[แจ้งข่าวหน้า๑๖] >>>>ข้ามพิภพ<<<< (๒/๐๘/๖๔) หน้า ๑๖ [จบแล้ว]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

สำรวจความต้องการให้มีการพิมพ์รวมเล่มนิยาย >>>>ข้ามพิภพ<<<< หรือไม่

ต้องการ
27 (67.5%)
ไม่ต้องการ
0 (0%)
ไม่แน่ใจ
13 (32.5%)

จำนวนผู้โหวตทั้งหมด: 40

ผู้เขียน หัวข้อ: [แจ้งข่าวหน้า๑๖] >>>>ข้ามพิภพ<<<< (๒/๐๘/๖๔) หน้า ๑๖ [จบแล้ว]  (อ่าน 284667 ครั้ง)

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



เปิด Pre-order นิยาย #มาตะวัน (ภาคต่อ "ข้ามพิภพ")


รายละเอียดหน้า 16 >>> คลิก

                   

CONTACT ME / ติดต่อนักเขียน
FB : เธียรศกร
Twitter : @khamphiphob


ผลงานที่ผ่านมา
มาตะวัน
คืนฤดูร้อนที่ยาวนาน
ปรมาจารย์ลัทธิเมีย


สารบัญ

บทนำ
บทที่ ๑ สัญญาณเตือนภัย
บทที่ ๒ แรกพบ
บทที่ ๓ เด็กใหม่
บทที่ ๔ ปริศนาโคลงกลอน (ตอน๑) (ตอน๒)
บทที่ ๕ นิมิตฝัน ฤา จริงแท้ (ตอน๑) (ตอน๒)
บทที่ ๖ หายนะภัย (ตอน๑) (ตอน๒)
บทที่ ๗ คิดถึงคะนึงหา (ตอน๑) (ตอน๒)
บทที่ ๘ ไฟราคะ (ตอน๑) (ตอน๒)
บทที่ ๙ ภวังค์ตัณหา (ตอน๑) (ตอน๒)
บทที่ ๑๐ จุมพิตสีเลือด (ตอน๑) (ตอน๒)
บทที่ ๑๑ ภัยซ่อนเร้น (ตอน๑) (ตอน๒)
บทที่ ๑๒ เล่ห์รักกลกลอน (ตอน๑) (ตอน๒)
บทที่ ๑๓ รสกามารมณ์ (ตอน๑) (ตอน๒)
บทที่ ๑๔ ทวนอัศวาราตรีกาล (ตอน๑) (ตอน๒)
บทที่ ๑๕ มนตราลีลาทมิฬ (ตอน๑) (ตอน๒)
บทที่ ๑๖ อนันตวัชรมรกต (ตอน๑) (ตอน๒)
บทที่ ๑๗ เพลิงสิเน่หา (ตอน๑) (ตอน๒)
บทที่ ๑๘ นารีพิฆาต (ตอน๑) (ตอน๒)
บทที่ ๑๙ โคลงพยากรณ์ (ตอน๑) (ตอน๒)
บทที่ ๒๐ คำหวานครวญ (ตอน๑) (ตอน๒)
บทที่ ๒๑ สุริยะพจน์ (ตอน๑) (ตอน๒)
บทที่ ๒๒ มหาราชภัย (ตอน๑) (ตอน๒)
บทที่ ๒๓ รักต้องห้าม (ตอน๑) (ตอน๒)
บทที่ ๒๔ เพื่อนรักทาสภักดี (ตอน๑) (ตอน๒)
บทที่ ๒๕ มาตะวันพันชะตา (ตอน๑) (ตอน๒)
บทที่ ๒๖ ตรีทินกรศศิธรทวิดวง (ตอน๑) (ตอน๒)
บทที่ ๒๗ น้ำตาสายโลหิต (ตอน๑) (ตอน๒)
บทที่ ๒๘ ไพลินนิลสี พัชรพีนิลกาฬ (ตอน๑) (ตอน๒)
บทที่ ๒๙ พิรุณวิปโยค (ตอน๑) (ตอน๒)
บทที่ ๓๐ อุบายพิศวาส (ตอน๑) (ตอน๒)
บทที่ ๓๑ บาทบริจาริกา (ตอน๑) (ตอน๒)
บทที่ ๓๒ อาถรรพณ์พระเวท (ตอน๑) (ตอน๒)
บทที่ ๓๓ ดวงเนตรสีชาด
บทที่ ๓๔ มัจจุราชยาตรา
บทที่ ๓๕ อุปราชาต้องคมทวน (ตอน๑) (ตอน๒)
บทที่ ๓๖ ภูเตศวรอวตารพชระเทพ
บทที่ ๓๗ เสพรักพิษนาคา
บทที่ ๓๘ กฤษณาทวงรัก
บทที่ ๓๙ พระอัครราชเทวี
บทที่ ๔๐ จากลาลาลิ่วล้ำลอยจาก
บทที่ ๔๑ หนังสือปกแดง
บทที่ ๔๒ ปักษาวายุภักษ์
บทที่ ๔๓ ดาบกนกกาญจน์ราญอริราช (ตอน๑) (ตอน๒)
บทที่ ๔๔ มหาภัยพิบัติ
บทที่ ๔๕ สินะกาวี
บทส่งท้าย


Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-08-2021 21:22:21 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทนำ (๒๔/๑๐/๕๘)
«ตอบ #1 เมื่อ24-10-2015 13:12:36 »

บทนำ




เบื้องบรรพกาลอันเก่าแก่ ปรากฏผืนดินเก้าอนุทวีปรวมเป็นปฐมทวีปของพิภพ มหาทวีปหนึ่งเดียวแห่งนั้นกว้างใหญ่มากกว่าครึ่งของดาวเคราะห์ดวงนี้ เต็มเปี่ยมด้วยสรรพชีวิตที่มิอาจจินตนาการได้ หามีผู้ใดล่วงรู้การถือกำเนิด แต่ก็มีเรื่องราวบอกกล่าวกันว่า ผืนแผ่นดินแห่งพิภพถูกโอบอุ้มดูแลด้วยอำนาจวิเศษ แลพลังมนตราที่สิ่งมีชีวิตธรรมดาหามีไม่ จนปักใจเชื่อกันว่า ผู้มีพลังมนตราสูงสุดนั้นเป็นผู้สร้างเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว

คลื่นน้ำมหาสมุทรพุ่งหาผืนดินเบื้องหน้าราวกับปรารถนาบางสิ่งซึ่งล้ำค่ายิ่ง ณ ผืนพิภพ เล่าขานกันว่า ณ ห้วงเวลาหนึ่งได้บังเกิดสิ่งสำคัญสูงค่ายิ่งเก้าประการ เป็นยิ่งกว่าดวงมาลย์ของสรรพชีวิตสูงส่งที่สุด เป็นยิ่งกว่าทองคำอันเลอค่า เป็นยิ่งกว่าลมหายใจของทุกสิ่งบนมหาพิภพนี้ และมันเป็นยิ่งกว่าความอมตะ เก้าเผ่าพันธุ์ต่างได้ครอบครองสิ่งลึกล้ำอันเป็นตำนาน มันเป็นเสมือนมหาสมบัติของอาณาจักรที่ได้รับมาจากผู้ทรงสร้าง ทุกแว่นแคว้นแลทุกอนุทวีปต่างอยู่ร่มเย็นเป็นสุขสืบมา
 
หากทว่าความต้องการของสิ่งมีชีวิตไม่มีสิ้นสุด ยามบางเผ่าพันธุ์ต้องการครอบครองสิ่งสูงค่ามากกว่าหนึ่ง มันเคลื่อนไหวสืบหา ทำสงครามแย่งชิง พลิกผืนปฐพีทั้งมวลให้แหลกสลายเป็นเพลิงไฟ ความเงียบสงบลับหายจากดินแดนนี้นับจากนั้น วันเวลาล่วงเลย สิ่งล้ำค่าเปลี่ยนมือจากผู้ครอบครองหนึ่งสู่อีกผู้ที่ทรงอำนาจกว่า เป็นวงจรเฉกเช่นนี้ไม่มีจบสิ้น

ในที่สุดตำนานแห่งสงครามบรรพกาลอันยาวนานได้ถูกลบเลือน สิ่งสูงค่าทั้งหมดหายสาบสูญ ทุกเผ่าพันธุ์ต่างหมดสิ้นความหวัง ขุนเขาแลผืนป่ากลับคืนความสงบอีกครั้งนานนับพันปี จวบกระทั่งอาณาจักรโบราณแห่งหนึ่ง ผู้สืบเผ่าพันธุ์นามว่า มนุษย์ ได้ค้นพบสิ่งสูงค่าในตำนานอันเก่าแก่อีกครา เรื่องราวการค้นพบหนนี้กระจายสู่ทุกมหาอาณาจักรราวกับลมพายุจากทิศตะวันตก เมื่อนั้นบางสิ่งในจิตใจที่ไร้แสงสว่างก็ปรากฏชัดเจนยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา มันครอบงำทุกความคิดของทุกชีวิตได้ดีเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่เผ่าพันธุ์ผู้ค้นพบนั้นก็มิอาจละเว้น นับจากนี้มหาพิภพจะไม่มีวันหวนคืนสู่ดั่งเช่นบรรพกาลได้อีก
 
โชคร้ายเป็นอย่างยิ่ง ความโฉดชั่วซึ่งไม่เคยมีใครคาดคิดอุบัติตัวตนขึ้น เผ่าพันธุ์ผู้สาบสูญพร้อมสิ่งล้ำค่าได้สำแดงพลังอำนาจแห่งความชั่วร้ายอีกครั้ง พวกมันได้กลิ่นของสำคัญ สิ่งล้ำค่าที่มันปรารถนายิ่ง และสิ่งนี้จะทำให้เผ่าพันธุ์ปีศาจได้ครอบครองมหาพิภพอีกครั้ง ดั่งโคลงกลอนสืบทอดมาจากอดีตกาล
         
             ครอบครองเพียงหนึ่งสร้าง      แสนพล พ่ายเอย
      ทุกเผ่าพันธุ์สืบค้น                             ยิ่งแล้ว
      บุรุษใดได้ยล                                     ล้ำค่า เก้าแก้ว
      ‘ชายเหนือชาย’เพริศแพร้ว                อยู่ยั้งยืนยง

         
เพลิงมหาสงครามแผ่ขยายสู่ทุกทิศทางและจะไม่มีวันหยุดยั้ง จะไม่มีวันสิ้นสุด แม้แต่ผู้ทรงพลังอำนาจมากที่สุดเหนือมหาพิภพก็มิอาจขวางกั้น เมื่อความดีและความชั่วร้ายยังมีอยู่ จนกว่าจะมีฝ่ายใดสูญสลาย
   
หนึ่งศตวรรษนับแต่เผ่าพันธุ์มนุษย์ค้นพบสิ่งล้ำค่า

ควันไฟแห่งสงครามยังคงลอยปกคลุมคุกรุ่นเหนือผืนดินโล่งกว้าง บดบังแสงสว่างปัจจุบันสมัยจนมืดมิด การสู้รบยังดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง ใกล้จะถึงจุดจบอีกในมิช้า ลมบูรพาทิศพัดผ่านเหมือนหนึ่งพยายามยุติการนองเลือด
 
เสียงดาบเหล็กปะทะดาบเงินดังสะท้อนตามพงไพรและหุบเขาสูงใหญ่ มนุษย์ในชุดเกราะสีเงินและทองล้มตายจำนวนมาก เมื่อสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดภายใต้เสื้อเกราะเหล็ก ใบหน้าเหี้ยมโหด ตัวสูงใหญ่กว่ามนุษย์ถึงสองเท่าพุ่งเข้าสังหาร กระแทกนักรบมนุษย์ล้มลงและทำการปลิดชีพทันทียามโอกาสแห่งพญามัจจุราชมาเยือน มันคำรามกึกก้องเมื่อศพตรงหน้าไร้ศีรษะ สร้างความหวาดหวั่นแก่ทหารชุดเกราะเงินในแนวหลัง แผ่กระจายสู่ทุกทิศทางประหนึ่งก้อนหินหล่นลงกลางผืนน้ำนิ่ง คลื่นความกลัวแทรกซึมลงทุกรูขุมขนของมนุษย์ทุกผู้ในสมรภูมิรบ เสียงร้องอย่างฮึกเหิมดังมาอีกฟากหนึ่งของพงไพร กองกำลังสนับสนุนของนักรบมนุษย์เริ่มกรีธาพลตามยุทธวิธี แต่ฝ่ายศัตรูหาได้เกรงขามไม่

“ฆ่ามัน อย่าให้เหลือรอดแม้แต่คนเดียว ข้าอยากเห็นศพไร้วิญญาณของพวกมัน”

ถ้อยคำรามบัญชาของเสนาบดีปีศาจ กายาประกอบด้วยผิวกายสีม่วงคล้ำภายใต้ภูษาดำ สวมเกราะเหล็ก ใบหน้าแปลกประหลาด น่าสยดสยอง ประทับราชรถลากเทียมด้วยสิ่งมีชีวิตคล้ายเสือโคร่งลายขาวดำพาดกลอนสองตัวขนาดผิดต่างปกติ

“บุกเข้าไป หากมันผู้ใดเด็ดหัวมนุษย์ได้มากที่สุด ปีศาจตนนั้นจะได้รับสิ่งตอบแทนอย่างคาดไม่ถึง”

ราวกับคำบัญชาทรงอานุภาพสร้างเสริมพละกำลังเหิมหาญ กองทัพร่างมหึมาวิ่งเข้าห้ำหั่นต่อสู้อย่างไม่เกรงกลัว
 
เพียงชั่ววินาทีนั้นกองทัพปีศาจแถวหน้าสุดก็แหลกสลาย ลูกไฟสีเงินและทองลอยมาจากท้องฟ้าเบื้องบนที่คละคลุ้งเพราะควันไฟ ส่งผลให้แถวนักรบยักษ์ถอยร่นไม่เป็นกระบวน ตื่นตกใจเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เข่นฆ่ามนุษย์มานับร้อยนับพัน

บนท้องฟ้ามืดครึ้มผุดร่างเปล่งแสงสว่างจำนวนมากลอยอยู่เหนือกองทัพมนุษย์ เสกลูกไฟพุ่งตรงใส่เหล่าปีศาจจนแตกสลายและสูญสิ้นเป็นควันดำ ในอีกฟากฟ้าหนึ่งปรากฏเงาสีนิลลอยมา ก่อนที่จะเห็นได้ชัดว่าคือสิ่งใด ลูกไฟดำมอดไหม้ก็พุ่งเข้าใส่ร่างแสงสว่างเสมือนลูกธนูนับพัน แสงสว่างหลายร่างดับลง และบัดนี้การต่อสู้บนท้องฟ้าแลผืนดินก็อุบัติขึ้น ไม่มีสิ่งอื่นใดนอกจากความตายเท่านั้นที่ปรารถนาให้บังเกิด ณ เวลานี้

ความหนาวเย็นผสมกับเสียงกรีดร้องเจ็บปวดดังระงม ลูกไฟมอดไหม้และลูกไฟสีเงินสลับทองปลิวว่อนอยู่ในอากาศราวกับฝนดาวตก หากแต่สามารถปลิดชีพของศัตรูได้

“จัดกระบวนทัพใหม่ บัดเดี๋ยวนี้” บุรุษผู้นำทัพมนุษย์ร่างสูง กำยำ ในชุดเกราะสีทองส่งเสียงกร้าว ใบหน้าเรียบตึง จมูกคมสัน นัยน์ตาดำขลับกำลังมองดูกองทัพทหารตรงหน้าซึ่งต้านทานคลื่นพละกำลังอันมหาศาลของสัตว์ประหลาดร่างยักษ์อยู่อย่างยากลำบาก ทหารทั้งหมดจัดแถวอย่างเป็นระเบียบโดยเร็วตามคำบัญชา ผืนธงสีแดงปักลายสิงห์ทองคำอยู่ตรงกลางปลิวสะบัดเป็นแนวยาว แววตาของนายทัพบนหลังม้าสีขาวมองแถวทหารนับแสนคน

“ข้าไม่ปรารถนาแลเห็นแววตาอ่อนแอ หรือหวาดกลัวใดๆทั้งสิ้น พวกเจ้าทุกคนเป็นนักรบผู้เก่งกาจของบรรพกษัตราธิราชเจ้า มหาราชทุกพระองค์ผู้ยิ่งใหญ่และกล้าหาญ”

การสู้รบไกลออกไปอีกร้อยเส้นเริ่มใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แสงลูกไฟสาดส่องทุกทิศจากฟากฟ้า

“แลบัดนี้ จงทำให้พวกมันรู้ว่า จะไม่มีผืนดินบนมหาพิภพนี้ให้มันได้อยู่อีกต่อไป”

เสียงโห่ร้องฮึกเหิมและเสียงดาบกระทบโล่ดังกระหึ่ม แม่ทัพชุดเกราะสีทองควบม้ามุ่งตรงไปช่วยนักรบกองพลหน้า พร้อมด้วยกองทัพนับแสนที่ส่งเสียงปลุกกำลังใจตามมาด้านหลัง พื้นดินแทบจะสะเทือนเลื่อนลั่นดั่งแผ่นดินจะแตกแยกออก

ปีศาจบนรถลากส่งแววตาแดงก่ำ ส่องสว่างเจิดจ้าด้วยเพลิงแค้นเพ่งมองนักรบปีศาจซึ่งหะนี้ล่าถอยกลับมาจากแนวรบเดิมที่รุกรุดหน้าไปได้มากแล้ว มันพาตัวเองลอยขึ้นสู่เบื้องบนด้วยอำนาจมนตรา ผ้าสีดำปลิวต้องพยับลม รู้สึกชิงชังมนุษย์ตัวเล็กๆเหลือคณานับ มันจัดการเสกปราการล่องหนเบี่ยงเบนลูกไฟสีทองที่พุ่งมาหาตน แต่ความสนใจ ณ ขณะนี้มุ่งหมายยังบุรุษทรงม้าขาวเข้าทำการรบ

หมอกควันสีดำมีมากขึ้นเมื่อนักรบปีศาจผู้ภักดีล้มตายลง
 
ชัยชนะอยู่แค่เอื้อม แต่มิอาจบรรลุจุดมุ่งหมาย

ม้าสีขาวเร่งฝีเท้านำพานักรบผู้เก่งกาจเข้าปะทะดาบดูเปล่งประกาย เฉกเช่นเดียวกับร่างแสงสว่างบนท้องฟ้า ปีศาจตนนั้นรู้ว่าจะต้องทำสิ่งใด

“สหัสสะดา อนันตากานารี”

ปีศาจผิวกายม่วงคล้ำคำรามใส่ความมืดเหนือมหาบรรพต การต่อสู้รอบตัวดูรุนแรงยิ่งกว่าครั้งใดๆ แล้วทันใดฝูงนกดำมหึมาก็บินร่อนจากฟากฟ้าทะมึน พุ่งเข้ารุมเร้านักรบบนพื้นดินทันที พวกมันจิกตี โยนก้อนหินเข้าใส่กองทหาร สร้างความเสียหายและลดกำลังพลของกองทัพมนุษย์ลงอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันนั้นพลธนูต่างเหนี่ยวคันศรยิงอาวุธจัดการศัตรูผู้มาใหม่ นกยักษ์สีดำกรีดร้องเสียงบาดลึกจนแสบแก้วหู เมื่อฝูงลูกธนูพุ่งสู่นัยน์ตาสีแดงของมัน นำพาให้นกยักษ์สลายกลายเป็นกลุ่มควันดำ

ความวุ่นวายลดลงเมื่อแถวนักรบมนุษย์เร่งจัดขบวนแลแนวรบคืนดังเก่า นกยักษ์ยากที่จะบินลงต่ำได้อีก มันทำทีส่งเสียงขู่อยู่เบื้องบน ขณะเดียวกันร่างแสงสว่างก็เสกลูกไฟจำนวนมากเข้าสังหารนกปีศาจ พวกมันบินหนีอลหม่าน

ปีศาจผิวม่วงคล้ำกรีดคำเจ็บแค้น มันพิจารณามหาสิงขรยอดสูงแลลับล้นบนก้อนเมฆแล้วแสยะยิ้มน่าเกลียด ดวงตาโมโหโกรธาดั่งเปลวเพลิง ก่อนที่จะพาตนเองบินดิ่งลงสู่พื้นดิน ศัตรูแสงสว่างเข้าขัดขวางแต่แม่ทัพปีศาจก็ฉีกกระชากร่างข้าศึกจนแตกสลาย อุปสรรคเล็กน้อยพวกนี้ ช่างเถิด ละไว้จัดการในภายหลัง มันรู้ว่าจะต้องทำตามแผนการ และจะได้สิ่งใดตอบแทนเมื่อทำการสำเร็จ

นักรบบนม้าสีขาวยังคงกวัดแกว่งดาบเข้าสู้กับปีศาจร่างยักษ์ ความชุลมุนวุ่นวายเกิดขึ้นรอบตัว แต่นายทัพแห่งปีศาจก็เห็นว่าเป้าหมายนั้นอยู่ไหน ช่างน่าเวทนาเหลือเกินกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น เป็นไปอย่างที่คาดเดาเอาไว้ เผ่าพันธุ์มนุษย์จักต้องร่ำไห้ในการสูญเสียครั้งนี้ พวกมันจะต้องเสียศูนย์แลเศร้าโศก บางทีนี่อาจเป็นจุดจบของการต่อสู้ดิ้นรนที่พวกมันกำลังพยายามกระทำอยู่

“ถอยไปนังน่าโง่!” ปีศาจจอมทัพกรีดเสียงใส่เหล่าไพรี ลูกไฟสีทองหลายดวงพุ่งเข้าสกัด ทว่าสะท้อนกลับเพราะเกราะกำบังมนตรา

นักรบหลังม้าขาวดูเหมือนจะรู้สึกตัวแล้วว่ามีบางสิ่งประดังประเดมาทางตน  เขาบังคับม้าคู่ใจให้ตั้งหลัก ถือดาบยึดมั่นคง เงยหน้ามองท้องฟ้า เจ้าปีศาจพุ่งดิ่งลงมาพร้อมด้วยลูกไฟไหม้ในอุ้งมือ

ผู้นำกองทัพมนุษย์ปล่อยความคิดให้หลุดลอยชั่วขณะ เมื่อวินาทีแห่งความตายคืบคลาน เขาคิดถึงคนเพียงคนเดียว ใบหน้าของเด็กหนุ่มผู้หนึ่งปรากฏขึ้นในมโนแห่งความคิด รอยยิ้มพิมพ์ใจ ณ วันออกเดินทัพจะไม่มีวันเลือนหายจากใจของเขาชั่วนิจนิรันดร์
 
แม่ทัพปีศาจยิ้มอย่างผู้กำชัยชนะ และในระยะประชิดกระนี้ มันรู้ว่าเหยื่อจะไม่มีทางรอดเป็นอันขาด วิญญาณตรงหน้าจักตกเป็นทาสของมัน

พลังลมพายุอันมหาศาลพัดหอบกลิ่นอายมหาสมุทรผ่านรวดเร็วดุจสายฟ้าผ่า แสงสว่างเจิดจ้าแผดพุ่งทุกทิศทาง นำพาความสงบนิ่งมาสู่ชั่วพริบตา และในที่สุดสรรพสิ่งก็ดูเหมือนจะไร้ตัวตนตลอดกาล


โปรดติดตามตอนต่อไป

______________________________

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-07-2019 18:53:44 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทนำ (๒๔/๑๐/๕๘)
«ตอบ #2 เมื่อ25-10-2015 11:21:26 »

รอตอนต่อไปจ้า

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
บทที่ ๑



สัญญาณเตือนภัย



เสียงฟ้าร้องคำรามดังกึกก้องทั่วทั้งกรุงเทพพระมหานคร กลุ่มเมฆขนาดมหึมาแผ่ปกคลุมนครหลวงแห่งนี้พร้อมนำพาลมพายุกระโชกแรง ถาโถมกระหน่ำสาดซัดใส่ราวกับเป็นเพลิงพิโรธแห่งเทพวายุก็ไม่ปาน ในไม่ช้าหยาดสายฝนจึงพรมพร่ำร่วงหล่นสู่ผืนปฐพี

เปรี้ยง!

