การเจอไอ้มาวินอีกครั้งหลังจากผ่านมาหลายเดือนนั้น...ให้ความรู้สึกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ผมบอกไม่ได้ว่ารู้สึกยังไงตอนที่ได้เห็นใบหน้าเฉยชาของมัน ไอ้มาวินราวกับคนที่ได้ตายไปแล้ว ราวกับมีแค่ร่างกายเท่านั้นที่กำลังเคลื่อนไหว ในขณะที่จิตวิญญาณของมัน...เหมือนล่องลอยไปในที่ไกลๆ
ผมพอทราบ...ว่าชีวิตความเป็นอยู่ในคุกของมันไม่ได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบ ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา...มันคงเหมือนตกนรกทั้งเป็น ....ความรู้สึกสุดท้ายก่อนพี่กิ๊ฟจะจากไปไอ้มาวินคงจะได้รับรู้บ้างแล้ว แต่ผมไม่ได้หวังว่ามันจะสำนึกผิด แม้ในชั้นศาล ต่อหน้าผู้พิพากษา อัยการและทนายทั้งฝ่ายโจทย์และฝ่ายจำเลย ใบหน้าของมันก็ยังคงเฉยชา
วันนี้ผมแต่งตัวด้วยชุดสูทสุภาพเนื้อผ้าดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ ผมนั่งอยู่เคียงข้างพ่อและแม่ ผมมาในฐานะพยานผู้เห็นเหตุการณ์และในฐานะผู้เสียหาย คดีในคราวนี้ของไอ้มาวินนั้น...ถูกยื่นฟ้องโดยพนักงานอัยการในหลายข้อหาทั้งเจตนาฆ่า กักขังหน่วงเหนี่ยว ข่มขืนกระทำชำเรา และอีกหลายข้อหาที่ผมจำไม่ได้ ความผิดของมันเยอะมากเกินไปจนบอกเล่าไม่หมด
เมื่อศาลเริ่มอ่านคำฟ้องกล่าวถึงข้อกล่าวหาในการกระทำความผิด ทั้งวันที่และเวลานั้นชัดเจนอยู่ในความทรงจำของผม ผมรู้ดีอยู่แก่ใจแล้วว่าไอ้มาวินมันได้ทำชั่วอะไรไว้บ้าง ทั้งพี่กิ๊ฟและพี่ดรีม...พี่สาวคนสำคัญทั้งสองคนของผมต้องจากไปเพราะสันดานต่ำช้าของมัน แม้จะไม่อยากเชื่อว่ามันรับผิดทุกข้อกล่าวหา ทั้งยังสารภาพถึงเรื่องของพี่ดรีมที่ผ่านมาแล้วหลายปีก็ตาม ในใจผม...ก็ยังไม่อาจให้อภัยมันได้ แต่ผม...ก็ยอมรับในใจอยู่ลึกๆ ว่าความรักของไอ้มาวินที่มีต่อพ่อพี่พ่ายนั้น...มีไม่น้อยกว่าที่ผมมีให้กับพี่พ่ายเลย
เพราะมันไม่พูดพาดพิงถึงพ่อของพี่พ่ายเลยแม้แต่นิด รับผิดทุกอย่างด้วยตัวมันเอง...
แม้จะมีการสืบพยานโจทย์อีกไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก่อนจะทำการพิพากษาว่าจำเลยได้ทำผิดจริง แต่ผมก็คิดว่าทั้งผม พี่พ่าย และคุณภัทร เราได้ทำอย่างเต็มที่เพื่อคนที่ได้จากไปแล้ว สำหรับผม...ไม่ว่าคำพิพากษาจะเป็นเช่นไร ผมก็จะน้อมรับไว้ เพราะไอ้มาวินในตอนนี้...ก็ไม่ได้ต่างอะไรจากคนที่ตายไปแล้วเลยสักนิด
อโหสิกรรม...คงเป็นสิ่งเดียวที่ผมทำได้...
