อ้อมกอดเด็กช่าง ตอนที่ ๘
ตื่นขึ้นมาเพราะเสียงโทรศัพท์มือถือดัง ลุกนั่งตาลีตาเหลือกควานหาต้นตอของเสียงเพราะกลัวคนที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงจะตื่นแล้วเกิดพาลขึ้นมาได้
“พงษ์” กรอกเสียงทักเมื่อเห็นเป็นเบอร์โทรจากต่างประเทศ พลางดึงโซ่ให้สูงจากพื้น เดินเบาๆเข้าไปคุยในห้องน้ำ
“โทรเข้าบ้านทำไมไม่รับ ทำอะไรอยู่” คนทางโน้นทักทายกลับมาเป็นคำต่อว่า
“เออ เอ่อ นอนสิวะ นี่มันเพิ่งกี่โมงเองโทรมาหัดดูเวลาบ้างนะ” กลับมาถึงดึกดื่นไม่พอ ยังโดนไอ้ฝิ่นจับมือยัดเข้าไปแช่ในช่องฟรีสอีก มันบอกช่วยประคบข้อมือ เขาจะทำอะไรได้มันบอกประคบก็คงต้องเป็นประคบ...ตามนั้น แถมต้องอาบน้ำล้างกลิ่นล้างคราบเบียร์ออกจากตัว กว่าจะได้นอนมันยังล่ามโซ่แล้วให้เขานอนกับพื้นเย็นๆข้างล่างเตียงมันอีกต่างหาก แอร์ก็เย็นจนนอนแทบไม่หลับ ผ้าห่มสักผืนก็ไม่มี
“กูคำนวณแล้วตอนนี้เมืองไทยคงประมาณสิบโมง”
นอกจากแสงไฟสลัวที่เจ้าของห้องเปิดไว้ มองไปทางไหนภายในห้องก็เดาไม่ได้เลยว่ามันกี่โมงกี่ยาม
จะพระอาทิตย์ขึ้นหรือพระอาทิตย์ตกดินในห้องนี้ไม่ได้แตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย
แก้วยกมือถือละจากใบหูมาดูเวลา
“สิบโมงครึ่ง!”
“เออสิ มึงตื่นสายขนาดนี้เลยรึไง ไปเถลไถลที่ไหนมารึเปล่า” พงษ์ตะล่อมถามอย่างไม่จริงจัง
“เปล่าๆจะให้ไปไหนได้ล่ะ แล้ว เออ ถึงนานรึยังทำไมเพิ่งโทรมา” แก้วรีบเปลี่ยนเรื่อง
“ถึงสักพักแล้วล่ะ แต่เพิ่งเข้าบ้าน บ้านหลังใหญ่แต่อยู่คนเดียวอีกแล้วว่ะ”
“อืม แต่คงไม่เหงานะ” เพราะความเหงาไม่เคยครอบงำพงษ์ได้เลย ต่างจากทางนี้ชะมัด เขาถามเสียงอ่อย
“ไม่หรอก มึงล่ะอยู่คนเดียวได้รึเปล่า”
“สบายมาก” ตอบไปอย่างนั้นแต่น้ำเสียงไม่ได้ฟังดูสดชื่นขึ้นเลย
“มึงคงถนัดล่ะสิ กูไม่น่าห่วงมึงเลยให้ตาย เออ แล้วพวกนั้นยังตามอยู่ไหม?”
