Dormitory Boys – สะดุดรัก หอพักอลเวง
“รัก...ติดดิน”CHAPTER 47 – ตัวเลือกใกล้ถึงวันคล้ายวันสถาปนาโรงเรียนอีกครั้ง
เหตุผลเดิมอันทำให้อาทิตย์รักวันดังกล่าวเนื่องจากจะงดการเรียนการสอนนั้นเขาคงต้องคิดใหม่ เพราะตอนนี้ไม่ได้อยู่ห้องบ๊วยซึ่งเขาสามารถชิ่งหนีอาศัยบารมีพ่อ ไม่รับ ไม่ยุ่ง ไม่มุ่งกิจกรรมใด ๆ ของห้องได้เหมือนเคย เด็กนักเรียนห้องคิงช่างจริงจังไปเสียทุกเรื่อง และนี่ก็เป็นการประชุมครั้งที่สามเข้าไปแล้ว
ไม่ต้องเรียนหนึ่งวันแต่โดนเรียกประชุมเตรียมงานครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นนี้เขาเริ่มไม่แน่ใจว่ามันคุ้มกันไหม จะโดดก็อยากแต่หากปิ่นหยกอยู่ฟังที่นี่เขาก็อยากอยู่ใกล้ ๆ มากกว่า แม้ด้วยมาตรฐานเดิมของตัวเอง อย่าว่าแต่เสนอความเห็นในที่ประชุม ให้นั่งจนจบโดยไม่เผลอหลับไปก่อนก็นับว่าพัฒนาแบบก้าวกระโดดสมควรมอบโล่ไว้เป็นเกียรติประวัติแก่วงศ์ตระกูลแล้ว
“...และเนื่องจากพวกเราต้องเตรียมสอบกันหลายครั้ง แต่กิจกรรมแบบนี้ในฐานะเป็นปีสุดท้ายของชีวิตมัธยม ฉันคิดว่าก็ควรเต็มที่เหมือนกัน”
เสียงเจื้อยแจ้วของณิชา หัวหน้าห้องหญิงในมาดสาวแว่นดังชัดถ้อยชัดคำ กำหนดการคร่าว ๆ ถูกเขียนด้วยตัวหนังสือยึกยือพร้อมลูกศรโยงนั่นนี่ไว้บนไวท์บอร์ดหน้าห้อง “ต่อจากที่ได้ประชุมกันครั้งก่อน ให้กลับไปคิดมาว่าเราควรจะจัดอะไรซึ่งไม่ต้องใช้เวลาเตรียมตัวมาก จะได้ไม่รบกวนการเตรียมสอบของทุกคน ว่าไงกันบ้าง”
จากนั้นการอภิปรายเข้มข้นก็เริ่มขึ้น เขาไม่เข้าใจนักว่าจะจริงจังกันไปไหน แม้เพื่อนร่วมห้องบางส่วนดูเหมือนยังพอสะกดคำว่าอารมณ์ขันเป็นอยู่บ้าง แต่บรรยากาศโดยรวมอย่างกับพวกเขากำลังวางแผนปกป้องโลกจากเหล่าร้ายต่างดาวที่เข้ามารุกรานโดยปลอมตัวเป็นนักการเมือง หลังจากถกเถียงกันอยู่ครู่ใหญ่ อะไรที่ควรจะเจ๋งเป้งทิ้งทวนสมกับเป็นปีสุดท้ายและไม่ต้องใช้เวลาเตรียมตัวมากจนรบกวนเวลาทบทวนหนังสือนั้นก็ได้บทสรุปซึ่งผ่านเข้ารอบมาสองสามอย่าง นอกจากเรื่องออกร้านขายอาหารที่คล้ายเป็นความต้องการขั้นพื้นฐานของผู้บริโภคอยู่แล้ว
..อย่างแรกคือคอนเสิร์ต
