ตอนที่ 10
ถึงเวลาต้องอำลา
ผมนอนค้างที่บ้านสองวัน จนสะสางเรื่องการโอนหุ้นเรียบร้อยแล้วโดยวานพี่นทีช่วยจัดการเรื่องสัญญาเพื่อป้องกันไม่ให้ตวันยืดเยื้อ ก็กลับมานอนห้องตัวเอง
ผมอมยิ้มเมื่อเห็นว่าข้าวของของตวันหายหมดแล้ว
อย่างน้อยก็ไม่ถึงกับต้องไล่สินะ
ผมพยักหน้าอย่างพอใจ หลังโอนหุ้นตวันก็เก็บข้าวของจากไป ส่วนเขาจะไปไหนจะทำอะไรต่อก็ไม่ใช่เรื่องของผมแล้ว
ผมเดินไปนั่งโซฟา ยังจำได้ว่าวันที่เลือกโซฟาตัวนี้ ผมลังเลระหว่างสีแดงกับสีน้ำเงิน ตวันบอกว่าสีไหนก็ได้ขอแค่ผมชอบ แต่ผมยึกยักอยู่นาน จนสุดท้ายตวันก็บอกว่าให้เลือกสีแดงสิ เพราะสีแดงเป็นสีของความรัก เวลาเห็นแล้วเราจะได้รักกันมากขึ้น
มาตอนนี้น่าจะเป็นสีของความช้ำมากกว่านะ
ผมหัวเราะเหอะๆ ให้ตัวเองขณะกลิ้งตัวเอกเขนกบนโซฟา พอเงยหน้ามองไปรอบๆ ก็รู้สึกวูบโหวงชอบกล
ห้องนี้โล่งขึ้นเยอะ
ไม่เหมาะกับการอยู่คนเดียวสักนิด ผมเปิดโทรทัศน์เพื่อไม่ให้เงียบเหงาเกินไป เอาน่า ตอนแรกอาจยังไม่ชิน แต่อีกไม่นานผมก็ต้องอยู่ได้ แม้ตลอดยี่สิบกว่าปีนี้จะมีตวันเคียงข้างมาตลอด แต่เขาไม่ใช่เจ้าชีวิต ให้รู้กันไปเลยว่าอกหักไม่ยักกะตาย!
ทุกอย่างก็เป็นไปตามที่คิดแล้วไม่ใช่เหรอ ตื่นสิตื่น!
ผมตบแก้มตัวเอง เรียกสติให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง ผมควรจะยิ้มสิ ควรจะดีใจที่สลัดตวันออกไปได้ตามแผน!
อะไรนะ ทำไมผมถึงไม่กลับบ้าน โธ่ แม้พี่นทีพร้อมจะต้อนรับ ป้าแช่มแสนจะรอคอย แต่ผม...ยังไม่พร้อมให้พวกเขามองมาอย่างเป็นห่วง ประคบประหงมคนอกหักรักคุดแบบเด็กตัวเล็กๆ ทั้งที่ผมตัวโตตั้งมาก
คิดแบบนี้ก็เริ่มจะทำใจได้จริงๆ ผมเริ่มต้นงานอดิเรก นั่นคือการนอนขี้เกียจ เพราะตั้งแต่หัวหมุนกับงานก็หาโอกาสทำได้ยากกว่าที่เคย เพิ่งมีโอกาสก็ช่วงขอลาหยุดพักใจนี่แหละ ข่าวของตวันกับพาฝันครึกโครมทั่วบ้านทั่วเมือง ผมไม่ปรากฏตัวย่อมไม่แปลก ยิ่งทำให้หลายคนพากันซุบซิบนินทากล่าวโทษสองคนนั้น แล้วนึกเห็นอกเห็นใจผมมากขึ้น
แต่จะมัวซ่อนตัวทำเป็นอ่อนแอนานๆ ไม่ได้ พรุ่งนี้ต้องไปทำงานตามปกติแล้ว
เพียงนึกผมก็ถอนหายใจเฮือก แม้จะรักชอบด้านแฟชั่นดีไซน์ แต่พอเป็นงานแบบนั่งโต๊ะจริงจังพ่วงบริหารก็ชวนปวดหัวไม่น้อย ยากยิ่งกว่าวางแผนตลบหลังอดีตคนรักซะอีก!
