คำเตือน....นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาจากมโนครับผม
ฮันนีมูนแรก....2
“เฮียๆ...เขาเถียงไรกันอ่ะ ดูจริงจังเกิ๊น”
ผมกระซิบข้างหูเฮียเบาๆ กลัวเสียงกระซิบจะไปทำให้เรื่องที่กำลังเกิดขึ้น
มันเปลี่ยนประเด็นและเป้าหมายมาที่ผม
ผมกับเฮียนั่งอยู่ตรงทางขึ้นประตูหลัง(ส่อ)
รถมันจะมีประตูหน้า และประตูตรงกลางรถ แต่เขาจะเรียกกันว่าประตูหลัง
นับแถวที่นั่ง เราก็อยู่ประมาณแถวที่สี่ที่ห้าจากหลังคนขับ
เหตุการณ์ถกเถียงอยู่หน้าผมไปแค่สองแถว
พี่ชายคนที่เป็นเจ้าของที่นั่งตามการจองแกมากับแฟนนั่งอยู่
ครอบครัวพ่อแม่ และลูกอีกสองคนก็ขึ้นมาบนรถ
ครอบครัวใหญ่สี่คนเขาต้องการนั่งแถวแนวเดียวกันสองฝั่งซ้ายขวา
ก็เลยต้องการจะเปลี่ยนที่นั่งกับสองสามีภรรยาที่ว่า
ทั้งๆที่ที่นั่งของครอบครัวใหญ่ก็เหลื่อมกันแค่แถวเดียว
คือหลังที่นั่งคู่สามีภรรยา
เดือดร้อนไกด์สาวต้องเข้ามาเคลียร์ท่ามกลางสายตาของคนทั้งรถ
ในที่สุดก็ต้องนั่งกันตามสิทธิ์ที่จองมานั่นแหละครับ
ทัวร์ครั้งนี้ประมาณ7-8วัน ไปรถกลับเครื่อง
เที่ยวไล่ลงไปทางใต้ หาดใหญ่ สงขลา ออกไปทางด่านสะเดา ไปมาเลเซีย ขึ้นเกนติ้ง
นั่งยาวไปสิงคโปร์ แล้วกลับไทยด้วยเครื่อง
รายละเอียดการเที่ยวก็ละๆไปบ้างตามความทรงจำที่เลือนๆไปเยอะ
และจะได้ไม่กลายพันธ์กลายเป็นกระทู้นำเที่ยวไปซะก่อน
ก่อนจะแวะพักโรงแรมที่หาดใหญ่เป็นคืนแรก หลังจากนั่งที่กันเรียบร้อย
ไกด์สองคนก็เริ่มแนะนำตัว หญิงคน ชาย..เอ้อ...ไม่ค่อยชายอีกคน
“ดิฉันเป็นหัวหน้าไกด์ในทริปนี้นะคะ ชื่อนกค่ะ
ส่วนน้องชายคนนี้เป็นผู้ช่วยของนก ชื่อต้อม..บลาๆๆๆๆ”
จนมาถึงการแนะนำตัวของสมาชิกในทริป
“เฮีย...เฮียพูดนะ ผมอาย...”
ผมเกาะแขนเฮียเขย่าเบาๆด้วยมือเย็นเฉียบและเสียงสั่นเล็กน้อย
มันเหมือนออกไปรายงานหน้าห้องเลยอ่ะครับ
ถึงแม้จะไม่ต้องเดินออกไปโชว์โฉมที่หน้ารถ
แต่ไมค์ลอยที่ส่งต่อกันมาเรื่อยๆหลังจากแนะนำตัว
มันทำให้ผมใจสั่น
“ครับๆ..หึหึ”
เฮียมี่หัวเราะผม แถมตบหลังมือเป็นการยืนยัน
“ผมชื่อ..มี่ รับราชการ ผมมากับ...น้องชาย...น้องหน่อย
บัณฑิตจบใหม่ ช่วยงานที่บ้านครับ”
เฮียมี่ยืนขึ้นแล้วพูดเร็วๆด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
โดยไม่รอให้ใครถามเฮียก็ส่งไมค์ต่อไปด้านหลัง
“เฮ้อ....”
