49th Night
…Separation...
รัตติกาลลืมตาขึ้นภายในห้องสีขาวคล้ายกับที่ที่เขาอยู่ก่อนสติจะดับลงไป เพียงแต่ห้องๆนี้ไม่มีกลิ่นเลือดอันคลื่นเหียน มันถูกแทนที่ด้วยกลิ่นยาฆ่าเชื้อที่ฉุนติดจมูกจนร่างโปร่งต้องเบ้หน้าด้วยความไม่ชอบใจ รัตติกาลยันกายลุกขึ้นนั่ง ด้วยความสับสน เขาพยายามสำรวจตัวเองจนพบว่านอกจากอาการปวดในหัวแล้วตามเนื้อตัวของเขากลับไม่มีบาดแผลซะเท่าไหร่ ผิดกับฤทธิชาติที่เปิดประตูเข้ามาพร้อมกับเพื่อนรักของเขาที่ทำหน้าตกใจก่อนจะตะโกนเสียงดัง
“ไอ้กาล!”
“เบาๆก็ได้ ยิ่งปวดหัวอยู่”
นิลด่าเขากลับมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความดีใจ นักเขียนหนุ่มรีบเดินออกไปข้างนอกทิ้งเขาไว้กับฤทธิชาติซึ่งนั่งอยู่บนรถเข็นที่แทบจะมีผ้าพันไว้ทั้งตัวโดยเฉพาะช่วงแขนที่ใส่เฝือกไว้ทำให้ขยับได้ไม่สะดวกเหมือนเคย
“อารัณย์ล่ะครับ”
รัตติกาลถามหาคนรักทันทีที่นึกขึ้นได้ ชายหนุ่มพยายามไม่แสดงความผิดหวังออกทางสีหน้าเมื่อยังไม่พบเห็นร่างสูงทั้งที่อีกฝ่ายน่าจะไม่ยอมอยู่ห่างเขา
“อารัณย์ไปจัดการอะไรนิดหน่อยน่ะครับ อย่าน้อยใจไปล่ะ ระหว่างที่กาลสลบไปสามวันเขาก็เพิ่งยอมอยู่ห่างคุณวันนี้เป็นวันแรก”
“ผมหลับไปนานขนาดนั้นเลยหรอ”
“จริงๆก็ตื่นมาครั้งหนึ่งครับ แต่เพราะฤทธิ์ยากาลคงจำมันไม่ได้”
นายตำรวจหนุ่มบอกรัตติกาลไปตรงๆโดยที่อีกฝ่ายก็เข้าใจความหมายของมันได้อย่างดี ร่างโปร่งยกมือขึ้นแตะบริเวณลำคอที่ถูกพิภพฉีดยาบางอย่างให้จนเขาควบคุมตัวเองไม่ได้ แม้จะไม่หลงเหลือความเจ็บปวดใดๆแต่ความทรงจำที่ฉายชัดนั้นกลับย้ำเตือนเขาถึงสิ่งที่เกิดขึ้นภายในห้องสีขาวห้องนั้น
“ทุกคนคง...ผิดหวังมากเลยสินะครับ”
“หมายถึงเรื่องไหนล่ะ เรื่องที่มึงแอบไปทำกับไอ้ผู้หมวดที่ถูกพักงานนี่ เรื่องที่ไม่ยอมบอกว่าป่วย หรือเรื่องที่ทำลงไปโดยไม่รู้ตัวกันแน่”
ฤทธิชาติไม่ได้พูด แต่เป็นนิลซึ่งกลับมาพร้อมหมอกับพยาบาลชุดใหญ่ที่ต่างกรูกันเข้าไปตรวจเช็คร่างกายและสติของรัตติกาลกันเสียจนวุ่นวายไปทั้งห้อง ร่างโปร่งตอบคำถามและให้ความร่วมมือกับแพทย์เป็นอย่างดี แต่ในหัวก็ยังคงขบคิดถึงคำพูดของเพื่อนที่จ้องมองเขาอยู่ทุกอิริยาบถ
“ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงแล้วล่ะครับ ที่หลับไปนานคงเป็นเพราะร่างกายและจิตใจอ่อนเพลียมากจริงๆอาการข้างเคียงของยาที่ได้รับมาก็ทุเลาไปมากจนแทบไม่แสดงออกมา ส่วนอาการทางจิตจิตแพทย์ของคุณจัดยามาให้แล้ว ยังไงระยะนี้ก็อย่าทำให้ตัวเองเครียดมากไปกว่านี้นะครับ”