“อะ อ๋อ ไม่เห็นมีหนิ ไม่ต้องห่วงหรอก” จะให้บอกได้ยังไงว่ามันไม่ได้ตามหรอก แต่ตอนนี้เขาอยู่บ้านมันเลยต่างหากล่ะ
“อืม ใจจริงอยากให้พี่ดิวไปอยู่เป็นเพื่อนสักพัก แต่มึงคงไม่เอา”
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า กูดูแลตัวเองได้”
“เชอะ” เขานึกภาพไอ้พงษ์ที่กำลังแกล้งน้อยใจอยู่แล้วถึงกับยิ้มขำ
“ฮ่าๆ อืม จริงๆ”
“ตัวเล็ก เข้มแข็งนะ มึงเรียนอีกเทอมเดียวเดี๋ยวกูไปรับมาอยู่ด้วยกันที่นี่” มันย้ำเรื่องที่เคยคุยกันไว้อีกแล้ว
“อืม” เขาไม่อยากพูดอะไรมาก เพราะความรู้สึกของเขาตอนนี้มันโดดเดี่ยวเหลือเกิน แต่จะให้ฉุดรั้งมันไว้ เขาก็ทำไม่ได้อีก คงได้แต่รอเหมือนครั้งนั้น แล้วทุกอย่างคงจะดีกว่านี้
“เฮ้อ เพิ่งห่างกันวันเดียวก็คิดถึงมึงแล้ว ดูสิ แล้วกูจะทนได้กี่วันวะเนี่ย”
“เอาน่า เดี๋ยวก็ชิน” กูก็กำลังพยายามจะชินกับมันให้ได้เหมือนกัน เขาเม้มปาก มือกุมหน้าอกข้างซ้ายไม่ให้สั่นไหวไปตามความรู้สึก ไม่ได้อยู่ใกล้กันอีกแล้ว ความรู้สึกแสนอ้างว้างมันก็ประเดประดังเข้ามาอีกครั้งจนได้
“มึงบังคับกูทางอ้อมนะ”
“ทำเพื่อพ่อแม่มึง เพื่อตัวมึงเองบ้างเถอะ”
.
.
.
ลำธารน้ำใส ธรรมชาติสวยงามร่มรื่น เด็กๆต่างพากันเล่นน้ำด้วยความสนุกสนาน มีเพียงคนเดียวที่นั่งกอดเข่าเหม่อมองสายน้ำเหมือนไม่มีสิ่งใดรบกวนเขาได้
“ขวัญนั่นใครวะ”
“อ๋อ ไอ้ลูกแก้ว ลูกเมียน้อยน่ะ”
“ลูกเมียน้อย?” พงษ์ทวนคำ “ก็น้องมึงน่ะสิ ทำไมไม่ชวนมาเล่นน้ำด้วยกัน”
“น้องบ้าอะไรวะ กูไม่นับญาติด้วยหรอก แต่...มึงไปเรียกมันมาสิกูจะพาเล่นอะไรสนุกๆ”
พงษ์เห็นเด็กชายตัวเล็กนั่งเหงาอยู่คนเดียวจึงขึ้นจากน้ำเดินเข้าไปหา
“มึงๆ ไอ้ตัวเล็กไปเล่นน้ำกัน” เขาเงยหน้าขึ้นมองคนที่มาทัก แล้วส่ายหน้า
“ทำไมวะ เล่นกันหลายคนสนุกออก” เขาส่ายหน้าอีกครั้ง ฟุ่บหน้าลงกับเข่า
“เป็นใบ้รึเปล่าวะมึงเนี่ย พูดด้วยก็ไม่พูด”
“เปล่าครับ”
“อ้าว เหี้ย ก็พูดเป็นนี่หว่า พี่มึงให้มาตามไปเล่นด้วยกัน” เด็กน้อยสะดุ้งตาโต
“พี่ลูกขวัญเรียกเหรอครับ” ลนลานลุกขึ้นยืนอย่างไว
“ก็เออสิ อะไรวะ ทีอย่างนี้ว่าง่ายจัง”
เด็กชายตัวเล็กก้มหน้าเดินตามพงษ์ไปจนถึงบริเวณที่เด็กกลุ่มใหญ่เล่นน้ำกันอยู่
“ไอ้ขวัญ มาแล้วๆ” ลูกขวัญหยุดกวักน้ำใส่เพื่อนคนอื่นๆเพราะเสียงตะโกนของพงษ์ แล้วเดินขึ้นมาบนฝั่ง
“ไปเล่นน้ำ” เอ่ยปากบอกเด็กชายตัวเล็กซึ่งอยู่ในฐานะลูกเมียน้อยเสียงเรียบ แต่นั่นมันคือคำสั่งสำหรับเขา
“แต่...”
