บทที่ 2 จันทร์วันอมาวสี
ใกล้รุ่งสางแล้ว
เขาก้มลงมอง
สิ่ง ที่อยู่ในอ้อมแขน ขณะจมอยู่ในห้วงความคิด
เมื่อสักครู่ใหญ่ก่อนหน้านี้ ที่ตนกอดอยู่ยังเป็นเด็กน้อยคนหนึ่ง ขดตัวชิดแผ่นอกเขาแนบแน่น มือเล็ก ๆ กำเสื้อคลุมของเขาที่ห่อร่างเจ้าตัวเอาไว้ไม่ปล่อย ยามเขาขยับตัวเตรียมวางร่างน้อย ๆ นั้นลง อีกฝ่ายกลับทำท่าทางคล้ายผวาหาที่ยึดเกาะทั้งยังไม่ลืมตา ท่าทางน่าสงสารเช่นนั้นชวนให้ใจอ่อนจนขนาดจะปล่อยมือวางลงบนเตียงยังทำไม่ลง
ทว่าร่างเด็กน้อยในคราวแรก บัดนี้กลับกลายเป็นก้อนขนมอมแมมกระหย่อมหนึ่งซึ่งถูกผ้าห่อไว้ เสื้อผ้าเก่า ๆ ที่เจ้าตัวสวมอยู่ก่อนหน้า เมื่อขนาดร่างกายย่อเล็กลง ก็ร่วงร่นลงไปกองอยู่กลางลำตัวที่ปกคลุมไปด้วยขนสัตว์เปรอะโคลน
ครั้นเพ่งสายตาดูให้ดี ใต้คราบดินโคลนหนาเตอะจนเห็นเป็นสีเทาบ้าง ดำบ้าง เลอะเทอะกระดำกระด่าง ยังพอสังเกตเห็นสีแท้จริงของเส้นขนเล็กละเอียดเหล่านั้น
สีเงิน?
ชายหนุ่มกะพริบตาปริบ ๆ รู้สึกผิดคาดอยู่บ้าง แม้ใคร่ครวญแล้วก็ยังมีความเป็นไปได้ เขาเองใช่ว่าไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิต—เรียกสิ่งมีชีวิตคงพอไหว—ลักษณะนี้มาก่อน เพียงแต่ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะเป็นตัวเองที่อุ้มกลับมาหน้าตาเฉย
ก้อนขนในอ้อมแขนส่งเสียง “งี้ด” เบา ๆ จมูกเล็ก ๆ เปื้อนโคลนแห้งกรังยื่นออกมาจากเสื้อคลุม น่าเอ็นดูจนอดใจไม่อยู่ เผลอยื่นนิ้วไปเขี่ย
เจ้าตัวน้อยพลันทำจมูกฟุดฟิดอย่างน่ามันเขี้ยว
เขาหัวเราะแผ่วในลำคอ
เอาเถอะ พากลับมาแล้ว คงมีแต่ต้องรับผิดชอบ
แสงทองเริ่มจับกลีบเมฆทางทิศตะวันออก ท้องฟ้าฟากหนึ่งสว่างขึ้นทีละน้อย อรุณรุ่งที่แสนธรรมดาสามัญอีกวันหนึ่งเริ่มต้นขึ้นเช่นนี้
ชายหนุ่มค่อย ๆ ลุกยืน อุ้มร่างเล็กกระจ้อยร่อยแนบอกไปด้วย เดินออกจากบ้านตรงไปยังลำธารใกล้ ๆ ยามนี้คิดแต่ว่าจะเป็นตัวอะไรก็ต้องจับอาบน้ำให้สะอาดเสียหน่อยจึงพอดูออก
หูข้างหนึ่งของเจ้าตัวเล็กในอ้อมแขนโผล่พ้นผืนผ้าออกมา แสงสว่างยามเช้าทำให้เห็นดินโคลนหนาเตอะที่พอกอยู่ชัดขึ้น เมื่อเขี่ยผ้าออกดู พบว่าข้างในนั้นสภาพดูไม่ได้ยิ่งกว่าคาด เหมือนเขาไปเก็บก้อนดินจากริมแม่น้ำมาห่อไว้แล้วอุ้มกลับบ้าน ตอนยังเป็นเด็กน้อยเมื่อคืนก็ไม่ทันสังเกตว่าจะมอมแมมขนาดนี้แท้ ๆ
เขาเม้มปาก ท่าทางจะไม่ใช่งานง่ายแล้ว
ลมอ่อนสายหนึ่งโชยต้องผิว อากาศกำลังสบาย
หูเล็ก ๆ ข้างนั้นกระดิกสองสามครั้ง เศษโคลนแห้งกรังร่วงกราว
เห็นแล้วทนไม่ได้เอาจริง ๆ!
