เอาตอนพิเศษของคุณธรกะคุณยะมาฝาก
ก่อนที่คนโพสจะน็อคเพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย.........
หัวใจขายแพง ๆ : ลูกชายตัวน้อยเช้านี้…ผมก็ว่ามันเหมือนกับทุกวัน วันอาทิตย์ คุณยะนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ ผมก็นั่งอ่านหนังสืออ่านเล่นของผม แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมก็คือ… อยู่ ๆ คุณพ่อก็อุ้มห่อผ้าห่อใหญ่ขึ้นมา เป็นห่อผ้าที่รูปร่างคุ้น ๆ
“อ้าวพ่อ! มาแต่เช้าเลย”
“เออ รอสายกว่านี้ไม่ไหวแล้ว”
พอคุณลุงนั่งลงใกล้ ๆ ผมถึงได้แน่ใจว่าในห่อผ้าที่อุ้มมานั้นมีเด็กเล็กอยู่ข้างใน
“ลูกใครเหรอครับ?”
คุณลุงทำหน้าหนักใจก่อนที่จะตอบ
“ไม่รู้… คงเป็นเด็กที่พ่อแม่เลี้ยงไม่ได้ล่ะมั้งก็เลยเอามาวางไว้หน้าบ้าน”
ผมรับเด็กมาจากมือคุณพ่อ
“พ่อแจ้งตำรวจรึยัง?”
คุณยะมีสีหน้าเครียดไม่แพ้กัน
“แจ้งแล้ว ตำรวจเขารับคำว่าจะสืบหาพ่อแม่เด็กให้ แล้วก็จะให้เอาเด็กไปไว้ที่สถานสงเคราะห์ แต่พ่อว่าไม่ไหวเด็กยังเล็กเกินไปก็เลยขอรับอุปการะจนกว่าจะหาตัวพ่อแม่เด็กเจอ”
“ขอมา… แล้วขออีท่าไหนล่ะพ่อเขาถึงได้ให้มา?”
นั่นสิ จากที่ผมรู้มาส่วนมากพวกกรมประชาสงเคราะห์เขาจะไม่ค่อยให้ใครรับอุปการะเด็กกำพร้าง่าย ๆ นี่นา
“ก็ท่ายืนนี่แหล่ะ บอกเขาแค่ว่าลูกชายแต่งงานหลายปีแล้ว ยังไม่มีลูก ยังไงขอเลี้ยงไว้เองก่อนถ้าเจอพ่อแม่เด็กแล้วก็จะส่งคืนให้ แล้วก็ยิ้มให้อย่างนี้”
คุณพ่อโชว์ยิ้มให้ดูจนผมรู้แล้วว่าทำไมเขาถึงให้เด็กมา
“แล้วจะเลี้ยงยังไงล่ะครับ? เราก็ไม่มีนมให้เขากินด้วย”
“เดี๋ยวนี้เขามีนมผงสำหรับเด็กทารก ไม่มีปัญหาหรอก”
อยู่ ๆ คุณยะก็ชะโงกหน้ามาเปิดผ้าที่ห่อตัวเด็กดู
“เฮ้ ๆ~ ผู้ชายซะด้วยนี่เรา”
“ธรเลี้ยงเด็กไว้หน่อยได้มั้ยลูก จะเลี้ยงเป็นลูกไปเลยก็ได้เพราะไหน ๆ ธรก็มีลูกไม่ได้ ให้แกไปอยู่สถานสงเคราะห์ก็สงสารแก ตำรวจก็ดูว่าจะไม่ได้ตั้งใจหาพ่อแม่เด็กอย่างจริงจังอะไร ถึงหาเจอก็ใช่ว่าจะได้อยู่ดีมีสุข”
ที่คุณพ่อพูดมาก็ทำให้ผมอดคิดตามไม่ได้ จริง ๆ แล้วผมก็รู้สึกเอ็นดูเขาอยู่ไม่น้อย แต่ปัญหาหลักมันไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้นจริงอยู่ว่าฐานะของเราจะรับเลี้ยงเด็กซักกี่คนก็ได้ ปัญหามันอยู่ที่ว่าจะหาใครเป็นแม่ให้เด็กล่ะ? ก็บ้านนี้แทบจะมีแต่ผู้ชาย…
“แล้วจะให้ใครเป็นแม่เขาล่ะครับ?”