“มึงกล้าขัดเหรอ” ลูกขวัญคว้าแขนเขาให้เดินลงไปสัมผัสน้ำตามหลังตน จากเข่า ถึงเอว จากเอว ถึงหน้าอก แล้วผลักเขาออกไปให้ลึกกว่าเดิม เด็กน้อยตีน้ำผลุบๆโผล่ๆ สำลักน้ำเป็นว่าเล่นเด็กคนอื่นๆได้แต่ยืนมองไม่มีใครกล้าห้าม ไม่มีใครกล้าช่วยเพราะกลัวลูกขวัญไม่พอใจ
“เฮ้ยไอ้ขวัญพอแล้ว น้องมึงว่ายน้ำไม่เป็นนี่หว่า ไอ้ขวัญพอ” พงษ์รีบวิ่งลงไปช่วย ทั้งที่เด็กน้อยไม่ได้เอ่ยปากร้องขอความช่วยเหลือจากใครเลย เขาดึงเด็กตัวเล็กขึ้นมายังน้ำตื้น เด็กน้อยกอดอกตัวสั่นงกด้วยความหวาดกลัว
“แค่ก แค่ก”
“ไอ้ขวัญมึงรู้ว่าน้องว่ายน้ำไม่เป็นทำไมยังทำอย่างนี้วะ”
“กูจะทำ ใครจะทำไม หรือมึงมีปัญหา ห๊ะ ไอ้ลูกแก้ว มึงมีปัญหาอะไรไหม?”
“ปะ เปล่าครับ”
“เห็นไหม มันเชื่อฟังกูจะตาย นี่ดูนี่” ลูกขวัญดึงตัวเขาจากที่ยืนอยู่ข้างหลังพงษ์ไป “ลูกแก้ว ดำน้ำให้กูดูหน่อย” เด็กชายตัวเล็กก้มหน้าก้มตาตัวสั่นด้วยความกลัว “ไอ้แก้ว! กูบอกให้ดำน้ำ” รู้สึกเหมือนเสียหน้าที่โดนขัดคำสั่ง ลูกขวัญจึงผลักตัวเขาหงายหลังแล้วตามเข้าไปจับผมเด็กชายตัวเล็กกดหัวลงไปในน้ำ “กูบอกทำไมไม่ทำ มึงกล้าหักหน้ากูเหรอ ดำน้ำๆ ดำลงไป”
เด็กชายสำลักไอ หัวถูกกด ถูกดึงขึ้นลงซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความสนุกสนานของคนๆเดียว
“เหี้ย มึงเลิกเล่นได้แล้ว!” พงษ์ดึงตัวเพื่อนออกจากเขา ตามด้วยชกหน้าลูกขวัญด้วยความโกรธแทน
“แค่กๆ พี่อย่าครับ” ลูกแก้วรีบห้าม แต่ไม่ทัน
“มึง ไอ้เหี้ยพงษ์มึงกล้าต่อยกูเหรอ?” ลูกขวัญกุมแก้มตัวเอง แล้วถอยห่างจากพงษ์ด้วยความกลัว
“เออ! มึงเก่งนักก็มาเอาคืนเลยมา”
“ไอ้เหี้ยมึง” ลูกขวัญชี้หน้าพงษ์ ตามด้วยแก้ว “ไอ้ลูกแก้ว กูจะฟ้องแม่” ลูกขวัญคาดโทษทั้งพงษ์ทั้งลูกแก้วแล้ววิ่งขึ้นจากน้ำด้วยความอับอาย เมื่อลูกขวัญไปแล้วเด็กกลุ่มใหญ่ทุกคนต่างเข้ามารุมล้อมเด็กชายตัวเล็กด้วยความเห็นใจ