เอาล่ะ ถึงตอนนี้หลายคนคงสงสัยว่าทำไมผมถึงไม่เฉลยความจริงแก่ตวัน
โธ่ คุณๆ ครับ ผมไม่อยากเป็นตัวร้ายที่วางแผนให้เขาติดกับ แต่อยากเป็นตัวเอกน่าสงสารผู้ถูกกระทำต่างหาก! ลองนึกภาพสิ ถ้าผมโยนอัลบั้มภาพให้ตวัน เขาคงหน้าเสีย พูดไม่ออก ปากสั่น หน้าชา เมื่อทุกอย่างตั้งแต่ผมเข้าบริษัทนั้นคือแผน แล้วเขาจะยอมออกง่ายๆ เหรอ ไม่ เขาคงหน้าด้านหน้าทน ฝืนอยู่จนโดนไล่ต่างหาก แถมไม่ยอมคืนหุ้นง่ายๆ ด้วย
แต่ถ้าทั้งหมดเริ่มจากความระแวงแบบไม่รู้ลับลมคมในแต่เชื่ออย่างดีของผมล่ะ...
หนังคนละม้วนแน่นอน เพราะผมเข้าบริษัทก็ด้วยข่าวลือของเขากับพาฝัน เพื่อความบริสุทธิ์ใจ ตวันยอมให้ผมคุมงานแฟชั่นโชว์เอง ทั้งคู่คงขัดแย้งกันเรื่องนี้จนพาฝันคิดล่มงาน กลับกลายเป็นโอกาสให้ผมได้เปิดตัวควงคู่สมใจ จากนั้นก็มีภาพหลุดมาให้สงสัยเป็นระยะ ผมพยายามจะเชื่อตวัน แม้จะร้องไห้น้ำตานอง ขอแยกห้อง ตวันเองก็ตามง้อไม่ลดละ แต่แล้วทุกอย่างก็กลับตาลปัตร...ตวันโกหกผมตั้งแต่ต้น
ดูสิ ทั้งที่ไทม์ไลน์เหมือนกัน แต่ผลลัพธ์ต่างกันนะเห็นมั้ย
เมื่อเขามาเจอผมผิดหวังเสียใจจะเป็นจะตาย ตวันก็หน้าด้านหน้าทนไม่ไหว เขายอมทำตามคำขอร้องผมแต่โดยดี...นั่นคือการลาออกและยกหุ้นคืนให้ผม
พ่วงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต!
เมื่อเอ่ยถึงนาวา เขาจะนึกถึงคนรักแสนดีที่โดนหลอกจนเจ็บช้ำ ไม่ใช่นาวาคนร้ายกาจ คิดลากเขาลงมาจากตำแหน่งนั้นด้วยวิธีที่ล่มจมทั้งตัวตวันและพาฝัน
ถึงแม้จะซับซ้อนวุ่นวาย แต่ก็จบเรื่องได้รวดเร็วทันใจ
คนขี้เกียจก็มีวิธีของคนขี้เกียจ คิดหาทางลัด ใช้คนอย่างมีประสิทธิภาพ รอเก็บเกี่ยวผล!
ลาก่อนตวัน ใจภักดี
จากนี้เขาจะไปทำอะไรก็ไม่ใช่เรื่องของผมแล้ว
ลาแล้ว ลาลับ อย่ากลับมา!!