ประกายแสงวาบพร้อมเสียงฟ้าผ่าดังลั่นสั่นสะเทือนทุกอณูอากาศ ภัทรพจน์ เด็กหนุ่มวัย ๑๗ ปี ในชุดนักเรียนสะดุ้งตกใจตื่นจากการหลับใหล เขาค่อยๆปรับสายตาให้ชินกับบรรยากาศมืดสลัว อากาศภายในห้องสมุดรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือก แสงไฟเบื้องบนให้ความอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก เด็กหนุ่มบิดร่างกาย คลายกล้ามเนื้อหลังจากนอนผิดธรรมชาติมาร่วมชั่วโมง เพื่อนร่วมห้องคนอื่นๆกำลังขะมักเขม้นหาหนังสือตามชั้นวางเพื่อทำรายงานวิชาภาษาไทย ซึ่งมีกำหนดส่งสัปดาห์หน้า
 
บนโต๊ะเบื้องหน้าพจน์กลับว่างเปล่า ทันทีที่ครูประจำวิชาสั่งงานแล้วเดินออกจากห้องสมุด เขาก็หามุมสงบแล้วฟุบหลับทับแขนทั้งสองอย่างรวดเร็ว แม้นกลุ่มเพื่อนร่วมโต๊ะจะส่งเสียงดังมากมายแค่ไหน ก็หาได้ฉุดรั้งให้พจน์หลุดพ้นจากการเป็นทาสของความง่วงงุนได้ไม่ แต่บัดนี้กลุ่มชายล้วนจำนวน ๙ คนกลับเลือนหายจากอาณาบริเวณโดยรอบ นำพาความสงสัยมาสู่คนเพิ่งฟื้นตื่น เขาเหลียวมองทัศนียภาพภายนอกหน้าต่าง แลเห็นละอองฝนตกกระทบกระจกบานใสดูพร่างพราว นึกอยากสัมผัสความรู้สึกของหยดน้ำเหล่านั้นอย่างประหลาด

“อ้าว ตื่นแล้วนี่ หลับสบายเลยนะ เพื่อนเกลอ” ปาล์ม เปรมณัฐ ร้องทักพลางวางกองหนังสือสองสามเล่มลงบนโต๊ะ

“อือ มึนหัวนิดหน่อย แล้วหามาเผื่อกูด้วยหรือเปล่า” พจน์ขยับคอเอียงซ้ายขวา พลางอ้าปากหาว
 
“เผื่อสิครับ มึงเอาเล่มนี้ไป” ปาล์มเลื่อนหนังสือ อัญมณี : ประวัติความเป็นมาและมูลค่าทางเศรษฐกิจ มาให้คนขี้เซา

“แล้วคนอื่นๆอ่ะ” พจน์ลองพลิกอ่านหนังสือดูคร่าวๆ

“พวกมันบอกว่า มีธุระ เลยรีบกลับ แต่กูว่าต้องไม่ใช่ธุระที่มีสาระดีๆแน่” ปาล์มเงยหน้าจากสมุดจด ขยับปากกาหมุนควงเล่นๆก่อนจะเอ่ยปากถามต่อ “ว่าแต่มึงเถอะ วันนี้คงไม่ต้องซ้อมบอลแล้วสิ ฝนตกหนักขนาดนี้”

พจน์พยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย เด็กหนุ่มอยู่ในชมรมฟุตบอล เป็นนักกีฬาตัวจริงของโรงเรียน ซึ่งมีกำหนดซ้อมหลังเลิกเรียนเป็นประจำทุกวัน แต่ช่วงนี้ฝนตกเกือบทุกเย็น แทบไม่ได้ซ้อมเป็นจริงเป็นจังเท่าไหร่ ส่วนเพื่อนในกลุ่มคนอื่นต่างกระจายอยู่ตามชมรมกีฬาที่ตัวเองชอบ ยกเว้นไอ้หล่อตรงหน้านี่ที่อยู่ๆกลับกลายเป็นกรรมการสภานักเรียนเฉยเลย ทั้งที่ฝีเท้าการเล่นฟุตบอลทัดเทียมกับพจน์
 
ปาล์มขยับเก็บเครื่องเขียนและหนังสือใส่กระเป๋า พจน์จึงลุกยืน เอาเสื้อใส่กางเกงนักเรียน จัดการยืมหนังสือกับบรรณารักษ์ แล้วเดินนำออกจากห้องสมุด ไอ้ปาล์มขอเดินแยกไปทางตึกผู้อำนวยการ บอกว่ามีประชุมกรรมการนักเรียน เรื่องอะไรสักอย่างซึ่งพจน์ไม่ใคร่สนใจฟังเท่าไหร่ เขาโบกมือลา แล้วเดินมาตามทางเดิน ผ่านอาคารเรียนหลังใหญ่ เริ่มมีนักเรียนต่างระดับชั้น ต่างห้อง ออกมายืนรอเวลาใกล้เลิกเรียน

“พี่พจน์ค่ะ พอดีเพื่อนหนูฝากมาให้ค่ะ” สาวน้อยคนหนึ่งยื่นกล่องของขวัญห่อกระดาษสีชมพู พร้อมกับการ์ดใบเล็กสีครีมมาให้เมื่อเด็กหนุ่มเดินผ่านหน้าห้องของพวกเธอ เขาขมวดคิ้วแลมองนักเรียนหญิงมัธยมต้นที่ยืนจับกลุ่มรวมตัวกันอยู่ด้านหลัง พจน์สังเกตเห็นหนึ่งในนั้นใบหน้าขึ้นสีทันทีเมื่อบังเอิญสบตากัน เขายกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนเจ้าหล่อนจะรีบหลบอยู่ด้านหลังเพื่อน

“ยัยนั่นแต่งกลอนมาให้พี่ด้วยค่ะ แต่ไม่รู้จะไพเราะเท่าพี่พจน์หรือเปล่า ยังไงช่วยรับไว้ด้วยนะคะ”
 
พจน์เป็นคนประเภทไม่อยากให้ความหวังใครต่อใคร แต่ถ้าจะปฏิเสธอีกฝ่ายที่ยืนรอคำตอบอยู่ซึ่งๆหน้า เขาก็ทำเป็นใจร้ายไม่ลงคอ ไม่อยากเห็นใครเสียใจ จึงรับมาถือไว้ กล่าวขอบคุณ แล้วเดินเลี่ยงมาทางโรงอาหารซึ่งเป็นเส้นลัดออกสู่ประตูโรงเรียน

นิสัยปฏิเสธคนไม่เป็นทำให้เกิดกรณีเข้าใจผิดตามมาหลายต่อหลายครั้ง บางครั้งสาวเจ้าถึงกับคิดว่าพจน์มีใจให้และนึกเอาว่านั่นเป็นการยอมรับคำขอเป็นคู่ควง พจน์ต้องพยายามอธิบายว่า จริงๆแล้วเขาคิดกับพวกเธอเพียงแค่น้องสาว หรือ เพื่อน เท่านั้น แต่การจะบอกปัดไม่รับเลยก็ยากเกินกว่าจะทำได้ เพราะไม่อยากเห็นใบหน้าแสดงความเสียใจเหล่านั้น เด็กหนุ่มรู้ว่าคนที่ผิดหวังเพราะไม่สมหวังนั้นรู้สึกอย่างไร จะปฏิเสธเมื่อจำเป็นจริงๆและคนคนนั้นไร้วี่แววจะสร้างปัญหาให้ในอนาคตเท่านั้น ไอ้ปาล์มเคยเสนอให้พจน์หาแฟนเป็นตัวเป็นตนเพื่อตัดปัญหานี้ แต่ก็อย่างว่า มันยังไม่เจอคนที่ใช่นี่หว่า ว่าแต่เขาเถอะ ไอ้คุณเปรมณัฐก็ยังไม่มีเป็นหลักเป็นฐาน ทั้งที่ตัวมันเองเป็นคนรูปหล่อ นิสัยดี ชอบเทคแคร์คนอื่นอีกต่างหาก

พายุฝนยังคงโหมกระหน่ำมืดฟ้ามัวดิน อีกภายในไม่กี่นาทีนี้น้ำคงจะท่วมขังตามท้องถนนเป็นแน่ ภัทรพจน์เดินเลี่ยงฝ่ากลุ่มนักเรียนมัธยมต้นที่ยืนออกันอยู่หน้าโรงอาหารเข้ามาหลบฝนด้านใน โต๊ะรับประทานอาหารถูกจับจองจากกลุ่มนักเรียนจำนวนหนึ่ง ปรากฏโต๊ะว่างอยู่ใกล้กับโทรทัศน์ซึ่งกำลังเปิดช่องข่าวรายงานสถานการณ์ประจำวันอยู่
 
เสียงประกาศเปล่งออกมาจากช่องลำโพงแข่งกับเสียงเม็ดฝนกระทบกับพื้นคอนกรีตอย่างหนัก น้ำเสียงของผู้ประกาศฟังดูหนักแน่น เอาจริงเอาจัง และดังกังวาน ภาพหน้าจอแสดงให้เห็น ชายสูงวัยผู้หนึ่ง อายุประมาณสี่สิบหรือห้าสิบปี ร่างกายยังคงดูแข็งแรง เป็นผู้กล่าว ท่านยืนถือไมโครโฟนอยู่บนเวทีขนาดเล็ก มีหลังคาผ้าใบช่วยป้องกันพายุตามวิถีธรรมชาติเท่านั้น

เชื่อผมเถอะครับ ในอีกไม่ช้า โลกที่เราอาศัยอยู่นี้จะประสบกับมหาภัยพิบัติครั้งยิ่งใหญ่ น้ำจะท่วมโลกของเรา ทุกคนต้องหาเรือดำน้ำไว้ป้องกันชีวิตของตนเองและครอบครัว ซึ่งไม่มีวิธีไหนดีกว่านี้อีกแล้ว ถ้าเราไม่หาทางระงับเหตุนี้ เผ่าพันธุ์มนุษยชาติก็จะสูญสิ้นไป...

เป็นอีกครั้งที่ศาสตราจารย์วิชัย เทพวิมาน ออกมาเตือนเราถึงเหตุการณ์น้ำท่วมโลก เนื้อหาใจความสำคัญยังเหมือนเดิมและไม่มีอะไรใหม่เกินกว่าเก่า เห็นได้ว่าศาสตราจารย์มีชื่อผู้นี้ ซึ่งเราไม่แน่ใจในเจตนาอันแท้จริง ต้องการออกมาเตือนหรือสร้างความวุ่นวายในสังคมกันแน่ เพราะหลักฐานสำคัญอันยืนยันและอ้างอิงตามคำพูดของท่าน แทบไม่มีปรากฏสู่สายตาพ่อแม่พี่น้องประชาชนเลยแม้แต่น้อย กระผม ธนชัย อมรวิวัฒน์ รายงานสดจากท้องสนามหลวง” นักข่าวชายพนมมือกล่าวจบ

ภาพตัดกลับมายังรายการปกติของสถานีโทรทัศน์

“รายงานพยากรณ์อากาศประจำวัน พบว่า มีพายุขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้นกลางมหาสมุทรแปซิฟิกเมื่อเย็นวานนี้ กำลังเคลื่อนเข้าใกล้เขตประเทศฟิลิปปินส์ โดยคาดการณ์ว่าจะสร้างความเสียหายให้แก่...”

เสียงฟ้าร้องดังสนั่นอีกครั้งจนทำให้ภาพบนหน้าจอโทรทัศน์สั่นไหวชั่วครู่

“สมัยนี้น่ะหรือ น้ำจะท่วมโลก ตาศาสตราจารย์นั่นต้องสติไม่ดีแน่ๆ” นักเรียนหญิงกลุ่มหนึ่งเริ่มวิพากษ์วิจารณ์

“พูดโกหกหลอกลวงประชาชนเช่นนี้ เหตุใดตำรวจถึงไม่จับเข้าคุกเข้าตะรางบ้างนะ”
 
มือขวาของพจน์กำแน่นเข้าหากันจนเส้นเลือดปรากฏเด่นชัด ลุงภารโรงค่อยๆไล่ปิดทีวีแต่ละเครื่องก่อนกลับบ้าน เด็กหนุ่มยังคงยืนจ้องเครื่องสื่อสารสัญญาณภาพอยู่เช่นนั้น นักเรียนแต่ละคนเริ่มทยอยกลับเมื่อผู้ปกครองมารับ เด็กสาวกลุ่มหนึ่งหวีดร้องยินดีพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะ พจน์แทบไม่ได้ให้ความสนใจเหตุการณ์โดยรอบเมื่อส่วนหนึ่งในใจเขากำลังคิดตรึกตรองหาทางออกของปัญหาที่ถาโถมเข้าใส่ จนกระทั่งมีฝ่ามือแกร่งสัมผัสบริเวณไหล่ซ้าย เขาถึงได้คืนสติ

“พจน์ นายมายืนเหม่อใจลอย ปล่อยให้รุ่นน้องสาวๆฝันหวานอะไรอยู่ตรงนี้ คืนความสุขให้ประชาชนหรือไง” เสียงแหบทุ้มหลุดออกมาจากริมฝีปากของเด็กหนุ่มร่างสูง ผิวสีแทน หน้าตาคมเข้ม ซึ่งกำลังยิ้มล้อเลียนพจน์อยู่

“บ้าละ ไม่ใช่สักหน่อย” พจน์ส่ายหน้ายักคิ้วตอบกลับ “กำลังจะกลับบ้านพอดีน่ะ”

“อืม วันนี้คงงดซ้อมบอลสินะ เลยรีบกลับ ไปเล่นบาสกับพวกผมที่โรงยิมก่อนไหม กำลังหาคนอยู่พอดี” ไอ้พีท หรือ นายพีธนะ เป็นเพื่อนนักเรียนร่วมชั้น แต่อยู่คนละห้อง รู้จักกันเพราะเป็นนักกีฬาเหมือนกัน เคยแข่งฟุตบอล แข่งบาสเกตบอลด้วยกันในงานกีฬาโรงเรียนหลายต่อหลายครั้ง ผลัดกันแพ้ชนะ พจน์เคยแข่งประชันกลอนสดกับไอ้พีท ผลออกมาชนะแบบเฉียดฉิว นั่นทำให้พจน์ตระหนักว่าได้เจอคู่ปรับคนสำคัญเข้าให้แล้ว เจ้าหมอนี่ตัวสูงกว่าพจน์ประมาณ ๔-๕ เซนติเมตรเห็นจะได้ อาจเพราะมันเป็นนักบาสทีมโรงเรียน อีกทั้งยังรูปหล่อ รวย อัธยาศัยดี แต่ไม่เห็นมีแฟนเป็นตัวเป็นตนอีกเช่นกัน เรียกได้ว่า เรียนดี กีฬาเด่น วิชาการเป็นเลิศ เป็นขวัญใจสาวๆทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้องเลยทีเดียว

“ถ้าไม่เล่น นั่งดูพวกผมซ้อมก็ได้” พีธนะยิ้มหยอกอย่างอารมณ์ดี

“ไม่อ่ะ คงต้องรีบกลับ”

“มีเรื่องอะไรเหรอ”

“นิดหน่อยน่ะ” พจน์กระชับกระเป๋านักเรียน “เออ กูถามอะไรอย่างดิ มึงจะเชื่อคำพูดของคนที่มึงไม่เคยรู้จัก หรือเปล่าวะ”
พีธนะหุบรอยยิ้มทำหน้าครุ่นคิด คิ้วขมวดกันเล็กน้อยก่อนจะฉีกยิ้มกว้างอีกครั้ง

“คนเราจะเชื่อคำพูดของอีกคนหรือเปล่า ไม่ใช่อยู่ที่เค้าคนนั้นรู้จักกันมากน้อยแค่ไหนหรอก มันอยู่ที่ใจต่างหาก ถ้าเราคิดว่าใจของคนสองคนตรงกัน และสิ่งที่อยู่ในใจนั้นคือสิ่งเดียวกันละก็ ไม่จำเป็นเลยว่าจะรู้หรือไม่รู้จัก ขอแค่ความเชื่อใจกันเท่านั้น โอเค ไหมครับ”

“เหรอวะ” พจน์ถามกลับอย่างไม่แน่ใจ “มึงไม่คิดว่าเค้าอาจจะโกหกเรา หลอกลวงเรา และสุดท้ายก็ไม่มีความจริงอะไรในคำพูดนั้นน่ะนะ”

“ถ้าถึงท้ายสุด ผลมันออกมาว่า เค้าไม่ได้พูดความจริง แต่นายก็เชื่อใจไปแล้วเปล่าล่ะ ลองถามตัวเองดู ถ้านายไม่เชื่อ นายจะเสียใจหรือเปล่า หรือถ้านายเชื่อแล้วนายจะไม่เสียใจในภายหลัง” ไอ้พีทเอื้อมมือมาตบไหล่พจน์บางเบา

เสียงเตือนข้อความโปรแกรมแชทในโทรศัพท์มือถือดังขัดจังหวะความคิดของพจน์ เขาหยิบเครื่องมือสื่อสารออกมาเปิดอ่าน

DARA DAO: พี่พจน์อยู่ไหนคะ คุณพ่อมารอรับอยู่หน้าโรงเรียนแล้วค่ะ
PHATHARA PHOJ: เดี๋ยวพี่รีบตามไป
DARA DAO: โอเค ค่ะ

“กูต้องกลับแล้วว่ะ ขอบใจนะเว้ยที่ให้คำปรึกษา” พจน์เงยหน้าเล็กน้อยเมื่อคุยกับไอ้หมอนี่
 
“ยินดีเสมอครับ ว่าแต่... กว่าจะเดินไปถึงหน้าโรงเรียนก็เปียกฝนหมดดิ ให้เราไปส่งไหม” เด็กหนุ่มผิวแทนชูร่มกันฝนโบกผ่านหน้าพจน์

“คนอะไรพกร่มมาโรงเรียน” พจน์อดขำไม่ได้ ไอ้พีทแจกยิ้มเรี่ยราดแทนคำตอบ

โชคดีเหลือเกินที่ร่มคันนี้ใหญ่พอสำหรับผู้ชายตัวโตๆสองคน พจน์ไม่อยากขัดความตั้งใจของมัน แต่ก็คงแปลกพิลึกถ้าคนอื่นเผลอสังเกตเห็นภาพของพวกเขาอยู่ในร่มคันเดียวกัน ถือว่าเป็นค่าตอบแทนสำหรับคำปรึกษาแล้วกัน

ดารา น้องสาวคนเดียวของพจน์ยืนกางร่มอยู่ข้างรถยนต์สีดำคันหนึ่ง เธอได้ลักษณะรูปร่างหน้าตาดีมาจากแม่ ผมเปียยาวของเด็กสาวบ่งบอกถึงนิสัยเรียบร้อย เธออายุห่างจากพจน์ ๓ ปี ตอนนี้เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนเดียวกันกับพี่ชาย พจน์ยิ้มให้น้องสาวเป็นการทักทาย

“สวัสดีค่ะ พี่พีท” ดาวยกมือไหว้เพื่อนพี่ชายอย่างมีมารยาท “ขอบคุณที่มาส่งพี่ชายของดาวนะคะ”

“ยินดีเสมอครับ” พีธนะแจกยิ้มกว้าง


****************************************

แสงฟ้าผ่าสว่างวาบทั่วท้องนภาอาบไล้สิ่งก่อสร้างแลทุกสรรพชีวิตของนครหลวงแห่งนี้ ร่างใต้ผ้าคลุมสีดำร่างหนึ่งยืนนิ่งอยู่ริมขอบตึกสูงของชั้นดาดฟ้า มันจ้องมองบางอย่างเบื้องล่างด้วยท่าทีเยือกเย็น สายลมพัดกระหน่ำอีกคราพร้อมกับนำพาหยาดเม็ดฝนจำนวนมหาศาลตกสู่พื้นพิภพ แต่มิอาจสร้างความเปียกชื้นแก่ผ้าสีดำผืนนั้นได้ ราวกับมีอำนาจอื่นใดปกป้องมันจากฝีมือของธรรมชาติ ร่างนั้นขยับมือที่ไว้เล็บยาวดำสนิท ผิวหนังซีดขาวปรากฏเส้นเลือดดำไหลเวียนอยู่ บ่งชี้สัญญาณชีพ ใบหน้าตกอยู่ในเงามืดของผ้าคลุมศีรษะ มีดวงตาสีแดงทอประกายล้อกลุ่มเมฆดำทะมึนเท่านั้นที่เห็นเด่นชัดยิ่ง มันหาได้คุ้นชินกับร่างดวงจิตนี้ไม่ แต่นี่เป็นสิ่งจำเป็น หาควรจะนิ่งเฉยเฉกเช่นที่เคยทำมา มันอยากรู้ว่าแผนการนี้จะจบสิ้นลง ณ แห่งใด แลบัดนี้มันใกล้ค้นพบคำตอบของคำถามนั้นแล้ว ความรู้สึกโกรธาส่งผลให้เกิดพายุมหึมาแผ่ขยายปกคลุมราชธานีนี้ไว้อย่างมิอาจหยุดยั้งได้ มันสูดลมหายใจเพื่อระงับความพิโรธ ลมวูบใหญ่พัดใส่ตึกสูงสุดแห่งนี้อย่างรวดเร็ว เป้าหมายหนึ่งเดียวนั้นคือ พาหนะขับเคลื่อนคันหนึ่งเบื้องล่างที่อยู่บนเส้นทางเดินรถ ความสงสัยยังคงเกาะกุมหัวใจ มีพลังอำนาจบางอย่างแผ่ออกมาปกป้องคุ้มกันครอบครัวนี้ อำนาจที่ข้าโหยหาใยถึงมาอยู่ ณ พิภพแห่งนี้ได้ แล้วมันผู้ใดที่แสดงอำนาจทรงพลังเช่นนั้น คำถามเหล่านี้ยังมิได้รับการไขให้กระจ่าง นับแต่การติดต่อกันครานั้น มันก็เริ่มติดตามเฝ้าดู ร่างนี้มีข้อจำกัดเกินกว่าจะแสดงอำนาจทรงพลังได้ มันมิสามารถทำสิ่งอื่นใด นอกจากนิ่งมองจากที่สูงแห่งนี้ เข้าใจดีว่าจำต้องละทิ้งร่างอันแท้จริงไว้ ร่างนั้นต้องอยู่ที่นั่น แต่ด้วยพลังอำนาจที่ได้ครอบครองสิ่งสูงค่า ทำให้ดวงจิตของมันมาสู่พิภพนี้ได้ อำนาจที่ทรงพลังยิ่งกว่าอำนาจใดๆ

****************************************

ภาพการจราจรติดแน่นขนัดเป็นสิ่งที่คุ้นตาสำหรับพจน์และดาว เขาเหม่อมองออกไปยังท้องฟ้าดำมืด เฉกเช่นความคิดของเด็กหนุ่มในขณะนี้

“เอ่อ พ่อลืมถามเลย วันนี้เรียนเป็นยังไงบ้าง” ภพดนัย ชายหนุ่มวัยกลางคนอายุประมาณปลายสามสิบ ใบหน้าเคร่งขรึม ผมหยักศกตัดสั้น แววตาหลังกรอบแว่นหันมามองลูกชาย พลางคลี่ริมฝีปากออกบ่งบอกเป็นคนใจดี

“ก็ดีครับ” พจน์ตอบกลับแทบจะทันที

“ผลประกวดภาพวาดของดาวได้ที่ ๑ ค่ะคุณพ่อ” ดาราส่งเสียงดีใจมาจากเบาะหลัง ขณะที่ภพดนัยพยักหน้าอย่างยินดี ความเงียบเข้าปกคลุมภายในรถอีกครั้ง

“คุณพ่อครับ” พจน์เรียกด้วยเสียงแสดงอารมณ์โกรธ

“มีอะไรหรือ พจน์” ภพดนัยเหลียวหน้ามาถามชั่วครู่ก่อนจะกลับมามองเส้นทางเดินรถเช่นเดิม พจน์ถอนหายใจ นั่งนิ่งอยู่นานสองสามวินาที ตัดสินใจหลายเรื่อง

“ทำไมทุกคนถึงไม่เชื่อเรื่องที่คุณปู่พูดล่ะครับ” เป็นคำถามตรงประเด็นที่สุด ภพดนัยนิ่งเงียบเช่นเดียวกับดาว

“ผมเห็นข่าวน้ำท่วมโลก เห็นคุณปู่กำลังพูด ทำไมไม่มีใครเชื่อหรือสนใจท่านเลย” ดวงตาสีเข้มทั้งสองจ้องมองเบื้องหน้าอย่างแน่วแน่

“พจน์...” แววตาหลังแว่นของภพดนัยมีทีท่าเข้าใจ “มนุษย์เราทุกวันนี้อยู่ในโลกยุคปัจจุบันซึ่งเทคโนโลยีเจริญก้าวหน้าทันสมัยในทุกด้าน รวมถึงวิวัฒนาการมากมายด้านวิทยาศาสตร์ ทุกสิ่งต้องพิสูจน์ได้ในทางวิทยาศาสตร์ทั้งสิ้น แต่เรื่องที่คุณปู่พูด ไม่มีข้อมูล ไม่มีหลักฐาน หรือข้อเท็จจริงใดๆอันน่าเชื่อถือได้เลย พ่อไม่รู้ว่าท่านเอาเรื่องนี้มาจากไหน หลังจากเกิดอุบัติเหตุครั้งนั้น” หลักฐาน จริงทีเดียว เรื่องราวนี้ยังขาดหลักฐานยืนยัน พจน์รู้สึกปวดศีรษะ

“อุบัติเหตุอะไรหรือคะ” ดาวถามอย่างสงสัย ภพดนัยทำได้แค่ส่ายหน้าปฏิเสธ เด็กสาวขมวดคิ้วแต่ก็ไม่ถามเซ้าซี้อีก

“คุณพ่อก็ไม่เชื่อคำพูดของคุณปู่ใช่ไหมครับ” พจน์ไม่อยากได้ยินคำตอบจากพ่อของเขาเลย เขากลัวว่ามันจะทำให้เสียใจยิ่งกว่าเดิม

ไม่มีเสียงตอบกลับจากผู้เป็นบิดา พจน์หลับตาพยายามระงับอาการผิดหวัง จะมีใครบนโลกนี้บ้างที่เชื่อคำพูดคุณปู่ เขาไม่เคยถามพวกเพื่อนๆในกลุ่ม ถึงแม้ถามก็อาจได้คำตอบกลับมาเช่นนี้ ความเงียบ ไม่ตอบ อาจตีความว่าไม่เชื่อ จะไม่มีใครเลยจริงๆน่ะหรือ คนที่เชื่อใจ เชื่อในคำพูดของคนที่ไม่เคยรู้จักกันแม้แต่น้อย

ความรู้สึกของพจน์เหมือนถูกกระชากสู่เบื้องหน้าพร้อมมีลมพายุถาโถมเข้าใส่อย่างรวดเร็ว บัดเดี๋ยวนั้นเด็กหนุ่มรู้สึกเย็นวะวาบทั่วทั้งสรรพางค์กาย พื้นสัมผัสเท้าสั่นสะเทือนราวกับเกิดแผ่นดินไหว แต่เสียงโดยรอบกลับเงียบเชียบราวกับส่วนประสาทรับรู้การได้ยินถดถอยหายไป ชั่วขณะหนึ่งทุกสิ่งอย่างกลับคืนดังปกติ พจน์ค่อยๆลืมตาขึ้นพบกับแสงสว่างจ้าจนต้องยกแขนปกป้องดวงตา เมื่อหายพร่าเลือนแล้ว จึงได้รู้ว่าตนเองไม่ได้นั่งอยู่ในรถยนต์บนถนนใจกลางกรุงเทพมหานคร แต่มายืนอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง โดยรอบมีม้วนกระดาษจำนวนมากตั้งเรียงรายอยู่บนชั้นวางจำนวนหลายแถว สภาพห้องโดยรอบเป็นอาคารก่ออิฐถือปูนทาทับสีขาวปิดทึบทุกด้าน แสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวมาจากตะเกียงไฟบนโต๊ะไม้ตัวหนึ่งเท่านั้นที่ทำให้ตาของพจน์ไม่มืดบอด เขาสัมผัสถึงกลิ่นกระดาษ กลิ่นเทียนหอม และกลิ่นอ่อนๆของดอกไม้อยู่ภายในห้อง พจน์มาปรากฏตัวอยู่ ณ ที่แห่งนี้ได้อย่างไร ทันใดนั้นบานประตูห้องซึ่งอยู่ด้านซ้ายมือของพจน์ก็เปิดออก เด็กหนุ่มร่างสูง ผิวขาว แต่งตัวแปลกๆจึงก้าวเข้ามา ดวงตาของคนทั้งคู่สบกัน พจน์รู้สึกอุ่นวาบบริเวณอกด้านซ้าย
 
“เจ้าคือใคร แล้วเหตุใดถึงบุกรุกเข้ามาในห้องเก็บพระตำราหลวงเช่นนี้ได้”


TBC... โปรดติดตามตอนต่อไป

______________________________

อัญมณี : เพชรพลอยและแก้วแหวนมีค่า
สรรพางค์กาย : ร่างกายทั้งหมด


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-07-2019 18:56:26 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ boboman

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
จิ้ม
ติดตามจ้า

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
บทที่ ๒


แรกพบ



เจ้าคือใคร แล้วเหตุใดถึงบุกรุกเข้ามาในห้องเก็บพระตำราหลวงเช่นนี้ได้” เสียงทุ้มห้าวเอ่ยถามอย่างไม่ไว้วางใจ

เป็นคำถามที่พจน์พยายามถามตัวเองและอยากได้รับคำตอบเฉกเช่นเดียวกัน ยกเว้นประโยคแรกซึ่งสติสัมปะชัญญะอันสมบูรณ์ยังยืนยันในข้อนี้ได้ว่า ตนคือใคร วินาทีที่พจน์ตระหนักว่าบนโลกนี้คงไม่มีผู้ใดเชื่อใจ หรือเชื่อคำพูดของคนที่ไม่เคยรู้จักกันหลงเหลืออยู่อีกแล้ว บางสิ่งบางอย่างฉุดนำพาเขาให้มาปรากฏกายอยู่ ณ ห้องแห่งนี้อย่างหาต้นสายปลายเหตุไม่ได้ พจน์มั่นใจว่าตนเองยังนั่งอยู่บนรถยนต์ร่วมบิดาและน้องสาว แล้วภาพเหตุการณ์ตรงหน้านี้คือ ความฝัน หรือ ภาพลวงตาอย่างหนึ่งอย่างใด ก็ยากเกินกว่าสติปัญญาอันน้อยนิดจะสรุปความได้

