Title : At Dawn
วารินทร์ x วิณณ์
*********
ตอนที่ 34
เช้านี้....พระอาทิตย์ไม่สามารถใช้ปลายลำแสงตะกรุยหนังตาผมได้ แม้ว่าผมจะนอนลืมตาอยู่ก็ตาม
สิ่งที่บี้เบียดหน้าทั้งหน้าผมก็คือสีข้างไอ้พี่โป๊ะครับ
ใช่แล้ว เรานอนกอดกัน แต่อย่าเข้าใจอะไรผิดไป เราไม่ได้ลึกซึ้งกันมากขึ้น หรือรักกันชิบหายหรอกนะครับ
เราก็แค่ ให้อีกฝ่ายนอนพื้นไม่ได้ ก็เลยยอมใจกันเองจนต้องมานอนเบียดบี้กันอยู่บนเตียงในสภาพหนีบกันไปก่ายกันมา
สิ่งที่เกิดขึ้นทันทีที่ผมตื่นขึ้นมา ก็คือความเมื่อยครับ ความเมื่อยเท่านั้น
“ตื่นแล้วหรอ?” พอผมส่งเสียงฟึดฟัดคัดจมูก คนที่ยังนอนเบียดกับผมอยู่ก็ถามขึ้น ผมเลยต้องถูๆ หน้ากับเสื้อเขาเพื่อไล่ขี้ตา แล้วก็แหงนหน้ามอง
ปลายจมูกของนายมือโปรโด่ง รูจมูกเป็นรูปวงรีหัวแหลมๆ ริมผีปากบนก็มียักตรงกลางบางๆ เขาก้มหน้าลงมามอง ผมก็เลยได้เห็นหัวคิ้วที่วิ่งจี้หัวเข้าหากัน ตาปรือที่ยังมีเค้าความง่วงเกาะอยู่ ขนตาเขาเชิดชี้ขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ได้งอนชิ้งดูสวยงามหรอกนะครับ
“อืม” ผมตอบในลำคอ แล้วก็มุดหน้าซุกสีข้างเขาเหมือนเดิม
“ไม่ลุกหรอ”
“ไม่เมื่อยรึไงไอ้ยุ่ง”
“เมื่อย”
“แล้ว....เอาไง”
“แต่ง่วง”
“โอเค” โอเคแล้วก็กอดผมต่อ กดคางลงบนหัวผม ออกแรงกอดผมแน่นขึ้น หนีบตัวผมไว้ด้วยขายาวๆ ของเขานั่นแหละ แม่งตัวโตชิบหาย
ผมไม่ใช่ผู้เชายเตี้ยเลยนะครับ 176 เซนติเมตรที่ถูกวัดโดยเจ้าหน้าที่รัฐไม่ใช่ส่วนสูงที่จะเอามาล้อเล่นกันแบบนี้ แต่ผมสูงกว่านี้ไม่ไหว บึกกว่านี้ไม่ได้แล้วด้วย สุดท้ายก็ยอมนอนเป็นกุ้งพันกันแบบนี้แหละครับ
เสียงเครื่องปรับอากาศดังหึ่งๆ อาจทำให้นายมือโปรรำคาญนิดหน่อย เพราะเขาตวัดหมอนที่หนุนมาทับเราทั้งคู่ไว้ แต่บางที เขาก็ไม่ได้ทำแบบนี้เพราะรำคาญเสียงหึ่งๆ นั่นหรอก
“จูบที”
“พ่องสิ!” ผมรีบด่ากลับแล้วก็ดีดตัวลงจากเตียง วิ่งเข้าห้องน้ำทันที เพราะ 1 ไม่ชินครับ คืออย่ามาสดทุกอย่างกับผม ถึงเขารับได้ แต่ผมรับตัวเองไม่ได้หรอกเรื่องความไม่สะอาด
“เฮ้ยวิน! เป็นไร”
“เปล่าครับ แปรงฟัน” ผมตะโกนตอบไปแม้จะรู้ว่าพูดเฉยๆ เขาก็ได้ยิน เพราะเขาตามมายืนถามความอยู่หน้าห้องน้ำแน่ๆ แล้วประตูห้องน้ำที่นี่ก็ไม่ได้หนานัก
“แปรงด้วย” เขากำลังขอให้ผมขยับกำแพงอยู่ใช่มั้ย? ใช้ห้องน้ำเวลาเดียวกันเนี่ยนะ มันต้องแชร์กันขนาดนี้เลยหรอ?
