมาธิแล้วลืมตาขึ้นมาใหม่ มันเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแก่…สีที่ไม่แตกต่างไปจากมนุษย์ทั่วไป
ผมเปิดก๊อกน้ำ ปล่อยให้สายน้ำเย็นไหลรดบนผิวหนัง มองพวกมันค่อยๆขึ้นเกล็ดสีเขียว เปลี่ยนสีผิวขาวเหลืองให้คล้ำเข้มขึ้นช้าๆอย่างเลื่อนลอยนั่น
ก่อนที่สติจะหลุดลอยกลับไปกับเรื่องราวในอดีตอีกครั้ง ผมตัดสินใจดึงมือกลับมา แล้วเช็ดรวกๆกับผ้าเช็ดมือที่แขวนอยู่ข้างประตู พื้นสัมผัสของกระเบื้องที่อยู่ใต้ฝ่าเท้านั้นเย็นชืด อากาศหลังปิดเครื่องปรับอากาศไปก็อึดอัดชวนหดหู่เหลือเกิน
ผมเดินไปเปิดระเบียง ก้าวเท้าออกไปพร้อมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
กลิ่นไอแดดให้ความรู้สึกดีเสมอ…และไม่ว่าจะร้อนมากแค่ไหนแต่ ‘พวกเรา’ ก็ชอบแสงแดด มันทำให้อุณหภูมิในร่างกายที่เย็นกว่ามนุษย์ปกติแบบนี้อุ่นขึ้นเล็กน้อย
….ให้รู้สึกราวกับว่า…พวกเราเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแออย่างนั้น
สิ่งที่จำฝังอยู่ในใจ…คือความจริงที่ว่าผมไม่ใช่ ‘มนุษย์’
...และตอนนี้ผมอยากหาความหมายของคำๆนั้นเหลือเกิน+++++++++++++++++++
ผลัวะ!! “ปิดเทอม!!!” คำนั้นที่ตะเบ็งลั่นแปดหลอดทันทีที่ประตูเปิดผลัวะออกทำให้ผมสะดุ้งเฮือกขึ้นมาแทบตกเตียง พอจะลืมตาก็ต้องปิดเปลือกตาลงอีกครั้งเมื่อไฟในห้องพลันสว่างพรึ่บ! จนม่านตาปรับแสงไม่ทัน
ตามมาด้วยน้ำเสียงที่เหมือนตกใจมาก
“…นี่พี่นอนทั้งวันเลยป่ะเนี่ย!?!” ผมขยี้ตาสองที “เปล่า เพิ่งนอนตอนเย็น…นี่กี่โมงแล้วล่ะ?”
“ทุ่มนึง”
“อ้อ”
ไกรขมวดคิ้ว แต่ก็ปิดประตูห้อง “กินไรยัง?”
“ยังเลย”
“ตั้งแต่เช้าอ่ะนะ?”
“บ้า กลางวันกินแล้วสิ”
“กินอะไร?”
“ก๋วยเตี๋ยวหน้าหอไง”
“ค่อยยังชั่วหน่อย”
“มาม่าหมด ข้าวมันไก่ก็เสียแล้ว”
“มิน่าล่ะ”
ผมเลิกคิ้ว “…ไกรพูดยังกับดูแลเด็กเล็กๆอยู่งั้นแหละ”
คนฟังยักไหล่ “ไม่ต่างกันนักหรอก”
“เฮ้”
“แต่งตัวดิ” เขาเมินผมอย่างสิ้นเชิง แล้วโยนเนคไทไว้บนโต๊ะ “เดี๋ยวไปหาไรกินกัน”
ผมเลิกคิ้ว รู้สึกทะแม่งไม่น้อยกับประโยคแบบนั้น กับน้ำเสียงที่แสร้งทำเป็นไม่รู้สึกรู้สาแบบนั้น แต่ก็ยอมลุกขึ้นจากเตียงมาสวมกางเกงยีนส์ดีๆสักตัวก็พร้อมออก
แต่เขาก็กำลังง่วนอยู่กับการเสียบสายชาร์จมือถือ เห็นบ่นว่ามันเจ๊งกะบ้งมาตั้งแต่อาทิตย์ก่อน พอจะไปซื้อใหม่ทีไรก็ลืมทุกที…แต่นั่นแหละ เขาปล่อยให้ความเงียบคลุมไปทั้งห้อง มันทำให้ผมเอะใจ แล้วเดินเข้าไปใกล้ๆ
“ไกร เป็นอะไรน่ะ?” ผมยกยิ้มนิดๆ “โกรธพี่เหรอ?”
