ตอนที่ 23พระราชา 2 พระองค์ และแม่ทัพเชมัล หารือเกี่ยวกับความตึงเครียดระหว่าง 3 เมืองใหญ่ เมื่อเมืองเหนือแสดงท่าทีที่ชัดเจนมากขึ้น ว่าต้องการหาทางออกทะเลผ่านทางเมืองวันให้ได้
ในทางการเมือง เมืองบาสก์วางตนห่างเหินกับเพื่อนบ้านทั้งสองและไปผูกมิตรกับอีกเมืองที่ตั้งอยู่อีกด้าน แต่ในเวลานี้พระราชาเมืองบาสก์กลับเดินทางมาที่เมืองวันเป็นการส่วนพระองค์
เมื่อพระราชาทั้ง 2 พระองค์ไม่เปิดเผยเกี่ยวกับข้อแลกเปลี่ยนระหว่างกัน แม่ทัพเชมัลก็รักษามารยาทด้วยการยึดถือสถานการณ์ปัจจุบัน ที่ว่าหากเมืองเหนือมีชัย การค้าของเมืองบาสก์ที่ใช้ท่าเรือใหญ่ของเมืองวันย่อมเสียหายไปด้วย
แต่แม่ทัพเชมัลคาดว่า บางทีพระราชาฟารัคอาจเสนอเรื่องการเปิดประตูเมืองฝั่งที่อยู่ใกล้กับเมืองบาสก์มากที่สุด เพื่อลดระยะเวลาในการเดินทาง
ประตูเมืองหน้าด่านแห่งนี้ ยังเป็นประตูที่แม่ทัพเชมัลพาอาเม่ยเดินทางผ่าน หลังจากที่ถูกเวทย์ของเฮยอั้น
ที่ผ่านมาเหตุผลสำคัญเพียงข้อเดียว ที่พระราชาเมืองวันไม่อาจเปิดประตูนี้อย่างถาวรก็เพราะไม่ต้องการเพิ่มข้อขัดแย้งกับเมืองเหนือ เมืองบาสก์เองก็ตระหนักถึงเรื่องนี้เช่นกัน แต่เมื่อเพื่อนบ้านอย่างเมืองเหนือยังคงแสดงท่าทีคุกคาม ก็ไม่มีความจำเป็นที่อีก 2 เมืองจะต้องเสแสร้งว่าไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
นอกจากนี้ เมืองเหนือเองก็ตระหนักดีว่า 2 เมืองริมทะเลต่างก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
ข้อสนทนาที่เป็นการแจ้งให้แม่ทัพเชมัลทราบ ก็คือการนำทัพผู้ใช้เวทย์ไปสู้รบกับ อสูร ยักษ์และผู้ใช้เวทย์ของเมืองเหนือ โดยเมืองบาสก์พร้อมที่จะเป็นฝ่ายสนับสนุน
ข้อตกลงที่ช่างฟังดูขัดใจ แต่หากจะมองย้อนอดีตและสถานการณ์ในปัจจุบัน ถือว่าเมืองบาสก์เอาเปรียบอยู่เพียงเล็กน้อย เพราะเหตุการณ์นี้ คู่กรณีโดยตรงคือเมืองวันกับเมืองเหนือ ส่วนเมืองบาสก์คือผู้ได้รับผลกระทบ
“ข้าพระองค์ขอเวลาอีก 2 วันให้แซนกลับมารับข้าและเสี่ยวเม่ย”
“ลำพังเพียงแค่ความจำเสื่อมไม่น่าให้เจ้าต้องเป็นกังวลเพียงนั้น” พระราชาผู้เป็นพี่ชายรับสั่งถาม
แม่ทัพเชมัลยอมรับ “เสี่ยวเม่ยความจำเสื่อม ทั้งยังอ่อนเพลีย สภาพร่างกายยังไม่แข็งแรง หากพากลับไปทั้งที่ยังเป็นเช่นนี้ อาจตกเป็นเป้าหมายในการถูกทำร้ายซ้ำ”