ชายหนุ่มมุ่งมั่นอยู่ในใจ เป้าหมายของวันนี้ ต่อให้ต้องถลกหนัง ก็ต้องขัดสีฉวีวรรณเจ้าตัวซกมกนี่ให้สะอาดเอี่ยมให้ได้!
เวลาเกือบทั้งครึ่งเช้า ถูกใช้ไปกับการอาบน้ำลูกสัตว์อะไรสักอย่างด้วยประการฉะนี้ หลังจับล้างเนื้อตัวไปสามน้ำแล้ว สภาพค่อยพอดูได้ขึ้นมาบ้าง
ขนสีเงินล้อแสงแดดที่ทอทอดผ่านยอดไม้ มันเรียบลู่ไปกับลำตัวผอมแห้ง ยิ่งเปียกน้ำยิ่งเห็นชัดว่าเจ้าเด็กน้อย—เจ้าลูกสุนัขน้อยตัวนี้ ขนาดร่างกายเล็กจ้อยขนาดไหน มีเพียงท่อนขาหน้าหลังและอุ้งเท้าสีชมพูขนาดใหญ่เทียบกับสัดส่วนร่างกาย ที่ทำให้นึกคาดเดาคร่าว ๆ ได้ว่าหากเติบโตขึ้นในสภาพแวดล้อมที่ดี อาหารการกินอุดมสมบูรณ์ วันหน้าคงกลายเป็นหมาป่าตัวใหญ่ที่งดงามมากทีเดียว
ขณะครุ่นคิดไปเรื่อยเปื่อย มือก็ยังทำงานต่อ ชายหนุ่มอุ้มเจ้าลูกหมาแช่น้ำรอบสุดท้าย จับแกว่งไปมา เกือบจะเข้าข่ายกลั่นแกล้งอยู่เล็กน้อย
เจ้าเด็กขี้เซาไม่มีทีท่าจะตื่นสักนิด มีแค่บางครั้งหากไปแตะถูกแผลตามขาหรือท้องเข้าจึงค่อยสะดุ้ง ส่งเสียงร้องหงิงอย่างน่าสงสาร เมื่อแหวกขนดูตามเนื้อตัวโดยละเอียด ก็พบว่ามีรอยขีดข่วนน้อยใหญ่อยู่จำนวนหนึ่ง บางส่วนคล้ายแผลใหม่ บางจุดก็เป็นแผลที่ใกล้หาย ไม่รู้ไปโดนอะไรมาเยอะแยะนัก
กระทั่งถูกเขาจับอาบน้ำจนเนื้อตัวสะอาดสะอ้านอย่างกับเป็นคนละตัวกับตอนแรก เจ้าลูกหมาก็ยังเคลิ้มหลับบต่อได้อีก จนถูกจับเช็ดตัว หรือจะถูกแกล้งจับพาดราวไม้เหมือนตากผ้า ก็ยังคงหนักแน่นในการนอน หลับปุ๋ยอย่างกับซ้อมตาย ท่าทางคงจะเพลียไม่น้อย ระหว่างเจ้าตัวเล็กหลับไม่รู้เรื่อง ยังโดนเขาแกล้งบีบจมูก นวดแก้ม เกาพุงแฟบ ๆ ไปหลายหน
ชายหนุ่มหัวเราะ หันไปค้นกุกกักในลิ้นชักใกล้ ๆ คว้าได้ถุงบุหงารำไปขึ้นมาอันหนึ่ง จับพลิกไปมาเห็นว่าสภาพพอใช้การได้ จึงเอาเชือกร้อยแล้วลองคล้องรอบข้อเท้าหน้าของเจ้าหมาน้อยที่หลับเป็นตายเอาไว้หลวม ๆ ส่วนตัวเองขยับออกมานั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ไม่ไกล คว้าหนังสือนิยายร่วมสมัยมาเอกเขนกอ่านพลางลอบสังเกตอีกฝ่ายไปด้วย
เกือบสามชั่วโมงผ่านไป อ่านนิยายได้ราวครึ่งเล่ม จากหางตาเห็นการเปลี่ยนแปลงบนร่างกายเจ้าตัวเล็ก
เขาวางหนังสือลง หันไปนั่งมองอีกฝ่ายอย่างตั้งอกตั้งใจ
ขนสีเงินที่ปกคลุมร่างกายราวกับจะเรืองแสงขึ้นมาแวบหนึ่ง จากนั้นค่อย ๆ เลือนหายช้า ๆ