แม้จะครุ่นคิดสงสัย แต่ผมก็เปิดประตูให้เขาเข้ามา นายมือโปรยิ้มให้ผมที่หันหน้าไปสบตากับเขาผ่านกระจก นายคนนี้บีบยาสีฟันโปะลงบนขนแปรงสีขาวสะอาด เขาโกยน้ำจากแก้วที่ผมรองน้ำไว้เข้าปาก กลั้วคอ บ้วนปาก แล้วก็แปรงๆๆๆ ขณะที่ผมแปรง แปรง แปรง เหงือกพังได้นะ ไม่ดีหรอก ผมขมวดคิ้วใส่เพราะขัดตากับอาการจ้ำแปรง พอทนดูไม่ไหวก็เลยต้องเสือกไปเบรกมือเขาแล้วจัดการแปรงให้เบาๆ มือที่ว่างกะทันหันของนายมือโปรก็เลยยื่นมาแปรงฟันให้ผมแทน
“พี่โป๊ะ ยิงฟัน”
บอกให้ยิงฟันไง ไม่ใช่ให้ยิ้ม!
ยิ้มมาทำไม แม่งก็ต้องยิ้มตามเลย ไอ้พี่โป๊ะเหี้ย!
มื้อเช้ามึนๆ ของวันนี้ คือโจ๊กครับ โจ๊กท่าพระอาทิตย์
นายมือโปรไปซื้อมาให้ จัดแจงใส่ถ้วยแล้วพานั่งกินกันที่เคาน์เตอร์รับแขกของชั้นล่าง เขาบอกว่าจะออกกฎห้ามพนักงานต้อนรับกินอาหารตรงนี้ มันดูไม่ดี แต่ผมคิดเอาว่าเดี๋ยวกฎนี้ก็ต้องหย่อนยานเองนั่นแหละ ข้อแรก เพราะนี่มันโฮสเทลเล็กมาก ฉะนั้นพนักงานต้อนรับ ผู้จัดการ คนทำความสะอาด พนักงานบัญชีน่าจะประกอบอยู่ในร่างคน 1 คนเท่านั้น อยากเห็นหน้าคนที่ต้องทำงานหนักสุดในละแวกนี้เหลือเกินครับ
“แล้ววันนี้ไม่ไปทำงานหรอครับ” ผมถามเขาระหว่างมองหมูจากชามเขาบินมาชามผม
“ไปครับ ไปสายๆ บอกแนนไว้แล้ว”
“ไล่จัง”
“ไม่ได้ไล่ แต่มันงานพี่โป๊ะนี่ ถ้าวินเคลียร์ไอเอสเสร็จ วินก็ต้องทำงาน ไม่ได้มีเวลานั่งนอนว่างๆ นะครับ”
“รู้แล้วรู้แล้ว”
“ไม่ต้องกลัวจะมีเวลาว่างหรอก สะพรึงมาก บอกไว้เลย”
“กินไป ให้หมดด้วย หมูนี่กินให้หมดนะ”
“พี่โป๊ะล่ะ”
“พี่พอแล้ว” เขาบอกแล้วลุกจากเคาน์เตอร์ไปชงกาแฟ ที่ผมรู้แม้ว่าจะไม่ได้หันไปมองก็เพราะว่าได้กลิ่นครับ
สร่างซาจากอาการหึงหน้ามืดน่าสมเพชแล้ว ผมก็กลับเป็นนายวิณณ์ วัฒนนุกูล นักศึกษาปริญญาโท, หลายชายนายแบงก์, ผู้บริหารร่วมในบริษัทสื่อ ผู้ผลิตภาพยนตร์และให้บริการอุปกรณ์เกี่ยวเนื่องรายใหญ่ในประเทศไทยได้เสียที บอกตามตรงว่าเสียฟอร์มมากครับ ถ้าเป็นไปได้ ผมจะไม่แสดงอารมณ์ด้านนั้นอีก แต่ก็คงต้องเริ่มนับ 1 กันที่ “การเชื่อใจ” นายมือโปร
คนที่ผมกำลังบ่นถึงอยู่นี้ ร่อนไปทำงานเรียบร้อยแล้วครับ
