26 ปล้น
“แม่”ขนมผิงเรียกผู้เป็นแม่ด้วยน้ำเสียงแหบพร่าหลังจากตื่นขึ้นมาพบกับเพดานห้องสีขาวสะอาดไม่คุ้นตากับกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อฉุนจมูกเห็นแม่ของตนนั่งอยู่ข้างเตียง
“ตื่นแล้วเหรอ กินน้ำก่อนนะผิง”ลำดวนรีบกระวีกระวาดหยิบแก้วน้ำบนโต๊ะจับหลอดป้อนให้ลูกชาย “ค่อยๆกินนะ”
“ลูก ลูกผิงล่ะแม่ เขาเอาลูกผิงไป”สิ่งแรกที่ขนมผิงเรียกหายังคงเป็นลูกชายอยู่วันยันค่ำ
“เด็กๆอยู่กับพ่อ แม่ให้พ่อเขาพากับบ้านไปแล้ว อยู่โรงพยาบาลเชื้อโรคมันเยอะ”
ผู้เป็นแม่ตอบด้วยท่าทางเป็นห่วงเป็นใย อันที่จริงเธออยากจะถามลูกชายด้วยซ้ำว่าลูกของเธอหลานๆไปอยู่กับปิญญ์ชานนท์ได้ยังไง อีกอย่างเมื่อคืนวานเธอได้รับโทรศัพท์จากอีกฝ่ายบอกว่าขนมผิงกับลูกอยู่กับเขา ซึ่งนั่นสร้างความแปลกใจให้แก่ลำดวนมากเพราะเธอทราบดีอยู่แล้วว่าลูกชายแค้นเคืองคนของอนันตไพลินแค่ไหน อีกทั้งร่องรอยที่ปรากฏตามตัวลูกชาย มันทำให้เธอทิ้งความสงสัยที่เกิดขึ้นไม่ได้
ลำดวนจ้องมองลูกชายในขณะที่ลูกชายของเธอยังคงแสดงสีหน้าว่าเป็นห่วงและหวงลูกของมากขนาดไหน
“แม่ไม่ได้โกหกผิงนะ”ขนมผิงถามเสียงพร่า ดวงตาดูอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด
“แม่จะโกหกผิงให้ได้อะไรล่ะ”
คำตอบของลำดวนทำให้ขนมผิงชะงักหลุบตาจ้องมองสายน้ำเกลือที่หลังมือ
“หมอจะให้ผิงกลับบ้านเมื่อไร”
“ยังไม่มีกำหนด อย่างน้อยก็คงสักสองสามวันนั่นแหละ ดีที่ไม่เป็นปอดบวม แล้วเรื่องอะไรถึงไปตากฟ้าตากฝนอย่างนั้นล่ะ”
“ผิงอยากกลับบ้าน ผิงอยากออกจากโรงพยาบาลวันนี้ ผิงต้องกลับไปทำงาน”ขนมผิงไม่ตอบคำถามของมารดา แต่กลับเลี่ยงตอบในสิ่งที่ทำให้มารดาของตนรู้สึกไม่ดี
“วันนี้วันเสาร์นะผิง”ลำดวนพูดด้วยน้ำเสียงที่เริ่มไม่พอใจลูกชาย ตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาลูกเริ่มกลับบ้านดึกอีกทั้งตอนนี้กลับถือตำแหน่งประธานของบริษัทใหญ่เอาไว้ในมือถึงสองที่ทำให้ไม่มีเวลาแม้แต่จะกลับมานอนพักที่บ้าน ได้แต่นอนค้างที่คอนโด หรือหนักกว่านั้นก็นอนค้างที่ทำงานจึงทำให้ไม่มีเวลาพักผ่อน ถึงแม้ว่าเธอกับสามีจะเตือนแล้วก็ตาม
“แต่งานผิงเยอะ แม่ก็รู้” ถึงแม้จะเป็นวันอาทิตย์แต่ด้วยจำนวนงานที่เยอะถึงแม้จะมีผู้ช่วยเพิ่มอีกหลายคนแต่ก็ยังอยากจะทำด้วยตัวเองตรวจสอบให้รอบคอบเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากความระแวงกลัวว่าคนอย่างปิญญ์ชานนท์จะไม่ยอมง่ายๆและกลับมาเอาคืนตน
“แม่ไม่อยากพูดแบบนี้กับผิงนะ แต่ถ้าผิงไม่พักบ้างแม่คงรู้สึกว่าแม่เป็นแม่ที่ไม่ดี ปล่อยปะละเลยลูกจนลูกเป็นแบบนี้”ลำดวนเบือนหน้าหนี
“แม่!!”