“แปลกจังที่เห็นที่รักดื่มเหล้า”
อุตส่าห์หนีมานั่งดื่มตามผับตามบาร์ร้านเล็กที่ไม่ค่อยมีคนเยอะ ศศินก็ดันตามมาถูกอีก เขาทิ้งตัวนั่งข้างผม แถมยังโบกมือสั่งเครื่องดื่มเพิ่มเหมือนเราทั้งคู่นัดเจอกันอย่างนั้นล่ะ
“ไม่ต้องกลัวเหงานะ ฉันจะเมาเป็นเพื่อนเอง”
“ตามมาถูกได้ยังไง”
“ก็แบบว่า...เป็นห่วงนิดหน่อย” ศศินเอ่ยเก้อๆ เมื่อผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชากว่าที่คิด จะไม่ให้ฉุนได้ยังไง ในเมื่อผมเคยบอกห้ามเขาส่งคนมาจับตามองกัน “ก่อนหน้านี้ไม่ให้คนตามแล้วนะ แต่ช่วงนี้...รู้สึกว่าควรจะต้องฝ่าฝืนสักหน่อย เกิดที่รักเมาพับขึ้นมาจะได้พาไปส่งบ้านถูกไง”
“เฮอะ” ผมแค่นหัวเราะกับข้ออ้างนั้น แต่ก็ไม่ไล่เขาไป
เพราะศศินเป็นคนเดียวที่รู้ความจริงทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนถึงวันนี้
“อมยิ้มมั้ย”
“ไม่มีอารมณ์” ผมตอกกลับคนที่คลี่ยิ้มหวานหวังประจบ
“อา...งั้นฉันจะนั่งเงียบๆ แล้วกัน” ศศินทำตามคำพูด เขาปล่อยให้ผมดื่มด่ำกับช่วงเวลาของการมอมตัวเอง ทั้งที่แต่ก่อนนอนกลิ้งกับห้องได้สบายๆ แต่ตอนนี้พอทำงานเสร็จกะจะนอนกลิ้งแก้เหนื่อยซะหน่อย...ดันหงุดหงิดงุ่นง่านจนทนไม่ได้ ต้องอับเปหิตัวเองมานั่งจ๋องตรงนี้
“ตวันหนีไปต่างจังหวัดแล้ว ลองสมัครงานบริษัทหลายแห่ง”
“...”
“เขาไม่ได้ติดต่อกับพาฝันเลย แม้ฝ่ายหญิงจะพยายามแทบตายก็เถอะ”
“...”
“แต่เพราะข่าวฉาวยังสดใหม่เลยโดนปฏิเสธตั้งแต่รอบยื่นประวัติแล้วล่ะ”
“เล่าทำไม” ผมวางแก้ว จ้องหน้าเขากึ่งเคือง
“ฉันพูดกับดินฟ้าอากาศน่ะ ที่รักอย่าสนใจ”
ผมถลึงตาจ้องเขา แต่สุดท้ายก็นิ่งฟัง ดื่มเหล้าเงียบๆ ถึงจะท่ามากแต่ความจริงแล้วผมก็ค่อนข้างกังวลว่าตวันจะไปยังไงต่อ แต่ก็มีทิฐิมากเกินกว่าจะไปตามข่าว ในเมื่อศศินพูดกับดินฟ้าอากาศก็ไม่เป็นไรหรอกมั้ง
ว่าแต่...ตวันหางานยากขนาดนั้นเลย
ผมเริ่มคิดว่าพอจะมีเส้นสายบ้างมั้ย ก่อนจะรีบส่ายหน้า ไม่เอา พอสักทีนาวา! หยุด!!
“ฉันช่วยได้นะ”
“นี่ก็พูดกับดินฟ้าอากาศเหรอ”
“ใช่ พูดกับดินฟ้าอากาศ แต่ถ้าที่รักจะพูดกับดินฟ้าอากาศบ้าง ฉันก็ไม่ถือหรอกนะ”
ผมเม้มปาก “ถ้าอีกหนึ่งอาทิตย์ยังโดนปฏิเสธ ค่อยช่วยแล้วกัน”
“ครับ ดินฟ้าอากาศ”
ผมส่ายหน้า ไม่รู้จะพูดอะไรกับศศินจอมยียวนที่ตอนนี้ปั้นหน้ายิ้มน่าหมั่นไส้เหลือเกิน
“ทำไมถึงช่วยตวัน”
ใช่ ทำไมถึงช่วย ทั้งที่เขาเกลียดขี้หน้าตวันจนเรียกไอ้ทุกคำแท้ๆ
“ฉันไม่ได้ช่วยไอ้ตวันซะหน่อย” ศศินแย่งขวดเหล้าจากบริกรมาเทใส่แก้วผมเพิ่ม “ฉันช่วยที่รักต่างหาก”
“ช่วยฉัน?”
