ผมเคยคิดมาตลอดนะครับ ว่าการรอคอยและความหวังนี่ช่างเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์จริงๆ ทั้งที่เป็นคำๆ เดียวกัน แต่หากมันเกิดขึ้นกับต่างคนต่างวาระแล้วล่ะก็ ความหมายของมันและสิ่งที่มันนำมา ก็สามารถแตกต่างกันและมีความหลากหลายได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากว่าเรารอคอยที่จะได้ไปเที่ยวที่ไหนสักที่ เราก็คงจะรู้สึกไม่ค่อยต่างกันสักเท่าไหร่ นั่นคือตื่นเต้นและเฝ้ารอให้วันนั้นมาถึงเร็วๆ ถ้าหากว่าเด็กน้อยคนหนึ่งรอคอยรถไอศครีมที่จะวิ่งผ่านหน้าบ้านทุกๆ วันในหน้าร้อน ก็คงจะรอคอยด้วยความหวังและความสุขที่จะได้ลิ้มรสไอศศรีมเย็นๆ ที่ตัวเองโปรดปราน หรือถ้าหากว่าเด็กคนเดียวกันรอที่จะได้พบกับพ่อที่ไม่ได้เจอมานานเพราะต้องไปทำงานต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ เขาก็คงจะรอคอยด้วยความตื่นเต้น ความกระวนกระวาย ความหวังที่จะได้ของฝาก และความสุขที่จะได้เจอหน้าพ่ออันเป็นที่รัก แต่ถ้าหากไปถามเด็กที่กำลังรอผลสอบเอ็นทรานซ์ คำตอบก็คงจะเป็นกดดัน กระวนกระวาย จนบางคนอาจจะถึงขั้นทุกข์ใจก็เป็นได้
แล้วถ้าเป็นการรอคอยใครสักคนในเรื่องของความรักล่ะ โดยทั่วไปแล้วคนอื่นเขาจะรู้สึกอย่างไรกันบ้าง เขาจะรออย่างมีความหวัง กระวนกระวายใจ หรือทุกข์ใจจนกินไม่ได้นอนไม่หลับกันแน่
ผมในตอนนี้ก็เป็นคนหนึ่งที่กำลังประสบกับความรู้สึกและความสับสนเหล่านี้อยู่เหมือนกัน และผมก็อยู่กับพวกมันมาเป็นเวลาปีกว่าแล้วด้วย เพียงแต่ว่า ความรักที่ผมเฝ้ารอคอยอยู่นั้นมันคือมิตรภาพระหว่างเพื่อนที่เริ่มจะดูเหินห่างออกไปทุกทีๆ เพราะความผิดที่ผมก่อขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจและขาดความยั้งคิดถึงผลที่อาจจะตามมา
ถ้าจะให้เล่าเรื่องราวความรักของผม ผมก็คงต้องเล่าย้อนไปตั้งแต่สมัยที่ผมเข้ามาเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้แล้ว ในช่วงรับน้อง ผมได้รู้จักกับเพื่อนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งกลายมาเป็นกลุ่มเพื่อนสนิทของผมที่สุดในเวลาต่อมา
