ตอนที่ 29
“แชมป์” เต็นเอ่ยเรียกชื่อคนที่เดินชนกับตน นึกประหลาดใจที่เห็นคนๆ นั้นยืนอยู่ที่นี่ นี่เจ้าตัวมาทำอะไร
“มาอยู่นี่ได้ไง” เด็กหนุ่มเอ่ยถามทันทีในสิ่งที่นึกสงสัย
“กำลังจะทำบุญกับแม่อ่ะ แล้วนี่เต็นกำลังจะไปไหน” แชมป์เอ่ยขึ้นบ้าง ยกมือถอดแว่นดำที่ปกปิดสายตาออกเพื่อมองคนตรงหน้าชัดๆ
“กลับบ้านน่ะ ขอตัวก่อนนะรถท่าจะออกแล้วแหละ” เต็นตอบแล้วรีบบอกปัด ไม่ได้นึกใส่ใจเท่าไหร่แล้วกับการจะไปไหนมาไหนของคนตรงหน้า การเจอกันครั้งนี้ก็คงจะเป็นเพราะเหตุบังเอิญอีกน่ะแหละ แต่บังเอิญบ่อยๆ แบบนี้ก็ไม่ไหวนะ เพราะหากเลือกได้เด็กหนุ่มก็ไม่อยากจะพบหน้าหรือพูดคุยกับคนๆ นี้มากนัก ก็ไม่รู้จะต้องพบเจอไปทำไมในเมื่อความรู้สึกต่างๆ ที่มีให้กับเจ้าตัวมันจางหายไปจนหมดแล้ว หากจะเหลือไว้ให้ก็คงแค่คนเคยรู้จัก ซึ่งโดยส่วนใหญ่เด็กหนุ่มก็ไม่ค่อยจะอะไรมากนักกับคนที่อยู่ในสถานะความสัมพันธ์นี้กับตน
“อ้าว ยังไม่ทันได้คุยกันเลย” แชมป์ออกอาการใจเสีย เพราะไม่คิดว่าอีกคนจะรีบผละหนีจากตนไปเร็วขนาดนี้ ตอนแรกที่เจอหน้าก็มัวแต่อึ้งดีใจจึงไม่ทันได้เอ่ยทักทายอะไร แต่พอตั้งสติได้อีกฝ่ายก็ทำท่าจะผละไปซะอย่างนั้น
“ไม่ทันได้คุยคือยังไงอ่ะ เรามีเรื่องต้องคุยกันเหรอ” เต็นถามออกไปตรงๆ เพราะนึกไม่ออกจริงๆ ว่าหากจะให้ยืนพูดคุยกับคนๆ นี้สักสิบหรือยี่สิบนาทีแล้วจะหยิบยกประเด็นไหนมาพูดกัน หากเป็นกับแม็คหรือนพก็ว่าไปอย่าง สองคนนั้นมีเรื่องราวร้อยแปดที่สามารถคุยกับเขาได้ข้ามวันข้ามคืนโดยไม่มีคำว่าเบื่อที่จะฟัง
แชมป์ตัวชากับสิ่งที่ได้ยิน นึกถึงช่วงเวลาที่ตนเองเคยมีอิทธิพลเหนือจิตใจคนตรงหน้า จำได้ว่าเมื่อก่อนเคยคุยโทรศัพท์กับเจ้าตัวข้ามวันข้ามคืน แล้วทำไมนาทีนี้จะไม่มีสักเรื่องราวบ้างเลยเหรอที่ฝ่ายนั้นจะถามไถ่อะไรตนบ้าง เวลาที่ห่างกันก็ใช่ว่าจะวันสองวัน แต่มันเป็นเดือนๆ แล้วต่างหาก อย่างน้อยที่สุดถามเขาสักคำสิว่าการเรียนเป็นยังไง การใช้ชีวิตเป็นยังไงในช่วงที่ห่างกัน จิตใจมันพร้อมจะบอกอยู่แล้วที่ผ่านมาต้องจมอยู่กับความรู้สึกผิดและความรู้สึกเหงาขนาดไหน ลำพังจะให้บอกเองก็ละอายเกินกว่าจะเอ่ยเป็นคำพูดออกมาได้ เพราะในหัวใจใช่ว่าจะลืมการกระทำแย่ๆ ที่ทำลงไปเพียงเพราะนึกสนุก จะให้หลับหูหลับตาเอ่ยคำขอโทษหรือขอแก้ตัวใหม่เพื่อไถ่ถอนความผิดทั้งหมดก็ไม่รู้จะเริ่มยังไง ในเมื่อคนถือโอกาสไว้ในกำมือไม่เอ่ยเปิดทางเป็นเชิงอนุญาตเลยแบบนี้ ครั้งที่แล้วที่พบเจอหากจับเวลาสนทนาก็อาจนับได้ไม่ถึงสิบนาทีเสียด้วยซ้ำ แล้วครั้งนี้อีกล่ะสักสามนาทีจะถึงหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ ในเมื่อดูท่าเจ้าตัวจะผละหนีไปจริงๆ
“เราสองคนไม่มีอะไรที่จะต้องคุยกันแล้วจริงๆ หรือเต็น”
แชมป์ตัดสินใจเอ่ยขึ้นในตอนที่เต็นกำลังจะเดินหนี เพราะหากไม่ทำอะไรเลยก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เจอกับคนๆ นี้อีกทีเมื่อไหร่ ได้ผล คำพูดของเด็กหนุ่มทำให้อีกฝ่ายชะงักเท้าหยุดเดินแล้วหันมามองหน้า