นายแพทย์ผู้ตรวจดูอาการพูดกับรัตติกาลด้วยน้ำเสียงสบายๆก่อนจะขอตัวออกไปโดยไม่ลืมกำชับเรื่องความเครียดกับเขาอีกครั้งจนวินาทีสุดท้าย นิลที่ดูจะเคลื่อนไหวคล่องตัวที่สุดในที่นี้ลุกขึ้นโค้งขอบคุณก่อนจะเดินไปส่งทั้งหมอและพยาบาลทั้งหมดที่หน้าประตูห้อง ทันทีที่พวกนั้นจากไปนิลก็เดินกลับมาหารัตติกาลด้วยใบหน้าที่ถึงแม้จะแสดงความตำหนิแต่ก็ยังเต็มไปด้วยความห่วงใย
“ว่าไง ตกลงคิดว่ากูผิดหวังเรื่องไหน”
“รู้ว่าอยากบ่น แต่ขอรู้สถานการณ์ตอนนี้ก่อนได้ไหม”
“ไม่ต้องมาทำเป็นรู้ดีกว่ากูอยากพูดอะไร ถ้าไม่ติดว่าป่วยกูนี่จะกระทืบมึงซ้ำแต่ว่าก่อนหน้านั้น...มึงมีเรื่องต้องบอกกูก่อนไม่ใช่หรอไอ้กาล”
“นิลครับ หมอเขาเพิ่งบอกว่าอย่าทำให้กาลเครียด”
นิลหันไปขู่ใส่นายตำรวจหนุ่มที่นั่งเกาแก้มอยู่ข้างๆ รัตติกาลก้มลงมองมือของตนเองที่ยังคงปรากฏรอยแผลจากกุญแจมือให้เห็น เขาลูบคลำมันอยู่แบบนั้นพร้อมกับนึกถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นไปด้วย
“ถ้าเป็นเรื่องอาการป่วย มึงคงได้ฟังจากหมอแล้ว”
“ใช่ แต่กูอยากได้ยินจากปากมึง...ไม่ใช่คนอื่น”
ลมหายใจของรัตติกาลสะดุดไปครู่หนึ่งเมื่อนิลพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่สื่อถึงความผิดหวังได้อย่างชัดเจน ร่างโปร่งเงยหน้าขึ้น เขาเห็นเงาของตัวเองสะท้อนอยู่ในแววตาของนิลแต่ครั้งนี้มันกลับสั่นไหวเพราะหยดน้ำที่คลออยู่ในนั้น
“มันไม่สำคัญหรอกว่ามึงจะเป็นอะไร หรือเปลี่ยนไปแค่ไหน อย่าว่าแต่เป็นบ้าเลย ตอนมึงสภาพแย่กว่านี้กูเคยหนีจากมึงไปไหมกาล กูเคยทิ้งมึงรึเปล่า”
“นิล...”
“เรื่องที่แอบไปติดต่อกับพวกมาเฟียลับหลังกูเข้าใจว่ามึงเป็นห่วง ไม่อยากให้กูโดนหางเลขไปด้วย แต่กับเรื่องนี้มันไม่เหมือนกัน มึงเคยฉุกคิดสักนิดไหม ว่าถ้าวันหนึ่งที่อะไรๆมันสายเกินแก้พวกกูจะรู้สึกยังไง”
“ขอโทษ กูแค่กลัว...กลัวว่าจะเสียทุกอย่างไป”
รัตติกาลยกมือที่เล็กซูบยิ่งกว่าเดิมขึ้นปาดน้ำตาออกจากใบหน้าของนิลเบาๆ เขาพยายามฝืนยิ้มให้เพื่อนแต่มันก็ดูหนักหนาเกินกว่าจะทำต่อไปได้
“ตอนแรกกูคิดว่าเป็นเพราะความเครียด แต่มันกลับหนักขึ้นทุกที มันสับสนไปหมด กูไม่เข้าใจว่าตัวเองเป็นอะไร จนสุดท้ายกูก็เริ่มที่จะกลัวตัวเอง แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าการที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเปลี่ยนเป็นอะไร...ก็คือการที่อาจจะต้องเสียรพีไป”
“ไอ้กาล...”