"หมดเรื่องหมดราวกันเสียที" แม่ของผมมีสีหน้าโล่งใจ เพราะนางบอกว่านางไม่ชอบบรรยากาศกดดันเวลาต้องขึ้นโรงขึ้นศาล ตอนนี้ผมกับพี่พ่ายก็เลยพานางกับพ่อดิวมาผ่อนคลายที่ร้านอาหารริมแม่น้ำเจ้าพระยา
"แม่จะอยู่กรุงเทพอีกกี่วันอะ"
"กลับพรุ่งนี้ย่ะ ว่าแต่พ่อพ่ายเถอะ คิดดีแล้วเหรอที่จะเอาไอ้เพี้ยนมันทำเมีย"
ผมหัวเราะก๊ากกับสีหน้าของพี่พ่ายและเห็นพ่อดิวกำลังสะกิดแม่เป็นการห้ามปราม
"ก็คิดดีแล้วครับ" พี่พ่ายตอบด้วยหน้านิ่งๆ
"หน้าตาเหมือนมีใครบังคับให้กินยาขม นี่ไม่ใช่เพราะต้องรับผิดชอบอะไรหรอกใช่ไหม เรื่องกระจกตาของน้องดรีมน่ะไม่ต้องคิดมากแล้วนะ น้องเขาเต็มใจให้พ่อพ่ายเองอยู่แล้ว"
"โธ่แม่ พูดอย่างนี้เดี๋ยวลูกชายแม่ก็โดนทิ้งเข้าให้หรอก" ผมพูดทีเล่นทีจริงแต่รู้สึกเหมือนพี่พ่ายจะไม่ได้ขำไปด้วย
"น้องเพี้ยน พูดอะไรอย่างนั้นลูก" พ่อดิวก็คงรู้สึกได้ คงมีแต่แม่ผมที่ยังหัวเราะไม่รู้ร้อนไปกับคำพูดของผม
"เอาน่าๆ มาทานข้าวกันดีกว่า"
ความมั่นใจว่าพี่พ่ายรักในตัวผม...ผมไม่มีมันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ผมมีแค่ความมั่นใจเดียวที่ยังอยู่กับเขา...นั่นก็คือ...ผมรักเขาก็เท่านั้น
ผมพอใจกับโทษจำคุกของไอ้มาวิน แม้ผมจะรู้ว่าพ่อพี่กิ๊ฟคงไม่ได้พอใจไปด้วยก็ตาม แต่ผมจะทำไม่รู้ไม่เห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ไป เพราะผมคงจะไม่ทำตัวเป็นฮีโร่ไปเกลี้ยกล่อมให้พ่อพี่กิ๊ฟไว้ชีวิตไอ้มาวินหรอก ส่วนพ่อพี่พ่ายนั้น...ผมว่าที่เขาเป็นอยู่ตอนนี้...มันก็คงเหมือนบาปกรรมกำลังตามทันแล้ว เพราะฉะนั้น...ผมจึงไม่คิดว่าพี่พ่ายกับผม จะมีอะไรต้องติดค้างกันอีก อาจจะมีก็แต่เรื่องของพี่ดรีม...ที่พี่พ่ายเขาอาจจะยังรู้สึกว่าติดค้าง...เป็นบุญคุณอะไรแบบนั้นอยู่
เอาเถอะ... เอาเถอะ... ตอนนี้...ผมว่าที่เราเป็นอยู่ มันก็โอเคแล้วล่ะ