ศีรษะและใบหน้าของลูกสุนัขกลับเปลี่ยนรูปร่างและสีสันไปจนกลายเป็นดวงหน้าอ่อนเยาว์ของเด็กชาย ศีรษะปกคลุมด้วยเส้นผมสีดำ เหมือนอย่างตอนพวกเขาพบกันครั้งแรก พร้อมกับที่ขาหน้าและขาหลังเปลี่ยนรูปร่างเป็นแขนขาอย่างมนุษย์ ข้อมือข้างซ้ายของเด็กชายมีเชือกห้อยบุหงารำไปห่อเล็ก ๆ คล้องอยู่
อีกครู่ใหญ่หลังจากนั้น กลีบดอกไม้แห้งในถุงผ้าโปร่งที่ข้อมือเด็กชายกลับป่นลงเงียบ ๆ จนกลายเป็นผงในท้ายที่สุด มองเผิน ๆ ตั้งแต่ต้นจนจบคล้ายเป็นภาพถ่ายวิดีโอที่ถูกเร่งความเร็วเพื่อให้เห็นการเสื่อมสลายของสสารชัดเจนขึ้น ใช้เวลาไม่นาน กลีบดอกไม้ในถุงนั้นก็กลายเป็นผุยผง บางส่วนยังรั่วออกทางรูเล็ก ๆ ของผ้าโปร่งแล้วปลิวหายไปกับสายลม
ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบคาง จ้องมองภาพเบื้องหน้า แววตาครุ่นคิด
ดูเหมือนจะเก็บเด็กที่ไม่ธรรมดาเอามาก ๆ มาเสียแล้ว
✣✾✣✾✣✾✣
รำไปมีร่างกายสองแบบ
นั่นเป็นเรื่องที่เด็กชายได้รู้เกี่ยวกับตัวเอง หลังจากใช้ชีวิตอยู่กับอาจารย์ได้สักระยะหนึ่ง
ครั้งแรกนั้น—เขายังไม่ทันรู้ตัว—เป็นอาจารย์ที่มาเล่าให้ฟังในภายหลัง เกี่ยวกับขนสีเงินของเขาที่เปรอะเปื้อนโคลนเปียกแล้วไม่ได้ทำความสะอาดให้ดีจนมันแห้งติดเป็นสังกะตัง
ขน...ใช่แล้ว ขน
ขนสัตว์
อาจารย์กล่าวว่ามันพันกันอีนุงตุงนังไปหมด แล้วยังสกปรกจนทนดูไม่ได้ ต้องจับอาบน้ำอยู่นานมากกว่าจะสะอาดเอี่ยมเป็นที่น่าพอใจ และทั้งที่จับขัดถูเนื้อตัวอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาก็ยังแทบไม่ตื่นเต็มตาขึ้นมาเลย กระทั่งหลังเสร็จสิ้นกระบวนความ ยังหลับไปอีกหนึ่งวันเต็ม ๆ
แต่หลังจากนั้น เป็นอาจารย์อีกเช่นกันที่กล่าวว่าขนของเขานุ่มมาก สีสวยมาก เหมือนแสงของพระจันทร์
รำไปได้ยินแล้วดีใจจนหางนุ่มฟูโบกไปมาอย่างควบคุมไม่ได้...และเริ่มเรียนรู้ความรู้สึกบางอย่างที่น่าจะเป็น...ความเขินอาย
ส่วนใหญ่เขาอยู่ในร่างกายที่มีสองแขน สองขา เหมือนกับอาจารย์ เดิน วิ่ง หยิบจับสิ่งของ เคลื่อนไหวแบบเดียวกัน รู้สึกว่าตนเองควบคุมการแสดงออกของร่างกายในรูปลักษณ์แบบเดียวกับอาจารย์ได้ดีกว่าร่างสัตว์สี่ขาขนฟูซึ่งถูกเรียกว่าเจ้าลูกหมาน้อย ที่หูคอยจะกระดิก และหางคอยจะโบกไหวทุกครั้งที่เข้าใกล้ฝ่ายนั้น
เขาควบคุมการเปลี่ยนแปลงไปมาของร่างกายตัวเองไม่ได้
แต่อาจารย์บอกว่าอีกหน่อยเขาจะทำได้
“ระหว่างนี้ก็ห้อยเจ้านี่ไว้”
