15 เผชิญหน้า“เป็นอะไร”
เสียงนั้นทำเอาผมสะดุ้ง เหลือบตาขึ้นมองคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามแล้วส่ายหน้า ก้มลงใช้ช้อนเขี่ยอาหารในจานไปมาก่อนยอมตักกินไม่ให้ผิดสังเกต
ร้านอาหารเล็ก ๆ ที่จัดคล้ายบ้านสวนในซอยหมู่บ้านที่ค่อนข้างซับซ้อนยังคงซ่อนตัวอยู่ในมหานครใหญ่ บรรยากาศค่อนข้างเงียบสงบ มีเพียงผมกับลูกค้าอีกไม่กี่โต๊ะเท่านั้นแวะเวียนเข้ามาใช้บริการ ร้านนี้เป็นร้านของเพื่อนของเพื่อนไอ้เฟยอีกต่อ เป็นลักษณะของร้านลูกคนรวยที่เปิดเล่น ๆ ทำเป็นงานอดิเรก อาหารรสชาติดีราวกับปรุงอะไรมาโดยไม่จำเป็นต้องนึกถึงต้นทุนสักนิด
“ไม่อร่อยเหรอ หรืออยากกินอะไร ตอนถามก็ไม่บอก”
“เปล่า แต่บรรยากาศดี ไม่อยากลุก”
บ่ายเบี่ยงพลางเบือนสายตาไปชมนกชมไม้ ชมแสงสีที่ประดับประดาให้ร้านน่ามอง ไอ้เฟยพยักหน้า ตักกับข้าวมาให้เพิ่ม “สองสามวันนี้มึงกินน้อยมาก เลยหาร้านอร่อย ๆ ให้ เอานี่ กินเยอะ ๆ หน่อย เครียดเรื่องงานหรือไง”
ผมส่ายหน้า ยกน้ำขึ้นจิบ “อยู่ในช่วงติสท์”
ไอ้เฟยหัวเราะ เอื้อมมือมาขยี้หัวผมที่นั่งฝั่งตรงข้ามกัน รอยยิ้มสวยซ่อนลักยิ้มนั่นอบอุ่นเสมอ มันท้าวแขนมองผมด้วยสายตาหยอกล้อ เป็นประกายวาววับ “ติสท์เป็นกับเขาด้วยเหรอ”
“มันก็ต้องมีบ้างสิวะ” พูดกลั้วหัวเราะพลางตักข้าวขึ้นกิน เมื่อคนรักละสายตาก็เผลอถอนหายใจออกมาด้วยความหนักใจ เฮียอี้เอาเบอร์ผมมาจากไหนไม่รู้ ส่งข้อความมาหาหลายรอบแล้วและนั่นทำให้ผมค่อนข้างอึดอัดกับสถานการณ์ตอนนี้ ทุกครั้งที่เห็นหน้าไอ้เฟย ทุกครั้งที่มันทำดีให้ยิ่งเก็บความละอายไว้ลึกสุดใจ มันรักผมมาก ขณะเดียวกันผมกลับขลาดกลัวมากว่าวันหนึ่งจะเสียมันไปเพราะอดีตของตัวเอง
เฟยรับทุกอย่างได้จริง ๆ เหรอ?คนอย่างมันที่ขี้หึงและโกรธเกรี้ยวอย่างบ้าคลั่ง หากวันหนึ่งรู้ว่าผมเคยทรยศขณะที่ปากยังคงบอกว่ารักมันได้ยังจะให้อภัยกันอยู่ไหม
คิด คิด คิด...และนั่นทำให้ผมเหม่อลอยบ่อย ๆ จนไอ้เฟยทักด้วยความแปลกใจ
“ตี๋”
ผมสะดุ้งอีกครั้ง คราวนี้ไอ้เฟยไม่ยิ้มแล้ว สีหน้าค่อนข้างเครียด แม้ผมส่งยิ้มแห้ง ๆ ไปให้ก็ไม่อาจทำให้สีหน้าเคร่งขรึมนั่นคลายลงแม้แต่น้อย แสร้งทำเป็นหยิบเมนูอาหาร มองของหวานที่ตั้งกันดาษดื่นบนหน้ากระดาษแล้วถามมัน
“กินขนมไหม”
“ข้าวยังกินไปแค่ครึ่งจาน”
“อยากกินขนมนี่หว่า เอาอะไร เดี๋ยวกูลอก”