กว่าจะยอมเข้าใจ(ผมบ้าง) ว่าผมอยากได้บรรยากาศมาบิวท์อารมณ์เขียนบทสรุปของไอเอสบ้าง ก็เม้งใส่กันหลายรอบเหมือนกันครับ
เขากล่าวหาว่าผมจะไปอ่อยนายโย อ่อยบ้าอ่อยบออะไร ผมก็อยู่ของผมเฉยๆ คนอื่นเข้ามาเองต่างหาก ผมก็เลยบอกว่า มันไม่ใช่ความผิดผมถ้าจะมีคนเข้าหา นายมือโปรก็เลยจะใช้มาตรการ -เฝ้า- ซึ่งผมค่อนข้างรำคาญ
-ก็พี่หึง- เขาอ้างแบบนี้ ซึ่งผมก็เข้าใจอารมณ์หึงพอประมาณครับ เพิ่งเรียนรู้มาสดๆ ร้อนๆ แต่การจะต้องยอมทำตามความพึงพอใจ หรือความสบายใจของเขา มันขัดจังหวะการเดินของผมค่อนข้างมาก แล้วจะให้ผมยอมเขารึไง ไม่มีทาง!
สรุปก็ทะเลาะกันตามเดิม แต่ไม่หนักหนาหรอกครับ เขาขอแลกความสบายของเขากับความลำบากของผมนิดหน่อย คือขอให้ผมบอกเขาตามตรง หากนายโย หรือนายโยที่สอง โยที่สาม หรือโยที่สี่ เข้ามาหาผม ไม่ว่าจะมีลักษณะทางประชากรศาสตร์เป็นยังไงก็ตาม สรุปง่ายๆ คือใครเสร่อมาจีบก็ให้บอกด้วย
บอกในที่นี่คือบอกทุกอย่างนะครับ ถ่ายรูปเป็นหลักฐานด้วย เวลาในการเข้ามาหา เวลาที่ผมใช้สนทนาด้วย การแต่งตัว รูปร่าง วัย ลักษณะจดจำภายนอก รสนิยม บลา บลา
พอรู้นิยามของการบอกของเขา ผมก็ตั้งใจแน่วแน่เลยว่ากูจะไม่คุยกับใครทั้งนั้น มันลำบากสำหรับการบอกเล่ามากมาย
เย็นวันนี้ไม่มีอะไรพลิกโผครับ
ผมนั่งทำไอเอสของผมได้จนฟ้าเปลี่ยนเป็นสีครามเข้ม แดดสุดท้ายของวันแซะซึมเฉดสีครามได้เป็นริ้วเล็กๆ เส้นสีส้มจัดปนแดงปาดตัวเองอยู่ใกล้ขอบฟ้าแล้วตอนที่นายมือโปรโทรหาผม
“ครับพี่โป๊ะ”
“วินก็อยู่ที่เดิมนั่นแหละ”
“เมื่อกลางวันหรอ? กินแซนวิชไปครับ ก็อิ่มนะ”
“พี่โป๊ะอยู่ไหนแล้ว”
“หรอ? วินไปยืนรอก็ได้”
“เอางั้นหรอครับ โอเค งั้นวินรอที่นี่นะครับ”
“ครับ” นัดแนะกันเรียบร้อยผมก็เก็บของครับ กำลังกวาดปากกาไฮไลท์ลงกระเป๋าใบจิ๋ว ของของผมก็ถูกฉกฉวยไปอย่างหน้าด้านๆ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ผมรับไม่ได้เด็ดขาด
“เฮ้ย!” ผมหันไปตวาดใส่ อีกฝ่ายยืนนิ่งไม่ได้หนีไปไหน จะฉวยไปก็แค่ปากกาไฮไลท์ 1 แท่ง สีอะไรก็มองไม่ทันเหมือนกัน
“โย”
“ครับพี่วิน”
“ปากกา เอามาดิ”
“หรือจำเป็นต้องใช้ งั้นยกให้ก็ได้”
“ผมไม่ได้อยากได้ปากกาซะหน่อย”
“แล้วอยากได้อะไร?”