“ต๊าย ลูกแก้วทำไมถึงใส่ร้ายพี่อย่างนี้นะ คุณพี่อย่าไปเชื่อนะคะ น้องพยายามอบรมเด็กคนนี้ด้วยความรักความเอาใจใส่ทุกวี่วัน แต่ก็อย่างว่าแหละค่ะ เด็กมีปัญหานี่คะ เลยชอบทำอะไรเพื่อเรียกร้องความสนใจประจำ อันนี้น้องก็ไม่เคยว่านะ แต่นี่โกหกคนอื่นจนพี่ชายถูกเข้าใจผิดอย่างนี้ ไม่ไหวจริงๆเลย” แพรวพรรณแม่ของลูกขวัญเอ่ย ทั้งที่รู้นิสัยลูกชายตัวเองดีเพราะเธอปลูกฝังมาเองกับมือ
“โถ อย่างนั้นเองเหรอคะ ถ้ายังไงพี่ขอโทษแทนเจ้าพงษ์ด้วยนะคะที่หูเบาจนทำร้ายน้องลูกขวัญไป” แม่ของพงษ์แสดงความเห็น พร้อมทั้งขอโทษขอโพยในสิ่งที่ลูกชายตัวเองเข้าใจผิดจนก่อเรื่องเข้า
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณพี่ น้องพงษ์น่ะใสซื่อเกินไปตามเด็กคนนี้ไม่ทันหรอกค่ะ ถ้ายังไงก็ห่างๆไว้ดีกว่านะคะ นับวันเด็กคนนี้ยิ่งจะอันตรายมากขึ้น ใครเข้าใกล้ลูกแก้ว นิสัยเสียตามกันหมดเลยค่ะ น้องไม่รู้จะทำยังไงแล้วเหมือนกัน” แพรวพรรณยังคงใส่ไฟต่อ
“แล้วอย่างนี้พาตัวไปฝากไว้ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ดีเหรอคะ คุณพี่ก็ทำมูลนิธิอยู่เหมือนกัน เขาอบรมสั่งสอนให้เด็กเปลี่ยนนิสัยได้นะคะ”
“น้องก็คิดอยู่เหมือนกันค่ะ แต่คุณพ่อเขาน่ะสิคะ ไม่ยอม เฮ้อ น้องล่ะเป็นห่วงอนาคตลูกแก้วมากๆเลยค่ะ” แพรวพรรณทำท่ากลุ้มอกกลุ้มใจเสียเต็มประดา
นั่นทำให้พ่อแม่ของพงษ์คิดว่าลูกแก้วเป็นเด็กมีปัญหา ทุกครั้งที่เดินทางจากกรุงเทพฯมาพักผ่อนที่รีสอร์ทนี้ แพรวพรรณก็กีดกันไม่ให้พงษ์เจอตัวลูกแก้วอีก แต่พงษ์ก็หลบไปหาไอ้ตัวเล็กของเขาได้ทุกครั้งเหมือนกัน
“นี่ ทำไมต้องยอมไอ้ขวัญด้วยวะ”
“เขาเป็นพี่ครับ ผมเป็นน้องต้องยอมให้พี่ทุกอย่างครับ”
“พี่? แต่มันบอกมึงเป็นลูกเมียน้อย”
“ก็...คงใช่มั้งครับ”
“ยังไงวะ” ลูกแก้วอึกอักไม่ยอมพูด “กูช่วยมึงไม่ให้จมน้ำตายนะมึงไม่เชื่อใจกูเหรอ” ลูกแก้วจึงตัดสินใจพูดออกไป
“พ่อกับแม่ผมแต่งงานกันแล้ว จดทะเบียนกันแล้วด้วย แต่...เมื่อเดือนที่แล้ว คุณแพรวพรรณเข้ามาที่รีสอร์ทบอกว่าเป็นเมียพ่อมาก่อนแม่ซะอีก แถมยังมีพี่ลูกขวัญมาด้วย คุณพ่อไม่ปฏิเสธเลย ไม่ปฏิเสธอะไรเลย ฮืออ” ลูกแก้วเล่าไปตามที่เคยได้ฟังมาจากแม่ของตน เขาเองชักไม่แน่ใจว่าตนได้เกิดมาจากความรักจริงๆอย่างที่พ่อกับแม่เคยพร่ำบอกรึเปล่า