ผมยิ้มให้มันจนตาหยี แต่ไอ้เฟยไม่ยิ้มตามไปด้วย กระทั่งโทรศัพท์ในกระเป๋าสั่นรอยยิ้มนั้นก็ค่อย ๆ หดลง ไอ้เฟยถอนหายใจด้วยความหงุดหงิด ยกน้ำขึ้นจิบแล้ววางกระแทก
“กูไปสูบบุหรี่ก่อน”
ผมพยักหน้า เมื่อเจ้าของร่างโปร่งเดินหายไปด้านหลังแล้วก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เป็นข้อความของเฮียอี้จริง ๆ ด้วย ก่อนหน้านี้ตามลบทุกอันแล้วเพราะกลัวไอ้เฟยจะค้นเจอ ถ้าเทียบกับทุกคนที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นพี่เชนทร์ หรือพี่มิก ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะกลัวใคร อย่างมากก็เลี่ยงการเผชิญหน้าเพื่อตัดรำคาญแต่กับคนนี้ยอมรับเลยว่าผมกลัวจริง ๆ
กลัวว่าเขาจะพรากความรักของผมไป
Eii – คิดจะอยู่ในสภาพนี้ไปถึงเมื่อไรข้อความนั้นเมื่ออ่านจบผมก็เลื่อนเตรียมลบทิ้ง หากแต่คนที่ยืนดักอยู่ด้านหลังโดยไม่ทันตั้งตัวกลับคว้าไปถือได้อย่างง่ายดาย ไอ้เฟยมองโทรศัพท์แล้วละสายตามาที่ผม จ้องอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ
“มึงกับเฮียอี้มีความจำเป็นที่ต้องมีเบอร์กันด้วยเหรอ”
ผมไม่ตอบ เพราะถึงโกหกไปก็ถูกจับได้อยู่ดี ไอ้เฟยอ่านทีละคำชัดเจน ทิ้งสายตาว่างเปล่าไว้ที่หน้าจอมือถือ “มึงติดต่อกับเฮียกูทำไมตี๋”
เป็นอีกครั้งที่ผมใช้ความเงียบตอบคำถาม ในใจเต้นรัวด้วยความขลาดเขลา ไอ้เฟยเก็บมือถือผมไป มันไม่คาดคั้นแต่เรียกเก็บเงินก่อนเดินนำไปที่รถ ผมไม่มีคำแก้ตัว ดูก็รู้ว่าไอ้เฟยโมโหมากแค่ไหนแต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้เลยสักอย่าง
เล็กซัสสีดำขลับทะยานไปบนท้องถนนยามราตรี หน้าปัดแสดงความเร็วพุ่งสูงจนผมต้องหลับตาไว้ ก่อนมันจะเบรคจนหัวแทบคว่ำเมื่อถึงจุดหมายในเวลาอันรวดเร็ว
“กูให้โอกาสมึงพูด หรือจะให้กูโทรไปหาเฮียอี้”
ผมเบือนหน้า หลบสายตา รู้สึกเหมือนเหลือเวลาอีกไม่นานที่จะรั้งมันไว้กับตัว “กูยังไม่พร้อมพูดอะไรเฟย” หลับตาลง น้ำตาก็ร่วงกรู
ผมเพิ่งรู้ว่าตัวเองกลั้นน้ำตามานานแค่ไหน เจ็บปวดและหวาดกลัว ทุกอย่างผสานตีกันจนไม่อาจแยกออกได้ว่าน้ำตาหยดไหนมีสาเหตุมาจากอะไร อึดอัดเหมือนคนจมน้ำ ยังไม่อยากตายแต่การดิ้นรนเพื่อมีชีวิตอยู่ก็ช่างทรมาน แต่ท้ายที่สุดแม้จะทรมานปานจะขาดใจแค่ไหนก็ยินดีรับความรู้สึกรวดร้าวนั้นไว้ เพียงแค่ให้รู้ว่าเรายังมีชีวิตอยู่เท่านั้น
สุดท้ายผมอาจจะต้องเสียมันไปอีก แต่ช่วงเวลาสั้น ๆ ตรงนี้ ขอแค่ให้มีมันอยู่ด้วยเพียงแค่เสี้ยววินาทีก็ยังดี
“วิน...”
