คำเตือน....นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาจากมโนครับผม
มโนที่สาม....บุฟเฟ่ต์ มาเนีย....สอง(จบตอน)
ผมกับเฮียมี่นั่งรอพนักงานจัดโต๊ะ...อยู่หน้าร้านบุฟเฟ่ต์อาหารญี่ปุ่น
ในตอนนั้นเอง...มีครอบครัวหนึ่งเดินตรงมาที่หน้าร้าน ครอบครัวนี้มีสมาชิกทั้งหมดสามคนถ้วน
พ่อ...อายุน่าจะหกสิบห้าอัพ แต่งตัวเรียบร้อยภูมิฐาน ถ้าให้เดาก็น่าจะเป็นข้าราชการบำนาญ
แม่...อายุไล่เลี่ยอ่อนกว่าพ่อเล็กน้อย แต่งตัวสมวัย น่าจะเป็นแม่บ้าน
ลูกชาย...วัยอ่อนกว่าผมนิดเดียว แต่งตัวเสื้อเชิ้ตกางเกงสเเล็ค ดูเหมือนพนักงานออฟฟิต
ดูโดยภาพรวมก็ฐานะปานกลางไปถึงมีอันจะกิน และเป็นคนกรุงเทพ...ไม่ใช่บ้านนอกเข้ากรุงเหมือนผม
พอมาถึงหน้าร้านปุ๊บ
แม่ก็เดินนำหน้ามาเลยเป็นการบอกให้รู้ว่าครอบครัวนี้บ้านนี้...ใครใหญ่
“สวัสดีค่ะ กี่ท่านคะ”
น้องพนักงานยิ้มแย้มดี(ทุกครั้ง) ทักทายอ่อนน้อม แม้แต่วันมามาก ฮะ ฮะ...แป๊ก
“ไม่ได้เอาบัตรสมาชิกมา ลดราคาได้มั๊ยหนู”
แม่ดูคาดหวังมาก พ่อกับลูกยืนระวังหลังอยู่ไม่ไกลนัก
“ขอโทษด้วยนะคะลูกค้า ไม่ได้เอาบัตรมาใช้สิทธิลดราคาไม่ได้ค่ะ”
น้องพนักงานพูดยิ้มๆ
“ใช้บัตรประชาชนได้มั๊ยหนู”
แม่ทำท่าจะเปิดกระเป๋าถือ
“ไม่ได้จริงๆค่ะ”
น้องพนักงานรีบตอบ
ผมกับเฮียหันมามองหน้ากัน
“เฮียๆ...เลขบัตรประชาชนน่าจะใช้ได้นะ”
ผมกระซิบ
“ไม่หรอกมั๊ง ร้านเขาคงไม่ได้เซ็ทระบบถึงขนาดนั้น”
“เห็นมั๊ยพ่อ...ลืมได้ยังไง...ไม่น่าเลย”
แม่หันไปวีนพ่อไม่เบานัก หน้าแม่งอน้อยๆ
“พ่อผิดเองล่ะแม่ น่านะ...ครั้งเดียวเอง”
พ่อแตะแขนแม่อย่างนุ่มนวล แม่มีสะบัดออกเล็กน้อย
“แม่ครับ...ผมผิดเองที่ไม่เตือนพ่อ...ขอโทษครับ”
ลูกชายที่ไม่หล่อเท่าไร ดูหล่อขึ้นมาทันตาเห็น
ถ้าเป็นลูกทั่วๆไป ส่วนใหญ่...บางคนอาจจะ...