“กี่ครั้งแล้วที่แม่กับเด็กๆต้องมานั่งรอผิงกลับบ้านแต่ผิงก็ไม่กลับ ผิงรู้บ้างไหมว่าเด็กๆจะรู้สึกเหงาแค่ไหนกัน”
“ผิงทำทุกอย่างเพื่อลูกของผิง”ทำเพื่อปกป้องลูกจากคนคนนั้น…แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลยแต่กลับแย่ลงกว่าเก่า
ไม่มีความสุข ไม่มีความยินดี…มีแต่ความว่างเปล่าห้อมล้อมอยู่รอบๆตัว
“การที่ผิงทำงานเยอะมีงานที่ดี มีหน้าที่ที่ต้องดูแลมากมายมันไม่ได้ทำให้แม่คิดว่าผิงทำเพื่อลูกเลย แต่กลับตรงข้ามกันด้วยซ้ำ ผิงกำลังทำร้ายลูกทำร้ายตัวเอง ทำร้ายคนรอบตัวที่รักและห่วงใยผิงมากกว่า”ลำดวนพูดเสียงสั่นพร่า สัญชาติญาณของความเป็นแม่ที่อยู่ในตัวของลูกชายเธอเข้าใจดี หากแต่เส้นทางที่ลูกชายของเธอกำลังเดินอยู่นั้นมันผิด มันกำลังสวนทางกับสิ่งทุกคนต้องการ
ขนมผิงนิ่งอึ้งกับคำพูดของมารดา ดวงตาคู่คมเริ่มรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมากับสิ่งที่พึ่งจะได้รับรู้มาจากความคิดของคนอื่นที่ไม่ใช่ตนเอง แม่ของเขาพูดถูก ทิฐิของตัวเขากำลังทำร้ายคนที่เขารัก
“หยุดเถอะนะผิง แม่อยากให้ผิงปล่อยวาง ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่มีคำว่าสายเกินไป แม่เชื่ออย่างนั้น”
“แต่เขาทำร้ายแม่ ทำร้ายพวกเราขนาดนี้ แม่จะให้ผิงปล่อยวางได้ยังไง”
“เรื่องมันอาจจะเกิดจากความผิดพลาด ผิงคิดว่าเด็กๆสำคัญกับผิงมากที่สุด ผิงก็ควรทำให้มันเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่เอาแต่ความคิดมาเป็นบรรทัดวางเอาไว้ว่ามันต้องเป็นอย่างนั้น แล้วทำให้เรื่องทุกอย่างมันไม่มีจุดสิ่นสุดแบบนี้”
“แม่จะให้ผิงทำยังไงในเมื่อผิงหันหลังกลับไม่ได้”ในเมื่อเขาถอยไม่ได้อีกต่อไปแล้ว มีทางเดียวคือต้องเดินหน้าไปต่อจนสุดทาง
“ขายหุ้นคืนเขาไปเถอะนะ แค่นี้เขาคงได้รับบทเรียนพอแล้วล่ะ”ลำดวนตอบ มือที่เริ่มขึ้นริ้วรอยแตะลงบนแขนของลูกชายอย่างเบามือ
“ยังหรอก แค่นี้มันยังไม่พอสำหรับสิ่งที่เขาทำกับพวกเรา”ที่ร้ายแรงสุดก็คือการผลักไสไล่ส่งลูกของตัวเอง
“ผิง! แล้วผิงจะทำยังไงต่อไป ทำให้เขาหมดตัว ล้มละลายแล้วตัวเองต้องทำแต่งานทำให้ลูกๆขาดความอบอุ่นโตขึ้นมาเป็นเด็กมีปัญหาอย่างนั้นเหรอ นั่นคือสิ่งที่ผิงต้องการใช่ไหม”
“ผิง…”
“ผิงโตแล้วแม่รู้แม่ไม่ควรห้ามหรือบงการอะไร แต่แม่คิดว่านี่มันมากเกินไป แม่ปล่อยปะละเลยลูกชายของตัวเองให้ทำอย่างนี้ไม่ได้หรอก แม่มั่นใจว่าคุณปิญญ์เขารู้สึกผิดแล้วกับสิ่งที่เขาทำ แต่แม่เชื่อว่าเรื่องทุกอย่างมันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเขา ตอนนี้ผิงเองก็น่าจะหยุดสักที ก่อนที่อะไรๆมันจะเลวร้ายไปกว่านี้”