เขาเดาะลิ้น “เปล่า”
“ฮั่นแหน่ะ”
“เฮ้ยๆ ไม่ต้องมาทำตัวมุ้งมิ้งงุ้งงิ้งเลย ไร้สาระจริงๆ”
จบคำ ผมก็ชิงจูบแก้มเขาก่อน แล้วผละออกมา “ไปเถอะ เดี๋ยวคนเยอะ”
อีกคนยกมือเช็ดแก้มเบาๆ ไม่ได้ตอบอะไร แต่จากสายตาก็รู้ว่าคงอยากจะด่าผมเต็มแก่ข้อหาทำอะไรแบบนี้…
….จะว่ายังไงดีล่ะ…. ตอนนี้ผมรู้สึกอยากจะกลับคำ บอกเขาว่าไม่ต้องออกไปหาอะไรกินที่ไหนแล้วดึงเขาขึ้นเตียงชะมัด ปล่อยให้เขาบ่นเรื่องปวดหลังปวดเอวแล้วยังหิวข้าวอีก…น่าเสียดายที่หอพักนี่ไม่มีรูมเซอร์วิส
อย่างไรก็ดี เขาชิงเดินนำผมออกจากห้องมาเสียก่อนที่ผมจะทันได้พูดอะไร แต่ไม่ต้องกังวลไปหรอกครับ ผมมั่นใจว่าตัวเองเก็บความรู้สึกได้เก่งมากพอที่เขาจะไม่รับรู้ถึงอาการติดสัดที่ขึ้นมาหน่อยๆแบบนี้นี่
ผมเพิ่งผ่านช่วงลำบากที่สุดของฤดูมา…และช่วงราวๆเดือนกว่าๆที่ความต้องการทางเพศมันพุ่งสูงยากควบคุมนั่นก็เหมือนจะทำให้อีกฝ่ายเคยชินกับอะไรหลายๆอย่างแล้ว อย่างว่า นี่เป็นฤดูผสมพันธุ์ครั้งแรกระหว่างเรา ซึ่งก็รู้อยู่นะว่าคงไม่มีผลผลิตอะไรออกมาแต่ก็เหมือนกับทุกๆปีของผมที่ใช้เวลากับมาลาและวรรณนา…แต่ตอนนี้ผมมีเขา
แค่คนเดียว….
อาจจะเพราะว่าเขาเป็นมนุษย์ที่ ‘อ่านง่าย’ เป็นพิเศษ ทำให้ผมรับรู้ได้ในทันทีว่าที่เขาไม่บ่นเรื่องปวดขาปวดเอวเพราะคำว่า
‘แค่คนเดียว’ คำนั้นแหละ
..พอคิดมาถึงตอนนี้…ผมถึงได้รู้ว่าไกรเป็นมนุษย์ที่อ่อนแอแค่ไหน ถ้าเพียงเขารักผมน้อยลงกว่านี้เพียงสักนิด…เขาก็คงอยู่ในที่ปลอดภัย ไม่ต้องเจอเรื่องยุ่งยากอะไรแบบนี้แล้วแท้ๆ...
อีกครั้งที่ผมเหลือบมองเขาที่กำลังกดมือถือเล่น จนกระทั่งประตูลิฟท์เปิดออกเขาถึงค่อยขยับตัว
“มองไรเนี่ย” เขาว่า “ขนลุกชะมัด”
ผมยักคิ้ว “เขินอยู่ก็บอก”
“…อยากให้ด่าคำไหนเป็นพิเศษมั้ย?”
“ขอหวานๆสักคำก็แล้วกันครับ”
“ไอ้พี่วัน”
ผมหลุดหัวเราะ “อ่ะจ้ะๆ ว่าแต่…ไกรฝึกงานเมื่อไหร่นะ?”
“เมษา…เฮ้ย! อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องฝึกงานได้มั้ยเนี่ย” เขาแว้ดทันที ขณะเดินเตาะแตะนำผมไปที่ร้านโจ๊กข้างทางเจ้าประจำ “คนเพิ่งสอบเสร็จนะเว้ย มันต้องถามว่าพรุ่งนี้จะไปเที่ยวที่ไหนสิ”
“อ่ะจ้ะๆ” ผมรับคำด้วยรอยยิ้ม “แล้วพรุ่งนี้จะไปเที่ยวที่ไหนล่ะ?”
คนฟังส่ายหน้าหวือ “ไม่อ่ะ ตามโปรแกรมคือนอนทั้งวัน”
“อ้าว”
“…เมื่อคืนอ่านหนังสือทั้งคืนนะ เห็นใจเด็กมหา’ลัยหน่อยสิ”
“พูดอย่างกับพี่ไม่ใช่เด็กมหา’ลัยงั้นแหละ…”
เขาแลบลิ้น ทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ว่าง “เด็กดรอปไม่เกี่ยว”
“อ่ะจ้ะๆ”
“ถ้าพี่พูดคำว่า ‘อ่ะจ้ะๆ’ อีกคำเดียวนะ…..”
