จัดให้เอาไปตามขอจ้า อิอิ บทที่ 3
“เมื่อวานนายไปไหนมาวะ”
คำถามนี้ถูกถามจากเพื่อนรักทั้งสองของผม ทันทีที่เห็นหน้า แต่ต่างกรรม ต่างวาระกัน ผมเจอเจ้าศักดิ์ชายคนแรกที่หน้าประตูห้องทำงาน ตอนเช้าตรู่ ดูเหมือนว่ามันจะมาดักรอที่จะพูดกับผม กริยาท่าทางที่มันถาม เหมือนจ้องจะจับผิด จนผมชักสงสัย และไม่แน่ใจในท่าทางที่มันปฏิบัติต่อผม เอ หรือมันจะจริงตามที่เดียร์ว่า เจ้าหมอนี่ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เกิดมารักใคร่ในตัวผม มันจะเป็นไปได้อย่างไร เพื่อนรักที่เคยเรียนด้วยกันมาตลอดอย่างมันเนี่ยนะ จะมาพิศวาสผมได้ แล้วทำไมมันไม่แสดงออกตั้งแต่แรกกันวะ ผมจะได้ระมัดระวังตัว ไม่คลุกคลีกับมันจนคิดมากแบบนี้ แต่มาคิดอีกที อาจจะเป็นความห่วงใยธรรมดาจากมันก็ได้ เดียร์อาจจะหึงไปเอง เจ้าศักดิ์ชายมันแต่งงานแล้ว ลูกของมันก็น่ารัก มันคงไม่ออกลายเป็นเกย์ตอนนี้หรอก
พอผมบอกศักดิ์ชายว่าผมไปธุระที่สำคัญ มันก็รัวคำถามใส่ผมถี่ยิบ ว่าผมไปกับใคร ไปที่ไหน ไปกับเด็กเดียร์นั่นหรือเปล่า ผมไม่ตอบทุกคำถามนั้น แต่ย้อนถามมันไปว่า มันมีอะไรกับธุระของผมหรือ การที่มันถามแบบนั้นหมายความว่าอย่างไร ผมไม่ได้ไปกินข้าวกับมัน ก็ไม่ได้หมายความว่า ธุระที่ผมไปทำจะมีความสำคัญน้อยเสียเมื่อไหร่ ผมเองก็ต้องมีเรื่องที่ผมทำ มันเองก็มีของมันเหมือนกัน ถ้าผมบอกว่าธุระของผมสำคัญ มันก็หมายความว่ามันสำคัญจริงๆ และไม่จำเป็นที่จะต้องบอกให้มันรู้ว่าคือเรื่องอะไรและจะไปกับใคร ผมยังย้อนถามมันอีกว่า มันเป็นอะไรมากหรือเปล่า นึกยังไงถึงมาถามไถ่เรื่องของผมมากมายขนาดนี้ ทั้งที่เมื่อก่อนมันไม่เคยถาม เจ้าศักดิ์ชายถึงกับอึ้งแล้วก็ขอโทษขอโพยผมใหญ่ จากนั้นก็บอกว่า มันแค่อยากคุยกับผมเท่านั้น รู้สึกนึกถึงวันเวลาเก่าๆที่เป็นเพื่อนกัน พอแยกย้ายกันไป ถึงจะได้มาเจอกันอีกที โอกาสที่จะพูดคุยกันก็มีน้อยมาก มันก็แค่ยากมีเวลาพบปะสังสรรค์กับผมฉันท์เพื่อนเท่านั้น
ผมเห็นหน้าหงอยๆของมันแล้วก็อดสงสารมันไม่ได้ เลยรับปากกับมันไปว่า ผมจะไปกินข้าวเย็นที่บ้านกับมันสักวันหนึ่ง มันดีใจใหญ่ แล้วบอกว่าจะรอเวลานั้น
หลังจากเพื่อนร่วมชั้นเรียนจากไปไม่นาน เพื่อนร่วมงานก็มาหาผม มันมองหน้าผมอย่างเจ้าเล่ห์ ทำตาล้อๆ ไม่พูดไม่จา จนผมต้องเตะตูดมันถึงได้ยอมพูด มันเริ่มต้นด้วยการซักไซร้ไล่เลียงผมด้วยเรื่องของเดียร์ หาว่าผมโกหกมันเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเด็กหนุ่มลูกครึ่ง มันทำเป็นน้อยอกน้อยใจว่า ผมไม่บอกมันเลยเรื่องที่ผมรู้จักเดียร์มาก่อนหน้านั้น ไม่ยอมบอกมันว่าเดียร์กับเด็กคนที่ผมช่วยเหลือในบาร์แถวสีลมเป็นคนเดียวกัน ต้องปล่อยให้มันไปสืบค้นเอาเอง จนกระทั่งรู้โดยบังเอิญ มันยังถามอย่างสงสัยว่า ผมมีความสัมพันธ์อะไรลึกซึ้งกับเดียร์หรือเปล่า มันยินดีรับฟัง หากผมยอมพูดความจริงกับมัน ผมรู้สึกสะอึกกับคำพูดของเจ้าสันต์ ไม่อยากโกหก อยากเล่าให้มัฟังทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะผมก็อึดอัดใจมานาน แต่ก็รู้สึกว่าเสี่ยงจนเกินไปที่จะยอมรับความจริง
ผมรู้ว่าความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แต่ความจริงบางอย่างจำเป็นต้องปิดบังซ่อนเร้น เพราะการเปิดเผยมากไปอาจจะนำความวุ่นวายมาสู่ชีวิต ผมจึงเลือกที่จะบอกกับเจ้าสันต์ไปเพียงแค่ความจริงบางส่วนที่ผมอยากให้เขารู้เท่านั้น