“ก็คุณไง”
ถ้าไม่ติดว่าอุ้มเด็กอยู่ผมคงได้เอาขันน้ำปิดปากคนข้าง ๆ นี่ซักที
“คุณก็พูดออกมาได้ ผมเป็นผู้ชายนะ ขืนให้ผู้ชายสองคนเลี้ยงเด็กด้วยกันเขาได้มีปมด้อยแย่”
“ไม่แย่หรอก เด็กน่ะถ้าสอนตั้งแต่เล็กก็เข้าใจและยอมรับง่าย”
“แล้วถ้าเขาโตขึ้นแล้วโดนเพื่อน ๆ ล้อล่ะ?”
“โธ่คุณก็คิดเล็กคิดน้อย ไม่โดนล้อเรื่องโน้นก็โดนล้อเรื่องนี้อยู่ดีอย่างน้อยก็ชื่อพ่อชื่อแม่ล่ะ เด็กผู้ชายน่ะทะโมนจะตายไม่เรียบร้อยเหมือนคุณตอนเด็ก ๆ หรอก… โอ๊ย!~”
ถึงผมจะอุ้มเด็กอยู่แต่ผมก็หยิกได้นะ
“…เถอะลูก อยู่กับธรพ่อยังวางใจมากกว่าส่งกลับไปให้อยู่กับพ่อกับแม่แกนะ”
“แต่ผมเลี้ยงเด็กไม่เป็นน่ะสิครับ”
คุณพ่อเหลือบมองคุณยะ
“โน่นไงไอ้คนช่วยเลี้ยง เดี๋ยวมันก็หาวิธีจนได้แหล่ะ แล้วถ้าไม่รู้จะทำยังไงก็โทรมาถามพ่อได้ แต่ตอนนี้พ่อต้องไปธุระก่อน แล้วเดี๋ยวเย็น ๆ จะมาใหม่”
“อ้าว~…”
อยู่ ๆ คุณพ่อก็ลุกไปเฉย ๆ จนพวกเรางง เราสองคนได้แต่มองหน้ากันแล้วมองเจ้าตัวเล็กที่ยังหลับอุตุอยู่ในอ้อมแขนผม ….ทำยังไงล่ะทีนี้?…..
.
.
.
.
ระหว่างที่เจ้าตัวเล็กหลับคุณยะก็รับออกไปซื้อหนังสือคู่มือเลี้ยงเด็กมาตั้งใหญ่ พร้อมกับของใช้จำเป็นอีก….กองพะเนิน
ถึงจะลองอ่านหนังสือดูแล้วแต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าเราสองคนจะทำได้จึงต้องพึ่งความหวังสุดท้าย เราโทรไปปรึกษาคุณหมอคมสันและคุณหมอคมสันก็ช่างน่ารักลากเอาตัวเพื่อนที่เป็นพยาบาลแผนกกุมารเวชมาด้วย เราทั้งเรียนวิธีเลี้ยงเด็กทั้งกางตำรากันจนคุณพยาบาลคงจะเหนื่อยใจกลับไป
“ไหนดูเล่มนี้ซิ…. อ่านแล้วไม่ค่อยรู้เรื่องแฮะ”
“เราต้องใช้ที่นอนสำหรับเด็ก”
“ผมซื้อมาหลายใบ อยู่ในถุงตรงโน้น”
ผมลองรื้อ ๆ ถุงดูก็เจอของอีกหลายอย่าง
“คุณยะ ไอ้นี่ใช้อะไร?”
ผมดูว่ามันเหมือนจะเป็นถุงมือนะ
“คนขายเขาบอกว่าเล็บเด็กจะเริ่มยาว ถ้าเผลอข่วนหน้าตัวเองจะเป็นแผลหรือเผลอข่วนตาตัวเองได้ให้เอาถุงมือใส่ไว้”
ผมรีบเอาถุงมือถุงเท้าใส่ให้เจ้าหนูน้อยทันที
“แล้วนี่ล่ะ?”
“ผ้ายางรองเบาะ เวลาที่เด็กฉี่ออกมาจะได้ไม่เปียกที่นอน”
“ผมว่ามันจะทำให้ก้นเขาชื้นนะ ดูโทรทัศน์เห็นว่าต้องเอาแป้งโรยไม่ให้ก้นเด็กชื้นนี่นา”
“งั้นเราก็ไม่ใช้ เอาไว้ผมจะไปซื้อที่นอนมาเพิ่ม”
อยู่ ๆ คุณยะก็โยนผ้ายางทิ้งเฉยเลย
“ฮึก…ฮึ…”
อยู่ ๆ ก็มีเสียงประหลาดดังขึ้น แล้วก็…..