“สำหรับนายเราไม่รู้นะ แต่สำหรับเราคงไม่มี” เต็นเอ่ยกลับนิ่งๆ ชักไม่แน่ใจกับอาการของคนตรงหน้า เด็กหนุ่มใช้เวลานี้จ้องลึกไปในแววตาของฝ่ายนั้นเพื่ออ่านเกมเบื้องต้นว่าในเวลานี้เจ้าตัวรู้สึกยังไงกับตนอยู่กันแน่ จากคำพูดและน้ำเสียงเชิงตัดพ้อที่ได้ยิน เจ้าตัวไม่ได้รู้สึกว่าตนเป็นแค่คนที่เคยรู้จักแล้วหรือ
“แชมป์เป็นคนที่ไม่น่าคุยด้วยแล้วสินะเต็นถึงได้พูดแบบนี้” เพราะน้อยใจจากคำพูดเมื่อครู่แชมป์จึงเอ่ยคล้ายรวนออกไปแบบนั้น เต็นเริ่มเห็นแววตาน้อยใจที่ฉายชัดบนแววตาคู่นั้น เป็นไปได้เหรอที่แชมป์จะมีท่าทีสะท้านกับคำพูดของเขา
“มันไม่ใช่แบบนั้นหรอก แต่เรารีบจริงๆ รถจะออกแล้ว” เด็กหนุ่มเอ่ยออกไป ไม่ใช่เพราะใจอ่อนกับแววตาที่เห็น แต่นิสัยจริงๆ ไม่ใช่เป็นคนขี้ประชดประชันหรือแค้นฝังหุ่นกับเรื่องไม่เป็นเรื่องจึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องใช้คำพูดเชือดเฉือนให้อีกฝ่ายรู้สึกสำนึกในสิ่งที่ทำผ่านๆ มา แม้ว่าฝ่ายนั้นทำเหมือนจะเปิดประเด็นก็ตาม
“งั้นขอเบอร์ได้มั้ย” แชมป์ทำใจกล้าเอ่ยขอช่องทางการติดต่อ กลัวอยู่ว่าจะโดนปฏิเสธ แต่ทำยังไงได้วินาทีนี้ไม่กล้าก็ต้องกล้า ส่วนผลที่ตามมาจะเป็นยังไงก็ทำใจยอมรับมันก็แล้วกัน
“นายยังใช้เบอร์เดิมอยู่หรือเปล่าล่ะ” เต็นเอ่ยถามคนตรงหน้า พอเจ้าตัวพยักหน้าตอบจึงหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมากดหมายเลขโทรศัพท์ที่ว่าอย่างชำนาญมือ แชมป์มองภาพนั้นคิดไปว่าคนนั้นคงต้องการตัดขาดตนออกจากชีวิตแล้วจริงๆ ถึงไม่ยอมบันทึกหมายเลขโทรศัพท์ของตนไว้ในเครื่อง แต่สักพักเด็กหนุ่มก็คิดต่างเพื่อให้กำลังใจตัวเองว่าอย่างน้อยคนตรงหน้าก็จดจำหมายเลขโทรศัพท์เขาได้ขึ้นใจล่ะน่า ไม่อย่างนั้นคงไม่กดตัวเลขอย่างชำนาญขนาดนั้น มองภาพนั้นได้สักพักเสียงโทรศัพท์ตัวเองก็ดังขึ้นก่อนดับไปพร้อมคำพูดคนตรงหน้า
“โทรเข้าไปแล้วนะ โทษทีเปลี่ยนเบอร์ใหม่แต่ไม่มีโอกาสได้บอก ขอตัวนะ ไม่อยากเดินกลับบ้านน่ะ” เต็นเอ่ยติดตลกก่อนเดินจากไปด้วยรอยยิ้มจางๆ แชมป์ยืนนิ่งเพราะตามสถานการณ์ไม่ถูก คิดเอาไว้ว่าสิ่งที่ขอไปจะโดนปฏิเสธ แต่ความเป็นจริงกลับสวนทางมาจนน่าตกใจ เป็นแบบนี้เต็นคงจะไม่ติดใจเรื่องในอดีตมากมายสินะ ที่เฉยชากับตนในบางครั้งก็อาจจะแค่งอน เถอะน่าเต็น อย่างน้อยนายก็ให้เบอร์ติดต่อมาแล้ว เรื่องการตามงอนง้อเพื่อขอโทษในเรื่องที่ผ่านๆ มาคงไม่ลำบากเกินที่เราจะทำ
**************************************************************
หลังเข้าไปล้างหน้าล้างตาพร้อมทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำเรียบร้อยแชมป์ก็เดินกลับมาที่รถด้วยรอยยิ้มร่าเริงต่างจากตอนมาที่ไม่ค่อยพูดจากับใคร ผู้เป็นแม่มองเห็นอาการเลยอดทักไม่ได้
