บทที่ ๓
เด็กใหม่
เรือนเทพวิมาน เป็นสถาปัตยกรรมเรือนไม้ทรงไทยขนาดใหญ่ ลักษณะลายไม้และสีสันแสดงอายุสืบต่อมาเนิ่นนาน มีหอมุขตั้งอยู่กึ่งกลาง รายล้อมด้วยหมู่เรือนน้อยใหญ่ ทั่วอาณาบริเวณร่มรื่นด้วยไม้ยืนต้นขนาดหลายคนโอบ รวมถึงพรรณไม้ประดับหลากพันธุ์นานาชนิด เครื่องเรือนประดับตกแต่งด้วยของใช้เก่าแก่อายุกว่าหลายร้อยปี ด้วยเป็นสมบัติตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นของเชื้อสายที่ถือได้ว่าเก่าแก่ตระกูลหนึ่งเลยทีเดียว
ภัทรพจน์ก้าวขึ้นบันไดหน้าเรือนด้วยท่าทีล่องลอย ก่อนความฝันจะสิ้นสุด พจน์รู้แล้วว่ายังมีคนที่เชื่อใจ เชื่อคำพูดของคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนอย่างเจ้ามาตะพยายามเชื่อ แต่ท้ายสุดคนที่ใช่กลับกลายเป็นบุคคลจินตนาการในฝันเท่านั้น
บรรยากาศเปียกชื้นพร่างพรมทั่วทุกอณูอากาศบนเรือนไทย ลมหนาวโบกพัดสะบัดไหว ยิ่งตอกย้ำอาการใจหายของพจน์ได้เป็นอย่างดี
“คุณปู่ กลับมาแล้วนี่คะ” ดาราส่งเสียงร้องบอก รีบรุดตรงเข้าหาชายสูงอายุ ร่างหนา ทรงผมเรียบแซมด้วยสีขาวบ้างประปราย คนเดียวกันกับที่พจน์เห็นผ่านโทรทัศน์กำลังประกาศเตือนสถานการณ์น้ำท่วมโลก ท่านนั่งพำนักอยู่บนยกพื้น ณ หอมุขกลาง ด้านข้างนั้นเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี อายุและวัยประมาณภพดนัยกำลังจดคำสั่งลงในสมุดคู่กาย
“คุณพ่อกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ” ภพดนัยแสดงสีหน้าเป็นห่วง
“สักพักเห็นจะได้”
ศาสตราจารย์วิชัยตอบด้วยเสียงกังวาน พยักหน้ารับไหว้หลานทั้งสองด้วยสีหน้านิ่งขรึม ถึงอายุอานามจะดำเนินมาถึงใกล้วัยเกษียณ แต่ก็มิอาจบดบังเค้าโครงใบหน้าหล่อเหลาในสมัยเมื่อครั้งยังวัยหนุ่มได้
“ถ้าอย่างนั้น ผมขอลากลับก่อนนะครับ อาจารย์” ชายหนุ่มตาชั้นเดียวเก็บสมุดใส่กระเป๋าสะพายข้างพร้อมยกมือไหว้คนมีอายุ
“รอทานอาหารเย็นด้วยกันก่อนสิ พ่อชาญณรงค์” ศาสตราจารย์วิชัยเชื้อเชิญ
“คุณชาญณรงค์ติดธุระหรือครับ” ภพดนัยซักถาม
“ผมไม่ได้มีธุระเร่งด่วนหรอกครับ” ชายหนุ่มเจ้าของชื่อ ชาญณรงค์ ก้มหน้าตอบพร้อมกับปรากฏแถบสีแดงขึ้นข้างผิวแก้มทั้งสอง ลุกลามมาถึงใบหูและลำคออย่างรวดเร็ว