รัตติกาลพูดด้วยแววตาที่สะท้อนความหวาดกลัวของตัวเองได้เป็นอย่างดี หากมีคนรู้ว่าเขากำลังป่วยเป็นอะไร ความจริงข้อนี้จะกลายเป็นข้อเหตุผลชั้นดีที่สามารถพรากรพีไปจากเขาได้อย่างง่ายดาย ร่างโปร่งจึงเลือกที่จะเก็บความเจ็บปวดนี้ไว้ภายใต้รอยยิ้มที่มอบให้คนรอบข้างเหมือนเช่นทุกครั้ง แม้ว่าเบื้องหลังของมันจะหม่นหมองแค่ไหนก็ตาม
“กูเสียรพีไปไม่ได้ ถ้าไม่มีเด็กคนนั้นชีวิตกูก็เหมือนหายไปครึ่งหนึ่ง กูรู้ว่ามึงเข้าใจแต่กับกฎหมายมันไม่ใช่ เขาต้องเอารพีไปจากกูแน่ๆนิล...เพราะกูเป็นแบบนี้”
“ถ้าเป็นเรื่องนั้นล่ะก็ ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกครับ”
ฤทธิชาติพูดขัดขึ้นทำให้รัตติกาลที่กำลังกำมือแน่นเงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่เข้าใจ นายตำรวจหนุ่มยิ้มให้ร่างโปร่งน้อยๆก่อนจะพูดต่อ
“ดูเหมือนว่าเขาคนนั้น จะหาทางออกที่ดีที่สุดไว้ให้กับทุกคนแล้ว”
ทันทีที่สิ้นคำประตูห้องพักของรัตติกาลก็เปิดออก เสียงหายใจหอบของอารัณย์ดังขึ้นพร้อมๆกับร่างที่ถลาเข้ามาโดยไม่สนใจเลยว่าแขนข้างที่หักของตนจะกระแทกกับอะไรไปบ้าง คนตัวโตคว้ารัตติกาลเข้าไปกอดเต็มแรงก่อนจะผละออกมาเมื่อนึกขึ้นได้ว่าคนรักของตนเพิ่งฟื้นจากการบาดเจ็บ อารัณย์ทำท่าเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ความในใจมันกลับมากมายเสียจนเขาเรียบเรียงไม่ได้ รัตติกาลยิ้มน้อยๆให้กับท่าทางแบบนั้น ร่างโปร่งจึงลูบใบหน้าของอีกฝ่ายเบาๆให้ใจเย็นลง
“เจ็บมากไหมกาล”
“ผมไม่เป็นไรแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง”
พอได้ยินอย่างนั้นอารัณย์จึงพอยิ้มออกมาได้ เขามีอะไรอยากพูดกับคนรักอีกมากมายรวมถึงอยากขอโทษที่ไม่อยู่ข้างๆในตอนที่รัตติกาลลืมตาตื่น แต่เพราะความจริงบางอย่างที่ถูกนำพามาจากอดีตทำให้เขาจำยอมฝากรัตติกาลไว้กับฤทธิชาติและนิลแทนในขณะที่ตัวเองต้องเดินทางไปพาคนที่เหลือมาที่นี่
“พี่แพง...”
รัตติกาลครางชื่อของหญิงสาวที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องเบาๆ ใบหน้าที่อิดโรยกว่าทุกครั้งไม่เผยรอยยิ้มใดๆ พะแพงมองหน้าน้องรหัสที่นั่งอยู่บนเตียงคนไข้อยู่ครู่เดียวแล้วเสหน้าหันไปทางอื่น ก่อนที่กันต์ชนก และทนายนเรศจะเดินตามเข้ามา
“มากันครบแล้วนะครับ อันที่จริงคุณรพีต้องอยู่ด้วยแต่ถือว่าให้คุณรัตติกาลซึ่งเป็นผู้ปกครองในปัจจุบันรับทราบแทนแล้วกัน”
ชายสูงวัยพูดขึ้นหลังจากกล่าวทักทายเจ้านายของตนด้วยท่าทีนอบน้อมอย่างเคย นเรศหยิบเอาซองกระดาษสีน้ำตาลชุดหนึ่งออกมา รัตติกาลเม้มปากแน่นเมื่อทนายนเรศพูดถึงลูกชายที่ตัวเองอยากเห็นหน้าแต่ก็ไม่กล้าจะถามถึงเพราะสิ่งที่ทำเอาไว้ อารัณย์เองเมื่อเห็นท่าทางที่เปลี่ยนไปของคนรักก็พอจะเดาความรู้สึกของรัตติกาลออกจึงคว้ามือของอีกฝ่ายมากุมไว้เพื่อให้กำลังใจ
“สิ่งนี้คือเอกสารสำคัญที่ทางตำรวจยอมคืนมาให้หลังจากนำไปใช้ประกอบเป็นหลักฐานในการเอาผิดนายพิภพเรียบร้อยแล้ว”
“แสดงว่ามันคือ...”