“แง๊!~…..”
นั่นไง ใช่จริง ๆ ด้วย
“ธร!~ ลูกร้อง!~”
ผมรีบถลาเขาไปดูก็เห็นเขาร้องเสียงดังหน้าดำหน้าแดง แล้วผมต้องทำยังไงล่ะเนี่ย!? อ้อ! ใช่! ต้องดูก่อนว่าเด็กฉี่รึเปล่า ผมลองอุ้มเขาขึ้นมาก็เห็นผ้าปูแฉะไปหมด
“คุณยะ เอาเบาะออกไปที”
คุณยะรีบเอาเบาะเปียกออกแล้วยื่นเบาะใหม่มาให้ ผมรีบแก้ผ้าห่อตัวเขาออก
อืม….เขาฉี่เยอะจัง ต้องทำยังไงล่ะเนี่ย? ผมรีบกางหนังสือทันที เอ่อ….ต้องปล่อยให้เขาฉี่ให้หมดก่อนแล้วค่อยใช้ผ้าสะอาดเช็ดเบา ๆ ให้แห้งก่อนจะโรยแป้งไล่ความชื้น
ผมรีบทำตามขึ้นตอนทันที กว่าจะเสร็จก็ทุลักทุเลพอดู ทำความสะอาดเสร็จแล้วแต่พ่อหนูยังไม่ยอมหยุดร้องเสียที
“ผมว่าเขาอาจจะหิวก็ได้นะ”
“คุณไปชงนมให้หน่อยสิ”
คุณยะลุกไปจัดการชงนมผงสำหรับทารกที่เพิ่งซื้อมา
“คุณพยาบาลเขาบอกว่าเราต้องวัดอุณหภูมิให้อุ่นพอดีก่อนจะให้เขากิน”
“แล้วต้องอุ่นแค่ไหนล่ะ?”
“คุณเอาแขนมาซิ”
พอผมส่งแขนให้คุณยะก็หยดนมลงบนท้องแขนผม
“ร้อนไปมั้ย?”
ผมพยักหน้าเขาก็รีบเอาขวดนมไปแช่น้ำเย็นทันที แกว่งอยู่ซักพักก็เอามาหยดที่ท้องแขนผมอีก
“อุ่นแล้ว”
ผมรับขวดนมมาส่งเข้าปากเจ้าตัวเล็ก สงสัยจะหิวจริง ๆ ดูดนมใหญ่เลย ผมกอดเขาไว้กับตัว คุณพยาบาลบอกว่าถ้าเรากอดเขาไว้ระหว่างที่ให้นมเขาจะมีความผูกพันกับเรามากกว่าที่จะป้อนให้เฉย ๆ
“คุณยะ ทำไมคุณเอานมมาหยดที่แขนผมล่ะ? แขนคุณก็ได้นี่”
“ไม่ได้หรอก แขนผมหนังมันหนา แขนคุณน่ะดีแล้วผิวบาง ๆ เหมือนผิวเด็กใกล้เคียงกัน”
ผมเหลือบมองคุณยะเขาก็ยิ้มซะหวาน
พอพ่อหนูน้อยของเราอิ่มเขาก็ปล่อยปากจากจุกนมหันมาจ้องหน้าผมแทน
“ว่าไงครับ….อิ่มแล้วเหรอ?”
“….” ทำปากขมุบขมิบยังไงก็ไม่รู้
“ฮ่าๆ เขารับคำคุณด้วย”
เอา ขำเข้าไป ตลกมากนะ
“อิ่มแล้วก็นอนสิครับ”
เขายังทำปากขมุบขมิบอยู่แถมยังทำปากจู๋ด้วย ดูท่าทางจะไม่นอนแล้วแฮะ
“ผมว่าพรุ่งนี้จะไปจดทะเบียนรับเขาเป็นลูกนะ แล้วเราจะตั้งชื่อเขาว่าอะไรดี?”
“แต่คุณยะ.. เรายังตามหาพ่อแม่เขาไม่เจอเลยนะ ถ้าเกิดเจอแล้วเขามาเอาไปล่ะ?”