นั่งทานข้าวกันไปคุยกันไป แม่ก็ชมว่าบรรยากาศดี แม่น้ำสวย ส่วนพ่อดิวก็ชมเรื่องอาหารไม่ขาดปาก จะมีก็แต่พี่พ่ายที่ยังนิ่งเหมือนหุ่น เขากินข้าวไปเงียบๆ ในขณะที่ผมก็ยังคุยกับแม่เหมือนไม่ได้เจอกันมาสามชาติเศษ จวบจนมื้ออาหารเสร็จสิ้น พ่อแม่ของผมก็ต้องกลับโรงแรมโดยมีพี่จินมารอรับ
"ที่จริงไปพักที่บ้านก็ได้นะครับ น่าจะสะดวกกว่าพักที่โรงแรม" พี่พ่ายเอ่ยปาก เขาบอกผมแล้วว่าให้พ่อกับแม่ไปพักที่บ้าน แต่เป็นผมซะเองที่ให้พวกท่านอยู่โรงแรม เพราะผมไม่อยากให้พ่อกับแม่ไปเจอกับนังวิว ชะนีโรคจิตที่คงได้พูดแขวะเปิดศึกกันขึ้นมาเป็นแน่หากผมพาพ่อกับแม่ไปที่บ้าน อีกอย่าง...ผมไม่อยากรบกวนเขามากเกินไป เพราะผมก็ไม่ใช่เจ้าของบ้าน จะให้พ่อกับแม่ไปอยู่สบายๆ ที่นั่น...ก็กลัวจะเป็นที่ครหา แค่ว่าผมอยู่บ้านเดียวกับเมียที่ถูกต้องตามกฎหมายของเขา แม้จะคนละตึก ความรู้สึกมันก็ยากจะอธิบายแล้ว
"ไม่เป็นไรๆ พักที่โรงแรมมันใกล้สนามบินกว่า"
"เอางั้นก็ได้ครับ ขาดเหลืออะไรก็บอกพนักงานได้เลย"
โรงแรมที่เข้าพักก็อยู่ในเครือบริษัทของพี่พ่าย แต่ผมให้พ่อกับแม่จ่ายค่าห้องนะครับ ไม่ให้พักฟรีหรอก เกรงใจเขา
"ขอบใจจ้า งั้นไอ้เพี้ยน แม่ไปก่อนนะ ไว้เจอกันที่โรงแรม"
"โอเครรรร"
คืนนี้ผมตั้งใจจะไปนอนกับพ่อแม่ แต่ยังไม่ได้บอกพี่พ่าย เขาก็เลยทำหน้างงหนัก แถมยังตวัดตามามองอีก เพราะฉะนั้นพอพ่อกับแม่ขึ้นรถไปแล้ว เขาถึงได้มองมาตาขุ่น
"มึงจะไม่นอนที่บ้านรึไงคืนนี้"
"อืม ผมว่าจะไปนอนกับแม่อะ"
"ทำไมวะ" พี่พ่ายทำหน้าหงุดหงิด จนผมต้องรีบขยับหนีเพราะกลัวเขาจะเตะป้าบเข้าให้ แม้สูทหรูหราที่เขาใส่จะดูภูมิฐานจนไม่คิดว่าเขาจะกล้าทำเกรียนในชุดที่ดูดีอย่างนั้นก็ตาม
"ก็ไม่ทำไม...คิดถึงแม่"
"มึง...เป็นไรก็บอกกูมาตรงๆ"
"เฮ้ยพี่ ผมคิดถึงแม่จริงๆ จะให้เป็นไรอะ"
"ไอ้เพี้ยน"
ผมยังคงยิ้ม แม้สีหน้าของพี่พ่ายจะหงุดหงิด แต่ผมมันก็มีดีแค่นี้...ผมมันเป็นพวกยิ้มเก่ง ยิ้มสวย รอยยิ้มของผม...คงพอทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นมาได้บ้าง
"งั้นเอาลูกไปนอนด้วย"
"ถามจริงๆ พี่กลัวผมหนีหรือไง"