“ถ้าไม่เป็นการรบกวน อยู่ร่วมโต๊ะกันก่อนเถอะครับ เดี๋ยวผมจะลงไปดูที่โรงครัวว่าพร้อมแล้วหรือยัง” ภพดนัยย้ำคำอย่างรวบรัดด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหายลงไปทางบันไดหลังเรือน
“คุณปู่คะ วันนี้ภาพประกวดของดาวได้รางวัลชนะเลิศด้วยค่ะ” ดาวแจ้งข่าว ศาสตราจารย์วิชัยเผลอยิ้มเพียงครู่
“เก่ง เก่งมาก”
“แล้ว แกล่ะ ตาพจน์ เป็นยังไงบ้าง” ท่านส่งคำถามให้หลานชาย พจน์สบดวงตาหลังแว่นแล้วก้มหน้าเงียบชั่วขณะหนึ่ง
“ก็ดีครับ ช่วงนี้ฝนตกบ่อยเลยไม่ค่อยได้ฝึกซ้อมฟุตบอล ส่วนชมรมคนเจ้าบทเจ้ากลอนก็กำลังเตรียมตัวแข่งขันในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้าครับ” ภัทรพจน์รายงาน
ศาสตราจารย์วิชัยพยักหน้ารับรู้
“คุณชาญณรงค์คะ นี่ไง ดาวถ่ายภาพประกวดเก็บไว้ด้วย ส่วนต้นฉบับทางโรงเรียนขอเก็บไว้ค่ะ” เด็กสาวยื่นหน้าจอโทรศัพท์ให้ชาญณรงค์ดู
พจน์มองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยท่าทีนิ่งเงียบ ริมฝีปากปิดสนิท นับตั้งแต่ ‘ผู้ช่วย’ คนนี้ของคุณปู่ก้าวเข้ามาในครอบครัวเทพวิมาน เขาแทบจะนับครั้งการสนทนาพูดคุยกับชาญณรงค์ได้ด้วยมือข้างเดียว ไม่เหมือนดาวที่ดูจะสนิทสนมกลมเกลียวกับคนอื่นได้อย่างรวดเร็วกว่าพี่ชาย
“อาหารเย็นพร้อมแล้วค่ะ” ป้าแจ่ม หญิงมีอายุยิ้มกว้างวางสำรับลงบนโต๊ะ เธอเป็นคนจิตใจดี หน้าตาดูยิ้มแย้มอยู่เสมอ ใบหน้าเรียวมีเค้าของความสวยในอดีต ด้านหลังนั้นมีหญิงสาวผิวเข้มไว้ผมหน้าม้า นามว่า ส้ม ช่วยถือจาน โถใส่ข้าว แก้ว และเหยือกน้ำมาส่งให้ ภพดนัยช่วยถือสำรับกับข้าวมาอีกถาดหนึ่ง ดาวยื่นมือเข้าช่วยคุณพ่อพลางจัดแจงวางภาชนะเครื่องเบญจรงค์สำหรับใส่อาหารเรียงบนโต๊ะไม้ลายฉลุ ซึ่งประกอบด้วย แกงจืดเต้าหู้ ผัดผักรวมมิตร แกงเขียวหวานไก่ ผัดเปรี้ยวหวาน ต้มยำกุ้ง และไข่ลูกเขย รวมถึงของหวานประเภททองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง และเม็ดขนุน เมื่อจัดวางแล้วเสร็จคู่ยายหลานจึงขอลากลับคืนยังโรงครัว
ทุกคนเริ่มรับประทานอย่างเชื่องช้า เมื่อเวลาผ่านล่วงสักครู่หนึ่ง พจน์ก็รู้สึกอิ่มอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่เพราะการปรุงรสอาหารของป้าแจ่มฝีมือตกแต่อย่างใด เป็นเหตุมาจากพจน์ไม่รู้สึกอยากอาหารมากนัก
แทบไม่มีคำสนทนาใดๆเกิดขึ้นระหว่างรับประทานอาหารเลย ระหว่างนั้นเองเสียงโทรศัพท์ภายในห้องของศาสตราจารย์วิชัยจึงดังขึ้น ชายสูงวัยพยักหน้าให้ชาญณรงค์เป็นผู้ดำเนินการ เพียงชั่วครู่ก็กลับมารายงานว่า