“ข้าถามว่าเจ้าคือผู้ใด ลักษณะการแต่งกายคล้ายคลึงมหาดเล็กฝ่ายภูษา ฤา จะเป็นเจ้าพนักงานตามเสด็จในขบวนของพระองค์เจ้าหลานเธอฯ”

เด็กหนุ่มหน้าตาเกลี้ยงเกลา ส่วนสูงคะเนจากระดับสายตาของพจน์น่าจะไล่เลี่ยกัน แต่สิ่งผิดแผกแปลกตาคือ เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม เจ้านี่นุ่งผ้าผืนขาวคล้ายโจงกระเบนแต่ปล่อยชายลงข้างหนึ่ง ท่อนบนเผยแผงอกนูนแน่น หน้าท้องเป็นลอนสวย คลุมทับด้วยผ้าสีขาวคล้องไหล่ กล้ามแขนสวมกำไลทองรัดมัดกล้ามอีกชั้น สายสังวาลทองคำพาดไหล่ซ้าย เช่นเดียวกับกำไลข้อมือแลเท้าซึ่งส่องประกายสีนวลตา บ่งบอกสถานะเป็นคนร่ำรวยพอดู ทรงผมรวบเป็นมวยไว้กลางกระหม่อมครอบทับด้วยเครื่องประดับทองอีกชิ้นหนึ่ง กึ่งกลางหน้าผากมีลักษณะรูปวาดคล้ายหยดน้ำสีทอง รับกันดีกับคิ้วหนาเข้ม เสริมด้วยจมูกโด่ง ริมฝีปากเรียบตึงบ่งชี้อารมณ์โกรธา

ภัทรพจน์พยายามเปล่งเสียงโต้ตอบ แต่ระหว่างเส้นทางก่อนมาถึงห้องนี้ เขาคงได้ทำวิธีการพูดหล่นหายสาบสูญเสียแล้ว

“ฤา เจ้าเป็นขโมยขโจรลักลอบปะปนมากับขบวนเสด็จฯ จงเร่งกล่าวมาบัดเดี๋ยวนี้” สิ้นคำถามจึงชักดาบยาวประมาณเกือบเมตรออกจากฝักสีทองสลักลายนูนต่ำแลดูวิจิตรบรรจง ปลายแหลมของมันหยุดนิ่งอยู่ใต้คางมนของพจน์พอดิบพอดี

ด้วยอาการตื่นตกใจเพราะเหตุการณ์ล่อแหลมนี้เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน ส่งผลให้พจน์สะดุ้งกายก้าวถอยหลังรวดเร็วจนลืมคำนึงว่า ภายในห้องนี้มีโต๊ะไม้ตัวหนึ่งตั้งอยู่กลางห้องซึ่งบนนั้นมีตะเกียงไฟวางอยู่ ทันทีเมื่อสะโพกขวากระแทกอย่างแรงกับวัตถุเบื้องหลัง น้ำมันตะเกียงสำหรับหล่อเลี้ยงดวงไฟน้อยก็ล้มเอียงสาดซ่านกระเซ็นทั่วทุกทิศทาง เพลิงไฟซึ่งให้แสงสว่างลุกลามตามน้ำมันรวดเร็วดุจกัน

แสงสว่างวาวโรจน์แห่งอัคคีเพลิง สร้างความตื่นตระหนกให้แก่พจน์ยิ่งกว่าโดนดาบจ่ออยู่ใต้คางเสียอีก ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับเจ้าของดาบ เขารีบกระชากผ้าคล้องไหล่ออก แล้วฟาดสะบัดใส่ต้นเพลิงทันควัน แต่เพลิงอัคคีนั้นลุกลามเติมเชื้อพลังให้ตนเองมากทุกขณะจนผ้าผืนน้อยยากจะสยบมันลงได้ อีกทั้งโต๊ะไม้ยังกลายเป็นขุมพลังงานเสริมการทำลายล้างอย่างดียิ่ง

ในช่วงความโกลาหล พจน์สังเกตเห็นคนโทดินเผาใบหนึ่งตั้งอยู่มุมเสาข้างประตู ใกล้ๆกันมีจอกหินคล้ายมีไว้สำหรับดื่ม คาดว่าน่าจะมีน้ำอยู่ในนั้นเป็นแน่ จึงรีบพุ่งไปคว้ามาถือไว้แล้วสาดใส่กองเพลิงทันที
 
เนื่องด้วยปริมาณน้ำมากเหลือประมาณภายในภาชนะเก็บบรรจุจึงยุติเพลิงกาฬให้มอดดับลงได้ทันท่วงที ชั่วเวลาหนึ่งนั้นพจน์แทบมองไม่เห็นสิ่งใด ทุกสิ่งอย่างตกอยู่ในความมืดสลัว จนกระทั่งปรับสายตาให้เข้ากับแสงสว่างที่ส่องมาจากช่องลมเหนือหน้าบันจึงเริ่มเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น เมื่อโฟกัสสายตากลับฟื้นคืน จึงพบว่าไม่เฉพาะจุดไฟไหม้เท่านั้นที่โดนวารีกำราบ แต่ผู้กำลังดับไฟด้วยผ้าขาวก็เปียกปอนตั้งแต่ใบหน้าจรดปลายเท้าเช่นเดียวกัน สภาพเจ้านั่นจึงชุ่มโชกราวกับลูกหมาตกน้ำก็ไม่ปาน สายตาแค้นเคืองส่งกลับคืนมายังผู้ดับเพลิง นั่นยิ่งทำให้พจน์ขำจนท้องคัดท้องแข็ง

“ฮ่าๆ วะฮา ฮา ฮ่าๆ” พจน์ก้มกุมท้องหัวเราะตัวงอ จากรูปลักษณ์เดิมดั่งเทพบุตรจุติกลับกลายเป็นลูกหมาตกน้ำในบัดดล

“เจ้าขำขันอันใด เพลิงเกือบมอดไหม้พระคัมภีร์แลตำราหลวงอันมีค่าเสียสิ้นแล้ว ยังจะมีหน้ามาขันอีกกระนั้นรึ” ไอ้หนุ่มไร้ชื่อยังทำหน้าตึงยิ่งกว่าเดิม ดาบวาววับที่ตอนแรกเกือบได้ลิ้มรสเลือดของพจน์ถูกเก็บเข้าฝักดังเดิม แต่สายตาไม่ไว้ใจนั้นยังคงจับจ้องพจน์อยู่

“เปล่าๆ กู...เอ๊ย เราไม่หัวเราะแล้วก็ได้” พจน์เอามือปิดปากกลั้นเสียง อีกฝ่ายลูบน้ำออกจากเนื้อตัวและใบหน้า
 
“เจ้าก่อเหตุร้าย ประสงค์จะเผาทำลายสมบัติของมหาเทวาลัย แลทรัพย์สินของแผ่นดินเสียดังนี้ ข้าคงหาความผิดของเจ้าได้โดยไม่ต้องสอบสวนความอันใดให้ยากลำบากอีก” เด็กหนุ่มร่างเปียกปอนกล่าวชัดถ้อยคำ “จะใช่โจรรึไม่ ตุลาการเท่านั้นจะเป็นผู้พิพากษาตัดสินความ”

กล่าวจบแล้วจึงเร่งฝีเท้าตรงสู่ประตูห้องเก็บพระตำราหลวงหมายใจจะเรียกทหารดาบทองมาจับคนผู้นี้ใส่ตรวนแลขังคุก พจน์รับรู้ด้วยสัญชาตญาณว่าคำพูดโบราณนั้นฟังดูคล้ายจะจับเขาขึ้นศาล หรือจับขังอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่พจน์ไม่ได้ทำผิดอะไร เรื่องราวทั้งหมดเกิดจากอุบัติเหตุ เป็นเหตุสุดวิสัย ใครจะอยากให้ไฟไหม้ม้วนกระดาษพวกนี้กันละ หลังจากตัดสินใจอย่างรวดเร็วพจน์จึงพุ่งตัวเข้ากอดเอวเปลือยเปล่าของคนตรงหน้าเพื่อดึงรั้งยื้อยุดฉุดเอาไว้ คนถูกกอดรัดสะดุ้งพอควรเหลียวกลับมามองคนต้นเหตุด้วยสายตาดุดัน พยายามงัดแงะแกะมือเหนียวหนึบออกจากลำตัว

“ปล่อยข้าบัดเดี๋ยวนี้ หาไม่ ข้าจะร้องให้คนมาจับกุมเจ้าแทน” คนถูกรั้งตวาดลั่น นั่นทำให้พจน์รีบเลื่อนฝ่ามือขวาปิดปากคู่กรณีทันที เนื่องด้วยคนทั้งสองมีร่างกายใกล้เคียงเสมอกัน ถึงแม้นเจ้าคนพูดภาษาโบราณจะตัวหนากว่าพจน์เล็กน้อย แต่เพราะการเล่นฟุตบอล ฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอ ออกกำลังกายอยู่ทุกวันทำให้พละกำลังของพจน์ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าคนตัวโตแต่อย่างใด

เสียงคนถูกปิดปากฟังไม่ได้ศัพท์พร้อมกับอาการสะบัดขัดขืนต่างๆนานา พจน์อาศัยจังหวะนี้ใช้มือข้างกอดเอวเลื่อนปิดสลักกลอนประตู แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเคลื่อนไหวได้รวดเร็วเหนือคาด กระชากมือปิดปากออก แล้วเหวี่ยงตัวพจน์มาอยู่ด้านหน้าแทน ระหว่างนั้นพื้นห้องเต็มไปด้วยน้ำเจิ่งนอง ส่งผลให้จังหวะการขยับเท้าของเจ้านั่นเกิดผิดพลาดแล้วลื่นอย่างไม่น่าให้อภัย แทนที่คนโง่จะหงายหลังล้มลงคนเดียว มันหมุนตัวพจน์แล้วคว้าตัวลงไปนอนทับอีกชั้นหนึ่ง

ผิวแก้มเรียบเนียนข้างซ้ายของพจน์รับรู้ไอร้อนจากจมูกคมสันของคนเบื้องล่าง ส่งผลให้ผิวตรงจุดสัมผัสขึ้นสีแดงอย่างรวดเร็ว ถ้ายังโชคร้ายไม่พอ ไอ้ความรู้สึกเปียกๆนี่มัน... ถ้าจำไม่ผิด มันคือริมฝีปากของคนตรงหน้านี่นา
 
“เหวอ...เฮ้ย....” พจน์ร้องเสียงหลง ผุดลุกขึ้นนั่งตัวตรง รีบถูแก้มด้านซ้ายอย่างแรง ประดุจจะลบรอยตราบาปแห่งศักดิ์ศรีชีวิตลูกผู้ชายออกให้หมด
 
“มึงแกล้งกูเหรอ ไอ้...” พจน์กำหมัดแน่นหมายจะชกคนโดนทับ แต่ช้าเกินกว่าจะทำอันใดได้เมื่อมือของอีกฝ่ายรวบประกบไว้ได้ทันการณ์

“เป็นเหตุสุดวิสัย ข้าหาได้ตั้งใจล่วงเกินเจ้าไม่” เจ้าตัวปฏิเสธเสียงดังลั่น

“เออ ช่างแมร่ง!” พจน์สะบัดมือหลุดจากพันธนาการของฝ่ายตรงข้าม หัวใจเต้นแรงเหมือนจะระเบิดออกมา

“แล้วนี่เจ้าจะลุกออกจากตัวข้าได้รึยัง” พจน์โกรธจนลืมว่าตนเองนั่งทับอยู่บนเรือนกายของอีกคน น้ำซึ่งใช้สาดดับไฟเปียกปอนตามผิวเนื้อเป็นมันวาว ประกอบกับเครื่องแต่งกายเป็นผ้าขาว เมื่ออยู่ในระยะประชิดเช่นนี้ จึงทำให้เห็นไปถึงไหนต่อไหน

พจน์แทบจะกระโจนหนีทันควัน เจ้าหมอนั่นลุกขึ้นยืนช้าๆ เหตุการณ์ชุลมุนเมื่อครู่ดูเหมือนจะทำให้ผู้กล่าวโทษลืมเสียสนิทว่าจะต้องเร่งแจ้งทหารดาบทองมาจำตรวนผู้ต้องสงสัย
 
เมื่อทุกอย่างกลับคืนสู่ปกติแล้ว พจน์จึงเหลียวกลับไปเผชิญหน้ากับศัตรูคู่อาฆาตหมาดๆที่บัดนี้เอาแต่ยืนจ้องมองอย่างไม่วางตาเช่นกัน
 
“จะทำอะไรก็ตามใจ หรือจะใส่กุญแจมือส่งทหารนั่นก็แล้วแต่ จะตั้งข้อหาวางเพลิงก็ได้ เอาสิ” พจน์ตะโกนใส่ ในใจพยายามคิดหาหนทางกลับไปพบพ่อและดาวให้ได้

“ข้าขอผ้าคล้องไหล่ของเจ้า จะได้ ฤา ไม่” เจ้าหน้าขาวยื่นมือมาขอ สร้างความฉงนฉงายอย่างยิ่ง เด็กหนุ่มรีบก้มมองตัวเอง เพิ่งสังเกตเห็นการแต่งตัวว่าไม่ได้ผิดแผกแตกต่างจากคนตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย ทั้งเครื่องนุ่งห่มแลเครื่องประดับ รวมถึงทรงผม ยกเว้นเครื่องประดับของพจน์ทำจากเงินประดับอัญมณีหลากสีเท่านั้น แล้วเขาเอาเวลาช่วงไหนเปลี่ยนจากชุดนักเรียนเป็นชุดสมัยนิยมของที่นี่กันละเนี่ย

“เอาไปดิ” พจน์ดึงผ้าคล้องไหล่สีขาวออกให้คนตรงหน้าอย่างไม่อิดออด เจ้านั่นรับผ้ามาเช็ดใบหน้า ซับหยดน้ำบริเวณอก ไหล่ และกล้ามท้อง จนพจน์เผลอมองการเคลื่อนไหวนั้นอย่างลืมตัว รู้สึกอิจฉาคนหุ่นดี ถึงตนเองจะเล่นกีฬาแต่ก็มีกล้ามเพียงเล็กน้อย ไม่คมชัดเท่าเจ้านี่เลยแม้แต่น้อย อยากจะถามเคล็ดลับ ก็พอดีมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะ

เจ้าหนุ่มคิ้วเข้มเหล่มองพจน์ด้วยสายตาแปลกๆ สงสัยคงไม่ต้องเปลืองแรงเรียกทหารให้มาจับแล้วสินะ

“มาตะ” เสียงรัวเคาะประตูดังถี่ขึ้น “มาตะ เจ้าอยู่ในนั้นรึไม่” เสียงทุ้มก้องร้องถาม

คนชื่อเสียงเรียงนามว่า มาตะ หันมาสบตาพจน์อีกครา แล้วแทบจะไม่ทันตั้งตัว พจน์ถูกแรงกระชากแขนให้เดินตามคนตัวหนากว่ามุ่งสู่ซอกชั้นเก็บม้วนกระดาษที่อยู่ลึกด้านในสุดทางซ้าย มาตะดันตัวพจน์ชิดติดผนังมุมห้อง
 
“เจ้าอย่าได้ส่งเสียง หรือเอ่ยคำพูดใดเป็นอันขาด หาไม่แล้วข้ามิอาจรับรองได้ว่าจะไม่มีอันตรายใดๆมาสู่เจ้า” ยื่นหน้าเข้ามาใกล้พร้อมกำชับด้วยเสียงหนักแน่น

“อ้าว...”

“ชู่ว์...” มาตะยกนิ้วแตะริมฝีปากตนเอง ย้ำเตือนให้เงียบเสียง ก่อนเจ้าตัวจะกลับไปยืนนิ่งฟังเสียงรัวเคาะประตูอยู่ขณะจิต แล้วถอดสลักกลอนออก ปรากฏเด็กหนุ่มสองคนยืนอยู่ภายนอก ด้านหลังมีต้นลีลาวดีจำนวนหนึ่งตั้งตระง่านอยู่ พจน์จำดอกสีขาวของมันได้ ถัดจากนั้นมีอาคารก่ออิฐถือปูนสีขาวมุงกระเบื้องสีน้ำตาลปรากฏอยู่เป็นฉากหลัง คนมาใหม่ร่างอวบอ้วนเล็กน้อยร้องทักอย่างยินดีเมื่อพบเพื่อนเกลอ

“พวกเราตามหาเจ้าเสียทั่ว ข้ากับโกสินทร์ มีข่าวเร่งด่วนจะแจ้งให้ทราบ” เขาพยักหน้าให้เพื่อนร่วมทางอีกคนนามว่า โกสินทร์ ผู้มีร่างกายใหญ่โต กำยำล่ำสัน ความสูงระดับเดียวกันกับมาตะ รวมถึงลักษณะการแต่งตัวด้วย ทำให้พจน์ปักใจเชื่อได้ว่านี่คงเป็นแฟชั่นสุดนิยม

“เวฬุ คาดการณ์ถูกต้อง เจ้าจักต้องอยู่ที่นี่เป็นแน่” คนชื่อเวฬุยิ้มแก้มขยายเมื่อได้รับคำชมเชย
 
“พระอาจารย์โกสินธพถามหาเจ้า แลจะปรึกษาหารือกำหนดส่งตัวเจ้าเพื่อสืบค้นตำราหลวงภายในหอเทวาลัย ณ เมืองลูกหลวงทั้งสี่” โกสินทร์ร่างยักษ์อธิบายแถลงไข

อีกด้านหนึ่งพจน์รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องเกรงจะถูกจับตัวได้ ส่วนเจ้ามาตะก็ทำทีประหนึ่งว่าอยู่คนเดียวในห้อง คนทั้งสามพากันเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงจุดเกิดเหตุชุลมุน

“พระองค์เจ้าหลานเธอฯจะทรงบำเพ็ญสมาธิเพื่อบูชาอัปสรเทพหนึ่งข้ามคืน เห็นทีคงมิได้กลับพระราชวังหลวงเป็นแน่ในราตรีนี้” เวฬุชี้แจง สายตาตวัดมองพื้นห้องแลโต๊ะไม้ดำไหม้ แล้วยกยิ้มอย่างนึกชอบใจ

“ดีนัก ข้าอยากใช้เวลาค้นหาตำรับตำราอยู่พอดี แล้วเวรยามอารักขาพระองค์ฯได้จัดเตรียมแล้ว ฤา โกสินทร์” มาตะแจ้งความจำนง แลซักถามถึงภาระหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย

“เสร็จสิ้นแล้ว เจ้ากับข้าแลเวฬุ เข้าอารักขาพระองค์ เวลายามสอง ส่วนมหาดเล็กรักษาพระองค์จำนวนหนึ่งถูกจัดเวรเฝ้าบริเวณเชิงบันไดเขาสุวรรณบรรพต อีกส่วนหนึ่งคือหน้าประตูมหาเทวาลัย และอีกส่วนคือปราสาทอัปสรเทพซึ่งนั่นคือที่ของเรา”

“ก่อนพวกเราจะมา เจ้าทำอะไรอยู่ในห้องมืดๆกระนั้นรึ มาตะ” เวฬุถามต่อพร้อมรอยยิ้มพริ้มเพรา มาตะนิ่งเงียบอย่างไร้คำตอบ “ข้าสังเกตเห็นน้ำหกเลอะเทอะ เปรอะเปื้อนทั้งตัวเจ้าแลโต๊ะไม้ตัวนั้น ซึ่งมีรอยไฟไหม้ดำเกรียม พิจารณจากตะเกียงไฟมีลักษณะล้มเอียงเสมือนหนึ่งล้มลงแลคงสร้างกองอัคคีขึ้นมา”

“เป็นความสะเพร่าของข้าเอง ไม่ระมัดระวังให้จงหนัก จนเกือบเผาทำลายตำราหลวงเสียแล้ว” มาตะยอมรับโดยดุษณี

โกสินทร์ก้มลงเก็บผ้าสีขาวคล้องไหล่เปียกโชกด้วยน้ำกองอยู่บนพื้น มีรอยไหม้กระจายทั่วทั้งผืน

“ผ้าคล้องนี้ กับที่เจ้ายึดถืออยู่ อันไหนคือของเจ้ากันแน่ แล้วเหตุใดเจ้าถึงมีผ้าคล้องไหล่สองผืนอยู่ในครอบครอง” รอยยิ้มของโกสินทร์ปรากฏอยู่ ณ มุมปาก มาตะมองดูหลักฐานสองชิ้นอย่างจนปัญญาจะแก้ต่าง

“ถ้าให้ข้าเดา ผ้าผืนแท้จริง เจ้าคงรีบใช้ดับไฟในห้วงเพลาจวนตัว เพราะมีรอยไหม้เห็นชัดเจน แต่อีกผืนในมือมีลักษณะสมบูรณ์ไร้มลทิน เห็นจะหยิบยืมจากผู้อื่นเพื่อใช้ซับน้ำบนร่างตน เพื่อนเอ๋ย บอกพวกข้าสองคนมาเถิด เจ้าซ่อนใครไว้จากเราเช่นนั้นรึ”
 
ความรู้สึกของพจน์ขณะนี้ประหนึ่งเล่นซ่อนหาแล้วถูกจับได้อย่างไรอย่างนั้น คงไม่ต้องหลบหลีกอีกแล้ว แต่ใจหนึ่งเกรงว่าสองคนที่เพิ่งมาสมทบจะจับเขาขังคุกอย่างเช่นเจ้ามาตะเคยคิดจะทำมาก่อน

“หามีผู้ใดไม่ ข้าจะทำเช่นนั้นด้วยเหตุไรเล่า” มาตะยังคงยืนยันคำเดิมเสียงแข็ง “จงเร่งนำข้าเข้าเฝ้าพระอาจารย์เถิด ข้านี้ปริวิตกกังวลนัก”

“ประพฤติของเจ้าแลดูผิดแผกนัก ราวกับมีลับลมคมในซ่อนอยู่ เราทั้งสามต่างเติบโตมาด้วยกัน ไฉนเลยจะดูมิออกว่า เมื่อใครคนหนึ่งคนใดมีความลับซ่อนเร้นต่ออีกสองแล้วไซร้ จะหาได้รับรู้เลยไม่นั้น เป็นไม่มี” เวฬุร่างอ้วนเอ่ยอ้าง “จะให้เราทั้งสองเป็นผู้พามา หรือเจ้านำเชิญ จะมิดีกว่ารึ”

เพื่อนเกลอทั้งสองของมาตะส่งเสียงหัวเราะห้าว เมื่อจับกลได้ว่า เพื่อนของตนแอบซ่อนใครให้รอดพ้นสายตาพวกตนอยู่ จะด้วยสาเหตุใดก็ตามแต่ อย่างน้อยควรจะพามาแนะนำให้รู้จักคุ้นเคย มาตะแสดงท่าทีเห็นได้ชัดว่าร้อนใจแลร้อนตัว แต่ยังคงยืนนิ่งประหนึ่งยืนยันคำพูดของตน แม้นในใจจะคิดเกรงถึงคนที่ตนซ่อนไว้จะเดือดร้อนเพราะเจ้าเพื่อนสองคนนี้

“เอาล่ะ เช่นนั้น ข้าทั้งสองขอตรวจค้นสักประเดี๋ยวเถิด เจ้าคงมิว่ากระมัง” โกสินทร์ยกยิ้มอย่างยั่วล้อ ขยับตาให้เวฬุเดินไปอีกทางอย่างรู้ทัน

“มีใครซ่อนอยู่รึไม่ จงเร่งออกมาเถิด ความผิดอันบุกรุกเข้าหอพระตำราหลวงแลวางเพลิงไฟนั้นหนักหนานัก” ไอ้คนร่างกำยำย้ำความผิดของพจน์ราวกับตาเห็น มือทั้งสองข้างเริ่มเย็นเยียบเฉกเช่นน้ำแข็ง “โทษทัณฑ์หนักจักได้คลายเป็นเบา”

เจ้าคนชื่อโกสินทร์กำลังเดินมาถึงที่ซ่อนตัว ซ้ำป้องปากตะโกนย้ำอยู่อย่างนั้น จนพจน์ไม่แน่ใจว่าถ้าเกิดถูกจับได้ ปัญหาเดือดเนื้อร้อนใจจะตกแก่ไอ้มาตะหรือเปล่า เพราะอย่างน้อยเจ้านั่นก็พยายามไม่เปิดโปงความผิดของเขา ดูเป็นคนดีอยู่ไม่น้อย พจน์หลับตาราวกับจะพรางร่างของตนจากสายตาของผู้สืบหา ความรู้สึกเย็นยะเยือกค่อยๆพัดผ่านมาอย่างเชื่องช้า พจน์สะดุ้งลืมตาขนลุกตั้งชัน กลุ่มหมอกสีขาวจำนวนหนึ่งปรากฏอยู่รอบบริเวณ ในที่สุดจึงเริ่มบดบังชั้นเก็บม้วนกระดาษและคนแปลกหน้าทั้งสามออกจากสายตา ภัทรพจน์เหลียวซ้ายแลขวา เมื่อสรรพเสียงทั้งหมดหายสิ้นในบัดดล

ภาพซุ้มประตูทรงไทยจารึกข้อความ ‘เรือนเทพวิมาน’ พุ่งเข้าสู่สายตาพจน์ผ่านกระจกหน้าของรถยนต์ที่กำลังเคลื่อนผ่าน บัดนี้เด็กหนุ่มกลับคืนสู่ยานพาหนะโดยมีบิดาเป็นผู้ขับ เสียงน้องสาวซึ่งกำลังคุยฟุ้งถึงเหตุผลที่ภาพวาดของเธอได้รางวัลชนะเลิศปะทะเข้าโสตประสาทการได้ยินอีกครั้ง

“ตื่นแล้วหรือ พจน์ ถึงบ้านพอดีเลย” ภพดนัยส่งยิ้มกว้างกว่าปกติให้ลูกชาย พจน์ตั้งสติกระพริบตาให้เชื่อในสิ่งที่เห็น

“ผมหลับ...หรือครับ”

“ตั้งแต่บนทางด่วนแล้วค่ะ ตอนแรกดาวคุยอยู่คนเดียวตั้งนาน” ดารายื่นหน้ามามองพี่ชายจากด้านหลัง

“พี่คิดว่า พี่...” พจน์กำลังลำดับความคิด

“ฝันถึงใครหรือคะ” ดาวตั้งข้อสังเกต

รถยนต์เคลื่อนผ่านหน้าเรือนไทยหลังงาม แล่นเข้าจอดในโรงรถ สายฝนเริ่มขาดช่วง แต่ท้องฟ้ายังคงดำมืดด้วยกลุ่มเมฆสีเทา แสงแดดยามเย็นลอดผ่านมาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ตลอดระยะเวลาเป็นเพราะพจน์เผลอหลับ และทุกสิ่งอย่างเป็นภาพของความฝันอย่างนั้นหรือ มันเหมือนจริงมากจนเชื่อได้ว่าปรากฏตัวอยู่ ณ ห้องเก็บตำราแห่งนั้น เขาสัมผัสจับต้องร่างมาตะได้เสมือนมีตัวตนจริง เลือดเนื้อ ความรู้สึก คำพูดโต้ตอบ เพลิงไฟ ทุกสิ่งล้วนเป็นจินตนาการทั้งสิ้นหรือ แล้วอาการวูบโหวงที่เขารู้สึกตอนนี้ล่ะคืออะไร เมื่อคิดว่าจะไม่ได้เจอ เจ้านั่นอีก ก็บังเกิดความรู้สึกเสียดายไม่น้อย เขายังไม่ทันได้ขอบคุณเจ้านั่นที่พยายามช่วยเหลือพจน์ ยังไม่ได้ทันบอกชื่อสกุล และที่สำคัญยังไม่ได้เอ่ยคำลาเลยแม้แต่น้อย