1.เอ็ดแม่ เพราะอายที่แม่จู้จี้
2.ทำไม่รู้ไม่ชี้ ทำเหมือนไม่รู้จัก ไม่ได้มาด้วยกัน
3.หน้าหงิกหน้างอ ด้วยความอาย
แม่เม้มปากอย่างไม่พอใจ แล้วหันกลับไปหาน้องพนักงานที่ยืนยิ้มเจื่อนๆ คงกลัวโดนวีน
“แล้วที่ร้านตรวจเช็คประวัติลูกค้าไม่ได้รึไงหนู แบบในคอมอะไรแบบนี้ไง”
แม่ยังไม่ละความพยายาม
“ทางร้านตรวจเช็คไม่ได้จริงๆค่ะคุณลูกค้า ขอโทษด้วยนะคะ”
แล้วน้องพนักงานก็จบการสนทนาด้วยการพาครอบครัวนั้นไปที่โต๊ะ
อ้าวเฮ๊ย...แล้วผมกะเฮียอ่ะ
“เชิญลูกค้าที่โต๊ะค่ะ สี่ท่านนะคะ”
น้องพนักงานคนใหม่เดินมาเรียก
โต๊ะที่ผมนั่งอยู่ก่อนโต๊ะครอบครัวเมื่อกี้ ได้นั่งโซนที่มีโซฟาเป็นล็อคมีกระจกกั้น ใกล้ๆมุมเครื่องดื่ม
“พ่อนะพ่อ...ลืมทุกทีสิ”
เสียงแม่บ่นยังลอยมาให้ได้ยิน
ผมกับเฮียนั่งที่โซฟาฝั่งเดียวกันที่โต๊ะอาหาร ผมไลน์ไปบอกไอ้นิวว่ามาถึงแล้ว มันก็ไลน์กลับมาว่าใกล้ถึงแล้วเหมือนกัน
“หน่อย...หยิบโปรโมชั่นมาดูหน่อยครับ”
เฮียชี้ไปที่กระดาษตั้งโต๊ะ พนักงานจะยังไม่รีบมาเปิดบิล อีกสักแป๊บล่ะครับ
ช่วงเวลานี้เราก็ดูโปรโมชั่นของร้านไป จริงๆที่หน้าร้านก็มีครับ แต่ผมมัวแต่หูผึ่งฟังเรื่องครอบครัวคนอื่น...ฮะ ฮะ
“สมาชิกทรู ลงทะเบียนยืนยันรับSMS ลด15เปอร์เซ็นต์ ต้องสี่คนขึ้นไป”
ผมอ่านคร่าวๆให้เฮียฟัง
“ว๊า...ผมกับเฮียไม่ได้ใช้ค่ายนี้...อดเลย”
เสียดายเหมือนกัน แต่ผมมีบัตรสมาชิกลด10เปอร์เซ็นต์
ส่วนใหญ่จะเจอโปรโมชั่นของบัตรเครดิตครับ
“นิวใช้ทรูนี่นา...”
เฮียคิดขึ้นมาได้
“เย้ๆ แล้วเราก็มากันสี่คน...คราวนี้ล่ะค่อยหายแค้นหน่อย”
เรื่องเล็กๆในชีวิตประจำวันก็ทำให้ผมมีความสุขได้ เช่นการได้ลดราคาร้านอาหาร
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง....การจอดรถ
ใช้บิลซื้อของ ตั๋วหนังมาประทับตราจอดฟรี 4-6 ชั่วโมง
ยิ่งเศษนาทีที่ไม่มากพอจะปัดขึ้น ยิ่งทำให้ผมสุขใจ คริคริ
“เอามาทุกอย่างเลยนะลูก ไหนๆก็จ่ายเต็มแล้ว”
เสียงคำสั่งของแม่ลอยตามแผ่นหลังลูกชายที่เดินผ่านโต๊ะผม
“ไม่หิวเหรอครับ”
เฮียถามผมที่ดูนิ่งเกินกว่าปกติ ที่จะต้องลุกไปสำรวจอาหาร
