...กว่าจะจัดการธุระให้แม่เสร็จเวลาก็ล่วงเลยไปจนเกือบสี่ทุ่ม...
โกวิทยืนทำตาโรยเกาะเสาต้นหนึ่งกลางโบกี้รถไฟฟ้าด้วยท่าทางเหน็ดเหนื่อย เสื้อเชิ๊ตที่เคยเหน็บอยู่ในกางเกงยามนี้เริ่มหลุดลุ่ยออกมาบ้างแล้ว แต่แม้กระนั้นชายหนุ่มก็ไม่คิดจะให้ความสนใจกับมันแต่อย่างใด
พอมีเวลาว่างให้สมองได้คิดอะไรเรื่อยเปื่อย ใบหน้าของใครคนหนึ่งก็ผุดขึ้นมากลางห้วงความคิด
วันนี้เขาออกไปพบลูกค้ามาทั้งวัน ไม่มีเวลาแวะเข้าออฟฟิศแม้สักชั่วโมง ไม่รู้ว่างานที่ฝากฝังให้เจ้าหนูนั่นช่วยดูไว้ตั้งแต่เมื่อวานซืนจะได้เรื่องสักแค่ไหน
สถาปนิกหนุ่มยืนชั่งใจอยู่ครู่ก่อนจะยกโทรศัพท์มือถือเครื่องเก่งขึ้นต่อสายหาใครคนที่ว่า
“สวัสดีครับพี่โก๋” “นอนยัง?”
“ยังครับ พี่โก๋มีอะไรหรือเปล่า?” “จะโทรฯมาถามว่าวันนี้เรียบร้อยดีไหม? งานกูเสร็จหรือยัง?”
“กำลังทำครับ” “อ้าว ไหนวันก่อนบอกกูว่าโน๊ตบุ๊คมึงเจ๊งไง? แล้วนี่ไปเอาเครื่องที่ไหนมาใช้อะ? อย่าบอกนะว่ายืมคนอื่น โปรเจ็คต์นี้ยังเป็นความลับบริษัทนะโว๊ย..ห้ามทำแบบกูหลุดออกไปข้างนอกนะไอ้แว่น”
“ทราบแล้วครับ..เพราะอย่างนี้ผมเลยใช้เครื่องที่ออฟฟิศไง” ถ้อยคำของเด็กหนุ่มส่งผลให้คิ้วหน้าเข้มของคนฟังต้องเลิกขึ้นน้อยๆ “นี่มึงยังอยู่ออฟฟิศเหรอ?”
“ใช่ครับ” “บ้าแล้วมึง มีคนอื่นอยู่ด้วยหรือเปล่า?”
“ไม่มี..ผมอยู่คนเดียว” “ไอ้แว่นเอ๊ย..ป๋ารู้ป๋าด่ากูตายแน่ ไม่ต้องทำแล้วๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าค่อยมาทำต่อ มึงรีบกลับบ้านไปเลยไป”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ผมอยากทำให้เสร็จคืนนี้..พี่โก๋ไม่ต้องกังวล ผมไม่บอกกู๋หรอก” “กลับบ้าน”
“ไม่เอา” คนถูกสั่งปฏิเสธเต็มปากเต็มคำ
“ผมจะรีบทำงานต่อแล้ว แค่นี้ก่อนนะครับ” สายถูกตัดทิ้งไปราวกับว่าต้นตระการไม่ต้องฟังคำทักท้วงใดๆจากโกวิทอีก พอเป็นการพูดคุยกันผ่านโทรศัพท์แล้วก็ดูเหมือนว่าฤทธิ์เดชของเด็กหนุ่มจะแก่กล้าขึ้นเมื่อเทียบกับเวลาปกติอยู่เล็กน้อย
คนถูกวางหูใส่พ่นลมผ่านริมฝีปากออกมาด้วยความหงุดหงิดใจ
...ทั้งที่ปกติว่านอนสอนง่ายอย่างกับอะไรดี แต่บทจะดื้อขึ้นมามันก็ดันเลือกเวลาผิดเสียอย่างนั้น...
ก่อนหน้านี้สักห้าถึงหกเดือนเห็นจะได้ มัณฑนากรคนหนึ่งของบริษัทเคยถูกจี้ตอนดึกๆขณะเดินออกมาเรียกรถกลับบ้าน เสียเงินเสียทองไปหลายบาทไม่แย่เท่าเจ็บตัวจนได้แผลกลับมามากมาย...