เธอรู้ดีว่าปิญญ์ชานนท์คงจะได้รับบทเรียนที่สาสมแล้ว จากแววตาที่เคยดูเย่อหยิ่งทระนงตนตอนนี้เปล่าเปลี่ยนเป็นแววตาที่หม่นมองเต็มไปด้วยความสับสนในตอนที่เธอมาถึงโรงพยาบาล ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะพยายามซ่อนมันเอาไว้ก็ตาม
เธอเปิดประตูเข้ามาในห้องพบว่าชายหนุ่มทายาทของอนันตไพลินกรุ๊ปที่เธอเคยทำงานด้วยกำลังกุมมือของลูกชายของเธอ แต่นั่นมันก็เพียงแค่แวบเดียวเมื่อเธอเข้ามาเขาก็ปล่อยมือออกแล้วละความสนใจไปที่เด็กๆแทน แล้วที่น่าแปลกใจไปมากกว่านั้นก็คือ หลานๆของเธอสนิทกับชายหนุ่มมากกว่าที่ควรจะเป็น หากเท่าที่เธอจำได้ ปิญญ์ชานนท์พึ่งเคยจะเจอกับหลานของเธอแค่ครั้งเดียว…บางทีมันอาจจะมีอะไรที่เธอมองข้ามไปถึงความสัมพันธ์ของลูกชายของเธอกับปิญญ์ชานนท์คนนี้…แต่สิ่งที่เธอคิดมันก็อาจจะเป็นเพียงความรู้สึกที่คิดไปเอง เธอเชื่ออย่างนั้น
“ทำไม…ผิงกับลูกถึงไปอยู่กับคุณปิญญ์ได้ล่ะ”ลำดวนถามเสียงเบา ในที่สุดเธอก็ทนเก็บความสงสัยที่เกิดขึ้นในใจไม่ไหว
หากแต่ลูกชายของเธอกลับนิ่งเงียบกับคำถาม ดวงตาสีโศกคู่ที่ได้มาจากเธอกำลังหลุบตาไม่กล้าสบตาขอเธอที่จ้องมอง
“ผิงไม่บอกแม่ก็ไม่เป็นไป เวลาไหนที่ผิงพร้อมจะบอกแม่ผิงค่อยบอกก็ได้ แม่ไม่บังคับ”เพราะเพียงแค่การที่เธอถูกประณามใส่ร้ายมันไม่น่าจะทำให้ลูกชายของเธอลุกขึ้นมาเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ จากคนที่อ่อนโยนกลับก้าวร้าว ราวกับผลิดฝ่ามือ
“นี่ก็จะเที่ยงแล้ว เมื่อกี้พนักงานเอาข้าวต้มกับยามาให้ กินก่อนก็แล้วกัน เย็นๆพ่อเขาคงจะพาเด็กๆมาหานั่นแหละ”ลำดวนตัดบทดันโต๊ะอาหารเลื่อนเข้าไปใกล้ลูกชาย
ขนมผิงตักข้าวต้มกินไปเพียงไม่กี่คำ ถึงแม้จะรู้สึกแปลกที่ปิญญ์ชานนท์ยอมปล่อยเด็กๆง่ายๆทั้งที่ก่อนหน้ายังยืนยันจะไม่คืนลูกให้เขา แล้วที่มากไปกว่านั้นกลับพาเขามาโรงพยาบาลทั้งที่ทำเรื่องน่ารังเกียจกับเขาจนต้องเป็นอย่างนี้ ทั้งที่ควรจะทิ้งเขาเอาไว้ปล่อยให้เขาช่วยเหลือตัวเองมากกว่า
“แม่ก็หาอะไรกินได้แล้ว อย่ามัวแต่มองผิงกิน”ขนมผิงบอกหลังจากกินยาหลังอาหารตามเข้าไป
“แม่รอให้ผิงกินเสร็จก่อน แล้วแม่จะไปหาอะไรกินเอง”
“งั้นแม่ก็ไปได้แล้ว ผิงกินข้าวกินยาแล้ว ไม่ใช่เด็กๆจะต้องมานั่งเฝ้าเหมือนเมื่อก่อนสักหน่อย”
“ไม่ใช่เด็กก็อย่าทำตัวเด็กก็แล้วกัน แม่ลงไปข้างล่างก่อน ถ้าง่วงก็นอน อย่าฝืน หมอบอกให้พักผ่อนมากๆ”
“ครับ”ขนมผิงรับคำส่งยิ้มจางๆให้มารดา
ความรู้สึกผิดกำลังก่อเกิดขึ้นภายในจิตใจ คำเตือนของมารดาฉุดให้สำนึกได้ว่ากำลังก้าวขาลงไปในเส้นทางที่ผิด
ฤทธิ์ของยาเริ่มทำงานทำให้ดวงตาคมนิ่งเริ่มปรือปรอยในที่สุดมันก็ปิดลง หลังจากที่ขนมผิงหลับลงตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง ไม่นานร่างสูในชุดลำลองดูผ่อนคลายก็เปิดประตูเดินเข้ามาท่ามกลางความเงียบสนิทมีเพียงเครื่องปรับอากาศเท่านั้นที่ครางแผ่วเบา