“ใช่ครับ มันคือกระดาษที่ถูกซ่อนไว้ในบ้านไม้จำลองซึ่งเดิมทีเป็นของคุณนที”
นเรศหันไปตอบรัตติกาลที่เอ่ยถามขึ้นก่อนจะลงมือแกะซองสีน้ำตาลนั่นแล้วหยิบเอากระดาษสองใบซึ่งอยู่ข้างในออกมา
“เอกสารประกอบด้วยด้วยเอกสารสองฉบับ อย่างแรกคือเอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ในการถือครองบ้านไม้ที่จังหวัดลำปาง ซึ่งหลังจากตรวจสอบแล้วพบว่าฉบับนี้ถือเป็นฉบับจริงไม่ใช่ฉบับที่คุณพะแพงถือครองอยู่แต่เดิม”
พะแพงพยักหน้ารับ เธอดูไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งที่ได้ยินเท่าไหร่ซึ่งรัตติกาลก็พอเดาสาเหตุได้ไม่อยาก เพราะเขาเองก็กำลังรู้สึกไม่ต่างกัน ว่าบ้านหลังนั้นไม่มีค่าอะไรเลยเมื่อเทียบกับสิ่งที่ต้องสูญเสียไปมากมายเพราะมัน
“ส่วนฉบับที่สอง...คือพินัยกรรมที่คุณนทีทำไว้ก่อนที่จะเสียชีวิต”
รัตติกาลและพะแพงหันไปมองหน้านเรศแทบจะทันที ผิดกับคนอื่นที่เหลือซึ่งพอจะรู้ถึงความสำคัญและใจความคร่าวๆที่ถูกเขียนไว้บนนั้นแล้ว
“ใจความของพินัยกรรมฉบับนี้ได้ระบุไว้ว่าให้ยกทรัพย์สินทั้งหมดที่คุณนทีหามาด้วยตัวคนเดียวให้กับคุณพะแพง ผู้เป็นภรรยาแม้ว่าจะไม่ได้จดทะเบียนสมรสก็ตาม ส่วนทรัพย์สินรวมถึงหุ้นของบริษัทซึ่งสร้างขึ้นร่วมกับคุณรัตติกาลก็ขอให้ยกทุกอย่างคืนให้ทั้งหมดโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ ยกเว้นแต่...บ้านไม้หลังนั้น คุณนทีระบุไว้ในพินัยกรรมว่าต้องการโอนกรรมสิทธิ์ทั้งบ้านและที่ดินผืนนั้นให้กับทั้งคุณรัตติกาลและคุณพะแพงถือครองร่วมกัน หรือถ้าจะขายต่อก็ขอให้แบ่งมูลค่าสินทรัพย์คนละครึ่ง ยกเว้นแต่ในกรณีเดียวคือทั้งสองคนต้องการจะยกกรรมสิทธิ์นี้ให้บุตรทางสายเลือดหรือก็คือคุณรพีจึงจะอนุญาตให้ทำได้ครับ”
รัตติกาลพยักหน้ารับ เช่นเดียวกับหญิงสาวที่ต่างคนต่างก็มีคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ในใจอยู่แล้วทั้งคู่แต่ก็ยังไม่มีใครคิดจะพูดอะไรออกมา ชายสูงอายุที่มองท่าทีของคนทั้งสองอยู่จึงยิ้มน้อยๆก่อนจะเอ่ยถึงข้อความสุดท้ายที่นทีตั้งใจเขียนไว้ถึงบุคคลอันเป็นที่รักทั้งสามคน
“และสุดท้าย...”ข้าพเจ้านายนที กวีวิมนตร์ มีความต้องการอยากขอร้องให้นายรัตติกาล พัฒนเดชา รับอุปการะบุตรของข้าพเจ้าหากข้าพเจ้ามีอันเป็นไปไม่ว่าจะเป็นเพราะสาเหตุใดๆ แต่ยังขอให้มารดาผู้ให้กำเนิดบุตรของข้าพเจ้าคือนางสาวพะแพง มหาเกียรติ ยังคงมีสิทธิในตัวบุตรยกเว้นด้านอำนาจปกครองตามที่กฎหมายระบุไว้ โดยจะตัดสินใจอย่างไรขอให้เกิดจากความยินยอมพร้อมใจจากทั้งสองฝ่าย”
“หึ ขี้โกงยังไงก็ยังขี้โกงอย่างนั้น”
ร่างโปร่งพูดออกมาเบาๆทันทีที่ฟังคำขอสุดท้ายนั้นจบ เหมือนพันธะที่หนักอึ้งซึ่งเหนี่ยวรั้งพวกเขาไว้ด้วยกันถูกปลดออก รัตติกาลและพะแพงมองหน้ากันแม้จะไร้รอยยิ้มแต่ทั้งคู่ต่างก็สังเกตเห็นความโล่งใจในแววตาของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน
หญิงสาวเม้มปากของตัวเองแน่น เธอมองสิ่งที่อยู่ในมือของทนายแล้วคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างพวกเขาทั้งสามคน และการแย่งชิงตัวรพีที่สร้างความเจ็บปวดให้กับทุกคนที่อยู่รอบข้าง พะแพงหลับตาลงก่อนจะลืมมันขึ้นแล้วจ้องมองนัยน์ตาของรัตติกาลอย่างแน่วแน่ละเต็มไปด้วยความรู้สึก
“พี่น่ะ...เกลียดกาลมากเลยรู้ไหม”
“...”