.
.
...บรรยากาศของออฟฟิศยามมืดค่ำนี่มันวังเวงดีจริงๆ...
ต้นตระการพยายามบังคับสายตาให้จับจ้องไปยังผังอาคารที่ปรากฏอยู่ในจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ในใจนึกกลัวเหลือเกินว่าหากเผลอเสมองไปยังมุมมืดที่มีอยู่รอบกายแล้วล่ะก็เขาอาจได้เห็นอะไรที่ไม่ควรจะเห็นเข้า
...กลัวผีจนขี้ขึ้นสมอง...
แต่แม้ว่าสิ่งลี้ลับจะชวนขนลุกมากเพียงใด สำหรับเขาแล้วโกวิทก็ยังน่ากลัวกว่าอยู่ดี ถ้าหากทำงานให้เสร็จไม่ทันกำหนดล่ะก็ไม่รู้ว่าจะถูกดุหนักขนาดไหน
เด็กหนุ่มก้มหน้าก้มตาแก้แปลนอย่างขะมักเขม้นจนไม่ได้สังเกตเลยสักนิดว่าเพิ่งจะมีใครเดินเข้ามาหยุดอยู่ทางด้านหลัง
“มึง”
“เหยอออ!!!” ต้นตระการสะดุ้งขึ้นอย่างแรงจนแทบตกเก้าอี้ และทันทีที่สะบัดหน้าหันมองทางต้นเสียงเขาก็ได้พบกับใบหน้าบึ้งตึงของรุ่นพี่คนที่เพิ่งจะคุยโทรศัพท์กันอยู่เมื่อสักเกือบๆครึ่งชั่วโมงที่แล้ว “พี่โก๋! ทำไมมาเงียบๆ ตกใจหมดเลย นึกว่าผีหลอกซะแล้ว”
“กูจะหลอกมึงให้น่ากลัวกว่าผีอีก” โกวิทกล่าวเสียงเขียว “นี่นะ กูเดินเข้ามายืนอยู่หลังมึงตั้งนานมึงยังไม่รู้ตัว ถ้ากูเป็นโจรกูฆ่ามึงได้ง่ายๆแล้วเนี่ย”
“..ก็..ใครจะไปนึกว่าดึกๆแบบนี้จะมีคนเข้ามาในออฟฟิศล่ะ..”
คนเป็นผู้ใหญ่กว่าส่ายศีรษะไปมาเบาๆก่อนจะทิ้งกายลงนั่งบนเก้าอี้ว่างตัวข้างๆ สุ้มเสียงดุดันเมื่อสักครู่ถูกลดระดับให้ไม่ฟังดูกระด้างหูมากจนเกินไปในประโยคถัดมา “ตอนดึกๆแถวนี้น่ากลัว หลายเดือนก่อนไอ้โจ้อินทีเรียร์เพิ่งโดนดักตีหัว นอนโรงพยาบาลอยู่ตั้งหลายวัน”
ข้อมูลใหม่ที่เพิ่งได้ฟังทำให้มือที่กำลังขยับเมาส์ควบคุมโปรแกรมชะงักลงไปโดยพลัน ดวงตาใต้กรอบแว่นเหลือบมองสีหน้าของคนข้างกายก่อนที่รอยยิ้มเล็กๆจะถูกลอบจุดขึ้นบนมุมปากทั้งสองข้าง
“..พี่โก๋กลับมาออฟฟิศเพราะเป็นห่วงผมเหรอ?..”
“เปล่า กูเป็นห่วงตัวเอง กลัวโดนกู๋มึงด่า”
“อ้าว..”
โกวิทหันมองเจ้าของเสียงอุทานเจือกระแสผิดหวังเมื่อสักครู่ด้วยสายตาอ่านยาก ตอนนี้ต้นตระการกลับไปให้ความสนใจกับงานในจอคอมพิวเตอร์ต่อแล้วและไม่มีทีท่าว่าจะพูดอะไรขึ้นมาอีก
สถาปนิกเคราครึ้มนั่งกอดอกมองรุ่นน้องทำงานอยู่ในความเงียบพักใหญ่ เครื่องหน้าแต่ละส่วนที่สามารถมองเห็นได้จากมุมข้างของเด็กหนุ่มถูกเขาไล่พิจารณาไปเรื่อย
...ปากนิดจมูกหน่อย...