“พี่”
มึงบ้าป่าววะ?
ผมไม่เข้าใจคนที่มายืนบอกเจตนาตัวเองโต้งๆ แบบนี้
เขาคิดอะไรอยู่ คิดว่าแค่พูดออกมาตรงๆ ก็จะได้ทุกอย่างบนโลกใบนี้หรอ?
ชีวิตมันยากกว่านั้นเยอะ หรือต่อให้ชีวิตใครง่ายแสนง่าย ผมคนนี้แหละที่โตมากับชีวิตยากๆ และซับซ้อนเกินกว่าจะคิดทันการกระทำของตัวเอง
“อยากได้พี่? หมายถึงผมนี่หรอ?”
“ครับ”
“เอาไปทำอะไร? ลองไปหาที่อื่นดูมั้ย น่าจะง่ายกว่านี้”
“อยากได้พี่วินเป็นแบบวาดรูปครับ”
“แล้วก็...ถ้าพอมีโอกาส”
“ไม่เป็นครับ”
“โอกาสก็ไม่มีครับ”
“ผมมีแฟนแล้ว”
“ดุด้วย”
“เพิ่งคิดได้เมื่อเช้าว่าจะเชื่อใจ เพราะงั้นผมก็ต้องทำตัวให้เขาเชื่อใจได้ด้วย”
“อย่ามายุ่งกับผมเลยนะ”
“อ้อ! เรื่องที่ไปกินเหล้าด้วยกันจนเมา ถ้าทำอะไรไม่ดีไว้ก็ขอโทษด้วย”
“หรือมีทรัพย์สินเสียหาย....เอ้อ! ค่าเหล้าล่ะ ไม่ได้ช่วยออกเลย โทษนะ เท่าไหร่”
“พี่วิน พี่วิน”
“ไม่ต้องผลักผมขนาดนั้นก็ได้”
“แค่เป็นคนรู้จักกัน ก็ไม่ได้เสียหายอะไรนี่ครับ” นายโยบอก เขายืดตัวขึ้นนั่งบนเก้าอี้ตัวสูง คืนปากกาไฮไลท์ให้ผมแล้วก็มองหน้า ส่งยิ้ม
“อืม ก็พูดยาก”
“คือ....ผมไม่รู้ว่าเราจำเป็นต้องรู้จักกันไปทำไม รู้จักกันแล้วได้อะไร”
“ไม่ได้อะไร ก็รู้จักกันไม่ได้หรอครับ มันต้องมีผลประโยชน์อะไรด้วยหรอพี่ แค่รู้จักกันเอง”
“ก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“รู้จักกันแบบไม่ได้อะไร ก็ได้หรอ?” ผมถามเขากลับ และนายโยก็พยักหน้ายืนยัน
“ได้สิ”
“รู้จักแล้วไม่ได้อะไร จะรู้จักกันไปทำไม”
“พูดตรงๆ เถอะ จีบผมหรอ?”
“คิดว่ารู้จักกันไปเรื่อยๆ วันนึงอาจจะมีโอกาสเป็นมากกว่าคนรู้จักกัน ใช่มั้ย”
“ก็ใช่”
“นี่ไง หวังแล้ว จะบอกว่ารู้จักกันเฉยๆ ไม่ได้อะไรได้ไง”
“จีบก็บอกว่าจีบ จะได้บอกตรงๆ ว่าอย่าจีบ มีคนที่ชอบแล้ว ไม่อยากให้เขาไม่พอใจแล้วต้องแสดงอาการไม่ดีออกมา”
“ก็ผมอยากรู้จักกับพี่วิน”
“ผมบอกคุณตรงๆ แล้วนะ”
“ต่อไป ถ้าคุณผิดหวังหรือเสียใจเพราะผมไม่ชอบคุณ ไม่ให้ความร่วมมือในการทำความรู้จักกันกับคุณ ไม่เกี่ยวกับผมนะ ผมไม่จำเป็นต้องมีส่วนรู้สึกผิดอะไรทั้งนั้น”
“ครับ”
“ถึงจะสูญเสียอะไรเพราะผม ผมก็จะไม่ข้องเกี่ยวด้วย”
“...........”