เสียงทุ้มเรียกแผ่วเบา ผมโผเข้ากอดมันแน่นแล้วปล่อยโฮแบบไม่อายใคร ความกดดันที่เก็บเอาไว้ภายใน สิ่งที่อัดอั้นซึ่งข่มไว้ลึกโดยไม่เคยได้พูดมันออกมาปะทุออกมาเป็นหยดน้ำ หากผมกล้ากว่านี้สักนิด แค่นิดเดียวก็คงสารภาพทุกเรื่องจากปากของตัวเองได้ไม่ยาก
แต่ผมกลัวเกินกว่าจะรับความเป็นจริงที่ว่า ผมอาจสูญเสียมันไปอีกครั้ง และนั่นหมายถึงตลอดกาลได้เมื่อประโยคนั้นจบลง
“กูขอโทษ...เฟย กูรักมึง...รักจริง ๆ”
ถึงแม้ว่าเรื่องราววันนั้นจะจบลงด้วยการไม่ต่อความยาวสาวความยืดแต่ความสัมพันธ์ของผมกับไอ้เฟยก็เป็นไปในทิศทางที่ไม่ค่อยจะสู้ดี คำพูดที่มีน้อยลง เช่นเดียวกับเวลา เราออกจากบ้านพร้อมกัน แต่ตอนเย็นเฟยมักจะติดนัดลูกค้าจนผมต้องกลับพร้อมพี่ชิตบ่อย ๆ
เสียงนาฬิกาปลุกดังจนเป็นปกติ เมื่อคืนนี้เผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ จำได้ว่าขนงานกลับมาทำที่บ้านจนล้นมือ นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานตัวเดิมแต่กลับตื่นมาบนเตียงกว้าง ขยับตัวพลิกไปเห็นคนรักนอนอยู่ริมอีกฝั่งจนชิดขอบก็ขยับตัวเข้าไปกอดจากด้านหลัง
กลิ่นของแอลกอฮอล์ลอยติดจมูก เสื้อผ้าที่สวมยังเป็นชุดเดิม แม้แต่ถุงเท้าเจ้าตัวก็ไม่ได้ถอดแต่กลับจัดท่านอนให้ผมเสร็จสรรพ แผ่นหลังกว้างของมันยังคงอบอุ่น ภายในหัวใจที่หนาวเหน็บผมคงสัมผัสมันได้แค่นี้เท่านั้น สองแขนกระชับแน่น แนบแก้มไปกับแผ่นหลัง ปล่อยให้น้ำตาไหลรินออกมาราวกับไม่มีวันหมดสิ้นไปจากในใจ
“ตี๋?”
เสียงทุ้มเอ่ยแหบแห้งอย่างคนขาดน้ำ ผมหยุดสะอื้นแต่ยังคงซุกหน้าไว้กับแผ่นหลังแสร้งทำเป็นหลับต่อ สักพักมันก็แกะแขนผมออก พลิกตัวมานอนกอดไว้โดยไม่มีทีท่าว่าจะลุก
“กูทำยังไงกับมึงดี กูควรจะทิ้งมึงไปซะ รู้ไหม กูควรจะไล่มึงไปให้พ้น ๆ สายตากูตั้งแต่ที่เราเจอกันครั้งแรกแล้วด้วยซ้ำ”
นั่นสิ...
ถ้ามันบอกว่าเกลียดผมตอนนั้น คงไม่เจ็บเท่าตอนนี้ก็ได้
“มึงดูป่วย”
นายวิชิต สถาปนิกหนุ่มที่นั่งดูรูปชุดเด็กสีชมพูหวานแหววในอินเตอร์เน็ตพูดทั้ง ๆ ที่ไม่มองหน้า กดเลื่อนไปเลื่อนมาทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้ว่าลูกในครรภ์ภรรยาคนที่สองนี้จะเป็นหญิงหรือชาย ผมเหลือบตาขึ้น ยกกาแฟขึ้นจิบแล้วนั่งทำงานต่อโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะรอคำตอบในลักษณะไหนอยู่
“ได้ยินเรื่องมิกกี้ลาออกหรือยัง มันมาหาเรื่องอะไรมึงหรือเปล่า”
“เหรอครับ ผมไม่ทราบเลย”
“วันนั้นแหละ ไอ้เชนทร์ก็ลางานไปหลายวัน คงเคลียร์กันได้แล้วมั้งถึงกลับมาทำงานใหม่ เมื่อวานฝ่ายบัญชีคุยกันว่ามิกยื่นใบลาออก คงยอมแพ้จริง ๆ”
“ไหงงั้น” เห็นยืดเยื้อกันมาตั้งแต่ก่อนผมจะเริ่มงานด้วยซ้ำ บทจะจบก็จบกันง่าย ๆ อย่างนี้เลยเหรอ “ก็ไอ้เชนทร์ไม่เอา หมายถึงไม่เอาจริง ๆ ไม่ใช่ไม่เอาแต่ยังหยอดให้ความหวังเขาไปเรื่อยเหมือนก่อนหน้านี้ ไอ้เวรนั่นก็หนัก มะรุมมะตุ้มอะไรไม่รู้ ไม่ได้โน้ตไปดึงมันกลับมาป่านนี้ไม่เป็นผู้เป็นคนหรอก”