“เฮ้ยๆ อย่าร้องไห้ ลูกผู้ชายเขาไม่ร้องไห้กันหรอก”
“ฮึกๆ” เด็กชายตัวเล็กมองพงษ์ตาแป๋ว เขาเพิ่งเคยได้ยินว่าผู้ชายไม่ร้องไห้หรอกเหรอ
“แม่เสียใจ กระโดดน้ำฆ่าตัวตาย” ลูกแก้วบอกพงษ์ด้วยนัยน์ตาทอดยาวเหม่อมองออกไปอย่างไร้จุดหมาย พงษ์นึกสงสารและเห็นใจ จากที่เห็นลูกขวัญเพื่อนของเขากระทำกับเด็กคนนี้เขาก็พอเดาออกว่าไอ้ตัวเล็กต้องเจอกับอะไรบ้าง
“มึงอายุเท่าไหร่”
“สิบขวบครับ”
“มา” ลูกแก้วมองมือที่ยื่นมาตรงหน้าตาใส “เป็นเพื่อนกัน” พงษ์พูดบอก
“แต่ พี่เป็นเพื่อนพี่ลูกขวัญ จะมาเป็นเพื่อนผมได้ยังไงครับ” เขาถูกห้ามไม่ให้พูดคุยกับเพื่อนพี่ชายทุกคน รวมทั้งในชั้นเรียนก็ถูกกล่าวหาจนไม่มีใครกล้าคุยด้วย นี่ถ้าคุณแพรวพรรณรู้ว่าแอบมาคุยกับพี่พงษ์เขาคงต้องถูกทำโทษด้วยการให้อดอาหารเป็นแน่
“งั้นกูเลิกเป็นเพื่อนไอ้ขวัญตอนนี้เลยละกัน กูจะได้เป็นเพื่อนมึง”
“ได้เหรอครับ?” เด็กน้อยถามด้วยความไม่แน่ใจ
“ได้สิ แต่มึงต้องเลิกพูดครับก่อนกูแสลงหูเหี้ยๆ”
“อืม” เด็กน้อยทำท่าครุ่นคิดเพราะแม่ของเขาสอนว่า เป็นเด็กดีต้องพูดจาไพเราะตั้งแต่จำความได้ แต่ถ้าไม่เลิกก็จะไม่มีเพื่อนน่ะสิ ทั้งพี่คนนี้ยังใจดีกับเขาด้วย “ครับ เลิกพูดก็ได้ครับ” พงษ์หัวเราะเสียงดังเมื่อได้ฟังคำตอบที่แสนไร้เดียงสา
“จากนี้กูกับมึงเป็นเพื่อนกันแล้วนะเว้ย” พงษ์ขยี้ผมไอ้ตัวเล็กด้วยความเอ็นดู
ความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นฮีโร่มันดีอย่างนี้นี่เอง
พงษ์มีคนให้คอยดูแลปกป้องอย่างจริงจังสักที ต่อไปนี้เขาจะโตเป็นผู้ใหญ่ให้พ่อกับแม่ได้ภูมิใจ
.
.
.
พงษ์หัวดี เรียนเก่งจนสอบเข้าโรงเรียนมัธยมอันดับหนึ่งของประเทศ ไม่เคยนอกลู่นอกทาง ไม่เคยทำตัวเกเรให้พ่อแม่เห็น และยังติดต่อกับลูกแก้วตลอดทั้งที่ถูกสั่งห้าม จนกระทั่ง...