TBC... โปรดติดตามตอนต่อไป   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-07-2019 18:58:51 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ babara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
    • ผงซักฟอกสำหรับเครื่องฝาหน้า
ชอบๆ เขียนมาอีกนะ

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
บทที่ ๓


เด็กใหม่



เรือนเทพวิมาน เป็นสถาปัตยกรรมเรือนไม้ทรงไทยขนาดใหญ่ ลักษณะลายไม้และสีสันแสดงอายุสืบต่อมาเนิ่นนาน มีหอมุขตั้งอยู่กึ่งกลาง รายล้อมด้วยหมู่เรือนน้อยใหญ่ ทั่วอาณาบริเวณร่มรื่นด้วยไม้ยืนต้นขนาดหลายคนโอบ รวมถึงพรรณไม้ประดับหลากพันธุ์นานาชนิด เครื่องเรือนประดับตกแต่งด้วยของใช้เก่าแก่อายุกว่าหลายร้อยปี ด้วยเป็นสมบัติตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นของเชื้อสายที่ถือได้ว่าเก่าแก่ตระกูลหนึ่งเลยทีเดียว

ภัทรพจน์ก้าวขึ้นบันไดหน้าเรือนด้วยท่าทีล่องลอย ก่อนความฝันจะสิ้นสุด พจน์รู้แล้วว่ายังมีคนที่เชื่อใจ เชื่อคำพูดของคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนอย่างเจ้ามาตะพยายามเชื่อ แต่ท้ายสุดคนที่ใช่กลับกลายเป็นบุคคลจินตนาการในฝันเท่านั้น

บรรยากาศเปียกชื้นพร่างพรมทั่วทุกอณูอากาศบนเรือนไทย ลมหนาวโบกพัดสะบัดไหว ยิ่งตอกย้ำอาการใจหายของพจน์ได้เป็นอย่างดี

“คุณปู่ กลับมาแล้วนี่คะ” ดาราส่งเสียงร้องบอก รีบรุดตรงเข้าหาชายสูงอายุ ร่างหนา ทรงผมเรียบแซมด้วยสีขาวบ้างประปราย คนเดียวกันกับที่พจน์เห็นผ่านโทรทัศน์กำลังประกาศเตือนสถานการณ์น้ำท่วมโลก ท่านนั่งพำนักอยู่บนยกพื้น ณ หอมุขกลาง ด้านข้างนั้นเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี อายุและวัยประมาณภพดนัยกำลังจดคำสั่งลงในสมุดคู่กาย
 
“คุณพ่อกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ” ภพดนัยแสดงสีหน้าเป็นห่วง

“สักพักเห็นจะได้”

ศาสตราจารย์วิชัยตอบด้วยเสียงกังวาน พยักหน้ารับไหว้หลานทั้งสองด้วยสีหน้านิ่งขรึม ถึงอายุอานามจะดำเนินมาถึงใกล้วัยเกษียณ แต่ก็มิอาจบดบังเค้าโครงใบหน้าหล่อเหลาในสมัยเมื่อครั้งยังวัยหนุ่มได้

“ถ้าอย่างนั้น ผมขอลากลับก่อนนะครับ อาจารย์” ชายหนุ่มตาชั้นเดียวเก็บสมุดใส่กระเป๋าสะพายข้างพร้อมยกมือไหว้คนมีอายุ

“รอทานอาหารเย็นด้วยกันก่อนสิ พ่อชาญณรงค์” ศาสตราจารย์วิชัยเชื้อเชิญ

“คุณชาญณรงค์ติดธุระหรือครับ” ภพดนัยซักถาม

“ผมไม่ได้มีธุระเร่งด่วนหรอกครับ” ชายหนุ่มเจ้าของชื่อ ชาญณรงค์ ก้มหน้าตอบพร้อมกับปรากฏแถบสีแดงขึ้นข้างผิวแก้มทั้งสอง ลุกลามมาถึงใบหูและลำคออย่างรวดเร็ว

“ถ้าไม่เป็นการรบกวน อยู่ร่วมโต๊ะกันก่อนเถอะครับ เดี๋ยวผมจะลงไปดูที่โรงครัวว่าพร้อมแล้วหรือยัง” ภพดนัยย้ำคำอย่างรวบรัดด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหายลงไปทางบันไดหลังเรือน

“คุณปู่คะ วันนี้ภาพประกวดของดาวได้รางวัลชนะเลิศด้วยค่ะ” ดาวแจ้งข่าว ศาสตราจารย์วิชัยเผลอยิ้มเพียงครู่

“เก่ง เก่งมาก”

“แล้ว แกล่ะ ตาพจน์ เป็นยังไงบ้าง” ท่านส่งคำถามให้หลานชาย พจน์สบดวงตาหลังแว่นแล้วก้มหน้าเงียบชั่วขณะหนึ่ง

“ก็ดีครับ ช่วงนี้ฝนตกบ่อยเลยไม่ค่อยได้ฝึกซ้อมฟุตบอล ส่วนชมรมคนเจ้าบทเจ้ากลอนก็กำลังเตรียมตัวแข่งขันในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้าครับ” ภัทรพจน์รายงาน
 
ศาสตราจารย์วิชัยพยักหน้ารับรู้

“คุณชาญณรงค์คะ นี่ไง ดาวถ่ายภาพประกวดเก็บไว้ด้วย ส่วนต้นฉบับทางโรงเรียนขอเก็บไว้ค่ะ” เด็กสาวยื่นหน้าจอโทรศัพท์ให้ชาญณรงค์ดู
 
พจน์มองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยท่าทีนิ่งเงียบ ริมฝีปากปิดสนิท นับตั้งแต่ ‘ผู้ช่วย’ คนนี้ของคุณปู่ก้าวเข้ามาในครอบครัวเทพวิมาน เขาแทบจะนับครั้งการสนทนาพูดคุยกับชาญณรงค์ได้ด้วยมือข้างเดียว ไม่เหมือนดาวที่ดูจะสนิทสนมกลมเกลียวกับคนอื่นได้อย่างรวดเร็วกว่าพี่ชาย

“อาหารเย็นพร้อมแล้วค่ะ” ป้าแจ่ม หญิงมีอายุยิ้มกว้างวางสำรับลงบนโต๊ะ เธอเป็นคนจิตใจดี หน้าตาดูยิ้มแย้มอยู่เสมอ ใบหน้าเรียวมีเค้าของความสวยในอดีต ด้านหลังนั้นมีหญิงสาวผิวเข้มไว้ผมหน้าม้า นามว่า ส้ม ช่วยถือจาน โถใส่ข้าว แก้ว และเหยือกน้ำมาส่งให้ ภพดนัยช่วยถือสำรับกับข้าวมาอีกถาดหนึ่ง ดาวยื่นมือเข้าช่วยคุณพ่อพลางจัดแจงวางภาชนะเครื่องเบญจรงค์สำหรับใส่อาหารเรียงบนโต๊ะไม้ลายฉลุ ซึ่งประกอบด้วย แกงจืดเต้าหู้ ผัดผักรวมมิตร แกงเขียวหวานไก่ ผัดเปรี้ยวหวาน ต้มยำกุ้ง และไข่ลูกเขย รวมถึงของหวานประเภททองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง และเม็ดขนุน เมื่อจัดวางแล้วเสร็จคู่ยายหลานจึงขอลากลับคืนยังโรงครัว

ทุกคนเริ่มรับประทานอย่างเชื่องช้า เมื่อเวลาผ่านล่วงสักครู่หนึ่ง พจน์ก็รู้สึกอิ่มอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่เพราะการปรุงรสอาหารของป้าแจ่มฝีมือตกแต่อย่างใด เป็นเหตุมาจากพจน์ไม่รู้สึกอยากอาหารมากนัก

แทบไม่มีคำสนทนาใดๆเกิดขึ้นระหว่างรับประทานอาหารเลย ระหว่างนั้นเองเสียงโทรศัพท์ภายในห้องของศาสตราจารย์วิชัยจึงดังขึ้น ชายสูงวัยพยักหน้าให้ชาญณรงค์เป็นผู้ดำเนินการ เพียงชั่วครู่ก็กลับมารายงานว่า

“ทางสถาบันฯมีนัดหมายประชุมเร่งด่วนในวันพรุ่งนี้ครับ”

“ไม่ผิดจากที่คาดการณ์ไว้นัก” ศาสตราจารย์ส่ายหน้า ดูเหมือนทุกคนจะพร้อมใจกันอิ่ม

“คงไม่ใช่เหตุเพราะคุณพ่อทำการประกาศเตือนในวันนี้ใช่ไหมครับ” ภพดนัยคาดคะเน

“ถ้าไม่ใช่ ก็เป็นเรื่องน่าสงสัยทีเดียวล่ะ” ศาสตราจารย์วิชัยนิ่งคิด แววกังวลปรากฏอยู่บนใบหน้าภพดนัยทันที “แล้วนี่แกไม่ต้องไปอ่านข่าวหรอกหรือ คืนนี้น่ะ”

“คืนนี้ไม่ใช่คิวอ่านข่าวของคุณพ่อค่ะ คุณปู่ ดาวจำได้” ดาราตอบเสียงรื่นเริง

ศาสตราจารย์ทำหน้ารับรู้ ตอนแรกพจน์คิดจะขอตัวกลับเข้าห้องของตนก่อน ถึงแม้จะเป็นการเสียมารยาทและไม่ควรออกจากโต๊ะรับประทานอาหารก่อนผู้หลักผู้ใหญ่ ก็พอดีชาญณรงค์ซึ่งนิ่งเงียบมานานเอ่ยปากขึ้น

“เรื่องที่อาจารย์พูดในตอนประชุมครั้งผ่านๆมา อาจารย์ยังอธิบายไม่ชัดเจนนี่ครับ ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่อาจารย์จะต้องพูดความจริงทั้งหมดออกมา ศาสตราจารย์ท่านอื่นๆอาจจะเข้าใจเรื่องน้ำท่วมโลกมากขึ้นก็เป็นได้”

เป็นครั้งแรกที่พจน์เห็นชาญณรงค์พูดประโยคได้ยาวขนาดนี้

“ถึงเวลาแล้วหรือ” ศาสตราจารย์ทวนเสียงเบา คล้ายกับถามตัวเองมากกว่าใครอื่น

“ครับ อาจารย์ ข้อมูลที่เราเก็บไว้มีความสำคัญไม่น้อย มันน่าจะทำให้เรื่องราวซึ่งขาดตอนอยู่นี้สมบูรณ์มาขึ้น และทั้งโลกจะได้เข้าใจในคำพูดของอาจารย์เสียที”

ศาสตราจารย์วิชัยมีท่าทีลังเลชั่วขณะ มีความจริงใดซ่อนอยู่หลังคำเตือนน้ำท่วมโลกอย่างนั้นหรือ พจน์สบตากับดาว สภาพบรรยากาศรอบตัวนิ่งสงบ

“อาจารย์เคยบอกว่า เวลา เป็นสิ่งสำคัญ ยากที่เราจะสร้างขึ้นมาเองได้นะครับ เราคงมีเวลาเหลือไม่มากแล้ว” ชาญณรงค์ย้ำเตือน

“เวลา...” ศาสตราจารย์วิชัยรำพึงรำพันกับตัวเองเหมือนท่านหลุดลอยสู่โลกส่วนตัว ถ้าสิ่งที่คุณปู่อำพรางไว้สร้างความกระจ่างและทำให้ผู้คนเชื่อได้ว่า น้ำกำลังท่วมโลกจริง นั่นยิ่งควรจะเปิดเผยสู่สาธารณะชนดีกว่าจะปิดบังไว้ ทุกคนต่างภาวนาว่าการตัดสินใจของท่านจะนำไปสู่แสงสว่างสุดปลายทางหรือดำมืดดุจอุโมงค์ทางตัน

“เอาล่ะ ฉันจะพูดข้อมูล และสาเหตุของเรื่องราวทั้งหมดให้ที่ประชุมได้ทราบว่าทำไมน้ำถึงจะกำลังท่วมโลกในอีกไม่ช้า” ศาสตราจารย์ตัดสินใจอย่างแน่วแน่

ส่วนหนึ่งภายในร่างกายของพจน์ลุกกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ ดาวฉีกยิ้มกว้างเช่นเดียวกับสีหน้าโล่งอกของคุณพ่อ เมื่อในที่สุดเรื่องราวที่คลุมเคลืออยู่กำลังถูกไขให้กระจ่างแจ้ง และคงมีคนเชื่อคำพูดของท่านอย่างแน่นอน

***************************************

เงาดำคืบคลานอยู่ริมบาทวิถีฝั่งตรงข้ามกับเรือนไทยเทพวิมาน หลังจากนั้นเพียงชั่วอึดใจหนึ่ง มันจึงก่อตัวเป็นรูปร่างใต้ผ้าคลุมสีดำเหนือยอดตึกสำนักงานที่ตั้งเรียงรายอยู่ใกล้เคียง ดวงตาสีแดงวาวโรจน์บ่งบอกถึงอารมณ์เบื้องลึกภายใน อาณาเขตโดยรอบได้รับการคุ้มกันจากพลังอำนาจสูงสุดเป็นอย่างดี มันสัมผัสได้ถึงพลังอันแก่กล้านี้ ร่างดวงจิตมิอาจจะเข้าไปเรือนหลังนั้นได้ มันต้องเร่งเตือนทาสรับใช้ผู้มาถีง เพราะมนตรานี้ทรงพลังยิ่งนักเกินกว่าสมุนของมันจะต้านทานได้

****************************************

ภัทรพจน์ล้มตัวลงบนเตียงนอนอย่างรู้สึกเหน็ดเหนื่อย ภายในห้องตกแต่งเรียบง่ายเน้นโทนสีน้ำตาลขาว มีโปสเตอร์นักฟุตบอลทีมโปรดติดอยู่เหนือหัวเตียง ข้างโต๊ะอ่านหนังสือเป็นกรอบรูปถ่ายครอบครัวเมื่อพจน์อายุประมาณห้าหรือหกขวบ ซึ่งเขาจำไม่ได้แล้วว่าไปเที่ยวที่ไหน หนึ่งในนั้นไม่ได้มีชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้ว คือ แม่ ของพจน์นั่นเอง ท่านเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ใกล้กับโคมไฟมีหนังสือ เรียงร้อยถ้อยกวี ไว้ช่วยอ่านแก้เครียด อีกมุมเป็นตู้เก็บหนังสืออัดแน่นเต็มทุกชั้น

การตัดสินใจของคุณปู่คือทางออกของทุกปัญหา เด็กหนุ่มรีบลุกยืนแล้วเปิดลิ้นชักโต๊ะเพื่อจะหยิบสมุดบันทึก ลีลาวดีดอกหนึ่งร่วงหล่นลงพื้นทันทีที่พจน์ดึงสมุดออก ดอกสีขาวส่งกลิ่นหอมยังแลดูสดใหม่ น่าจะเป็นพี่ส้มเก็บมาให้เพราะรู้ว่าเด็กหนุ่มชอบดอกไม้ชนิดนี้
 
พจน์กางสมุดบันทึกออก ภายในเป็นภาพข่าวตัดมาจากหนังสือพิมพ์ หรือ สื่อสิ่งพิมพ์อื่นใดอันเกี่ยวกับข่าวน้ำท่วมโลก ซึ่งพจน์สืบค้นหาและถ่ายเอกสารมาแปะติดไว้ เขาเปิดหน้ากระดาษที่ว่างเปล่า แล้วเริ่มเขียน หลักฐาน? แตกแขนงเป็น โบราณคดี, ธรณีวิทยา, วิทยาศาสตร์ เท่าที่คิดได้หลักฐานยืนยันคงต้องอยู่ในหมวดหัวข้อเหล่านี้เป็นแน่
 
โทรศัพท์มือถือขึ้นเตือนข้อความสนทนา

DARA DAO: ทำยังไงต่อกับปฏิบัติการที่ 003 คะ
PHATHARA PHOJ: ยกเลิกภารกิจ 003 ด่วน
DARA DAO: รับทราบค่ะ
PHATHARA PHOJ: ถ้ามีภารกิจใหม่ จะแจ้งให้เริ่มปฏิบัติการทันที

น้องสาวส่งสติ๊กเกอร์โอเคกลับมา ระหว่างนั้นกลุ่มสนทนานามว่า เทวดาเดินดิน ก็แจ้งเตือนเช่นเดียวกัน
 
PREM NUTT: แจ้งให้ทราบ พรุ่งนี้จะมีนักเรียนใหม่ย้ายมาอยู่ห้องเราว่ะ
PARAMEE BOT: แมร่ง...กลางเทอมนี่นะ?
PHONGSAKORN PURE: เส้นใหญ่แน่ๆ
NARINT NAI: ไม่ก็พวกมีปัญหากับห้องปกครอง เอ๊ะๆ ใครอยากกินก๋วยเตี๋ยวตอนนี้วะ ฮ่าๆ
JONGRAK RAK: พวกคุณให้เกียรติเพื่อนใหม่ด้วยครับ อยากกินๆ
KEERATI GEE: คนละเรื่องเดียวกันละพวกแมร่ง
VEERAPOBB TOR: 555+
AEKACHAI AEK: ต้องรับน้องใหม่ป่าววะ
CHOLNATEE NAM: เอาๆ จัดหนักๆ
PARAMEE BOT: ใจเย็นๆครับ น้องน้ำ ดีใจเกินเหตุละมึง
PHATHARA PHOJ: วันนี้พวกมึงไปไหนกันมาวะ
KEERATI GEE: พระเอกมาแล้วเว้ย
PHATHARA PHOJ: สัด ไม่ใช่สักหน่อย
PARAMEE BOT: นัดสาว เหล่สาว เดตสาว แล้วก็ได้สาวว่ะ เฮ้ยๆ ไม่ใช่ๆ 555
PREM NUTT: แชทสุภาพด้วยครับ 555 พวกมึงรอเจอตัวจริงเด็กใหม่ก่อน แล้วค่อยคุยโว บาย ฝันดี

พจน์กดออกจากโปรแกรมสนทนา แต่พวกมันคงคุยกันต่ออีกยาว น่าแปลก โรงเรียนที่พจน์เรียนอยู่ไม่ใช่จะรับคนเข้าง่ายๆ ถ้าไม่เส้นใหญ่อย่างเจ้าพวกนั้นว่าก็คงต้องมีความสามารถพิเศษบางอย่างจนย้ายเข้ากลางเทอมได้
 
เช้าวันใหม่ ชาญณรงค์มารับคุณปู่เพื่อไปสถาบันฯที่ทำงานของท่านตั้งแต่ยังไม่รุ่งสาง ความหวังอย่างหนึ่งจุดวาบในอกของพจน์ เมื่อความจริงทั้งหมดเปิดเผย ในไม่ช้าทุกคนก็คงจะรับรู้และเชื่อเป็นแน่ ภพดนัยขับรถมาส่งเด็กทั้งสองก่อนจะรีบเร่งจากไปบอกว่ามีข่าวด่วนต้องไปติดตาม

“พี่คิดว่าอีกในไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า เราคงมีข้อมูลใหม่อย่างแน่นอน เรื่องแจกใบประกาศให้ยกเลิกก่อน” พจน์กระซิบบอกดาวขณะเดินเข้าโรงเรียน

“ค่ะ ดาวบอกพี่ส้มแล้วให้รอคำสั่งใหม่อีกครั้ง”

“ดีมาก” พจน์ขยี้ผมน้องสาว

“พี่พจน์ ผมดาวเสียทรงหมดแล้ว ไปละ” เด็กสาววิ่งหนีไปทางกลุ่มเพื่อนของเธอ ส่วนพจน์แยกเดินเข้าห้องเรียน เมื่อเคารพธงชาติแล้ว ครูประจำชั้นเข้ามาหยุดยืนอยู่หน้าห้องและแจ้งเรื่องให้ทราบทันที

“วันนี้ห้องของเราจะมีนักเรียนใหม่มาเรียนร่วมด้วยนะ เชิญ” สิ้นคำของครูประจำชั้น นักเรียนชายร่างสูงคนหนึ่งเดินเข้ามา ใบหน้าเรียว จมูกงองุ้ม ขอบตาเหยี่ยวดูไม่เป็นมิตร ทรงผมตัดสั้นสกินเฮด

“ชื่อนายนิธิ กันตารักษ์ ชื่อเล่นชื่อ กัน ฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ” รอยยิ้มและดวงตาทั้งสองถูกส่งมายังบริเวณหลังห้องที่พจน์นั่งอยู่ เมื่อเกิดสบตากันจึงรู้ว่า เจ้านั่นมองมายังพจน์นั่นเอง ความรู้สึกไม่น่าไว้วางใจตั้งแต่แรกพบก่อตัวในใจ เป็นความรู้สึกหลากหลายมากกว่าหนึ่งที่เขารับรู้ได้ ส่วนสาวๆในห้องต่างกรีดร้องต้อนรับราวกับถูกน้ำร้อน ไอ้โบทกระซิบข้างหูพจน์
 
“มันมองมึงว่ะ เอ๊ะ ยังไงๆ”

“มองตาก็รู้ว่ะ มันจ้องหาเรื่องมึงแน่” ไอ้กีซึ่งนั่งโต๊ะเดียวกับพจน์เสนอความเห็น

ปาล์ม เปรมณัฐ ผู้นั่งอยู่โต๊ะถัดไปยื่นกระดาษพร้อมข้อความว่า ‘ใจเย็นๆ’ และส่ายหน้าประกอบ จะให้มีเรื่องกันตั้งแต่วันแรกก็ใช่เรื่องหรอกนะ ถ้าอีกฝ่ายไม่คิดจะท้าทายหรือลงมือทำก่อน
 
เมื่อครูประจำชั้นออกไปแล้ว ไอ้เด็กใหม่ก็เดินตรงมาหาพจน์ทันที ไอ้น้ำคนตัวเล็กที่สุดในกลุ่มกระโดดมายืนบังป้องกันพจน์จากเด็กใหม่ ก่อนจะถูกผลักกระเด็นให้พ้นทาง

“เคยได้ยินแต่ชื่อ ไม่เคยเจอตัวจริงมาก่อน น่ารักใช่เล่นนะ นายอ่ะ” เพื่อนในกลุ่มทั้งเก้าคนผสานเสียงร้องอย่างตกใจ “เราชื่อ กัน ยินที่ได้รู้จัก”

“มึงคิดจะจีบเพื่อนกู หรือหาเรื่องเพื่อนกูกันแน่วะ หน้าตากับสายตามึงไม่ตรงกันเลยนะ” ไอ้เอกตั้งสติได้ก่อนจะเร่งถามละล่ำละลัก

เด็กใหม่ยังคงสนใจพจน์เพียงคนเดียวยื่นมือหมายจะให้จับทักทายตอบ แต่เขากลับนั่งนิ่งเสียยังคงจ้องตาคมเฉี่ยวนั้น เจ้านั่นหัวเราะชอบใจ

“เอางั้นก็ได้”

“มึงมีปัญหาอะไรกับพวกกูเปล่าวะ” ไอ้เตี้ยน้ำยังคงตะโกนถาม ส่วนไอ้เด็กใหม่เหลียวมองน้องน้ำอย่างไม่แยแส เพื่อนในกลุ่มต่างมีสีหน้างงงวยผสมไม่พอใจดุจเดียวกับพจน์

“กูคิดว่าคงไม่ต้องสุภาพกับมึงเท่าไหร่” ไอ้กันยังคงรุกหนักต่อไป มันคนเดียวกำลังยืนเสี่ยงอ้อนยี่สิบเท้ารุมกระหน่ำอยู่ ส่วนเพื่อนร่วมห้องแทบไม่ได้มีใครสนใจนอกจากนักเรียนหญิงกลุ่มดาวห้องเท่านั้นที่เหลียวมองเป็นระยะ

“ก็แล้วแต่มึงสะดวก” พจน์เงยหน้าตอบ ความรู้สึกแปลกประหลาดปรากฏชัดยิ่งกว่าเดิม อยู่ๆคนที่ไม่เคยพบหน้า ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแม้แต่น้อย เหตุใดเมื่อแรกพบเจอถึงได้แสดงทีท่าเสมือนคู่รักคู่แค้นกันมาแต่ชาติภพก่อนอย่างใดอย่างนั้น

ไอ้เพรียวหน้าเรียวร้องเสียงหลงประดุจโดนเหยียบหาง

“กูถามจริง ไอ้พจน์เพื่อนกูเคยไปแย่งแฟนมึงหรือว่ามึงเคยมาแย่งแฟนมัน หรือมึงต้องการมันเป็นแฟนกันแน่วะ” คนอื่นๆที่เหลือลุกขึ้นยืนประจันหน้าคนคนเดียวอย่างเป็นเดือดเป็นแค้น

“มัน...” ไอ้กันตวัดสายตาแหลมคมมองพินิจพจน์อีกครั้ง “มันน่ารักดี แต่มันไม่ควรมายืนอยู่ ณ จุดที่มันยืนอยู่”

ทุกคนเงียบกริบราวกับคำพูดเมื่อครู่เป็นภาษาต่างดาวที่ไม่มีใครเข้าใจได้โดยง่าย เด็กหนุ่มร่างสูงผอมหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกจากกระเป๋านักเรียนแล้ววางลงตรงหน้าพจน์ เพียงเหลือบมองก็รู้ว่าเป็นโคลงสี่สุภาพจำนวน ๒ บท ถูกเขียนด้วยลายมือวิจิตรบรรจง

“ถ้ามึงเป็นคนกล้าอย่างที่กูเคยได้ยิน มึงคงจะรับคำท้าของกู”

“มันเรื่องอะไรกันวะ อยู่ๆก็มาหยามเกียรติเพื่อนกูอย่างนี้” ไอ้ต่อผมสกิดเฮดอีกคนถามกลับ ไอ้กันยังไม่มีท่าทีเกรงกลัวหรือสนใจเพื่อนรอบตัวของพจน์เลยแม้แต่น้อย ราวกับในสายตาดำมืดนั้นมีแต่พจน์อยู่เพียงคนเดียว

“ถ้ามึงตีความโคลงสี่สุภาพสองบทนี้ออก โดยความหมายถูกต้องทุกประการ กูจะยอมไม่ยุ่งเกี่ยวกับมึงอีก แต่ถ้ามึงทำไม่ได้จงถอนตัวจากทีมประกวดกลอนสด ลาออกจากประธานชมรมคนเจ้าบทเจ้ากลอน และ...ต้องมาเป็นแฟนกู” สิ้นคำเสนอของเด็กใหม่ ต่างคนต่างพยายามยื้อยุดห้ามปรามไอ้โบท ไอ้กี และไอ้ต่อ ไม่ให้พุ่งเข้าใส่ไอ้กันอย่างยากลำบาก พจน์รู้สึกว่าคำท้าทายนี้อยู่นอกเหนือสารบบความคิดของตนอย่างยิ่ง