“ทางสถาบันฯมีนัดหมายประชุมเร่งด่วนในวันพรุ่งนี้ครับ”
“ไม่ผิดจากที่คาดการณ์ไว้นัก” ศาสตราจารย์ส่ายหน้า ดูเหมือนทุกคนจะพร้อมใจกันอิ่ม
“คงไม่ใช่เหตุเพราะคุณพ่อทำการประกาศเตือนในวันนี้ใช่ไหมครับ” ภพดนัยคาดคะเน
“ถ้าไม่ใช่ ก็เป็นเรื่องน่าสงสัยทีเดียวล่ะ” ศาสตราจารย์วิชัยนิ่งคิด แววกังวลปรากฏอยู่บนใบหน้าภพดนัยทันที “แล้วนี่แกไม่ต้องไปอ่านข่าวหรอกหรือ คืนนี้น่ะ”
“คืนนี้ไม่ใช่คิวอ่านข่าวของคุณพ่อค่ะ คุณปู่ ดาวจำได้” ดาราตอบเสียงรื่นเริง
ศาสตราจารย์ทำหน้ารับรู้ ตอนแรกพจน์คิดจะขอตัวกลับเข้าห้องของตนก่อน ถึงแม้จะเป็นการเสียมารยาทและไม่ควรออกจากโต๊ะรับประทานอาหารก่อนผู้หลักผู้ใหญ่ ก็พอดีชาญณรงค์ซึ่งนิ่งเงียบมานานเอ่ยปากขึ้น
“เรื่องที่อาจารย์พูดในตอนประชุมครั้งผ่านๆมา อาจารย์ยังอธิบายไม่ชัดเจนนี่ครับ ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่อาจารย์จะต้องพูดความจริงทั้งหมดออกมา ศาสตราจารย์ท่านอื่นๆอาจจะเข้าใจเรื่องน้ำท่วมโลกมากขึ้นก็เป็นได้”
เป็นครั้งแรกที่พจน์เห็นชาญณรงค์พูดประโยคได้ยาวขนาดนี้
“ถึงเวลาแล้วหรือ” ศาสตราจารย์ทวนเสียงเบา คล้ายกับถามตัวเองมากกว่าใครอื่น
“ครับ อาจารย์ ข้อมูลที่เราเก็บไว้มีความสำคัญไม่น้อย มันน่าจะทำให้เรื่องราวซึ่งขาดตอนอยู่นี้สมบูรณ์มาขึ้น และทั้งโลกจะได้เข้าใจในคำพูดของอาจารย์เสียที”
ศาสตราจารย์วิชัยมีท่าทีลังเลชั่วขณะ มีความจริงใดซ่อนอยู่หลังคำเตือนน้ำท่วมโลกอย่างนั้นหรือ พจน์สบตากับดาว สภาพบรรยากาศรอบตัวนิ่งสงบ
“อาจารย์เคยบอกว่า
เวลา เป็นสิ่งสำคัญ ยากที่เราจะสร้างขึ้นมาเองได้นะครับ เราคงมีเวลาเหลือไม่มากแล้ว” ชาญณรงค์ย้ำเตือน
“เวลา...” ศาสตราจารย์วิชัยรำพึงรำพันกับตัวเองเหมือนท่านหลุดลอยสู่โลกส่วนตัว ถ้าสิ่งที่คุณปู่อำพรางไว้สร้างความกระจ่างและทำให้ผู้คนเชื่อได้ว่า น้ำกำลังท่วมโลกจริง นั่นยิ่งควรจะเปิดเผยสู่สาธารณะชนดีกว่าจะปิดบังไว้ ทุกคนต่างภาวนาว่าการตัดสินใจของท่านจะนำไปสู่แสงสว่างสุดปลายทางหรือดำมืดดุจอุโมงค์ทางตัน
“เอาล่ะ ฉันจะพูดข้อมูล และสาเหตุของเรื่องราวทั้งหมดให้ที่ประชุมได้ทราบว่าทำไมน้ำถึงจะกำลังท่วมโลกในอีกไม่ช้า” ศาสตราจารย์ตัดสินใจอย่างแน่วแน่