“คุณพ่อครับคุณแม่ครับจำได้ไหมที่เคยบอกให้ผมขอของขวัญที่สอบได้เกรดสี่แต่ผมไม่เคยขอเลย”
พงษ์ในวัยสิบเจ็ดปีเอ่ยถามผู้ปกครองกลางโต๊ะอาหารเมื่อรับประทานกันเสร็จแล้ว
“จำได้สิ แกนึกออกแล้วใช่ไหมว่าอยากได้อะไร” พ่อของพงษ์กางหนังสือพิมพ์บังหน้าแต่ก็พูดคุยกับลูกชายคนเดียวของตนคล้ายตั้งใจฟัง
“ผมอยากเรียนเทคโนTครับ” บอกอย่างมาดมั่นด้วยความตั้งใจมาแล้วถึงห้าปี ห้าปีที่รอให้เจ้าตัวเล็กมันเรียนจบมัธยมต้น และเขาจะได้ทำหน้าที่อย่างจริงจังสักที
เทคโนT โรงเรียนของลูกผู้ชาย
“อะไรนะลูก” แม่พงษ์ถึงกับเอามือทาบอก
“เจ้าพงษ์ แกคิดอะไรของแก” พ่อพงษ์พับเก็บหนังสือพิมพ์ทันที ถามกลับเสียงดุ
“คุณพ่อคุณแม่ครับ ไหนเคยบอกว่าผมอยากได้อะไรจะให้ผมทุกอย่าง นี่ผมก็ไม่ได้ขออะไรมาห้าปีแล้วนะครับ” พงษ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงน้อยใจและตัดพ้อ เขาตั้งใจที่จะไม่เอาอะไรเลย เพื่อให้ได้วันนี้ต่างหากล่ะ
“แต่แกจะจบม.๖อีกแค่ปีเดียวเองนะ คิดได้ยังไงจะย้ายไปเรียนโรงเรียนซังกะบ๊วยแบบนั้น มีแต่พวกเด็กเหลือขอทั้งนั้นแหละที่เรียนที่นั่น!”
“คุณคะ อย่าเสียงดังใส่ลูก” แม่พงษ์ที่นั่งข้างๆรีบแตะแขนสามีปราม
“คุณพ่อครับ แต่สายอาชีพเป็นฟันเฟืองของชาตินะครับ ลูกน้องคุณพ่อตั้งหลายคนก็จบจากช่างกลทั้งนั้นไม่ใช่เหรอครับ พวกเขายังทำงานให้คุณพ่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่แพ้คุณพ่อที่จบจากนอกเลยนะครับ ผมจำได้ดีอันนี้คุณพ่อเคยเล่าให้ผมฟังเอง” พ่อพงษ์สะอึกเมื่อโดนย้อน “คุณพ่อครับ ลูกผู้ชายเขาไม่ผิดคำพูดนะครับ” พงษ์ตะล่อมเข้าสิ่งที่ผู้ปกครองเคยรับปาก และเขามั่นใจว่าเขาต้องได้ในสิ่งที่เขาเสียเวลารอ
“ก็ได้! แต่ถ้าแกก่อเรื่องขึ้นมาเมื่อไหร่ แกต้องออกจากโรงเรียนนั้นทันทีไม่มีข้อโต้แย้งนะ”
“ครับ สัญญาด้วยเกียรติลูกผู้ชายเลย”
.
.
.
ลูกแก้วเรียนจบมัธยมต้นจากโรงเรียนชายล้วนประจำจังหวัดแล้วขอผู้เป็นพ่อเข้าไปเรียนต่อในกรุงเทพฯตามคำบอกกล่าวของพี่ชายในความรู้สึกของเขา พี่ชายกลายเป็นเพื่อน เพื่อนที่คอยบอกคอยสอนเขาทุกอย่าง
“อยู่ที่นี่มึงจะตายเพราะพี่เพราะแม่ใหม่มึง” พงษ์ว่ายังไงเขาก็ว่าอย่างนั้น
แพรวพรรณยิ่งเห็นดีด้วยเขาจะได้ไปให้พ้นหูพ้นตาเสียที เพราะเธอต้องการให้ลูกชายเป็นทายาทเพียงคนเดียวของรีสอร์ทเท่านั้น ยิ่งรู้ว่าลูกแก้วจะเรียนต่อโรงเรียนอาชีวะ เธอยิ่งพึงพอใจที่เห็นชีวิตลูกเลี้ยงคนนี้เริ่มตกต่ำในสายตาเธอ จึงยุส่งให้สามีซื้อบ้านให้ไปเลย เมื่อลูกแก้วร้องขอ
“แขวนกระสอบทรายทำไม” เขาถามเมื่อเห็นพงษ์ตั้งหน้าตั้งตาแขวนมันไว้กับกิ่งของต้นมะม่วงหน้าบ้าน
“ทำไมวะ?”