“เฮียไปก่อน...ผมยังไม่ค่อยหิวอ่ะ”
ผมไม่มีสมาธิกับอาหารหรอกครับ ตอนนี้กำลังสนุกกับการแส่เรื่องครอบครัวโต๊ะข้างหลัง ที่มีเพียงกระจกฝ้ากั้น
เฮียลุกออกไป ผมนั่งติดผนังก็เคลื่อนมวลสารออกมาชิดทางเดิน
หากเงียบๆนี่เสียงคุยโต๊ะข้างๆได้ยินเลยอ่ะ
“พ่อไปตักอาหารมาสิ แม่เอากุ้งเทมปุระ ขนมจีบ ฮะเก๋า..บลาๆๆๆๆ”
“จ๊ะแม่”
แล้วผมก็มองเห็นแผ่นหลังพ่อเดินจากไป สวนกับลูกชายที่เดินถือถาดมา
ในถาดมีแก้วเล็กๆนับสิบแก้ว แต่ละแก้วมีน้ำหลากสีไม่เหมือนกัน แต่ละแก้วมีน้ำแค่ครึ่งแก้ว
“ทำไมกดน้ำมาแค่นี้ล่ะลูก”
เสียงแม่โวยเล็กๆ
“ผมเอามาให้แม่ชิมก่อนยังไงล่ะครับ ถ้าแม่ชอบน้ำแบบไหน
ผมจะได้ไปเอามาให้เต็มแก้วไงครับ เดี๋ยวขอแก้วใหญ่ให้เลย”
ผมไม่อยากจะเชื่อหูว่า ในน้ำเสียงของลูกไม่แฝงความหงุดหงิดหรือไม่พอใจเลยสักนิด
ทั้งๆที่เรื่องสื่ออารมณ์นี่ไอ้หน่อยมันเชี่ยวมาก
“มาแล้วจ้า...ร้อนๆเลยแม่”
พ่อถือถาดที่ผมชำเลืองมองไม่ให้เสียมารยาทจนน่าเกลียด
ผมเห็นจานใส่กุ้งเทมปุระ1จาน น้ำจิ้มถ้วยเล็ก2ถ้วย เข่งพวกขนมจีบซ้อนกันสามสี่เข่ง
นี่แค่ขำเลืองนะ ผมบอกได้ละเอียดเลย
“ทำไมเอามานิดเดียวล่ะพ่อ แล้ว...บลาๆๆๆ...”
เสียงแม่ลอยลมมาเข้าหูผมอีกครั้ง
“พ่อกลัวแม่หิวไง แม่ทานรองท้องก่อนนะ เดี๋ยวพ่อจะไปเดินดูทั่วๆแล้วเลือกมาให้”
“อืม...อย่าลืมไปโชนด้านโน้นด้วยนะพ่อ”
“จ้า...แม่”
“นั่งยิ้มอะไรครับ”
เฮียกลับมาพร้อมแก้วน้ำพั้นซ์ของผม และกาแฟร้อนของเฮีย
“เฮียๆ...ถ้าเราเอาบัตรสมาชิกของเราให้โต๊ะโน้นยืมใช้ดีมั๊ยอ่ะ”
ผมกระซิบถามเฮีย กลัวเขาได้ยิน และผมว่าพนักงานก็น่าจะใกล้มาวางบิลแล้ว
“โต๊ะไหนเหรอ แล้วทำไม....นี่อย่าบอกนะว่า...เรา...”
เฮียมองตาผม สายตาตำหนิเล็กๆที่ผมไปแอบฟังชาวบ้านไม่เลิก
เฮียแกไม่ได้สนใจครอบครัวนั้นอีกเลยตั้งแต่เข้ามาในร้าน ผิดกับผมที่ตามติดต่อเนื่อง
“แหะๆ...ไหนๆเราก็ไม่ได้ใช้...ร้านอาหารเขาก็รวยออก...นะ...นะ...”
ผมต้องเอาคืนที่ผมไม่ได้ใช้สิทธิครึ่งราคา(เกี่ยว?)
“เฮ้อ...เรานี่นะ...”
เฮียมี่ถอนหายใจแรงๆ แล้ว..ล้วง...ล้วง...ล้วง....