ส่วนหนึ่งภายในร่างกายของพจน์ลุกกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ ดาวฉีกยิ้มกว้างเช่นเดียวกับสีหน้าโล่งอกของคุณพ่อ เมื่อในที่สุดเรื่องราวที่คลุมเคลืออยู่กำลังถูกไขให้กระจ่างแจ้ง และคงมีคนเชื่อคำพูดของท่านอย่างแน่นอน
***************************************
เงาดำคืบคลานอยู่ริมบาทวิถีฝั่งตรงข้ามกับเรือนไทยเทพวิมาน หลังจากนั้นเพียงชั่วอึดใจหนึ่ง มันจึงก่อตัวเป็นรูปร่างใต้ผ้าคลุมสีดำเหนือยอดตึกสำนักงานที่ตั้งเรียงรายอยู่ใกล้เคียง ดวงตาสีแดงวาวโรจน์บ่งบอกถึงอารมณ์เบื้องลึกภายใน อาณาเขตโดยรอบได้รับการคุ้มกันจากพลังอำนาจสูงสุดเป็นอย่างดี มันสัมผัสได้ถึงพลังอันแก่กล้านี้ ร่างดวงจิตมิอาจจะเข้าไปเรือนหลังนั้นได้ มันต้องเร่งเตือนทาสรับใช้ผู้มาถีง เพราะมนตรานี้ทรงพลังยิ่งนักเกินกว่าสมุนของมันจะต้านทานได้****************************************
ภัทรพจน์ล้มตัวลงบนเตียงนอนอย่างรู้สึกเหน็ดเหนื่อย ภายในห้องตกแต่งเรียบง่ายเน้นโทนสีน้ำตาลขาว มีโปสเตอร์นักฟุตบอลทีมโปรดติดอยู่เหนือหัวเตียง ข้างโต๊ะอ่านหนังสือเป็นกรอบรูปถ่ายครอบครัวเมื่อพจน์อายุประมาณห้าหรือหกขวบ ซึ่งเขาจำไม่ได้แล้วว่าไปเที่ยวที่ไหน หนึ่งในนั้นไม่ได้มีชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้ว คือ แม่ ของพจน์นั่นเอง ท่านเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ใกล้กับโคมไฟมีหนังสือ
เรียงร้อยถ้อยกวี ไว้ช่วยอ่านแก้เครียด อีกมุมเป็นตู้เก็บหนังสืออัดแน่นเต็มทุกชั้น
การตัดสินใจของคุณปู่คือทางออกของทุกปัญหา เด็กหนุ่มรีบลุกยืนแล้วเปิดลิ้นชักโต๊ะเพื่อจะหยิบสมุดบันทึก ลีลาวดีดอกหนึ่งร่วงหล่นลงพื้นทันทีที่พจน์ดึงสมุดออก ดอกสีขาวส่งกลิ่นหอมยังแลดูสดใหม่ น่าจะเป็นพี่ส้มเก็บมาให้เพราะรู้ว่าเด็กหนุ่มชอบดอกไม้ชนิดนี้
พจน์กางสมุดบันทึกออก ภายในเป็นภาพข่าวตัดมาจากหนังสือพิมพ์ หรือ สื่อสิ่งพิมพ์อื่นใดอันเกี่ยวกับข่าวน้ำท่วมโลก ซึ่งพจน์สืบค้นหาและถ่ายเอกสารมาแปะติดไว้ เขาเปิดหน้ากระดาษที่ว่างเปล่า แล้วเริ่มเขียน
หลักฐาน? แตกแขนงเป็น
โบราณคดี,
ธรณีวิทยา,
วิทยาศาสตร์ เท่าที่คิดได้หลักฐานยืนยันคงต้องอยู่ในหมวดหัวข้อเหล่านี้เป็นแน่
โทรศัพท์มือถือขึ้นเตือนข้อความสนทนา