เขาก้มลงมองตาม มันเป็นถุงดอกไม้หอมบุหงารำไปที่เล็กกว่าปกติ ขนาดประมาณนิ้วหัวแม่มือเท่านั้น คล้องด้วยเชือกถักสีแดงทำเป็นสร้อยแขวนคอ
เขากุมมันไว้ในมือ มองอีกฝ่ายด้วยตาเป็นประกาย “สิ่งนี้ช่วยให้ผมอยู่ในร่างที่ต้องการได้หรือครับ”
อาจารย์ยักไหล่ “หอมดี” ทำท่าทางอย่างกับว่า ประโยชน์ของมันก็มีแค่หอมเท่านั้นละ
แต่หลังจากนั้น ก็ดูเหมือนว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ในร่างกายแบบมนุษย์เป็นส่วนใหญ่ ติดสอยห้อยตามอาจารย์ด้วยร่างเด็กมนุษย์ ใช้ชีวิตในบ้านต้นไม้ใกล้ลำธารต้นน้ำอย่างมีความสุขจนแทบลืมวันเวลา
อาจารย์เรียกที่แห่งนี้ว่าบ้านต้นไม้ เนื่องด้วยตัวบ้านที่ดูเหมือนจะสร้างจากไม้ปนอิฐฝั่งหนึ่งนั้นแทบจะถูกกลืนไปกับต้นไม้ใหญ่สองหรือสามต้นรอบ ๆ กิ่งก้านของพวกมันกอดเกี่ยวกันไปมาหนาแน่น เขาพยายามเพ่งดูก็ยังแยกไม่ค่อยออก แต่เดาว่าน่าจะเป็นสามต้น
ในบ้านหลังนั้น แรกเริ่มเดิมที อาจารย์จัดห้องเล็กแยกไว้ให้เขา สำหรับเป็นห้องนอนส่วนตัว
แต่คืนเดือนดับคืนหนึ่ง รำไปเข้านอนด้วยร่างเด็กชายมนุษย์อายุราวหกถึงเจ็ดขวบ แต่แล้วกลับสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกในร่างลูกสุนัขขนฟู เสื้อผ้าร่วงลงไปกองที่สะโพก
ข้างนอกลมพัดแรงจนได้ยินเสียงลมอื้ออึงเข้ามาถึงในห้อง ท่าทางเหมือนกำลังจะมีพายุฝน
เขาเหลียวมองซ้ายขวา รู้สึกไม่สบายใจนัก กระโจนแผล็วลงจากเตียง วิ่งเหยาะ ๆ ออกจากห้องตัวเอง แล้วไปตะกุยประตูห้องอาจารย์ ร้องงี้ดไปด้วยไม่หยุด กระทั่งประตูบานนั้นเปิดออก
“...รำไป?” เสียงชายหนุ่มงัวเงีย มือหนึ่งขยี้ตา อีกมือผลักบานประตูให้เปิดกว้าง จากนั้นย่อตัวลง พอดีกับที่เขากระโจนใส่อีกฝ่าย
แม้จะมีท่าทางง่วงงุน แต่อาจารย์ก็อ้าแขนรับตัวเขาไว้ได้พอดิบพอดี
“ทำไมไม่นอน”
เขาอยากจะตอบว่า ‘ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ ขอนอนด้วยได้ไหมครับ’ แต่กลับมีเพียงเสียง “งี้ด ๆ” ออกจากปาก หางเป็นพวงส่ายไปมาอย่างยากจะห้าม
ทว่าอาจารย์ดูเหมือนจะเข้าใจ ก้มมองเขาครู่หนึ่งอย่างพิจารณา สุดท้ายโคลงศีรษะเบา ๆ อุ้มเขาลุกขึ้นยืนแล้วปิดประตูไว้ดังเดิม พากลับไปที่เตียงด้วยกัน วางเขาไว้ด้านในก่อนจะขยับตามขึ้นมา เอนตัวลงนอนด้านข้าง
กลิ่นดอกไม้หอมกรุ่นที่ชวนให้ใจสงบลอยบางเบาใต้ปลายจมูก ไม่รู้ว่ามาจากเครื่องนอนหรือจากร่างกายอีกฝ่าย