“เป็นอะไรมายิ้มร่ามาเชียว ตอนนั่งรถมาไม่เห็นล่ะไม่พูดไม่จาหน้านี้งอเชียว”
“ก็ล้างหน้าล้างตามาจนสดชื่นแล้วไงแม่ ไม่มีอะไรหรอก” เด็กหนุ่มบอกปัดก่อนจะพาร่างหายขึ้นไปบนรถ ขณะนั้นยังไม่มีใครขึ้นมาจึงถือจังหวะการอยู่เพียงลำพังโทรศัพท์ไปหาคนที่เพิ่งให้เบอร์มา
เต็นหยิบโทรศัพท์ที่ส่งเสียงดังขึ้นมาดู ตอนนี้รถที่นั่งอยู่ได้เคลื่อนตัวออกมาจากจุดพักรถหลายกิโลเมตรแล้ว เด็กหนุ่มจำได้ดีว่าหมายเลขที่โทรเข้าเข้ามาเป็นหมายเลขโทรศัพท์ของใคร นึกเกรงใจผู้ร่วมโดยสารหากจะปล่อยให้มันดังนานเกินไปจึงตัดสินใจกดรับ
“หวัดดีเต็น ถึงไหนแล้วอ่ะ” แชมป์รีบเอ่ยทักทายออกไปเมื่อเจ้าของหมายเลขที่ตนติดต่อไปกดรับสัญญาณการเรียก
“บอกแล้วนายจะรู้เหรอ” เต็นตอบกลับไป ได้ยินน้ำเสียงของแชมป์ตอนนี้ทำให้อดนึกถึงตอนที่รู้จักกันแรกๆ ไม่ได้ ช่วงนั้นฝ่ายนั้นก็คอยโทรศัพท์ถามไถ่แบบนี้แหละ แต่แปลกจัง ตอนนี้หัวใจกับไม่รู้สึกยินดีอย่างแต่ก่อนแฮะ
“อืมก็จริง ที่นี่มันต่างจังหวัดนี่เนอะ” แชมป์เอ่ยต่อก่อนจะเริ่มชวนคุย ซึ่งอีกฝ่ายก็ตอบกลับมาด้วยดี
“เต็นอยู่อำเภออะไรอ่ะ”
“เราขอไม่บอกละกันนะ”
“ทำไมอ่ะ กลัวตามไปเหรอ”
“เปล่า”
“เสียงเครียดจัง แชมป์แค่แซวเล่น”
“เปล่าเครียดนี่”
“แล้วทำไมคุยเบาจัง”
“อืมคนเยอะน่ะ เกรงใจเขา แค่นี้ก่อนนะ”
“เฮ้ย! เดี๋ยวดิ” แชมป์เรียกตามแต่ไม่ทันเมื่ออีกฝ่ายตัดสัญญาณการติดต่อ คิดจะติดต่อกลับไปใหม่แต่ก็ทำไม่ได้เมื่อแม่และคนอื่นๆ ต่างทยอยขึ้นมาบนรถกันแล้ว
“อ้าว เป็นอะไรอีกแล้วเนี่ยเมื่อกี้ยังยิ้มร่าอยู่ มาตอนนี้หน้าเครียดอีกแล้ว” แม่เอ่ยทักลูกชายในตอนที่เห็นใบหน้าเจ้าตัวกลับมาเครียดดังเดิม
“ไม่มีอะไรครับแม่” แชมป์เอ่ยปฏิเสธแล้วหันไปนั่งกอดอกเอียงร่างซบกระจกเหม่อมองทิวทัศน์ด้านนอกตอนที่รถเคลื่อนตัวออกไปแล้ว ในตอนนี้อยากอยู่เพียงลำพังเร็วขึ้นเพื่อจะได้มีเวลาติดต่อไปหาคนที่ตัดบทสนทนากับตนเอาดื้อๆ เมื่อครู่
****************************************************
รถทัวร์โดยสารส่งเต็นถึงตัวอำเภอบ้านเกิดแล้วในตอนบ่ายค่อนเย็น อำเภอที่อยู่ห่างจากตัวจังหวัดพอสมควร ทันทีที่พาร่างลงเตะพื้นดินเด็กหนุ่มสูดเอาบรรยากาศเก่าๆ ให้ชุ่มปอดสักพักก่อนจะโทรศัพท์ไปรายงานทั้งนพและแม็คว่าตัวเองเดินทางมาถึงบ้านเกิดอย่างปลอดภัยแล้ว รายแรกแค่พูดจากันนิดหน่อยแต่รายหลังนั้นคุยติดพันกันนานหลายนาที
“เจอหนุ่มบ้านนาแล้วอย่าลืมหนุ่มกรุงล่ะเต็น ไม่งั้นแม็คไม่ยอมนะเออ”
“ไม่ยอมแล้วจะทำอะไรเต็นล่ะ”
“ทำมาท้า อยู่ไกลแล้วทำเก่ง ทีอยู่ใกล้ๆ ล่ะไม่เห็นท้านะคนเรา”
“โหย ทำเป็นเครียด เต็นแค่ล้อเล่น แล้วนี่แม็คทำไรอยู่”
“นั่งเหงาอยู่”
“อย่ามาลิเก”
“ลิเกคือไรอ่ะ แม็คไม่เคยดู”
“เออ ลืมไปว่าเต็นกำลังคุยกะเด็กเมืองกรุง เฮ้อ อายจัง”
“แม็คล้อเล่น แต่อายจริงดิ อยากเห็นหน้าตอนอายจังคงน่ารักดี”
“อยากเห็นก็ตามมาดิ”