“ใช่ ช่วยที่รัก แล้วก็ช่วยตัวเองด้วย ถ้าไอ้ตวันตกงานไปเรื่อยๆ ที่รักคงกังวลใจ กลัวทำคนอดตายใช่มั้ยล่ะ ซึ่งฉันเองก็คงไม่แฮปปี้ถ้าที่รักจะจะทำหน้าเศร้า เลยจำใจช่วยไง”
“นายนี่มัน...”
“ฉันรักที่รักนะ”
“แต่ฉันไม่ได้รักนาย” ผมตอกกลับไร้เยื่อใย แม้เขาจะเฝ้ารอให้ผมเลิกกับตวันมากแค่ไหน แต่ก็ไม่มีที่ว่างให้หรอก ผมไม่ง่ายขนาดนั้น
“ฉันรู้...” ศศินไม่ถือสา แถมยังยิ้มบางอย่างชินแล้ว ขืนผมตอบว่ารักกลับสิ เขาจะกระโดดเด้งดึ๋ง คิดว่าฝันไป “แต่กับคนที่รักมากยังหมดรักได้...”
ศศินเผยยิ้มวายร้าย
“กับคนที่ไม่ได้รักเลย สักวันอาจจะเป็นที่รักก็ได้นะ” ผมลืมตาอีกครั้งบนเตียงนอนในโรงแรมแห่งหนึ่ง
ผมอ้าปากค้าง รีบสำรวจตัวเองทันที ก่อนจะพบว่าเสื้อผ้าอยู่ครบ ที่ขาดไปคือรองเท้ากับเสื้อตัวนอกเท่านั้น
ผมกุมศีรษะ รู้สึกมึนมาก ทั้งโลกหมุนทั้งพื้นเอียง แย่ล่ะสิ ผมไม่ค่อยกินเหล้าเท่าไหร่เพราะเมื่อก่อนเคยลองแล้วอ้วกจนไข้ขึ้น ตวันเลยห้ามดื่มเด็ดขาด แต่ตอนนี้ไม่หนักขนาดนั้นแล้ว ผมเดินโซเซเข้าห้องน้ำ เกาะชักโครกเพื่ออาเจียน
พะอืดพะอมสุดๆ
ผมด่าตัวเองว่าทำบ้าอะไรวะ ทรมานตัวเองเพื่ออะไร ดีนะที่เลือกดื่มวันศุกร์ ไม่งั้นคงไปทำงานไม่ไหว ตอนนี้บริษัทยิ่งระส่ำระสายเพราะการลาออกกะทันหันของตวัน หลายๆ อย่างยังไม่ค่อยเข้าที่เข้าทาง แม้ลุงสมชิดจะช่วยหนุนหลัง แต่การเปลี่ยนแปลงเจ้านายคนใหม่ก็ทำให้ติดขัดอยู่มากทีเดียว
ผมอาบน้ำแล้วใส่ชุดเดิม พอเดินออกมาก็ถามพนักงานว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น
เขาเล่าว่าศศินให้คนมาเรียกไปอุ้มผมในรถ เพราะกลัวว่าถ้าเขาพาเข้ามาเองจะดูไม่ดี จากนั้นพนักงานโรงแรมสองคนก็หามผมขึ้นห้องนอน ช่วยถอดรองเท้าและเสื้อนอกให้ ก่อนจะล็อกประตูไม่กล้าแตะต้องอะไรทั้งนั้น
ผมให้ทิปพนักงาน ก่อนจะนวดขมับ นึกกลัวว่าหากพี่นทีรู้เข้าต้องโวยวายแน่
“วา!”
...ผิดจากที่คิดซะที่ไหน!
พี่นทีเข้ามาพยุงผม ดมฟุดฟิดเหมือนภรรยาจับผิดสามี เมื่อได้กลิ่นเหล้าก็รีบทาบมือบนหน้าผากผมทันที ก่อนจะหันไปหาพนักงานคนเดิมให้ช่วยเรียกหมอมาตรวจ
“พี่ที วาสบายดี”
“วาไม่สบาย ตัวร้อนยังไม่รู้ตัวอีก”
ผมกะพริบตาปริบๆ หรือไอ้ที่มึนหัวจะไม่ใช่เพราะฤทธิ์เหล้า แต่เพราะไข้ขึ้นงั้นเหรอ
ลองทาบหน้าผากตัวเอง...อุ่นนิดๆ เทียบเท่าโกโก้ตอนผมทิ้งให้ควันลอยกรุ่น...