ในตอนแรก กลุ่มเล็กๆ ของเราก็มีกันอยู่แค่สามคนเท่านั้น ได้แก่ไอ้แพนด้า ผู้ชายตัวเล็ก ยิ้มหวาน อัธยาศัยดี ขี้เล่น และมีชื่อเสียงทั้งในหมู่เพื่อนและรุ่นพี่ติดอันดับต้นๆ จนถูกเสนอชื่อให้เป็นเดือนของคณะในเวลาต่อมา
ไอ้เอ หนุ่มหน้าเข้มลูกชายเศรษฐีจากต่างจังหวัดที่มาพักอยู่กับญาติและน้องชายของมันที่กรุงเทพฯ มันเป็นคนพูดน้อย ยิ้มน้อย ต่อยหนัก แต่ก็หน้าตาดีและหัวดีไม่เบาเหมือนกัน ที่สำคัญ มันยังเป็นคนที่จริงใจและรักเพื่อนมากที่สุดคนหนึ่งเท่าที่ผมเคยรู้จักมาอีกด้วย
ส่วนคนสุดท้ายก็คือผมเอง ไอ้กีตาร์ หรือที่เพื่อนๆ รวมทั้งรุ่นพี่เรียกกันว่า ไอ้ต้า ซึ่งเมื่อเทียบกับเพื่อนอีกสองคนแล้ว ผมก็คงเรียกได้ว่าเป็นคนธรรมดาแบบที่สุดที่หาเจอได้ทั่วไปตามท้องถนน ผมไม่ได้หน้าตาดีแบบไอ้ด้า ไม่ได้มีเงินแบบไอ้เอ แต่เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งจริงๆ ถึงแม้ว่าเพื่อนๆ ของผมจะเคยชมผมอยู่บ้างว่าผมเป็นคนมีเสน่ห์ในตัวเองค่อนข้างสูง แต่ผมก็คิดว่าพวกมันคงจะพูดแซวผมไปอย่างนั้นมากกว่า เพราะว่าผมยังไม่เคยเห็นเลยว่าตัวเองมีเสน่ห์อย่างที่พวกมันว่ากันตรงไหน
ในตอนแรกผมก็รู้สึกสนิทกับเพื่อนของผมแค่สองคนนี้มากกว่าคนอื่นๆ ที่จริง ผมต้องยอมรับด้วยซ้ำว่าเราใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากจนแม้แต่ผมเองก็ยังเคยแอบชอบไอ้ด้าไปด้วยเลยเหมือนกัน แต่ทว่าผมก็รู้นิสัยของมันดีพอที่จะรีบเปลี่ยนความคิดของตัวเองเสีย เพราะผมไม่อยากจะเสียเพื่อนที่ดีที่สุดของผมคนหนึ่งไป จนเมื่อเวลาผ่านไป กลุ่มของเราก็เริ่มใหญ่มากขึ้นโดยคนที่เข้ามาเพิ่มเติมก็คือผู้หญิงอีกสองคนชื่อ ฝนกับนก และรูมเมทของไอ้ด้าที่มันรู้จักกันมาตั้งแต่ก่อนที่จะมาสนิทกับผมเสียอีก ชื่อว่าไอ้อาร์ม
ไอ้อาร์มก็เป็นอีกคนหนึ่งที่หน้าตาดีมาก ที่บ้านมีเงิน และเป็นคนที่ผมเห็นว่ามีเสน่ห์มากอย่างแท้จริงคนหนึ่ง นอกจากนั้นแล้ว ดูเหมือนว่าเจ้าตัวเองก็จะรู้ตัวดีด้วยเหมือนกันนี่สิ ว่าตัวเองหน้าตาดีและมีเสน่ห์ เพราะว่าผมได้ยินชื่อเสียงเรื่องความเป็นเพลย์บอยของไอ้หมอนี่มาตั้งแต่ก่อนมันจะเริ่มเข้ามาสนิทกับกลุ่มของเราแล้วด้วยซ้ำ