“เพราะถ้ามึงไร้สติปัญญาจะทำได้แล้ว มึงก็ไม่มีคุณสมบัติจะเป็นเอกในด้านการแต่งกลอนอีก และจำเป็นต้องมีคนคุ้มครองดูแล” รอยยิ้มร้ายกาจนั้นฉายแววปรากฏ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พจน์โดนเพศเดียวกันจีบซึ่งๆหน้า เขาถอนหายใจพลางหยิบกระดาษกลอนนั้นมาอ่าน

ครอบครองเพียงหนึ่งสร้าง        แสนพล พ่ายเอย
ทุกเผ่าพันธุ์สืบค้น                    ยิ่งแล้ว
บุรุษใดได้ยล                           ล้ำค่า เก้าแก้ว
‘ชายเหนือชาย’เพริศแพร้ว      อยู่ยั้ง ยืนยง

   
เพชรทรงฤทธิ์ร่ำร้อง      ดวงใจ จิตเอย
ลอยเลื่อนเลือนลับไพร      แหล่งหล้า
สิบทิศจบภพไตร             พ้นผ่าน ลับแล
คืนสู่ใจสองข้า                 หนึ่งฟ้า ราตรี

ดูเหมือนพจน์จะเจอคู่ปรับคนสำคัญทางด้านการแต่งกลอน และทางด้านตัวป่วนในชีวิตเข้าให้เสียแล้ว


TBC... โปรดติดตามตอนต่อไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-05-2018 14:57:56 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ลึกลับซับซ้อนเหลือเกิน

ออฟไลน์ pnn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ภาษาสวยงาม อ่านลื่นไหลดี กำลังลุ้นอยู่ว่าเมื่อไหร่จะเจอกับพระเอก? (หรือเปล่า) อีก ติดตามๆ :mc4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
บทที่ ๔


ปริศนาโคลงกลอน



“กูให้เวลามึง ๗ วัน”
 
คำพูดแหบทุ้มเอ่ยพร้อมใบหน้านิ่งขรึม สายตาดูแคลนนั้นคงคิดว่าพจน์จะปฏิเสธ

“กูรับคำท้า” เสียงฮือฮาอีกระลอกดังผสานลั่นสนั่น สีหน้าของไอ้กันแสดงออกอย่างชัดแจ้งว่าผิดจากที่มันคาดการณ์ไว้ ไอ้จงรักษ์ เด็กหนุ่มคิ้วเข้ม เปิดปากร้องเสียงหลงเหมือนโดนถูกเชือด

“มึงแน่ใจหรือวะ ไอ้พจน์” เด็กหนุ่มเจ้าของชื่อพยักหน้า จ้องตอบไอ้กันอย่างไม่วางตา

“แล้วถ้าเกิดมึง...เอ่อ...แปลความไม่...ไม่ได้ละว่ะ” ไอ้เอก คนผิวแทนถามสะดุดติดขัด

“กูก็จะทำตามข้อตกลงของมัน”

“จะยอมออกจากทีมแต่งกลอนสด ลาออกจากประธานชมรมคนเจ้าบทเจ้ากลอน และ...” ไอ้เตี้ยน้ำเว้นวรรคพร้อมกลืนน้ำลายดังเอื้อก ดวงตากลมโตของน้องน้ำเบิกโพลงยิ่งกว่าปกติ “มึงจะตกลงเป็นแฟนมัน จริงๆเหรอวะ”

ไอ้เปรมณัฐส่งสายตาแปลกพิกลพร้อมใบหน้านิ่งเฉยที่มันชอบทำมาทางพจน์ ตลอดเวลามันแทบไม่ปฏิกิริยาอาการอื่นใดเลยนอกจากนั่งเงียบเฉยทั้งๆที่คนอื่นๆเต้นแร้งเต้นกาเหมือนโดนผีเข้า
 
“อืม” พจน์พยักหน้าเหลียวมองเพื่อนในกลุ่มทุกคนให้พวกมันยอมเข้าใจ

นี่นับเป็นการตัดสินใจอย่างถ้วนถี่แล้วสำหรับพจน์ เมื่อพิจารณาว่าโคลงสี่สุภาพซึ่งไอ้กันนำมานั้นมีบางอย่างสะกิดใจให้ค้นหา ทุกถ้อยเรียงคำ มีความหมายมากกว่าปกติซ่อนอยู่เป็นแน่ จนสร้างแรงกระตุ้นให้อยากถอดความออกมา อีกทั้งยังเป็นโคลงสี่สุภาพที่พจน์ไม่เคยผ่านตามาก่อน หรือเคยพบในหนังสือวรรณกรรมเล่มไหนเลยเท่าที่เคยอ่าน ไม่ว่าไอ้กันจะเป็นผู้แต่งเองหรือคัดลอกมาจากไหนก็ตาม แต่โคลงสองบทนี้น่าสนใจจนไม่อาจปฏิเสธได้ ยกเว้นเพียงเงื่อนไขแลกเปลี่ยนถ้าหากพจน์เกิดพ่ายแพ้ โดยเฉพาะข้อสุดท้ายซึ่งออกจะเกินเลยไปมาก

สีหน้าอย่างผู้กำชัยชนะแสดงชัดอยู่บนร่างของผู้ท้าทาย แต่แววตาซึ่งแข็งกร้าวก่อนหน้านี้เริ่มไม่มั่นคงราวกับหวาดกลัวบางสิ่งปรากฏให้เห็นขัดแย้งกันจนพจน์อยากจะเอ่ยปากถามเหลือประมาณว่า คำประกาศกร้าวนี้คือสิ่งที่มันประสงค์ด้วยใจจริงหรือไม่
 
ไอ้กี ไอ้โบท ไอ้ต่อ ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างไร้เรี่ยวแรง หมดสภาพ ดูพ่ายแพ้ ประหนึ่งเสียพจน์ให้ไอ้กันไปแล้วโดยไม่สามารถขัดขวางหรือฉุดรั้งเอาไว้ได้อย่างไรอย่างนั้น ทุกคนในกลุ่มนิ่งเงียบเช่นเดียวกับไอ้ปาล์ม ดูเหมือนพวกมันจะเคารพการตัดสินใจของพจน์และไม่ห้ามปรามอันใดอีก
 
ไอ้นิธิละสายตาจากพจน์แล้วเดินกลับไปยังโต๊ะตัวว่างสำหรับมันทางหลังห้องแต่คนละด้านกับกลุ่มของพจน์ สาวๆดาวห้องรีบพุ่งเข้าหาต้อนรับเด็กใหม่ทันทีเมื่อโอกาสมาถึง รุมล้อมหน้าล้อมหลังเจ้านั่นเช่นดาราในโทรทัศน์ แต่มันกลับนั่งนิ่งไร้การตอบสนองต่อสิ่งเร้ารอบตัว มีเพียงสายตาเท่านั้นที่ยังคงมองมาหาพจน์
 
นี่ไม่ใช่การเดิมพันของศักดิ์ศรีลูกผู้ชายเท่านั้น แต่เป็นการประชันฝีมือระหว่างคนแต่งกลอนทั้งสองอีกด้วย

ช่วงพักคาบเรียน พจน์หนีบรรยากาศวุ่นวายภายในห้องปลีกตัวมาเข้าห้องน้ำเพื่อชำระล้างความปริวิตกไม่เฉพาะเรื่องไอ้เด็กใหม่ แต่เป็นความจริงจากปากคำของคุณปู่ซึ่งจะแถลงต่อที่ประชุม ความจริงอันเที่ยงแท้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นจะนำพาเขาและทุกคนบนโลกให้พบกับหนทางสว่างไสว

“มึงกล้ามากกว่าที่กูคิดเอาไว้เสียอีก ลึกๆในใจกูไม่คิดว่ามึงจะรับคำท้าด้วยซ้ำ”

เป็นอีกหนึ่งเสียงที่พจน์จำได้แม่นยำแม้นไม่เหลียวมอง เด็กหนุ่มสบตาคนตัวสูงผ่านกระจกเหนืออ่างล้างมือ ใบหน้าเรียวแหลมพร้อมหนวดเคราหรอมแหรม คงตั้งใจปล่อยไว้ เสริมบุคลิกหล่อร้ายจนยากจะมีสาวใดต้านทานได้ ยกเว้นพจน์ เขาทำทีบรรจงล้างมือเพื่อจะได้ไม่ใส่ใจคำพูดของคนเบื้องหลัง

“มึงเป็นคนน่าสนใจ น่าค้นหา” ไอ้กันยืนกอดอกสบตาพจน์ผ่านกระจกเงา

“มึงพูดคำพวกนี้ได้ง่ายดายจริงนะ แล้วสิ่งสำคัญคนที่มึงพูดด้วยก็มีสภาพไม่ต่างไปจากมึงเลยแม้แต่น้อย” พจน์ตอบกลับ

“ฮ่าๆ สมัยนี้แล้วใครจะสนเรื่องเพศกันละ” ไอ้กันหัวเราะอย่างอารมณ์ดีตรงกันข้ามกับความรู้สึกในใจพจน์โดยสิ้นเชิง “เท่าที่กูสังเกต คงไม่ใช่กูคนเดียวหรอกที่ให้ความสนใจมึง ถ้ามึงเปิดใจเปิดตาคงเห็นว่ารอบตัวมึงมีใครชอบมึงอีกบ้าง”

“เหตุผลที่กูรับคำท้า ไม่ใช่เพราะให้ความหวังหรืออะไรก็ตาม แต่เพราะสิ่งที่มึงนำมาท้ากูเป็นสิ่งที่กูรัก เคารพ และสูงส่งเกินกว่าจะถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือล้อเล่นแบบนี้ได้” พจน์พูดเสียงกร้าวเกือบจะขยำกระดาษโคลงกลอนซึ่งถือติดมือมาด้วยอย่างลืมตัว

ไอ้กันยืนนิ่งชั่วขณะ

“กูไม่ได้ล้อเล่น ตั้งใจจะพิสูจน์มึงจริงๆ”

“ถ้ามึงรักอะไรสักอย่าง มึงจะไม่นำมันมาพิสูจน์อีก กูรู้มึงมีฝืมือด้านแต่งกลอน แต่ถ้ามึงรักโดยใจซื่อตรงแล้วมึงคงไม่คิดนำโคลงบทนั้นมาท้ากู เหมือนเป็นสิ่งของไร้ราคาเพื่อแลกกับอะไรก็ตามที่อยากได้ มันควรเป็นสิ่งล้ำค่าและควรหวงแหนเก็บรักษาเท่าชีวิต”

รอยยิ้มของไอ้เด็กใหม่เลือนหาย เหลือเพียงใบหน้านิ่งเฉย ริมฝีปากเรียบตึง และแววตาอ่อนไหวเท่านั้น
 
“ถ้ามึงโกรธเพราะการกระทำของกู ก็ขอโทษด้วย”

พจน์ก้มหน้าถอนหายใจแรง รู้สึกสบสนและไม่เข้าใจการกระทำของอีกคนเลยแม้แต่น้อย ไอ้นิธิยื่นผ้าเช็ดหน้าสีน้ำตาลมาให้พจน์เพื่อใช้ซับน้ำซึ่งพร่างพรมอยู่ทั่วใบหน้า เขารับไว้แต่ไม่ได้ทำตามประสงค์ของอีกฝ่าย

“เราสองคนเคยเจอกัน หรือใครคนหนึ่งคนใดเคยทำให้อีกคนเสียใจมาก่อนหรือเปล่า” พจน์ถามอย่างสนใจใคร่รู้

ไอ้กันนิ่งอึ้งเหมือนรูปสลักหินอ่อนใช้สายตามองพจน์ราวกับพยายามจดจำทุกสิ่งรวมถึงรายละเอียดทุกอย่างให้ได้มากที่สุด

“เราสองคน ไม่เคยเจอกัน” ไอ้กันหลบสายตาพจน์เป็นครั้งแรก พลางก้มมองสำรวจพื้นห้องน้ำ คิ้วขมวดมุ่น “หรือเคยมีเรื่องกันมาก่อน กูยืนยันในข้อนี้ได้ มึงคงจำไม่ได้... แต่กู...”

พจน์สังเกตอากัปกิริยาของอีกฝ่ายแล้วให้รู้สึกประหลาดใจเป็นที่ยิ่ง สิ่งใดหนอทำให้ไอ้คนแววตามั่นใจ มุ่งมั่น แข็งกร้าวเฉกเช่นเมื่อตอนแรกเจอนั้น ผลัดเปลี่ยนเป็นไหวระริกอย่างเห็นได้ชัดแจ้งแลดูสะเทือนใจในบางสิ่งบางอย่างเช่นนี้

“กูอาสามา เพราะไม่คิดว่ามึงจะเป็นคนแบบนี้...” ไอ้กันกำมือทั้งสองจนเส้นเลือดปูดโปน

“หมายความว่ายังไง” พจน์รู้สึกชอบกลในคำพูดข้างต้น

“แต่อีกใจหนึ่งกูก็อยากเจอมึง” เป็นคำพูดซึ่งขัดแย้งกันจนแม้แต่พจน์ก็ไม่อาจตีความได้ “ไอ้พจน์ มึงควรรู้ไว้ มึงเป็นคนเดียวในโลกนี้ที่สำคัญที่สุดสำหรับกู และกูไม่มีวันนำสิ่งที่กูรักมาพิสูจน์หรือล้อเล่นโดยไร้เหตุผลแน่”

ถ้านี่เป็นขั้นตอนกระบวนการการจีบของไอ้นิธิ มันก็ข้ามขั้นตอนจากแรกสร้างความประทับใจ ทำความรู้จักอีกฝ่าย หรือช่วยเหลือเพื่อสร้างความสนใจอย่างที่พจน์เคยใช้ได้ผลเมื่อต้องการจีบหญิง แต่นี่กลับรวบรัดตัดตอนบอกความในใจและสร้างความไม่ประทับใจได้อย่างเหลือเชื่อผิดวิสัยคนปกติมาก ถ้าจะบอกว่ามันไม่เคยคบใครมาก่อนก็แปลกมิใช่น้อย

ภัทรพจน์หลับตาลงพยายามระงับอาการปวดศีรษะ ด้วยเรื่องกวนใจนี้เขาสับสนเกินกว่าจะเข้าใจเจตนาอันแท้จริงของไอ้เด็กใหม่จนอยากจะหนีไปจากตรงนี้ ไฟในห้องน้ำติดๆดับๆคงจะมีกระแสไฟตก แล้วเพียงสักครู่หนึ่งจึงมืดสนิทไร้แสงสว่างใดๆ

“ไอ้กัน!” พจน์ตะโกนเรียกแต่ไร้เสียงตอบกลับ เหมือนมันได้ล่องหนหายตัวไปเสียแล้ว
 
ท่ามกลางความมืดมิดพจน์จึงเอื้อมมือคลำผนังด้านข้างเพื่อหาทางออกไปยังประตูห้องน้ำ ไอ้นิธิคงจะแกล้งเขาและดับไฟก่อนที่ตัวเองจะหนีหาย นี่ไม่ใช่เรื่องตลกนะเว้ย หากเกิดชนข้าวของเสียหายหรือหกล้มขึ้นมาจะว่าอย่างไร ปากบอกว่าชอบพจน์แต่การกระทำนี่ตรงข้ามกันเลย

เมื่อฝ่ามือคลำผนังจนถึงพื้นผิวลักษณะคล้ายบานประตูแล้วพจน์จึงออกแรงผลักทันที แสงสว่างแผดจ้าจนพจน์ต้องก้มหน้าหลบชั่วครู่ แล้วจึงพบว่าตนได้เข้ามาอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ เพดานและฝาผนังคล้ายบ้านเรือนไทยเช่นเดียวกับห้องนอนของพจน์ ผนังส่วนหนึ่งสร้างเป็นลูกมะหวดทำจากไม้เป็นรูปกลมๆป้อมๆเรียงกันเป็นลูกกรงใช้แทนหน้าต่าง กึ่งกลางห้องเป็นอัจกลับหรือโคมไฟอย่างหนึ่งทำด้วยทองเหลืองมีระย้าห้อย แต่ฝีมือช่างมีลักษณะแตกต่างจากเรือนไทยทั่วไปอีกทั้งสีสันไม้กระดานเป็นสีน้ำตาลเข้มมีการแกะสลักผนังลวดลายวิจิตรหาได้ยากยิ่งนอกจากลายพุ่มข้าวบิณฑ์แล้วลายอื่นๆนั้นพจน์แทบไม่เคยพบเห็นมาก่อน ภายในห้องมีกลิ่นหอมอ่อนๆของดอกไม้ลอยตลบอบอวล เบื้องหน้าพจน์เป็นฉากกั้นทำด้วยไม้แกะสลักลวดลายเครือเถาลงรักปิดทอง สามารถมองลอดผ่านและเห็นได้ว่าเบื้องหลังฉากกั้นนั้นเป็นเรือนร่างเปลือยเปล่าของเด็กหนุ่มผิวขาว ร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง แผ่นหลังกว้างกำยำ ปรากฏกล้ามเนื้อชัดเจน กำลังหันหลังผลัดผ้านุ่งห่มออก เผยให้เห็นสัดส่วนท่อนร่างนูนแน่นกระชับ ยังไม่ทันที่เจ้านั่นจะถอดผ้าได้สำเร็จสติของพจน์ก็คืนกลับมารีบเร่งร้องเตือนอาการละล่ำละลัก

“เฮ้ย...หยุดก่อน กูยังไม่อยากเป็นตากุ้งยิง”


50%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-07-2019 19:01:50 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
[ต่อ]

ภัทรพจน์ยกฝ่ามือปิดดวงตาทั้งสองโดยเร็ว ส่วนคนถูกแอบมองรีบกระชับอาภรณ์นุ่งห่มให้แน่นดังเดิมแล้วเดินตรงมายังคนที่แอบซ่อนอยู่หลังฉากกั้น พร้อมทั้งดึงแขนคนถ้ำมองให้เผยโฉมหน้า แสงธรรมชาตินวลสว่างสาดส่องผ่านลูกกรงเข้ามาภายในห้องนั้น ทำให้เด็กหนุ่มทั้งคู่เห็นอีกฝ่ายได้ชัดกระจ่างตา

“เจ้า...”

“ไอ้...” พจน์เบิกตาโพลงราวกับเห็นผี “มาตะ”

มาตะกะพริบตาตอบรับคำเรียกชื่อตน พจน์รีบหยิกแขนด้านขวาของตัวเองและรับรู้ความเจ็บปวดอย่างรวดเร็วจนต้องร้องครวญคราง

“เป็นกระไรงั้นรึ” มาตะก้มลงถามสีหน้าร้อนรนหายจากอาการตะลึงงันเป็นปลิดทิ้ง “เหตุใดถึงหน้าขึ้นสีประหนึ่งเจ็บไข้ได้ป่วย”

“กู...เอ๊ย...ไม่อ่ะ ไม่ได้เป็นอะไร”

พจน์มองเลยผ่านคนคุ้นเคยตรงหน้า หักห้ามตัวเองไม่ให้เหลียวดูเรือนร่างกำยำที่นุ่งผ้าไม่เรียบร้อย ย้ายดวงตาเพื่อสำรวจสิ่งต่างๆโดยรอบ นี่ไม่ใช่ห้องเก็บตำราหลวงเหมือนคราวที่แล้ว แต่มีลักษณะเป็นห้องนอนมากกว่าเพราะด้านซ้ายมีเตียงสี่เสาพร้อมม่านทั้งสีด้าน ใกล้เคียงกันคือตู้ไม้สลักลายลงรักปิดทอง เหนือหัวเตียงทั้งซ้ายขวามีอาวุธประเภทดาบและทวนด้ามสีทองแขวนไขว้กันไว้

“เจ้าเป็นใครกันแน่” คำถามของมาตะดึงความสนใจพจน์ให้กลับมาอีกครั้ง

“กูต่างหากที่ต้องเป็นคนตั้งคำถาม” พจน์เถียงกลับ รีบเบือนหน้าหนีมองออกนอกหน้าต่าง เสียงนกร้องทักทายดังแว่วเจื้อยแจ้วเหมือนอยู่ใกล้เคียง ไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ปรากฏหนาทึบเป็นฉากหลัง แสงตะวันบ่งบอกว่าเป็นเวลาสายหรือใกล้เที่ยง มีเสียงผู้คนสนทนาฟังไม่ได้ศัพท์อยู่เบื้องล่างสอดแทรกมาตามสายลมเอื่อยเฉื่อย รู้สึกเย็นสบายทั้งกายและใจอย่างประหลาด
 
เด็กหนุ่มมาปรากฏตัวอยู่ ณ สถานที่อื่นที่ไม่ใช่ที่ที่ตนอยู่ก่อนหน้านี้เป็นหนสอง ถ้าหากมันคือความฝันจริงดังน้องสาวของพจน์เคยบอกไว้ และเหตุใดเมื่อลองทำร้ายตัวเองยังคงไม่สะดุ้งตื่น  หรือจะตื่นก็ต่อเมื่อความฝันได้ดำเนินมาถึงวินาทีน่าตื่นตกใจ อีกด้านหนึ่งของความคิดกลับแย้งว่าถ้าความฝันของคนเราเกิดขึ้นในครั้งต่อมาความบังเอิญจะเจอคนในฝันคนเดิมนั้นยังมีอยู่อีกหรือ อยู่ๆพจน์จะนั่งหลับอยู่ในห้องน้ำอย่างปัจจุบันทันด่วนได้หรอกหรือ

“เจ้าต้องเจ็บไข้เป็นแน่ มีลักษณะอาการเหม่อลอย พึมพำแต่ผู้เดียว” มาตะยื่นหน้าเข้าใกล้พจน์จนเจ้าตัวสะดุ้งถอยห่างหลายก้าว แล้วโบกมือปฏิเสธเสียงดัง

“ไม่ๆ ไม่ได้ป่วย แค่สงสัยนิดหน่อย”

เจ้ามาตะพยักหน้าเข้าใจเอื้อมจับหน้าพจน์ด้วยมือใหญ่ทั้งสองให้หันมาเผชิญกันอีกครั้ง แววตามุ่งมั่นแน่วแน่เหมือนจะสะกดพจน์ให้อยู่ในอาการปกติจนได้

“ข้ามีนามว่า มาตะ เป็นมหาดเล็กรักษาพระองค์ สังกัดกองทหารมหาดเล็ก มีหน้าที่อารักขาพระเจ้าอาทิตยาธร ผู้เป็นพระราชนัดดาของสมเด็จเหนือเกล้า” มาตะพนมมือถวายบังคมเหนือเกศา “แล้วเจ้าเล่า”

พจน์ชี้นิ้วเข้าหาตนเอง อยากจะบอกให้มันแต่งตัวให้มิดชิดกว่านี้ก่อนจะสนทนาต่อ แต่อีกฝ่ายก็ส่งสายตากดดันกลับมาเร่งเร้า

“ชื่อ ภัทรพจน์ เรียกสั้นๆว่า พจน์ ก็ได้ อายุ ๑๗ ปี มึงก็คงอายุเท่ากันสินะ” พจน์แนะนำตัวคร่าวๆอย่างไม่จริงจังมากนัก

“ข้าเองเพิ่งจะครบ ๑๗ ขวบปีเมื่อปักษ์ที่ผ่านมา” พจน์พยักหน้างึกงัก ไม่ผิดจากที่คาดคะเนไว้ “ภัทรพจน์ เป็นนามอันไพเราะยิ่งนัก ‘วจนะอันดีงาม’”

เด็กหนุ่มเจ้าของชื่อรีบหันกลับมามองเจ้ามาตะทันทีเมื่อมันแปลความหมายชื่อของพจน์ได้ถูกต้องทุกประการ

“ใช่รึไม่” คนคิ้วเข้มถามพร้อมหน้านิ่งขรึม พจน์รีบพยักหน้ารัวเร็ว

“มึง เอ่อ นายคงมีทักษะด้านภาษาอยู่พอประมาณสินะ ถึงได้แปลความออกได้ทันทีเมื่อได้ยิน” พจน์เปลี่ยนสรรพนามเรียกชื่ออย่างรวดเร็วเมื่อรู้สึกตัวว่าไม่ได้สนิทสนมใกล้ชนิดอีกฝ่ายขนาดนั้น

“ข้าเป็นศิษย์เอกผู้หนึ่งของสำนักคำฉันท์ แลมีภาษาเปรียบดั่งอาวุธที่สามารถใช้ประหัตประหารศัตรูคู่ต่อสู้ได้เฉกเช่นดาบแลทวน” เจ้ามาตะทำหน้านิ่งดังเดิมแม้พจน์จะจับสังเกตออกว่ามันคงภูมิใจไม่น้อย “ถ้าหากข้าเดาไม่ผิดสิ่งที่เจ้าถืออยู่คงจะเป็นโคลงสี่สุภาพเป็นแน่”
 
พจน์ก้มมองมือขวา มีแผ่นกระดาษของไอ้นิธิติดมือมาด้วยอย่างแปลกพิกล ขณะเดียวกันจึงพินิจลักษณะการแต่งตัวของตนเอง พบว่าไม่ได้ผิดเพี้ยนแตกต่างจากเมื่อคราวที่แล้วแม้แต่น้อย

“ข้าขอดูได้ ฤา ไม่” พจน์ยื่นให้อย่างรวดเร็วแล้วรีบก้มหน้า อีกใจหนึ่งอยากจะบอกให้อีกฝ่ายแต่งตัวเหมาะสมรัดกุมแบบตนเสียก่อน เพียงขยับขาผ้าซึ่งควรจะนุ่งเก็บชายพกเหน็บไว้ด้านหลังจึงเปิดออก เผยให้เห็นท่อนขาแกร่งด้วยกล้ามเนื้อและเส้นเลือดชัดเจน และถ้ามันเคลื่อนไหวอีกนิดเดียวคงจะแหวกถึงโคนขาจนเห็นไปถึงไหนต่อไหนเป็นแน่ อีกอย่างใครจะห้ามสายตาตนเองได้เมื่อคนเบื้องหน้ามีเสน่ห์ดึงดูดจนแม้แต่พจน์ซึ่งเป็นผู้ชายด้วยกันยังรู้สึก แต่เจ้ามาตะผู้ถูกลอบมองยังคงหมกมุ่นอยู่กับกระดาษโคลงกลอนนั้นอย่างคร่ำเคร่ง ฉับพลันก็ขึ้นสีแดงบนแก้มทั้งสอง แล้วประเดี๋ยวเดียวก็กลับมาทำหน้านิ่งขรึมดังเดิม

“เจ้าได้โคลงสองบทนี้มาจากที่ใด ฤา” มาตะซักถามเสียงนิ่ง

“มีคนให้มา” พจน์ทำใจให้มองเรือนร่างของมาตะอีกครั้ง

“โคลงสี่สุภาพนี้เป็นสองบทต้นของทั้งหมดสี่บท ซึ่งถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี ณ หอหลวงคำฉันท์ มิได้นำเผยแพร่สู่ไพร่ฟ้าประชาราษฎร ข้าถึงเกิดข้อสงสัยว่ามันถูกนำมาให้เจ้าได้เช่นไร” มาตะอธิบาย “แม้แต่ข้าผู้เป็นศิษย์ ณ สำนักมีชื่อ ก็เคยผ่านตาเพียงแค่สองสามคราเท่านั้น แต่จดจำได้ขึ้นใจเลยทีเดียว”