“ก็เห็นทำอยู่นาน ทำ ทำไมเหรอ” ทั้งที่อยากลุกไปช่วย แต่ทำได้แค่นั่งท้าวคางมองเฉยๆตามคำสั่ง บ้านไม่ใช่ค่ายมวยสักหน่อยไม่รู้จะทำให้เกะกะทำไม
“ไม่ใช่ กูให้มึงถามว่า กูแขวนกระสอบทรายทำไมวะ สอนไม่รู้จักจำ” อ้าว เขาเผลออีกแล้วเหรอ
“อ้อ เออ แขวนทำไมวะ” เขากระตือรือร้นพูดใหม่ เป็นผู้ชายพูดมึงพูดกู พูดวะ พูดโว้ยเข้าไว้ พงษ์สอนมา
“เอาไว้ซ้อมเตะซ้อมต่อย”
“จะสอนเหรอ?” เขาถามด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“สอนเหี้ยไร อย่างมึงอยู่เฉยๆก็พอละ” เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เขายังเป็นเด็กตัวเล็กจนถึงตอนนี้ แม้เด็กชายตัวเล็กวันนั้นจะโตขึ้นมากแล้ว พงษ์ก็ยังไม่ยอมให้เขาได้เรียนรู้การต่อสู้แบบลูกผู้ชายที่ปากพร่ำบอกสักที
“พงษ์ มึงไปมีเรื่องอย่างนี้ทุกวันทำไมวะ เจ็บตัวสนุกนักรึไง” ตั้งแต่พาตัวเองเข้าเรียนไอ้โรงเรียนลูกผู้ชายตามที่พงษ์ว่าก็ต้องนั่งทำแผลให้พงษ์แทบทุกวัน
“กูต้องเก่งต้องแกร่งเข้าใจไหม ต่อไปแค่พูดชื่อกูก็จะไม่มีใครกล้าแตะมึงไง จำไว้นะตัวเล็กเกิดเป็นผู้ชายฆ่าได้หยามไม่ได้ มึงต้องสู้ ต้องสู้คำเดียวเท่านั้นถึงจะมีชีวิตอยู่ได้”
“สู้ทั้งที่มึงไม่เคยให้แม้แต่มดกัดกูเนี่ยนะ” เขาท้วง
“กูก็แค่อยากปกป้องมึง ตัวมึงแค่อยู่ใกล้กูน่ะหายห่วง แต่มึงต้องสู้ด้วยใจ อันนี้มึงต้องเข้มแข็งด้วยตัวเอง ต่อให้โดนกระทืบจนตัวตาย มึงก็ต้องลุกขึ้นยืนให้ได้ จำไว้” ถึงเขาจะไม่เข้าใจในสิ่งที่พงษ์บอกเท่าไหร่ แต่เขาก็จะพยายามทำมันให้ได้
ถ้าเราเชื่อว่าหัวใจเราเข้มแข็งพอ ทุกอย่างก็จะผ่านไปด้วยดี
“คุยเสร็จก็ออกมาได้แล้ว” เสียงเจ้าของห้องทำให้เขาหลุดจากภวังค์ พร้อมประตูห้องน้ำถูกผลักเข้ามาอย่างง่ายเพราะมันติดสายโซ่เขาจึงไม่สามารถปิดล็อกมันได้ แก้วไม่รู้ว่ามันมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ได้แต่หวังว่าคงไม่ทันได้ยินอะไรนะ
ตั้งท่าเดินสวนออกมาอย่างไม่มีพิรุธ แม้จะโดนข่มขู่ทางสายตาก็ตามที
...สู้ทั้งที่ยังรู้สึกว่าบางทีคงสู้ไม่ไหว เอาอย่างนี้ก็ได้วะ
........