"ก็...ไม่ กูว่าลูกต้องคิดถึงมึงแน่ๆ"
"อ๋อ..." ผมพยักหน้าเข้าใจ "งั้นกลับกันดีกว่าพี่ อืม...เอางี้ดีกว่า พี่พาผมไปหาไอ้ยิวก่อนนะ ผมจะไปเอารถที่มัน พรุ่งนี้เช้าจะได้มีรถไปส่งพ่อกับแม่ที่สนามบิน"
"รถที่บ้านก็มีตั้งหลายคัน มึงก็เอาไปใช้สักคนสิ ไอ้รถกระจอกแบบนั้นให้เพื่อนมึงใช้ไปเถอะ"
"มันเป็นรถที่พี่กิ๊ฟซื้อให้ผม... แม้มันจะกระจอกในสายตาพี่ แต่สำหรับผม...มันเป็นของสำคัญ" ในบางครั้ง...ผมก็คิดว่าผมกับพี่พ่าย...ยังมีบางอย่างที่ไม่สามารถสื่อถึงกันได้อย่างชัดเจน "ขอโทษนะพี่ ถ้าพี่มีธุระ เดี๋ยวผมนั่ง BTS ไปก็ได้"
"ไม่ต้อง เดี๋ยวกูไปส่ง"
ผมไม่ได้ค้านอะไร พอเขาพูดแบบนั้นก็ทำแค่เดินตามเขาไปที่รถ
พี่พ่ายขับรถไปเงียบๆ ซึ่งเป็นปกติของเขาอยู่แล้ว เพราะถ้าเขาชวนคุยนั่นแหละถึงแปลก เขามาส่งผมที่หอเก่าของไอ้ยิว ซึ่งมันเตรียมย้ายออกแล้ว จากนั้นก็ขับรถออกไป
"เหี้ยยิววววว" ไอ้ยิวกำลังแพ็คของอยู่ในห้อง ตามันแดงเล็กน้อย ดูก็รู้ว่าผ่านการร้องไห้มาหมาดๆ
"อ้าว ไอ้เพี้ยน"
"เป็นไรวะ เก็บของไปร้องไห้ไป"
"กู...กูคิดถึงพี่ทัศน์อะ" ไอ้ยิวรับสารภาพตามตรง "กลับมาที่ห้อง...มันก็เห็นภาพเก่าๆ ว่ะมึง ผ้าปูที่นอนนี้...เขาก็เป็นคนไปซื้อมาให้ ตุ๊กตาตัวนั้น...ก็ได้ตอนไปเที่ยวงานวัดด้วยกัน แม่ง...มีแต่ความทรงจำเต็มไปหมด"
"เออนะ คร่ำครวญเสียให้พอ เพราะตอนนี้เขาไปเป็นพ่อของลูกเด็กในท้องผู้หญิงคนอื่นแล้ว ทำใจว่ะมึง"
"ไอ้เหี้ยยยยตอกย้ำซ้ำเติมมมมม!!"
"เชี่ย แหกปากทำไม เดี๋ยวข้างห้องก็ออกมาด่าพ่อมึงหรอก เอากุญแจรถมาดิ๊"
"อยู่บนโต๊ะนั่นอะ เดินไปหยิบเอง"
"เออๆ ไว้พรุ่งนี้เช้าส่งพ่อกับแม่เสร็จจะมาช่วยเก็บของ มึงยังเก็บไม่หมดใช่ไหมล่ะ"
"อือ เหลืออีกไม่กี่อย่างอะ ว่าจะแพ็คเก็บใส่รถขนของวันพรุ่งนี้"
"โอเค งั้นไปละ"
"ขับรถดีๆ ล่ะมึง"
รู้ตัวเมื่อสายใช้กับไอ้ยิวได้อย่างไม่มีข้อกังขา แต่ผมว่า...ทุกอย่างมันเป็นไปตามโชคชะตาและผลที่เกิดจากการกระทำ ทุกอย่าง...มันมีเหตุและผลในตัวมันเองอยู่แล้ว...