พูดง่ายๆ เลยก็คือ ก่อนที่ผมจะมีโอกาสได้รู้จักกับมันอย่างจริงๆ จังๆ ผมยังเคยรู้สึกไม่ค่อยชอบมันเสียเท่าไหร่ด้วยซ้ำ เพราะตอนนั้นผมคิดไปเองว่ามันคงจะเป็นคนที่เจ้าชู้ กะล่อน และคงจะหยิ่งพอตัว แต่เมื่อเราเริ่มสนิทสนมกันมากขึ้น ผมก็จำต้องเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อมันไปโดยปริยาย เพราะที่จริงแล้ว มันเป็นคนที่จริงใจ ร่าเริง เปิดเผย ช่างเอาใจคนอื่น และไม่เคยแสดงความเห็นแก่ตัวออกมาให้ผมได้เห็นเลยแม้แต่นิดเดียว
“เฮ้ย ไอ้ต้า นี่ตกลงมึงเป็นเกย์จริงๆ เหรอวะ” ไอ้อาร์มถามผมขึ้นในบ่ายวันหนึ่ง ขณะที่เรานั่งทำงานรอเพื่อนคนอื่นๆ อยู่ในห้องสมุดด้วยกันแค่สองคน
ผมไม่ใช่คนแสดงออก และไม่คิดที่จะป่าวประกาศเรื่องนี้ให้ใครต่อใครรู้กันจนทั่ว แต่ผมก็ไม่อยากที่จะโกหกและปิดบังเพื่อนสนิทของผมด้วยเหมือนกัน ดังนั้นไอ้ด้ากับไอ้เอจึงเป็นสองคนแรกในมหาวิทยาลัยที่รู้เรื่องนี้ ตามมาด้วยคนอื่นๆ ในกลุ่มที่เหลือกับเพื่อนนอกกลุ่มที่ผมไว้ใจได้อีกแค่จำนวนหนึ่งเท่านั้น
“เออ ก็จริงอะดิ เรื่องแบบนี้มันจะโกหกกันไปทำไมวะ แล้วที่สำคัญ ทำไมมึงถึงเพิ่งจะมาถามอะไรกูแบบนี้เอาป่านนี้วะ ไอ้อาร์ม มึงเองก็รู้มาตั้งแต่แรกๆ แล้วนะเว้ย”
“เปล่าๆ กูก็แค่สงสัยขึ้นมาไง นั่งๆ มองหน้ามึงแล้วจู่ๆ กูก็คิดขึ้นมาอะ เพราะมึงมันก็หน้าตาดี สาวๆ เค้าก็ชอบมึงเยอะอยู่ กูคิดแล้วเสียดายแทนพวกผู้หญิงว่ะ เนอะ” มันฉีกยิ้มกว้าง
“เฮ้ยยย คนอย่างกูไม่ได้มีคนมาชอบเยอะแยะเหมือนมึงหรอก ไอ้เหี้ย ใครมันจะมาชอบกูวะ กูไม่เห็นเคยได้ยินสักคนเหอะ” ผมปฏิเสธ
“มึงเข้าใจผิดแล้วว่ะ ไอ้ต้า กูอะ อาจจะมีคนเอาไปคุยกันว่ากูหล่อ หน้าตาดี อะไรอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่ง เออ กูก็ยอมรับว่ากูหล่อจริง...”
“ถุ๊ยยย”
“หึๆ แต่ว่าที่จริงแล้วไม่ได้มีคนมาชอบหรือมาจีบกูเยอะแยะหรอกนะเว้ย คนอื่นแม่งเห็นกูเป็นคนเจ้าชู้กันหมดจนไม่มีใครเข้ามาคุยกับกูแล้ว” มันก้มลงมองดินสอกดที่หมุนไปมาอยู่ในมือ
“อ้าว แล้วมึงไม่ได้เป็นแบบนั้นจริงๆ เหรอวะ” ผมพูดติดตลก
“เห็นมะ ขนาดมึงยังเข้าใจกูว่าเป็นอย่างนั้นเลย” ไอ้อาร์มเอนหลังบิดขี้เกียจ “แต่ก็โทษมึงไม่ได้อะนะ เพราะว่ากูมันก็เสือกหน้าตาดีจริงๆ นี่หว่า” มันหันมายักคิ้วให้ผม