“ก็ใช่ ฉันรู้จักเดียร์มาก่อน ก็ตั้งแต่วันนั้นที่ฉันช่วยเขาไว้นั่นแหละ แต่ฉันไม่รู้จริงๆนะว่า เด็กนั่น มาเป็นผู้ช่วยกุ๊กที่ร้านนั้น มันเป็นเรื่องบังเอิญมากกว่า และเจ้านั่น พอเห็นว่าฉันชอบไปกินเอาหารที่ร้านบ้านคุณป้าบ่อยๆ ก็เลยทำอาหารให้ฉันพิเศษ เป็นการตอบแทนบุญคุณฉันน่ะ ที่ได้ช่วยเขาไว้ไม่ให้ถูกลวนลาม”
“โดยยอมเสี่ยงต่อการที่จะถูกคุณป้าเจ้าของร้านต่อว่า เรื่องการเอาของในร้าน มาใช้เพื่อการส่วนตัวนี่นะ”
เจ้าสันต์ยังสงสัย โชคดีที่ผมเคยถามประโยคนี้กับเดียร์มาแล้ว เด็กหนุ่มบอกกับผมว่า เขาคุยกับคุณป้าเจ้าของร้านแล้ว ว่าเขาขอทำอาหารให้ผมเป็นพิเศษ เพราะผมมีบุญคุณต่อเขามาก และเพื่อไม่ให้น่าเกลียดจนเกินไป เขาขอให้คุณป้าเจ้าของร้าน ลดเงินเดือนของเขาลง ตอนแรกคุณป้าจะไม่ยอม เพราะแกถูกชะตากับเดียร์มาก และคิดว่าเรื่องแค่นี้ ไม่ทำให้เกิดความเสียหายกับร้านแต่อย่างใด แต่เดียร์ยืนกรานหนักแน่นให้คุณป้าหักเงิน เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างกับคนอื่น ไม่อย่างนั้นแล้วพนักงานในร้านก็จะใช้เหตุผลเดียวกับเดียร์มาให้ส่วนลดพิเศษ หรือเอาข้าวของในร้านกำนัลให้คนของตัวบ้าง เมื่อได้ยินแบบนั้น คุณป้าก็เลยยอมหักเงินของเดียร์เพื่อแลกกับสิ่งที่เด็กหนุ่มขอร้อง
ตอนแรกที่เดียร์เล่าให้ผมฟัง ผมรู้สึกแย่มากๆ ที่ทำให้เดียร์เดือดร้อน และไม่อยากไปทานอาหารที่ร้านอีก เพราะไม่อยากเอาเปรียบเขา ผมไม่อยากให้เดียร์ลดในส่วนที่ตัวเองควรจะได้เพื่อมาเติมเต็มความสุขให้กับผม แต่เดียร์ขอร้องว่า เขาได้พูดกับคุณป้าไปแบบนั้นแล้ว ถึงอย่างไรคุณป้าก็ต้องหักเงินเขาตามที่ร้องขอ ถ้าหากผมหนีไม่ยอมไปกิน เขาก็ถูกหักเงินเปล่าอยู่ดี ดังนั้น การที่ผมไปกินข้าวที่ร้านนั้นบ่อยๆ จะทำให้ความพยายามของเขาไม่สูญเปล่า
ผมเลยเสนอที่จะชดเชยรายได้ที่หายไปให้กับเดียร์ แต่เด็กหนุ่มปฏิเสธ เขาบอกว่าสิ่งที่ทำให้ผมมันมาจากความรักของเขา ไม่ได้ต้องการเงินจากผม เขาไม่สามารถรับข้าวของเงินทองจากผมได้ ผมก็บอกว่า ถ้าเขาไม่รับเงินจากผม ผมก็ไม่กล้ากินของเขาเหมือนกัน เพราะผมไม่สบายใจที่จะปล่อยให้เขาลำบากอยู่คนเดียว เหมือนเอาความรักของเดียร์มาเป็นเครื่องต่อรองที่จะให้เขาทำดีกับผม เราเถียงกันอยู่นาน แล้วก็ได้ข้อสรุปที่พึงพอใจกันทั้งสองฝ่าย
สิ่งที่ผมต้องทำแลกเปลี่ยนให้กับเดียร์คือการสอนภาษาและเป็นติวเตอร์วิชาเลขให้กับเขา เนื่องจากสองวิชานี้ เป็นสิ่งที่เดียร์จะต้องผ่านไปให้ได้ ภาษาอังกฤษเป็นวิชาเอกที่เดียร์เลือกเรียนไว้ ถึงแม้เด็กหนุ่มจะเป็นเด็กลูกครึ่ง และอยู่แถวพัทยา ได้พูดคุยกับฝรั่งบ้าง แต่ก็เป็นการพูดคุยแบบไม่ถูกหลักไวยากรณ์ เป็นเหมือนมวยวัดมากกว่า ส่วนวิชาเลข เป็นวิชาที่เดียร์เรียนอ่อนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว การเรียนรามคำแหง ในคณะวิชาที่เดียร์เลือกเรียน จำเป็นต้องผ่านวิชาเลข 4 ตัว และเป็นเลขที่มีความยากมาก ซึ่งเดียร์ไม่ถนัดเอาเสียเลย หากเขาไม่ได้รับความช่วยเหลือเขาก็จะไม่ผ่าน
บังเอิญสองวิชานั้น เป็นวิชาที่ผมถนัดเป็นอย่างดี ผมพูดภาษาอังกฤษได้คล่อง และวิชาเลขก็เป็นวิชาที่ผมโปรดปราน เมื่อผมเห็นว่าสองสิ่งนี้เป็นปัญหาของเดียร์ผมเลยอาสาที่จะช่วยติวให้เขาเป็นการแลกเปลี่ยน ซึ่งข้อตกลงแบบนี้ ทำให้เราได้รับความพึงพอใจทั้งสองฝ่าย เดียร์ได้เอาอกเอาใจผมเหมือนเดิม แถมซ้ำยังมีคนช่วยเขาในเรื่องเรียน ส่วนผมก็ได้ตอบแทนสิ่งที่เด็กหนุ่มทำให้ โดยไม่ต้องรู้สึกผิดที่เอาเปรียบเขาอีกต่อไป
ผมเล่าให้เจ้าสันต์ฟังแค่ว่า เดียร์ช่วยเรื่องอาหารการกินให้ผม โดยที่ผมเป็นครูจำเป็นให้กับเขา แต่ไม่ได้เล่าดีเทลรายละเอียดอะไรมากมาย เจ้าสันต์ยังคงสงสัย แต่มันก็ไม่กล้าถาม เพราะเห็นผมทำท่าไม่อยากพูดต่อ ถึงกระนั้นมันก็พูดให้ผมได้คิดว่า ผมจะทำอะไร จะเป็นอะไร จะชอบอะไร หรือจะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน มันไม่เคยสนใจ มันยังคงเห็นว่าผมเป็นเพื่อนคนหนึ่ง หากมีปัญหาอะไร หรือมีเรื่องไหนที่ทำให้ไม่สบายใจ ก็ให้บอก หรือพูดคุยให้มันฟังได้ มันยินดีให้คำปรึกษาและยืนอยู่ข้างผมเสมอ
ตอนแรก ผมไม่ค่อยเข้าใจในคำพูดของมันนัก แต่ตอนหลังจึงได้รู้ว่า เจ้าสันต์พูดกับผมเป็นนัยๆ เหมือนมันจะรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเดียร์นั้นลึกซึ้งเกินกว่าแค่คนรู้
จักกัน หากผมยอมเปิดใจกับมัน มันก็ยินดีจะให้ความช่วยเหลือ และมันก็ยินดีเข้าข้างผมเสมอ
เจ้าสันต์มันเล่าให้ผมฟังเมื่อผมเป็นฝ่ายซักถามมันบ้างถึงเรื่องที่ผมไปเจอมันกับแดนนี่ที่สวนจตุจักรทั้งๆที่มันรักกันจี๋จ๋าดีอยู่กับเด็กที่ชื่อแซ่บ เพื่อนร่วมงานของผมคุยอย่างเปิดอกว่าน้องแซ่บเป็นคนดี เป็นคนที่มันอยากจะใช้ชีวิตอยู่ด้วย แต่น้องแซ่บมีบางสิ่งบางอย่างที่เหมือนจะปิดบังมันอยู่ มันกับเด็กเสิร์ฟคนนั้นมีอะไรกันแค่ครั้งสองครั้ง ซึ่งเป็นสองครั้งที่ไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่นัก เนื่องจากเด็กนั่น ท่าทางหวงเนื้อหวงตัวกับมันมาก ทั้งๆที่มันก็บอกกับแซ่บว่ามันจริงใจไม่คิดหลอกลวง แต่เด็กหนุ่มก็เหมือนจะไม่ค่อยวางใจในตัวมันนัก บางทีก็ทำมึนตึงเฉยชากันมัน เมื่อเจ้าสันต์ไม่สามารถแสวงหาความสุขที่ต้องการได้จากคนที่มันรัก มันจึงหวนกลับมาหาคู่ขาเก่าก็คือ แดนนี่ กับแมนอีกครั้ง แล้วสองคนนั้นก็ตอบสนองความสุขทางเพศให้มันได้อย่างดี
สิ่งที่เจ้าสันต์เล่าทำให้ผมนึกปลงขึ้นมา สงสารเพื่อนก็สงสาร แต่ก็ไม่รู้จะช่วยอะไรได้ ถึงแม้เจ้าสันต์จะเป็นเกย์ เจ้าสันต์ก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง เป็นมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาที่มีอารมณ์มีความต้องการ เมื่ออารมณ์ใคร่ของมันไม่ได้รับการตอบสนอง เจ้าสันต์ก็จำเป็นต้องหาทางออกด้วยการมีอะไรกับคนอื่นๆนอกเหนือจากคู่ของตนเอง
เรื่องที่ผมไม่สามารถจะเดาได้ออกก็คือ ทำไมเด็กแซ่บจึงรังเกียจที่จะมีเพศสัมพันธ์กับเจ้าสันต์ แต่ในขณะที่กับผู้บริหารที่ผมเห็นเขาควงไปด้วยที่สวนจตุจักรวันนั้น เขากลับมีทีท่ารักใคร่ใยดี ปฏิบัติต่อกันเหมือนเป็นคู่รักหวานแหววที่เพิ่งจะคบกันได้ไม่นาน ผมไม่รู้ว่าเจ้าสันต์มีปัญหาอะไรกับเด็กแซ่บนั้นหรือเปล่า และไม่รู้ด้วยว่าผู้บริหารคนนั้นมีอะไรดี จึงผูกมัดใจเด็กเสิร์ฟคนนั้นได้ แต่สิ่งที่ผมรู้ก็คือ หากเพื่อนของผมรู้เรื่องนี้เข้า เขาคงทำใจรับไม่ได้ เพราะเขารักเด็กคนนั้นมากเหลือเกิน
“แล้วแซ่บรู้หรือเปล่า เรื่องที่นายมีแดนนี่ กับแมน”
ผมพยายามหาเหตุผลที่ทำให้แซ่บไม่สนใจใยดีในตัวของเจ้าสันต์ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นดูรักกันปานจะกลืนกิน เจ้าสันต์ขมวดคิ้ว ทำท่าครุ่นคิด ซักพักก็พยักหน้า
“ก็รู้นะ ฉันเคยบอกเขาว่าก่อนหน้าที่ฉันจะมีแซ่บ ฉันเคยมีแดนนี่ และแมนมาก่อน แต่ฉันก็บอกกับแซ่บนะ ว่าฉันจะพยายามหยุดเพื่อที่จะมีเขาคนเดียว”
“อื้ม แล้วมันเป็นไปได้ไหมที่เขาบังเอิญได้รู้ว่านายพูดไม่จริง นายมีสองคนนี้ระหว่างที่เป็นแฟนกับเขาน่ะ เขาก็เลยมีปฏิกริยา”
“ไม่มีทาง”
เจ้าสันต์ร้องบอกอย่างมั่นใจ
“ตอนที่ฉันคบกับแซ่บ ฉันไม่เคยไปไหน หรือมีอะไรกับใครเลย ฉันมีกับเขาคนเดียว ถึงแม้ฉันจะเคยพูดโอ้อวดว่าฉันมีคนนั้นคนนี้ แต่ว่า พอเอาเข้าจริงฉันก็ไม่อยากทำร้ายน้องแซ่บน่ะ ฉันเพิ่งจะหันมาหาแดนนี่กับแมน หลังจากที่แซ่บมึนตึงเฉยชาต่างหาก ก็ใครจะไปทนได้ ในเมื่อเมียเราไม่ให้เราทำอะไรด้วย เราก็ต้องหันไปหาคนที่เขายินยอมสิ”
ผมมองหน้าเจ้าสันต์อย่างอึ้งๆ คำพูดของเจ้าสันต์สะกิดใจผมอย่างแรง จริงสิ ถ้าหากผมมึนตึงเฉยชากับเดียร์ เพราะผมไม่อยากมีอะไรกับเขา การทำวิธีนี้ จะทำให้เขาหวนไปหาคนอื่นที่ยินยอมพร้อมใจที่จะรักเขามากกว่าผมหรือเปล่า แล้วคนๆนั้นจะหน้าตาเป็นอย่างไร จะน่ารักและเหมาะสมกับคนอย่างเดียร์ไหม แล้วเรียวจะติดใจเขามากกว่าผมหรือเปล่า จะดูแลเอาใจใส่อย่างดีเหมือนกับที่ทำให้กับผมไหม คำถามมากมายวนเวียนอยู่ในสมองของผม โดยหาคำตอบไม่ได้
“บางทีอาจจะไม่มีอะไรก็ได้ แซ่บอาจจะเหนื่อยเรื่องงานจนไม่มีอารมณ์ก็ได้นะ”
ผมพยายามปลอบใจเพื่อน ไม่กล้าบอกให้เขาฟังถึงสิ่งที่ผมได้เห็น
“ฉันก็ไม่รู้ อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้”
เจ้าสันต์ทำน้ำเสียงเหมือนกับปลง ผมเห็นมันเศร้า ก็เลยพูดแหย่มันเพื่อให้มันอารมณ์ดีขึ้น
“อย่าเศร้าไปเลยวะ คนอย่างนายอ่ะ มันหาคนมาแนบกายได้ตลอดน่ะแหละ เห็นเศร้าอยู่แป๊บเดียว พอเห็นคนหน้าตาหล่อๆ หุ่นดีเข้าหน่อย ก็ทำกระดี๊กระด๊า ทำความรู้จักกับเขาไปหมด กี่คนแล้วล่ะที่อยู่ในบัญชีรายชื่อของนาย ถ้าพลาดจากน้องแซ่บไป นายก็ยังมีหนุ่มหล่อๆสำรองอีกบานตะไท ลองหาคนที่ถูกใจดูสักคนจากบรรดาคนที่นายรู้จักสิ บางทีอาจจะทำให้นายมีความสุขมากกว่านี้ก็ได้”
เจ้าสันต์ทำท่าคล้อยตาม มันพูดกับผมเหมือนกับว่าเพิ่งคิดได้ หลังจากโง่มานาน
“เออ มันก็จริงว่ะ แต่ในชื่อที่ฉันมีอ่ะ ยังไม่ปิ๊งใครพอที่จะอยากใช้ชีวิตร่วมด้วยแบบน้องแซ่บนี่หว่า แต่จะว่าไปก็อยู่คนหนึ่งว่ะ ที่ฉันเริ่มจะรู้สึกว่าปิ๊งๆอยู่เหมือนกัน แต่เขาคงมีคนที่ชอบอยู่แล้วมั้ง ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยสนใจฉันเท่าไหร่ แต่คนที่เขาปิ๊งอยู่ก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยสนใจเขาเหมือนกัน นี่ถ้าหากคนนั้นอ่ะ ตาไม่ถึง ไม่เห็นคุณค่าในตัวของพ่อหนุ่มคนนั้น ฉันว่า ฉันจะไปแย่งมาเป็นของฉันเลยว่ะ”
“เหรอ ก็ดีสิวะ แล้วหนุ่มคนนั้นหล่อไหมล่ะ ให้ฉันเดานะ ต้องหล่อ หุ่นดี และอายุน้อยใช่ไหม สเปคนายมันเป็นอย่างนั้นนี่”
ผมเดา เจ้าสันต์ยิ้มกริ่ม ทำตาเจ้าเล่ห์
“แน่ละสิ ไม่หล่อ ไม่ดีจะเอามาทำไม ไม่ใช่แค่นั้นนะโว้ย หนุ่มคนนี้น่ะ เป็นลูกครึ่งเชียวนะโว้ย ตัวสูง ผมหยิก คิ้วเข้ม จมูกโด่ง ตาสวยมากๆ ฟันสวย มีลักยิ้มด้วย แถมซ้ำยังยิ้มเก่งชะมัด”
“เหรอ........”
คำบอกลักษณะที่เจ้าสันต์พูดถึงคนที่มันชอบ ทำไมมันจึงดูคุ้นๆอย่างนี้นะ
“ท่าทางแมนๆ ดูห้าวๆด้วย แต่ดูเหมือนเป็นคนอารมณ์ดี น่าจะเป็นคนจิตใจอ่อนโยน และเอาใจเก่งด้วยนะ”
“อื้ม.....”
ใจของผมเริ่มคิดถึงภาพของใครบางคน เจ้าสันต์ยังคงพร่ำพรรณนาต่อ
“ฉันไม่รู้ว่าเขาเป็นเกย์แบบฉันด้วยหรือเปล่า แต่ท่าทางขี้อ้อนแบบนั้นน่าจะเป็นนะ ไม่รู้สิ อะไรบางอย่างมันบอก เหมือนว่ามันดูกันออกแค่สบตาน่ะ ถ้าเป็นเกย์ ก็คงเป็นเกย์รุกนะฉันว่า แถมซ้ำท่าทางจะเป็นพวกขยันทำการบ้านซะด้วย แต่ไม่เป็นไรหรอก ถ้าฉันได้มีโอกาสเป็นแฟนกับเขา จะให้มีอะไรคืนหนึ่งเป็นสิบครั้งก็ยอมนะ แหมก็หล่อล่ำแข็งแรงขนาดนั้น”
“........”
หน้าทะเล้น และรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเดียร์แว่บเข้ามาในหัวสมองของผม ภาพนั้นทำให้ผมรู้สึกตกใจมาก ผมหันไปจ้องหน้าเจ้าสันต์และมองอย่างระแวง เหมือนเจ้าสันต์จะคอยจับสังเกตกริยาอาการผมอยู่ก่อนแล้ว มันยิ้มยียวนให้ ผมมองหน้ามันแล้วจึงได้สติ รู้แล้วว่ามันพูดถึงใคร แต่ก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ และฉวยโอกาสด่ามัน
“ประสาทหรือเปล่า ใหนบอกว่านายเองก็เป็นเกย์ฝ่ายรุกไม่ใช่เหรอ เห็นคุยว่าเป็นฝ่ายทำคนนั้นคนนี้ แล้วนี่จะมายอมเป็นฝ่ายรับ เห็นหนุ่มหล่อเป็นไม่ได้ แล้วทำกันตั้งสิบกว่าครั้ง ก้นนายไม่บานหรือไง”
สำหรับผมแค่สามครั้ง ก็จะแย่อยู่แล้ว ยิ่งนึกถึงตอนที่บางส่วนของร่างกายที่ใหญ่โตของเดียร์พยายามจะชำแรกเข้ามาในร่างกายของผม แถมซ้ำเมื่อเข้ามาได้แล้ว เขายังนำสิ่งนั้นเข้าออกครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ยิ่งทำให้ผมนึกสยอง มันมีความสุขมากก็จริงแต่ก็เจ็บจนยากจะลืมเลือน
“อุวะ ไอ้เนี่ย ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องของเกย์ๆเขาก็อย่าพูดมากเลย เกย์มันมีหลายประเภทโว้ย ฉันน่ะ ถนัดที่จะเป็นฝ่ายทำ หรือชอบเป็นสามีมากกว่าเป็นเมีย แต่บางครั้งถ้ามีคนหล่อๆ ดีๆ ลองเป็นเมียเขาสักครั้งก็ไม่น่าเสียหายนะโว้ย”
เจ้าสันต์ทำเป็นโวยวายเสียงดัง จนผมต้องจุ๊ปากให้มันเงียบ เพราะกลัวว่าใครจะมาได้ยินเรื่องที่เราคุยกัน โดยเฉพาะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างหมิ่นเหม่เสียด้วย เจ้าสันต์ลดเสียงลง
“โอกาสหาความสุขทางเพศแบบนี้ มันไม่ได้มีเข้ามาได้บ่อยๆ เราต้องรีบตักตวงความสุขไว้สิ ฉันน่ะไม่ได้หน้าตาดีแบบนาย อายุเราห่างกันแค่ไม่กี่ปี แต่หน้านายยังดูเด็กกว่าฉันเกือบรอบ ขืนเลือกมาก แก่ตัวไปก็จะยิ่งหากินยาก ตอนนี้ยังพอหาได้ ไม่ว่าจะรุกจะรับฉันก็เอาทั้งนั้นแหละ”
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลางส่ายหน้าเมื่อฟังมันพูดจบ ไม่เข้าใจพวกเกย์จริงๆ ทำไมจะต้องดิ้นรนไขว่คว้าหาความสุขทางเพศจนไม่คำนึงถึงอะไรเลยแบบนี้นะ ดูเหมือนในหัวของพวกเขาจะมีแต่เรื่อง เซ็กส์ เซ็กส์ เซ็กส์ การมีเพศสัมพันธ์ กับการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้มากที่สุด ไม่มีใครเลยหรือไง ที่จะใส่ใจกับการมีความรักที่จีรังยั่งยืน ความรักระหว่างหญิงกับชาย กลับกลายเป็นเรื่องที่สวยงามมากกว่า เพราะสามารถพัฒนาไปจนถึงการสร้างครอบครัว การดำรงเผ่าพันธุ์ มากกว่าจะเป็นแต่เรื่องการปลดเปลื้องความใคร่แต่เพียงอย่างเดียว
เจ้าสันต์คงจะเดาใจผมถูกว่าผมคิดอะไรอยู่ มันพูดกับผมด้วยเสียงที่จริงจังหนักแน่น
“เกย์ก็ผู้ชายคนหนึ่งนะเรียว ผู้ชายทั่วไปมันก็เจ้าชู้ ถ้ามีโอกาสมันก็ฟันไม่เลือกเหมือนกัน ถึงแม้จะมีเมียเป็นตัวเป็นตน ก็อดที่จะหาเศษหาเลยไม่ได้ เกย์ก็เหมือนกัน ถึงแม้จะมีคนที่ตัวเองรัก และปรารถนาจะอยู่ด้วย แต่ถ้าได้มีโอกาสลองกับคนอื่นๆ มันก็อดไม่ได้ทั้งนั้นแหละ แต่ถึงยังไง เราก็ยังรักคนของเราอยู่นะ แล้วเกย์บางคนอ่ะ เขาก็ไม่เลือกหรอกว่าจะเป็นฝ่ายทำหรือฝ่ายถูกทำ มันอยู่ที่ความพึงพอใจ และการตกลงกันของคนสองคน อีกหน่อยนายคงจะเข้าใจเองแหละ”
ผมคิดไปตามคำพูดของเจ้าสันต์ จริงเหรอ ผู้ชายที่มีอะไรกับเกย์ บางทีก็เป็นได้ทั้งฝ่ายทำและฝ่ายที่ถูกทำ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ผิดสิ ที่ผมคิดอยากจะเอาคืนกับเดียร์บ้าง แล้วเดียร์ล่ะ เขาเป็นฝ่ายทำผมก่อน ถ้าวันหนึ่งผมเป็นฝ่ายทำกับเขา เขาจะยอมให้ผมทำไหมหนอ
โธ่เว้ย คิดอะไรกันวะเนี่ย ผมเอามือกุมศีรษะ เมื่อรู้สึกตัวว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ทำไมผมต้องคิดแบบนี้ด้วย นี่ผมอยากจะมีอะไรกับเดียร์จริงๆเหรอ คราวนี้ผมยังอยากจะเป็นฝ่ายทำเขาอีกด้วย เป็นเพราะผมถูกเดียร์ทำจนรู้สึกว่าถูกหมิ่นเชิงชายหรือเปล่า ผมยอมไม่ได้ที่เดียร์มาทำกับผมเหมือนกับว่าผมเป็นผู้หญิงใช่ไหม หรือที่จริงแล้วผมมีความปรารถนาในตัวเดียร์มาก และอยากจะให้เขาเป็นของผมบ้าง อะไรกันแน่หนอคือความรู้สึกที่แท้จริงที่รบกวนจิตใจผมตลอดเวลา ยามนี้ผมสับสนเหลือเกิน ยิ่งคิด ก็ยิ่งปวดหัว ไม่รู้เลยว่าตนเองเป็นอะไรกันแน่
“เป็นอะไรไปอ่ะเรียว ปวดหัวเหรอ”
สันต์ถามขึ้น เมื่อเห็นผมเงียบไป และเอามือกุมหัว ผมเอามือออก และเงยหน้าขึ้นมองเขา สั่นหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ
“เปล่า แค่ปวดหัวกับเรื่องของพวกนายอ่ะ”
“ก็บอกแล้วไง สักวันหนึ่งนายก็จะเข้าใจได้เองน่ะแหละ”
เพื่อนตัวดีของผม พูดกำกวมเป็นปริศนา ผมคิดว่า มันคงพยายามคาดเดาความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเดียร์อยู่ และมันคงจับสังเกตอะไรบางอย่างได้ จึงมาพูดกับผมแบบนี้ แต่ไม่มีวันเสียล่ะ ที่ผมจะยอมรับกับมัน ผมแกล้งปล่อยผ่านคำพูดนั้นไป เหมือนเป็นคำธรรมดาคำหนึ่ง
“ฉันอยู่ข้างนายเสมอนะ มีอะไรทุกข์ร้อน หรือต้องการคำปรึกษาบอกฉันได้”
มันพูดทิ้งท้ายพร้อมกับตบบ่าผมเบาๆก่อนจะกลับออกไปทำงานของตัวเอง เวลาที่ผมพูดคุยกับมันทั้งสิ้นเกือบชั่วโมง ทำให้ผมรู้อะไรหลายอย่างมากมาย อย่างน้อย ผมก็รู้ว่า เจ้าสันต์พร้อมที่จะเข้าใจผมทุกเรื่อง และคนอย่างมันก็คงจะไม่ทำร้ายผมด้วยการเปิดโปงเรื่องที่มันได้รู้ได้เห็นมาอย่างแน่นอน เพียงแค่ผมเปิดใจคุยกับมัน แต่เวลานี้ผมยังไม่พร้อมที่จะให้มันรับรู้เรื่องใดๆทั้งสิ้น เอาไว้เมื่อผมรับมือกับสิ่งต่างๆไม่ได้ ผมจะขอความช่วยเหลือจากมันเอง
“เฮ้ย คนที่ฉันพูดถึงน่ะ หมายถึงน้องเดียร์นะโว้ย น่ารักดี เขาคงมีแฟนแล้ว แต่คนนั้นคงไม่ชอบเขา นายจะว่าไงบ้าง ถ้าฉันจะขอเสียบแทนหากคนนั้นทำให้น้องเดียร์เสียใจ”
เจ้าสันต์โทรศัพท์มาหาผมตอนเย็นก่อนจะกลับบ้าน ฟังจากน้ำเสียงของมันเหมือนจะลองหยั่งเชิงว่าผมจะพูดยังไง ตอนแรกที่ได้ฟังผมก็นึกเคืองมันอยู่เหมือนกัน ที่มันพูดแบบนี้ เจ้าเด็กบ้านั่น ไม่ใช่สิ่งของนะที่ใครพอใจก็จะมาหยิบฉวยเอาไปไว้กับตัว ใจอยากจะด่ามันที่บังอาจมาพูดจาแบบนั้นกับผม ถึงไม่รู้ว่ามันมีเจตนาจะยั่วผมหรือไม่ ผมก็ไม่พอใจอยู่ดี แต่ความที่ผมยังไม่อยากเปิดเผยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเดียร์ ทำให้ผมบอกให้มันไปคุยกับเดียร์เอง มาคุยกับผมทำไม มันกลับย้อนมาอย่างขำๆว่าเห็นผมสนิทกับเดียร์เผื่อจะช่วยพูดเชียร์มันได้ ผมบอกกับมันไปว่า ผมไม่ใช่แม่สื่อพ่อชัก ทำเรื่องแบบนี้ไม่เป็น รักใครชอบใครก็ทำเอาเอง เจ้าสันต์ไม่พูดอะไรแต่หัวเราะตอบกลับมา พอผมถามว่ามันหัวเราะอะไร มันก็บอกว่า ผมพูดเหมือนกันท่ายังไงไม่รู้ สงสัยผมจะหวงเดียร์มาก ผมเลยด่ามันแล้วก็วางหูไปเลย
เจ้าตัวต้นเหตุโทรมาหาผมตอนห้าทุ่มกว่า ผมกำลังจะเข้านอนพอดี เขาส่งเสียงเจื้อยแจ้วมาตามสายถามไถ่ว่าผมทานข้าวหรือยัง ทำงานเหนื่อยหรือเปล่า คิดถึงเขาบ้างไหม ผมตอบบ้างไม่ตอบบ้าง ด้วยยังนึกขุ่นใจเรื่องที่เจ้าสันต์พูดเมื่อตอนเย็น พูดกระแหนะกระแหนเขาว่า เสน่ห์แรงเหลือเกิน ใครๆก็ถามถึง เดียร์งง ไม่เข้าใจว่าผมหมายถึงอะไร ผมเลยบอกให้เขาฟังว่า เจ้าสันต์ถามถึงเดียร์ เด็กหนุ่มหัวเราะก๊าก แล้วถามผมว่า ที่ผมพูดไม่ดีกับเขาเนี่ย เป็นเพราะหึงเขาหรือเปล่า เขาไม่เคยคิดอะไรกับสันต์เลยนอกจากคิดกับผมคนเดียว ผมไม่ตอบ รู้สึกโกรธที่เดียร์พูดเหมือนเจ้าสันต์ที่มองว่าผมหึงหวงเขา เลยพาลตัดสายไม่พูดกับเขาเอาดื้อๆ แถมซ้ำยังปิดเครื่องเพื่อไม่ให้เดียร์โทรมาหาอีก จากนั้นผมก็เข้านอนทั้งๆที่ยังหงุดหงิดแบบนั้น พลิกซ้ายพลิกขวายังไงก็นอนไม่หลับ จนกระทั่งตีหนึ่ง เสียงกริ่งหน้าประตูบ้านก็ดังขึ้น
เดียร์ฉีกยิ้มปากเกือบถึงใบหูให้ผมตอนที่เปิดประตูรับเขาเข้ามา เด็กหนุ่มยืนอยู่หน้าบ้านในชุดเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนส์สีซีดๆ สะพายเป้ไว้ด้านหลัง ในมือถือถุงขนมที่นำมาจากร้าน โลโก้บนถุงเด่นหรา พอเห็นผมทำหน้าบึ้งหน้าตึงใส่ เขาก็แถเข้ามาใกล้ ขอโทษขอโพยเสียงออดอ้อน