“พี่โน้ตดูรักพี่เชนทร์นะครับ”
“ก็รักแหละมั้ง ไม่รู้ว่ะ” พี่ชิตพูดพลางโคลงหัว ผมเอนตัวพิงเบาะพอดีเลยเห็น “ไอ้โน้ตมันไม่ค่อยแสดงออก เมื่อก่อนเหมือนไอ้เชนทร์จะตามแต่โน้ตฝ่ายเดียว พอถึงจุดหนึ่งก็เลิก ไม่เอาไอ้โน้ตแล้ว ไม่รู้ทำไม แต่ถึงจะปากดีแค่ไหนแม่งก็กลับไปคบกันอีกอยู่ได้ กูงงจนเลิกงงไปแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นก็น่าสงสารพี่เชนทร์นะครับ”
“มึงก็ไปดามใจมันสิ” พี่ชิตพูดพลางแสยะยิ้มน่าเกลียด เอี้ยวตัวกลับมามองผม “ได้มึงนะ เชื่อดิมันทิ้งโน้ตขาดแน่ ๆ”
“พอเลยพี่ ทำงานไปเลย อู้เวลางานเดี๋ยวฟ้องนาย”
“ทำอย่างกับนายอยู่ให้ฟ้อง เอาเวลาไปเต๊าะเด็กมหา’ลัยหมดแล้วมั้ง”
คำพูดทีเล่นทีจริงนั่นเหมือนตลกร้าย ลมหายใจผมสะดุดไปชั่วขณะหนึ่งจนคู่สนทนาสังเกตได้
“เฮ้ย กูแซวเล่น ทะเลาะกันเหรอวะ”
“เปล่าพี่” ผมตอบยิ้ม ๆ แต่คงเป็นยิ้มที่หม่นเต็มทีอีกฝ่ายจึงลุกขึ้นมาตบไหล่ พี่ชิตไม่ได้พูดอะไร เราจมอยู่ในความเงียบนั้นสักพัก “เย็นนี้ไปกินเหล้ากันไหมพี่”
“ท่านไม่ด่าพ่อกูเอาเหรอ” รุ่นพี่คนสนิทถามพลางบุ้ยปากไปในห้องกระจกที่ว่างเปล่า ผมกดมุมปากนิด ๆ ด้วยความสมเพช พักหลัง ๆ ไอ้เฟยกลับดึกตลอด อาจจะเลิกสนใจไปแล้วว่าผมใช้ชีวิตยังไง
ค่อย ๆ ห่างกันออกไปเรื่อย ๆ แม้ไม่ได้ทะเลาะกันรุนแรงแต่ก็ปราศจากบทสนทนาของคนรักกัน ขอเวลาอีกนิด อีกนิดเดียว ขอแค่ให้ผมทำใจว่าหมดเวลาแล้วจริง ๆ
“ไปเถอะพี่ ผมเครียด ไม่ได้กินเที่ยวนานแล้วด้วย”
“เดี๋ยวกูโทรบอกเมียก่อน” พี่ชิตว่า แล้วหมุนตัวกลับไปที่พาทิชั่นของตัวเอง
ร้านเหล้าที่คุณวิชิตพามาอยู่ห่างจากเจ้าประจำพอสมควร เป็นร้านเปิดใหม่ใจกลางเมือง อย่างน้อย ๆ ถ้าดื่มจนเมาก็แยกย้ายกันนั่งบีทีเอสกลับ วันนี้เป็นวันศุกร์ คนค่อนข้างเยอะแม้จะเป็นช่วงหัวค่ำก็ตาม ส่วนใหญ่แล้วลูกค้าจะเป็นพนักงานบริษัท มีกลุ่มที่ดูปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นชนชั้นที่เหนือกว่ามนุษย์เงินเดือนบ้างประปราย แต่ไม่ใช่ที่ที่นักศึกษานิยมจะมาสังสรรค์กันเท่าไร
เสียงดนตรีสดเล่นคลอไปเรื่อย ๆ ผมไม่ได้รีบดื่ม แต่สั่งไม่หยุด ไม่ได้เล่าเรื่องอะไรให้พี่ชิตฟังเพราะไม่หวังจะได้คำปลอบประโลม แค่อยากมีใครสักคนอยู่ใกล้ ๆ ตอนนี้เพื่อให้รู้สึกว่าตัวเองไม่โดดเดี่ยวเกินไปเท่านั้น
เพิ่งรู้ตัวว่าขาดไอ้เฟยไปคนเดียว ชีวิตผมถึงกับเคว้งคว้างได้ขนาดนี้ ภาพของตัวเองเมื่อครั้งที่ตีจากมันมาเด่นชัดในความทรงจำ รู้สึกราวกับว่า เร็ว ๆ นี้ ทุกอย่างจะวนกลับไปในแบบเดิม ๆ อีก
คนที่รู้ตัวว่ากำลังจะโดนทิ้ง...คงเป็นแบบนี้เองสินะ
“วิน เบา ๆ หน่อย มึงดื่มเยอะไปแล้ว”