พจน์คิดในใจ ถ้านี่ไม่ใช่ความฝันและไม่ใช่จินตนาการคาดคิดไปเองตัวคนเดียว แล้วไอ้กันเอาโคลงสี่สุภาพต้องห้ามนี้มาจากแห่งหนไหน

“มันเป็นโคลงสี่สุภาพต้องห้าม นักปราชญ์ราชบัณฑิตแห่งราชสำนักพิจารณาว่า เป็นเรื่องราวหาสาระมิได้ อีกทั้งไร้ความไพเราะในด้านวรรณศิลป์ แลพวกพราหมณ์ต่างพร้อมใจกันแจ้งว่ามีความชั่วร้ายสิงสู่อยู่ แต่พระอาจารย์ของข้า ณ สำนักคำฉันท์หาได้คิดเช่นนั้นไม่ ท่านเฝ้าสืบค้นแลเสาะหาความเป็นมาของโคลงกลอนนี้จนพบว่า...” เจ้ามาตะหยุดพูดกระทันหัน แล้วยกคิ้วเข้มหันมามองพจน์ที่กำลังยื่นหน้าเข้าหาคนตัวหนากว่าหวังจะฟังให้ชัดเจนกว่าเดิม จนต้องรีบทิ้งระยะถอยห่างกลับมาอย่างเก้อเขิน เจ้านั่นยกยิ้มมุมปากชั่วขณะแล้วเล่าต่อ

“แลพบว่า เมื่อเนิ่นนานกว่าสหัสวรรษ นักปราชญ์ผู้หนึ่งนามว่า สินะ เป็นผู้แต่งถวายเจ้าผู้ครองอาณาจักรโบราณ มีหลักฐานเป็นศิลาจารึกหลักหนึ่งซึ่งอยู่ค้ำฟ้ามาจนบัดนี้ อาจารย์ของข้าดั้นด้นเดินทางขึ้นเหนือไปยังอาณาจักรโบราณอันเก่าแก่เพื่อยืนยันความจริงนี้ ท่านกลับมาพร้อมก้อนมหาศิลา แต่เพียงแค่รถลากเทียมเกวียนเคลื่อนผ่านช่องเขาประตูเมืองหน้าด่าน ศิลาจารึกก้อนมหึมาก็แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเหมือนมีฆ้อนล่องหนทุบทำลาย พร้อมกับลมหายใจอาจารย์ของข้าได้ดับสิ้นลง”
 
มาตะก้มกราบลงพื้นเมื่อเล่าจบ มันย้ายตัวเองมานั่งบนตั่งทำจากไม้แกะสลักลงรักปิดทอง ณ มุมห้อง แล้วหยีบกระดานชนวนสีดำจากหีบไม้ใบใหญ่ออกมาพร้อมแท่งหินขาว พลางจดจารข้อความลงบนกระดานด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
 
พจน์นึกภาพตามเหตุการณ์แล้วให้รู้สึกขนลุกพิกล เขาลอบสังเกตกิริยาอาการขะมักเขม้นขีดเขียนของเจ้านั่นอย่างเพลินตา แสงสว่างจากช่องหน้าต่างเป็นฉากหลังส่งให้ใบหน้ามุ่งมั่นคิ้วขมวดดูน่าค้นหา มีบางอย่างดึงดูดความสนใจทั้งมวลมาสู่คนๆนี้เพียงผู้เดียว
 
เมื่อมาตะเขียนเสร็จแล้วจึงพยักหน้าให้พจน์เข้าหาตน เด็กหนุ่มก้าวเท้าเดินไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าใดก่อนจะนั่งลงเคียงข้างและก้มมองลายมืออันวิจิตรบรรจงบนกระดานชนวน ปรากฏโคลงสี่สุภาพสองบทแรกซึ่งพจน์รับคำท้ามาจากไอ้นิธิ ส่วนอีกสองบทใหม่ถูกเขียนต่อลงมาดุจเป็นโคลงเดียวกัน


                 เวทย์วิถีร่ายร้าง      ทำลาย วิญญ์เอย
      ฉุดร่างแห้งเหือดหาย         ดั่งสิ้น
      เศษเสี้ยวคู่ใจกาย              ไหลหลั่ง
      แก้วแช่งชีพชีวิน               เฟื่องฟุ้ง พลัง

           ล้วนเผ่าพงศ์วงศ์ฟ้า      ก้มกราบ น้อมเอย
      คุกเข่าศิโรราบ                  ล่วงรู้
      ปกครองพิภพภาพ            พื้นแผ่น ดินแดน
      มืดหม่นไร้ทางสู้               ร่ำไห้ ดับสูญ   


เมื่ออ่านจนจบคำว่า ดับสูญ ในใจพจน์ก็บังเกิดความรู้สึกร้อนวูบวาบทั่วทั้งสรรพางค์กาย เหมือนดั่งมีคนเอาไฟมาสุมอยู่ในอกจนร้อนรุ่ม รู้สึกหายใจติดขัด เหมือนร่างกายจะแตกดับเสียให้ได้ เจ้ามาตะลอบเห็นอาการผิดปกตินี้ทันทีจึงเอื้อมมือมาสัมผัสแก้มทั้งสองของพจน์ด้วยสีหน้าร้อนรน

“เจ้าเป็นอันใด ฤา”

“ไม่...” พจน์พึมพำตอบเสียงสั่นเครือ บัดนี้ข้างในกายของเด็กหนุ่มร้อนระอุราวเพลิงไฟ “น้ำ ขอน้ำ”

มาตะกระวนกระวายรีบหาคนโทน้ำพร้อมจอกมาให้ดื่ม แต่ร่างกายพจน์สั่นสะท้านด้วยรุ่มร้อนจนดื่มน้ำนั้นไม่ได้ หกเลอะเทอะเปลอะเปื้อนคนทั้งสอง อาการของพจน์ย่ำแย่จนในใจของเขาคิดว่าคงสิ้นชีพในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้เป็นแน่ สายตาเริ่มพร่าเลือน เรี่ยวแรงที่เคยมีหดหาย ศีรษะปวดร้าวจนจะแยกแตกออก

“พจน์ ภัทรพจน์ เจ้าได้ยินข้า ฤา ไม่” เสียงตะโกนของเจ้ามาตะดังแทรกเข้ามายังประสาทรับรู้ที่กำลังจะดับสิ้น พจน์รู้สึกวูบเอียงและล้มลงโดยมีมือของเด็กหนุ่มวัยเดียวกันเข้าประคองไว้ในวงแขนแกร่ง พร้อมสายตาเป็นห่วงเป็นใยอย่างที่สุด นั่นคือภาพสุดท้ายก่อนสติของพจน์จะหลุดลอยออกจากร่าง    


100%....TBC โปรดติดตามตอนต่อไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-07-2019 19:03:42 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
ลึกลับซับซ้อนเหลือเกิน

ซ่อนเงื่อนงำไว้เยอะจ้า ต้องติดตามๆ

ออฟไลน์ buathongfin

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1251
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-3
ประชันกลอนกันเลยนะเนี่ย  :hao7:

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
รอ

กำลังปั่นตอนใหม่อยู่ครับ รอติดตามๆ

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ค้างที่สุด

กันมายังไง จีบได้น่าตีมากอ้ะ

ภาษาดีมาก
ทิ้งปมไว้ให้ติดตามได้อย่างน่าสนใจ

อยากให้ลองตรวจสอบการสะกดของคำบางคำ เช่น เครือเถาว์ ที่ถูกคือ เครือเถา

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
บทที่ ๕


นิมิตฝัน ฤา จริงแท้



เมฆหมอกมัวสลัวขาวพิสุทธิ์กำจายคละคลุ้งฟุ้งเฟื่องทั่วทุกอณูอากาศ ทัศนียภาพเบื้องจตุรทิศผุดผาดด้วยชะง่อนหินผาเหลื่อมล้ำซ้ำซ่อนซุก ทุกขเวทนาทุรกันดารวิถีทางเดิน ฉับพลันหมอกควันดำกลิ่นเพลิงไหม้อุบัติขึ้นทดแทน ต้นไม้มอดดำเหลือเพียงลำต้น กิ่งและก้าน พุ่งเบียดเสียดแทรกปกคลุมอาณาบริเวณ ลมวายุพัดโหมกระหน่ำซัดโหนลำต้นรวดเร็วดุจพายุพิโรธ หอบอุ้มกลุ่มควันทมิฬให้ลอยสูงและสลายหายสิ้น ณ พื้นพิภพฟ้า

เบื้องหน้าปรากฏเงาปราสาทเทวาลัยหินทรายขนาดมหึมา ประกอบด้วยองค์ประธานก่อด้วยศิลาทรายขาวทรงแหลมคล้ายมณฑป สลักหน้าบันลวดลายศิวเทพ ภายในซุ้มเรือนธาตุประดิษฐานเทวรูปองค์หนึ่ง แต่บัดนี้ถูกตัดเศียรเหลือเพียงองค์ประทับยืนอยู่ในปางห้ามสมุทร ล้อมรอบด้วยซุ้มประตูแลระเบียงคด หน้าซุ้มประตูสร้างเป็นสะพานนาคราช มีบาราย หรือ สระน้ำขนาบอยู่ เสมือนเส้นทางเชื่อมระหว่างพิภพมนุษย์และพิภพสวรรค์
 
ขณะหนึ่งนั้นรังสีแสงสว่างนิลกาฬดุจราตรีมิปาน พวยพุ่งออกจากซุ้มประตูกลางกำแพงแก้ว ก่อเกิดรูปเป็นบุรุษร่างใหญ่กำยำทั้ง ๘ องค์ ณ กึ่งสะพานนาคราช นุ่งห่มภัตราภรณ์ด้วยสีสันดำทมิฬ เครื่องประดับครอบเศียร ทับทรวง สร้อยสังวาล ทองกร แลรัดประคดล้วนมีสีหม่นไหม้ด้วยกันทั้งสิ้น กอปรด้วยผิวกายดำมะเมี่ยมดั่งถูกฉาบทาบทาไว้ ยกเว้นเพียงนัยน์ตาขาวรอบตาดำเท่านั้นที่แตกต่างแลดูเปล่งประกาย ชายทั้ง ๘ ยืนนิ่งมองมายังร่างบุรุษผู้ฉายแสงสว่างผุดผงาดอยู่เบื้องหน้าพวกตน

“สหายรักของข้า...” ชายร่างสูงใหญ่เปล่งแสงสว่างทั่วอาณาบริเวณเป็นผู้กล่าว กลุ่มบุรุษชุดดำไร้เสียงตอบสนอง มีเพียงความเงียบเป็นคำทักทาย

“อำนาจอันครอบครองพวกเจ้า แยกเราห่างจากกันมาเนิ่นนานนับอสงไขย” องค์แสงสว่างเอ่ยอีกครา
 
“มิช้านาน บุรุษผู้ปลดปล่อยพวกเจ้าทั้งมวลจะเยียบย่างเดินทางมาเยือนมหาพิภพ แลอำนาจชั่วร้ายจะดับสิ้นกาลนาน จงอดทน มั่นคงไว้เถิด สหายรัก” เสียงคำพูดสะท้อนดังกึกก้อง กลุ่มหมอกควันดำหวนกลับคืนสู่ทุกซอกทุกมุมปราสาท รวมถึงระเบียงคด และบารายอีกครั้ง
 
“โคลงกลอนบุราณได้ปลุกข้าให้ฟื้นตื่นทรงพลัง เป็นภาระหน้าที่อันใหญ่หลวงของข้าที่จะกระทำการปกปักรักษาผู้ครอบครองและนำความสงบสุขมาสู่พิภพนี้”

สิ้นเสียงของบุรุษร่างสว่าง กลุ่มคนดำทมิฬทั้ง ๘ ต่างพร้อมใจกันระเบิดเพลิงพลังเป็นควันดำลอยล้อมรอบตัวตนแต่ละองค์ ลมพายุพัดโหมกระหน่ำ แสงฟ้าเบื้องบนสว่างวาบส่งเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น แล้วจึงพุ่งตัวเข้าหาร่างแสงสว่างพร้อมลูกไฟมอดไหม้ในกำมือหมายจะสังหารทำลายล้าง

ภัทรพจน์ยกตัวสะดุ้งตื่นพร้อมลำคอแห้งผากราวผุยผง

“ขอน้ำ น้ำ”

มีบุคคลใจดีพยุงร่างพจน์พิงพนักหัวเตียง แล้วจ่อแก้วน้ำมายังริมฝีปากแห้งแตก เด็กหนุ่มดื่มดับกระหายชะล้างลำคอให้ปลอดโปร่งคืนกลับดังเก่า สายตาพล่ามั่วเริ่มแจ่มกระจ่างและชัดเจนในที่สุด เตียงสี่เสาพร้อมม่านสีขาวสว่างคือจุดที่ร่างของพจน์นอนพิงอยู่ เมื่อลองสังเกตลายแกะสลักบนฝาผนังเรือน รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ประดับเรือนทั้งหมดทั้งมวลแล้ว สมองอันน้อยนิดของเขาก็ประมวลได้ว่านี่ไม่ใช่ห้องของตน แต่เป็นของเจ้ามาตะ และบุคคลเจ้าของห้องก็กำลังนั่งทำหน้าเครียดอยู่ริมขอบเตียงด้านซ้าย มันนุ่งผ้าสีน้ำทะเลอย่างมิดชิดเรียบร้อย ไร้เครื่องประดับตกแต่งอื่นใด นอกจากเข็มขัดทองคำ
 
“เจ้าต้องการสิ่งอื่นใดอีกรึไม่” มาตะถามเสียงเครียด

เบื้องหลังนั้นมีกลุ่มชายและหญิงจำนวน ๕ คน ต่างก้มหมอบกราบศีรษะจรดพื้นกระดาน ผู้ชายนุ่งเพียงผ้าหยักรั้งสีกรัก หรือ สีเหลืองออกดำเกือบคล้ำ เปลือยท่อนบน ผมเก็บรวบเป็นมวยไว้กลางกระหม่อมเช่นมาตะ ส่วนผู้หญิงนุ่งผ้าถุงสีกรักสีเดียวกับผ้าคาดอก รวบผมเป็นมวยสูงกว่าฝ่ายชาย ไร้เครื่องประดับอื่นใดที่บ่งบอกฐานะสูงส่ง เบื้องหน้ามีตะลุ่มหลายใบบรรจุขวดทองเหลือง คนโท ชามแลถ้วยกระเบื้องบรรจุสมุนไพรนานาชนิดซึ่งส่งกลิ่นหอมกระทบจมูกสัมผัสของพจน์

อัจกลับโคมไฟเหนือขื่อเพดานส่องสว่างให้แก่ภายในห้องทดแทนแสงธรรมชาติจากดวงพระอาทิตย์ มีชวาลาหรือเครื่องตามไฟตั้งอยู่ข้างตะลุ่ม ลักษณะเป็นหม้อกลมสำหรับใส่น้ำมันและมีไส้จุดไฟ

“เจ้าได้ไข้หนักนัก แลสิ้นสติสมประดีไม่รู้สึกตัวตั้งแต่เมื่อเที่ยงจวบจนย่างเข้าปฐมยาม”

บรรยากาศภายนอกเมื่อมองผ่านกรงลูกมะหวดนั้นมืดมิดสนิท เสียงหริ่งหรีดเรไรดังร้องระงม พจน์ลองขยับตัวก็รู้สึกปวดร้าวระบมทั่วทั้งร่างกาย ลมหายใจยังมีไอร้อนพ่นออกมาอย่างสัมผัสได้ บนร่างกายเปลือยเปล่าของพจน์มีผ้าแพรสีน้ำเงินคลุมทับอีกชั้นหนึ่ง เด็กหนุ่มรู้สึกอ่อนเพลีย แต่ไม่รุนแรงเท่าก่อนหน้าจะหมดสติ

“ข้าเร่งตามหมอยาประจำบ้าน เพื่อพยาบาลรักษาเจ้า ลักษณะอาการทรุดลงทุกโมงยาม จนพ่อหมอผู้ชำนาญเริ่มส่ายหน้า เพราะหาหนทางรักษาอาการนี้มิได้ ประจวบกับพระอาจารย์โกสินธพผู้ทรงศีลแห่งเทวาลัยอัปสรเทพเดินทางมาถึงเรือนข้าอย่างหาสาเหตุไม่ได้ ท่านเร่งร่ายมนตร์คาถาร่วมกับสมุนไพรมีชื่อ ช่วยรักษายื้อชีวิตเจ้าจนอาการดีขึ้นตามลำดับ” มาตะอธิบายเรื่องราวทั้งหมดด้วยแววตานิ่งขรึม มันเป็นอีกผู้หนึ่งที่ไม่สามารถอ่านสิ่งใดได้เลยจากนัยน์ตาคู่นั้น

“เมื่อเสร็จกิจและสั่งความไว้สิ้นแล้วจึงลากลับอย่างปัจจุบันทันด่วน เหมือนท่านรู้ว่าเจ้าป่วยและต้องการคนช่วยชีวิตอย่างไรอย่างนั้น” มาตะถอนหายใจราวกับยกภูเขาออกจากอก

พจน์กลืนน้ำลายลงคอพยายามเรียกคำพูดกลับคืน

“แล้ว...แล้วเกิดอะไรขึ้น ทำไมอยู่ๆถึงป่วยไข้ได้” พจน์ถามเสียงแห้ง

มาตะเหลียวมองกลุ่มบ่าวไพร่บนพื้นห้องแล้วสั่งการ

“พวกเจ้าทั้งหมดออกไปรออยู่หน้าห้อง เผื่อมีกิจอันใดให้เรียกหา แลส่งคนแจ้งข่าวแก่นายแม่พร้อมพ่อท่านให้ทราบว่า ทุกอย่างเรียบร้อยดีไม่ต้องเป็นห่วงอันใด”

“ขอรับ”

บ่าวชายร่างใหญ่ผิวเข้มร้องตอบเจ้านายพวกตน ก่อนจะพากันคลานเข่าออกทางประตูห้องแล้วปิดคืนดังเดิม กลิ่นหอมสมุนไพรจำพวกขิง ขา ตะไคร้ยังคงตลบอบอวลอยู่ทั่วห้อง น่าจะมาจากหม้อดินเผาต้มยาบนตั่งไม้ลงรักปิดทอง แต่ก็ช่วยให้พจน์รู้สึกหายใจได้สะดวกและเบาสมองดีนัก

เจ้ามาตะสะบัดผ้านุ่งห่มด้านปล่อยชายเพื่อขยับขาเข้าใกล้พจน์ให้มากขึ้น คนป่วยสะดุ้งเล็กน้อยกับกิริยาอาการเมื่อครู่ เจ้านั่นขยับกายประชิดพจน์อย่างรวดเร็วและเอื้อมฝ่ามือค่อยประคองจับศีรษะของเขาให้หันซบลงบนอกแกร่งของตนเอง มืออีกข้างก็ลูบแขนพจน์ขึ้นลงอย่างปลอบโยน
 
“อย่าได้ปริวิตกมากนัก อาการดั่งเจ้าเป็นมิอาจสืบหาสาเหตุได้โดยหมอแพทย์พื้นบ้าน แต่เป็นผู้ทรงภูมิหยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าเท่านั้นที่จะเยียวยาแก้ไขรักษาได้ทันท่วงที”

พจน์รู้สึกขนลุกกราวไม่ใช่เพราะคำพูดปลอบประโลมนี้ แต่เป็นสัมผัสไออุ่นจากบุคคลเบื้องหลัง รวมถึงการเคลื่อนไหวอ่อนโยนของเจ้านี่ต่างหาก พจน์ไม่ได้ขัดขืนหรือร้องประท้วงการกระทำดั่งล่วงเกิน ไม่ใช่เพราะเขาชอบสิ่งที่มันทำอยู่ แต่เป็นเพราะร่างกายอันอ่อนเพลียจากการหายไข้ไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะต้านทานไอ้จอมบังคับนี่ได้ มาตะสัมผัสแขนพร้อมลูบผมพจน์จนพอใจแล้วจึงเปลี่ยนมาจับมือไว้แน่น ราวกับกลัวว่าพจน์จะล่องหนหรือหายตัวไปอย่างหนึ่งอย่างใด

“ราตรีนี้ยังอีกยาวนานนัก เจ้าเองเพิ่งฟื้นคืนสติ กำลังวังชาจำจักต้องอาศัยการหลับนอนเพื่อฟื้นฟูสักเพลาหนึ่ง”

อกหนาของเจ้ามาตะกระเพื่อมขึ้นแรงลงแรง จนพจน์จับจังหวะการเต้นระรัวเร็วของหัวใจได้ ถ้าหากถามว่ามันเป็นโรคหัวใจหรือเปล่าก็เกรงอีกฝ่ายจะโกรธ จึงเงียบปากเสีย และฟังมันพูดต่อ

“สิ่งใดที่เจ้ากังขาจงเก็บไว้ในใจชั่วครู่ ในวันรุ่งพรุ่งนี้ข้าจักพาเจ้าไปเข้าเฝ้าพระอาจารย์โกสินธพ เพื่อชี้แจงแถลงไขข้อปัญหาทั้งหมด”

โคลงสี่สุภาพต้องห้ามนั้นต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาการของพจน์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เพราะทันที่เมื่อเขาอ่านจบอาการเจ็บร้อนก็เกิดขึ้นทันควัน ถ้าจะมีใครตอบข้อสงสัยนี้ได้ก็คงเป็นพระอาจารย์ผู้นั้น

“ข้าจะอยู่กับเจ้าตรงนี้ จงวางใจหลับให้สบายกายเถิด”

เสียงทุ้มต่ำของคนตัวหนากว่าเป็นเหมือนหนึ่งเครื่องเคาะจังหวะสม่ำเสมอ ส่งให้สติของพจน์กลับสู่การหลับใหลอีกครั้ง ดูเหมือนพจน์จะลืมอะไรบางอย่าง ถ้านี่เป็นความฝัน เมื่อเขาตื่นอีกครั้งก็คงพบไอ้กันยืนหัวเราะตัวงออยู่หน้าประตูห้องน้ำ และรอคอยบอกว่า พจน์แอบหลับอยู่ในนั้น จนเจ้าตัวต้องรออยู่เกือบหลายนาทีกว่าเขาจะตื่น แต่ฝันครั้งนี้ช่างยาวนานนัก ทั้งเจ็บปวดทั้งอบอุ่นอย่างแปลกประหลาดจนอีกใจหนึ่งนั้นไม่อยากตื่นจากนิทราเลยแม้แต่น้อย


50%....TBC โปรดติดตามตอนต่อไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-07-2019 19:05:30 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
ค้างที่สุด

กันมายังไง จีบได้น่าตีมากอ้ะ

ภาษาดีมาก
ทิ้งปมไว้ให้ติดตามได้อย่างน่าสนใจ

อยากให้ลองตรวจสอบการสะกดของคำบางคำ เช่น เครือเถาว์ ที่ถูกคือ เครือเถา

จะแก้ไขตรวจทานให้ถูกต้องครับ อย่าลืมติดตามตอนที่ 5 นะครับ

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
[ต่อ]


เสียงไก่ขันร้องรับขับขานผสานต่อจากกัน บรรยากาศหนาวเย็นชื่นสบายปกคลุมอยู่ทุกหนแห่ง อรุณรุ่งเคลื่อนผ่านพิภพตะวันออกมาเยือนทุกสรรพสิ่งเฉกเช่นวัฏจักร หมู่มวลชีวิตต่างพากันตื่นจากการหลับใหลรวมถึงภัทรพจน์ด้วย เขารู้สึกนอนเต็มอิ่มและกำลังวังชากลับคืนเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ทันทีเมื่อลืมตาตื่น ภาพที่เห็นตรงหน้าคือ ปลายจมูกโด่งคมสันแทบจะจิ้มหน้าผากของพจน์ห่างเพียงไม่กี่เซนติเมตร ใบหน้าหล่อเหลาของเจ้ามาตะยามหลับสนิทดูไร้พิษภัย ริมฝีปากบางเผยอเล็กน้อย หนวดเคราเริ่มเสียดแทงขนตาเป็นแพยาว คิ้วหนาไม่ขมวดมุ่น เป็นมุมมองแปลกตาที่พจน์ไม่เคยลอบดูมาก่อน ลมหายใจเป็นจังหวะต่อเนื่องเป็นสัญญาณว่ามันยังคงหลับลึกแม้แต่เสียงไก่ขันก็ไม่อาจปลุกเจ้านี่ตื่นขึ้นได้ พจน์รีบหลับตาลงและลืมตาตื่นอีกครั้ง ภาพที่เห็นยังเป็นใบหน้าใกล้แค่นิดเดียวของเจ้ามาตะดังเดิม ยืนยันว่าพจน์ยังไม่ตื่นจากความฝันเป็นแน่ อีกใจหนึ่งนึกประหวั่นกริ่งเกรงว่า ถ้าพจน์หลับลึกยาวนานเช่นนี้ ไอ้คุณเปรมณัฐและกลุ่มเพื่อนเขาจะทำประการใด

ท่อนแขนแกร่งของเจ้าคนหลับที่โตกว่าแขนพจน์ไม่เท่าไหร่ใช้เป็นหมอนหนุนให้คนป่วย นั่นทำให้เขารู้สึกหน้าร้อนผ่าว และถ้านั่นยังไม่ใช่ท่านอนพิสดารมากพอแขนซ้ายของมันยังพยายามพาดเอวพจน์แล้วดึงเข้าหาตัวเองประหนึ่งจะรวมร่างกันเสียให้ได้ ด้วยความรู้สึกแปลกพิกลนี้ยืนยันได้ว่าถ้าเกิดใครมาเห็นพวกเขาสองคนในสภาพล่อแหลมย่อมไม่เกิดผลดีอย่างแน่นอน
 
พจน์จึงค่อยๆเอื้อมผลักมือปริศนาออกจากเอวของตนอย่างแผ่วเบา เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายตื่นมาเจอท่านอนรวมร่าง ไม่รู้ว่าเป็นพจน์หรือไอ้มาตะเป็นคนจัดท่านอนหนุนแขนนี้ แต่พจน์สาบานได้ว่าคงไม่ใช่เป็นตนอ้อนให้มันเอาแขนมาหนุนต่างหมอนแน่นอน เพียงแค่พจน์สัมผัสหลังมือของเจ้ามาตะ มันก็ดึงกระชับเอวของพจน์เข้าหาตัวเองอย่างรวดเร็ว เหมือนอาการละเมอหรือเป็นปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งเร้าของคนนอนอย่างหนึ่งอย่างใด
 
เด็กหนุ่มคนตื่นเบิกตาโพลง และเกร็งทุกส่วนบนร่างกายอย่างปัจจุบันทันด่วน ในสมองส่วนสำคัญของพจน์เปิดสัญญาณไฟฉุกเฉินเรียบร้อยแล้ว ระยะห่างระหว่างจมูกโด่งกับหน้าผากได้ถูกปิดลงเป็นการถาวร สัมผัสไอร้อนของคนตัวหนากว่าทำให้พจน์ขนลุกกราวตั้งแต่หลังคอจรดปลายนิ้ว ถ้าอาการยอมซบอก ลูบผม จับมือ เมื่อก่อนนอนเป็นเหมือนปฏิกิริยาเพราะพิษไข้ แต่บัดนี้อาการไข้หายสิ้นแล้วและความรับรู้ของประสาททั้งหมดชัดเจนจนพจน์รู้สึกละอายใจกับการยอมให้มันทำเช่นนั้นเหลือเกิน ถ้าหากย้อนเวลาได้เขาคงจะไม่เผลอไผลเพราะอารมณ์ไข้พาไปเด็ดขาด
 
มาตะยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นนอนในอีกหนึ่งถึงสองนาทีนี้ เสียงไก่ขันต้อนรับอรุณรุ่งยังดังต่อเนื่อง ระหว่างพจน์กำลังตัดสินใจว่าจะยันเท้าใส่ไอ้คนละเมอคว้าเอวคนอื่นไปกอดให้ตกจากเตียงดีหรือไม่นั้น บานประตูห้องนอนก็ถูกกระแทกเปิดออกด้วยพละกำลังของเด็กหนุ่มร่างใหญ่คนหนึ่ง ลมเย็นจากภายนอกพัดผ้าม่านรอบเตียงให้เปิดออกทันที

“เวรตะไล! มาตะ นั่นเจ้ากับ...” คนร่างอวบร้องเหมือนเห็นผีสางนางไม้
 
ไอ้คนขี้เซาสะดุ้งตื่นทันทีเหมือนโดนน้ำร้อนสาดใส่ พลางรีบเหลือบแลพจน์ซึ่งแกล้งหลับตาทันทีเหมือนท่อนไม้ ไอ้มาตะค่อยๆขยับแขนออกแล้วใช้หมอนหนุนศีรษะพจน์แทน เลื่อนผ้าแพรออกจากลำตัวอย่างเบามือแล้วรีบรุดปิดปากเพื่อนเกลอทั้งสองอย่างรวดเร็ว

“ห้ามส่งเสียงรบกวนเป็นเด็ดขาด” มาตะกระซิบกระซาบใส่หูเพื่อนผู้มาเยือน ถ้าการปรือตามองของพจน์ไม่ผิดพลาด ไอ้สองคนผู้ผลีผลามบุกรุกเข้ามาห้องคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตนี้ เขาเคยเจอมาแล้วในห้องเก็บตำราหลวงนั่น

“แล้วเจ้าสองคนจักทำอันใดกันอยู่งั้นรึ” โกสินทร์ร่างยักษ์ถามต่อเสียงเบา

“นอนพักเพียงเท่านั้น” มาตะรีบโต้แย้งหน้านิ่ง ไอ้คนชื่อเวฬุชิ้นิ้วใส่คนปากแข็งพลางอมยิ้มอย่างมีเลศนัย

“เจตนาอันเที่ยงแท้คือแค่นั้นรึหาไม่”

โกสินทร์หัวเราะเสียงต่ำอย่างพึงพอใจกับอาการจนตรอกของเพื่อนรูปงาม

“เอาเถิด ไม่ว่าเจ้าจักเพียงนอนพักหรือทำการอันใดก็ตามแต่” โกสินทร์ผิวเข้มทำหน้าเป็นการเป็นงานแต่อดส่งสายตายั่วล้อไม่ได้ “หาใช่ธุระกงการของข้าไม่ แต่ที่เป็นเหตุให้ข้าบุกรุกเข้ามาหาเจ้าก็เพื่อเตือนว่า กำหนดนัดหมายเข้าพบพระอาจารย์ถูกเลื่อนมาเป็นเพลาย่ำรุ่ง นี่แหละคือกิจของข้าทั้งสอง”

“เหตุใดถึงเปลี่ยนแปลงรวดเร็วดั่งนี้” มาตะซักถาม

“พระอาจารย์มีเหตุต้องเร่งเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวให้ทันประชุมเช้า ณ ท้องพระโรง” เวฬุร่างอวบแถลงไข มาตะพยักหน้าเข้าใจ

“พวกเจ้าข้างนอกจงเร่งจัดหาเครื่องชำระล้าง แลเสื้อผ้าอาภรณ์เป็นการด่วน” มาตะร้องสั่งบ่าวไพร่ มีเสียงรับคำจากภายนอกตอบกลับมา

ต้นแขนขาวของพจน์ซึ่งแกล้งหลับอยู่ถูกสัมผัสแผ่วเบาจากฝ่ามือหนา จนเจ้าตัวสะดุ้งขนลุกตั้งชัน

“ตื่นก่อนเถิดเจ้า” มาตะกระซิบริมขอบหู “มีเหตุให้ต้องเร่งเข้าพบพระอาจารย์”

เปลือกตาของพจน์ค่อยๆเผยอเปิดเพื่อมาเผชิญกับใบหน้าเพิ่งตื่นของบุคคลที่นอนอยู่ด้วยกันทั้งค่ำคืน สภาพหน้าสดของมันยังดูหล่อเหลาเอาการดังเดิม แม้นไม่ได้ล้างหน้าหรือแต่งองค์ทรงเครื่องแต่ประการใด เจ้ามาตะใช้หลังมือแตะหน้าผากพจน์เพื่อวัดไข้

“อาการเจ็บไข้ทุเลาเบาบางลงมากแล้ว ฤา” พจน์พยักหน้าผุดลุกขึ้นนั่ง ได้ยินเสียงหัวเราะขบขันของไอ้สองคนนั่นดังอยู่ใกล้กับประตูห้อง ก่อนจะทำใจหลับตาและแหวกม่านรอบเตียงออก พลางก้าวเท้าเปลือยเปล่าสัมผัสพื้นกระดานเย็น มายืนคู่ไหล่ชนไหล่กับเจ้ามาตะ

ใบหน้าของโกสินทร์และเวฬุแม้จะปรับเปลี่ยนเป็นเพิกเฉยได้รวดเร็วแต่แววตาระยิบระยับนั้นไม่อาจปิดบังซ่อนเร้นไว้ได้มิดชิดเมื่อพจน์สังเกตสบตา

“ข้ามีนามว่า โกสินทร์ เป็นมหาดเล็กรักษาพระองค์ สังกัดกรมกองเดียวกับเจ้ามาตะ ส่วนเจ้านี่...” คนผิวสีแทนร่างกำยำ วันนี้นุ่งผ้าอยู่ในชุดสีน้ำเงินเข้มพร้อมเครื่องประดับทองคำแนะนำตนเอง

“ข้ากล่าวเอง” เด็กหนุ่มร่างอวบ ห่มภูษาสีม่วงเข้มเร่งเอ่ยขัดคำเสียงดัง ก่อนจะแปรเปลี่ยนท่าทีเป็นอ่อนโยนทันควัน
 
“นามข้า คือ เวฬุ เป็นมหาดเล็กรักษาพระองค์เฉกเช่นกัน” เจ้าเวฬุฉีกยิ้มกว้าง “แลเป็นสหายรักร่วมเป็นร่วมตายกับเจ้ามาตะของท่าน”

‘เจ้ามาตะของท่าน เจ้ามาตะของท่าน’ พจน์ได้ยินคำพูดท้ายประโยคดังสะท้อนก้องกลับไปกลับมาอยู่หลายวินาทีจนหน้าร้อนผะผ่าว

“อย่าได้กล่าวล้อเล่น เจ้ามิเห็นกระนั้นรึว่า ‘เขา’ เพิ่งหายจากอาการเจ็บไข้” มาตะส่งเสียงเข้มห้ามปราม แต่ดูเหมือนเกลอรักทั้งสองแทบไม่ได้สนใจฟังเพราะอาการหน้าขึ้นสีระเรื่อของพจน์เรียกเสียงหัวเราะสุดพรรณนาของผู้มาเยือนได้เป็นอย่างดี

“แล้วเจ้าเล่า ชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไร” โกสินทร์ยั่วยิ้มถามขยิบตาให้เด็กหนุ่มแปลกหน้า

ถ้าหากเจ้าสองคนนี้ไม่ได้เข้ามาเห็นในจังหวะที่ไอ้มาตะทอดกายก่ายกอดพจน์อยู่ละก็ เขาคงจะตอบโต้ได้อย่างฉะฉาน แต่นี่ให้รู้สึกละอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนีอย่างไรไม่รู้

“ชื่อภัทรพจน์” ตอบแล้วก้มหน้ามองพื้น

“นามไพเราะยิ่งนัก” เวฬุทุบอกตนเองดังปึก

“งามเช่นเดียวกับใบหน้าของเจ้าเสมอกัน” โกสินทร์ทำตาพราวระยับ

พนักงานบ่าวรับใช้จำนวนหนึ่งเข้ามาขัดจังหวะซักถาม ต่างถือภาชนะใส่น้ำเพื่อใช้ชำระล้างร่างกายเข้ามา พร้อมภูษาผ้าพับผืนใหญ่จำนวนสองชุด
 
เมื่อเห็นดังนั้นเจ้ามาตะจึงรีบยื้อยุดฉุดแขนพจน์ให้เดินตามไปอีกห้องหนึ่งซึ่งอยู่ถัดจากเบื้องหลังฉากกั้นลงรักปิดทอง

“เจ้าจงจัดการตนเองก่อนเถิด แลปล่อยเขาไว้กับพวกข้าทั้งสองก่อน” เจ้าโกสินทร์ตะโกนไล่หลัง

“รับรองพวกข้าจะไม่ทำอันใดให้เป็นที่เดือดเนื้อร้อนใจเป็นแน่” เจ้าเวฬุเสริมคำ

ไอ้มาตะเหมือนหูดับชั่วขณะหนึ่ง หน้าบึ้งตึงยิ่งกว่าเดิม อาการเหมือนไม่ได้ยินคำพูดเพื่อนของตนแม้สักเล็กน้อย
บ่าวไพร่เปิดประตูห้องถัดไป เด็กหนุ่มทั้งสองก้าวตาม แสงสว่างจากชวาลาต้องกระทบภายในห้องส่องให้เห็นลักษณะห้องปิดทึบมีโอ่งดินเผาประดับตกแต่งเขียนลายรูปพยัคฆ์ตั้งอยู่มุมหนึ่ง มีฉากกั้นขึงตึงด้วยผ้าโปรงแสงปักด้วยด้ายไหมสีน้ำเงินสลับทองเป็นลวดลายมัจฉาแหวกว่ายท่ามกลางคลื่นมหาสมุทร ความสูงระดับอกตั้งกางกั้นอยู่กึ่งกลางห้อง บ่าวชายหญิงจัดการเทน้ำลงโอ่ง อีกส่วนหนึ่งคลี่ผืนผ้าไหมแขวนไว้บนราวตาก คนที่เหลือรีบเข้ามาหาพจน์ที่ยืนเงอะงะงุนงงอยู่ ประเดี๋ยวหนึ่งจึงรู้ว่ากำลังถูกถอดผ้าสีขาวที่ใช้นุ่งห่มออกจากตัว จนเด็กหนุ่มผู้ไม่เคยชินต้องร้องเสียงหลง

มาตะซึ่งกำลังถูกบ่าวไพร่หญิงสองคนถอดผ้าออกเช่นกัน รีบหันมามองว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น เพียงแค่สบตากลมโตสีน้ำตาลของพจน์ มันก็เหมือนจะรู้ว่าต้องทำสิ่งใดต่อ จึงร้องบอกบ่าวชายหญิงทั้งหมดให้ออกไปจัดการต้อนรับขับสู้แขกผู้มาเยือนทั้งสองแทน

เจ้านั่นถูกถอดออกเกือบหมดเหลือเพียงผ้าหยักรั้งสีแดงเข้มอีกชั้นหนึ่ง ปกปิดส่วนสำคัญไว้อยู่ กล้ามอกกว้าง แผงท้องนูน และต้นขาแน่นสะท้อนเป็นเงาคมชัดจากแสงชวาลาดวงน้อย มันยืนนิ่งคิดเหมือนไม่รู้จะทำอย่างไรกับพจน์ดี

“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะออกไปก่อน เจ้าจงเร่งชำระล้างร่างกาย โดยใช้แต่เพียงผ้าชุบน้ำอุ่น ซึ่งบ่าวของข้าได้จัดเตรียมไว้นั่นแล้ว” มาตะชี้อ่างทองเหลืองสลักลายนูนรูปปลาพร้อมผ้าซับสีขาววางอยู่ใกล้กับโอ่งดินเผา มีควันสีขาวลอยกรุ่นอยู่เหนือผิวน้ำ

พจน์กระพริบตาแล้วพยักหน้าเข้าใจ มองอีกฝ่ายที่มีท่าทีทำอะไรไม่ถูกอยู่ชั่วขณะหนึ่ง มันถอนหายใจแรง

“แต่ถ้าหากเจ้าเช็ดชำระกายไม่ถนัดมือ จงเรียกข้า” พจน์รู้สึกสะดุดกับประโยคข้างต้น “ข้าจักให้บ่าวไพร่เข้ามาช่วยเหลือ”

มาตะเหลือบแลพจน์อีกครั้งแล้วรีบเบือนหน้าหนีเหมือนเป็นสิ่งน่าขยะแขยงไม่น่ามอง จนทำให้เขารู้สึกวูบโหวง ณ อกเบื้องซ้าย อาการเมินเฉยจากคนตัวหนาทำให้พจน์รีบก้มสำรวจตนเอง ผิวท่อนบนแม้ไม่ขาวกระจ่างเทียบกับอีกฝ่ายแต่ก็พอดูดีเรียบเนียนประมาณหนึ่ง กล้ามเนื้ออก หน้าท้อง หรือกล้ามแขน ก็สามารถถอดโชว์คนอื่นได้ไม่อับอายใคร แต่อาการกระสับกระส่ายเหลียวมองประตู ไม่สบตา กำมือแน่นของเจ้ามาตะ เหมือนไม่อยากแลสายตาดูสารรูปของพจน์จนแม้แต่การจะอาบน้ำด้วยร่วมกันยังไม่อาจเป็นไปได้นั้นสร้างความรู้สึกบางอย่างในใจของเด็กหนุ่มร่างบาง

ขณะที่มาตะตัดสินใจก้าวเท้าเพื่อออกจากห้องชำระล้าง มือของพจน์ก็รีบคว้าแขนคนตัวหนาให้ดึงกลับมาเผชิญหน้าตนอีกครั้ง เจ้ามาตะสะดุ้งแต่ไม่เหลียวหน้ากลับมา พจน์ต้องก้าวไปยืนอยู่ตรงตำแหน่งการมองของมัน แล้วสบตาอีกฝ่ายเหมือนจะหาคำตอบบางอย่าง

ถ้าหากนี่เป็นความฝัน ทำไมหัวใจของพจน์ถึงได้เต้นระรัวราวกับจะหลุดออกมาสู่ภายนอกเสมือนเกิดขึ้นจริงดั่งนี้

ถ้าหากนี่เป็นความฝัน แววตาคมเข้มซึ่งมองตอบพจน์ ถึงได้บอกอารมณ์ความรู้สึกมากมาย เสมือนเกิดขึ้นจริงดั่งนี้

และถ้าหากนี่เป็นความฝัน ความรู้สึกอุ่นวาบ ณ จุดสัมผัสแขนจวบจนสมองถึงได้โล่งโปร่ง จนไม่สามารรับรู้ได้ว่านี่คือ ปัจจุบัน อนาคต อดีต หรือภาพฝัน จินตนาการ หรือที่แท้คือ ความจริง

เมื่อมาตะเลื่อนฝ่ามือผสานนิ้วทั้งห้าหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับมือของพจน์จนผนึกแน่นนั่นแล้ว พจน์จึงตัดสินใจได้ในที่สุดว่าทั้งหมด คือ ภาพฝันหรือความจริง


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-07-2019 19:06:39 โดย LoveBlueSky2203 »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ pnn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ตอน 5 มาแล้ววว จิ้มไว้ก่อน เด่วมาอ่านๆ :katai4:

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
บทที่ ๖


หายนะภัย


เด็กหนุ่มทั้งคู่กุมมือแนบผสาน สัมผัสจังหวะการเต้นของชีพจรอีกฝ่าย กำลังสูบฉีดเลือดหล่อเลี้ยงหัวใจได้รวดเร็วเหลือประมาณ บรรยากาศยามเช้าแม้หนาวเย็นแต่ความรู้สึกอบอุ่นไม่จืดจางนี้ผุดกระจายมาจากแห่งหนใด พจน์รู้แล้วว่าเหตุการณ์ทุกสิ่งทั้งเมื่อแรกพบและเกิดอยู่ตรงหน้านี้คือความจริง ไม่ใช่ความฝัน ถึงแม้นไม่อาจหาต้นสายปลายเหตุซึ่งนำตนมาสู่สถานที่นี้ได้ก็ตาม แต่เบื้องลึกในใจเขาตอบยืนยันหนักแน่นเกินกว่าจะคัดค้านได้
 
ทุกสรรพสิ่งเหมือนถูกกาลเวลาฉุดรั้งให้หยุดเคลื่อนไหว มีเพียงหทัยสองดวงเท่านั้นที่เต้นกระหน่ำ เจ้ามาตะเอื้อมมืออีกข้างมาสัมผัสใบหน้าของพจน์อย่างเบามือ ประคองรั้งให้อยู่นิ่งเฉย ดวงตาสีเข้มสะกดทุกการกระทำของพจน์ให้เชื่องช้าลงรวดเร็ว จนเขาอยากจะหลบหลีกสายตาอันร้อนแรงนั้นเหลือจะกล่าวแต่ก็ยากเกินกว่าจะทำได้ดังใจหวัง เจ้ามาตะค่อยๆยื่นใบหน้านิ่งขรึมแต่หล่อเหลาเคลื่อนเข้าใกล้ผิวหน้าพจน์ สายตาสลับมองระหว่างดวงตาสีน้ำตาลเข้มและริมฝีปากอิ่ม พจน์พยายามปิดเปลือกตาลง ถ้าหากนี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาไม่ปรารถนา ร่างกายทุกส่วนคงดิ้นรนห้ามปรามแล้ว ถ้าอารมณ์ความรู้สึกอยู่เหนือความรับผิดชอบชั่วดี เขาคงยอมแลกทั้งหมดเพื่อเผชิญผ่าน ณ ห่วงวินาทีนี้ และพิสูจน์ว่าใจของเขายังเป็นของตัวเองอยู่อีกหรือไม่
 
ฉับพลัน ณ จุดมือสัมผัส ผิวหนังของพจน์บังเกิดเลือนรางจนจางหายแลลุกลามมาตามแขนรวมทั้งขาสองข้าง สีหน้าแปลกประหลาดใจของเจ้ามาตะสะท้อนสู่สายตาพจน์

“เกิดเหตุเภทภัยอันใดกับเจ้าอีกกระนั้นรึ ผิวกายเจ้าถึงได้โปร่งแลจืดจาง ราวกับจักหายตัวไปประเดี๋ยวนี้” มาตะถามเสียงละล่ำละลักรีบไขว่คว้ามือว่างเปล่า ทุกส่วนสูญหายแล้วเกือบครึ่งท่อน พจน์ไม่อาจทราบสาเหตุแต่อย่างใดได้แต่ส่ายหน้า

“ภัทรพจน์!”

เด็กหนุ่มไม่รับรู้ความเจ็บปวดสุดแสน อาการเลือนหายลุกลามจนในที่สุดสายตาของพจน์ก็เห็นเจ้ามาตะค่อยๆลบออกจากคลองจักษุ เช่นเดียวกับห้องอาบน้ำถูกกลืนด้วยหมอกควันขาวและเปลี่ยนสภาพเป็นห้องกว้างสีขาวสะอาด แสงแดดอ่อนค่อยๆเคลื่อนผ่านรอยแยกของผ้าม่านกระทบกับฝาผนังและเตียงนอนที่พจน์นั่งอยู่ กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อกระจายอยู่ทั่วบริเวณ

ชุดคนไข้คือสิ่งที่พจน์สวมใส่แทนชุดคล้ายโจงกระเบนและผ้าคล้องไหล่ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าสถานที่นี้คือ โรงพยาบาล เสาแขวนขวดน้ำเกลือตั้งอยู่ข้างเคียง ใกล้กันมีคนนั่งหลับอยู่ใช้มือทั้งสองหนุนต่างหมอนเช่นเดียวกับเวลาพจน์ชอบแอบหลับ เป็นไอ้คุณเปรมณัฐนั่นเอง พจน์จำลักษณะทรงผมและผิวขาวจัดของมันได้แม้ไม่ต้องเห็นใบหน้า
 
ตรงมุมห้องเป็นกลุ่มโซฟาสีครีมจำนวนสามตัวถูกจับจองด้วยดาว น้องสาวของพจน์เธอนอนหลับสนิทบนตักภพดนัยซึ่งอิงพนักหลังหลับอยู่เช่นเดียวกัน อีกส่วนหนึ่งนั้นคือกลุ่มเพื่อนของพจน์ ประกอบด้วย ไอ้โบท ไอ้ต่อ ไอ้กี และไอ้เตี้ยน้ำกำลังหลับใหลกอดก่ายกันกลมทั้งสี่คนเป็นภาพตลกขบขันชั้นดี

การที่พจน์เที่ยวปรากฏตัวในอีกสถานที่หนึ่งและย้อนกลับมายังอีกที่หนึ่งนั้น เขารู้แจ้งแก่ใจแล้วว่า ทั้งหมดไม่ใช่เหตุจากความฝัน ตนเองมั่นใจว่าร่างอันแท้จริงยังดำเนินอยู่ที่นี้ จะด้วยเหตุผลกลใดก็ตามแต่ สิ่งซึ่งชักนำให้ส่วนหนึ่งในกายพจน์ปรากฏอยู่ ณ แห่งหนึ่งแห่งใดได้นั้นเป็นปริศนายากเกินคาดเดา เงื่อนไขทั้งหมดคือสิ่งใด คงมีเพียงพระอาจารย์ของเจ้ามาตะเท่านั้นจะให้คำตอบได้ แววตา ความรู้สึก ผิวสัมผัสของไอ้มาตะยืนยันความจริงในข้อนี้ได้เป็นอย่างดี

แล้วนี่เหตุใดพจน์ถึงตื่นมาอยู่บนเตียงคนไข้ในโรงพยาบาลแทนที่จะเป็นห้องน้ำของโรงเรียน หรือว่าช่วงเวลาระหว่างพจน์อยู่กับเจ้ามาตะประมาณหนึ่งวันหนึ่งคืนนั้น ร่างของเขา ณ โลกนี้ก็หยุดนิ่งไม่มีการตอบสนองอื่นใดอย่างนั้นหรือ

เวลา ช่างเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวด

เมื่อลองคิดทบทวน หะแรกพจน์ได้เจอเจ้ามาตะ ตอนนั้นเขามีอาการเหมือนหลับสนิทอยู่บนรถยนต์ระหว่างเดินทางกลับบ้าน และมารู้สึกตัวอีกทีก็ต่อเมื่อสิ้นสุดภาพจากห้องเก็บตำราหลวง

ถ้าพิจารณาตามข้อสันนิษฐานข้างต้น ร่างของพจน์คงหมดสติประหนึ่งนอนหลับอย่างปัจจุบันทันด่วน ไอ้กันและเพื่อนพ้องคงนำตนส่งโรงพยาบาลเพื่อรักษาอาการและหาสาเหตุ ต้องขอบใจพวกมันเหลือประมาณที่เฝ้าดูแล
 
กำหนดการข้ามภพจะเป็นเมื่อไหร่ไม่มีใครรู้ได้ อย่างน้อยพจน์มั่นใจว่าตนต้องเจอเจ้านั่นอีกแน่นอน เขาเชื่อเช่นนั้น เมื่อตั้งมั่นและสงบใจได้แล้วจึงสะกิดฝ่ามือของไอ้คุณปาล์ม มันสะดุ้งผวาเล็กน้อยก่อนจะคลี่เปลือกตาชั้นเดียวแหงนมองพจน์

“ไอ้พจน์ มึงตื่นแล้ว” ไอ้คนหน้าหล่อร้องดีใจ จนพจน์ต้องยกนิ้วแตะริมฝีปากมันให้เบาเสียง
 
“เงียบก่อน กูยังไม่อยากทำให้ทุกคนแตกตื่น” พจน์กระซิบ ไอ้ปาล์มเปลี่ยนหน้ายิ้มเป็นนิ่งเฉยดังเดิม มันถอนหายใจเหมือนโล่งอก

“กู...” ไอ้กรรมการสภานักเรียนก้มหน้ามองขอบเตียง บรรยากาศเย็นสบายกำจายทั่ว

“กูคิดว่าจะไม่ได้คุยกับมึงอีกแล้ว มึงทำให้พวกกูตกใจแทบแย่ รู้ตัวหรือเปล่า อยู่ๆก็มีอาการแบบนี้ คราวหน้ากูจะไม่ปล่อยให้มึงเดินไปไหนมาไหนคนเดียวอีก” คนพูดน้อยเอ่ยประโยคยาวยืด
 
พจน์เผลอยิ้มอย่างชอบใจ ตบไหล่หนาไอ้เพื่อนตัวดีอย่างเบามือเหมือนรับรู้ความเป็นห่วงเป็นใยของมัน พร้อมคำขอบคุณที่ไม่ต้องเอ่ยอ้าง

“พี่พจน์ฟื้นแล้วค่ะ” เสียงร้องแหลมของดาวปลุกให้ประชากรเพศชายในห้องตื่นจากการหลับใหลทันที ดาราวิ่งมาจับมือพี่ชายเขย่าขึ้นลงอยู่อย่างนั้น ภพดนัยเดินมาลูบหัวลูกคนโต

“ไม่เป็นไรแล้วนะ ปวดหัว หรือต้องการอะไรอีกหรือเปล่า” ภพดนัยมีสีหน้าซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัดซักถาม

“ไม่ครับ ผมดีขึ้นแล้ว” พจน์พยักหน้าตอบ ไม่มีอาการเจ็บปวดหรือฟกช้ำเมื่อลองขยับกาย ไอ้ต่อ ไอ้กี ไอ้โบท และไอ้น้ำแกะตัวออกจากกลุ่มก้อนมายืนรุมล้อมด้านหลังไอ้ปาล์มที่ยังคงก้มหน้าอยู่

“มึงไม่ต้องเป็นห่วงนะ กูจัดการไอ้กันแทนมึงแล้ว” ไอ้เตี้ยน้ำชูกำปั้นกำหมัดแน่นคุยโวเสียงดัง

“ให้มันน้อยๆหน่อย น้องน้ำ ได้ข่าวว่าคนที่ทำให้ไอกันเจ็บหนักไม่ใช่มึงนะ กูเห็นมึงเอาแต่ร้องไห้แล้วก็พูดว่า ‘ไอ้พจน์ ไอ้พจน์มึงอย่าเป็นอะไรนะ’ อยู่อย่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนตาบวม” ไอ้โบทหน้าตี๋ตบหัวน้องน้ำเบามือ คนอื่นหัวเราะครื้นเครงรวมทั้งพจน์ด้วย

“กูไม่ได้ร้องไห้สักหน่อย” ไอ้น้ำเถียงกลับคอเป็นเอ็น ไอ้กีขยับปากไม่มีเสียงว่า เหรอๆ ทำให้คนถูกล้อทำตาโตอย่างขัดใจ