“ผมว่า พ่อคงจะไม่อยากให้ตำรวจเขาหาซักเท่าไหร่หรอก ก็เด็กถูกทิ้งแบบนี้แสดงว่าพ่อแม่คงไม่ค่อยจะอยากเลี้ยงเขานัก แล้วถ้าเจอตัวเขาเอากลับไปเลี้ยงเองอาจจะโดนตีโดนทารุณก็ได้นะ”
“คุณนี่พูดอย่างเดียวกับพ่อคุณเลยนะ”
“ก็ผมรักเขาแล้วนี่นา ว่าแต่คุณจะให้เขาชื่ออะไรดี?”
“ไม่รู้สิ คุณตั้งแล้วกันผมตั้งชื่อเด็กไม่เก่ง”
“หนูจะชื่ออะไรดีครับ?” ผมหันไปถามเจ้าตัวเล็ก ผมไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่าแต่รู้สึกเหมือนเขายิ้มนะ
“อืม….ชฎินเป็นไง?”
“ไม่เอาหรอก เรียกยาก”
“อืม….นฤบดี?”
“ลิเกเกินไป”
“งั้น…อืม……วรุณ?”
ผมก้มไปมองต้นเหตุในอ้อมแขนก็เห็นทำปากเบะ
“ไม่เอา”
“งั้นศิระเอ้า!~”
“ชอบชื่อศิระมั้ยครับ?”
สงสัยเขาจะชอบยิ้มใหญ่เลย
“ถ้าอย่างนั้นหนูชื่อศิระนะครับ”
ดูสิครับ เขาทำท่าจะหัวเราะด้วย
“แล้วชื่อเล่นล่ะ?”
“………”
ระหว่างที่เรากำลังนั่งคิดกันอยู่นั้นก็มีลมโชยอ่อน ๆ ทำให้กลิ่นดอกมะลิหอมไปทั้งเรือน
“……น้องวินด์…”
ทีนี้ไม่ใช่ยิ้มแล้วล่ะครับ หัวเราะเลย
“ดี ๆ งั้นชื่อน้องวินด์นะ”
คุณยะขยับเข้ามาใกล้ ๆ
“น้องวินด์มาเล่นกับคุณป๋านะครับ ให้คุณพ่อได้ไปล้างแขนก่อนนะ”
ผมลืมไปสนิทเลยว่าแขนผมเปียกฉี่น้องวินด์อยู่ คุณยะรับเจ้าตัวเล็กไปอุ้มไว้เพื่อให้ผมได้ไปจัดการธุระ
เดินกลับมาก็เห็นพ่อลูกนอนทำหน้าประหลาด ๆ เล่นกันอย่างสนุกสนาน เห็นแล้วก็วางใจ บางทีผมอาจจะกลัวมากไปก็ได้ว่าจะเลี้ยงเขาไม่ได้ ระหว่างที่ปล่อยให้พ่อลูกนอนเล่นกันผมก็รีบไปจัดการเปลนอนกับเก็บของใช้ให้เข้าที่เรียบร้อย กลับมาอีกทีก็เห็นหลับกันทั้งพ่อทั้งลูก เฮ่อ…วันอาทิตย์ยังป่วนขนาดนี้ พรุ่งนี้จะป่วนขนาดไหนนะ
.
.
.
.
การเลี้ยงเด็กให้โตขึ้นมาได้แต่ละคนนั้นไม่ง่ายเลย ผมชักเริ่มสำนึกในพระคุณของคุณแม่มากขึ้นเมื่อเจอกับตัวเองนี่ล่ะ
ก็เจ้าหนูวินด์ตอนกลางคืนไม่ยอมนอนเปลต้องอุ้มขึ้นมานอนบนเตียงด้วยกันแล้วกอดไว้เบา ๆ คนพ่อก็รุ่มร่ามคนลูกก็งอแงผมแทบจะไม่ได้นอนทั้งคืน โชคดีที่ตอนเช้าได้นพมาช่วยดูแลบ้างทำให้ผมได้พักสายตาซักหน่อย
ผมนอนพักได้ประมาณ 1 ชั่วโมงก็ต้องลุกขึ้นมาอีกเพราะเสียงร้องดังที่ไม่มีทีท่าว่าจะเบาลงเลย
“นพ….”