รำไปขยับตัวเข้าใกล้อาจารย์ ยื่นศีรษะมุดลอดแขนชายหนุ่ม ดันหน้าผากถูเบา ๆ ใต้คางคงที่กำลังตาปรือใกล้หลับเต็มที ท่าทางเช่นนี้รู้สึกเหมือนถูกกอดจึงค่อยสบายใจขึ้น ก่อนเขาจะถูกกอดจริง ๆ เมื่ออาจารย์ขยับแขนโอบรอบหลังเขา ลูบไปมาแผ่วเบาพลางพึมพำว่า “เด็กดี นอนได้แล้ว”
หางฟูฟ่องของเขาฟาดลงบนเตียงดังตุบ ๆ อย่างพออกพอใจ จากนั้นค่อยขยับช้าลง...ช้าลง... กระทั่งนิ่งสนิท เมื่อพวกเขาเคลิ้มหลับไปในที่สุด
รุ่งเช้าวันถัดมา รำไปตื่นขึ้นอีกครั้งในร่างเด็กมนุษย์ดังเดิม
เขารู้สึกหนาวเล็กน้อย จึงขยับตัวเบียดเข้าหาความอบอุ่นจากร่างกายด้านข้างให้มากขึ้น แอบหรี่ตามองเห็นว่าอีกฝ่ายยังหลับอยู่
ลมหายใจสม่ำเสมอ แพขนตายาวสีดำสนิททาบลงบนผิวขาวนวล ใต้ลงมามีไฝเม็ดเล็ก ๆ บนปรางแก้มซ้าย ปลายเส้นผมดำขลับคลอเคลียอยู่แถวต้นคอ
รำไปเพิ่งสังเกตว่าที่ลำคออีกฝ่ายยังมีไฝอีกหนึ่งจุด มองดูน่ารักเป็นอย่างยิ่งบนผิวเนียนละเอียดนั้น
กำลังมองอยู่เพลิน ๆ อีกฝ่ายกลับลืมตาขึ้นมาพอดี
ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้มบาง ยกมือขึ้นยีผมเขาเบา ๆ “อ๊ะ เป็นสีดำแล้ว”
เด็กชายจ้องอาจารย์ตาแป๋ว เข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงเส้นผมสีดำในร่างคน และเส้นขนสีเงินในร่างสุนัข
“อาจารย์ชอบสีดำหรือสีเงิน” เด็กชายถาม น้ำเสียงประจบแกมซุกซน
ชายหนุ่มเพียงหัวเราะเบา ๆ แต่ไม่ตอบ
รำไปไม่เซ้าซี้เรื่องเดิม แต่ถามคำถามใหม่ที่คาใจมาสักพักหนึ่งแล้ว
“อาจารย์ก็มีสองร่างเหมือนกันหรือเปล่าครับ” เขาไม่เคยเห็นอีกร่างหนึ่งของอาจารย์เลย แต่คิดไปเองว่าหากเขามีร่าง ‘เจ้าหมาน้อย’ บางทีอาจารย์อาจมีเหมือนกันก็ได้
ทว่าอีกฝ่ายกลับโคลงศีรษะ
“ไม่เชิง”
“ไม่เชิงยังไงครับ”
“อืม จะว่าอย่างไรดี” ชายหนุ่มทำท่าทางครุ่นคิด พยายามเลือกคำเหมาะ ๆ ที่เข้าใจง่าย “ตอนนี้เราอยู่ในร่างกายที่เรียกว่ามนุษย์ใช่ไหม ส่วนของรำไปก็มีอีกร่างที่เป็นเจ้าตัวน้อยขนฟู แต่ว่าของอาจารย์น่ะเป็นอีกอย่าง”
เด็กชายพลิกตัวนอนคว่ำ เอียงคอเกยบนแขนอีกฝ่าย รอฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ
“...ของอาจารย์มันเหมือนกับว่ามีสองแบบ คือ มีร่างเนื้อ หรือไม่มีร่างเนื้อ”
รำไปกะพริบตาปริบ ๆ พยายามทำความเข้าใจแต่ไม่สำเร็จ
“ดังนั้นอีกร่างจึงเป็นแบบจับต้องไม่ได้” ชายหนุ่มอธิบายเพิ่ม
“เอ๋?”