“ร้ายใช้ได้นะเต็นเนี่ย ทีตอนขอไปด้วยล่ะห้ามจัง ทีตอนนี้ล่ะมาทำเป็นเล่น เดี๋ยวตามไปจริงๆ จะอึ้ง”
“โอ๋ๆๆ เต็นล้อเล่น ว่าแต่มาให้ถูกก็แล้วกัน”
“ยังมาทำพูดดีอีกลืมไปแล้วล่ะสิว่าพี่นพเองก็เคยไปบ้านเต็นมาแล้ว แค่แม็คโทรไปถามทางทุกอย่างก็เรียบร้อยภายในไม่ถึงสามนาทีเชื่อสิ”
“จริงด้วยแฮะ แหะๆ ถือว่าเต็นไม่เคยพูดอะไรไปละกันนะ”
“กำลังอายอีกแล้วอ่ะดิ ถ่ายรูปตอนอายมาให้ดูหน่อยดิ อยากเห็นอ่ะ”
“จะบ้าเรอะ ใครมันจะเก๊กหน้าอายเป็นสั่งได้ ของแบบนี้มันออกมาจากความรู้สึกดิ”
“แล้วเมื่อไหร่จะมารู้สึกอายใกล้ๆ แม็คล่ะ”
“เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นแหละ แค่นี้ก่อนนะเต็นต้องเข้าบ้านแล้วล่ะ เดี๋ยวจะมืดซะก่อน”
สองหนุ่มเลิกสนทนากันเสร็จ เต็นจึงคิดจะเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง นาทีนั้นเองถึงได้เห็นรายการของสายที่ไม่ได้รับแสดงอยู่ตรงหน้าจอโทรศัพท์ จำได้ว่าก่อนติดต่อไปหาแม็คไม่มีรายการนี้แสดงอยู่นี่นา นี่เขาสนทนากับแม็คเพลินจนไม่รู้เลยเหรอว่ามีสายเรียกซ้อนติดต่อเข้ามาระหว่างใช้โทรศัพท์อยู่ เออ เป็นไปได้แฮะ แต่นี่มันเบอร์ของแชมป์นี่ ตั้งสองสาย โทรมามาอะไรอีกนะ
เด็กหนุ่มนึกช่างใจว่าจะติดต่อกลับไปหาคนที่ติดต่อตนไม่ได้ดีหรือไม่ สุดท้ายก็ได้คำตอบว่ารีบกลับบ้านซะน่าจะดี เพราะบ้านตนไม่ได้อยู่ในตัวอำเภอ การจะไปต้องนั่งรถสองแถวไปอีกกว่าเจ็ดกิโลเมตรและรถโดยสารใช่ว่าจะวิ่งกันหลายรอบ
ด้านแชมป์เริ่มคิดมากอีกเช่นเดิมเมื่อติดต่อไปหาเต็นในตอนที่รถจอดพักระหว่างทางอีกครั้งแต่ไม่มีการตอบรับจากฝ่ายนั้น เด็กหนุ่มนั่งรอการติดต่อกลับนานหลายนาทีก็ไม่มีวี่แววว่าเจ้าตัวจะโทรศัพท์กลับมา หากเหตุการณ์เป็นแบบนี้ในใจก็อดคิดไม่ได้เลยว่าการที่ตัวเองติดต่อเต็นไม่ได้คงเกิดจากที่เจ้าตัวตั้งใจไม่รับสายป็นแน่แท้ เพราะหากว่ามีเหตุให้เจ้าตัวรับสายไม่ได้ป่านนี้แล้วคงจะมีการติดต่อกลับมาบ้าง แต่นี่หนึ่งนาทีก็แล้ว ห้านาทีก็แล้ว สิบนาทีก็แล้ว และจนตอนนี้ก็ปาเข้าไปเกือบยี่สิบนาทีที่โทรศัพท์ของตนไม่ไหวติงอยู่เช่นนี้
“ไม่อยากคุยแล้วให้เบอร์มาทำไมนะเต็น” เด็กหนุ่มอดเอ่ยตัดพ้อออกมาไม่ได้ ก่อนจะเดินหน้าเศร้ากลับไปยังรถเมื่อได้ยินเสียงแม่เอ่ยเรียกว่าจะออกเดินทางกันแล้ว
“ลูกชายฉันโดนของหรือเปล่าเนี่ย เดี๋ยวยิ้ม เดี๋ยวเศร้า ไปๆๆ ขึ้นรถ ถึงวัดแล้วจะให้หลวงพ่อรดน้ำมนต์ให้”
ผู้เป็นแม่เอ่ยแซวลูกชายขำๆ เมื่อเห็นอาการเจ้าตัวดีๆ ร้ายๆ แชมป์ได้ฟังได้แต่ถอนหายใจ หากว่าน้ำมนต์จะช่วยชำระล้างความผิดที่เป็นเช่นกรรมตามทันในสิ่งที่เคยเอาเรื่องหัวใจของคนอื่นมาล้อเล่นจนเจ็บปวดได้เขาก็พร้อมที่จะให้หลวงพ่อวัดไหนก็ได้ทำกับเขาเช่นนั้น