ปิญญ์ชานนท์นั่งลงบนเก้ากี้ข้างเตียง ดวงตาดุดันที่อ่อนแววลงไปมากจ้องมองใบหน้าขาวซีดดูไร้พิษสงของขนมผิง ฝ่ามือใหญ่แตะลงใบโครงหน้าของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา
สุดท้ายเขาต้องยอมปล่อยลูกๆไปโดยที่ยังไม่ได้ตกลงกับขนมผิงทั้งที่รู้ดีว่าหนทางที่จะเข้าใกล้ทั้งสามคนนั้นดูไกลออกไปทุกที เขาภาวนาให้การที่เขาทำร้ายขนมผิงในครั้งสุดท้ายจะเกิดผล ภาวนาให้สิ่งนั้นนำทางเขาสู่เส้นทางที่สามารถแก้ไขสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ ถึงแม้ว่าจะย้อนเวลากลับไปแก้ไขเรื่องที่เคยทำผิดเอาไว้ในอดีตไม่ได้ก็ตาม
เขาโน้มใบหน้าเข้าหาคนที่กำลังหลับสนิทด้วยฤทธิ์ยา ริมฝีปากร้อนผ่าวกดจูบลงบนริมฝีปากแห้งฝากเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้
สุดท้ายเขาก็ทำได้แต่ใช่วิธีอย่างคนขี้ขลาด….
----------------------------------------------------------------------------------------------------
“คุณจะตามผมมาทำไม”คุณหมอหนุ่มหันไปบ่นอุบเมื่อแทนทัพตามเขามาตั้งแต่เขาได้รับโทรศัพท์จากเพื่อร่วมรุ่นที่อยู่ต่างโรงพยาบาลว่าขนมผิงไม่สบายจนต้องแอดมิด ซึ่งตอนนั้นเขากำลังจะเข้าไปในตัวโรงภาพยนตร์เพื่อดูหนังกับแทนทัพ แต่ก็ต้องเป็นอันยกเลิกล่มไม่เป็นท่า มิหนำซ้ำแทนทัพยังตามเขาติดแจมาด้วยขนาดนี้
“คนไข้ก็เป็นเจ้านายผมเหมือนกัน”แทนทัพไหวไหล่ ซึ่งอันที่จริงหากชั่งน้ำหนักดู เขาเองก็ยังตอบไม่ได้ว่าตามคุณหมอตรงหน้าที่รีบร้อนมาที่นี่หรือว่าจะมาเยี่ยมไข้ขนมผิงกันแน่
“ผมหมดคำจะพูดกับคุณแล้วจริงๆเลยคุณแทนทัพ”
“งั้นก็ไม่ต้องพูดสิครับ อย่าลืมว่าคุณติดหนังผมหนึ่งเรื่อง”
คุณหมอหนุ่มไม่ตอบแต่กลับถอนหายใจอย่างปลงตกอีกทั้งยังเป็นห่วงขนมผิงที่ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าจะเป็นยังไงบ้าง ตั้งแต่รู้จักกันมาถึงขนมผิงจะไม่ถึงกับแข็งแรงอะไรมากมาย แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่จะป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาลอย่างนี้เลยสักครั้งมันทำให้เขาร้อนรนได้มากเลยทีเดียว
ทว่าระหว่างที่กำลังรีบร้อนเพื่อไปยังห้องผู้ป่วยหมายเลขห้องที่ถามมาจากเพื่อน แขนก็ถูกดึงรั้งให้ฝีเท้าชะงักนิ่งไม่ให้ไปต่อ คุณวุฒิถึงได้หันกลับไปมองอีกฝ่าย
“ไม่ต้องรีบขนาดนั้นหรอกครับ ห้องผู้ป่วยไม่ได้หายไปไหน”
แทนทัพอดไม่ได้ที่จะห้ามปรามคนรีบร้อนที่ดูจะร้อนรนเกินไปจนเขานึกไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย คุณวุฒิยกเลิกการดูหนังกับเขากลางคันอีกทั้งก้าวเดินอย่างรีบร้อนเพื่อที่จะไปหาขนมผิงโดยที่ไม่สนใจหากว่าเขาไม่ชวนคุยระหว่างทางที่มา แสร้งทำทีเป็นกวนอารมณ์ให้อีกฝ่ายไม่พอใจ