DARA DAO: ทำยังไงต่อกับปฏิบัติการที่ 003 คะPHATHARA PHOJ: ยกเลิกภารกิจ 003 ด่วนDARA DAO: รับทราบค่ะPHATHARA PHOJ: ถ้ามีภารกิจใหม่ จะแจ้งให้เริ่มปฏิบัติการทันทีน้องสาวส่งสติ๊กเกอร์โอเคกลับมา ระหว่างนั้นกลุ่มสนทนานามว่า
เทวดาเดินดิน ก็แจ้งเตือนเช่นเดียวกัน
PREM NUTT: แจ้งให้ทราบ พรุ่งนี้จะมีนักเรียนใหม่ย้ายมาอยู่ห้องเราว่ะPARAMEE BOT: แมร่ง...กลางเทอมนี่นะ?PHONGSAKORN PURE: เส้นใหญ่แน่ๆNARINT NAI: ไม่ก็พวกมีปัญหากับห้องปกครอง เอ๊ะๆ ใครอยากกินก๋วยเตี๋ยวตอนนี้วะ ฮ่าๆJONGRAK RAK: พวกคุณให้เกียรติเพื่อนใหม่ด้วยครับ อยากกินๆKEERATI GEE: คนละเรื่องเดียวกันละพวกแมร่งVEERAPOBB TOR: 555+AEKACHAI AEK: ต้องรับน้องใหม่ป่าววะCHOLNATEE NAM: เอาๆ จัดหนักๆPARAMEE BOT: ใจเย็นๆครับ น้องน้ำ ดีใจเกินเหตุละมึงPHATHARA PHOJ: วันนี้พวกมึงไปไหนกันมาวะKEERATI GEE: พระเอกมาแล้วเว้ยPHATHARA PHOJ: สัด ไม่ใช่สักหน่อยPARAMEE BOT: นัดสาว เหล่สาว เดตสาว แล้วก็ได้สาวว่ะ เฮ้ยๆ ไม่ใช่ๆ 555PREM NUTT: แชทสุภาพด้วยครับ 555 พวกมึงรอเจอตัวจริงเด็กใหม่ก่อน แล้วค่อยคุยโว บาย ฝันดีพจน์กดออกจากโปรแกรมสนทนา แต่พวกมันคงคุยกันต่ออีกยาว น่าแปลก โรงเรียนที่พจน์เรียนอยู่ไม่ใช่จะรับคนเข้าง่ายๆ ถ้าไม่เส้นใหญ่อย่างเจ้าพวกนั้นว่าก็คงต้องมีความสามารถพิเศษบางอย่างจนย้ายเข้ากลางเทอมได้
เช้าวันใหม่ ชาญณรงค์มารับคุณปู่เพื่อไปสถาบันฯที่ทำงานของท่านตั้งแต่ยังไม่รุ่งสาง ความหวังอย่างหนึ่งจุดวาบในอกของพจน์ เมื่อความจริงทั้งหมดเปิดเผย ในไม่ช้าทุกคนก็คงจะรับรู้และเชื่อเป็นแน่ ภพดนัยขับรถมาส่งเด็กทั้งสองก่อนจะรีบเร่งจากไปบอกว่ามีข่าวด่วนต้องไปติดตาม
“พี่คิดว่าอีกในไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า เราคงมีข้อมูลใหม่อย่างแน่นอน เรื่องแจกใบประกาศให้ยกเลิกก่อน” พจน์กระซิบบอกดาวขณะเดินเข้าโรงเรียน
“ค่ะ ดาวบอกพี่ส้มแล้วให้รอคำสั่งใหม่อีกครั้ง”
“ดีมาก” พจน์ขยี้ผมน้องสาว
“พี่พจน์ ผมดาวเสียทรงหมดแล้ว ไปละ” เด็กสาววิ่งหนีไปทางกลุ่มเพื่อนของเธอ ส่วนพจน์แยกเดินเข้าห้องเรียน เมื่อเคารพธงชาติแล้ว ครูประจำชั้นเข้ามาหยุดยืนอยู่หน้าห้องและแจ้งเรื่องให้ทราบทันที
“วันนี้ห้องของเราจะมีนักเรียนใหม่มาเรียนร่วมด้วยนะ เชิญ” สิ้นคำของครูประจำชั้น นักเรียนชายร่างสูงคนหนึ่งเดินเข้ามา ใบหน้าเรียว จมูกงองุ้ม ขอบตาเหยี่ยวดูไม่เป็นมิตร ทรงผมตัดสั้นสกินเฮด