พระราชาฟารัคคิดถึงองครักษ์เก้าที่ถูกทำร้าย และยังต้องรับการรักษาอย่างสม่ำเสมออยู่ในเวลานี้
เมืองวันที่เข้มแข็ง กลับช่างอ่อนแออย่างยิ่ง เมื่อคนสำคัญของผู้ปกครองถูกทำร้าย
พระราชาฟารัคจึงหันไปรับสั่งกับพระราชาเมืองบาสก์ “พวกเราสมควรเดินทางกลับกันได้แล้ว”
“แล้วเรื่องการเดินทัพ” พระราชาเมืองบาสก์ยังเป็นกังวล
แม่ทัพเชมัลจึงให้คำรับรองเรื่องการกลับไปทำหน้าที่ และขอให้เมืองบาสก์เตรียมพร้อมรับมือทัพของเมืองเหนือที่อาจหลบหนีอยู่ในพื้นที่รอยต่อระหว่าง 3 เมือง
การสนทนาระหว่างทั้ง 3 คนเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดและจริงจัง จนอาจหลงลืมไปได้ว่า ผู้หนึ่งคือพระราชาเมืองบาสก์ ที่อาจจะหันไปเลือกข้างเมืองเหนือได้ทุกเมื่อ
แต่เมื่อหันไปสบตาพระราชาฟารัค แม่ทัพเชมัลก็กลับเชื่อมั่นว่า หากพระราชาเมืองบาสก์จะคิดตลบหลัง คงต้องเป็นผู้ที่มีกำลังขวัญกล้าแข็งมาก
พระราชาฟารัคผู้นี้ ไม่ใช่คนคิดแค้นผู้ใดหากเป็นเรื่องส่วนตัว
แต่หากเป็นเรื่องของแผ่นดิน มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง!
ทั้งในระหว่างการสนทนายังมีบางครั้ง ที่แม่ทัพเชมัลรู้สึกถึงพลังอำนาจจากพระราชาฟารัค ที่ตรงเข้าหาพระราชาเมืองบาสก์ ดูผิวเผิน คล้ายเป็นพลังที่พลั้งเผลอออกมา ยามที่จดจ่อกับเรื่องหนึ่งเรื่องใดเป็นพิเศษ
แต่เพราะเป็นพระอนุชาที่อยู่ใกล้ชิดมาตลอด จึงรู้ว่า นี่เป็นเจตนา
...เมื่อกล่าวถึงเรื่องเล่ห์เหลี่ยม ต้องถือว่าพระราชาฟารัคไม่เคยเป็นรองผู้ใด เห็นทีว่า เมื่อกลับเข้าเมืองจะต้องถามให้ได้ ว่าพระองค์ยื่นข้อแลกเปลี่ยนอันใด แต่ดูท่า ว่าข้อแลกเปลี่ยนนั้น แท้จริงแล้วจะได้มาด้วยการข่มขู่ และเมืองวันจะเป็นฝ่ายได้เปรียบเสียด้วย...
เมื่อคิดถึงตรงนี้ แม่ทัพเชมัลก็อดไม่ได้ที่จะอมยิ้ม จนพระราชาฟารัคหันมาทำตาขวาง แล้วกล่าวเรื่องแผนการเคลื่อนไหวต่อไป
ส่วนพระราชาเมืองบาสก์ที่มีความอาวุโสกว่า เพียงมีท่าทีสุขุม และรับพิจารณาเฉพาะในทางที่จะไม่เพิ่มความเสี่ยงแก่ฝ่ายตน
....เมื่อต้องเสียเปรียบในบางสิ่งบางอย่าง ก็จะต้องไม่สูญเสียทหาร ไม่สูญเสียพลเมือง และไม่ทำให้การค้าเสียหายมากนัก....