*************************************************************
เต็นกลับถึงบ้านในตอนโพล้เพล้พอดี เด็กหนุ่มโผเข้ากราบไหว้ผู้ให้กำเนิดและทักทายญาติๆ นานแล้วที่เด็กหนุ่มไม่ได้กลับมาที่บ้านเกิด การพบหน้าหลายๆ คนที่เคยรู้จักและคุ้นเคยจึงพาให้การพูดจาสนทนากินเวลาไปนานนับชั่วโมงก่อนที่ขอตัวไปอาบน้ำอาบท่า เพื่อเตรียมทานข้าวเย็นมื้อแรกร่วมกับครอบครัว
ส่วนแชมป์เองก็เข้าสู่ตัวเมืองขอนแก่นได้ในเวลาไล่เลี่ยกัน โดยทั้งคณะเดินทางได้เข้าพักในบ้านของผู้ที่นำขบวนมา
“พักผ่อนให้สบายนะเจ๊ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราค่อยไปไหว้พระกัน”
เจ้าของบ้านเดินออกมาเอ่ยกับแม่ของแชมป์ นางรับคำแล้วปลีกตัวมาหาลูกชายที่กำลังยืนซึมอยู่เพียงลำพัง
“ท่าทางแม่จะพาเราไปรดน้ำมนต์จริงๆ แล้วมั้งแชมป์ เป็นอะไรน่ะ ทำไมหน้าเศร้าหมองจัง” นางเอ่ยถามลูกชายอย่างจริงๆ จังๆ เมื่อเห็นอาการเจ้าตัวไม่สู้ดีเท่าไหร่
“ไม่มีอะไรหรอกแม่ พอดีแชมป์เพลียน่ะ” แชมป์ปฏิเสธตามเดิม ก็ไม่รู้จะบอกหรือปรึกษากับผู้เป็นแม่ยังไงว่าตอนนี้มีผู้ชายหนึ่งคนกำลังเข้ามามีอิทธิพลเหนือใจ
“งั้นก็ไปอาบน้ำอาบท่านอนพักเถอะไป” แม่เอ่ยบอกอีกเด็กหนุ่มรับคำแล้วจึงเดินไปเอากระเป๋าตัวเองภายในรถเดินหายเข้าไปในบ้านพัก
***********************************************************
ดึกแล้ว อากาศต่างจังหวัดเริ่มเย็นลง แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นแชมป์ก็ยังแยกตัวออกมาเพื่อยืนรับลมกลางคืนนอกบ้าน เด็กหนุ่มแหงนหน้ามองดาวที่พราวแสงสวยงามจับทั่วผืนฟ้า เริ่มคิดถึงตอนที่ตัวเองนั่งคุยกับใครบางคนบนดาดฟ้าตึกในเมืองกรุง
“มองแบบนี้กรุงเทพฯแม่งสวยว่ะ” ประโยคนี้เขาเป็นคนเริ่มต้นชวนคุย ก่อนที่ใครคนนั้นจะเริ่มสนทนาด้วย
“อืม”
“ระหว่างกรุงเทพฯ กับต่างจังหวัด มึงชอบที่ไหนมากว่ากันวะ”
“มันก็ดีคนละแบบ แต่กูคงชินอยู่ในกรุงเทพฯ มากกว่าว่ะ”
“แต่ทำไมกูชอบต่างจังหวัดวะ”
“ไม่แปลกหรอก มึงเกิดที่นี่ โตที่นี่มึงย่อมเบื่อที่นี่เป็นธรรมดา ส่วนกูเกิดที่ต่างจังหวัด โตที่ต่างจังหวัด ก็เลยเบื่อๆ ต่างจังหวัด”
“พูดถึงต่างจังหวัด ตอนไหนว่างๆ ให้กูไปเที่ยวบ้านมึงหน่อยดิ”
“ขอนแก่นเลยนะมึง”
“แต่มันก็เจริญมากแล้วใช่ป่ะ”
“มากกว่าบ้านมึงอีกมั้ง”
“เชี่ย เดี๋ยวถีบตกตึกเลย ชอบว่าบ้านกูกันดาน”
“ว่าตอนไหนวะ”
“เออ ช่างมันเถอะ ว่าแต่แฟนมึงเคยไปบ้านมึงป่ะ”
“เคยดิ”
“เหรอ กูอยากไปบ้างอ่ะ”
“มาเป็นแฟนกูก่อน”
“มึงก็ทำตัวให้โสดสิ”
“ก็นี่ไง โสดอยู่นี่ไงไม่เห็นเหรอ”
“ประชดตัวเองป่ะวะ”
“เปล๊า”
“เชี่ย ขึ้นเสียงแค่นี้กูก็รู้แล้ว”
“เฮ้อ ไม่รู้เขาจะเอายังไงกะกูว่ะ แม่งหายไปไม่ติดต่อเลย”
“คิดถึงเขามากเหรอ”
“แฟนทั้งคนนะมึง”
“ก็รู้ แต่เขาทำแบบนี้เขาคงมีคนใหม่แล้วมั้ง”
“มีก็บอกกูได้นี่หว่า ไม่เห็นต้องเงียบแบบนี้เลย”
“บอกแล้วมึงรับได้เหรอ”
“ถึงนาทีนั้นก็คงต้องดูกันอีกที”
“เอาเหอะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็คิดว่ายังมีกูอีกคนละกัน”