ผมเห็นนพอุ้มน้องวินด์ไว้ทั้งโอ๋ทั้งปลอบก็ไม่ยอมหยุดร้อง
“ขอโทษครับพี่ธร คือน้องวินด์แกไม่ยอมหยุดร้อง ผมป้อนนมแกก็ไม่เอา”
ผมก็คิดว่าอย่างนั้นล่ะเพราะดูจากสภาพคนอุ้มที่เลอะนมไปหมดดูท่าพ่อหนูน้อยของผมคงจะพ่นออกมาจนหมด
“ไหน… น้องวินด์มาหาคุณพ่อนะครับ”
ผมรับน้องวินด์มาอุ้มไว้ แต่ก็แปลก…พอผมอุ้มเท่านั้นเจ้าหนูน้อยก็หยุดร้องไห้ทันทีพยายามซุกตัวเข้าหาผมนอนเงียบ
“สงสัยแกจะไม่ชอบผมนะ”
“…เขาคงยังไม่คุ้นมากกว่าอีกหน่อยคุ้นแล้วก็อุ้มได้”
นพยิ้มให้ ผมเอามือลูบหัวเจ้าตัวเล็กเบา ๆ ครู่เดียวน้องวินด์ก็หลับไป
“พี่ธรพาลูกไปนอนด้วยสิครับ บางทีเขาอาจจะอยากนอนกับพี่ก็ได้”
ความจริงผมก็ง่วงมากอยู่แล้วจึงได้ตกลงทันที อย่างน้อยถ้าเกิดเขาร้องขึ้นมาอีกผมจะได้ดูแลเขาได้ทันที
.
.
.
.
ผมแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าผู้ชายสองคนจะเลี้ยงเด็กได้แบบทุลักทุเลแบบนี้ โดยเฉพาะเมื่อผมมีปัญหาใหญ่ที่ว่า….น้องวินด์ไม่ยอมให้ใครอุ้มเลยนอกจากผมและคุณยะ นั่นยิ่งทำให้ผมและคุณยะเหนื่อยหนักกว่าเดิมบางวันคุณยะต้องหยุดงานมาเลี้ยงลูกด้วยซ้ำเมื่อผมรู้สึกว่าผมนอนไม่พอจนหน้ามืด แต่ละวันผ่านไปอย่างเหน็ดเหนื่อยแต่ผมว่ามันคุ้มนะได้เห็นพัฒนาการของเขาที่มากขึ้นทุกวัน ๆ มันก็ทำให้ผมมีความสุขกับความเหนื่อยนี้
โดยเฉพาะช่วงนี้ คุณยะดูมีความสุขมากเป็นพิเศษเพราะเจ้าตัวเล็กของเราเริ่มคุยอ้อแอ้แล้ว มีเวลาเมื่อไหร่คุณยะเป็นต้องมาคุยกับลูกได้ตลอด ผมก็แปลกใจคนนึงก็คุยจ้ออีกคนก็อ้อ ๆ แอ้ ๆ แต่ยังคุยกันรู้เรื่อง
“น้องวินด์ดูคุณพ่อซิครับ คุณพ่อทำอะไร?”
คุณยะอุ้มลูกลุกขึ้นมาดูผมขณะที่ผมกำลังเช็ดผมให้แห้ง
“แอ๊ะ…แอ...”
นี่ก็รับมุขคุณป๋า ส่งเสียงอะไรก็ไม่รู้
“คุณพ่ออาบน้ำใหม่ ๆ เซ็กซี่จังเนอะ”
“แอ้…”
ยังจะไปยิ้มรับอีก ดูลูกผมสิ เฮ้อ~….
.
.
.
.
ที่จริงผมไม่ค่อยอยากจะเชื่อตัวเองซักเท่าไหร่ว่าจะสามารถเลี้ยงลูกมาได้ถึง 9 เดือนโดยที่ไม่มีแม่เด็ก แต่จริง ๆ แล้วผมก็ไม่ได้เลี้ยงเองคนเดียวยังมีคุณยะกับคุณพ่อที่คอยช่วยกันเลี้ยงอยู่ด้วย และวันนี้ก็เป็นวันที่ผมไม่อยากจะเชื่ออีกวันหนึ่ง
“น้องวินด์ หม่ำ ๆ นะครับ”
พอโตจนเริ่มจะหาอะไรเกาะเพื่อลุกเดินก็เริ่มซนจนไม่รู้จะเปรียบกับอะไร ป้อนข้าวกันแต่ละมื้อก็เล่นเอาเหนื่อย
“น้องวินด์มาหม่ำ ๆ ก่อนครับ คุณพ่อจะป้อนให้ หม่ำ ๆ นะครับ อ้าม…”
กินไปเล่นไปจนคุณพ่อออกปาก ‘เด็กซนเนี่ยเป็นเด็กฉลาดนะ’ ผมก็หวังให้เป็นอย่างนั้นนะ ผมนั่งคิดอะไรเพลิน ๆ จนไม่ทันมองว่าลูกกินข้าวหมดปากแล้ว
“…พ่อ…หม่ำ ๆ …”
เดี๋ยวก่อน!! เมื่อกี้!!… เมื่อกี้!!….