ความรู้สึกเล็กๆน้อยๆที่ไม่เคยคิดว่าจะเกิดกับคนเจ้าระเบียบอย่างตัวเองมันกำลังทำให้จิตใจที่นิ่งเฉยว้าวุ่นและรู้ได้ทันทีว่าคุณวุฒิไม่ยอมตัดขาดความรู้สึกที่มีต่อขนมผิงง่ายๆแน่…แล้วเหตุใดเขาจึงต้องมานั่งคิดเรื่องราวจุกจิกแบบนี้
แทนทัพปล่อยมือออกจากแขนของคุณหมอ ดูเหมือนว่าจะตั้งสติได้แล้วออกเดินด้วยย่างก้าวที่มั่นคงต่างจากเมื่อครู่ แทนทัพได้แต่มองแผ่นหลังโปร่งของอีกฝ่ายและเดินตามไปติดๆ
มองดูฝ่ามือสีสะอาดบิดลูกบิดประตูห้องพิเศษเปิดออกอย่างเบามือด้วยเสียงที่เงียบงันอาจะเป็นเพราะรีบเร่งหรืออย่างไรก็ตามที่ทำให้คุณวุฒิลืมเคาะประตูก่อนจะเข้าไป ฝีเท้าของคนข้างหน้าชะงักนิ่งจนเขาที่ไม่ทันสังเกตเพราะกำลังคิดเพลินเกือบจะชนเข้ากับแผ่นหลังของอีกฝ่าย
ภาพที่อยู่ตรงหน้าทำเอาเขาชะงักตามติดๆไม่แพ้กัน ร่างสูงใหญ่ในชุดลำลองต่างจากทุกทีที่มักจะอยู่ในชุดทางการดูสุขุมกำลังโน้มหน้าเข้าหาใบหน้าซีดเผือด ริมฝีปากหยักกำลังแตะลงบนริมฝีปากบางเฉียบและแห้งฝาก
คุณวุฒิก็เช่นกัน เขากำลังช็อคกับสิ่งที่ได้เห็น ญาติผู้พี่ของเขากำลังจูบกับรุ่นน้องที่เขาหลงชอบมาตลอด ความสัมพันธ์ที่ขาไม่รู้ว่ามองข้ามไปเมื่อไรทำให้ตกใจจนมือที่จับลูกบิดประตูสั่นเทา
แต่แล้วภาพตรงหน้าก็ดับวูบกลายเป็นมือมิดเมื่อมือใหญ่ปิดลงมาทาบทับกรอบแว่นดึงให้เขาถอยออกห่างแล้วปิดประตูลงอย่างเบามือ
ทำไมญาติผู้พี่ของเขาถึงได้ทำเช่นนั้นกัน….มีอะไรที่เขายังไม่รู้เกี่ยวกับสองคนนี้กันแน่
มือของแทนทัพจับจูงมืออ่อนนุ่มของคุณหมอให้เดินตามมาจนถึงลานจอดรถ เปิดประตูรถของตนแล้วดันคุณหมอที่กำลังนิ่งอึ้งกับสิ่งที่เห็นเข้าไปนั่งข้างคนขับแล้วปิดประตูลง
เขาเองก็ไม่แพ้กัน เขาเองก็ตกใจที่คนที่ขนมผิงแสนจะเกลียดชังจากการแสดงออกอย่างชัดเจนจะจูบขนมผิงอย่างนั้น หลายอย่างมันกำลังปะติดปะต่อ ก่อนหน้าเขาไม่เข้าใจว่าทำไมขนมผิงถึงได้ดูเกลียดชังและจ้องที่จะโค่นยักษ์ใหญ่อย่างปิญญ์ชานนท์ให้ล้มลงมา เขาเพียงแค่ทำตามคำสั่งและความต้องการเพื่อให้อีกฝ่ายพึงพอใจ นั่นคือความสุขของตัวของเขาเอง
หลายอย่างที่เกิดจากความคาดเดา ตอนนี้เลขาหนุ่มเริ่มประกอบจิ๊กซอติดต่อกัน เด็กแฝดสองคนที่เขาช่วยขนมผิงเลี้ยงดูมากับมือหน้าตาช่างเหมือนกับปิญญ์ชานนท์ยิ่งนักหากเอามาเปรียบเทียบกันจะเห็นความเหมือนได้อย่างชัดเจน แต่นั่นมันก็แค่การคาดเดา น่าแปลกที่ตอนนี้เขากับไม่หยี่ระกับมันสักเท่าไร หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงรู้สึกกระวนกระวายใจมากกว่านี้ หรืออาจจะเป็นเพราะคนที่นั่งนิ่งเงียบอยู่ข้างกายกัน ชายหนุ่มหันไปมองใบหน้าขาวสะอาดซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด
“ดูเหมือนคุณจะยังไม่รู้นะครับ”แทนทัพเปิดประเด็นเรียกให้คุณหมอหันมามองด้วยแววตาที่กำลังสั่นระริก