...จะว่าไปเจ้าหนูนี่มันก็น่าเอ็นดูดีอยู่หรอก...
...หน้าตาไม่เห็นโหดเหมือนป๋าตรงไหน...
“ตามึงเริ่มแดงแล้วนะ” โกวิทเอ่ยทักขึ้นมาเช่นนั้นเมื่อเขาเลื่อนความสนใจขึ้นไปอยู่ที่ดวงตาของอีกฝ่าย “นั่งทำมากี่ชั่วโมงแล้ว?”
“ตั้งแต่เช้าครับ”
“โห..ทำไมทำช้าจังวะ?”
“เมื่อช่วงบ่ายพี่แม็คเอาเรนเดอร์มาให้ช่วย”
สถาปนิกหนุ่มก้มหน้าก้มตาควานหาบางสิ่งที่เขาพกติดตัวไว้เสมอจากในกระเป๋าใบเก่ง ก่อนเพียงไม่กี่วินาทีถัดมาเขาจะส่งของชิ้นที่ว่าให้เจ้าหนูข้างกาย
“เอานี่ไปใช้ แล้วพักก่อน..” น้ำตาเทียมกระเปาะหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้าต้นตระการ “..มึงลุกไปนั่งที่อื่นไป ที่เหลือกูจัดการต่อเอง แต่อย่าเพิ่งกลับนะโว๊ย เดี๋ยวรอกลับพร้อมกู”
เด็กหนุ่มหันมองคนเป็นรุ่นพี่ด้วยสายตาลังเล “..อย่าเลยพี่โก๋ ผมทำต่อได้สบายมาก เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว..”
“บอกให้ลุกก็ลุก อย่าพูดมาก” ว่าแล้วคนปากร้ายก็ออกแรงดึงแขนคู่สนทนาให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนจะแทรกตัวลงไปนั่งแทนจนได้
ต้นตระการยืนเกาหัวแกรกๆ มืออีกข้างกำน้ำตาเทียมกระเปาะน้อยไว้ไม่ปล่อย จนในที่สุดเมื่อเห็นว่าโกวิทปักหลักทำงานแทนอย่างจริงจังแล้วเขาจึงจำต้องหย่อนกายลงบนเก้าอี้ตัวที่เมื่อครู่อีกฝ่ายจับจองไว้แต่โดยดี
เด็กหนุ่มฟุบใบหน้าลงกับพื้นโต๊ะก่อนจะวางสายตาจับจ้องไปยังใบหน้าชวนมองของสถาปนิกรุ่นพี่เงียบๆ รอยยิ้มเล็กๆผุดขึ้นมาบนใบหน้าอีกครั้ง
...ปลอดภัยและอบอุ่น...
สองคำนี้คือคำที่ต้นตระการใช้จำกัดความลักษณะของโกวิท อยู่ใกล้รุ่นพี่คนนี้ทีไรแล้วเขารู้สึกอย่างนี้ทุกที
พ่อของเด็กหนุ่มแยกออกไปมีครอบครัวใหม่ตั้งแต่เขายังเล็ก แม้ที่ผ่านมาจะมีกู๋ต้อมที่คอยทำหน้าที่แทนพ่อ แต่พอแต่งงานมีลูกเป็นของตัวเองกู๋ก็ไม่ได้มีโอกาสแวะมาหาเขาบ่อยเท่าเมื่อก่อนอีกแล้ว
...สิ่งหนึ่งที่จำได้เกี่ยวกับพ่อในช่วงที่ยังได้อยู่ด้วยกันคือพ่อก็ชอบดุเขาแบบที่โกวิททำนี่แหละ...
...แต่กอดของพ่ออุ่นอย่าบอกใครเชียว...
...เคยแอบจินตนาการอยู่บ่อยๆว่ากอดของโกวิทเองก็คงอุ่นมากเช่นกัน...