ผมขับรถกลับมาที่บ้านของพี่พ่าย แต่ไม่ได้เข้าทางประตูใหญ่ ผมเข้าทางประตูตะวันออกที่เป็นประตูของตึกฝั่งที่ผมพัก ความหรูหราอลังการของที่นี่ไม่ได้มีตรงไหนเหมาะกับคนอย่างผมเลยแม้แต่น้อย แม้กระทั่งเจ้าของเอง...ผมก็ไม่ได้คิดว่าคนอย่างผมคู่ควร
พี่พ่ายจอดรถคันละหลายล้านของเขาไว้ในโรงจอดรถอยู่แล้ว ส่วนรถถูกๆ ของผมจอดไว้ใต้ต้นไม้ริมทางเดินที่ทอดสู่ตัวตึก ผมจอดแค่ไม่นาน เก็บเสื้อผ้าสักสองสามชุดแล้วก็จะไปที่โรงแรม
"เพี๊ยงงงงงงงงงงงงงงง" ทันทีที่ผมเหยียบบันไดขั้นแรกที่ทอดสู่ชั้นสอง เสียงเด็กๆ ก็ดังเจื้อยแจ้วมาให้ได้ยิน น้องนะวิ่งนำหน้าน้องๆ มาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ตามมาด้วยน้องยะ น้องโยและ...พี่พ่าย
"โอ้โหววว สุดหล่อของพี่เพี้ยน วันนี้ใครอาบน้ำแต่งตัวให้ครับ หล่อกว่าป๋าทุกคนเลยนะเนี่ย"
วันนี้แฝดสามอยู่ในชุดโทนสีเดียวกัน น่ารักน่าหยิกเป็นพิเศษ ปกติเด็กๆ จะมีพี่เลี้ยงคอยดูแลอยู่แล้วครับ แต่พอผมมา พี่เลี้ยงก็แทบจะนั่งกินเงินเดือนฟรีๆ เลย ฮ่าๆๆ แต่เอาเถอะ ไม่ว่ากัน เพราะเขาก็ไม่ใช่ว่าอู้ แต่พวกเด็กๆ ดันมาติดผมซะอย่างนั้น
"ป๋าอาบให้ล่ะ" น้องยะคนแก้มเยอะบอกด้วยหน้าตามุ้งมิ้งตามปกติ
"โหว พี่เก่งอะ อาบน้ำพวกลูกลิงให้ทั้งๆ ที่ยังอยู่ในสภาพปกตินี่นะ" ถ้าเป็นผมคงเปียกไปทั้งตัว หัวก็คงฟูบ้างแหละ เพราะพวกนี้ซนอย่างกะลิง ปีนเข้าๆ ออกๆ อ่างอาบน้ำเป็นว่าเล่น บางทีน้องนะก็เอาฝักบัวทุบหัวโตๆ ของน้องยะจนร้องไห้จ้าลั่นห้องน้ำก็ยังมี แต่พี่พ่ายยังอยู่ในเชิ้ตดำแบรนด์ดังกับทรงผมที่เสยไปข้างหลังตามแบบฉบับของเขาอย่างเรียบร้อย ไม่ได้ดูมีร่องรอยกับการไปสู้รบกับลิงทะโมนแต่อย่างใด
"สงสัยไม่ดื้อกับป๋า แต่ดื้อกับพี่เพี้ยนใช่ไหมเนี่ย"
เด็กๆ พากันหัวเราะคิกคัก ก่อนน้องโยจอมทะเล้นจะกระตุกชายเสื้อผมเบาๆ "วังนี้เพี๊ยงจะไม่นองกับพวกเลาเหลอ"
"หือ ใครบอก"
"ป๋าบอก"
ผมมองหน้าพี่พ่ายเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มกว้างให้พวกเด็กๆ "วันนี้พี่เพี้ยนจะไปนอนกับคุณแม่ครับ"
"นะไปด้วย" น้องนะจับชายเสื้อผมไว้แน่น
"ยะไป" น้องยะเริ่มเอาแก้มมาไถที่ไหล่
"โยด้วยๆๆๆ" น้องโยชูสองแขน เพื่อยืนยันความต้องการ