“ยังปากดีไม่เลิกไม่เท่าไหร่ แต่ทำหน้าตากวนตีนนักนะมึง!” ผมตบหัวมันเบาๆ “รีบๆ หางานต่อได้แล้ว ไอ้ห่า เดี๋ยวไอ้พวกนั้นมาแล้วเห็นงานไม่เดิน มึงกับกูก็จะโดนด่าตายห่าเอา”
“ใครวะ จะมาด่าเรา ไอ้เอรึไง ไอ้เหี้ยนั่นมันเคยด่าคนอื่นด้วยเหรอวะ”
“มึงไม่รู้อะไรซะแล้ว ไอ้เอน่ะ มันไม่ค่อยด่าใครก็จริง แต่ถ้ามันพูดขึ้นมาล่ะก็ เจ็บกันเป็นแถบๆ นะเว้ย แต่คนที่กูกำลังพูดถึงเนี่ย คือไอ้นกกับไอ้ฝนต่างหาก”
“เออ ฉิบหาย! กูลืมว่าไอ้นกมันก็จะมาด้วยนี่หว่า!” ไอ้อาร์มดีดตัวกลับมานั่งหลังตรง และเริ่มพลิกหน้าหนังสือต่อทันที
ในตอนนั้นผมก็รู้สึกสงสัยสิ่งที่มันพูดอยู่เหมือนกันนะ มันกำลังพยายามบอกผมว่าที่คนอื่นคุยกันว่ามันเป็นคนเจ้าชู้ มีผู้หญิงมาติดเยอะแยะนั้น ไม่เป็นความจริงอย่างนั้นเหรอ เพราะถ้าไม่ใช่แบบนั้น แล้วความจริงมันเป็นอย่างไรกันแน่ล่ะ ผมคิดที่จะลองถามมันต่อดู แต่ปรากฏว่าเพื่อนๆ ของเราก็เดินเข้ามาหาเราเสียก่อน ทำให้โอกาสของผมหมดลงไป
เวลาต่อมาในตอนเย็น หลังจากที่เราแยกย้ายกันออกจากห้องสมุดแล้ว ผมกับไอ้เอก็ไปกินข้าวกันสองคนที่ร้านอาหารแถวมหาวิทยาลัย ไอ้ฝนกับไอ้นกจะไปเดินเล่นกันต่อแถวสยาม ส่วนไอ้ด้ากับไอ้อาร์มก็กลับหอของมันไป ผมที่ยังคงสงสัยเรื่องที่ไอ้อาร์มพูดขึ้นเมื่อก่อนหน้านี้ จึงยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดกับไอ้เอ
“เรื่องไอ้อาร์มน่ะเหรอวะ... กูก็ไม่ค่อยรู้เรื่องของมันเท่าไหร่หรอก”
“นั่นน่ะสิวะ มึงเองก็ไม่ค่อยรู้เหมือนกันใช่มั้ยล่ะ แล้วแบบนี้ใครมันจะรู้วะ ไอ้ด้ามั้ง”
“ก็อาจจะนะ แต่ไอ้ด้าเองมันก็ไม่ใช่คนประเภทที่ชอบถามอะไรคนอื่นอยู่แล้วอีกนั่นแหละ”
“ก็จริงของมึง” ผมพยักหน้า
ไอ้เอเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผม “แล้วทำไมจู่ๆ มึงถึงสงสัยเรื่องของไอ้อาร์มมันวะ ไอ้ต้า”
“ไม่ใช่ว่าจู่ๆ กูก็สงสัยเว้ย คือไอ้อาร์มมันพูดแบบนี้กับกูไง กูก็เลยรู้สึกเอะใจน่ะสิ...” จากนั้นผมก็เล่าเรื่องที่ผมคุยกับมันให้ไอ้เอฟัง
“แต่ถ้าแบบนั้น มันก็พูดถูกของมันอยู่นะ” ไอ้เอตอบกลับหลังจากที่ผมเล่าจบ
“ยังไงวะ ไอ้เอ”
“ก็เรื่องที่ไม่ได้มีใครมาชอบมันมากมาย กับเรื่องที่คนมาชอบมึงยังเยอะกว่าน่ะสิวะ”
“เฮ้ย! จริงเหรอวะ กูเนี่ยนะ!”