“ถ้างั้น เดี๋ยวพ่อไปตามหมอมาตรวจอาการก่อนนะ” ภพดนัยรีบผละจากไป

“มึงทำอะไรไอ้กันวะ” คล้อยหลังพ่อแล้วพจน์จึงถาม จับสังเกตได้จากคำพูดไอ้โบท

“มันก็โดนไอ้พีท นักบาสโรงเรียนชกซะน่วมสิวะ จากที่พวกกูได้ข่าวมานะ ไอ้พีทไปเจอมึงกับไอ้กันในห้องน้ำ และท่าทางไอ้กันคงจะทำอะไรสักอย่างจนมึงสลบ เห็นตามนั้นไอ้พีทก็เลยกระโดดถีบเข้าให้กลางหลัง ไม่พอยังชกซ้ำแบบไม่ออมมือ จนรุ่นน้องในชมรมมันต้องมายื้อห้ามนั่นแหละ ไอ้กันถึงรอดมาได้ และที่แปลกก็คือ ไอ้กันแมร่งไม่โต้ตอบเลยว่ะ” ไอ้กีหน้าลูกครึ่งอังกฤษแต่พูดไทยชัดเจนอธิบายเรื่องราว

พจน์นึกลำดับเรื่องราวทั้งหมดตามที่พวกมันว่าก่อนจะหมดสติก็พอจับเค้าลางได้

“แล้วจากนั้นไอ้พีทก็อุ้มมึงไปห้องพยาบาล ส่วนรุ่นน้องพอรู้ว่าเป็นมึงก็มาตามพวกกู ไอ้นี่เลย” ไอ้ต่อชี้นิ้วใส่ไอ้ปาล์ม “วิ่งอย่างเร็ว กูนึกว่า สี่คูณร้อย พอเห็นสภาพมึงเท่านั้นแหละก็ยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูกเหมือนพวกกู ครูประจำห้องปฐมพยาบาลเบื้องต้นก็ไม่ฟื้น จึงตัดสินใจเร่งติดต่อโรงพยาบาลให้ส่งรถมารับตัว”

ไอ้ปาล์มยังคงไม่มีปากมีเสียงนั่งก้มหน้านิ่ง พจน์พอจะเข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมดพอสังเขปแล้ว

เสียงรัวเคาะประตูพร้อมลูกบิดลั่นกราวเรียกความสนใจให้ทุกคนหันมอง ใบหน้าฟกช้ำที่ทำแผลเรียบร้อยแล้วของไอ้คนถูกพาดพิงยืนอยู่เบื้องหลังกระจกใสติดบานประตู

“ดาวไปเปิดให้นะคะ”

“ไม่ต้องครับ น้องดาว” ไอ้โบทพูดเสียงต่ำ จ้องมองไอ้กันตารุกวาวราวกับเคืองแค้นมาแต่ชาติปางก่อน

“ทำไมมึงไม่ยอมให้มันเข้ามาวะ” พจน์ซักไซ้

“หลังจากมึงแอดมิดเข้าโรงพยาบาล ไอ้นั่นก็ตามมาเฝ้า แต่พวกกูไม่ให้เข้าห้อง มันก็เลยนั่งรออยู่ข้างนอกตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้ไม่ไปไหนเลย” ไอ้น้ำบอกเสียงเบา

แววตาดุดื้อร้นของไอ้นิธิจ้องตอบพจน์

“ให้มันเข้ามาเถอะ” ไอ้ต่อทำเสียงไม่พอใจ “กูไม่ได้เป็นอะไรหนักเมื่อเทียบกับมันแล้ว มึงก็เห็น”

“ไอ้พจน์ มันทำอะไรไม่รู้ให้มึงสลบข้ามวันข้ามคืน แม้แต่หมอยังวินิจฉัยไม่ได้ แล้วมึงจะกล้าให้มันเข้าใกล้ชิดตัวอีกงั้นเหรอ” ไอ้กีร้องลั่น ดูขัดใจ

“เรื่องทั้งหมดไม่ใช่ความผิดของมัน เชื่อกู” พจน์ขอร้องเสียงนิ่ง

ระหว่างนั้นภพดนัยได้นำเชิญแพทย์หนุ่มเจ้าของไข้เดินเข้ามาพร้อมพยาบาลสาวอีกหนึ่งคน เป็นโอกาสให้ไอ้กันแทรกตัวเข้ามาและยืนทำหน้านิ่งอยู่ตรงประตูไม่เข้าใกล้เกินกว่านั้น ไอ้สี่คนมีทีท่าขัดใจ ทำเสียงขู่ ฮึดฮัดอย่างกับหมาห่วงเจ้าของ พจน์นึกขำในใจ

คุณหมอใช้หูฟังตรวจบริเวณทรวงอกและใช้ไฟฉายส่องม่านตาอยู่ชั่วครู่ แล้วจึงแจ้งว่าทุกอย่างเป็นปกติดี สรุปอาการน่าจะเป็นเพราะนอนหลับไม่เพียงพอ จึงจัดยาวิตามินให้รับประทาน และสามารถกลับบ้านได้เลยในวันนี้ แต่ถ้าหากมีอาการผิดปกติอย่างหนึ่งอย่างใดอีกให้รีบกลับมาพบแพทย์โดยด่วน หลังจากนั้นพยาบาลสาวจึงถอดสายน้ำเกลือออกจากท่อนแขน

ทุกคนมีสีหน้าโล่งใจรวมถึงไอ้กันด้วย ระหว่างนั้นหน้าจอโทรทัศน์ที่กำลังรายงานข่าวเช้าประจำวันอยู่ก็ประกาศเสียงดังว่า มีรายงานด่วนเข้ามา ดึงความสนใจของทุกคนในที่นั้นเพ่งเล็งไปยังจุดเดียว

“ขณะนี้ผมรายงานสดจากห้องแถลงข่าวของสถาบันสภาสูงแห่งศาสตราจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิและล้ำเลิศทางปัญญาแห่งชาติ หลังการหารือที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของสถาบันฯรวมทั้งสิ้นสามสิบชั่วโมง การประชุมลับของสถาบันฯก็ยุติ และศาสตราจารย์วิชัย เทพวิมาน ศาสตราจารย์อาวุโสหนึ่งในสี่ได้ออกมาแถลงข่าว แจ้งว่าท่านได้ลาออกจากทุกตำแหน่งในสถาบันฯอันทรงเกียรติแห่งนี้ พร้อมทั้งระบุข่าวสำคัญที่สำนักข่าวทั้งในและต่างประเทศต่างตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่งว่า สาเหตุใดน้ำกำลังจะท่วมโลกที่เราอาศัยอยู่นี้ เชิญรับชมได้เลยครับ”

ภาพหน้าจอเปลี่ยนเป็นศาสตราจารย์วิชัยยืนอยู่บนแท่นแถลงการณ์ แสงเเฟลชจากกล้องถ่ายรูปวูบวาบรอบตัวคุณปู่ ท่านจัดการกับคำถามของนักข่าวจนหมดสิ้นแล้วจึงกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงน่าเกรงขาม

“เมื่อนำข้อสันนิษฐานและทฤษฎีมารวมเข้ากัน ทุกคนจะเห็นได้ทันทีว่า สิ่งใดคือสาเหตุที่น้ำกำลังจะท่วมโลก อุบัติเหตุเครื่องบินตกใจกลางมหาสมุทรแปซิฟิก ทำให้ผมได้เห็นว่า ยังคงมีดินแดนอันกว้างใหญ่จมอยู่ใต้มหาสมุทรแปซิฟิก มหาเทพผู้ยิ่งยงเหนือพิภพนั้นได้บอกกับผมว่า ดินแดนทั้งหมดที่มีขนาดเทียบเท่ากับอาณาเขตของมหาสมุทรในปัจจุบันจะโผล่พื้นน้ำขึ้นมา จนผลักดันน้ำทะเลให้ล้นทะลักด้วยปริมาณน้ำอันมากมายมหาศาล ไหลบ่าเข้าท่วมทุกผืนแผ่นดิน บังเกิดเป็นคลื่นยักษ์สูงสุดปลายฟ้า ถาโถมเข้าสู่ทุกที่ สร้างแรงแผ่นดินไหวสั่นสะเทือนครั้งประวัติศาสตร์โลก ดินแดนอันเก่าแก่ยิ่งกว่ายุคไดโนเสาร์ ดินแดนซึ่งไม่มีหลักฐานหรือสิ่งจารึกใดๆ ผมขอเรียกดินแดนนั้นว่า มหาพิภพ มหาทวีปที่จะทำลายล้างโลกของเรา”

ทุกสรรพสิ่งดูเงียบงันจนหมดสิ้น ทั้งพื้นพิภพโลกาดูราวกับมีเสียงพูดของศาสตราจารย์วิชัยแต่เพียงผู้เดียว


50%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-07-2019 19:09:26 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ wnkth

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2
รออ่านต่ออยู่นะครับ

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4

ออฟไลน์ dragon123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 744
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ หนูน้อยหมวกแดง

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สนุกค่า รอๆๆๆๆๆๆ :hao6: :hao6:

ออฟไลน์ cher7343

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1686
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-4
ชอบมากค่ะ ชอบจริงๆ อ่านไปฟินไป อบอุ่นไปกับมาตะ แอร๊ยยยย ป้าปลื้มนาง เป็นนิยายที่เหมือนลูกผสม นิยายฝรั่งกับไทยเลย ชอบจังเลยค่ะ สนุกชอบๆๆ มาอีกนะคะ

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
[ต่อ]


“มหาภัยพิบัติครั้งนี้จะอุบัติขึ้นในวันที่ ๑๕ เมษายนของปีหน้า ตรงกับวันเวลาที่องค์การนาซ่าประกาศว่า ดาวเคราะห์ในระบบสุริยจักรวาลจะเคลื่อนมาอยู่ในแนวเดียวกัน ตามคำทำนายของมหาเทพ คราตะวันเลื่อนเคลื่อนผ่าน สุริยจักรวาลผันผวน บังเกิดหมู่ดาวเคราะห์เรียงรวน เป็นดั่งทวนอัศวาราตรีกาล และวันนี้ก็เป็นวันที่ ๑๒ พฤศจิกายนแล้ว เหลือเวลาอีกเพียง ๕ เดือนเท่านั้น ผมจึงขอยืนยัน ทางเดียวที่เราจะเอาชีวิตรอดจากหายนะภัยนี้ คือ ต้องเร่งสร้างเรือดำน้ำ หรือหาซื้อเรือดำน้ำให้ได้โดยเร็วที่สุด ต้องมีมนุษย์สักคนรอดชีวิต และเดินทางตามหา มหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์สถิตอยู่ ณ ดินแดนมหาพิภพ แล้วมหาเทพผู้นั้นจะช่วยเหลือพวกเรา และทำให้โลกกลับคืนดังเดิม ผมขอให้ทุกท่านเชื่อ ชีวิตของมวลมนุษยชาติเป็นสิ่งสำคัญที่สุด”

ภาพการประกาศคำแถลงการณ์นี้ถ่ายทอดสดสู่ทั่วทุกทวีป ประชากรนับพันล้านคนต่างรับรู้ถึงสาเหตุที่แท้จริงของเรื่องราวทั้งหมด พลเมืองทุกชาติทุกภาษาต่างนิ่งฟังข่าวสารด้วยความรู้สึกหลากหลาย

มหาพิภพ มหาเทพ

เด็กหนุ่มในชุดคนไข้รำพันในใจ

ความลึกลับถูกปิดซ่อนไว้เนิ่นนานของคุณปู่ช่วยไขข้อสงสัยจนหมดสิ้น จิ๊กซอหลายตัวเริ่มเข้าที่ทางจนก่อเกิดรูปร่างชัดเจนแจ่มกระจ่าง แท้จริงแล้วมีมหาทวีปซ่อนอยู่ใต้พื้นทะเลและรอคอยดันตัวสู่เบื้องบนจนก่อเกิดน้ำท่วมโลก เพราะเหตุนี้นี่เอง เรื่องราวก่อนหน้าเชื่อมโยงผสานเป็นหนึ่งเดียวกับความจริงครั้งล่าสุด
 
ท่ามกลางอาการเหม่อลอยของทุกผู้คนในห้อง พจน์บังเกิดความรู้สึกเศร้าสลดอย่างสุดจะหักห้าม ถ้าวันนั้นมาถึง ความพินาศ ความสูญเสีย คงไม่อาจหลีกเลี่ยงหลบหนีพ้น และมวลมนุษยชาติต้องก้าวผ่านช่วงเวลาโหดร้ายสุดแสนทรมานให้ได้มากที่สุด ความจริงนี้สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์การมีตัวตนอยู่ของมนุษย์เลยทีเดียว

ชั่วขณะจิตหนึ่งพจน์ลืมแม้กระทั่งสิ่งสามารถชักนำเขาเคลื่อนสู่อีกภพภูมิอื่นได้

ลืมแม้กระทั่งสิ่งที่เคยคอยช่วยเหลือคุณปู่มาตลอด

และลืมแม้กระทั่งเหตุผลของทุกคนที่ถือกำเนิดขึ้นบนโลกใบนี้

“พ่อมีเรื่องเร่งด่วนต้องกลับสถานีข่าว เรารีบไปกันเถอะ” ภพดนัยฉุดทุกคนกลับคืนสู่สภาพความเป็นจริง รายงานข่าวตัดกลับคืนสู่รายการปกติ

“นี่เป็นชุดสำหรับเปลี่ยนค่ะ พี่พจน์” เด็กสาวยื่นถุงใส่เสื้อผ้าให้พี่ชาย เพื่อนสี่เกลอต่างสงบปากเงียบ พวกมันรู้ว่าชายสูงอายุในทีวีคือ คุณปู่ของพจน์ ส่วนไอ้นิธิยังคงมองทุกการกระทำของพจน์ไม่เปลี่ยนแปลง

“ถ้างั้นพ่อกับดาวจะรอรับยาอยู่ที่ชั้นหนึ่งนะ ลูกจัดการตัวเองให้เรียบร้อยแล้วรีบตามลงมา” ภพดนัยสั่งเสียงเร่งร้อน เมื่อเห็นลูกชายทำหน้าเข้าใจจึงเร่งฝีเท้าออกจากห้องพร้อมสีหน้าวิตกกังวลของดาว หมอและพยาบาลหายจากอาการนิ่งแข็งขยับกายตามติดเช่นกัน

“มึงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ ดีนะวันนี้เป็นวันเสาร์ พวกกูไม่ต้องรีบไปโรงเรียน เดี๋ยวจะตามไปเฝ้ามึงถึงที่บ้านเลย” ไอ้ต่อเปิดปากเปลี่ยนเรื่อง

“ถึงกับต้องตามไปเฝ้าเลยหรือวะ กูโตแล้วนะเว้ย นี่พจน์เอง พจน์คนเดิม มึงจำไม่ได้หรือไง ฮ่าๆ” เด็กหนุ่มนัยน์ตาสวยพยายามพูดให้ดูเหมือนเรื่องตลกแต่ไม่มีใครยิ้มหรือหัวเราะแม้สักน้อยนิด

“ไอ้พจน์ พวกกูกับมึงคบกันมาตั้งแต่อนุบาล รู้ใจกันยิ่งกว่าอะไร ไม่ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้น มึงโปรดไว้ใจพวกกู” ไอ้โบทพูดเป็นการเป็นงาน “กูสามารถพูดแทนพวกมันที่เหลือได้ ไม่ว่าจะดีหรือร้าย พวกกูจะอยู่เคียงข้างมึงและครอบครัว อย่าคิดเองเด็ดขาดว่าพวกกูแต่ละคนรู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้ ใช่ ความคิดคนไม่อาจบังคับกะเกณฑ์ได้ แต่ความเป็นเพื่อนของพวกเราจะยังคงอยู่ตลอดไป”

ความรู้สึกตื้นตันในอกปริ่มล้นเกินจะกล่าว พจน์พยักหน้าให้กลุ่มเพื่อนสนิท ไอ้เปรมณัฐลุกขึ้นยืนพรวดพราดแล้วเดินแทรกกลุ่มคนรายล้อมพร้อมเบียดชนไหล่ไอ้กัน ก่อนจะผลักประตูก้าวหายลับ

“เป็นเชี่ยอะไรของมันวะ” ไอ้กีร้องไล่หลัง

“กูว่าพักนี้มันแปลกๆว่ะ ลองปล่อยมันไว้กับตัวเองก่อนเถอะ บางทีมันคงเจอปัญหาที่คิดไม่ตก” ไอ้ต่อเกาผมทรงสกินเฮด

“มันมีปัญหากับทางบ้านเปล่าวะ ไอ้นี่ชอบเก็บไว้เงียบ ไม่ยอมบอกใคร เออ แต่มันชอบคุยกับมึงนี่หว่า ไอ้พจน์” ไอ้โบทโยนคำถามมาทางคนบนเตียง

“ไม่รู้เหมือนกันว่ะ” พจน์ปฏิเสธคิ้วขมวด ลองพยายามนึกดู ความทรงจำบอกว่าไม่เคยได้ยินมันขอความช่วยเหลือใดๆ

“กลับกันเถอะ บรรยากาศแถวนี้แมร่งมีมลพิษ” ไอ้เตี้ยน้ำร้องแทรกเสียงดังทำเป็นยืดตัวอกตั้ง เหล่มองไอ้กันทางหางตา

“โถ น้องน้ำถ้ามึงอยากอ้อนตีนโดนกระทืบมากนักก็บอกพวกกูดีๆ ไม่ต้องไปอ้อนหาจากคนอื่น กูนี่แหละจะจัดการให้” ไอ้โบทยกยิ้มกว้างขยับมือหมายหัวคนตัวเล็ก แต่อีกคนก้มหลบได้ทัน

ไอ้น้ำทำตาโตแยกเขี้ยวข่มขู่เหมือนตัวมันจะสู้ชนะไอ้สามคนร่างยักษ์ได้อย่างนั้น

“ปากดีแบบมึง คงได้ผัวเข้าสักวัน” ไอ้ต่อปากร้ายวินิจฉัยตรงประเด็น สร้างเสียงหัวเราะครื้นเครงดังครืน ไอ้เตี้ยน้ำมีท่าทีงอนจนแก้มพองลม นั่นทำให้พจน์อดร่วมขำขันด้วยไม่ได้

มิตรแท้สามารถพบเจอได้ในช่วงเวลาวิกฤติ ดังคำที่เคยมีคนกล่าวไว้นั้นเห็นจะเป็นจริงเช่นเหตุการณ์ตรงหน้านี้

พจน์จัดการเปลี่ยนจากชุดคนไข้เป็นชุดลำลองชั่วเวลาไม่กี่นาที ไอ้น้ำประกบริมฝีปากแน่นไม่ยอมพูดจากับใครแม้แต่พจน์ สงสัยงานนี้คงงอนยาว และพวกเขานั่นแหละจะต้องเหนื่อยตามง้อขอคืนดี

“ฝากพวกมึงบอกพ่อกูก่อนว่าเดี๋ยวกูจะรีบตามไป” พจน์สั่ง ไอ้สี่คนทำหน้าหน้าเครียดทันควัน

“กูไม่ยอมปล่อยมึงไว้สองต่อสองกับไอ้เด็กใหม่อีกแน่” เสียงไอ้โบทประท้วง

“บอกแล้วไงว่ามันไม่ได้ทำอะไรกู” พจน์แย้ง “มีเรื่องต้องเคลียร์นิดหน่อย มึงจะให้ไอ้ต่อ หรือไอ้กีเฝ้าอยู่หน้าประตูก็ได้”

พวกมันทุกคนรู้ดีหากเป็นการตัดสินใจอย่างเด็ดขาดของพจน์แล้วย่อมไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเด็ดขาด จึงยอมล่าถอย ก่อนจากไม่วายส่งสายตาข่มขู่ไอ้กันอีกระลอก พจน์ไม่เห็นวี่แววหวาดกลัวของไอ้นิธิแม้ชั่ววินาทีเลย น้องน้ำยังคงแสดงความกล้าเกินตัวถึงกับขนาดเขย่งปลายเท้าเพื่อให้ไหล่เล็กนิดเดียวของมันชนกระทบต้นแขนหนาไอ้กัน แต่ไม่อาจดึงรั้งสายตาเด็กใหม่ให้ละจากตัวพจน์ได้

ความเงียบเป็นสิ่งน่าอึดอัดเกิดขึ้นชั่ววินาที ไอ้คนถูกกล่าวหาจึงยอมเปิดปากสนทนาเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ยืนอยู่ในห้องนี้

“กูขอโทษ”

พจน์พยายามนึกทบทวนเรื่องราวก่อนตนจะเจอกับเจ้ามาตะ กระดาษกลอนแผ่นนั้นหายสาปสูญเสียแล้ว

“เรื่อง?”

“กูคิดผิดในสิ่งที่กูทำ กูไม่ควรท้ามึงให้ทำเรื่องไร้สาระจนมึงเครียด และ...” ไอ้นิธิจ้องพจน์ตาไม่กระพริบ

“มึงโกหก” จมูกแหลมงุ้มของคนผอมสูงขึ้นสีจัด “และอีกอย่างกูไม่ได้เครียดเพราะเรื่องที่มึงอ้างถึงสักนิด ไอ้กัน ส่วนหนึ่งกูยินดีที่คนมีความสามารถอย่างมึงย้ายมาอยู่ร่วมโรงเรียน แต่กูอยากถามคำถามเดียว มึงเอาโคลงสี่สุภาพนั่นมาจากไหน” นี่คือข้อขัดข้องหมองใจในขณะนี้อย่างมาก เพราะนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้พจน์เกือบเอาชีวิตไม่รอด

เด็กใหม่หลบสายตาทันควัน มันเสมองแสงสว่างยามเช้าซึ่งตกกระทบพื้นห้องผ่านม่านสีขาว นิ่งตรึกตรองชั่วลมหายใจ

“มีคนให้กูมา” ไอ้กันตอบเสียงเบาผิดวิสัย “ความตั้งใจแรกเพื่อทดสอบมึงว่าเป็น...เอ่อ...แต่ไม่ใช่เลย มันเกือบจะทำลายมึงด้วยซ้ำ วินาทีที่มึงล้มลง กูแทบสิ้นสติตาม หัวใจกูเหมือนแหลกสลาย กูไม่น่าอาสามาเลยจริงๆ” คนร่างสูงเอามือกุมขมับทั้งสองอย่างอับจนหนทาง

“ใคร? เป็นคนให้” พจน์คาดคั้น อีกฝ่ายส่ายหน้าปฏิเสธ

“มึงบอกว่าอาสามา เพื่ออะไรกันแน่” ไอ้กันส่ายหน้าอีกหน นั่นทำให้ความอดทนของพจน์ถึงขีดจำกัด

“จะเอาแบบนี้ก็ได้ ถ้ามึงไม่ยอมบอกความจริง กูจะถอดความโคลงทั้งสองบทให้ทันกำหนดและถูกต้องทุกประการ แล้วหลังจากนั้นแม้แต่การพูดคุยระหว่างมึงกับกูคงไม่มีวันเกิดขึ้นอีก” พจน์ยื่นคำขาด

สีหน้าเศร้าสลดแต่แววตาดื้อร้ายนั้นส่องประกายชัด พจน์ไม่มีใจจะพูดกับไอ้คนปากแข็งอีก รีบเร่งเดินผ่าน แต่คนตัวสูงกว่าไม่ยอมให้พจน์จากไปโดยง่าย มันจับต้นแขนเขาฉุดรั้งไว้

“อย่าได้พูดแบบนั้น กูขอถอนคำท้า ขอยกเลิกเงื่อนไขทั้งหมดทั้งสิ้น”

“มึงจะยกเลิกสิ่งที่เคยพูดไม่ได้หรอก ไอ้กัน”

“มันเป็นข้ออ้างของแผนการไร้ปราณีเท่านั้น คำพูดท้าท้ายคือความผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิตอันต่ำช้าของกูเอง ขอให้มึงลืมซะ กูหวังจะมีความกล้าเพื่ออธิบายให้มึงเข้าใจมากกว่านี้ เพราะท้ายที่สุดแค่มีมึงอยู่ในสายตา กูก็พอใจแล้ว” ไอ้นิธิอ้อนวอนร้องขอจนพจน์รู้สึกกระตุกวูบในใจ

“แล้วเจตนาแท้จริงคืออะไรกันแน่ กูต้องการรู้ความจริง ความจริงแค่นั้น ไอ้กัน มึงทำให้กูสับสน”

ไอ้เด็กใหม่กำมือทั้งสองข้างแน่น เส้นเลือดหนาขึ้นเป็นริ้วชัดเจน ใบหน้ากึ่งร้ายกึ่งดีทำเอาพจน์จำต้องลดแรงขัดขืน

“ก่อนหน้าเพื่อมาเจอมึง กูถูกป้อนความคิดว่ามึงเป็นคนเลว ขี้ขลาดตาขาว ครอบครองของที่ไม่ใช่ของตนไว้กับตัว แต่พอเมื่อวานนี้มาถึง ทุกอย่างกลับพังทลายลง มันคือคำลวง ชักจูงเพื่อหลอกใช้ เพียงกูสบตามึงความจริงทั้งหมดก็กระจ่าง และยิ่งมึงรับคำท้า นั่นพิสูจน์ได้ว่า คำล่อหลอกนั้นคือยาพิษ และมันทำให้กูเจ็บปวดนักเพราะวินาทีสบตากูก็รู้แน่ว่าไม่มีวันทำร้ายมึงได้ และสิ่งสำคัญที่สุดคือกูไม่อาจจะเปลี่ยนใจไปรักใครได้อีกนอกจากมึงเพียงผู้เดียว”

พจน์สับสนกับความจริงจอมปลอมมากขึ้นทวีคูณ ไอ้กันรวบกุมมือพจน์แนบแน่นเข้าหาอกหนาของมัน สายตาอนาทรร้อนใจนั้นบ่งสะท้อนอารมณ์เบื้องลึกสุดทรมาน

“โปรดเชื่อใจไอ้กันคนนี้ กูรักมึง คือสิ่งแน่แท้ สรรพสิ่งทั้งจักรวาลจงเป็นพยาน” ก้อนเนื้อเบื้องซ้ายของมันเต้นระรัวเร็วกระทบผ่านถึงมือพจน์  “มีคนจ้องทำร้ายมึง ไอ้พจน์ และกูจะปกป้องสุดดวงใจของกูด้วยชีวิต”


****************************************

ทรยศ หักหลัง มันเกลียดคำสองคำนี้อย่างสุดแสนพรรณนา เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือการใคร่ครวญถึง แต่บัดนี้มันรับรู้ได้ด้วยญาณวิเศษว่า แผนการซึ่งเฝ้าวางกลหมากมาเนิ่นนานถูกทาสรับใช้แปรพักตร์ล้มกระดานเสียสิ้นแล้ว ร่างซีดขาวใต้ผ้าคลุมสีดำถูกลมวายุพัดโหมกระพือรุนแรงเพราะฤทธิ์โกรธา กลุ่มเมฆใต้ฝ่าเท้าเริ่มมืดดำก่อตัวหนาปกคลุมมหานครของมนุษย์บนพิภพนี้ ดวงตาวาวโรจน์ดังเพลิงกาฬลุกไหม้ เฉกเช่นนั้นข้าจักตอบแทนความเจ็บลึกครานี้ให้สาสมกับการทุรยศ มันจะต้องดับสูญ!!

****************************************


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-04-2016 12:24:24 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ double9JH

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1810
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-7
ใครเป็นเบื้องหลังเนี่ยยย แล้วกันจะเป็นไรป่าว? :katai1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด