ตอนที่ 2 : ครึ่งหลัง
"ปุ่น เดี๋ยวคุณออกไปพร้อมกับผมโทรแจ้งร้านอาหารให้เพิ่มเป็นสามที่ด้วย”
“ครับ” อารมณ์ไหนอยู่ๆก็เรียกชื่อเล่นผม ขี้เกียจแล้วล่ะสิ
“ให้รถมารอในอีก 10 นาที”
“ครับ” ผมกดวางสาย ชักกังวลว่าต่อไปผมจะพูดคำอื่นไม่เป็นหรือเปล่า วันๆ พูดอยู่คำเดียว
หลังจากผมทำพลาดเรื่องส่งดอกไม้ พี่พรก็จับผมติวเข้มใหม่อีกทีตลอดบ่ายวันนี้
หนึ่งอาทิตย์ก่อนหน้านั้น พี่พรติวเฉพาะเรื่องของหน้าที่ว่าผมต้องทำอะไรบ้างและทำอย่างไร
พอผมมาทำงานจริงๆ พี่พรคงเพิ่งรู้ว่าต้องติวเรื่องเซ้นส์ให้ผมด้วย
ไม่ถึงสิบนาทีประตูใหญ่ก็เปิดออก คนตัวสูงก้าวออกมา พี่พรรีบลุกขึ้นยืนผมก็ลุกตาม
“ผมไม่กลับเข้ามาแล้ว คุณพรเลิกงานกลับบ้านได้เลย”
“ค่ะ”
แล้วก็เงียบกันไป ผมแอบเหลือบตาขึ้นมอง
“จะยืนอยู่อีกนานไหมทำไมไม่เตรียมตัว” เสียงดุผมจากคนเดิม มีคนเดียวนี่แหล่ะครับ
ผมรีบหยิบกระเป๋าขึ้นมาถือ ตรูก็เตรียมแล้วเฟ้ย เห็นยังยืนพิรี้พิไรอยู่จะรู้ได้ไงว่าต้องไปตอนไหน
คนขี้หงุดหงิดเดินนำผมผ่านประตูไปจนถึงลิฟท์ ผมรีบเดินเข้าไปก่อน กดชั้นและกดเปิดประตูรอ
ที่พี่พรติวเข้มให้ก็พอเข้าหัวผมบ้าง
ผมแอบมองคนที่ยืนเฉียงไปทางด้านหน้า พอยืนเทียบกันอย่างนี้ทำให้ผมนึกถึงภาพเสาไฟฟ้ากับตอม่อโครตเหมือน
ขืนต้องอยู่กับหมอนี่ไปเรื่อยๆ ผมคงหาสาวไม่ได้สักคน เสร็จคุณรองประธานฯหมดแน่
พอถึงชั้น G ผมกดปุ่มเปิดลิฟท์ค้างไว้รอให้ท่านออกไปก่อน แล้วจึงเดินตามหลัง
ไม่ใช่สิต้องใช้คำว่าวิ่งตามหลังถึงจะถูก ขาจะยาวไปไหน ไม่สูงชะลูดตูดปอดบ้างก็ให้มันรู้ไป
รอด้วยเฟ้ย
คุณรองประธานก้าวขึ้นรถที่มาจอดรออยู่แล้ว ผมรีบวิ่งไปเปิดประตูอีกด้านขึ้นนั่ง
ปิดประตูได้ก็หันไปบอกคนขับรถ “เรียบร้อยแล้วครับ”
ทำไมคุณลุงคนขับมองหน้าผมอย่างนั้น ดูงงๆ แต่ก็ยอมออกรถแต่โดยดี
ผมหันกลับมา เจอสายตาของคนข้างๆ กำลังมองอยู่
รู้สึกคล้ายกำลังทำอะไรผิด ผมยกมือขึ้นลูบผม เมื่อกี้ก็ไม่ทันเข้าห้องน้ำดูความเรียบร้อย
“คุณต้องนั่งด้านหน้าคู่กับคนขับ ไม่ใช่ตรงนี้” อ่า ชัดเลยครับ ผมนั่งชูคอข้างท่านรองประธานฯเฉยเลย
“จอดรถก่อนได้ไหมครับ” ผมชะโงกหน้าไปบอกคุณลุงคนขับ แกก็พยักหน้าให้
“ไม่ต้อง” เสียงติดจะรำคาญเป็นคนตัดสินใจ รถจึงพุ่งทะยานไปยังจุดหมายเหมือนเดิม
ผมขยับไปนั่งชิดประตู ทำตัวลีบเท่าที่ตัวอวบๆ ของผมจะทำได้ ทำไมชีวิตเลขามันยากเย็นแสนเข็ญขนาดนี้
รู้สึกนับถือขึ้นมาเลยครับ เป็นอาชีพที่ควรได้รับรางวัลความอดทนดีเด่นจริงๆ
ผมกำลังคิดอะไรเพลินๆ จู่ๆ ก็มีเสียงแปลกๆ เกิดขึ้นในรถ คุณรองประธานเงยหน้าจากมือถือขึ้นมามองผม
“โครกกก” ชัดเลยครับ เสียงท้องผมร้องนั่นเอง ผมรีบเอามือจับพุงน้อยๆ เอาไว้
(ยืนยันว่าน้อยๆ ผมแค่อวบไม่ได้อ้วนอย่างที่พี่ปั้นมันชอบล้อเสียหน่อย)
“ขอ..ขอโทษครับ” ผมอยากเอามือตีท้องตัวเองไม่รู้จักรักดี ทำไมต้องมาทำให้ขายขี้หน้า
“ตอนพักไม่ได้ทานหรือ” เสียงถามเรียบๆ ไม่แน่ใจว่าประชดหรือถามเพราะอยากได้คำตอบ
“ทานแล้วครับ” ไม่อยากจะบอกว่าผมทานก๋วยเตี๋ยวตั้งสองชาม พิเศษด้วย
ผมยังปรับตัวเรื่องนี้ไม่ได้ เพราะทำงานกับพี่ปั้น บ่ายๆ ผมก็หาขนมเข้าปากตลอด
อยู่ที่ทำงานก็เหมือนอยู่บ้าน จะทานตอนไหนก็ได้ แต่ที่นี่มันไม่เหมือนกัน
“โครกกก” ท้องผมยังส่งเสียงร้องอย่างต่อเนื่อง เหมือนกำลังประท้วงว่ามันทนไม่ไหวแล้ว
“ถ้ามีร้านแถวนี้พอจะแวะจอดได้ จอดให้คุณปุ่นด้วย”
“ครับคุณวีร์”
“ไม่ต้องครับ ไม่ต้อง” ผมรีบปฏิเสธ ส่ายทั้งมือส่ายทั้งหัวจนผมยุ่งไปหมด
“หิวไม่ใช่เหรอ ผมไม่อยากเห็นใครมาเป็นลมบนรถ” จะเป็นห่วงทั้งทีพูดดีๆก็ไม่ได้นะคนเรา
“ผมมีของกินมาครับ ถ้าจะอนุญาต” ผมส่งสายตาอ้อนวอนไปหาคนตัวสูง
พลีสสสส ได้โปรดนะครับ
“ทานเถอะ” คนตอบเลิกสนใจผม ก้มหน้าลงดูมือถือต่อ
ผมหยิบบราวนี่ดับเบิ้ลช็อคฯ ออกจากกระเป๋า แกะซองแล้วบิออกเป็นสองชิ้น
ชิ้นนึงผมส่งเข้าปากตัวเอง อีกชิ้นยื่นไปให้คนที่นั่งข้างๆ
“อร่อยนะครับ” ผมเห็นเจ้านายเงยหน้าขึ้นมามองแต่ไม่ยอมหยิบ เลยต้องการันตีคุณภาพเสียหน่อย
ผมขยับมือเป็นเชิงเชิญชวน แต่สายตาคู่นั้นยังเอาแต่มองผม
“ทานไปเถอะ ชิ้นแค่นั้นคงไม่อยู่ท้องคุณหรอก” ผมส่งค้อนไปให้
“แล้วห้ามบ่นว่าผมไม่มีน้ำใจนะครับ” ปากพูดแต่มือส่งขนมชิ้นนั้นเข้าปากเรียบร้อย เดี๋ยวเจ้านายเปลี่ยนใจ
“ทานดีๆ เดี๋ยวก็ติดคอ”
ผมนึกว่าตาฝาดที่เห็นหน้าดุๆหลุดเก๊ก ยิ้มขำๆ ออกมาแว๊บนึง ยิ้มก็เป็นนี่นึกว่าทำหน้าดุเป็นอย่างเดียว
“จะมองอีกนานไหม”
“ครับ?”
คราวนี้คนเสียงทุ้มไม่ตอบ ยกมือขึ้นจิ้มหัวผมให้หันกลับไปมองข้างหน้า
“ทานแบบนี้ ระวังอีกหน่อยจะกลิ้งแทนเดิน”
(-’_'-)
เกลียดดดดดดด อย่ามาร้ายกับผมเหมือนพี่ปั้นนะ ผมไม่ได้อ้วนเฟ้ยยย
ผมนั่งทำปากยื่นปากยาวไปตามประสา รถก็ติด น้ำก็หิว ท้องก็ยังไม่อิ่ม
กล่องข้าวน้อยฆ่าแม่ แต่ผมกำลังจะฆ่าเจ้านาย
“ทนเอาหน่อย เดี๋ยวก็ถึงแล้ว” รู้ดี สงสัยรังสีอำมหิตของผมจะแผ่กระจายจนเจ้านายสัมผัสได้
เลยรีบบอกก่อนผมจะก่อเหตุฆาตกรรมในรถ
“ทำไมถึงให้ผมไปร่วมโต๊ะด้วยครับ” เพิ่มจากสองที่เป็นสามที่แล้วบอกให้ผมไปด้วย ก็ต้องเป็นผมกินด้วยสิใช่ไหม
หรือไม่ใช่ (-__-")
ตรูถามไปแล้วหรือจะหน้าแตก
“เดี๋ยวไปถึงก็รู้เอง” คำตอบสั้นๆ เป็นการตัดบทไม่ให้ผมซักถามต่อ
พอท้องผมเงียบเสียงลงเจ้านายก็ดูจะหมดความสนใจ ต่างคนต่างเข้ามุม ทำอะไรของตัวเองไปไม่ได้คุยกันอีก
ผมหยิบสมุดเล่มเล็กที่พกติดตัวเสมอขึ้นมา หน้าที่ที่แท้จริงของผม
ผมจรดปากกา เขียนวันเดือนปีลงไปกำกับด้วยเวลาปัจจุบัน และต่อท้ายด้วยคำว่า ปกติดี
พี่ปั้นบอกให้ผมคอยสังเกตคนรอบตัวคุณรองประธานฯ ว่ามีใครน่าสงสัยหรือไม่ มีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นบ้างหรือเปล่า
แต่สองวันนี้ทุกอย่างก็เงียบสงบดี ถ้าไม่มีจดหมายขู่มาให้เห็นกับตา ผมอาจคิดว่าท่านประธานหวาดวิตกไปเอง
ก็คนที่นั่งอยู่นี่ ยังใช้ขิวิตปกติ ทำตัวตามสบาย ไม่เห็นจะระมัดระวังตัวหรือทำท่าเดือดเนื้อร้อนใจกับเขาสักนิด
เรามาถึงร้านอาหารก่อนเวลานัดเล็กน้อย ผมออกจะภูมิใจในผลงานตัวเอง
ร้านสวยสมกับที่มีคนรีวิวเอาไว้ ตอนนี้ก็เหลือแค่ภาวนาให้อาหารอร่อยจริงสมคำร่ำลือ ก็ถือว่างานผมผ่านฉลุย
“นั่งสิ”
“ครับผม” ผมลงนั่งข้างคุณรองประธาน ฯ ตาแอบเหล่มอง ก่อนก้นจะแตะเก้าอี้
ตรูนั่งถูกฝั่งใช่ไหม ต้องใช่สิ เขาคงไม่อยากให้ผมไปนั่งข้างผู้หญิของเขางหรอก
“สั่งน้ำทานไปก่อน รอนิลมาค่อยสั่งอาหาร” จำได้ด้วยว่าผมหิว
“ขอบคุณครับ” ผมสั่งน้ำส้มปั่นให้ตัวเอง และไวน์สำหรับเจ้านาย
(อันนี้พี่พรก็สอนมาครับ ว่ามาร้านอาหารฝรั่งเศสควรสั่งอะไรให้เจ้านายดื่ม)
ผมนั่งดูดน้ำส้ม ตาก็มองไปรอบๆ ร้าน นี่เป็นครั้งที่สองที่ผมคิดว่าได้ออกมาทำงานแบบนี้ก็ดี
ไม่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในบริษัทพี่ปั้น ไม่งั้นชาตินี้ก็คงไม่ได้มานั่งร้านแบบนี้หรอก
ไม่ใช่ว่าไม่มีเงินนะครับ ถึงพี่ปั้นมันไม่ได้รวย แต่ก็พอมี กิจการเราไม่ใหญ่มากแต่ก็ทำเงินหาเลี้ยงทุกคนได้
เพียงแต่ร้านแบบนี้ พี่ปั้นมันคงไม่พาผมมา ร้านลาบ น้ำตก ซกเล็กโน้น ของโปรดพี่มัน
ผมเห็นผู้หญิงคนนึงกำลังเดินมาที่โต๊ะ เจ้านายผมลุกขึ้นยืน ผมเลยรีบลุกขึ้นบ้าง
“มานานหรือยังคะ นิลรีบที่สุดแล้วแต่รถติดน่าดู”
ผู้หญิงที่นั่งลงตรงหน้า(เจ้านายผม)สวยมากครับ หุ่นอย่างกับนางแบบ เออ ก็นางแบบนั่นแหล่ะ ผมลืม
“ไม่นานครับ นิลหิวหรือยัง สั่งอาหารเลยนะ” เจ้านายผมยื่นเมนูไปให้
เราเลือกอาหารกันอยู่ชั่วครู่ เมื่อบริกรรับออเดอร์ไปแล้ว เจ้านายผมก็เริ่มแนะนำให้รู้จักกัน
“ปุ่นทักทายคุณนิลยาสิ เธอเป็นนางแบบแถวหน้าของเมืองไทย”
“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้
“ส่วนนี่ปุ่น เพิ่งเข้ามาทำงานเป็นเลขาส่วนตัวของผม” เธอเจียดยิ้มมาให้ผมนิดนึง ก็ยังดีครับ
คนสวยทำอะไรก็ไม่ผิด แค่ได้นั่งมองก็มีความสุขแล้ว
“วีร์ไปไหนมาหรือคะ ถึงพาคุณปุ่นมาด้วย” คนสวยดูจะไม่ค่อยพอใจที่ผมเสนอหน้าอยู่ร่วมโต๊ะ
“ตั้งใจพามาแนะนำให้นิลรู้จักครับ”
หือ ไหนพี่พรบอกกำลังจะเบื่อ แล้วทำไมทั้งเลี้ยงข้าว ทั้งพาผมมาแนะนำตัว เบื่อไม่จริงเสียละมั้ง
สงสัย “คิดถึง” ของผมใช้การได้ดี เลยกลับมามองตากันใหม่
“แหม วีร์พูดแบบนี้นิลคิดไปไกลนะคะ” จริตจะก้านแพรวพราว สายตาที่ส่งมาเชิญชวนจนผมยังรู้สึก
คนกำลังจะหวานกัน บริกรดันยกออเดิฟเข้ามาเสิร์ฟ (ไม่รู้ผมเรียกถูกหรือเปล่านะครับ ไอ้อาหารทานเล่นนั่นแหล่ะ)
“ทานรองท้องก่อนครับ” เสียงคุณรองประธานฯตอนนี้คนละเวอร์ชั่นกับที่คุยกับผม
อันนี้คงเปลี่ยนเป็นโหมดสาวรักสาวหลง
“ปุ่นทานสิ” ลาภปากแล้วครับ (。→‿←。)
เชิญคุยกันตามสบาย ผมมีอะไรทำแล้วแค่เห็นน้ำลายก็สอ มือหยิบส้อมจิ้มกุ้งในน้ำสลัดลงจานทันที
“ขอบคุณมากนะคะสำหรับดอกไม้กับการ์ดเมื่อวาน นิลมีความสุขมาก”
มือขาวเอื้อมมาวางทับลงบนมือใหญ่ ปลายนิ้วไล้ไปมาเบาๆ ผมเห็นแล้วสยิวแทน หู้ย อยากจะมีกับเขาบ้าง
“ผมนัดนิลมาก็เพราะเรื่องนี้ อยากจะเลี้ยงข้าวนิลเเป็นการขอโทษ” มือใหญ่พลิกออกจากมือที่วางทับ
“เลขาผมเพิ่งเข้ามาใหม่ ยังทำงานไม่รอบคอบพอ เมื่อวานถึงส่งดอกไม้ให้สลับคน ขอโทษที่ทำให้นิลเข้าใจผิด”
//(ㄒoㄒ)//
ไม่ใช่แค่คุณนิลยาหรอกครับ ที่ปากอ้า ตาค้าง ผมนี่กุ้งหล่นจากปากไปนอนแอ้งแม้งอยู่ในจาน
ได้แต่ทำตาปริบๆ จ้องหน้าเจ้านาย ไอ้คุณท่านรองฯ เอาผมมาเป็นแกะน้อยบูชายัญชัดๆ ฮือๆ
พ่อแก้วแม่แก้ว ไอ้ปุ่นจะโดนผู้หญิงตบก็วันนี้
“ไม่..ไม่ใ.ช่...ไม่ใช่ของนิลหรือคะ” เสียงที่หลุดออกมากระท่อนกระแท่นเป็นคำๆ
“ไม่ใช่ครับ” เสียงทุ้มนุ่มนวล รอยยิ้มอ่อนโยน
ผมอยากประกาศให้โลกรู้ว่ามันคือการหลอกลวงทั้งเพ
ดอกไม้ก็ส่งไปช่อเดียวให้คนๆ เดียว เกิดจะมีสองคนขึ้นมาเสียอย่างนั้น อีกคนส่งของขวัญเฟ้ย
ตรูเถียงขาดใจ อยู่ๆจะมาหาว่าทำทำงานผิดพลาดได้ไง
“ปุ่น ขอโทษคุณนิลเสียสิ” ตาคมหันมาสบตากับผม เราต่อสู้กันทางสายตาอยู่หลายวินาที
“ผมขอโทษครับ ต่อไปจะระมัดระวังให้มากกว่านี้” ก็ต้องพูดสิครับจะเหลือหรือ
พี่พรกล่าวไว้ว่าอีกหน่อยก็ชินไปเอง หึๆ นี่สินะวิธีการไล่แบบสุภาพ
“ทานต่อเถอะครับ นิลอยากทานอะไรสั่งเลย ผมตั้งใจมาเลี้ยงนิลโดยเฉพาะ”
ต้องได้เห็นหน้าคุณนิลยาเหมือนที่ผมเห็นครับ อยากจะเข้าไปกอดปลอบให้หายเสียใจ
ติดว่าถ้าทำผมคงโดนตบเข้าให้
ตอนนี้ในใจผมคิดอยู่อย่างเดียว กลับไปต้องไปขอเงินเพิ่มจากพี่ปั้น งานนี้เสี่ยงหลายอย่าง
ศัตรูรอบด้านจริงๆ แม้แต่คนที่ต้องมาอารักขา ยังไว้ใจไม่ได้
คิดไปคิดมา หมอนี่แหล่ะน่ากลัวกว่าทุกคน ดูหน้ายิ้มอ่อนๆ นั่นสิ
ตบเลยครับ ตบเลย ผมเชียร์
(¬_¬メ).
ไม่ได้สิ ผมเป็นบอดี้การ์ดนี่ บอดี้การ์ดอยากตบคนที่ต้องอารักขา ผิดไหมครับ
ผิดเหรอ ( ̄﹏ ̄”)
เฮ้อออ เซ็งเลย
ว่าแต่..ถ้าผมจดชื่อคุณรองประธานฯ ลงไป พี่ปั้นมันจะหาว่าผมบ้าหรือเปล่า
ก็คำสั่งพี่มันคือให้จดรายชื่อคนที่น่าสงสัย และไว้ใจไม่ได้ ก็หมอนี่แหล่ะไม่ใจไม่ได้ที่สุดของที่สุดแล้ว
..........................................................TBC.........................................................................