ผมถอนหายใจโล่งอก
เพราะเวลาคนแนะนำตัวเสร็จก็จะมีคนโพล่งคำถามเจาะลึกเรื่องส่วนตัวออกมา
ไม่รู้เพราะเฮียดูนิ่งหรือเพราะเราสองคนไม่น่าสนใจก็ไม่รู้ทำให้หลุดรอดคำถามล้วงลึก
“เฮีย..ทำไมเฮียไม่บอกว่าเฮียเป็นหมอล่ะ”
ผมกระซิบถาม เพราะเห็นแต่ละคนเขาพรีเซนต์โปรไฟล์กันมากมาย
“สามีของเดี๊ยนเป็นพันโทค้า คาดว่าปีหน้าก็คงได้ติดยศพันเอก
ส่วนน้องอุ๋มลูกสาวเดี๊ยนอยู่ม.6 โรงเรียนสตรีที่ตอนนี้โด่งดังว่าค่าเทอมแพงมากกกก”
ป้า...คนนั้นหล่ะครับ สามีแกดูเงียบๆไม่พูดอะไร ป้าแกคุยฟุ้งไม่หยุด
“เราสองคนเพิ่งเรียนจบและเพิ่งแต่งงานกันครับ”
ผมหูผึ่ง ลุกพรวดหันกลับไปมองคนพูด
“หน้าตาดีอ่ะ...”
ผมพึมพำกับตัวเอง
“ว๊าว...มาฮันนีมูนเหรอคะ น่ารักจังเลย”
“อายุเท่าไหร่กันแล้วคะ แต่งงานเร็วจัง แล้วจะมีลูกกันเลยรึเปล่าเนี่ย”
“ทำงานกันรึยังคะ หน้าเด๊กเด็ก”
“เป็นเพื่อนกันมาก่อนเหรอคะ...อร๊าย....ฟินอ่ะ”
สารพัดคำถามถั่งโถมมาจนไม่รู้ว่าเสียงใครเป็นเสียงใคร
แต่ทั้งหมดไม่มีเสียงผู้ชายเลยนะครับ
ผมค่อยๆทรุดตัวลงนั่งเมื่อ....
“ต๊าย...อายุเท่าไหร่กันแล้วจ๊ะ แต่งงานเร็วมากเลยนะเนี่ย”
คุณนายของท่านพันโท ลุกขึ้นมายืนหันหน้ามาทางหลังรถ ทำท่าตบอก
“ผมรู้คำตอบแล้ว.....”
ผมกระซิบบอกเฮีย
โชคดีที่เราสองคนไม่ตกอยู่ในสภาวะจำเลยของทัวร์ครั้งนี้
สมาชิก...
ผมขอเล่ารายละเอียดเฉพาะคนที่จะเกี่ยวข้องก็แล้วกันนะครับ
ครอบครัวป้า นอกจากท่านพันโท ก็มีลูกสาวลูกชาย
คู่แต่งงาน เป็นอิสลาม น้องหนุ่มกะน้องใหม่ อายุน้อยกว่าผม2-3ปี
คู่รักต่างวัย ผู้ชายห้าสิบได้ ผู้หญิงสักยี่สิบ เปรี้ยวๆเฉี่ยวๆ
คู่(เกือบ)โดนแย่งที่นั่ง ผู้ชายสักสามสิบ ผู้หญิงไล่เลี่ยกัน
ครอบครัวใหญ่ห้าหกคน เด็กสุดเด็กผู้หญิงวัยอนุบาล
สาวโสดสามคนวัยใกล้สี่สิบ
เดินเล่นตลาดในตัวเมืองหาดใหญ่ตอนหัวค่ำก็ไม่ค่อยมีอะไร เงียบๆ
คืนแรกที่หาดใหญ่ต่างคนต่างนอนพักเอาแรง
ทั้งเหนื่อยจากงานเลี้ยง ทั้งเหนื่อยจากการเตรียมของ ทั้งเหนื่อยจากการเดินทาง
(ได้ข่าวว่า..เฮียแพ็คกระเป๋านะ..ฮะ ฮะ)
“เราจะแวะที่ดิวตี้ฟรีจังโหลนนะคะ ให้เวลาสองชั่วโมง
แล้วกลับมาเจอกันที่รถ ตรงเวลาด้วยนะคะ”
สิ้นเสียงไกด์สาว สาวๆน้อยใหญ่ดูกระตือรือร้นกันมาก ตรงดิ่งเข้าไปในดิวตี้ฟรี
“ชอบเหรอครับ เอามั๊ยเฮียซื้อให้”