“ขอโทษนะครับที่รัก ที่มาเอาเสียดึกเสียดื่นป่านนี้ ก็คุณน่ะ พูดยังไม่ทันจบก็วางสายผม ท่าทางโมโหโทโส พอผมโทรกลับมา ก็ไม่ยอมรับสาย ผมเป็นห่วงคุณมากรู้ไหม ไม่รู้ว่าคุณไม่สบาย หรือเป็นอะไรหรือเปล่า เลิกงานก็รีบนั่งแท็กซี่มาหาเลย เป็นอะไรหรือเปล่าครับ แล้วทำไมป่านนี้ยังไม่นอนอีกล่ะ ดึกแล้วนะ เดี๋ยวมันจะไม่ดีต่อสุขภาพนะครับ”
“กำลังจะนอน แต่ได้ยินเสียงกริ่งเสียก่อน ว่าจะไม่ลงมาเปิดแล้ว แต่กลัวยุงหามนายไปกิน ทีหลังถ้ามาแบบนี้อีก จะปล่อยให้นั่งหน้าบ้านเสียให้เข็ด”
ผมตอบโดยไม่มองหน้า พลางแกะไม้แกะมือของเดียร์ที่กำลังโอบกอดผมออก
“ใจร้ายจังนะ คนเขาอุตส่าห์เป็นห่วง แต่ไม่เป็นไรครับ ถ้าเรียวนอนไม่หลับ เดี๋ยวผมจะกล่อมให้นะ รับรองเรียวหลับสนิทรวดเดียวถึงเช้าแน่เลย”
เด็กหนุ่มพูดยิ้มๆ ผมมองหน้าตาเจ้าเล่ห์ของเขา แล้วรีบเดินหนี
“วันนี้เรียวเป็นอะไรอ่ะ ทำไมหงุดหงิดจังเลยครับ เมื่อวานนี้ เรายังดีๆกันอยู่เลย อะไรกันเพิ่งฉลองสองเดือนที่คบกันไปเมื่อวานนี้ พอวันนี้กลับมาโกรธผมอีกแล้วหรือครับ”
น้ำเสียงและหน้าตาของเดียร์ดูน่าสงสาร เขาเดินตามผมมาจากหน้าบ้านจนถึงห้องรับแขก โดยที่ผมไม่พูดไม่ทักทายเขาสักคำ ผมมองหน้าเขาก็พลันคิดถึงคำพูดของเจ้าสันต์ที่พูดกับผมเรื่องเดียร์ เลยเกิดนึกรำคาญขึ้นมา จนเผลอพูดในสิ่งที่ทำร้ายจิตใจเดียร์ออกไป
“ไม่มีอะไรหรอก แต่วันนี้ไม่ให้นอนค้างนะ ฉันอยากอยู่คนเดียว ไม่อยากให้ใครกวนใจ”
ทันทีที่คำพูดแบบไร้เยื่อใยหลุดจากปากของผม เดียร์ก็มีสีหน้าสลดลง หัวใจผมหล่นวูบ เมื่อเห็นใบหน้าหมองๆนั้น รู้สึกสงสารเขาขึ้นมาจับใจ แต่ทำไงได้พูดออกไปแล้ว ก็ต้องเป็นไปตามนั้น เด็กหนุ่มเม้มปากแน่น ทำตาแดงๆ เขานิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง พลันใบหน้าของเดียร์ก็มีรอยยิ้มระบายขึ้น
“ถ้าเรียวอยากอยู่คนเดียว ผมก็ไม่รบกวนแล้วนะครับ แค่อยากมาเห็นกับตาว่าเรียวเป็นอะไรหรือเปล่าเท่านั้น พักผ่อนให้มากๆนะครับ อย่านอนดึกนะ ผมกลับล่ะครับ”
เดียร์กลับไปแล้ว ด้วยท่าทางเหงาๆ ส่วนผมกลับมานอนในห้องเหมือนเดิม แต่ผมไม่สามารถข่มตาตัวเองลงได้ พอพยายามจะหลับตาลงทีไร หน้าเศร้าๆของเดียร์ก็ลอยไปลอยมา ผมรู้สึกแน่นในอก รู้สึกว่าตัวเองได้ทำในสิ่งที่ร้ายกาจมากที่ไล่เดียร์ไปกลางดึกแบบนั้น ทั้งๆที่เจ้าเด็กบ้านั่น รีบนั่งแท็กซี่มาหาผมทันทีที่เลิกงาน ด้วยความเป็นห่วงเป็นใย กลัวว่าผมจะไม่สบาย กลัวว่าจะไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อน โดยที่ตัวเขาเองก็ทำงานหนักมาทั้งวัน และยังไม่ทันได้พักผ่อน แต่ผมกลับไม่ใส่ใจความรู้สึกของเขา และใช้คำพูดที่ทำให้เดียร์ต้องเจ็บปวด ผมมันแย่มากจริงๆ ไม่รู้สึกในความหวังดีของคนอื่น แถมซ้ำยังไร้หัวใจอีกด้วย มัวแต่ไปเก็บเอาคำพูดบ้าๆของคนอื่นมาคิด กลัวในสิ่งที่มันยังไม่เกิด ปิดกั้นตัวเอง ทำร้ายคนที่รักผมทั้งๆที่เขาไม่เคยทำอะไรให้เลย ความเครียดในสิ่งที่ตัวเองทำลงไปทำให้ผมนอนไม่หลับ จนกระทั่งรุ่งเช้า