ในระหว่างที่เด็กหนุ่มปล่อยให้ความคิดโบยบินไปเรื่อยอยู่นั้น ฉับพลันใบหน้าของคนที่เขากำลังจ้องอยู่ก็หันมา
ต้นตระการสะดุ้งตัวขึ้นน้อยๆด้วยความตกใจ สายตาคมดุของคนเป็นรุ่นพี่มองตอบกลับมาอย่างแน่วแน่จนทำให้เขาอดหวั่นเกรงขึ้นมาไม่ได้
คนทั้งสองสบประสานสายตากันอยู่อย่างนั้นนานเกินกว่าที่ควรจะเป็น สีหน้าของโกวิทดูราวกับกำลังครุ่นคิดในขณะที่ต้นตระการก็มีอาการเหมือนถูกผีมาสาปให้กลายเป็นหิน
...แล้วในที่สุดคนอายุมากกว่าก็เป็นฝ่ายถอนสายตาออกไปก่อน...
โกวิทขยับมือวาดแปลนในคอมพิวเตอร์ต่อและไม่ได้หันกลับไปมองเด็กหนุ่มอีกเลย แต่ถึงไม่ได้มองก็ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ตัว
...รับรู้อยู่ตลอดเวลานั่นแหละว่าตัวเองตกเป็นเป้าสายตา...
...รู้สึกได้มาตั้งแต่แรกแล้ว...
.
.
โกวิททำงานเร็วเสียจนต้นตระการแทบจะมอบโล่ประกาศเกียรติคุณให้ ไอ้แปลนที่เด็กหนุ่มนั่งทำมาทั้งวันเสร็จสมบูรณ์ภายในเวลาเพียงชั่วโมงเดียว
ตอนนี้พวกเขาขึ้นมานั่งกันอยู่บนรถแท็กซี่ซึ่งกำลังเคลื่อนตัวห่างออกจากตึกบริษัทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“จริงๆพี่ไม่เห็นต้องไปส่งผมเลย”
“ไม่ได้ไปส่ง หอมึงมันทางผ่าน..กูแค่อยากได้คนหารค่ารถ”
“อ๋อ..” เด็กหนุ่มพยักหน้ารับรู้เพียงเล็กน้อย บนลูกตามีร่องรอยแห่งความผิดหวังฉาบไว้บางเบา
หลังจากบทสนทนาแสนสั้นสิ้นสุดลงคนทั้งคู่ต่างก็ก้มหน้าก้มตาให้ความสนใจกับความบันเทิงในหน้าจอมือถือของตนเงียบๆไปอีกนาน บรรยากาศบนรถยามนี้จึงมีเพียงเสียงการรายงานสภาพท้องถนนจากคลื่นจส.ร้อยที่คุณลุงคนขับเปิดทิ้งไว้ดังคลอเสียงแอร์และเสียงเครื่องยนต์เพียงเบาๆเท่านั้น
...กว่าการรับรู้ของต้นตระการจะถูกดึงกลับมาสู่ความเป็นไปรอบกายอีกครั้งก็เมื่อตอนที่มีน้ำหนักกดทับลงมาบนไหล่ของเขาแล้วนั่นแหละ...
.
.
แรงกระตุกเบาๆจากการเบรครถที่ไม่นิ่มนวลของคุณลุงคนขับปลุกให้โกวิทที่เผลอหลับไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยต้องตื่นขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มใช้เวลาอยู่ครู่กว่าจะตระหนักได้ว่าไอ้สิ่งที่รองน้ำหนักศีรษะของเขาเอาไว้ในตอนนี้คืออะไร
บ่าของต้นตระการยังคงถูกใช้เป็นที่พักพิงแม้ว่าโกวิทจะรู้สึกตัวแล้วก็ตาม สถาปนิกหน้าดุไม่ได้ขยับเขยื้อนตัวให้อีกฝ่ายรู้ว่าตอนนี้เขาไม่ได้จมอยู่ในห้วงนิทราอีกต่อไป
...ก็แบบนี้มันสบายหัวดี...
ดวงตาคู่คมค่อยๆหรี่มองบรรยากาศภายในห้องโดยสารก่อนที่จุดโฟกัสของเขาจะไปตกอยู่ที่ใบหน้าใต้กรอบแว่นที่สะท้อนผ่านกระจกมองหลังของรถซึ่งถูกปรับไว้ได้องศาพอดิบพอดี
...ต้นตระการกำลังยิ้ม...
...ยิ้มกว้างเอามากๆด้วย...