“เข้าใจแน่ใช่มั้ย?”
“ต่อให้คุณตายเพราะผม ผมก็ไม่เสียใจเพราะคุณ รับได้รึเปล่า”
“.............”
“รับไม่ได้ก็ไปไกลๆ กันเถอะ ผมไม่อยากเกี่ยวข้องกับคนเยอะแยะ เพราะผมไม่มีความรู้สึกอะไรจะให้”
“...............” เด็กนี่มองผมอึ้งๆ เขากระพริบตาปริบ เม้มปากเหมือนใช้ความคิด จนกระทั่งใครอีกคนเดินเข้ามา วางแขนบนไหล่ผม ขยี้หัวผม อ้อมหน้ามายิ้มกับผม ช่วยถือของของผม นายโยถึงได้ขยับตัวอีกครั้ง
“กับพี่คนนี้ พี่วิน.....”
“อื้อ น่าจะได้อะไร” ผมตอบทั้งที่เขายังถามไม่จบความ คนมาใหม่ยื่นหน้าเหรอหรามาให้ผมมอง
“มีอะไรรึเปล่าวิน? แล้วลูกหมานี่พูดครั้งเดียวไม่รู้เรื่องหรอวะ?”
“วันนี้โดนจีบกี่คนวิน”
“ไม่มีครับ ไม่ได้พูดกับใครเลย มีน้องคนนี้แหละคนแรก”
“เออพี่โป๊ะ วินอาจจะทำให้น้องเค้าเสียหาย คงต้องชดใช้”
“เสียหายอะไร คืนนั้นที่ไปเมา วินไม่ได้ทำอะไรนอกจากซบเหยือกเบียร์แล้วก็ร้องไห้” จะพูดทำห่าอะไรวะ? ผมขมวดคิ้วฉับให้รู้ว่ากูกริ้วนะ อย่าแตะเรื่องนี้บ่อยนัก
“งั้น ก็คงกวนเงินน้องเค้าค่าเบียร์แน่เลย”
“จ่ายไปเท่าไหร่หรอ จะคืนให้” ผมไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้ทำหน้าเย็นชานัก นายโยส่ายหน้าปฏิเสธ เขามองนายมือโปรแล้วก็พูดเร็วๆ
“ก็แค่มีตังค์แหละวะ!” พูดจบก็เดินหนีหายไป ผมกับนายมือโปรได้ยืนมองหน้ากันอึ้งๆ เขาหัวเสียเมื่อเริ่มรู้ตัวว่าโดนอีกฝ่ายที่เด็กกว่าดูหมิ่นน้ำใจ ส่วนผมก็ได้แค่หัวเราะกลบเกลื่อนความรู้สึกเห็นใจ แต่ก็เห็นแก่ตัวจนไม่อยากมีใครมาวุ่นวายอีก
ค่ำนี้เรากลับมาที่บ้านไม้ท้ายชุมชนหลังวัดครับ พาหนะก็คือรถสปอร์ตของนายมือโปรที่ไปล้างคราบอ้วกของผมแล้วเรียบร้อย
เหตุที่ไม่นอนกันที่โฮสเทลรูหนู ก็เพราะนายมือโปรหวั่นว่าเราจะเป็นโรคกระดูกคดครับ เขาบอกว่าเอาไว้มาพักวันฉุกเฉิน โดยเฉพาะวันที่จะสอบปิดเล่ม นอกนั้นก็ตามใจผมเป็นโจทย์หลัก อยากไปเมื่อไหร่ก็บอกเขาเท่านั้นเอง
“อื้อวิน”
“ครับ” เขาเรียกผมระหว่างทางขับรถ มีอาการหันมองเล็กน้อยแล้วก็หันกลับไปมองทาง ซึ่งก็ดีแล้วครับ ไม่ต้องมาประสานสายตากันหรอก ขับรถไปเถอะ
“งานเข้าแหละ แต่วินไม่เห็นด้วยก็ได้นะ”
“อะไร”
“อาสุบอกว่า ให้เราไปงานวันเกิดคุณตาวินด้วย วินไปในฐานะคนใน พี่ไปในฐานะหุ้นส่วนธุรกิจใหม่”
“คุณตาวินอยากรู้ว่ามันจะรุ่งจะร่วงยังไง ท่านคงเป็นห่วงวินมากนั่นแหละ”
“แล้วพี่โป๊ะว่ายังไงล่ะครับ”
“ก็โคตรอยากไป”
“เจ้าสัวไม่ใช่คนที่จะเจอง่ายๆ ถ้าไม่ใช่คนใกล้ชิด อีกอย่าง.....”