“ชื่อนายนิธิ กันตารักษ์ ชื่อเล่นชื่อ กัน ฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ” รอยยิ้มและดวงตาทั้งสองถูกส่งมายังบริเวณหลังห้องที่พจน์นั่งอยู่ เมื่อเกิดสบตากันจึงรู้ว่า เจ้านั่นมองมายังพจน์นั่นเอง ความรู้สึกไม่น่าไว้วางใจตั้งแต่แรกพบก่อตัวในใจ เป็นความรู้สึกหลากหลายมากกว่าหนึ่งที่เขารับรู้ได้ ส่วนสาวๆในห้องต่างกรีดร้องต้อนรับราวกับถูกน้ำร้อน ไอ้โบทกระซิบข้างหูพจน์
“มันมองมึงว่ะ เอ๊ะ ยังไงๆ”
“มองตาก็รู้ว่ะ มันจ้องหาเรื่องมึงแน่” ไอ้กีซึ่งนั่งโต๊ะเดียวกับพจน์เสนอความเห็น
ปาล์ม เปรมณัฐ ผู้นั่งอยู่โต๊ะถัดไปยื่นกระดาษพร้อมข้อความว่า ‘ใจเย็นๆ’ และส่ายหน้าประกอบ จะให้มีเรื่องกันตั้งแต่วันแรกก็ใช่เรื่องหรอกนะ ถ้าอีกฝ่ายไม่คิดจะท้าทายหรือลงมือทำก่อน
เมื่อครูประจำชั้นออกไปแล้ว ไอ้เด็กใหม่ก็เดินตรงมาหาพจน์ทันที ไอ้น้ำคนตัวเล็กที่สุดในกลุ่มกระโดดมายืนบังป้องกันพจน์จากเด็กใหม่ ก่อนจะถูกผลักกระเด็นให้พ้นทาง
“เคยได้ยินแต่ชื่อ ไม่เคยเจอตัวจริงมาก่อน น่ารักใช่เล่นนะ นายอ่ะ” เพื่อนในกลุ่มทั้งเก้าคนผสานเสียงร้องอย่างตกใจ “เราชื่อ กัน ยินที่ได้รู้จัก”
“มึงคิดจะจีบเพื่อนกู หรือหาเรื่องเพื่อนกูกันแน่วะ หน้าตากับสายตามึงไม่ตรงกันเลยนะ” ไอ้เอกตั้งสติได้ก่อนจะเร่งถามละล่ำละลัก
เด็กใหม่ยังคงสนใจพจน์เพียงคนเดียวยื่นมือหมายจะให้จับทักทายตอบ แต่เขากลับนั่งนิ่งเสียยังคงจ้องตาคมเฉี่ยวนั้น เจ้านั่นหัวเราะชอบใจ
“เอางั้นก็ได้”
“มึงมีปัญหาอะไรกับพวกกูเปล่าวะ” ไอ้เตี้ยน้ำยังคงตะโกนถาม ส่วนไอ้เด็กใหม่เหลียวมองน้องน้ำอย่างไม่แยแส เพื่อนในกลุ่มต่างมีสีหน้างงงวยผสมไม่พอใจดุจเดียวกับพจน์
“กูคิดว่าคงไม่ต้องสุภาพกับมึงเท่าไหร่” ไอ้กันยังคงรุกหนักต่อไป มันคนเดียวกำลังยืนเสี่ยงอ้อนยี่สิบเท้ารุมกระหน่ำอยู่ ส่วนเพื่อนร่วมห้องแทบไม่ได้มีใครสนใจนอกจากนักเรียนหญิงกลุ่มดาวห้องเท่านั้นที่เหลียวมองเป็นระยะ
“ก็แล้วแต่มึงสะดวก” พจน์เงยหน้าตอบ ความรู้สึกแปลกประหลาดปรากฏชัดยิ่งกว่าเดิม อยู่ๆคนที่ไม่เคยพบหน้า ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแม้แต่น้อย เหตุใดเมื่อแรกพบเจอถึงได้แสดงทีท่าเสมือนคู่รักคู่แค้นกันมาแต่ชาติภพก่อนอย่างใดอย่างนั้น