ฟังดูน่ามหัศจรรย์มากสำหรับการที่มนุษย์ห้องคิงกับกิจกรรมเพื่อความบันเทิงเต็มตัวจะมาบรรจบกันได้ในปีสุดท้ายของชีวิตมัธยม ให้ความรู้สึกเหมือนมีใครกำลังพยายามกินกล้วยบวชชีโปะวาซาบิ แต่คงต้องบอกว่าพวกเขาโชคดีที่มีการเปลี่ยนห้องกันทุกปี และปีนี้ได้นักร้องเสียงดีผู้ได้รับการโจษจันในชั้นปีเข้ามาอยู่ห้องนี้ถึงสองคน โชคดียิ่งขึ้นไปอีกตรงสองคนที่ว่าชอบมากกับการได้ยืนเด่นบนเวทีและยินดีให้ทางบ้านซึ่งทำงานเกี่ยวข้องกับเครื่องดนตรีอยู่แล้วช่วยจัดการเรื่องสถานที่ให้ทั้งหมด เพราะฉะนั้นกล้วยบวชชีรสวาซาบิก็อาจเป็นส่วนผสมที่ไม่เลวนัก
แน่นอน...ข้อเสนอดังกล่าวได้รับการอนุมัติเร็วยิ่งกว่าสินเชื่อสารพัดรูปแบบในโฆษณา อยากเด่นก็จัดไป
กิจกรรมอย่างที่สองอันยืนยันว่าเขาไม่ได้นั่งประชุมผิดห้อง เรื่องวิชาการอย่างไรเสียก็ควรมีให้เป็นหน้าเป็นตาแก่โรงเรียนเพราะจะเปิดให้คนนอกเข้ามาเยี่ยมชมได้ หน้าที่ถูกมอบหมายให้เป็นของหัวหน้ากลุ่มโครงงานวิทยาศาสตร์ซึ่งเพิ่งไปคว้ารางวัลมาจากหลายแห่งเป็นแม่งาน ส่วนลูกทีมเดี๋ยวคงมาคัดเลือกกันทีหลัง...นั่นทำให้เขาถึงกับนั่งหาวเมื่อคิดว่าคงต้องมีการเรียกประชุมตามมาอีก
อย่างสุดท้าย ซึ่งไม่รู้แน่ชัดว่าใครเป็นคนต้นคิด และอาจเป็นเพราะความคึกคะนองชั่ววูบหรืออะไรก็ตามแต่ทำให้ได้เสียงตอบรับดีอย่างเหลือเชื่อ
“ประมูล?”“ใช่...ประมูล แต่เปลี่ยนสินค้าเป็นคน”
ผู้หญิงกลุ่มเดียวกับคนที่เสนอความคิดนี้ขึ้นมาลุกยืนแจกแจงพร้อมส่งเสียงหัวเราะคิกคักกลางวงล้อมเพื่อนสาวเป็นระยะ
“ไหน ๆ ก็มีพวกหน้าตาดีแต่ไม่ค่อยทำงานอยู่หลายคน...จับลงประมูลให้หมด หางบเข้าส่วนกลางไว้ทำกิจกรรมอื่น ไม่ต้องลงทุนเยอะแยะ เข้าท่าออก”
เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์หึ่ง ๆ ฟังไม่ได้ศัพท์ดังขึ้นทั่วห้อง“ยังไง?” ณิชาเอ่ยถาม พอเข้าใจขึ้นมาบ้างแต่ยังไม่กระจ่างนัก “ขอรายละเอียดคร่าว ๆ อีกนิด”
“ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างเท่าไรเหมือนกัน แต่ที่คิดไว้ก็ประมาณว่าส่งคุณเอนามสมมติลงการประมูล ใครเสนอราคาให้เยอะที่สุดก็ได้สิทธิ์รับคุณเอไปเลยหนึ่งวันเต็ม...”