ล้วงกระเป๋ากางเกง หยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมา แหม...ใจหายเบย คริคริ
เฮียส่งกระเป๋าสตางค์มาให้ผม ผมก็ค้นๆ คุ้ยๆ
“ไม่มีอ่ะเฮีย....”
ผมหาทุกซอกทุกมุมแล้วนะเนี่ย
“อืม...สงสัยลืมหยิบใส่”
เฮีย...เวลาไม่ได้มาห้าง แกจะเอาสารพัดบัตรที่ใช้กับห้าง โรงหนัง ออกหมด
เพราะในกระเป๋าตังค์เฮียอัดแน่นไปด้วยสารพัดบัตรจนตุง...อิอิ
“โห...เฮียอ่ะ...ดีนะที่มีโปร...ทรู...”
ผมงอน
“ทำไมล่ะครับ”
เฮียโอบเอวผม มิดชิดครับ ตรงที่นั่งโซนนี้ล้วงควักกันยังไงก็ปลอดภัย
อ้าว....แล้วผมจะสื่อเพื่อ....น้องๆอย่าทำตามไอ้หน่อยนะครับ
เวลาไอ้หน่อยหมั่นเขี้ยวเฮีย ไอ้หน่อยก็จะแตะๆน้องเฮียให้รู้สำนึกบ้างไรบ้าง...คริคริ
“ถ้าเฮียไม่ได้เอามาแล้วไม่มีโปรนะ ผมจะวีนให้มากกว่าครอบครัวนั้นเลยอ่ะ”
ผมกระซิบข้างหูเฮีย แล้วแอบหอมแก้มไปหนึ่งฟอด เมื่อเฮียเอียงแก้มมาให้
มือเฮียที่โอบเอวเลื่อนลงมาด้านหลัง แล้วผมก็โดนบีบก้นเบาๆ
“สู้เหรอ...เฮีย”
ผมปล่อยให้เฮียทำตามใจปรารถนา โดยที่ผมก็แตะน้องชายเฮียไม่เบานักเพื่อเป็นการเตือนสติ คริคริ
“เดี๋ยวเหอะ แสบนักนะ”
เฮียบีบก้นผมอ่ะ ไอ้เฮียบ้า
“ทำไรกันอยู่จ๊ะ”
เสียงคุ้นๆ คุ้นมาตั้งแต่เกิดเลยวุ๊ย
ผมกับเฮียรีบผละออกจากกัน ก็ตอนนี้เรานั่งเบียดกันไปมาอย่างหนุกหนานอ่ะ
“หวัดดีครับเฮียหมอเฮียหน่อย...อ้าว...ทำไมหน้าแดงๆทั้งคู่เลยครับ”
ไอ้นิว....แกไม่ต้องพูดทุกอย่างที่เห็นก็ด้าย
ขากลับบนรถ
ผมอิ่ม...อิ่มท้องกับอาหารบุฟเฟ่ต์
ผมอิ่ม...อิ่มใจ...อุ่นใจ เมื่อได้มาเจอแม่ และเห็นว่าแม่มีสุขภาพแข็งแรงดี
ผมอิ่ม...อิ่มกับความรักที่เฮียมอบให้ มากมั๊ย...ผมไม่รู้...แต่....สม่ำเสมอ และมั่นคง
“ไม่ง่วงเหรอครับ”
เฮียแปลกใจที่ผมยังนั่งตาแป๋ว ไม่มีวี่แววง่วงนอน
“ไม่ค่อยอ่ะ”
“คิดอะไรอยู่ครับ”
จริงๆคนนั่งต้องชวนคนขับคุยแก้ง่วง แต่เฮียมักจะเป็นฝ่ายชวนผมคุย
บางทีผมอยากจะนั่งคิดพล็อตนิยายเงียบๆบ้างไรบ้างก็ไม่สามารถ
“เฮีย...ผมชอบครอบครัวนั้นจัง”
ผมตะแคงตัวหันหน้าไปหาเฮียเต็มตัว
“ทำไม...เยอะไปแล้วนะ....”