ผมหลับตาลง เงยหน้ากรอกเบียร์ลงคอ พอวางลงก็เทจากทาวเวอร์เบียร์จนเต็มแก้ว หน้าร้อนผ่าวเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์แล่นริ้วไปทั่วร่าง นั่งฟังเพลงคล้ายจะอารมณ์สุนทรีย์ แต่สิ่งที่หนักอึ้งในใจกลับยากที่จะพัดปลิวไปตามท่วงทำนองที่เบาสบาย
“มึงเป็นไรวะ ทะเลาะอะไรกับเขา ไหนเล่าดิ๊”
ผมส่ายหน้า แต่ไม่ยอมพูด ไม่รู้จะพูดอะไร ไม่รู้แม้กระทั่งจะพูดให้ได้อะไรขึ้นมา “มึงเก็บปัญหาทุกอย่างไว้คนเดียวแล้วใครจะช่วยมึงแก้ได้ วิน กูเป็นพี่ชายมึงนะ”
“ไม่มีอะไร” ผมโกหก และมันยังคงไม่เนียนเหมือนทุกครั้งที่พูดปดออกไป พี่ชิตเลื่อนชามเฟรนช์ฟรายมาให้ “กินไอ้พวกนี้ไปด้วย ถ้าอ้วกจะได้มีอะไรออกมาบ้าง”
เขาเงียบไปอึดใจหนึ่ง เมื่อผมหยิบเบียร์ขึ้นดื่มต่อพี่ชิตก็ยิงคำถาม “มันมีคนอื่นเหรอวะ”
แก้วเบียร์ในมือผมชะงัก เหลือบตามองอีกฝ่ายแล้วกรอกเบียร์จนสาแก่ใจแล้วค่อยวาง “ไม่รู้ครับ”
นั่นคือความจริง ผมไม่รู้อะไรสักอย่าง มันอาจจะมีคนใหม่ หรือไม่มี มันอาจจะแค่เบื่อผม หรือโกรธที่ปิดบังอะไร ผมไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ตรงไหนในใจมัน และก็ไม่กล้าเผชิญหน้ากับความจริงที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความสัมพันธ์อันเย็นชาแบบนี้
“เลือกไอ้เชนทร์ไม่ดีกว่าเหรอวะ มันไม่เคยทำให้มึงเสียใจเลยนะวิน”
นั่นก็ใช่...ติดตรงที่ผมไม่ได้รัก เท่านั้นก็จบ ถอนหายใจยกเบียร์ขึ้นดื่ม สักพักก็ลุกขึ้นไปสูบบุหรี่สองมวนติด ๆ กันก่อนเดินกลับมาอีกครั้งเพื่อพบว่ามีเพื่อนร่วมโต๊ะอีกคนนั่งอยู่ เป็นบุคคลที่พี่ชิตพูดถึงเมื่อครู่นี้
“ไง เห็นว่าเครียด”
ผมผงกหัวทักแล้วนั่งฝั่งตรงข้าม พี่เชนทร์เลื่อนแก้วเบียร์ที่เติมน้ำแข็งใหม่มาให้ ผมรับไว้แต่ไม่ได้พูดด้วย มองพี่ชิตเพื่อบอกว่าความหวังดีที่โทรตามพี่เชนทร์มาเป็นความคิดที่ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย
“พี่ยังเป็นห่วงวินอยู่นะ”
“ขอบคุณครับ แต่พี่เชนทร์อย่ายุ่งกับผมจะดีกว่า ผมเกรงว่าถ้าเขารู้ขึ้นมาจะเป็นเรื่องอีกได้”
“ถึงตอนที่ทะเลาะกันก็ยังคิดถึงมันอยู่...พี่ล่ะเชื่อจริง ๆ”
ผมเลี่ยงที่จะสบตาอีกฝ่ายด้วยการก้มลงมองฟองสีขาวบนขอบแก้วค่อย ๆ แตกไป “ก็นึกถึงทุกฝ่ายนั่นแหละครับ มันไม่ค่อยดีเท่าไร”
“พี่ไม่เป็นไรหรอก แค่อยากให้วินสบายใจ”
แววตานั้นเจือความเป็นห่วงอย่างจริงใจออกมา พี่เชนทร์ไม่ใช่คนเลวร้ายนัก ผมหมายถึงในเวลาที่ยังคุยกันรู้เรื่อง
“พี่ทำผิดกับวินไว้ ถ้าช่วยอะไรได้ก็อยากจะช่วย อันที่จริงพี่ก็ไม่ได้อยากจะยอมรับหรอกว่าแพ้แล้ว...แต่วินรักมันขนาดนี้ดันทุรังไปก็จะทำให้วินมีปัญหาเสียเปล่า ๆ”
“นึกอะไรขึ้นมาครับ”
“ไอ้โน้ตบอกน่ะ” เขายิ้มเศร้า “ยิ่งพยายามมากไป อีกฝ่ายจะยิ่งเกลียด พี่เข้าใจ”
“ผมไม่ได้เกลียดพี่เชนทร์นะครับ เพียงแต่ว่า...”