“เชื่อมั้ยกูแอบคิดนะโว้ยว่านี่มันเรื่องจริงหรือกูกำลังฝันอยู่”
“เรื่องไร”
“เรื่องที่มาเจอมึงในตอนที่กำลังเบื่อๆ เซ็งๆ”
“แล้วมันเป็นฝันดีหรือฝันร้ายล่ะ”
“อืม ดีมั้ง”
“พูดดังๆ ก็ได้กูไม่ได้ยิน”
“ก็นั่นแหละพูดไปแล้ว”
“เวลามึงอายนี่แม่งน่ารักว่ะ ยังกะผู้หญิง”
“เชี่ย”
“อ้าวด่ากูทำไมเนี่ย”
“ไม่รู้ อยากด่าก็ด่า”
“อย่างนี้ก็มีด้วยแฮะ เขินที่กูชมล่ะสิ”
“กูจะเขินทำไมกูไม่ได้คิดอะไรกะมึง”
“จริงอ่ะ”
“จริง”
“งั้นกูกลับล่ะนะ”
“เชิญ”
“K ง้อกูหน่อยก็ไม่ได้”
“เฮ้ย แต่นี่มันก็จะสามทุ่มแล้วนะ กูว่ามึงกลับก็ดีนะบ้านมึงไม่ใช่ใกล้ๆ”
“อืม แล้วกูจะได้มาอีกมั้ย”
“ก็แล้วแต่มึงสิ”
“กูกลัวจะมาเจอมึงอยู่กับแฟนน่ะสิ”
“เขาคงไม่มาแล้วล่ะ”
“อืมไว้ถ้าจะมากูโทรบอกละกัน”
“ก็ได้ ว่าแต่ลงข้างล่างเหอะ ลมชักแรงแล้ว”
“ฉุดกูหน่อยดิ แม่งเหน็บกิน”
“กรรม เฮ้ย อะไรวะ ไอ้เชี่ยแชมป์ มึงทำอะไรกูเนี่ย”
นึกถึงตอนนี้เด็กหนุ่มมีรอยยิ้มจาง ยังจำได้ถึงสีหน้าและแววตาตกใจของคนเอ่ยในตอนที่เขาแกล้งสวมกอดขณะโดนฉุด
“มึงขำอะไรนักหนา” จำได้ว่าโดนโวยมาแบบนั้นในตอนที่แกล้งขำเจ้าตัว รอยยิ้มเด็กหนุ่มจางลงในตอนที่นึกถึงตอนเอ่ยว่าคนนั้น มันไม่ใช่การล้อ แต่ที่พูดตอนนั้นเขากำลังคิดสมเพชเจ้าตัวจริงๆ
“ก็ขำมึงอ่ะดิ เชี่ยมึงคิดว่ามึงเป็นผู้หญิงหรือไง โดนกอดแค่นี้ดิ้นซะเว่อร์”
“แล้วมึงคิดว่าตึกนี้มันสูงขนาดไหนกันเชียว เกิดมีคนมองมาเห็นกูคิดว่ากูจะอายมั้ย มึงไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ทุกวันอย่างกูนี่”
“เออๆๆ กูขอโทษ คราวหลังกูไปกอดมึงในห้องก็ได้”
“ไหนบอกเหน็บกินไงวะ”
“กูแกล้งบอกไปงั้นแหละ ไม่คิดว่ามึงจะเชื่อ”
“เชี่ย ปลิ้นปล้อนนะมึง”
“โธ่ รักดอกจึงหยอกเล่น”
“แน่ใจนะที่พูด”
“ว่า?”
“รัก”
“ถ้าบอกว่าแน่ใจมึงจะเชื่อมั้ยล่ะ”
“กูมันเชื่อคนง่ายมึงก็รู้นี่”
“เชี่ย ย้อนกูอีก”
“ช่วยไม่ได้เปิดทางให้กูเอง”
“เออ ปากดีให้ตลอดเถอะ เดี๊ยะสักวันกูจะปล้ำทำเมีย”
“กลัวตายล่ะ กลับบ้านได้แล้ว”
“รีบไล่เชียวนะกลัวเสียสาวหรือไง”
“เชี่ย กูไม่ใช่ผู้หญิง”
“เหรอ นึกว่าใช่”
“ยิ่งพูดยิ่งยาวว่ะ กูลงไปล่ะ ส่วนมึงอยากนั่งต่อก็ตามสบายกูไม่เอาแล้ว”
คนพูดเดินหนีลงไปจากดาดฟ้าในตอนนั้น ก่อนที่เขาจะตามลงไปเพื่อเล่นละครล้อความรู้สึก
แชมป์หลับตาไล่ภาพวันวานออกไปจากสมองเมื่อนึกถึงตอนนี้ ตอนที่ตนได้เอ่ยคำพูดล้อเล่นกับความรู้สึกของเต็น เรื่องราวตอนนั้นทำไปเพียงเพราะนึกสนุก ไม่ได้คิดจริงจังอะไร แล้วตอนนี้ล่ะ สิ่งที่แสดงออกมาทั้งหมดมันคือความรู้สึกจริงๆ จากใจแล้ว ที่ติดต่อหาเขาไม่ได้นึกแกล้ง ที่แสดงท่าทีน้อยใจเมื่อโดนมองด้วยแววตาเฉยชาก็ไม่ได้แสร้งทำ เต็น นายจะรับรู้ถึงความจริงใจนี้หรือเปล่านะ