“ยังมีอะไรที่ผมยังไม่รู้อีก”ยังมีมากกว่านี้อีกไหมนอกเหนือจากญาติผู้พี่ของเขามีความสัมพันธ์ที่เขาเองก็ยังไม่เข้าใจกับคนที่เขาชอบมาตลอด
“เรื่องเด็กแฝดสองคนนั้น คุณผิงคุณคงไม่ได้บอกความจริงกับคุณ”
“ความจริงอะไรกัน”คุณวุฒิจ้องมองดวงตาคมคายของอีกฝ่าย ดวงตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจเล็กๆปะปนกับความสับสนวุ่นวาย
“คุณผิงเป็นคนอุ้มท้องเด็กสองคนนั้นเอง”
“นะ เรื่องบ้าอะไร ผมไม่ได้ตลกกับคุณนะคุณแทนทัพผิงจะตั้งท้องได้ยังไง ในเมื่อ…”คุณวุฒิชะงัก
ขนมผิงเคยบอกว่าตอนเกิดร่างกายติดของตนกับแฝดผู้พี่ที่เป็นผู้หญิง บางทีเรื่องนี้มันอาจจะเป็นไปได้ แล้วใครกันล่ะที่เห็นพ่อของเด็ก…หรือจะเป็นญาติผู้พี่ของเขา
คุณหมอหวนนึกถึงใบหน้าของเด็กแฝดลอยขึ้นมา ใบหน้าช่างคลับคล้ายญาติผู้พี่ของตนเมื่อสังเกตดูดีๆ
“เป็นไปไม่ได้ ผมจะไปถามผิงเอง ผมต้องการคำตอบจากปากผิงเท่านั้น”คุณหมอผละออกเตรียมเปิดประตูรถ หากแต่แทนทัพกลับทำในสิ่งที่ทำให้เขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อตัวเอง
มือใหญ่ของอีกฝ่ายดึงรั้งแขนเอาไว้ฝ่ามืออีกข้างดึงรั้งศีรษะของเขาโน้มเข้าไปหา มันรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ถูก เมื่อริมฝีปากร้อนผ่าวฉกจูบลงมา สอดลิ้นเข้ามาพยายามดูดดึงให้คล้อยตาม
ดวงตารีเล็กภายใต้กรอบแว่นเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อสายตา ดวงตาหลุกหลิกไปมาอย่างตกใจกลัวว่าใครจะมาเห็นเพราะเป็นลานจอดรถที่ใครจะโผล่มาเมื่อไรก็ได้ทุกเมื่อ
ถึงแม้พยายามผลักดันให้อีกฝ่ายปล่อยตน แต่กระต่ายหรือจะสู้หมาป่าเจ้าเล่ห์ที่ภายนอกดูสุขุมภายในกลับแฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์ รสจูบที่ถูกป้อนให้กับลังฉุดดึงให้คุณหมอจมลงสู่ห้วงแห่งความว่างเปล่า หลับตาลงแล้วเปิดรับสิ่งที่อีกฝ่ายมอบให้ด้วยความเต็มใจ นานนับหลายนาทีกว่าจะผละออกจากกัน มีเพียงความเงียบที่เข้ามาขวางกั้นระหว่างคนทั้งสองภายในรถยนต์คันสีดำสนิท
“คุณติดหนังผมเรื่องหนึ่ง ผมขอทวงคืน”แทนทัพพูดแล้วสตาร์ทรถขับออกไปแบบไม่รอฟังคำตอบจากอีกฝ่าย
“ตะ ตามใจ”คุณหมอตอบเสียงขาดหาย ใบหน้าแดงเรื่อ กระชับแว่นดันขึ้นแล้วหันไปมองนอกหน้าต่างอย่างน้อยอาการของขนมผิงจากที่ดูแล้วคงไม่เป็นอะไรมาก หากพวกเขาเข้าไปก็คงเป็นเพียงแค่ส่วนเกินในเวลานี้ … ใช่แล้ว เขาเป็นส่วนเกิน ไม่มีความสำคัญพอที่จะบอกได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่แม้จะบอกว่าหายไปที่ไหนเพราะอะไรตลอดเวลาสี่ปีที่ผ่านมา
---------------------------------------------------------------------------------------------