“เอาไปทำอะไร”
เธอยักไหล่ “ยังไม่ได้คิดไว้ละเอียด แต่เอาแค่ไม่ได้ไปทำเรื่องไม่ดีหรือผิดศีลธรรมอะไรอย่างนี้ก็น่าจะพอนะ เรียกดูบัตรประชาชนไว้ก่อนเลยดีไหม”
ณิชาพยักหน้า ฟังดูเพี้ยน ๆ ดี คงเรียกความสนใจได้ไม่น้อย “...แต่ถ้าเป็นผู้หญิงฉันว่าคนนอกคงมองไม่ดี ดูเป็นฝ่ายเสียหายยังไงไม่รู้ อาจไม่ผ่านตอนเสนออาจารย์”
“...งั้นก็ผู้ชาย”
ใครบางคนระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“ผู้หญิงออกร้าน เอาพวกผู้ชายไปประมูล” เธอว่า “ทำอะไรไม่ได้ค่อยได้นอกจากหน้าหล่อเด้งไปวัน ๆ ก็เอาตัวเข้าแลกซะหนุ่ม ๆ”
“งั้นลองช่วยกันนึกดู ประมูลไปทำอะไร เงื่อนไขควรชัดเจนกว่านี้” เด็กสาวขยับแว่น ไม่มั่นใจความรู้สึกว่ากำลังเครียดหรือสะใจมากกว่ากัน “...ไม่งั้นจะดูล่อแหลมเหมือนค้ามนุษย์ยังไงไม่รู้”
“ไปเดท!”
“เป็นเบ๊”
“เป็นกระสอบทราย”
“เป็นทาสรับใช้หนึ่งวัน!”
ทั้งห้องหัวเราะครืน
อีกสารพัดชะตากรรมเป็นนั่นเป็นนี่พิลึกพิลั่นของสินค้าประมูลซึ่งถูกเสนอขึ้นมา มีแต่เสียงผู้หญิงทั้งนั้น ปิ่นหยกได้ยินแล้วสยองขึ้นมาเล็ก ๆ มนุษย์เพศแม่ที่ว่าบ้าเรียนของห้องนี้บทจะบ้าเรื่องอื่นขึ้นมามาตรวัดความน่าประหวั่นพรั่นพรึงก็พุ่งทะลุเพดานได้อย่างไม่น่าเชื่อ
สุดท้ายจบลงด้วยคำกลาง ๆ ว่าประมูลไปทำอะไรสำหรับตอนเขียนโครงการเสนอต่ออาจารย์และคณะกรรมการนักเรียนว่าเป็นการ
‘ประมูลตัวเพื่อเป็นครูสอนพิเศษหนึ่งวัน’ คงฟังดูไม่น่าสงสัยอะไรมากเพราะเด็กนักเรียนห้องนี้ก็คัดคะแนนสอบเข้ามาอยู่แล้ว ส่วนจะสอนพิเศษอะไรนั้นละไว้ในฐานที่เข้าใจตามแต่ผู้ประสงค์ร่วมประมูลจะตีความ
“แล้วคนที่ถูกเอาไปเป็นสินค้าจะได้อะไรล่ะ แบบนี้เปลืองตัวตายชัก” เอ็ม หนุ่ม(ที่คิดว่าตัวเอง)หล่อของห้องตะโกนคำถามซึ่งลอยอยู่ในหัวมนุษย์โครโมโซม XY ที่อาจกลายเป็นผู้โชคดี...หรือบางทีอาจจะโชคร้าย? ถูกจับยัดเป็นหนึ่งในสินค้าประมูลถามขึ้นมา
“ให้ส่วนแบ่งจากเงินประมูลของตัวเองเป็นไง? แทนที่เราจะเอาเป็นเงินส่วนกลางของห้องหมด ก็แบ่งเปอร์เซ็นต์ให้สัก.....” หัวหน้าห้องสาวยืนครุ่นคิด “..ยี่สิบเปอร์เซ็นต์จากราคาประมูล?” เธอพยักหน้าเออออเห็นด้วยกับตัวเองพลางทุบกำปั้นลงบนฝ่ามือ
“ใครมีทีเด็ดเรียกเงินค่าตัวได้เยอะก็ส่วนแบ่งเยอะ จะได้มีแรงจูงใจให้ดันราคาตัวเองขึ้นสูง ๆ วิน-วิน กันทุกฝ่าย”
ณิชากวาดตาไปทั่ว พอมีเรื่องผลประโยชน์มาเอี่ยวแบบไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรนักก็ดูจะได้รับความสนใจมากกว่าเดิมอีกโข สายตาไปสะดุดกึกเข้ากับคนที่นั่งอยู่ริมหน้าต่าง ซึ่งยี่สิบเปอร์เซ็นต์ที่เธอว่าน่าจะสร้างความหวั่นไหวให้เจ้าตัวได้มากกว่าใครในห้องทีเดียว
“ปิ่นหยกสนใจไหม ดูแล้วนายก็มีรุ่นน้องมากรี๊ดอยู่เยอะเหมือนกัน น่าจะโกยได้มาก...”