“ตั้งแต่ตอนที่พี่กับทียังรักกัน พี่มักจะอิจฉากาลเสมอ แม้จะทำเหมือนว่าไม่ถูกกันแต่ทุกๆครั้งพี่กลับรู้สึกเหมือนทั้งสองคนมีอะไรบางอย่างที่พี่ไม่สามารถเข้าไปแทรกได้ กาลเข้าใจทีมากกว่าพี่ และทีก็เป็นเพียงไม่กี่คนที่กาลยอมให้อยู่ข้างกายได้ ผิดกับพี่ที่เป็นคนรักแต่กลับรู้สึกเหมือนว่าระหว่างเรามันเริ่มห่างไกลกันเสียจนเกินจะรั้งไว้ จนกระทั่งพี่ตัดสินใจทำสิ่งที่ไม่ควรที่สุดไป”
“...”
“พี่เสียใจนะ แต่กลับไม่มากเท่าตอนที่รู้ว่าหลังจากเลิกกันแล้วนทีกลับมาคบกับน้องรหัสของตัวเอง ทั้งที่พี่คิดว่ากาลเป็นหนึ่งคนที่รู้ว่าพี่รักนทีแค่ไหน ความคิดที่ว่าจะแพ้กาลไม่ได้น่ะ...พี่ห้ามมันไม่ได้เลย”
“แต่สุดท้ายพี่ทีก็เลือกพี่ ไม่ใช่ผม”
“จะเป็นอย่างนั้นแน่หรอ”
พะแพงเค้นยิ้มให้กับตัวเองก่อนจะหันไปมองหน้าสามีที่คว้ามือของเธอมาจับไว้ หญิงสาวเอ่ยขอบคุณกันต์ชนกเบาๆแล้วหันมาคุยกับรัตติกาลต่อ
“พี่รักรพี พี่มั่นใจว่ามันคือความรักไม่ใช่ความอยากเอาชนะ แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆที่ได้กลับมาพบกันแต่ความรู้สึกที่พี่มอบให้เขาตลอดเวลาที่รพีอยู่ในท้องไม่ใช่สิ่งที่จะลบหายไปได้ง่ายๆ และถึงแม้จะยังมีปัญหาอยู่บ้างพี่ก็อยากจะเลี้ยงดูเขาไปพร้อมกับพิมพ์ใจโดยไม่ต้องให้กาลช่วย แต่...ยังไม่ใช่ตอนนี้”
“...!!!”
“จนกว่ารพีจะบรรลุนิติภาวะ พี่ยินดีจะทำตามความต้องการของนที หากถึงตอนนั้นแล้วรพียังยืนยันที่จะอยู่กับกาลพี่ก็ยินดีที่จะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ว่า แต่ถ้าไม่...พี่จะขอลูกชายของพี่คืน”
รัตติกาลได้แต่นิ่งอึ้งเมื่อได้ฟังเจตนารมณ์ของหญิงสาวที่ไม่แสดงอาการหวั่นไหวเลยตลอดเวลาที่พูดกับเขา แม้ในใจของพะแพงจะยังคงเจ็บปวดและต้องการเหนี่ยวรั้งและรพีไว้ แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงติดอยู่ในหัวของเธอไม่จางหายไปก็คือภาพที่รพีเรียกร้องและกอดรัตติกาลไว้แม้ว่าอีกฝ่ายจะทำร้ายตัวเองแค่ไหนก็ตาม
“พี่ไม่ใช่ผู้หญิงที่ดีและแม้แต่ในฐานะแม่ก็ยังบกพร่องอยู่มาก พี่ใช้ความอยากเอาชนะกาลปิดหูปิดตาตัวเองแล้วทำในสิ่งที่ไม่สมควรที่สุดลงไป พี่ทิ้งลูกที่เลี้ยงดูมาอย่างพิมพ์ใจ และพยายามครอบครองรพีไว้ด้วยความเห็นแก่ตัว เราทั้งคู่ต่างก็แย่งยื้อรพีกันไปมาโดยไม่มองเลยว่ามีใครบ้างที่เจ็บปวดเพราะมัน ทั้งรพี พิมพ์ใจ กันต์ อารัณย์ และนิล ทุกคนต่างต้องมาคอยรับผลจากการกระทำที่ไม่ยั้งคิด และแม้แต่ตัวเราเองก็ยังไม่มีความสุข...พี่พอแล้วกาล พี่ไม่อยากทำพลาดซ้ำอีกแล้ว”