“ขนมผิงเป็นไงบ้าง”อาทิตย์ถามอาการเมื่อลูกชายเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม
“เป็นไข้หวัดปกติ หมอให้นอนพักฟื้นที่โรงพยาบาล”ปิญญ์ชานนท์ตอบด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม
เขาปฏิเสธความรู้สึกเป็นห่วงที่อัดแน่นอยู่เต็มอกของตัวเองไม่ได้เลย อีกทั้งความรู้สึกหึงหวงที่ตามมาทุกครั้งหลังจากที่คิดว่าขนมผิงจะต้องแต่งงานกับเดหลี และที่ว่างข้างๆที่ควรจะเป็นเขาจะถูกแทนที่ด้วยคนอื่น
“ไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว คราวนี้ก็มาที่เรื่องของแก ฉันอยากรู้ว่าเรื่องมันเป็นมายังไง ความสัมพันธ์ของแกกับขนมผิงเป็นมายังไงกันแน่ ทำไมแกถึงต้องไปทำร้ายเขาจนมีลูกกับแกแบบนั้น”
“เพราะว่าขนมผิงเป็นลูกของคุณลำดวน และผมไม่ชอบที่เขาทำตัวใกล้ชิดคนอื่นโดยเฉพาะกับคนใกล้ตัวของผมของผม ผมก็เลย…”ปิญญ์ชานนท์เสียงแผ่วท้ายประโยค ในตอนนั้นเขายอมรับว่าเขาไม่พอใจที่ขนมผิงใกล้ชิดกับคุณวุฒิ
“มีอะไรที่แกกำลังเข้าใจผิดอยู่ ปิญญ์ชานนท์”
“ผมเข้าใจอะไรผิด”
“อันที่จริงลำดวนเขาไม่ได้ผิดอะไรเลย มีแต่ฉันคนเดียวที่เป็นคนผิด เรื่องทั้งหมดฉันกับเป็นคนใส่ร้ายลำดวนเอง ฉันทำไปเพราะความโกรธแค้น เรื่องมันถึงได้ยานปราย แกเลยต้องมารับกรรมต่อจากฉันเอาแบบนี้”
“พ่อกำลังพูดอะไร”
“แกได้ยินไม่ผิดหรอก ปิญญ์ชานนท์ ฉันเป็นคนใส่ร้ายทั้งหมด เรื่องทุกอย่าง สั่งให้คนสร้างข่าวลือ เพื่อกลบเกลื่อนความผิดของตัวเอง”อาทิตย์สารภาพกับลูกชายเสียงเครือ ใบหน้าประดับริ้วรอยหมองลงอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาคมกร้าวดูเศร้าสร้อยทันทีเมื่อนึกถึงผลร้ายที่ตามมาตกที่ลูกชายของตน
“พ่อทำแบบนั้นไปทำไม ผมไม่เข้าใจ”ชายหนุ่มส่ายหน้าให้กับคนเป็นพ่อ จ้องมองใบหน้าเศร้าหมองนั้นด้วยความไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ได้รับฟัง
“ตอนนั้นฉันยอมรับว่าฉันทำไปเพราะความโกรธแค้น หากฉันรู้ว่าเรื่องทั้งหมดจะต้องเป็นแบบนี้ฉันคงไม่ทำ แกก็คงจะมีความสุขมากกว่านี้”
“เรื่องทุกอย่างมันกลับไปแก้ไขไม่ได้แล้ว แต่ผมไม่เข้าใจว่าพ่อทำลายชีวิตคนอื่นได้ลงคอได้ยังไงกัน”
“เพราะความโกรธความแค้นไงที่มันบังตาฉันเอาไว้ มันสายไปแล้วที่ฉันจะกลับไปแก้ไข แต่ฉันอยากก็ไม่อยากให้แกรู้ตัวเมื่อสายเกินไปสำหรับฉัน ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะฉันเป็นคนผิด ไม่ใช่แก แกควรทำในสิ่งที่แกสมควรต้องทำ ฉันเองก็จะทำในสิ่งที่ฉันต้องทำเหมือนกัน”อาทิตย์บอกลูกชายด้วยความรู้สึกผิด ความโล่งใจก่อเกิดขึ้นในใจทีละเล็กน้อยราวกับยกภูเขาออกจากอกหลังจากปิดบังเรื่องนี้มานับหลายปี เขาต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อคนอื่นบ้าง อย่างน้อยก็เพื่อลูกชายของเขาเองที่ยังคงสับสนกับความรู้สึกอันคลุมเครือ