ระหว่างการสนทนาแม่ทัพเชมัลคอยหันมามองอาเม่ยเป็นระยะ
ดวงตาสีแปลกคู่นั้นมองตามการเคลื่อนไหวขององครักษ์แซนที่ทำความสะอาดและเตรียมอาหาร
“ข้าไม่ค่อยคุ้นชินเวลาที่เจ้าเอาแต่นั่งมอง โดยไม่มีคำถาม” องครักษ์แซนเริ่มบทสนทนา
อาเม่ยส่ายหน้า มองตามมือที่กำลังเตรียมอาหาร “ไม่รู้จะถามอันใด”
“นั่นยิ่งไม่คุ้นชิน เพราะเจ้าไม่เคยหมดคำถาม”
“แต่ท่านก็มีคำตอบให้ข้าทุกครั้ง” อาเม่ยตอบพลางเกาที่หน้าผากตนเอง เรื่องราวมากมายจู่ๆ ก็หวนกลับมา “ตอนที่ท่านพี่เล่าเรื่องมากมายข้าก็คิดว่าจำได้ รู้ว่าเรื่องเหล่านั้นเกิดขึ้นจริง แต่นึกถึงภาพต่างๆ ไม่ค่อยออก หมายถึง...ใบหน้าผู้คนน่ะ”
แซนเข้าใจ
“แต่พอเห็นพระราชา ภาพต่างๆ มันก็กลับมา แต่ที่ยังรู้สึก...งงๆ ไม่แน่ใจ เพราะเหมือนยังมีบางคน บางอย่าง ที่หายไป”
องครักษ์ผู้ครองเวทย์น้ำหันไปมองแม่ทัพเชมัลในเชิงถาม ทำให้แม่ทัพเชมัลแยกออกมาจากกลุ่มนั่งลงข้างๆ อาเม่ย
“เมื่อพวกเรากลับไปถึงเมืองวัน เจ้าอาจนึกเรื่องเหล่านั้นออก”
“ข้าอาจเป็นภาระของท่าน” อาเม่ยหันมาบอก การที่ความทรงจำยังกลับมาไม่ครบถ้วนอาจส่งผลเสียต่อภาระหน้าที่ของแม่ทัพเชมัล “แต่ข้าก็อยากกลับไปพร้อมกับท่าน”
“พวกเราจะกลับไป แต่วันนี้ให้แซนส่งเสด็จพระราชาทั้ง 2 พระองค์ก่อน แล้วค่อยกลับมารับพวกเรา”
ความรอบคอบระมัดระวังของแม่ทัพเชมัล ยิ่งทำให้อาเม่ยเป็นกังวล ถึงเรื่องราว และผู้คนที่เป็นความว่างเปล่าอยู่ในความทรงจำ
สิ่งนี้ต้องเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้นำทหารต้องละทิ้งหน้าที่ที่สำคัญยิ่ง
ดวงตาสีแปลกมองตามเรือเล็กของแซน ที่นำส่งเสด็จพระราชา 2 พระองค์
ด้วยเรือลำเล็กขนาดนี้ หากเป็นผู้อื่นบังคับเรือเดินทางในทะเลกว้างนี่อาจเป็นอันตรายอย่างยิ่ง แต่เมื่อเป็นองครักษ์แซน กลับเป็นเรื่องง่ายดายอย่างยิ่ง
แม่ทัพเชมัลเล่าให้ฟังว่า เมื่อตอนที่เดินทางมา องครักษ์แซนก็ใช้เรือลำนี้พาทั้ง 2 คนมาส่งที่นี่เช่นกัน เมื่อมาส่งแล้วก็กลับไป
ไม่ว่าจะพยายามเท่าใด ความว่างเปล่านั้นก็ยังคงเป็นความว่างเปล่าอยู่เช่นเดิม
“การที่พระราชา 2 พระองค์ต้องวางท่าทีทางการเมือง แล้วมาตามท่านกลับไป แสดงว่าต้องเป็นเรื่องใหญ่ และจริงจัง เหตุใดท่านจึงไม่กลับไปในทันที”
“เพราะหากกลับไปในทันที หากสถานการณ์ยุ่งยากเกินกว่าคาดไว้ เราจะไม่มีทางให้ถอย”
อาเม่ยหันมามองเชิงถาม แม่ทัพเชมัลจึงตอบตามตรง
“ทุกแห่งย่อมมีสายลับ 2 หน้า และพวกเราควรกลับไปเมื่อข้าแน่ใจ”
“รวมถึง...ท่านพี่ต้องแน่ใจเรื่องข้าด้วยใช่หรือไม่”
แม่ทัพเชมัลจูบที่หน้าผากสวย ก่อนที่จะตอบคำถาม “ข้าบอกเจ้าแล้ว ว่าเจ้าคือทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของข้า”
แขนผอมบางกอดเอวหนาไว้ “ท่านมีหน้าที่ หากอยู่ด้วยกันแล้ว ทำให้พระราชา 2 พระองค์เป็นทุกข์เช่นนี้เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง”
แม่ทัพเชมัลยิ้มจาง
ทุกผู้คนต่างก็มีผลประโยชน์ของตนเองที่จะต้องปกป้องด้วยกันทั้งนั้น
และเมื่อเป็นพระอนุชา ทั้งเป็นชายชาติทหาร การเลือกที่จะปกป้องคนรักเป็นลำดับแรกย่อมเป็นเรื่องไร้เกียรติ
“ท่านกังวลเรื่องที่ความทรงจำข้ายังไม่กลับมา แล้วก็ยังมีเรื่องที่ข้าอาจกลับไปมีผิวสีดั่งกลางคืนแล้ว เหวี่ยงลูกไฟใส่ท่านใช่ไหม” อาเม่ยถามอย่างตรงไปตรงมา “หากข้าทำเช่นนั้น ท่านก็....”