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสนอยู่แล้ว...ขึ้นชื่อเรื่องความงกมาเจอกับข้อเสนอเย้ายวนใจขนาดนี้ แต่เพื่อความชัวร์เธอขอกำชับเพิ่มสักหน่อย
“พวกรุ่นน้องก็ดูกระเป๋าหนักกันหลายคน...ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ฟรี ๆ ไม่เลวเลยนา”
ปิ่นหยกตาเป็นประกายวิบวับ รู้ดีว่าหัวหน้าห้องสาวกำลังขุดหลุมล่อหลอกให้เขากระโจนลงไป แต่ข้อเสนอนั่นทำให้อยากเดินหลบหลุมเสียที่ไหน ไม่ต้องลงทุน และผู้ชายอย่างเขาก็ไม่มีอะไรให้เสียหายสักนิด
แต่เดี๋ยวก่อน...จะยอมตอนนี้มันยังเร็วเกินไป..“...ก็ดี....แต่ขอส่วนแบ่งห้าสิบเปอร์เซ็นต์” เขาประกาศชัดถ้อยชัดคำพลางแบมือชูห้านิ้วประกอบคำบรรยาย
“จะบ้าเหรอยะไอ้งก!” เสียงหวานกลายเป็นแหวทันที “จะเอาตั้งครึ่งหนึ่งเชียว!”
“เถอะนะ..แล้วจะทุ่มสุดตัวเลย”
เธอถอนหายใจเฮือก ปีนี้เธอเป็นหัวหน้าห้อง แต่ปีก่อนเธอเป็นเหรัญญิก กล้าขอขนาดนี้ถือว่าหยามอดีตคนทำบัญชีของห้องเกินไปแล้ว
“เพ้อเหอะ! ให้เพิ่มเป็นยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ก็พอ”
“สี่สิบห้าก็ได้”
ถึงจุดนี้ดูเหมือนมีเพื่อนผู้ชายหลายคนร่วมลุ้นให้เขาต่อราคาสำเร็จจะได้ร่วมรับผลประโยชน์หน้าชื่นตาบานไปด้วยคน
“ไอ้หน้าเลือด! เต็มที่ก็สามสิบเอ้า!”
“ไม่เอาน่า...” ปิ่นหยกเอ่ยเสียงนุ่ม “ปกติณิชาใจดีกว่านี้นี่นา”
มาแบบนิ่ม ๆ แต่กะกินส่วนแบ่งฟรีอย่างนี้น่าหนักใจไม่น้อย บรรยากาศวิ้ง ๆ อย่างประหลาดทำเธอเสียศูนย์ไปนิดหน่อย “.....ส...สามสิบห้า”
“สี่สิบ”
“สามสิบห้า!”
“สี่สิบเถอะ”
“บอกว่าสามสิบห้—“
“ฉันลงแทนปิ่นหยก เอาแค่สามสิบเปอร์เซ็นต์พอ”“!?”