เนียนแย้มไปนิดหน่อยในช่วงที่แก้วคิดถึงพงษ์ เย้ เย้ งงอีกล่ะสิ มันโยงมาได้ไง ฮ่าๆๆ
แต่ด้วยความเนียนและใบหน้าฉาบปูนของคนเขียนแล้ววว มันจึงออกมาเช่นนี้แล
ไอ้ฝิ่นคงดีใจที่ตอนนี้มันแทบไม่มีบท รอดแล้วตู ประมาณนั้น
(พล็อตที่ร่างๆไว้มันใช้ไม่ได้เลยค่ะ เอาเข้าจริงมันก็ต่อเนื่องตามอารมณ์ ตามสิ่งที่น่าจะเป็นในเวลานั้นๆ แล้วจะวางพล็อตไว้ทำไมเนี่ย ฮ่าๆๆๆ)
ทดไว้ในใจกันต่อไปว่าแก้วคิดยังไงกับพงษ์กันแน่
ว่าแต่มันลี้ภัยไปประเทศไหนทำไมแกเพิ่งถึงห๊ะไอ้ลูกชาย...
ใครคนหนึ่งที่เหมือนอยู่ตัวคนเดียว พอเจอเข้ากับใครอีกคน จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล่วแต เอ้ย แล้วแต่ (เล่นเพื่อ?) (และจะด้วยเขียนอย่างขาดๆหายๆก็แล้วแต่เช่นกัน ฮ่าๆๆๆ) มันก็เป็นบ่อเกิดของความสัมพันธ์ที่ทำให้ใจสั่นได้ใช่ไหมล่ะ?
คุณ StillLoveThem ใช่เรื่องอดีตเด็กพาณิชย์รึเปล่าคะ ถ้าไม่ใช่พี่นึกออกเมื่อไหร่แปะให้หนูด้วย วิ๊งๆ ออดอ้อน ฮ่าๆ หนูก็ชอบอ่านเรื่องเล่าเหมือนกันค่ะ มันได้อารมณ์ดี
คุณ LifeTime อ่านไม่รื่น อันนี้ตรงจุดมากค่ะ อย่าว่าแต่คนอ่านไม่รื่นเลยคนเขียนก็ไม่รื่นเหมือนกัน เรื่องภาษา เรื่องลักษณะคำน่ะ เป็นอะไรที่ลำบากสำหรับซีซั่นมากนะคะ อ่อนด้อยสุดๆก็ว่าได้
เพราะเป็นคนไม่รู้ไม่เคยสนใจว่าไอ้นั่นเรียกอะไร ไอ้นี่เรียกอะไรด้วยแหละ คอนโซลรถยังต้องเปิดอากู๋ว่ามันเรียกอย่างนี้ถูกรึเปล่า
ส่วนนี้ก็จะพยายามอยู่เหมือนกัน เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ต้องการเอาชนะตัวเองด้วยค่ะ^^
จะรอดไม่รอดก็ไม่ได้กดดันตัวเองด้วยสิ(เอากับมัน ==) ถ้าได้ทำจนถึงที่สุดแล้ว ได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้นอ่ะค่ะ เพราะถือว่าเราตั้งใจแล้วนี่เนอะ อิอิ
คนอ่านทนๆหน่อยนะคะ ฮ่าๆๆ
//ถือไมค์ร้องเพลง งงดีๆ งงดีแปลว่าอะไร? ฮ่าๆ งงมันต้องไม่ดีต่างหากเล่า
อืม คนเขียนเป็นคนที่ค่อนข้างคิดและชอบทำหลายสิ่งหลายอย่างทับซ้อนกันมันเลยออกมาเป็นอย่างนี้อะค่ะ รู้ตัวนะคะ แต่แก้ไม่ได้
คิดในแง่ดี เออ การทำให้คนอ่านงงอาจเป็นจุดเด่นของนิยายเรื่องนี้ก็ได้นะ Y^Y (เหอะๆ ช่างกล้าคิด)
แต่ฮามากคนอ่านบอกอ่านๆไปแล้วก็เข้าใจเอง คงเพราะชิน ฮ่าๆๆ ขอบคุณมากๆเลยค่ะ
คุณเฉาก๊วย ถ้าจะบอกความเป็นแก้วได้ขนาดนี้ล่ะก็ คนเขียนถอดหัวเข็มขัดสถาบันให้ไปเลยค่ะ ^^
ปล. คนเขียนก็ชอบอ่านคอมเม้นท์เช่นกันค่ะ^^
ขอบคุณที่ติดตามเช่นเคยนะคะ^^ กอดๆ จุ๊บ