เด็กหนุ่มไม่ได้จ้องมือถือเหมือนอย่างเมื่อครู่หากแต่กำลังทอดสายตามองออกไปทางนอกหน้าต่าง สิ่งหนึ่งที่มั่นใจได้คือรอยยิ้มที่เกิดขึ้นนี้คงไม่ได้มาจากการชมทิวทัศน์ยามค่ำคืนของย่านที่มีแต่ตึกแถวธรรมด๊าธรรมดานี่แน่ๆล่ะ
...แล้วก็ไม่รู้ว่าทำไม...
...พอเห็นแบบนั้นแล้วในอกมันถึงได้พองแปลกๆ...
โกวิทเพิ่งตระหนักได้เดี๋ยวนี้เองว่าการควบคุมกล้ามเนื้อบนใบหน้าไม่ให้ยกยิ้มนี่มันเป็นเรื่องยากไม่น้อยเลย
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
“บัวว่าหมู่นี้คุณชาติยิ้มบ่อยเป็นพิเศษนะคะ” เลขาฯสาวที่เพิ่งจะรับแฟ้มเอกสารไปจากมือหัวหน้าที่เคารพเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงแจ่มใส เธอสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของธีรชาติมาหลายวันแล้วเพียงแต่ยังไม่มีโอกาสได้ถามไถ่ดูสักที
“เหรอครับ?” ผู้บริหารคนดังย้อนถามกลับไปเช่นนั้นโดยที่บนใบหน้าหล่อเหลาก็มีรอยยิ้มประดับประดาไว้ไม่จาง “ก็..อาจจะจริงอย่างที่บัวว่ามั้ง”
“มีเรื่องอะไรดีๆเกิดขึ้นหรือเปล่าคะ?”
ชายหนุ่มเปล่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะเปิดปากส่งคำตอบที่ทิ้งปริศนาไว้ในใจของคนฟังออกไปเพียงสั้นๆ “ทำนองนั้นแหละครับ”
...มันเป็นเรื่องดีๆอย่างที่เลขาฯของเขานึกสงสัยจริงๆ...
...ช่วงนี้เขารู้สึกเบิกบานกระชุ่มกระชวยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลย...
“ฟังแล้วน่าอิจฉาจริงๆเลยค่ะ” บัวกล่าวกลั้วหัวเราะแม้อีกฝ่ายจะไม่ได้แจกแจงต้นสายปลายเหตุออกมาก็ตาม แต่เป็นเพราะหญิงสาวรู้ขอบเขตดีว่าการซักถามเรื่องราวในชีวิตส่วนตัวของเจ้านายควรสิ้นสุดลงตรงนี้ เธอจึงดึงบทสนทนากลับเข้ามาสู่เรื่องงานอีกครั้ง “เอ้อ..คุณชาติคะ เมื่อเช้าตอนที่คุณชาติออกไปประชุมนอกบริษัท คุณภพฝากให้บัวมาถามว่าตกลงคุณชาติจะไปร่วมงานเปิดตัวแพ็คเกจใหม่ด้วยหรือเปล่า?”
...ถามไปอย่างนั้นเอง ถามเพราะเป็นหน้าที่...
...ในใจเธอน่ะเดาคำตอบของหัวหน้าได้อยู่แล้ว...
หญิงสาวยังจำได้ดีว่าธีรชาติประกาศไว้ชัดเจนตั้งแต่การประชุมครั้งที่แล้วว่าจะไม่ไปร่วมงาน ส่วนสาเหตุคืออะไร ไม่ต้องพูดออกมาผู้ร่วมประชุมในครั้งนั้นแทบทุกคนก็คงรู้ดี
“
ไปครับ ยังไงบอกทีมจัดงานให้ช่วยส่งสคริปต์คำถามให้ผมอ่านล่วงหน้าด้วยนะ”
“หือ?” บัวร้องออกมาด้วยความประหลาดใจในทันที “คุณชาติจะไปเหรอคะ?..ต..แต่..งานนี้คุณใบตองก็ไปด้วยนะคะ”
เมื่อถูกถามมาเช่นนั้นธีรชาติก็พยักหน้าหนักแน่น ดวงตาคู่คมไร้วี่แววลังเล “ครับ ผมยังไม่ลืม เพราะแบบนั้นแหละผมเลยจะไป”
TBC.
รายละเอียดรวมเล่มราคาฝัน ท่านใดสนใจลองเข้าไปดูกันนะคะ :http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57030.msg3540853#msg3540853