อ้อยกำลังจะเข้าปากช้าง แล้วใครช่างบังอาจตัดราคากันต่อหน้าต่อตา!!?ณ จุดนี้ ณิชาขอเรียกอาทิตย์ว่าพระเอกขี่ม้าขาว แต่สำหรับปิ่นหยกแล้ว เพื่อนร่วมชั้นหน้าหล่อตาโศกที่มีศักดิ์อย่างลับ ๆ เป็นคนรักอาจจัดได้เป็นลูกเจี๊ยบขัดลาภที่กล้าเสนอหน้ามายืนขวางแผนการขยับเข้าใกล้เทพเจ้าแห่งเงินตราและความร่ำรวยเข้าไปอีกนิดของเขาต่างหาก
“เฮ่ย! ได้ไง!?”“ได้สิ”
“ดีเลย งั้นลงทั้งคู่” หัวหน้าห้องสาวสรุป
“ไม่เอา ถ้าปิ่นหยกลง ฉันไม่ลง”
“......”
อาทิตย์ยื่นคำขาด แน่ใจว่าณิชาเลือกเขามากกว่าปิ่นหยกแน่นอนจึงกล้าเดิมพันสุ่มเสี่ยงเช่นนี้ เพราะให้พูดกันตามจริงเหมือนที่บอมบ์เพื่อนรักจากห้องบ๊วยเคยบอก..อย่างไรเสียเขาเองก็เป็นที่นิยมติดอันดับต้น ๆ ของโรงเรียน แม้จะเรียนห่วย(เพราะขี้เกียจ) แต่เขาเชื่อเต็มเปี่ยมว่ากิจกรรมประมูลที่ว่ามีเป้าหมายแอบแฝงอย่างอื่นมากกว่าแค่ไปนั่งสอนหนังสือ และมั่นใจว่าหากไม่ใช่เรื่องเรียนและความงก ตัวเองมีเครดิตดีกว่าปิ่นหยกอย่างไม่ต้องสงสัย
ปิ่นหยกหันมาทำท่าเหมือนอยากกระชากคอเสื้อเขาแล้วเขย่าให้สมองทะลักออกมาทางรูหูซึ่งคงเป็นอะไรที่ไม่หล่อเอามาก ๆ คิมหันต์ซึ่งนั่งอยู่ถัดออกไปได้แต่กลอกตาพร้อมกับส่ายหน้าออกอาการหน่ายใจ เดาว่าคงรู้จุดประสงค์การกระทำของเขาชัดเจน
ช่วยไม่ได้...หากเป็นช่วงที่มีเงินใช้ทิ้งขว้างจะไม่ว่าอะไรเลย เพราะเขาสู้ราคาประมูลเท่าไรเท่ากันอยู่แล้ว แต่จนแกลบออกขนาดนี้ เกิดใครคนอื่นประมูลตัวปิ่นหยกไปได้(ซึ่งต้องเป็นอย่างนั้นแน่อยู่แล้ว)เขาคงถูกความหวงทำธาตุไฟเข้าแทรกลมปราณแตกซ่านตายไปเลยกันพอดี ต่อให้แค่วันเดียวภายใต้เงื่อนไขว่าไม่มีอะไรเกินเลยหรือขัดต่อศีลธรรมก็เถอะ
หลังจากผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งการต่อรอง..โวยวาย...โอดครวญ...หรืองอแง...? สุดแล้วแต่ใครจะเรียก ข้อสรุปก็ออกมาดังคาด
“โอเค งั้นเอาเป็นอาทิตย์ละกัน”
เธอประกาศแล้วหันไปทำหน้าพยายามจ๋อยแต่ไม่สำเร็จใส่ปิ่นหยก “โทษที นายมาช่วยออกร้านแทนก็ได้นะ เห็นว่าทำอาหารเก่ง”
“........”