“ผม…ไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มจากตรงไหน”
“ความรู้สึกของแกไง ฉันอยากรู้ว่าแกรู้สึกยังไงกับขนมผิง”
“ผม…”ก่อนหน้าคำว่าเกลียดมันเอ่อล้นออกมาจากหัวใจ ทว่าตอนนี้ความจริงที่ปรากฏทำให้ความรู้สึกผิดมันถาโถมเข้ามา ยิ่งพยายามคิดก็ยิ่งเจอเข้ากับทางตัน เขาคิดทระนงตัวว่าตัวเองถูกต้อง ตัวเองดีที่สุด อยู่เหนือจากคนอื่น ทำตัวเป็นผู้พิพากษาตัดสินชะตากรรมชีวิตของขนมผิงด้วยความเลือดเย็น ทำร้ายชีวิตของอีกฝ่ายจนย่อยยับด้วยการกระทำของตัวเอง จนทำให้คนดีดีคนหนึ่งต้องเปลี่ยนตัวเองสร้างกำแพงสูงขึ้นมาโอบล้อมตัวเองปกป้องตัวเองจากคนอื่นๆ
“ว่าไง แกยังไม่รู้ใช่ไหมว่าตัวเองรู้สึกยังไง”
“ผมไม่รู้”
“แกถูกสอนถูกเลี้ยงดูมาให้โตขึ้นมาเป็นคนเย็นชา ไม่แปลกใจที่แกจะไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังคิดกำลังรู้สึกคืออะไร”
“เรื่องของตัวเอง ผมย่อมรู้ดีที่สุด”ปิญญ์ชานนท์ส่ายหน้าถึงตอนนี้ยังคงสับสน นิสัยทระตนของเขายังคงไม่หายไปง่ายๆ
“แล้วแกรู้สึกยังไงล่ะ แกบอกว่าแกไม่พอใจเขาที่เขาเข้าใกล้คนอื่น มันเพราะอะไรถ้าไม่ใช่ว่าเพราะแกชอบเขา แกอ้างว่าแกเกลียดเขาแกถึงได้ทำร้ายร่างกายเขา ทั้งที่แกทำแบบนั้นเพราะแกน่าจะหึงหวงที่เขาชอบคนอื่นมากกว่าแกไม่ใช่รึไง เพราะแกมัวแต่ตอกย้ำความคิดว่าแกเกลียดเขาตามที่ฉันปลูกฝังเอาไว้ในความคิดของแก มันเลยทำให้แกไม่รู้สึกตัวว่าแกกำลังรู้สึกยังไง”
“ถึงพ่อจะพูดซะยืดยาวมันก็ไม่ได้ทำให้ผมหายรู้สึกผิดกับขนมผิง”
“มันคงไม่ง่ายที่ฉันจำทำให้แกเลิกโง่เรื่องพรรค์นี้ ฉันบอกเรื่องที่ฉันควรจะบอกกับแกไปทั้งหมดแล้ว ที่เหลือก็แค่แกจะกลับไปคิดว่าแกรู้สึกยังไงกับขนมผิงกันแน่ ต่อให้ฉันพูดจนน้ำลายแห้งแกคงนั่งบื้ออยู่อีกนาน”ผู้เป็นพ่อส่ายหน้าให้กับลูกชายแล้วพยุงตัวขึ้นลุก เพราะได้เวลาที่ต้องเดินกายภาพบำบัดกับพยาบาลส่วนตัว
“ผมช่วย”ปิญญ์ชานนท์ประคองให้บิดาลุกขึ้นจับไม้เท้าได้สะดวก ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาเองก็สนใจแต่งาน และก็เงินทองมากกว่าที่จะคอยดูแลผู้เป็นพ่อเลยสักครั้ง คิดแค่ว่าเงินมากมายที่หามาจะชดเชยด้วยการจ้างพยาบาลส่วนตัวฝีมือดีมาดูแลแทน แต่เปล่าเลยสักนิด เขาคิดผิด
ปิญญ์ชานนท์นั่งมองผู้เป็นพ่อเดินย้ำเท้าเปลือยลงบนพื้นหญ้าในสวนหลังบ้าน อันที่จริงสิ่งที่พ่อของเขาพูดมาทั้งหมดมันก็ช่วยให้เขาเหมือนใกล้จะคิดออกแต่ก็ยังคงคิดไม่ออกอยู่เหมือนเดิม เขาเริ่มที่จะยอมรับตัวเองขึ้นมาแล้วว่าตัวเขาค่อนข้างโง่ตามที่พ่อเขาได้สบประมาสเอาไว้ ชายหนุ่มถอนหายใจ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูรูปลูกแฝดหน้าจอ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
มีต่อ