***********************************************************
อีกมุมหนึ่งใต้ผืนฟ้ายามค่ำคืน เต็นกำลังนั่งรับลมเย็นๆ คุยโทรศัพท์อยู่กับแม็คเช่นกัน สองคนก็พูดคุยหยอกล้อกันตามประสาเช่นเดิม กระทั่งเวลาผ่านไปค่อนคืนเต็นจึงขอวางสายเพื่อจะกลับเข้าบ้านพักผ่อน นั่นล่ะแม็คจึงยอมเลิกคุย เด็กหนุ่มลุกขึ้นเพื่อกลับเข้าไปในบ้าน แต่แล้วต้องชะงักเมื่อมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจึงหยิบขึ้นมาดู เอ่ยครางชื่อคนที่โทรเข้ามาเบาๆ
“แชมป์”
โทรศัพท์ในมือส่งสียงดังอยู่แบบนั้นจนเกือบจะดับไปเองเต็นจึงตัดสินใจกดรับสัญญาณ ระหว่างที่เครื่องดังอยู่ก็ใช้เวลานึกคิดว่าควรจะรับสายดีหรือไม่ เพราะเวลาค่ำคืนแบบนี้ น้อยนักที่ตนจะสนทนากับคนที่ไม่ค่อยสนิทชิดเชื้อ ซึ่งตอนนี้เด็กหนุ่มวางสถานะของคนโทรเข้ามาไว้ ณ ที่ตรงนั้นแล้ว แต่ที่ต้องกดรับสายในวินาทีสุดท้ายเพราะจำได้ว่าช่วงหัววันคนๆ นี้ทิ้งสายเรียกเข้าที่ตนไม่ได้รับไว้ที่เครื่องถึงสองสาย เจ้าตัวอาจจะมีเรื่องปรึกษาในการมาอยู่ต่างถิ่นล่ะมั้ง พูดคุยสักนิดในฐานะคนเคยรู้จักกันก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร
“โทรมาซะดึกเลยนะแชมป์ มีอะไรหรือเปล่า” เด็กหนุ่มทักทายออกไปพลางเดินให้สายลมพันรอบกายไปเรื่อยๆ
“เต็นนอนหรือยังล่ะ” แชมป์เอ่ยถามคนที่ตัวเองตัดสินใจโทรศัพท์หาเพราะคนๆ นี้คือสาเหตุให้ต้องนอนไม่หลับจากการที่คิดวนเวียนแต่เรื่องราวในอดีต จนต้องออกมายืนเหงาท่ามกลางแสงดาวในคืนเดือนมืดแบบนี้ สุดท้ายก็ต้านความรู้สึกที่อยากพูดคุยไม่ไหวจึงได้ติดต่อไปหาเจ้าตัวดีใจที่ได้ยินเสียงทักทายกลับมา แต่ก็นึกเกรงใจเมื่อเจ้าตัวเอ่ยคำว่าดึกให้ได้ยินพร้อมถามกลับมาในลักษณะไม่อยากจะคุย
“ยังไม่นอนหรอก ว่าแต่มีอะไรหรือเปล่าล่ะ” เต็นถามย้ำเพราะเข้าใจว่าอีกคนติดต่อมาหาตนก็น่าจะเป็นเรื่องถามไถ่การใช้ชีวิตต่างถิ่นน่ะแหละ แต่แล้วสิ่งที่ได้ยินกลับมาทำเอาต้องชะงักเท้าหยุดเดิน
“ตอนนี้แชมป์ต้องมีอะไรแล้วใช่มั้ยถึงโทรหาเต็นได้” น้ำเสียงนั่นเจือมาด้วยความน้อยใจจนรู้สึกได้ แต่เพราะไม่อยากใส่ใจแล้วจึงเอ่ยออกไปนิ่งๆ ตามเดิม
“ก็นี่มันดึกแล้วไง เราก็กำลังจะนอนแล้วด้วย”
“เมื่อก่อนดึกกว่านี้เราก็เคยคุยกันได้ไม่ใช่เหรอ” อีกครั้งที่ฝ่ายนั้นพูดในเชิงตัดพ้อจึงต้องเอ่ยให้ได้คิดบ้าง
“อดีตกับปัจจุบันสะกดยังไงก็ต่างกันนะแชมป์”
“เต็นจะบอกว่าตอนนี้แชมป์ไม่มีสิทธิ์อะไรในตัวเต็นแล้วใช่มั้ย”
“ทำไมต้องให้เราบอกล่ะ ที่ผ่านมานายก็น่าจะเข้าใจได้เองแล้วนะ”
“ในที่สุดคำพูดนี้มันก็หลุดออกมาจากปากเต็นจริงๆ”
“หมายความว่าไง”
“แชมป์พยายามคิดมาตลอดว่าตกลงตอนนี้เต็นรู้สึกกับแชมป์ยังไงอยู่กันแน่ และสิ่งที่เต็นเอ่ยเมื่อครู่มันทำให้แชมป์หายสงสัยแล้วล่ะ”
“หายสงสัยแล้วยังไง แสดงว่าเราวางสายได้แล้วสิ”
“ไม่อยากจะคุยกับแชมป์ขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ก็นี่มันใช่เวลาที่เราจะคุยกันที่ไหนล่ะ”
“แล้วตอนแชมป์ขอเบอร์ให้มาทำไมล่ะ”