ปิ่นหยกรู้สึกระอาโลกที่คนหล่อเป็นใหญ่ขึ้นมาในบัดดล
ใช่ซี้ หล่อเลือกได้ เทพเจ้าแห่งเงินตราคงจะชอบแต่คนหน้าตาดี!............................................................................
..........................................
.
.
.
“งอนหรือ?”
“ใครงอนวะ” ปิ่นหยกเอาส้อมกระซวกไข่เจียวในจานที่เพิ่งแย่งมาจากคิม จินตนาการว่าเป็นหน้าหล่อของใครบางคนแถวนี้ “พูดอะไรแมว ๆ”
“ถ้างั้นทำไมทำหน้าเหมือนไก่ต้มน้ำปลา”
...ไก่ต้มน้ำปลา....ดูมันเปรียบเข้าเขามองอาทิตย์เซ็ง ๆ ดีกรีความปากเสียกับหน้ามึนนี่แข่งขันสูสีตีตื้นขึ้นมาแบบไม่ยอมน้อยหน้ากันเลย จะไม่ให้หงุดหงิดอย่างไรในเมื่อหมอนี่อาศัยข้อได้เปรียบด้านความหล่อฉกชิงโอกาสทางการเงินเขาไปต่อหน้าต่อตา ไม่เก็บหอมรอมริบไปทำศัลยกรรมหรือหมั่นทำบุญอธิษฐานแล้วรีบไปเกิดใหม่เสียคงไม่มีวันตามทันเรื่องรูปลักษณ์..ซึ่งเขาก็คงไม่เอาทั้งสองอย่างเพราะเปลืองตังค์และยังไม่อยากตาย
ส่วนแบ่งตั้งสี่สิบเปอร์เซ็นต์ที่เขาต่อรองเกือบสำเร็จอยู่แล้วหายวับไปกับตาเหมือนมีคนมาแสดงความยินดีว่า
‘เฮ้! นายถูกล็อตเตอร์รี่นะ’ และอีกหนึ่งนาทีต่อมาก็มีคนมาหัวเราะหน้าเจื่อนใส่แล้วบอก
‘โทษที เมื่อกี้ดูเลขบนล็อตเตอร์รี่ผิดไปว่ะ’ มันน่าไหม!?
“งอนจริงด้วยสินะ”
เขาแทบเคี้ยวช้อนโลหะกร๊วบ ๆ ให้แหลกคาปากไปพร้อมกับไข่เจียวได้เลยโดยมีเสียงประกอบฉากเป็นคิมซึ่งกำลังหัวเราะลั่นพลางจีบปากจีบคอใส่ “จะสาวไปแล้วนะคะน้องปิ่น”
“เก็บปากไว้เคี้ยงเอื้องกิมจิไปเลยไอ้เวร!” ว่าแล้วก็เตะหน้าแข้งเพื่อนรักจากใต้โต๊ะไปหนึ่งทีเผื่อคำพูดอย่างเดียวจะสื่อถึงคุณคิมได้ไม่ดีพอ “ใช่ดิ! แกได้ลงกับเขาด้วยนี่!”
“ก็คนมันหล่อ” คิมลอยหน้าตอบพร้อมกับยักคิ้วไปด้วย เห็นแล้วอยากเอานิ้มจิ้มตาสักทีแม้คงไม่โดนเพราะเป้าเล็กเกินไป ได้แต่นั่งมองอีกฝ่ายออกอาการข่มเขาสะใจเต็มแก่เพราะเพิ่งได้รับเสนอชื่อจากที่ประชุมให้ร่วมเป็นสินค้าประมูลหาเงินเข้ากระเป๋าเพลิน ๆ ด้วยเหมือนกัน
“ชิ!”
แย่งไข่เจียวอีกสักชิ้นแก้เซ็งมร่าง!