พี่นทีนะพี่นที แค่นี้ต้องห่วงขนาดลากผมจนแทบจะจับอุ้มเลยเหรอ
พี่ชายเปิดห้องใหญ่สุดทั้งลากทั้งฝืนจับผมนอน แล้วเช็ดตัวระหว่างรอหมอที่ถูกเชิญตัวมากะทันหัน เมื่อตรวจแล้วพบว่าผมไข้ขึ้นแค่สามสิบแปดองศาเท่านั้น...แค่กินยาก็หายแล้ว แต่พี่นทียืนยันให้ผมนอนพัก
“พี่ทีไม่ไปทำงานเหรอครับ”
“ไม่ไปหรอก” พี่นทีเอ่ย ลูบศีรษะผมพร้อมแย้มยิ้มบาง “พี่จะอยู่กับวา”
ผมหลับตา ซึมซับความอบอุ่นจากฝ่ามือนั้น พลันรู้สึกอยากจะร้องไห้
ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมไม่ค่อยสนิทใจกับพี่ชายเพราะเขาไปเรียนเมืองนอก ทิ้งให้ผมอยู่กับตวันไม่พอ กลับมายังไม่ชอบขี้หน้าตวัน แสดงออกชัดเจนจนพวกเราอึดอัด แต่ผมเกือบจะลืมไปแล้วว่าก่อนตวันจะคอยลูบศีรษะปลุกอย่างอ่อนโยนนั้น คนที่ช่วยดูแลผมยามป่วยกระเสาะกระแสะตอนเด็ก นั่งเฝ้าไข้ไม่ห่างก็คือพี่ชายคนนี้เอง
หลังจากวันนั้นพี่นทีก็เกลี้ยกล่อมให้ผมกลับบ้าน
ผมหลงตามมาแบบมึนๆ
แต่พอโดนพี่นทีประคบประหงม ห้ามนอนดึกเกินห้าทุ่ม ห้ามเล่นโทรศัพท์ตอนกลางคืน จู้จี้กระทั่งการแต่งตัวก็เริ่มคิ้วกระตุก
ทานข้าวกับพี่ชายแล้วเจอพี่แกถามบริกรไล่ทุกเมนู กว่าจะได้สั่งปาไปครึ่งชั่วโมงก็ชักทนไม่ไหว
ทนอยู่กับพี่ชายได้อาทิตย์เดียวผมก็หอบผ้าหอบผ่อนกลับคอนโดฯ อันแสนสุข โลกส่วนตัวที่ไม่มีคนมาจุกจิกหรือต้องมายืนรอพี่นทียิ้มให้กับต้นไม้ใบหญ้าในสวน...
ผมรักพี่นะ แต่เราอยู่ด้วยกันไม่ได้จริงๆ บาย!
----------------------
ขอเวลาให้นาวาได้เศร้าสักสองตอนนะคะ ตอนต่อไปน้องจะกลับมาร่าเริงเหมือนเดิมแล้ว!!
ความจริงเราอบอุ่นใจฉากพี่นทีลูบศีรษะนาวามากเลย แม้พี่แกจะเยอะเหมือนเดิม...แต่ก็เห็นถึงสายไยความผูกพันระหว่างสองพี่น้อง พี่นทีรักน้องชายมากจริงๆ อาจเพราะเสียพ่อแม่ไวด้วย และเพราะตั้งแต่จำความได้นาวาก็เป็นน้องชายที่ร่างกายอ่อนแอมาตลอด แถมยังชอบทำเหมือนตัวเองไม่เป็นไรตลอดอีกแหน่ะ พี่นทีจะชอบคิดว่าฝืนก็ไม่ผิดใช่มั้ยคะ ( ช่วยแก้ตัวให้แล้วนะพี่นที! ขอสินบนด้วยย !)
#นาวาสไตล์
ตัวอย่างตอนต่อไป นาวามาให้สัมภาษณ์นิตรสารค่า
“ไม่ทราบว่าคุณตวันขอลาออกเพราะละอายใจเรื่องที่เกิดขึ้นรึเปล่าคะ”
เพจ :
มาจะกล่าวบทไปTwitter :
MajaYnaja