“ไม่ต้องปลอบพี่หรอก วินจะเกลียดพี่ก็ไม่โกรธ ไม่มีสิทธิ์อยู่แล้ว แต่อยากให้รู้ไว้ว่าถึงพี่จะเป็นคนเลวในสายตาวินแค่ไหน พี่ก็ยังอยากอยู่ใกล้เราอยู่ดี” พี่เชนทร์ไม่พูดเปล่าแต่กลับเอามือขึ้นมาวางบนศีรษะ โยกเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู แววตานั้นเศร้าแต่ก็ยิ้มไปพร้อม ๆ กัน “วินเป็นคนที่น่าเป็นห่วงมากนะ รู้ตัวไหม”
“ผม?”
“ก็มีอะไรแล้วเอาแต่เก็บเงีย...”
“ลูกค้าใหม่หรือไง”เสียงที่แทรกขึ้นมาระหว่างบทสนทนาไม่ใช่เสียงของพี่ชิต แน่นอนว่าไม่ใช่เสียงของผมเช่นกัน หลังประโยคที่ฟังดูคล้ายจะหาเรื่องนั้นดังขึ้นท่ามกลางเสียงดนตรีที่รายล้อม นายช่างคเชนทร์ก็ละมือออกหันไปมองต้นกำเนิดพร้อมๆ กับผมแทบจะในทันที
เจ้าของผิวขาวเนียนละเอียด ตาตี่อย่างลูกหลานคนจีนโดยกำเนิดหากแต่ร่างสูงใหญ่คล้ายจะมีเชื้อยุโรปมองด้วยสายตากดต่ำ กลีบปากบางเหยียดยิ้มอย่างที่เหมาะกับคำว่าแสยะมากกว่า เฮียอี้สวมชุดสูทเต็มตัว เสื้อเชิ้ตด้านในเรียบกริบ ผมรองทรงตัดสั้น เชิดหน้าขึ้นอย่างคนนิสัยหยิ่งผยอง
“ครั้งนี้อาจฟันได้ไม่มากเท่าไรนะ หน้าไม่คุ้นเลย คงไม่ใช่คนในสังคมชั้นสูงเหมือนเฟย แต่นับวันยิ่งต่ำลงเรื่อย ๆ นะ ขนาดมีหลานชายคนโปรดเจ้าสัวอธิปอยู่แล้วทั้งคนยังมาคุ้ยขยะเอาของเหลือทิ้งไปกินอีก”
“มึง!” พี่เชนทร์ลุกขึ้นคว้าคอเสื้อเฮียอี้แทบจะในทันที บอดีการ์ดสองสามคนแถบนั้นกรูเข้ามากันท่า วิศวกรหนุ่มจึงต้องปล่อยมือออกด้วยความจำยอม เฮียอี้กดมุมปากอย่างเป็นต่อ ใช้หลังมือปัดเสื้อที่ยับให้เข้าที่ราวกับติดเศษสกปรกอยู่บนผ้าเนื้อดี
“จะทำอะไรก็ระวังหน่อย ฉันเป็นเพื่อนกับเจ้าของร้านนี้ เผื่อนายอยากรู้”
“เลิกพูดจาหมา ๆ ได้แล้วมึงน่ะ”
“รับไม่ได้ที่ฉันดูถูกนาย หรือรับไม่ได้ที่คู่ขาตัวเองมั่วกันล่ะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ” ผมพยายามข่มเสียงพูด ทั้งที่ในใจบีบรัดไปหมด สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนปฏิเสธย้ำ “ผมกับพี่เชนทร์เป็นเพื่อนกัน ยังไงเฮียก็ควรให้เกียรติคนอื่นบ้าง”
“ฉันจะให้เกียรติกับคนที่มีเกียรติเท่านั้น พวกขายของตัวเองกินอย่างนายฉันไม่ให้ราคาหรอก”
“ไอ้เหี้ยนี่ปากวอนแล้ว”
เป็นอีกครั้งที่พี่เชนทร์พุ่งตัวเข้าหาเฮียอี้ ฝ่ายตรงข้ามเพียงแค่เบี่ยงตัวหลบเท่านั้นการ์ดก็รุมล็อกแขนกำยำของนายช่างไว้แน่น ขายาวกระโดดเตะจนพี่ชิตต้องรีบลุกขึ้นมาปรามอีกแรง ในขณะที่ผมได้แต่จ้องหน้าคู่กรณีนิ่ง เฮียอี้ไม่ละสายตา ในแววตาคู่นั้นมีความเจ็บปวดและชิงชังแฝงอยู่ ก่อนหน้านี้เขาก็ไม่ได้เกลียดผมขนาดนี้ ไม่รู้ทำไมตอนนี้ถึงขยะแขยงราวกับเป็นเศษสวะที่ไม่อยากเข้าใกล้
“เข้าใจเลี้ยงหมาเฝ้าบ้านนี่”
“พอเถอะครับ”