เฮียมี่ถามเมื่อเห็นผมลูบๆคลำๆกระเป๋าหนังสะพายไหล่แบบวัยรุ่นเนื้อนิ่มใบย่อม
“ไม่เอาหรอกเฮีย เงินเดือนผมทั้งเดือนเลยนะนั่นน่ะ”
ผมส่ายหน้าวางกระเป๋าในมือลงบนเคาน์เตอร์
ถึงแม้...แม่เฮียจะให้เงินเดือนผมค่อนข้างเยอะ แต่ผมก็ไม่อยากใช้มันกับของฟุ่มเฟือย
“ตอบเฮียมาคำเดียว...ชอบมั๊ย”
เฮียยังไม่ยอมหยุด
“อื่อ...รักเลยอ่ะ..ครับ”
เสียงผมมันฟังดูอ้อนๆไปเองโดยอัตโนมัติ ไม่ได้เสแสร้ง(สาบาน)
“พี่ครับ ผมซื้อใบนี้ครับ”
เฮียมี่บอกพนักงานขายที่ยืนรออย่างรู้คิว
“เฮีย..แต่..แต่มันเป็นหมื่นเลยนะเฮีย”
ผมใจหนึ่งก็ดีใจ อีกใจก็ลังเล...หมื่นต้นๆกับกระเป๋าแค่ใบเดียวเองอ่ะ
“วางไว้บ้างก็ได้มั๊งครับ มันไม่หายไปไหนหรอก”
เฮียล้อผมเมื่อเห็นผมนั่งกอดกระเป๋าใบใหม่ไว้แนบอก ลูบๆคลำๆ
ไม่สนใจใครมาตลอดทางที่รถวิ่ง มุ่งตรงไปมาเลเซีย
“ขอบคุณนะครับ เฮียมี่น่ารักที่สุดเลยอ่ะครับ”
ผมยกมือไหว้เฮียทั้งๆที่กอดกระเป๋า
แล้วเอนหัวไปพิงไหล่เฮีย
“เราจะพักทานมื้อกลางวันกันที่นี่นะคะ ใครต้องการแลกเงินก็แลกได้ที่นี่เลยค่ะ”
รถจอดพักทานมื้อกลางวันที่ชายแดนมาเลเซีย
ผมไม่รู้รสชาติอาหารสักเท่าไหร่หรอกครับ
มัวแต่ปลื้ม....
“น้อง...เอ้อ...น้องใช่...หมอมี่รึเปล่าคะ”
งานเข้า...งานเข้าของแท้แน่นอน
พี่สาวโสดสามคนนั้น เป็นนางพยาบาลในโรงพยาบาลที่เฮียเคยไปฝึกงานครับ
“ครับ..ใช่ครับ”
เฮียตอบยิ้มๆ
ถึงแม้พี่สาวทั้งสามคนไม่ได้บอกใคร แต่สรรพนามที่พี่แกเรียก
“หมอมี่คะ...หมอช่วยดูให้พี่หน่อยสิคะว่า แลกเงินที่นี่มันถูกกว่าที่ไทยจริงมั๊ย”
“หมอมี่ลางานกี่วันคะเนี่ย นานพอกับพวกพี่แน่เลย”
“น้องหน่อยนี่เป็นน้องหมอมี่จริงๆเหรอคะ หน้าตาไม่ค่อยเหมือนเลย”
“ต๊าย...กระเป๋าน้องหน่อยสวยจัง แบรนด์นี้หลายตังค์อยู่นะคะ”
โพละ....เรื่องแตก
“แหม...น่าตีจริงๆนะคะคุณหมอ ไม่ยอมบอกว่าตัวเองเป็นหมอ”
“เนี่ย...พี่มีอาการแน่นหน้าอก....”
“หมอว่าการตรวจมะเร็ง.....”
“หมอทำงานที่โรงพยาบาลไหนคะ ว่างๆพี่จะได้ไปตรวจ....”
กำ......กำไม่ต้องแบ
ไอ้หน่อยมันสงสารและเห็นใจเฮียมี่มาก แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก
เพราะ...
“ว๊าย...เป็นเด็กเป็นเล็กกล้าซื้อกระเป๋าราคาแพง...ไหนๆขอดูหน่อยสิจ๊ะ”
คงไม่ต้องถามว่าใครนะครับ
“เอ้อ...”