น้ำตาของพะแพงไหลในตอนท้ายประโยค ครู่หนึ่งรัตติกาลเชื่อว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นหญิงสาวคนเดียวกันกับคนที่รักและห่วงใยเขาเสมอเหมือนในอดีต แม้ว่าปัจจุบันหัวใจของพวกเขาจะเต็มไปด้วยรอยแผลและยากที่จะสมานคืนได้เพียงข้ามวัน แต่ถึงอย่างนั้นก็เหมือนกับที่พะแพงบอก...รัตติกาลเองก็เหนื่อยล้าเสียจนไม่อยากเวียนวนอยู่ในฝันร้ายที่เขาใช้มันเป็นข้ออ้างในการทำร้ายคนอื่นอีกต่อไป
“จนกว่าจะถึงวันที่รพีจะต้องเลือก ได้โปรด...ให้ความรักกับลูกชายของผมในฐานะแม่ด้วยนะครับ”
“แน่นอน...มันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว”
พะแพงลุกขึ้นยืนพร้อมๆกันต์ชนกแล้วหันมาบอกลาน้องชายและคนที่เหลือ ก่อนจะเดินออกจากห้องนั้นไป นายแพทย์หนุ่มที่ยังคงกอบกุมมือของภรรยาตนไว้ มองใบหน้าด้านข้างของหญิงสาวที่พยายามใช้ความเข้มแข็งปกปิดรอยร้าวในใจไว้อย่างสุดความสามารถ แต่สำหรับคนที่เฝ้าดูเธอมาตลอดมันกลับบอบบางเสียจนเห็นได้ชัดเจน
“แพงทำดีแล้วใช่ไหม”
“อืม...แพงเท่มากเลย ลูกทั้งสองคนจะต้องคิดเหมือนกันแน่ๆ”
“ฮ่าๆ ชมกันแบบนี้ไม่รู้สึกดีใจเลยสักนิด”
หญิงสาวหัวเราะออกมาก่อนจะออกแรงกระชับมือของอีกฝ่ายไว้ทั้งที่ตัวเองกำลังสั่น เธอหยุดขาที่กำลังก้าวเดินแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างซึ่งมีท้องฟ้ากว้างตั้งตระหง่านอยู่เหมือนเช่นทุกวันด้วยความรู้สึกที่ไม่เหมือนทุกวัน
“แพงน่ะ...ไม่ใช่คนดีหรอกนะกันต์ ถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่เอากระสุนออกไปก่อนหน้านั้น แพงคงได้ฆ่ากาลไปแล้วจริงๆ”
“แต่ที่แพงทำไป ก็เพราะอยากปกป้องรพีไม่ใช่หรอ”
กันต์ชนกเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าของหญิงสาวอันเป็นที่รักด้วยความอ่อนโยนก่อนจะกอดเธอไว้แล้วปล่อยให้เวลาเคลื่อนผ่านพวกเขาทั้งสองคนไปอย่างช้าๆ พะแพงมองดวงอาทิตย์ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าไกล เธอเอื้อมมือหมายจะไปคว้ามันเอาไว้ทั้งที่เป็นไปไม่ได้ ยิ่งทำมากขึ้นเท่าไหร่ดวงตาของเธอก็พร่าเลือนลงทุกที
“ตอนนี้แพงรู้สึกโล่งใจมากๆเลย”
“ดีจังนะที่กาลไม่เป็นอะไรมาก”
“ไม่ใช่...เพราะว่าตอนนั้นแพงได้เหนี่ยวไกไปแล้วต่างหาก”
“...”
“ถึงแม้กาลจะไม่ตาย แต่แพงก็ฆ่ากาลไปแล้ว แพงทำไปแล้ว”
“...งั้นหรอ”
กันต์ชนกยิ้มออกมาแล้วกอดพะแพงไว้ให้แน่นกว่าเดิม เขามองเศษซากความแค้นที่เหลือทิ้งไว้ในตัวตนอันบิดเบี้ยวของหญิงสาวด้วยความรู้สึกโล่งใจอยู่ลึกๆ ขอแค่นำต้นตอออกไปได้ต่อให้บอบช้ำแค่ไหนเขาจะรักษามันจนกว่าจะหายดี ขอแค่วันนี้พวกเขายังอยู่ด้วยกัน...แค่นั้นมันก็มากเกินพอแล้ว
“เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะแพง”
.
.
.
.
.
.
.
.