“อะไรประมาณนั้น” ว่าพลางทำท่าเออออกับตัวเอง
เจ้าตัวน้อยได้แต่อ้าปากหวอ นึกไม่ออกว่าจะเริ่มถามต่อตรงไหนดี จับเจอใจความแค่ว่าอาจารย์มีอีกร่างที่จับต้องไม่ได้ พลันรู้สึกว่าให้มีแค่ร่างเดียวที่จับต้องได้แบบนี้น่าจะดีกว่า
“เอาล่ะ!” คนโตกว่าตัดบทตรงนั้น ดึงแขนสองข้างของเด็กชายแล้วหิ้วปีกให้ลุกขึ้นมานั่ง
เห็นสภาพลูกศิษย์ที่เนื้อตัวเปล่าเปลือยนั่งจ๋องบนเตียงเขา ทั้งร่างมีแค่สร้อยถักคล้องถุงบุหงารำไปห้อยคอ แล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าอ่อนใจ หากมีแขกไม่ได้รับเชิญบังเอิญมาเห็นภาพเช่นนี้เข้า เกรงว่าเขาจะถูกลากตัวเข้าคุกตามกฎหมายยุคปัจจุบันข้อหากระทำอนาจารผู้เยาว์เข้าแล้ว
ถูกจ้องมองเช่นนั้น จู่ ๆ รำไปก็รู้สึกเขินขึ้นมา ใบหน้าร้อนอยู่นิดหน่อย ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตัว พลางอ้อมแอ้มบอก “เมื่อคืนผมกังวลเกินไปหน่อย เลยมาตัวเปล่า”
ชายหนุ่มพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจ ไม่ถือสาหาความ ลุกจากเตียงก่อน พลางบอกให้เขารีบแต่งตัวดี ๆ แล้วตามออกไป
“เดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้ว วันนี้มาหัดคัดลายมือกันต่อ”
รำไปพยักหน้าขึงขัง รวบผ้าผวยห่อรอบตัวเองแล้วปีนตามลงจากเตียง วิ่งตื๋อกลับห้อง เป็นเด็กดีไม่มีอิดออดแม้แต่น้อย
ฝึกคัดลายมือกับอาจารย์เป็นเรื่องที่เขารอคอย เพราะอีกฝ่ายมักจะอุ้มเขานั่งตัก อ้อมแขนโอบรอบตัวเขาจากด้านหลัง และจับมือค่อย ๆ ฝึกเขียนหนังสือทีละตัว กลิ่นดอกไม้อ่อนละมุนโชยต้องจมูกทุกครั้งที่ชิดใกล้ และดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตามช่วงเวลา บางครั้งคล้ายดอกมะลิ บางคราวเหมือนเป็นกลิ่นกุหลาบ กล้วยไม้ กระดังงา และหลายหนก็เป็นกลิ่นหอมที่เขาไม่รู้ว่าเป็นของดอกไม้หรือพืชพรรณชนิดใด แต่ทั้งหมดนั้นล้วนอวลด้วยกลิ่นอายแบบเดียวกันซึ่งไม่เหมือนสิ่งใดที่เขาเคยได้กลิ่น นับเป็นอีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับอาจารย์ที่รำไปรู้สึกว่าช่างลึกลับและน่าสงสัย
ครั้นอ้าปากถามออกไป อาจารย์กลับหยิบถุงบุหงารำไปหลายชนิดหลากสีสันออกมาให้ดูถึงที่มาของกลิ่น
ทว่ารำไปก็ยังคงสงสัยต่อไป
หลังจากใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมานานพอสมควร จมูกเขาเริ่มแยกแยะได้ว่ากลิ่นดอกไม้เหล่านั้นกับกลิ่นกายอาจารย์มีความต่างกันอยู่บ้าง และมั่นใจอยู่ไม่น้อยว่าประสาทการรับกลิ่นของตนดีกว่าอีกฝ่ายแน่นอน เป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่เชื่อมั่นว่าตนเหนือกว่าอาจารย์ ใครให้เขามีอีกร่างเป็นสุนัขป่าเล่า
เพียงแต่หากอาจารย์ไม่อยากเปิดโปงตัวเอง เขาก็ไม่อยากขุดคุ้ยมากจนน่ารำคาญเช่นกัน
ถัดจากคืนนั้นที่ไปขอนอนด้วยสำเร็จ รำไปก็หอบที่นอนหมอนมุ้งไปขอนอนห้องอาจารย์ถี่ขึ้นอีกหน่อย