"ป๋าก็บอกว่าจะไปด้วย ไปด้วยกัง หนึ่ง สอง สาม..." น้องนะเริ่มนับ แต่คงนับได้แค่สาม นิ้วป้อมๆ ก็ยังชูตัวเลขไม่ถูก ช่างน่าเอ็นดูเสียจริงๆ
ผมก็เลยต้องช่วยน้องนับเลข พอนับกันเสร็จก็คงตามนั้นครับ ไปกัน '5' คนตามจำนวน และด้วยเหตุนั้นพวกเราห้าคนจึงต้องขึ้นมาเก็บของบนห้อง ผมเตรียมของให้พวกเด็กๆ เรียบร้อยแล้ว ส่วนพี่พ่ายคงมีคนเตรียมให้เขาเองโดยที่ผมไม่ต้องทำอะไร
"พี่พ่าย"
"ไร"
"จะไปด้วยจริงๆ เหรอ"
"ลูกอยากให้ไป"
"ไม่ต้องไปเชื่อเด็กๆ มากหรอก"
"กูชอบตามใจลูก"
"เออนะ งั้นก็แล้วแต่พี่เถอะ"
เด็กๆ กำลังเล่นกันอยู่บนเตียง ในขณะที่ผมกำลังเก็บเสื้อผ้าใส่เป้ แต่พี่พ่ายก็ดึงมันออกไป
"มึงไปนอนคืนเดียวแล้วทำไมต้องเอาไปหลายชุดวะ"
"หลายชุดที่ไหน ก็มีแค่ชุดนอนกับชุดที่จะเปลี่ยนตอนเช้า พี่เป็นอะไรมากปะเนี่ย"
พี่พ่ายผลักหัวผมจนหน้าผมเกือบทิ่ม ก่อนเขาจะเดินไปเล่นกับลูกๆ ปล่อยให้ผมเก็บกระเป๋าได้อย่างสบายใจ
"พี่พ่าย"
"ว่า"
"พี่ไม่ต้องไปก็ได้นะ ผมไปกับเด็กๆ เอง"
พี่พ่ายมีสีหน้าหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด จนเด็กๆ ที่กำลังเล่นกันอยู่พากันนั่งอย่างเรียบร้อย เด็กพวกนี้กลัวพ่อของเขามากครับ ทั้งๆ ที่ผมก็ไม่ค่อยเห็นเขาดุลูกนะ แต่ทุกคนกลับเชื่อฟัง ไม่ดื้อไม่ซนกับเขาเลยสักคนเดียว
“เพี๊ยง เพี๊ยงให้ป๋าไปด้วยนะ” น้องนะเขย่าแขนผมเบาๆ หน้าน้องเหมือนจะร้องไห้ ผมก็เลยต้องนั่งลงข้างๆ แล้วลูบหัวสุดหล่อด้วยความเอ็นดู
“ให้ไปด้วยสิครับ ไปกันห้าคนเลยเนอะ”
แค่เห็นรอยยิ้มของเด็กๆ ความกังวลของผมก็หายไปหมดแล้ว
ด้วยเหตุนั้น ทั้งผมและพี่พ่ายจึงพาพวกเด็กๆ มาที่โรงแรม แม่ของผมน่ะชอบใจใหญ่เลยที่ได้เจอเด็กแฝดทั้งสามคน พ่อดิวกับน้องยะน้องโยก็เคมีเข้ากันเป็นพิเศษ พากันเล่นบ้าบอจนลืมอายุ เห็นแบบนั้นผมก็วางใจ เอาของมาเก็บในห้องตัวเอง ปล่อยให้พวกเด็กๆ เขาอยู่กับพ่อแม่ของผมไป
“เพี้ยน มาคุยกันหน่อย”
“หืม”
พี่พ่ายแกเดินตามติดเป็นเงาตามตัวเลย จนตอนนี้ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่าเราจะเป็นแฝดสยามอีกคู่ของประเทศไทยหรือไม่
“พี่มีไรอะ”
“มึงน่ะเป็นไร”
“ผมเหรอ? ผมก็ไม่เป็นไรนะ ปกติ”
พี่พ่ายดูจะหมดความอดทนแล้ว แต่ผมก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าเขากำลังอดทนด้วยเรื่องอะไร เพราะมันยังไม่มีช่วงจังหวะไหนที่เราทะเลาะกันเลยด้วยซ้ำ