ภารกิจชิงไข่เจียวจากคุณคิมยังไม่ทันสำเร็จ(เพราะโดนคิมเอาช้อนฟาดมือเสียก่อน) ทอดมันปลากรายชิ้นใหญ่ซึ่งเดิมอยู่ในจานคุณชายหน้ามึนก็ลอยมานอนแอ้งแม้งให้ท่าบนจานเขาพร้อมกับเสียงทุ้มนุ่มชวนละลายลงไปนอนทอดกายข้างชิ้นทอดมัน
“ให้นะ.. กินเยอะ ๆ ครับ”
ปิ่นหยกหันไปมองหน้าคนที่คงกำลังคิดว่าตัวเองเป็นเทพบุตรลงมาจุติ เที่ยวร่อนเร่โปรดสัตว์ด้วยการแจกทอดมันปลากรายแก่มวลมนุษยชาติพร้อมกับรอยยิ้มที่.....เออ....ก็เทพบุตรจริง ๆ นั่นแหละ! เห็นทีไรหน้าร้อนวูบวาบทุกครั้ง..เกือบเคลิ้มแล้วแต่พอคิดถึงเรื่องที่โดนตัดหน้าเลยยิ่งโมโหหิว ฟาดทอดมันที่ได้มาเรียบในสองคำด้วยกิริยาทะลุขีดอาการสวาปามไปหลายขุม
“เดี๋ยวได้ค่าตัวสามสิบเปอร์เซ็นต์จะให้นายหมดเลย”
“ไม่เว้ย ไม่ได้อยากเอาเงินแก” เขาถอนหายใจเฮือก ท้องเริ่มอิ่มจึงปลงตกบ้างแม้ยังมีปรี๊ดขึ้นมาเป็นช่วง ๆ “อยากได้เงินด้วยตัวเอง เข้าใจประเด็นนี้ไหม”
“ที่ทำแบบนี้ก็เพราะหวงนะครับ ถ้านายลงแล้วเกิดใครไม่รู้ประมูลไปไม่ใช่แค่ให้ไปนั่งสอนหนังสือเฉย ๆ ล่ะ”
คิมส่งเสียงกระแอมค่อกแค่กเหมือนโดนใครดีดลิ้นไก่ “ใจเย็นพรรคพวก นี่โรงอาหาร เก็บอาการนิด”
ปิ่นหยกชะงักไปครู่หนึ่ง เหลียวมองรอบตัวไร้วี่แววว่ามีใครแสดงทีท่าสนใจพวกเขาจึงหันไปต่อบทสนทนาแล้วยักไหล่ไม่แยแส
“ลงด้วยคนจะเป็นไรไป” ...หรือเปล่า? ยังไงก็ผู้ชาย “ทีแกยังเสนอตัวเองประมูลเลย!”
“ปิ่นหยกก็หวงฉันเหมือนกันสินะ?”
"แฮ่ม! อะแฮ่ม!! แฮ่ม ๆ แค่ก ๆ !!" และลิ้นไก่คิมดูเหมือนจะถูกมือที่มองไม่เห็นดีดแรงขึ้น เพราะเจ้าตัวเริ่มกระแอมหนักก่อนจะส่ายหน้าแล้วเดินหนีไปหาร้านขนมหวานที่ตั้งอยู่ไกลออกไป ทิ้งเพื่อนสองคนนั่งเคลียร์ปัญหาในครอบครัวกันต่อ
“เออ หวง”
ปิ่นหยกกอดอก มองคุณชายลูกเจี๊ยบทำตาเป็นประกายก่อนที่รอยยิ้มจะค่อย ๆ ลากผ่านริมฝีปากอิ่มแทบเลยไปถึงใบหูจนน่าหมั่นไส้ สงบสติอารมณ์อีกหนึ่งอึดใจจึงเอ่ยต่อเป็นเชิงสั่ง “เพราะงั้นมาแลกกัน ฉันลงแทนแกเอง”
ยิ้มเจิดจ้าเมื่อครู่หรี่แสงลงจนดับวูบกลายเป็นยิ้มทะมึนแทบจะในทันที“ไม่ครับ”ทีอย่างนี้ไม่ยอมหลงกล! เมื่อครู่เขาน่าจะพูดเพราะ ๆ มีครับลงท้ายไปด้วยสักหน่อย
"อะไรว้า!"