ไอ้เพรียวหน้าเรียวร้องเสียงหลงประดุจโดนเหยียบหาง
“กูถามจริง ไอ้พจน์เพื่อนกูเคยไปแย่งแฟนมึงหรือว่ามึงเคยมาแย่งแฟนมัน หรือมึงต้องการมันเป็นแฟนกันแน่วะ” คนอื่นๆที่เหลือลุกขึ้นยืนประจันหน้าคนคนเดียวอย่างเป็นเดือดเป็นแค้น
“มัน...” ไอ้กันตวัดสายตาแหลมคมมองพินิจพจน์อีกครั้ง “มันน่ารักดี แต่มันไม่ควรมายืนอยู่ ณ จุดที่มันยืนอยู่”
ทุกคนเงียบกริบราวกับคำพูดเมื่อครู่เป็นภาษาต่างดาวที่ไม่มีใครเข้าใจได้โดยง่าย เด็กหนุ่มร่างสูงผอมหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกจากกระเป๋านักเรียนแล้ววางลงตรงหน้าพจน์ เพียงเหลือบมองก็รู้ว่าเป็นโคลงสี่สุภาพจำนวน ๒ บท ถูกเขียนด้วยลายมือวิจิตรบรรจง
“ถ้ามึงเป็นคนกล้าอย่างที่กูเคยได้ยิน มึงคงจะรับคำท้าของกู”
“มันเรื่องอะไรกันวะ อยู่ๆก็มาหยามเกียรติเพื่อนกูอย่างนี้” ไอ้ต่อผมสกิดเฮดอีกคนถามกลับ ไอ้กันยังไม่มีท่าทีเกรงกลัวหรือสนใจเพื่อนรอบตัวของพจน์เลยแม้แต่น้อย ราวกับในสายตาดำมืดนั้นมีแต่พจน์อยู่เพียงคนเดียว
“ถ้ามึงตีความโคลงสี่สุภาพสองบทนี้ออก โดยความหมายถูกต้องทุกประการ กูจะยอมไม่ยุ่งเกี่ยวกับมึงอีก แต่ถ้ามึงทำไม่ได้จงถอนตัวจากทีมประกวดกลอนสด ลาออกจากประธานชมรมคนเจ้าบทเจ้ากลอน และ...ต้องมาเป็นแฟนกู” สิ้นคำเสนอของเด็กใหม่ ต่างคนต่างพยายามยื้อยุดห้ามปรามไอ้โบท ไอ้กี และไอ้ต่อ ไม่ให้พุ่งเข้าใส่ไอ้กันอย่างยากลำบาก พจน์รู้สึกว่าคำท้าทายนี้อยู่นอกเหนือสารบบความคิดของตนอย่างยิ่ง
“เพราะถ้ามึงไร้สติปัญญาจะทำได้แล้ว มึงก็ไม่มีคุณสมบัติจะเป็นเอกในด้านการแต่งกลอนอีก และจำเป็นต้องมีคนคุ้มครองดูแล” รอยยิ้มร้ายกาจนั้นฉายแววปรากฏ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พจน์โดนเพศเดียวกันจีบซึ่งๆหน้า เขาถอนหายใจพลางหยิบกระดาษกลอนนั้นมาอ่าน
ครอบครองเพียงหนึ่งสร้าง แสนพล พ่ายเอย
ทุกเผ่าพันธุ์สืบค้น ยิ่งแล้ว
บุรุษใดได้ยล ล้ำค่า เก้าแก้ว
‘ชายเหนือชาย’เพริศแพร้ว อยู่ยั้ง ยืนยง เพชรทรงฤทธิ์ร่ำร้อง ดวงใจ จิตเอย
ลอยเลื่อนเลือนลับไพร แหล่งหล้า
สิบทิศจบภพไตร พ้นผ่าน ลับแล
คืนสู่ใจสองข้า หนึ่งฟ้า ราตรี
ดูเหมือนพจน์จะเจอคู่ปรับคนสำคัญทางด้านการแต่งกลอน และทางด้านตัวป่วนในชีวิตเข้าให้เสียแล้ว
TBC... โปรดติดตามตอนต่อไป