“ก็เออน่ะสิ มึงน่ะคงไม่รู้ตัว แต่เท่าที่พวกกูรู้และได้ยินมาเนี่ย ก็มีผู้หญิงในคณะเราอยู่สี่คนแล้วนะเว้ย ที่เค้าแอบปลื้มมึงอะ ส่วนไอ้อาร์มน่ะ มีรุ่นพี่ที่ชื่อหญิงมาชอบแบบจ้องจะแดกจริงๆ แค่คนเดียวแค่นั้นเอง”
“ทำไมเป็นงั้นวะ กูนึกว่าสาวๆ จะชอบมันเยอะซะอีก” ผมสงสัย
“กูว่าก็คงอย่างที่มันบอกนั่นแหละ ว่าเพราะมันดูเป็นคนขี้เล่น เพลย์บอย ใครๆ ก็เลยได้แค่มองว่ามันหล่อดี แต่ไม่มีใครอยากเอาไง กูว่าเรื่องนี้มึงไปถามไอ้นกกับไอ้ฝนดูจะดีกว่ามั้ง ยังไงพวกมันก็เป็นผู้หญิง คงให้คำตอบที่ดีกว่ากูอะว่ะ”
“เออ ก็จริงของมึง งั้นสรุป มึงคิดว่าไอ้อาร์มไม่ใช่คนเจ้าชู้จริงๆ เหรอวะ สรุปคือมันไม่ใช่คนเจ้าชู้หรอกเหรอวะเนี่ย กูจำได้ว่ากูได้ยินเค้าพูดกันมาตั้งแต่ก่อนที่จะรู้จักมันอีกนะ”
“คนมันจะพูด มันก็พูดกันไป” ไอ้เอตอบพร้อมกับรวบช้อนส้อมอย่างเรียบร้อย “แต่เท่าที่กูรู้ กูก็ยังไม่เคยเห็นไอ้อาร์มมันควงใครอยู่นะ มันอาจจะเป็นคนอัธยาศัยดีก็จริง แต่คนที่มันจริงจังด้วย กูก็ยังไม่เคยได้ยินหรือเห็นว่ามีสักคน สิ่งที่กูรู้มาก็มีแค่มันเคยคบกับแฟนเก่าของมันมาตั้งแต่ม. 4 เท่านั้นเอง”
“ม. 4 เหรอวะ!” ผมตกใจ “งั้นมันก็คบกับแฟนมันมาตั้ง 3 ปีเลยอะดิ”
“ก็งั้นแหละ เพราะงั้นกูว่ามันก็อาจจะไม่ใช่คนเจ้าชู้อะไรอย่างที่ข่าวลือว่าก็ได้มั้ง ใช่มั้ยล่ะ”
“แล้วทำไมมันถึงเลิกกันล่ะวะ มึงรู้รึเปล่า”
“กูก็ไม่รู้ถึงขนาดนั้นหรอกเว้ย กูก็บอกไปแล้วไงว่ากูเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องของมันเท่าไหร่หรอก”
และแล้ว ในที่สุดบทสนทนาของเราก็จบลงแค่ตรงนั้น เมื่อไอ้เอเปลี่ยนเรื่องไปคุยเรื่องรายงานของเรากันแทน
จะบอกว่าผมเป็นคนช่างสงสัยก็ได้นะ เพราะผมก็รู้สึกสนใจอยากรู้เรื่องของไอ้อาร์มมากจริงๆ อาจจะเป็นเพราะว่ามันเพิ่งเข้ากลุ่มเรามาทีหลังคนอื่นก็ได้ล่ะมั้ง ในตอนนั้นผมถึงยังไม่ได้สนิทกับมันเหมือนอย่างที่ผมสนิทกับไอ้เอและไอ้ด้า และเท่าที่ฟังดูจากไอ้เอแล้ว ดูเหมือนว่ามันเองก็คงจะยังไม่ได้รู้จักไอ้อาร์มดี ไม่ต่างจากผมสักเท่าไหร่