แม่ทัพเชมัลจูบปิดปาก “ข้าไม่มีวันทำร้ายเจ้า เสี่ยวเม่ย”
อาเม่ยเอนตัวพิงอกกว้าง แม่ทัพเชมัลมีเรื่องให้ต้องกังวลมากมาย มีภาระหน้าที่มากมายรออยู่ แต่กลับละทิ้งทุกสิ่ง
การตัดสินใจเช่นนี้ ถูกต้องแล้วหรือ
“ข้ารู้ว่าท่านไม่คิดทำร้ายข้า แต่ในเวลานี้ข้ากลับทำร้ายท่านอยู่”
อีกคนส่งเสียงคัดค้านในลำคอ แต่อาเม่ยกล่าวต่อ
“อย่าให้ข้าทำร้ายท่านเช่นนี้ หากท่านรักข้า ก็อย่าให้ข้าเป็นสาเหตุที่ทำให้ท่านต้องถูกผู้คนก่นประณาม”
“ไม่คิดว่าข้ากำลังหาเหตุให้ได้อยู่กับเจ้าตามลำพังหรือไร”
อาเม่ยยิ้มกว้าง “ท่านก็เรียกใช้ข้าอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้วนี่”
“เช่นนั้นหรือ” อีกคนทำสีหน้าประหลาดใจ “ข้าไม่รู้ตัวเลย ว่าทำเช่นนั้น”
“ท่านเป็นเช่นนั้น” อาเม่ยเดินนำกลับที่พัก “เดี๋ยวเรียกหา เดี๋ยวก็เล่าเรื่องนั้น เรื่องนี้ แล้วก็น้อยใจอิจฉาคนอื่นตลอดเวลา”
“ไม่นะ” อีกคนเดินตามมาจับมือไว้ แล้วเดินไปด้วยกัน “ข้าเป็นทั้งพระอนุชา เป็นทั้งแม่ทัพ จะน้อยใจ และอิจฉาผู้อื่นได้อย่างไร”
“นอกจากนี้ ท่านยังปรากฏตัวอยู่ที่นั่นที่นี่ ข้าจะไปไหนก็ต้องพบเจอท่านอยู่ร่ำไป”
“อ้อ.......”