“ฉันก็นึกว่าปิ่นหยกจะหวงฉันจริง ๆ เสียอีก" อีกฝ่ายเอ่ยเสียงราบเรียบ...ติดจะเรียบเกินไปด้วยซ้ำ "กำลังคิดอยากถอนตัวอยู่เลย”
“ถอนตัวตอนนี้ณิชาด่าถึงโคตรเหง้าศักราชแน่”
“ก็ถ้านายจะหวงฉันสักนิด... เกิดโดนสาวทรงโตประมูลไปลวนลามงี้จะทำไง”
อยากด่าว่าหน้ามึนอย่างนี้มีแต่จะลวนลามคนอื่นมากกว่าเป็นฝ่ายถูกลวนลาม แต่สุ้มเสียงตัดพ้อนั่นมันอะไรกัน ออกนอกบ้านนานเกิดขาดความอบอุ่นขึ้นมาหรืออย่างไร “ลง ๆ ไปเถอะ เอาเงินมาเป็นค่าสมัครสอบเรียนต่อ ดูราคาแต่ละที่แล้วแพงจะตาย”
“....”
อาทิตย์หน้าตึงไปนิดหน่อย ซึ่งนิดหน่อยในที่นี้ก็เพียงพอแล้วจะทำให้เขานึกหวั่นอยู่ลึก ๆ ทำไมถึงชอบทำตัวเป็นเด็กอย่างนี้ก็ไม่รู้ หรือเป็นเพราะที่บ้านตามใจจนเคยตัวมาทั้งชีวิต
“งอนเรอะ!?”
แล้วเรื่องอะไรคราวนี้เขาถึงต้องกลายเป็นฝ่ายถามไปเสียได้
“เปล่าครับ”
ปากบอกเปล่า แต่สีหน้านี่ไปคนละทางทีเดียว "ประสาทฉิบหาย"
งอนพันเปอร์เซ็นต์ ทำอะไรไม่ได้เข้ากับรูปร่างหน้าตาเอาเสียเลย
ปิ่นหยกลอบถอนหายใจ หน้าที่ทำตัวเป็นพ่อไก่(เขายืนยันว่าเป็นพ่อไก่ไม่ใช่แม่ไก่อย่างที่มักถูกกล่าวหา)เลี้ยงลูกเจี๊ยบดูท่าจะยังไม่จบสิ้นง่าย ๆ
“ไม่หวงเพราะว่าเชื่อใจ...ทำไมเรื่องแค่นี้ถึงงั่งจังวะ”To be continued…========================================
อ่านรวดเดียว 2 ตอน จบแล้วยังงงว่าตกลงพี่ภพเป็นพี่ใคร
คิมโดนป่วนได้ด้วยเหรอ
ตอบค่ะ >>> พี่ภพ เป็น น้องชายของแฟนพี่อันนาค่ะ
ขออ้างอิงตามแผนผังรูปนี้อีกครั้งเผื่อยังไม่เห็น >>
https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/598684_430715260321696_1158359062_n.jpgฮือออออ ตอนนั้นเราเขียนงงเกินไปใช่ไหมคะ Orz''
บางทีชอบเวิ่นเยอะเลยออกมามึน ๆ ต้องขอโทษด้วยค่ะ TTvTT
ตอนนี้ก็แอบกลัวว่าจะงงอีก นิสัยเวิ่นในนิยายของคนเขียนแอบแก้ลำบาก ไม่ค่อยชอบให้มันห้วนไปเลยอาจยิ่งใส่ยิ่งงง
สับสนตรงไหนถามได้นะคะ

ขอบคุณคนอ่านผู้น่ารัก

แล้วพบกันตอนหน้า ของแถมเลื่อนไป reply ถัดไปค่ะ ^o^
***สารบัญคลิกที่นี่ค่ะ***