“จะเอาอะไรก็ไลน์มาบอกแล้วกัน”
นิลบอกกับคนที่นอนอยู่บนเตียงทั้งๆที่ไม่มองหน้า เขาหยิบเอาเสื้อผ้าที่ใช้แล้วกับสิ่งของบางส่วนเก็บกลับเข้ากระเป๋าสะพายไปเล็กโดยมีสายตาของฤทธิชาติจับจ้องอยู่ไม่ห่างซึ่งร่างสูงก็รู้สึกถึงมันได้แต่เขาไม่คิดจะหันกลับไปมองตอบ
“นิลไม่คิดจะอยู่เฝ้าผมหน่อยหรอครับ”
นายตำรวจหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงอ้อนๆจนทำให้นิลเผลอกระตุกยิ้มที่มุมปาก แต่เป็นเพราะความหมั่นไส้หาใช่เพราะชอบใจในการกระทำของอีกฝ่าย เขารูดซิบก่อนจะยกกระเป๋าขึ้นพาดไหล่ เขามองไปรอบๆเพื่อดูว่าตัวเองลืมอะไรอีกไหม แต่ดูเหมือนสิ่งเดียวที่เขายังไม่เก็บเขากระเป๋าไปคงจะเป็นสายตาอ้อนวอนของคนบนเตียง
“พยาบาลเดินอยู่เต็มตึก อยากให้มีคนเฝ้าก็ไปป้อเอาเองแล้วกัน”
“แทนกันไม่ได้หรอก ผมอยากให้นิลอยู่ด้วย”
“เลิกพูดมากแล้วนอนไปซะ ตัวเองก็ใช่ว่าจะดี ฟื้นก่อนไอ้กาลแค่วันเดียวยังทำเก่งจัดการทุกอย่างไปทั่ว”
นิลพูดตัดบทแล้วกำลังจะเดินจากไปแต่ฤทธิชาติก็คว้ามือของเขาไว้แล้วดึงเข้าหาตัวด้วยเรี่ยวแรงมากมายเหมือนกับทุกครั้ง นักเขียนหนุ่มมองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่ชอบใจ แต่ร่างใหญ่กลับยังคงยิ้มเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ชายหนุ่มเอี้ยวตัวไปหยิบบางอย่างจากกระเป๋าที่วางไว้ใกล้กับหัวเตียงโดยไม่สนใจเลยว่าตัวเองกำลังเจ็บหนักขนาดไหน กล่องสีเงินแวววาวใบใหญ่ซึ่งติดชื่อยี่ห้อแบบเดียวกับปากกาที่นิลเคยเห็นมันครั้งหนึ่งถูกยื่นมาให้เขาอีกครั้งด้วยสถานการณ์ที่ต่างไปโดยเฉพาะหัวใจของคนที่ยังคงไม่ส่งมือไปรับมัน
“ยังไม่ทิ้งมันไปอีกหรอ”
“ผมให้นิลไปแล้ว คนเดียวที่จะทิ้งมันได้ก็คือนิล แต่เอาเข้าจริงผมจะไม่มีวันปล่อยให้ทำแบบนั้นแน่”
“เอาแต่ใจจริงๆนะ หึ ของก็จะให้ ความลับก็ไม่ยอมบอก”
“ถ้าอย่างนั้นผมมีข้อเสนอใหม่ ถ้านิลรับปากกาแท่งนี้ไปพร้อมกับยอมรับฟังความลับทุกอย่างของผม เรามาเป็นแฟนกันนะ”
รอยยิ้มของฤทธิชาติหายไปเหลือไว้เพียงสีหน้าที่ดูจริงจังมากกว่าทุกครั้ง หัวใจของนิลกำลังสั่น แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังหยุดคิดไม่ตอบรับอีกฝ่ายไปทันทีเพราะใจหนึ่งก็กลัวใจสิ่งที่นายตำรวจหนุ่มปิดบังเอาไว้ แม้จะแน่ใจว่าความรู้สึกที่ดังก้องอยู่ในอกนี้มันคืออะไรและกำลังร้องเรียกใครก็ตาม
“พร้อมจะเลือกกูแล้วรึไง”
สิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจถูกถามออกไปตรงๆ นิลรู้ดีว่าคนคนนี้รักเขา แม้จะทำทีเล่นทีจริงไปบ้างแต่ความอ่อนโยนที่อีกฝ่ายแสดงออกมาตลอดก็พิสูจน์ความรู้สึกนั้นได้อย่างดี แต่หนึ่งสิ่งที่ขาดหายไปก็คือความพร้อมที่จะเดินไปด้วยกันที่ฤทธิชาตินั้นไม่เคยแสดงออกให้เขารู้สึกมาก่อน
“อืม พร้อมแล้วล่ะ ถ้าเป็นตอนนี้คิดว่าคงให้นิลได้ทั้งหมดแล้ว”
นิลถอนหายใจแล้วยอมนั่งลงเคียงข้างกัน ชายหนุ่มปลดกระเป๋าที่สะพายอยู่ออกแล้วหันไปเผชิญหน้ากับคนที่ไม่ยอมปล่อยมือของเขาไปแม้สักวินาที
“จำได้ไหม ที่เคยบอกว่าผมมีความลับอยู่สองอย่าง อย่างแรกคือจริงๆแล้วผมเป็นสายS อื้อ!”