“น้องวินด์พูดว่าอะไรนะครับ พูดใหม่ซิครับ”
“พ่อ~ หม่ำ ๆ“
ไม่พูดเปล่าเอามือชี้เข้าปากด้วย ผมแทบจะโผเข้าไปกอดลูกแต่จำเป็นต้องป้อนข้าวก่อน พอลูกกินข้าวหมดปากผมทั้งกอดทั้งหอมแก้มลูกด้วยความดีใจ
ตอนที่เขาเริ่มคลานได้ผมก็ว่าผมดีใจมากแล้วนะแต่พอได้ยินเขาเรียกพ่อยิ่งดีใจมากกว่าเสียอีก
พอน้องวินด์กินข้าวเสร็จผมก็อดใจไม่ได้ที่จะโทรไปบอกคุณยะ แล้วทันทีที่คุณป๋าขี้เห่อรู้ก็รีบขับรถกลับบ้านทันที วิ่งขึ้นเรือนมาตึง ๆ ผมหันไปเห็นตอนกำลังยืนหอบถือถุงของเล่นพะรุงพะรังเต็มสองแขน แวะซื้อตอนไหน?
“น้องวินด์ครับ ใครมาเอ่ย?”
เจ้าตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมองคุณป๋าตาแป๋ว
“น้องวินด์ คุณป๋าไงครับ”
คุณยะถลาเข้ามาถึงตัวลูกทันที
“น้องวินด์เรียกคุณป๋าสิครับ ป๋า~…”
คุณยะยิ้มแป้นรอคำเรียกของลูก
“ปะ….”
“ป๋า~..”
“ป๋า…”
พอเสียงเรียกชัดคำคุณยะก็โผเข้ากอดลูกทันที ใช่ครับ! มันเป็นความรู้สึกที่ชื่นใจบอกไม่ถูกเลย
“น้องวินด์คุณป๋าซื้อของเล่นมาให้เยอะเลยครับ”
ผมว่าอีกหน่อยคงต้องทำห้องเก็บของเล่น เพราะทั้งคุณป๋าทั้งคุณปู่ซื้อของเล่นมาให้แทบทุกวันจนตอนนี้ไม่มีที่จะเก็บแล้ว พอน้องวินด์เริ่มหันไปสนใจของเล่นคุณยะก็หันมาทางผม
“ลูกพูดได้แล้ว”
คุณยะโผเข้ากอดผมด้วยความดีใจผมก็กอดตอบเขาเบา ๆ
“ใช่… แต่ผมยังไม่ได้โทรไปบอกคุณพ่อเลย”
และในเวลาไม่นานคุณปู่ก็มาถึงพร้อมกับสร้อยทองรับขวัญหลานอีก 1 เส้น ถ้าจะให้พูดจริง ๆ แล้วผมว่าคุณพ่อก็เห่อหลานไม่แพ้คุณยะเลยทีเดียว ผมไม่แน่ใจว่าลูกผมโตขึ้นมาจะเป็นเด็กเอาแต่ใจตัวเองรึเปล่าเพราะทั้งคุณป๋าทั้งคุณปู่ทั้งรักทั้งหลงแบบนี้….
.
..
...
....
.....
“ก๊อก ๆ”
เสียงเคาะประตูหน้าห้องทำให้ผมต้องลุกจากเตียงไปเปิดประตู
“คุณพ่อ คุณป๋าตื่นยังคับ?”
“ยังไม่ตื่นเลยครับ น้องวินด์มีอะไรหรือครับลูก?”