พอเห็นเขาเขม่นเช่นนั้นผมก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ แล้วทิ้งตัวนั่งฝั่งตรงข้ามกับเขา…ในตอนหัวค่ำเช่นนี้บริเวณหอจะคึกคักเป็นพิเศษ ส่วนใหญ่ก็เป็นเด็กมหา’ลัยเดียวกันเนี่ยแหละ
“…อ่ะจ้ะๆ”
“ไอ้-พี่-วัน”
“ไกรจะทำอะไรพี่เหรอ? พี่กลัวแล้วๆ”
อีกฝ่ายจิ๊ปากชัด
“ไกรจะไปทะเล” ..ชะงักไปเลยทีเดียว.. “เอ๋?” ผมทวนคำ รู้สึกยากลำบากกว่าที่คิด “ทะเลเหรอ?”
ดวงตาของอีกฝ่ายมีประกายระริกระรี้ถูกใจ แต่เขาก็กระแอมกระไอเม้มปากทำท่าว่าไม่ได้สะใจอะไรสักนิด ก่อนจะอธิบายต่อ
“ก็ทะเลไง วัยรุ่นคู่กับทะเลน่ะ…เคยได้ยินคำนี้ป่ะ”
ผมส่ายหน้าทันที “ไม่เคยเลยสักครั้ง”
ไกรชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ แล้วยักคิ้ว “พี่วันเคยไปทะเลรึเปล่าล่ะ?”
ผมกลอกตา “ทำไมจะไม่เคยล่ะ?”
“แต่ก็ไม่ลงน้ำใช่ปะ?”
“…….จะลงได้ยังไงกันล่ะครับ…”
“งั้นไกรไปทะเลดีกว่า”
คนพูดผิวปากหวือ รีบหยิบมือถือมากดเข้าแอพพลิเคชั่นไลน์
“ชวนโป๊ย ชวนแก้ว ชวนแตงโม..เอ ใครอีกดีนะ…อ๊ะ ถ้าพี่วันไม่อยากไปก็ได้นะ เดี๋ยวทิ้งกุญแจห้องไว้ให้ อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าไกรไม่อยู่ที่ห้องเนี่ยพี่วันจะลุกขึ้นจากเตียงบ้างรึเปล่า เผลอๆสามวันกลับมาจะเป็นจระเข้ตากซากขึ้นราไปแล้วก็ได้~”
“ไกร…..” ผมลูบหน้า “อย่าพูดถึงชะตากรรมพี่ด้วยรอยยิ้มแบบนั้นสิครับ”
“งั้นก็เลิกทำตัวเหลวแหลก แล้วทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันซะทีสิ” เขาดุ “วันๆเอาแต่กินกับนอน รู้ป่ะว่าไม่มีใครที่ไหนเขาอยากจะอยู่กับคนที่ไม่มั่นคงหรอกนะ”
ผมเลิกคิ้ว “…เป็น ‘จ้าว’ นี่ยังไม่มั่นคงพออีกเหรอ?”
“……..ขอเวอร์ชั่นมนุษย์” ผมยิ้ม “ไม่ต้องห่วง เลี้ยงดูได้ตลอดชีวิตเลยล่ะ”
เขาจ้องหน้าผมอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ ด้วยรู้อยู่แล้วว่าที่ผมทรนงตนออกไปนั้นไม่ได้พูดโกหกเลยสักคำ ผู้เป็น ‘จระเข้ผู้ดีจากพิจิตร’ และคงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณที่เหลือตามมา
แต่เพราะเป็นไกร เขาเลยหาข้อโต้แย้งได้ทุกครั้ง
“………พี่พูดคำนี้กับผู้หญิงมากี่คนแล้วเนี่ย…” “ไม่เคยสักครั้ง”
“ไอ้พี่วัน”
“…ครั้งนี้พี่ทำอะไรผิดเนี่ย”
เขาแยกเขี้ยว “นี่พูดให้คิดนะ! ถ้าวันนึงไกรไม่อยู่แล้วพี่จะทำยังไง!?”
“ก็…กลับไปอยู่กับจ้าวปู่”
ผมกระพริบตาปริบๆ ไม่เข้าใจว่าเขาถามแบบนั้นไปเพื่ออะไรเลยตอบไปแบบไม่ต้องคิด แต่คำตอบนั้นก็ทำให้เขาถอนหายใจออกมายาวเหยียด แล้วหันไปสั่งโจ๊กหมูสามชามเผื่อของผมด้วย
“แล้ว…” ผมกระแอมกระไอ รู้สึกว่าต้องง้ออะไรสักอย่าง “จะไปวันไหนล่ะครับ?”
“ไปไหน?”
อีกฝ่ายเลิกคิ้ว มันทำให้ผมเลิกตาม
…ด้วยคิดว่าตัวเองยังไม่ทันได้เปลี่ยนประเด็นจากเมื่อครู่สักนิด
“ก็…ทะเลไง”TBC==========อ่านต่อในเล่มค่าาาา============