“เรื่องแหวนกูขอโทษ”
“เฮ้ยพี่ ผมไม่ได้โกรธ” พี่พ่ายยังคงนิ่ง ผมก็เลยต้องเดินเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าแล้วสบตาเขาตรงๆ “ไม่เป็นไรจริงๆ นะพี่ ผมโอเคอยู่แล้วกับทุกอย่างในตอนนี้”
“มึงโอเคจริงๆ เหรอวะ”
“อืม”
“แต่กูรู้สึกว่ามันไม่ใช่”
ผมได้แต่หัวเราะกับสีหน้าของพี่พ่าย ทำไมเขามีสีหน้าแบบนี้นะ... กังวลเรื่องอะไรอยู่อย่างนั้นเหรอ
“อย่าเป็นแบบนี้... มีอะไรมึงพูดกับกูตรงๆ มันจะแย่...ถ้ามึงเอาแต่ยิ้ม ทั้งๆ ที่ในใจมึงไม่ได้ยิ้มตาม”
มันก็อาจจะจริงอย่างที่พี่พ่ายพูด แต่...ถ้าไม่ให้ผมยิ้ม แล้วจะให้ผมเอาแต่นั่งร้องไห้หรือไง... มันมีอะไรที่ดีไปกว่าการยิ้มอีกหรือเปล่า...ถ้ามีผมก็อยากจะทำมัน
“ผม...รู้สึกว่าที่ข้างๆ พี่ มันไม่ควรเป็นผม” ผมดึงมือพี่พ่ายมากุมไว้ “มันจะดีกว่านี้ไหมถ้าเป็นคนอื่น แต่คนอื่นที่ว่าผมไม่ได้หมายรวมถึงนังวิว ผมว่าพี่ควรจะได้เจอผู้หญิงดีๆ สักคน ที่เขาจะมาเป็นแม่ให้เด็กๆ ได้ แต่ต้องเป็นคนที่ดีจริงๆ นะพี่ ...ผมอยากให้เด็กๆ มีแม่ที่ดี ดีพอที่จะเลี้ยงพวกเขาให้โตขึ้นอย่างมีความสุข”
“กูต้องชัดเจนแค่ไหน...มึงถึงจะมั่นใจในความรู้สึกของกูสักที”
“นี่พี่เรียกว่าสิ่งที่พี่ทำชัดเจนมากแล้วใช่ไหม”
“แล้วต้องทำขนาดไหนวะ จะให้กูคุกเข่าขอมือแต่งงานรึไง”
ผมว่า...เราคงจะเข้าใจกันไปคนละทาง “ผมไม่ได้ต้องการแบบนั้น... แต่ก็ช่างมันเถอะพี่”
“ช่างไม่ได้”
“แล้วแต่พี่นะ ผมไม่อยากทะเลาะกับพี่เรื่องนี้แล้ว”
“เพี้ยน”
“ไม่ใช่ว่าพี่ไม่ชัดเจนหรอกนะพี่พ่าย แต่ผมแค่ยังไม่รู้สึกถึงความรักของพี่เลยก็เท่านั้น”
พี่พ่ายชัดเจนมากจริงๆ กับการที่เขาบอกว่าเขาเลือกผม เขาชัดเจนแล้วผมว่าควรอยู่ตรงไหนในชีวิตเขา แต่ในพื้นที่ที่เขาวางไว้ให้นั้น... ผมกลับไม่รู้สึกเลยว่า...ตัวผม...เข้าใกล้หัวใจของเขา เหมือนแค่วางผมไว้ตรงนี้ แล้วเขาก็ยังต้องมีสิ่งที่เขาควรจัดการในชีวิตต่อ ...จะมีผมหรือไม่มี...ทุกอย่างก็จะดำเนินต่อไปได้ปกติ
ความชัดเจนของพี่พ่าย...จึงไม่ใช่การให้ความสำคัญ แต่เป็นการบอกชัด...ว่าผมควรอยู่ตรงไหนก็เท่านั้น
“แล้วกูต้องทำยังไง... มึงถึงจะเชื่อ...”
“ให้ผมเชื่ออะไร? เรื่องที่พี่จะหย่ากับนังวิวอะ ผมเชื่ออยู่แล้วล่ะ”
“ไม่ใช่...”