“อะไร? อีกอย่างอะไรหรอ?”
“อีกอย่าง พี่ก็รักหลานเขา ต้องบรรจงก้มกราบที่เท้าตอนสู่ขอเลย”
“เหี้ยยยยยยยยยยยยยยยย” ผมด่าเสียงต่ำๆ นายมือโปรหัวเราะชอบใจครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันมาส่งสายตาขอคำตตอบ
“เอาไง”
“พี่โป๊ะล่ะ”
“ก็บอกแล้วว่าอยากไป”
“โอเค ไปก็ไป แต่พี่อย่ารุ่มร่ามนะ”
“แล้วก็...เรื่องของเรา ถ้าจำเป็น วินจะบอกที่บ้านเอง พีโป๊ะอยู่เฉยๆ”
ผมหวังว่าเขาจะทำได้ แต่ดูจากอาการเหวอๆ ฮึดฮัดขัดใจที่เขาแสดงออกอยู่นี้ ผมเดาได้เลยว่าเขาไม่อยู่เฉยๆ แน่ แต่ผมจะให้เขาออกตัวแรงไม่ได้หรอก นายมือโปรยังไม่รู้ว่าต้องเจอกับอันตรายอะไรบ้าง
คุณตาไม่ใช่กำแพงหลักของเรื่องนี้ กระทั่งป้าสุเองก็ไม่ใช่คนที่จะกระโจนมาขวางทางผมเวลาทำอะไรนอกรีตฝืนรอย
กำแพงหลักของเรื่องที่เกี่ยวกับผมจริงๆ ก็คือผู้หญิงที่คลอดผมออกมา เธอมีชื่อว่าคุณสาวิตรีครับ
ผลลัพท์ของการบอกให้อยู่เฉยๆ ไม่ต้องดิ้นรนประกาศตัวว่าเป็นแฟนกับผม ทำให้นายวารินทร์ วณิคพันธุ์ มีอาการงอนครับ
แต่อย่าคิดว่าผมจะง้อ ข้อแรกเลย ผมไม่รู้ว่าเขาจะงอนผมทำไม ผมจริงใจด้วยสุดๆ แล้ว พูดตรงๆ กันไปจะได้เข้าใจแจ่มแจ้ง ข้อสอง งานง้อไม่ใช่งานถนัดของผม เพราะผมไม่ใช่คนง้องแง้งหรือขี้อ้อน อย่างน้อยผมประเมินตัวเองไว้แบบนั้น แม้ว่าป้าสุชอบพูดว่าผมอ้อนเก่งก็ตาม สงสัยจะใช้มาตรวัดคนละตำรา
หลังจากกินมื้อค่ำที่ร้านที่เคยไปนั่งกินกันมาแล้ว เขาก็พาผมเข้าบ้าน อาการไม่กระดี๊กระด๊าอะไรทั้งสิ้น
นายมือโปรจอดรถแบบชักกระตุก หน้าบูดเดินกระแทกส้นตีนเข้าบ้าน น่าถีบมากครับ
ผมไม่รู้ชัดว่าเขาไม่พอใจอะไร แต่ถ้าจะให้เดาก็คงเป็นเรื่องที่ผมบอกให้เขาอยู่เฉยๆ ไม่ต้องประกาศตัวเป็นแฟนผมต่อหน้าใครทั้งนั้น เดาว่าเขาคงรู้สึกว่าถูกดูหมิ่นความรู้สึกแหละมั้ง ถ้าเป็นผม ผมก็คงไม่พอใจเหมือนเขานั่นแหละ
และแม้จะพอรู้เลาๆ ว่าถูกงอนเรื่องอะไร แต่ผมไม่รู้ว่าต้องง้อแบบไหนเลยจริงๆ