“คืนนี้ด้วยหรือ?” อาจารย์เลิกคิ้ว จ้องมองเขาที่กอดหมอนยืนทำท่ากระมิดกระเมี้ยนเจือออดอ้อนอยู่หน้าห้อง
แล้วก็ถี่ขึ้นอีกนิด
“นอนคนเดียวไม่ได้สักที แล้วเมื่อไหร่จะโตละนี่” อีกฝ่ายล้อเลียนทีเล่นทีจริง อุ้มเขานั่งตักแล้วหวีผมให้ก่อนเข้านอน
จนแทบจะกลายเป็นทุกคืน
“คืนนี้ผมหวีให้นะครับ” รำไปว่า พลางส่งรอยยิ้มประจบ ถือหวีไม้อันโปรดของอาจารย์อยู่ในมือ เครื่องนอนไม่ต้องขนมาเพิ่มอีก เพราะทั้งหมดอยู่ประจำที่บนเตียงชายหนุ่มเรียบร้อยแล้ว
และสุดท้ายก็กลายเป็นทุกคืนไปจริง ๆ
กิจวัตรก่อนนอนของเขาคือสรุปบทเรียนจากหนังสือที่อาจารย์สอน หรือเรื่องที่ตัวเองศึกษาเพิ่มมาในแต่ละวันให้อีกฝ่ายฟัง พลางบีบนวดไหล่ให้อย่างเอาอกเอาใจ ต่อด้วยเจื้อยแจ้วเจรจานอกเรื่อง ระหว่างสางผมนุ่มนิ่มสีดำขลับที่ระต้นคอขาวเนียน ระหว่างนั้นยังมักลอบมองไฝเม็ดเล็ก ๆ ตรงลำคออาจารย์อย่างมีความสุข
ปรนนิบัติอาจารย์อย่างศิษย์น้อยผู้ว่านอนสอนง่ายเสร็จแล้ว ค่อยไปตรวจตราว่าไม่ลืมดับตะเกียงดวงไหนในบ้าน (อาจารย์สอนให้เขารู้จักไฟฟ้า แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะชอบใช้ตะเกียงมากกว่า) ท้ายสุดก่อนปีนขึ้นเตียงจริง ๆ เด็กชายจะคอยดูความเรียบร้อยของเครื่องนอนว่าอยู่ในสภาพดี ไม่มีแมลงสัตว์อะไรซุกซ่อนอยู่ให้รำคาญใจระหว่างนอน ช่วงหลังมานี้ยังย้ายฝั่งจากที่เคยนอนด้านใน เปลี่ยนเป็นตนเองมานอนด้านนอกแทน หากมีอะไรเกิดขึ้น (“จะมีอะไรได้” อาจารย์ว่าอย่างนั้น แต่เขาขอไม่ประมาทไว้ก่อนดีกว่า) ก่อนจะไปถึงอาจารย์ ก็ยังต้องผ่านเขาไปก่อน
รอจนอาจารย์เอนตัวลงนอนแล้ว เด็กชายค่อยดึงผ้าห่มขึ้นคลุมถึงอกอีกฝ่าย ตรวจดูชายผ้าว่าห่มคลุมได้เรียบร้อยหรือไม่ด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข ลอบภาคภูมิใจกับตัวเองว่าได้ทำหน้าที่อันสำคัญยิ่งในแต่ละวันจบลงอย่างสวยงาม
ชายหนุ่มลอบขำ มองเจ้าตัวเล็กที่โตวันโตคืน ซึ่งขณะนี้กำลังปีนตามขึ้นมานอนฝั่งด้านนอกของเตียง
เขายกมือขึ้นตบเตียงที่ว่างข้างตัวปุ ๆ เด็กน้อยทิ้งตัวลงนอนไม่มีอิดออด ขยับตัวเข้าใกล้อย่างออเซาะทันที
บางคืนรำไปจะเปลี่ยนร่างเป็นลูกหมาขนสีเงินสว่าง บ่อยครั้งเป็นในคืนเดือนดับ ราวกับจะทดแทนแสงจันทร์ที่หายไปในวันอมาวสี*
ร่างหมาป่านั้นโตไวยิ่งกว่าร่างเด็กมนุษย์เสียอีก ทั้งกอดอุ่นและนุ่มมือเป็นที่สุด ตนเองที่มักถูกดวงจันทร์ดึดดูดความสนใจได้อย่างง่ายดาย ก็คล้ายจะถูกเจ้าก้อนขนสีเงินอย่างกับแสงจันทร์ตัวนี้ดึงดูดไปด้วย ศิษย์น้อยเปลี่ยนเป็นลูกหมาป่าทีไร เขามักตื่นสาย แล้วยังเผลอกอดร่างขนฟูฟ่องนั้นไว้เสียแน่น
เจ้าหนูรำไปก็ช่างนอนให้กอดอย่างว่าง่ายจนพากันตื่นสายทั้งศิษย์อาจารย์อยู่เรื่อย