ผมว่าบางที...คำบางคำ สำหรับคนบางคนก็พูดออกมาได้ยากเย็น
“ทำยังไงมึงถึงจะเชื่อ...ว่ากู” พี่พ่ายมีสีหน้าหงุดหงิดเล็กน้อย เขาทำหน้านิ่งแต่สุดท้ายก็พูดออกมา “รักมึงมากจริงๆ”
“ก็แค่นี้แหละที่อยากได้ยิน” ผมยิ้มกว้างก่อนจะกอดพี่พ่ายไว้แน่น “พูดบ้างก็ไม่เห็นจะตายใช่ไหมล่ะ”
“ไอ้เด็กบ้า”
“กลัวโดนทิ้งมากเหรอ แก่แล้วอะดิ หาเมียไม่ได้แล้ว”
“หึ” พี่พ่ายหลุดหัวเราะ “พรุ่งนี้ส่งพ่อแม่มึงที่สนามบินแล้วกูจะพาไปซื้อแหวน”
“ไม่ต้องละ ฝากพี่เกมซื้อมาให้แล้ว อิมพอร์ตจากโคเรียยยยย”
“มึงนี่อะไรก็ต้องมาจากเกาหลีจริงๆ”
“ผู้ชายก็ต้องเกาหลีนะจ้ะ”
“เดี๋ยวมึงได้เอวหัก”
“โหดร้ายกับน้อง”
ก็อย่างที่ผมบอก...ว่าความมั่นใจของผม มีแค่ความรักที่ผมมีให้เขาเท่านั้น บางครั้งผมท้อใจกับความเย็นชา กังวลใจกับความรู้สึกของเขา แต่แค่ได้ยินคำว่ารัก ผมก็มีกำลังใจที่จะสู้ต่อแล้ว มันไม่ง่ายเลยกับการที่จะอยู่เคียงข้างผู้ชายอย่างไร้พ่าย ถึงอย่างนั้น...ผมก็รู้ว่าผมควรจะอยู่ยังไง
เขาไม่ได้หวาน แต่บางครั้งก็อ่อนโยน ไม่ได้โรแมนติก แต่บางทีก็มีคำซึ้งๆ กินใจให้ได้ฟินเหมือนกัน ก็เหมือนกับที่คนเราทุกคนไม่ได้มีแค่เพียงด้านเดียว พี่พ่ายอาจจะเป็นคนที่จับพลิกตัวมองหามุมอื่น ด้านอื่นยากกว่าคนทั่วไปสักหน่อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่มีด้านอื่นๆ ให้เห็นเลย
“ได้แหวนมาแล้ว พี่พ่ายใส่ให้หน่อยนะ”
“เออๆ”
“อย่ารับคำเหมือนรำคาญสิ”
“กูรำคาญจริงๆ”
“ง่ะ”
พี่พ่ายผลักหน้าผากผมสองสามทีก่อนจะบอกเบาๆ ว่า “ล้อเล่น ไว้ได้มาเมื่อไหร่ กูจะใส่ให้ละกัน”
ความพยายามอยู่ที่ไหน...ความหน้าด้านย่อมอยู่ที่นั่น อ๋อ...ไม่ใช่สินะ ผมไม่ได้หน้าด้านเสียหน่อย ผมแค่ชอบดันทุรัง...เพื่อที่จะได้อยู่เคียงข้างคนที่ผมรักเท่านั้นเอง แค่ให้กำลังใจผมเสียหน่อย...ผมก็ต่อความหวังของตัวเองไปได้อีกหลายปี
“เขียนพินัยกรรมตอนพี่ตายให้ทรัพย์สมบัติเป็นชื่อน้องด้วยนะ เผื่อว่านังวิวมันวางแผนฆ่าพี่ ทรัพย์สมบัติจะได้ไม่ตกเป็นของมันคนเดียว น้องยังต้องการเงินเพื่อการติ่ง”
“กูไม่ให้มึงอยู่เพื่อไปตามบ้าผู้ชายหรอก กูตายมึงก็ต้องไปกับกูด้วย”
“จัญไรแมนเสียจริงๆ คนรักของน้องเนี่ย”
“เดี๋ยวกูเตะหงายท้อง”
“ฮิฮิ”
แม้เราจะรักกันฮาร์ดคอร์ แต่เราก็เป็นคู่รักกันจริงๆ ยืนยันได้จากรอยยิ้มของพี่พ่าย ที่ผมแน่ใจว่าไม่มีใคร...ทำให้เขายิ้มได้อย่างผมหรอก
.........................................................TBC...............................................................
เอออ ใกล้จบแล้ว ใกล้จบแล้วว มาไล่ตามปิดเรื่องด้วยความคิดถึงพี่พ่ายเป็นอย่างมาก ต้องขอโทษทุกคนที่อ่านตอน 39 วนไปสองสามรอบ ขอโทษจริงๆ ค่ะที่ช่วงหนึ่งลำเอียงไปรักลูกสามีมากกว่า ฮือออ