อาเม่ยหยุดเดินหันมามอง “ท่านตามข้าไป”
“เรื่องนั้น”
“คำถามนี้ท่านพี่ต้องตอบข้า ไม่ควรให้ข้าหลงตัวเองไปว่า ท่านติดตามข้า เพราะท่านพอใจข้า”
อีกคนแกล้งลูบท้ายทอย “เรื่องนี้ ข้าคิดว่าข้าเคยบอกไปแล้วนะ”
“บอกเมื่อใด ก็ข้าเพิ่งถามท่าน ท่านต้องตอบข้ามาก่อน”
แม่ทัพเชมัลประคองใบหน้าสวยไว้ในฝ่ามือ แต่พอจะก้มลงจูบ อีกคนก็ถลึงตาใส่
“ตอบคำถามก่อน”
“จูบก่อนไม่ได้หรือ”
“ไม่ได้ เพราะท่านอาจเลี่ยงไม่ตอบ แล้วทำให้ข้าสำคัญตนผิดไปก็เป็นได้”
“เจ้าไม่ได้สำคัญตนผิด” ริมฝีปากสวยอยู่แนบชิดเมื่อกล่าวคำตอบ “ข้าติดตามเจ้า หาเรื่องอยู่ใกล้ชิดเจ้า พัวพันกับเจ้าไม่เลิกรา เพราะข้ารักเจ้า”
แก้มใสเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อ เช่นทุกครั้งที่ได้ยินคำบอกรัก จูบแผ่วเบาที่ริมฝีปากเพิ่มน้ำหนักและความต้องการ
แขนผอมบางโอบกอดรอบคอแกร่ง ปล่อยให้มือใหญ่ลูบไล้เข้าใต้สาบเสื้อ
เสียงกระซิบบอกความต้องการที่ข้างหูทำให้อีกคนหยุดชะงักแล้วพยักหน้าอย่างเก้อเขิน
เพียงแค่เข้าเขตที่พัก ฝนก็เริ่มตก อาเม่ยหันมาหาอีกคนยกแขนโอบรอบคอกว้างให้อุ้มเข้าบ้าน ใช้เท้าทั้งถีบเปิดประตูแล้วเหนี่ยวปิดประตูอย่างง่ายดาย คนตัวเล็กหัวเราะเสียงสดใส
“หัวเราะอันใด รู้หรือไม่ การที่ต้องอดทนจนกลับมาถึงที่พักมันช่างยากเย็นนัก”
“จากท่าเรือกลับมาถึงบ้านเพียงไม่กี่ก้าว จะยากเย็นอันใด”
อีกคนตอบด้วยการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว พริบตาเสื้อผ้าของอีกคนก็พ้นร่าง
อาเม่ยยกตัวจูบแผ่วเบาที่ปลายจมูกสวย
“เสี่ยวเม่ยรักท่าน”
“ไม่ถูกต้อง”
ความเก้อเขินยามเมื่อเอ่ยคำรักก่อน กลายเป็นความประหลาดใจ
“ไม่ถูกต้องอันใด”
“เจ้าต้องจูบเช่นนี้” ริมฝีปากหนากดจูบที่ริมฝีปากสวย เต็มเปี่ยมไปด้วยความเร่าร้อนต้องการจนอาเม่ยต้องจิกปลายนิ้วลงที่ไหล่กว้าง
สัมผัสและอ้อมกอดเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ความต้องการกันและกันอย่างท่วมท้น แม้ภายนอกจะมีฝนตกและอากาศเริ่มเย็นลง แต่ภายในอ้อมกอดนี้กลับอบอุ่นยิ่งนัก
ทั้งคำบอกรักและการกระทำที่ยืนยันว่ารัก
“ท่านพี่”
“หืม...”
“หนาว...”
อาเม่ยกล่าวเท็จ เมื่ออีกคนหัวเราะในลำคออย่างรู้ทันก็กล่าวย้ำ
“จริงนะ เสี่ยวเม่ยหนาว”
“ข้ารู้วิธี...”
ริมฝีปากหนาจูบแก้ม มือใหญ่ลูบไล้แผ่นหลังบางเรื่อยลงหาสะโพกกลม
จมูกแตะจมูก ริมฝีปากแตะริมฝีปาก
“ท่านพี่...”
“หืม...”
“เสี่ยวเม่ย....” อาเม่ยกดริมฝีปากลมหายใจสะดุด เมื่อมือใหญ่ซุกซน “หยุดสักครู่ได้หรือไม่...”
“ก็เจ้าบอกว่าหนาว”
“ท่านรู้ว่าข้ากล่าวเท็จ”
“แต่เมื่อข้าเชื่อว่ามันคือความจริง มันก็ย่อมเป็นความจริง”
อาเม่ยหัวเราะเสียงสดใส
“เช่นนั้นก็จูบข้าเถิด”
“เป็นคำสั่งที่ควรปฏิบัติตามในทันที”
อ้อมกอดนี้ สัมผัสนี้อบอุ่นยิ่งนัก
...จบตอนที่ 23...รูปนี้มาจาก
https://www.flickr.com