“พี่โป๊ะ” ผมทำใจดีงัดยิ้มเหี้ย แต่ก็ไม่ได้ผลหรอกครับ เขาเงยหน้าระหว่างหันมองผม คือคุณมึงก็สูงกว่าอยู่แล้ว ยังจะเชิดหน้าหนีอีก คือกูต้องไต่เพดานไปห้อยหัวสบตากับคุณมึงมั้ย
“ดีๆ ดิ”
“ไม่ดียังไง”
“ก็ทำงี้แล้วจะคุยกันรู้เรื่องหรอครับ”
“คุยไร พี่รู้เรื่องแล้ว ไม่ต้องทำอะไรไง คำสั่งชัดเจน”
“แสดงว่าก็เข้าใจเหตุผลของวินดีแล้ว แล้วก็ยอมรับได้”
“ไม่เข้าใจ แต่ยอมรับก็ได้ ก็ ไม่ ต้อง ทำ อะ ไร ทั้ง นั้น นี่”
อา....กวนตีนว่ะไอ้เหี้ย
“พี่โป๊ะ อย่ากวนตีนดิ”
“ถ้ากวนตีนแล้วจะไม่คู่ควรหลานชายเจ้าสัวสินะ”
“โอเค เดี๋ยววันงานจะหวีผมเรียบแปล้ ติดกระดุมถึงลูกกระเดือก กางเกงเอวสูงรัดไข่เลย เอามะ”
“พี่โป๊ะ” ผมขึ้นเสียงนิดหน่อย แต่พอนึกภาพเขาแต่งตัวสภาพนั้นรู้สึกอยากขำขึ้นมานิดๆ
“ก็แต่งตัวปกติก็หล่อดีแล้ว ไม่ต้องโชว์ทรงไข่หรอก มันน่าอวดนักรึไง?”
“ยาวใหญ่ ดูป่ะล่ะ!”
“เหี้ยยยยยย” ผมงึมงำด่าแต่เขาก็ได้ยินแหละครับ
“ง้อพี่เร็วๆ จะได้ทำอย่างอื่น”
“พี่โกรธอยู่นะ”
“ไม่เห็นรู้สึก โกรธได้เท่านี้หรอ?” ผมกวนตีนกลับ แต่เขาก็ตอบให้ผมโต้กลับไม่ได้มาซะนี่
“ก็รักไปเยอะ โกรธได้แค่นี้แหละ”
“ง้ออีกนิดก็จะดีด้วยแล้ว คุณหนูกรุณาผมด้วย”
“กวนตีนอีกแล้ว ไหนคุณหนู มีแต่หมาวินกับเหี้ยโป๊ะเท่านั้นแหละ” ผมพูดกระเง้ากระงอดแล้วก็เดินไปอ้อมแขนที่อ้าออกตรงหน้า เขายิ้มมุมปากนิดๆ ดูก็รู้ครับว่าเขาไม่ยินดีนักกับการแก้ปัญหาของผมในเรื่องของการเปิดเผยความสัมพันธ์ของเรา แต่ผมก็อยากขอเขา อยากขอเวลา เพื่อทำให้เรื่องนี้มันโอเคกับทุกคน
ทั้งแม่ ป้า คุณตา หรือคนในตระกูล คงไม่ชื่นใจ เอ่อ....หลานเขยนัก
แต่ผมเลือกแล้วว่าจะรักเขา หน้าไหนก็ขัดผมไม่ได้หรอกครับ
ดีสุด พวกเขาก็คงตัดหางปล่อยวัดผม เรื่องนี้ไม่เป็นไร ทุกวันนี้ก็เหมือนหมาวัดอยู่แล้ว
แต่แย่สุด ผมคงไม่มีแม้แต่ ‘บ้าน’ ให้กลับไปหา
Cut
สวัสดีค่ะ
กลับมาลงนิยายแล้วค่ะ
อย่าเครียดกันนะคะ
เจอกันตอนหน้าค่ะ
สวัสดีค่ะ