เวลาผ่านไปอีกเป็นปี ๆ จากเด็กที่ต้องจับมือเขียนหนังสือ ตอนนี้เด็กชายที่เริ่มจะกลายเป็นเด็กหนุ่มเขียนอ่านคล่องแล้ว ร่างกายที่ประเดี๋ยวเป็นคน ประเดี๋ยวเป็นหมาป่า ก่อนหน้านี้เคยควบคุมไม่ได้ว่าตอนไหนจะเป็นอย่างไร พักหลังเขาเริ่มระแคะระคายว่าเจ้าตัวอาจจะเริ่มเปลี่ยนร่างไปมาตามใจได้มากขึ้น เพราะเห็นยามใดตั้งใจจะออดอ้อนเอาอะไรสักอย่าง เจ้าก้อนขนฟูฟ่องสีเงินมักโผล่ออกมาได้จังหวะอยู่เรื่อย คลอเคลียได้ไม่เท่าไรเขาเป็นต้องใจอ่อนเสียทุกที จนทุกวันนี้ บางครั้งก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าตนเลี้ยงศิษย์ช่างออเซาะหรือเลี้ยงลูกหมาช่างประจบกันแน่
เขาเอียงใบหน้ามองเด็กหนุ่มที่หลับตาพริ้มข้างกาย แต่ริมฝีปากยังคงรอยยิ้มทะเล้น ดูเอาเถอะ ตัวเริ่มโตขึ้นจนจะเต็มเตียงแล้ว ควรต้องคุยกันใหม่อีกสักครั้งเรื่องแยกห้องนอน
ด้านนอกท้องฟ้ามืดมิด คืนเดือนดับเวียนกลับมาอีกหน
“อาจาย์ว่ารำไปก็เริ่มโตแล้ว” เขาเกริ่นเบา ๆ รู้ว่าเจ้าลูกศิษย์แค่หลับตาแต่ยังไม่หลับจริง “น่าจะแยกห้องสักที”
พูดได้เท่านั้น ร่างเด็กหนุ่มด้านข้างกลับถูกแทนที่ด้วยหมาป่าวัยรุ่นตัวหนึ่ง ขนสีเงินสว่างราวกับจะเปล่งแสงได้ ขนตาสีเดียวกับสีขนเรียงตัวสวยราวกับรูปวาด เปลือกตาเจ้าหมาป่ายังหลับพริ้มเช่นเดียวกับเจ้าหนุ่มมนุษย์คนเมื่อครู่ที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย หางเป็นพวงตวัดขึ้นวางพาดบนเอวเขา คล้ายตั้งใจ คล้ายไม่ตั้งใจ
ชายหนุ่มกะพริบตาปริบ ๆ มั่นใจขึ้นมาแปดเก้าส่วนแล้วว่าศิษย์ตัวแสบคงจะควบคุมการเปลี่ยนร่างตัวเองได้แล้วเป็นแน่
เขาผ่อนลมหายใจ กึ่งขำกึ่งฉิว สุดท้ายก็คิดว่าช่างเถอะ ขยับแขนขึ้นกอดตัวอุ่น ๆ ที่ปกคลุมด้วยขนสีเงินไว้หลวม ๆ ซุกหน้าเข้ากับแผงคอหนานุ่มของเจ้าลูกหมาที่เริ่มจะไม่เหมือนเจ้าลูกหมาเข้าไปทุกที เกาหลังหูอีกฝ่ายไปด้วยเบา ๆ ได้ยินเสียงครางอย่างพออกพอใจในลำคอฝ่ายนั้น
เรื่องแยกห้องนอน เอาไว้ค่อยคุยวันหลังแล้วกัน
แปดปีผันผ่าน ศิษย์อาจารย์คู่หนึ่งใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและสุขสงบเช่นนี้เอง
โปรดติดตามตอนต่อไป
*อมาวสี, อมาวสุ, อมาวาสี: น. วันดับ, วันที่พระจันทร์และพระอาทิตย์ร่วมราศีและองศาเดียวกัน ตรงกับแรม ๑๕ ค่ำหรือแรม ๑๔ ค่ำในเดือนขาด. (อ้างอิง พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔)
ของแถมท้ายตอน
รูปอาจารย์ที่เคยวาดเล่นไว้เวอร์ชั่นแรกค่ะ แต่รู้สึกว่ายังไม่นิ่ง ยังไม่ถูกใจเท่าไหร่ แต่คร่าว ๆ ก็ราว ๆ นี้ ได้วาด/เขียนถึงนายเอกผมยาวสักที ดีจังเลยค่ะ อยากเขียนถึงมานาน 555
ส่วนข้างล่างนี้ ลองวาดคร่าว ๆ ไว้ หมาน้อยรำไปเวอร์ชั่นเด็กน้อย/หนุ่มน้อยค่ะ ยังไม่นิ่งเหมือนกัน ไว้ค่อยปรับ ๆ นะคะ ไม่ได้วาดรูปเล่นนาน แหะ ๆ
ย้ำอีกทีว่าเป็น รำไป*บุหงา นะคะ เมะลูกหมาค่ะ (ลูกหมาจริง ๆ) รอน้องโตก่อน ฮา
สวัสดีปีใหม่ย้อนหลังทุกท่านนะคะ ขอให้ประสบความสุขความเจริญ สุขภาพแข็งแรง ช่วงนี้โควิดระบาด รักษาสุขภาพ ดูแลป้องกันตัวเอง ล้างมือบ่อย ๆ หลีกเลี่ยงการขยี้ตาจมูกปาก แคล้วคลาดปลอดภัยค่ะ
พบกันตอนหน้า ขอบคุณที่เข้ามาเยี่ยมเยือนค่ะ *รวบกอด*