“หัดเลี้ยงหมาที่ฉลาดกว่านี้ก็ดีนะ อย่าเอาแต่เห่าแล้วก็ไล่กัดชาวบ้าน เดี๋ยวจะโดนยาเบื่อตาย”
“ผมบอกให้พอไง!”สิ้นเสียงตวาดพี่ชิตก็ละจากนายช่างมาจับแขนผมไว้แทน ทั้งร่างพุ่งเข้าหาเฮียอี้ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ โทสะ และความกดดันที่ถูกบ่มเพาะอยู่ข้างในปะทุจนวงสนทนาเล็ก ๆ เริ่มเกิดความโกลาหล การ์ดบางคนปล่อยพี่เชนทร์มาล็อกตัวผมไว้ และนั่นทำให้วิศวกรหนุ่มพุ่งเข้าต่อยเจ้าของหน้ารีจนได้ยินเสียงกระดูกลั่น เฮียอี้ยืดตัวกลับมา ถ่มน้ำลายแล้วเงื้อมือจะสวนคืนบ้างแต่ผมพี่ชิตหันไปดึงรุ่นน้องหลบก่อน ทั้งร้านเริ่มหันมาให้ความสนใจ เสียงล้งเล้งดังขึ้นและดังขึ้นจนดนตรีเงียบลง ขวดเบียร์ถูกฟาดกับโต๊ะให้เป็นปากฉลาม พี่เชนทร์โมโหมากและพี่ชิตก็รีบบิดข้อมือห้ามไว้แทบไม่ทัน
“ตี๋!”เหนือการวิวาทที่กำลังขยายความรุนแรงขึ้น เสียงคุ้นหูแทรกเข้ามา ราวกับเป็นนาฬิกาหยุดเวลาที่ทำให้ทุกคนชะงัก มิ่งฟ้าสวมเสื้อยืดคอกลมกับกางเกงขาสั้นรองเท้าแตะ สอดมือทั้งสองข้างไปในกระเป๋ากางเกงผ้าลื่น ตารีแต่คมจับจ้องมา ไม่ฉายแววขี้เล่นหรือแม้กระทั่งเป็นมิตรเลยสักนิด
“ดึกแล้วทำไมไม่กลับคอนโด”
“มันใช่เวลาจะถามไหมวะ” พี่เชนทร์ตะโกนสวน เหมือนเขาจะโกรธที่ไอ้เฟยไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยผมในทันที ชายหนุ่มผิวขาวที่พี่วิชิตเคยเห็นมาดเข้มตลอดเวลาบิดปากแล้วพูดกลับแบบไม่มีเสียงว่า
“เสือก”“ไอ้เหี้ยนี่! มึงคิดจะดูแลวินจริง ๆ ไหมวะ ถ้าไม่เอาก็ปล่อยเขา ไม่ใช่ปล่อยให้โดนใคร ๆ รังแกแบบนี้”
“คนของกู กูดูแลได้ ตี๋ มานี่”
ผมยืนนิ่ง ไม่กล้าขยับขาเข้าไปหามัน สาเหตุคือเสียงหัวเราะในลำคอของญาติคนพูดเท่านั้น “เลิกยุ่งกับไอ้เฟยซะ”
“ไอ้ตี๋ กูเรียกมึง หูหนวกหรือไง มานี่!”
เสียงนั้นเข้มขึ้นเรื่อย ๆ จนผมกลัวว่ามันจะโกรธจริง ขยับขาเดินหามิ่งฟ้าอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ได้ครึ่งทางเฮียอี้ก็ตะโกนแทรกความเงียบที่ก่อตัวชั่วขณะ
“ถ้ามึงไม่ทำตามข้อตกลงกู...ความลับมึงถูกเปิดเผยแน่”
ไอ้เฟยเหลือบตามองญาติผู้พี่มันแล้วหันหลับมาที่ผม มันใช้ลิ้นดุนกระพุ้งแก้มด้วยท่าทียียวน หัวเราะผ่านโพรงจมูก เลิกคิ้วทั้งสองข้างขึ้นพูดด้วยเสียงที่สูงกว่าปกติ “ความลับ? มึงมีความลับกับกูเหรอตี๋”
“บอกไปสิว่ามีหรือเปล่า” เฮียอี้กำชับตามมาอย่างคนมีชัย ผมกรอกตาใช้ความคิด หัวใจหดตัวเข้าหากันจนปวดหน่วงไปทั้งอกด้านซ้าย ขาแข็งก้าวไม่ออก ชนักที่มันติดหลังทิ่มแทงผมด้วยความขลาดกลัว ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ผมทำใจยอมรับไม่ได้ว่าถ้าไอ้เฟยรู้เรื่องนี้แล้ว ผมจะต้องเสียมันไปตลอดกาล
ผม...จะใช้ชีวิตต่อจากนี้ยังไง...
“เอางี้” มิ่งฟ้าพูดอย่างตัดรำคาญ ดึงมือทั้งสองข้างออกจากกางเกงกางออกด้วยท่าทีสบาย ๆ มันสบตาเฮีย แล้วเลื่อนมามองหน้าผม
“ถ้ามึงมาหากูตอนนี้...ไม่ว่าความลับของมึงคืออะไร ไม่ว่ามึงจะทำผิดอะไรเอาไว้ กูให้อภัยมึงทั้งหมด ตี๋”
“จะ...จริงนะ”
“จริงดิ ก็กูรักมึงนี่”
สิ้นประโยคนั้นขาผมก็เหมือนถูกปลดโซตรวนที่พันธนาการไว้ ก้าวเร็วจนเกือบเรียกได้ว่าวิ่งเข้าหาอ้อมกอดที่กางรอเอาไว้ทั้งตัว โผเข้ากอดและรัดมันแน่นกระทั่งอีกฝ่ายค่อย ๆ เลื่อนมือมาตระคองกอดผมกลับ
ไอ้เฟยหอมแก้มผมเบา ๆ กระซิบเสียงแผ่วซึ่งเต็มไปด้วยความสั่นไหว ผมเพิ่งรู้ว่าท่าทีกวนโมโหของมันเมื่อครู่ ที่แท้แล้วไอ้เฟยก็ไม่ได้เก่งอย่างที่แสดงออกมาเลย
“อย่าหายไปโดยที่ไม่บอกกูอย่างนี้อีกตี๋ รับปากกู รับปาก!”
“มึงก็ตามหากูจนเจอนี่”
“เพราะกูตั้งค่าโทรศัพท์มึงไว้หรอก ไม่อย่างนั้นป่านนี้กูเป็นบ้าเพราะกลับไปไม่เจอมึงแล้วแน่ ๆ”
ผมพยักหน้า ซบลงกับบ่ากว้าง วันนี้มันไม่มีกลิ่นเหล้า มีเพียงกลิ่นสบู่เด็กที่ใช้ด้วยกันอ่อน ๆ ติดผิวหนังเท่านั้น “เฟย กูขอโทษ...”
“ช่างมัน”
“กูจะสารภาพ จะให้มึงฟังจากปากกูเอง กูขอโทษ”
คนรักของผมสูดลมหายใจลึก เลื่อนมาจูบที่ขมับราวกับปลอบประโลมให้ผมหายขวัญเสีย “ไม่เป็นไร ไว้ไปเล่าที่บ้าน”
มิ่งฟ้ากอดผมแน่นอีกครั้งก่อนคลายมือออก มันโอบบ่าผมอย่างผู้ชนะแล้วหันไปทำท่ายียวนใส่พี่เชนทร์และเฮียอี้เหมือนในทีแรก ไม่เหลือเค้าความเจ็บปวดหรือกระทั่งความไม่มั่นใจว่าผมจะกลับมาในอ้อมกอดมันอีกครั้งเหมือนเมื่อครู่เลยสักนิด มุมปากยกขึ้นในองศาที่ไม่น่ามอง ลักยิ้มเล็ก ๆ ที่เคยมองว่ามีเสน่ห์กำลังผุดขึ้นเยาะทั้งสองคนอย่างหยาบคายที่สุด
“รู้แล้วนะว่าตี๋มันของใคร เลิกยุ่งกับเมียกูได้แล้ว พวกมึงทั้งหมดเลย ไป...กลับบ้าน”
แขนใหญ่ออกแรงดันให้ผมเดินออกจากร้าน มอเตอร์ไซค์คันเก่งที่ไม่ถูกหยิบออกมาใช้บ่อยนักจอดขวางหน้าร้าน มันสวมหมวกกันน็อกให้ แววตาที่มองมามีหลายอย่างที่ผมอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้เมื่อสบตา
มิ่งฟ้าจับหัวผมโยกเบา ๆ โน้มตัวลงมาใช้หมวกของตัวเองชนให้เกิดเสียงกระทับกัน เรายืนแน่นิ่งในสภาวะที่เงียบงันสักพักก่อนมันจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“เมาแล้ว กอดเอวกูดี ๆ นะ เดี๋ยวตก”
ถึงผมจะทำเรื่องให้มันโมโหเท่าไร แต่เฟยก็ยังคงเป็นแบบนี้
มันยังเป็นห่วงผมเสมอ
TBC
ไม่มีไรมากกกกกกกก ตอนหน้าจะให้นางพูดแล้วค่ะ อดทนเวลาที่ฝนพรำนะ เราจะผ่านมันไปด้วยกันนะทุกคน รอเฮียอี้เฉลยเรื่องทั้งหมดก่อนค่อยเกลียดตี่ตี๋กันนะ
ช่วงนี้อากาศดีมากเลยค่ะ ไม่อยากจะลุกจากที่นอน ไว้เจอกันใหม่สัปดาห์หน้านะคะ
เลิฟ ๆ