“อย่าพยายามตีรวนเลยแชมป์ ขอโทษถ้าสิ่งที่เราทำมันทำให้นายคิดว่านายสามารถติดต่อเราได้ 24 ชั่วโมง จะลบเบอร์เราไปก็ได้นะ ไม่ได้ว่าอะไรถ้ามันจะทำให้นายสบายใจ”
“นั่นสินะแชมป์จะมาตีรวนเอาตอนนี้ก็ไม่ถูกหรอก เพราะมันก็สมควรแล้วล่ะที่เต็นจะทำกับแชมป์แบบนี้”
“อย่าเอาเรื่องในอดีตมาเป็นประเด็นเลยแชมป์ เราลืมมันหมดแล้วกับเรื่องราวไร้สาระพวกนั้น”
“เต็นลืมแล้วจริงๆ เหรอ”
“ถามทำไม”
“ถ้าเต็นลืมจริงๆ เรากลับมานับหนึ่งด้วยกันใหม่ได้มั้ย”
“อย่าดีกว่าแชมป์ ทุกวันนี้เราก็มีความสุขในแบบของเราดีแล้ว กับชีวิตตอนนี้เราไม่ขอเรียกร้องอะไรเพิ่มเติมอีกแล้ว”
“เต็นไม่เหงาบ้างเหรอที่เราต้องห่างเหินกันแบบนี้”
“เฮ้อ เราเหงาจนไม่รู้จะเหงายังไงแล้วจนตอนนี้เราคิดว่าเราเฉยชากับคำๆ นี้แล้วล่ะ”
“แต่แชมป์ยังไม่ชินกับมัน”
“ก็ลองอยู่กับมันสักพักสิ”
“แชมป์ไม่ได้อยากมีมันเป็นเพื่อนเลยสักนิดนะ”
“ใครๆ เขาก็ไม่อยากรับคำว่าเหงาเข้ามาเป็นเพื่อนหรอกแชมป์ เราเองก็ไม่เคยต้องการ พยายามวิ่งหนีมันทุกวิถีทาง สุดท้ายก็ไปไม่รอดเพราะตอนนั้นไม่มีใครสักคนที่จะอ้าแขนรับเราพอให้ความเหงามันหวาดกลัวจนไม่กล้าจู่โจม นายลองนึกดูดีๆ ละกันนะว่าเราเคยเหงาจนทุรนทุรายในตอนไหน แต่สุดท้ายเราก็ผ่านมันมาจนกลับมายืนหายใจในบ้านเกิดได้ตอนนี้ ยอมรับมันแล้วอยู่กับมันให้ชิน เราเคยรอดจากมันมาได้แล้วเราก็คิดว่านายคงจะรอดจากมันเช่นกัน แค่นี้นะ เราต้องนอนแล้วล่ะ”
เต็นตัดสินใจตัดสายทิ้งเมื่อเอ่ยจบ ไม่ได้ต้องการที่จะเอ่ยประโยคยืดยาวแบบนี้เลย แต่จะให้เก็บไว้ก็พาลจะทำให้อะไรๆ มันคาราซังไม่จบไม่สิ้น สิ่งที่ได้ยินจากปากของแชมป์เมื่อครู่ก็ยินดีที่ฝ่ายนั้นเอ่ยคล้ายเห็นตนมีค่าขึ้นมาบ้างแล้วในวันที่ห่างกัน แต่ก็นั่นล่ะ การเก็บใบไม้ที่มันร่วงหล่นและหวังให้เป็นต้นไม้ ใครจะคอยรดน้ำเท่าไหร่ ยังไงก็ไม่มีวันเหมือนเดิม….
http://youtu.be/a8y3HcMXMr0เพลง : ใบไม้
ศิลปิน : Girl Force
ยังคงเห็นภาพรางๆ เมื่อวันที่เธอแยกไป
และยังคงเสียใจเมื่อนึกถึงคำบอกลา
แต่วันนี้เหมือนเธอจะกลับ
กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง
อยากให้ฉันนั้นลืมเรื่องทุกอย่าง
ก็อยากให้เธอเข้าใน
อย่าเก็บใบไม้ที่มันร่วงหล่น
และหวังให้เป็นต้นไม้
เธอจะคอยรดน้ำเท่าไหร่ไม่มีวันเหมือนเดิม
อย่ากลับมาหาฉันเลยดีกว่า
อย่าบอกว่ารักเหมือนเดิมได้ไหม
ใจที่เคยให้เธอทำลาย
ยังเจ็บยังไม่หายให้พอรักเธอ
ดีใจที่เธอมาเยือนและคิดถึงกันมากมาย
อยากบอกว่ายังซึ้งใจที่เห็นเธอเดินกลับมา
ที่ยังคิดถึงกันคนแรก
วันที่ใจของเธออ่อนล้า
แต่วันคืนที่มันล่วงเลยมา
ผ่านมานานเหลือเกิน
อย่าเก็บใบไม้ที่มันร่วงหล่น
และหวังให้เป็นต้นไม้
เธอจะคอยรดน้ำเท่าไหร่ไม่มีวันเหมือนเดิม
อย่ากลับมาหาฉันเลยดีกว่า
อย่าบอกว่ารักเหมือนเดิมได้ไหม
ใจที่เคยให้เธอทำลาย
ยังเจ็บยังไม่หายให้พอรักเธอ