ผมกอดกระเป๋าแน่น ไม่อยากให้ดู ไม่อยากให้จับ
ดูเล็บเจ๊แกสิ มันจะมาเกี่ยวหนังกระเป๋าของผมเปล่าเนี่ย
“ทำไมน้องผมจะซื้อไม่ได้ล่ะครับ”
เฮียมี่มาจากทางไหนผมก็ไม่รู้
เพราะเมื่อก็ผมหลุดจากวงสนทนาของพวกคนในทัวร์ที่รุมถามปัญหาสุขภาพกับเฮีย
มายืนกอดกระเป๋าอยู่ข้างรถ
“นั่นสิคะ เงินเดือนคุณหมอกะธุรกิจค้าข้าวที่บ้านหมอมี่
ทำไมจะซื้อกระเป๋าให้น้องไม่ได้ ว่ามั๊ยเธอ”
พี่พยาบาลเหมือนจะช่วย หันไปพยักเพยิดกับเพื่อน
จริงๆพี่แกก็ไม่ได้รู้รายละเอียดฐานะทางการเงินอะไรของเฮียชัดแจ้งหรอกครับ
“พี่ขอโทษนะคะหมอมี่ หมั่นไส้ยัยคุณนายผู้พัน”
พี่แกกระซิบขอโทษ
“คุณหมอมานั่งกับพี่สิคะ”
“น้องคะ...ให้คุณหมอก่อนสิคะ”
“คุณหมอคะ นี่พี่ซื้อมาเผื่อค่ะ”
เจ๊แกตีซี้ทันทีทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นมองทุกคนรวมทั้งพวกเราแบบเหยียดๆ
“ไม่เป็นไรครับ ไม่รบกวนดีกว่าครับ”
เฮียมี่ยืนยันคำตอบเดียว
พี่พยาบาลทั้งสามคนคงจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นต้นเหตุ
ก็เลยคอยเป็นเกราะป้องกันโดยดึงผมกับเฮียมาร่วมกลุ่มเวลาเดินเที่ยว ทานข้าวร่วมโต๊ะ
ทำให้เจ๊แกไม่มีโอกาสตอแยเฮียมากนัก
“พี่หมอคะ...”
ผมกับเฮียหันไปพร้อมกัน
“หนูขื่อ น้องอุ๋มค่ะ คุณแม่ให้หนูมาปรึกษาเรื่องสอบเอนทรานส์กับพี่หมอค่ะ”
น้องอุ๋มหน้าตาน่ารักขาวใส ดูท่าทางเรียบร้อย
น้องก้มหน้าแดงๆลงเมื่อเฮียมองหน้า
“พี่ครับ พี่อย่าเอ็ดเจ๊อุ๋มเลยนะครับ แม่บังคับเจ๊ให้มาพูดน่ะครับ
เจ๊แกไม่ได้อยากมากวนพี่หมอหรอกครับ”
เด็กผู้ชายวัยเอ๊าะ กระดูกกรุบกรอบรีบพูดขึ้นมา
“แล้วเรา...”
“ผมชื่ออั้มครับ เป็นน้องเจ๊อุ๋ม ม.4 สาธิต...”
น้องอั้มพูดจาฉะฉานดูเป็นเด็กฉลาด เอาตัวรอด ในขณะที่น้องอุ๋มดูหัวอ่อน
น้องอุ๋มน้องอั้มก็เลยติดสอยห้อยตามผมกับเฮียเป็นทีมกันเลย
รวม หมอ แฟนหมอ(คริคริ) พยาบาล เด็กมัธยมพี่น้อง
ทั้งหมด 7คน
สนุกครับ มีเรื่องคุยเรื่องเฮฮากันตลอด
ตอนนี้พวกเราขยับย้ายมานั่งด้านหลังรถเป็นกลุ่มก้อน
“พี่ครับ...เราขอรวมกลุ่มด้วยได้มั๊ยครับ”
คู่แต่งงานกระมิดกระเมี้ยนเข้ามาหาพวกเราในช่วงที่แวะทานมื้อเย็น
ไอ้หน่อยหน้ามันยิ้มรับ(แขก)
แต่เฮียหน้าไม่ยิ้มเลยอ่ะครับ
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์และการติดตามครับผม
อย่าเพิ่งเบื่อเรื่องเวิ่นเว้นของไอ้หน่อยมันเลยนะครับ
คนมันมีประเด็นเยอะ(มั๊ง)ครับ...ฮะฮะ
บวกเป็ดแทนคำขอบคุณครับผม