นักเขียนหนุ่มใช้มือของตัวเองตบเข้าที่ปากของอีกฝ่ายที่จู่ๆก็พูดเรื่องน่าอายพรรณนั้นออกมา ฤทธิชาติที่เห็นสีหน้าหงุดหงิดของคนข้างกายก็หลุดขำ
“ฮ่าๆ ผมแค่อยากเท้าความให้ฟังเฉยๆน่ะครับ เพราะหลังจากตอนนั้นนิลเองก็ดูเหมือนว่าจะเลิกสนใจมันไปแล้ว”
“หึ ถ้าให้เก็บคำพูดทุกคำของมึงมาคิด คงหัวระเบิดตายพอดี”
“แล้วที่ผมพูดถึง Tomb Keeper กับ Cerberus ล่ะจำได้ไหม”
“ผู้เฝ้าสุสานกับสุนัขสามหัว? จำได้ แล้วมันเกี่ยวอะไร”
นิลนึกไปถึงสิ่งที่ฤทธิชาติพูดเปรียบเปรยไว้ในตอนที่พวกเขาออกมาพบกับเพื่อคุยเรื่องคดีของนทีและพะแพงเป็นครั้งแรก นายตำรวจหนุ่มพอได้รู้ว่าคนตรงหน้ายังจำเรื่องที่เขาพูดได้ขึ้นใจก็ยิ้มออกมาด้วยแววตาที่แฝงความสนุกสนาน
“จริงๆแล้ว คนที่เป็น Tomb Keeper น่ะ คือผมต่างหาก”
“...!!!”
“ผู้เฝ้ารอการกลับมาของคนตาย เพื่อแลกกับการให้อีกฝ่ายแสดงความทรงจำของตนที่ถูกช่วงชิงไปให้เห็นอีกครั้ง นั่นคือผมเอง...ส่วนนิลก็คือสุนัขสามหัวผู้มีหน้าที่เฝ้าประตูนรกไม่ให้ดวงวิญญาณของคนตายเหล่านั้นกลับมาสู่โลกมนุษย์ได้อีก”
“...กูไม่เข้าใจ”
ฤทธิชาติยิ้มให้ก่อนจะคลายปมคิ้วที่ขมวดกันแน่นของนิล เขายื่นกล่องสีเงินซึ่งบรรจุปากกาไว้ให้นิลอีกครั้งซึ่งอีกฝ่ายก็ยังลังเลที่จะรับมันไปเหมือนกับครั้งแรก แต่พอเมื่อได้เห็นความมุ่งมั่นที่แสดงออกมา นักเขียนหนุ่มก็ยอมรับมันไปแล้วเปิดมันออกเพื่อดูสิ่งที่เก็บซ่อนไว้ภายใน
รูปถ่ายสองใบถูกวางไว้ข้างในเหนือปากกาสีเดียวกับกล่องซึ่งมีชื่อของผู้รับสลักไว้ หนึ่งใบนั้นคือรูปถ่ายในอดีตของนิล รัตติกาล พะแพง และนทีที่พวกเขามีครอบครองกันไว้คนละใบ โดยที่รูปของเขาและรัตติกาลถูกเก็บไว้เก็บไว้อย่างดี ในขณะที่รูปของนทีถูกพิภพแย่งชิงไป ร่างสูงอยากจะหันไปถามฤทธิชาติว่าทำไมถึงมีรูปใบนี้ได้แต่รูปถ่ายอีกใบที่วางอยู่เคียงข้างกันนั้นกลับดึงดูดความสนใจของเขาได้มากยิ่งกว่า
“สำหรับนิลแล้ว สิ่งที่ต้องการจะทำก็คือการรักษาความสงบสุขของคนเป็นไว้แม้จะต้องทำร้ายคนตาย แต่สำหรับผม...สิ่งเดียวที่อยากได้ก็คือความทรงจำที่จะหวนกลับมาพร้อมกับวิญญาณของคนตาย แม้ว่านั่นจะเป็นการทำลายโลกของคนเป็น”
“ยะ อย่าบอกนะว่าคนในรูปนี้คือ...”
นิลมองรูปถ่ายของเด็กผู้ชายสองคนในมือสลับกับใบหน้าของฤทธิชาติที่ยังคงเค้าโครงเดิมไว้ให้เห็น ไม่ต่างจากอีกคนที่ถึงแม้กาลเวลาจะผ่านไป ดวงตาคมกริบที่ส่อแววดื้อรั้นนั้นกลับไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยสักนิด
“ครับ น่ารักใช่ไหมล่ะ...ผมกับอารัณย์ตอนเด็กๆ”
(มีต่อเม้นต์ล่าง)