ความเร็วรถเพิ่มขึ้นจนรู้สึกได้ เสียงเฮียก็ดุๆ
“เฮ่ย...เฮียคิดไปโน่น ผมหมายถึงว่า ครอบครัวเขาน่ารักดี
ถึงแม้แม่จะจู้จี้ แต่พ่อกับลูกก็ยอมทุกอย่าง ไม่รำคาญด้วยอ่ะ”
ผมหันกลับไปมองถนน ความเร็วของรถลดลงเท่าเดิม
“คนเรา...ตอนแรกก็อยู่ด้วยกันได้จากความรัก พอนานๆไปก็อยู่ด้วยความอดทนเนอะ”
ผมคิดอะไรผมก็พูดออกไป
“อืม...”
เฮียหันมาสบตากับผม แล้วหันกลับไปมองทาง
“เฮีย...เฮียต้องอดทนกับผมมากป่ะ”
ผมทำเสียงอ้อน ด้วยรู้ว่าพฤติกรรมของผมที่ผ่านมา มันแย่มากเหมือนกัน
ทั้งขี้เกียจและเอาแต่ใจ
ตื่นนอนก็ทีหลังเฮีย เฮียต้องปลุกผมทุกเช้า และเป็นเฮียอีกที่พับผ้าห่ม
ตอนนอน ผมก็ต้องให้เฮียเรียกแล้วเรียกอีก จนบางคืนเฮียงอน ขึ้นนอนโดยไม่มีการกู๊ดไนท์คิสกับผม
“ไม่หรอกครับ...”
เฮียมี่ตอบโดยไม่ต้องหยุดคิด
“เฮีย...ต่อไปผมจะพยายามทำตัวให้ดีขึ้นนะเฮีย”
คนเราคิดจะเปลี่ยนแปลงปรับปรุงก็ต้องเริ่มจากตัวเองนี่ล่ะครับ
“ถ้าอยากทำก็ทำเถอะ แต่ถ้าฝืนใจมากก็ไม่เป็นไรครับ”
เฮียเหมือนรู้จักตัวผมดีกว่าผม
"จะดีเหรอเฮีย...ผมกลัวเฮียจะเบื่อผมอ่ะ"
ทำตัวแบบผมนี่ มันยิ่งกว่าผมเป็นลูกเฮียอีกครับ
ไอ้ที่ว่าผมจะปรนนิบัติเอาใจน่ะ น้อยมาก ถ้าไม่นับเรื่อง...อย่างว่า...ไอ้หน่อยไม่มีอะไรดีเลย
พักหลังๆ...ผมรู้สึกนอยด์ขึ้นมาเองบ่อยๆเหมือนกัน
ยิ่งเฮียดีเท่าไร ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยคู่ควรนัก
ถ้าสักวันเฮียเบื่อผม ก็ไม่ต้องแปลกใจเลย
"คิดมากอีกแล้วนะเรา"
เฮียละมือข้างหนึ่งจากพวงมาลัยมาแตะต้นขาผม
"เฮียอยากให้ผมเปลี่ยนตัวเองอย่างไรบ้างครับ ผมจะได้..."
เราก็ต้องถามความต้องการของลูกค้าถูกมั๊ยครับ
"เป็นอย่างทุกวันนี้ล่ะครับ เฮียรับได้"
เฮียมี่พูดยิ้มๆ
ทุกท่านได้ยินเหมือนผมมั๊ยครับ
เฮียมี่บอกผมว่า...
"เฮียรับได้"
ก๊ากๆๆๆๆๆๆ
"ไอ้หน่อยจะได้รุกแล้วครับ"
แต่เดี๋ยวนะ...
ไอ้หน่อย
มัน
"รุกไม่เป็นอ่ะครับ"
ขอบคุณทุกการติดตามครับผม