“คุณป๋าบอกว่าจะพาน้องวินด์ไปทำงานด้วยวันนี้…”
“ถ้าอย่างนั้นน้องวินด์ไปทานข้าวกับอาป๋องก่อนนะครับ เดี๋ยวคุณพ่อจะปลุกคุณป๋าให้ ทานเองนะครับห้ามให้อาป๋องป้อนนะ”
“คับ”
ลูกชายผมเดินไปนั่งที่โต๊ะอาหารและลงมือทานข้าวอย่างเรียบร้อย
ผมนึกว่าลูกโตขึ้นมาแล้วจะเป็นเด็กเอาแต่ใจแต่นี่กลับเรียบร้อยว่าง่ายผิดคาด ทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะอายุ 5 ขวบแต่ก็น่ารักและช่างพูดจนป๋ากับปู่ติดลูกแจยิ่งกว่าลูกติดพ่อเสียอีก
“คุณยะ…. ตื่นเถอะ…วันนี้สัญญาอะไรกับลูกไว้….ห้ามผิดสัญญากับลูกนะ”
กว่าพ่อคนขี้เซาจะยอมลุกผมก็โดนดึงตัวไปหอมแก้มจนแก้มแทบจะช้ำ เฮ่อ…ป๋านี่ดื้อยิ่งกว่าลูกซะอีก
พอทำธุระส่วนตัวเสร็จผมก็เดินออกมาจากห้องเห็นลูกชายกำลังจะก้มไปผูกเชือกรองเท้า
“คุณหนูวินด์ อาต้อยช่วยนะคะ” ต้อยรีบกระวีกระวาดเข้ามาหา
“ต้อย… ไม่ต้อง ให้ผูกเอง”
พอผมสั่งต้อยก็ทำหน้าจ๋อย ๆ
“ค่ะ”
พอต้อยค่อย ๆ ถอยออกไปเจ้าหนูของผมก็ก้มลงไปผูกเชือกรองเท้าตัวเองต่อ
“น้องวินด์ไปเที่ยวที่ทำงานคุณป๋าอย่าซนนะครับ”
“น้องวินด์ไม่ได้ซนนะครับ น้องวินด์ไปช่วยพวกอาเขาเลือกเพชร”
“ช่วยเลือกเพชร ทำเป็นเหรอลูก?”
พ่อหนูน้อยของผมพยักหน้าหงึกหงัก
“นี่ล่ะพนักงานเลือกเพชรกับตัวเรือนล่ะ”
คนพ่อเดินข้ามานั่งข้าง ๆ ผมพร้อมกับหวีผมไปด้วยผมหันไปจัดปกเสื้อคุณยะให้เข้าที่
“คุณก็…ลูกยังเล็ก เดี๋ยวก็ไปทำอะไรซน ๆ ให้พนักงานเขาเดือดร้อน”
“โธ่คุณ ลูกเราถึงจะซนแต่ก็เก่งนะ ตาถึงซะด้วยเลือกเพชรได้น้ำงามกว่าผมอีก”
“ครับ ๆ คุณป๋า ยังไงก็ดูแลลูกให้ดี ๆ ล่ะ”
สองพ่อลูกเตรียมตัวออกเดินทางเต็มที่
“น้องวินด์ ลืมอะไรรึเปล่าครับ”
เขาทำหน้านึกขึ้นได้แล้วก็เดินมาหาผม
“น้องวินด์รักคุณพ่อคับ”
เขาหอมแก้มผมทั้งสองข้างผมก็หอมแก้มเขากลับ
“คุณพ่อก็รักน้องวินด์ครับ”
“คุณป๋ารักคุณพ่อครับ”
อยู่ ๆ คุณยะก็ก้มมาหอมแก้มผม
“คุณยะ!!”
คุณยะยิ้มหวานแล้วก็เอามือจิ้มแก้มจะให้ผมหอมแก้มตอบ
“สิครับ…ลูกรอนะ”
จริง ๆ เลยนะอีตานี่…
“…คุณพ่อก็รักคุณป๋าครับ”
ผมหอมแก้มตอบไปคุณยะก็ก้มมาหอมแก้มผมอีกทีแล้วก็จูงมือลูกลงเรือนไป
จริง ๆ เลยน้า~ ไม่รู้ทำไมลูกถึงได้ชอบเห็นคุณยะหอมแก้มผมนัก เห็นทีไรเป็นต้องหัวเราะทุกทีตั้งแต่เด็กมาแล้ว หวังว่าโตขึ้นคงไม่อยากเห็นอะไรมากกว่านี้นะ…..
.....................................END.................................
ช่วงนี้อากาศแปรปรวนมากมาย
ตอนเช้าเย็น...กลางวันร้อน...เย็นฝนตก...
เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย...คนโป๊ดก็เลยเปื่อยบ่อย