ทั้งหมดนั่นคือเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเราสองคนในปีก่อน ซึ่งตอนแรกผมก็เชื่อคำพูดของมันทุกอย่าง เชื่อในทุกๆ สิ่งที่เรามีให้แก่กัน และเชื่อว่าเราสองคนจะยังเป็นเพื่อนรักที่สนิทกันดีได้เหมือนที่ผ่านๆ มา แต่ทว่าความเป็นจริงมันโหดร้ายนัก เมื่อสุดท้ายแล้วคำสัญญาของมันก็ถูกบิดเบือนไปด้วยผลกระทบจากเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้นเข้าจนได้
ผมก็ไม่คิดหรอกว่าสาเหตุที่ไอ้อาร์มมันเริ่มเปลี่ยนไปนั้นจะเป็นเพราะผม แต่ผมคิดว่าน่าจะเป็นเพราะการที่มันอกหักมากกว่า ถึงได้ทำให้มันเริ่มกลายเป็นคนเจ้าชู้และเที่ยวเก่งมากขึ้น มันเริ่มคบหาและจีบผู้หญิงมากหน้าหลายตาเยอะขึ้น ซึ่งสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดสำหรับผมไม่ใช่การที่มันทำแบบนั้นหรอก แต่เป็นการที่ผมแทบไม่ได้รับรู้เรื่องเหล่านั้นจากปากของมันเองเลยมากกว่า
ภายนอกโดยรวม เราสองคนก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม ยังคงเรียน ทำงาน ไปเที่ยว พูดคุยกันปกติ แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปลึกๆ ก็คือ ไอ้อาร์มแทบไม่ได้ปรึกษาปัญหาอะไรกับผมอีกต่อไป มันแทบไม่เล่าเรื่องของผู้หญิงคนที่มันไปคบหาอยู่ด้วยให้ผมฟังเลย และสิ่งๆ นั้นก็เป็นตัวการใหญ่ที่ทำให้ระยะห่างภายในใจของเราสองคนเริ่มขยายกว้างออกไปมากขึ้นทีละน้อยๆ
หลังสอบกลางภาคของเทอมสองได้ไม่นาน ไอ้อาร์มประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์แถวๆ ร้านเหล้าที่มันไปกินจนแขนขวาหัก ซึ่งสุดท้ายก็เป็นผมอีกนั่นแหละที่มันโทรหาเป็นคนแรก และเป็นคนที่คอยดูแลพยาบาลมันเป็นส่วนใหญ่เวลามันอยู่ที่บ้าน สลับกับไอ้ด้าในเวลาที่มันจำเป็นต้องมานอนที่หอ และในช่วงเวลาระหว่างนั้นเราก็ได้กลับมาใกล้ชิดกันเหมือนเดิม ไอ้อาร์มจึงเริ่มเล่าเรื่องของผู้หญิงคนที่มันไปจีบๆ อยู่ให้ผมฟังมากขึ้น ซึ่งถึงแม้ว่าผมจะดีใจที่ระยะห่างของเราดูจะลดลงเล็กน้อย แต่มันก็เจ็บปวดเหลือเกินที่ต้องมารับรู้ว่าคนที่เราแอบรักกำลังมีความสุขอยู่อย่างปกติสุขดีกับผู้หญิงคนอื่นที่เราไม่รู้จัก
หลังจากจบปีหนึ่ง เกรดของไอ้อาร์มที่ตกลงอย่างฮวบฮาบก็ทำให้พ่อกับแม่ของมันเรียกตัวกลับไปอยู่ที่บ้านเหมือนเดิมในที่สุด และนั่นก็เป็นอีกครั้งที่เราสองคนจำต้องห่างจากกันไปอีกเล็กน้อย แต่บางทีมันอาจจะเป็นแค่ความรู้สึกของผมคนเดียวก็ได้ เพราะที่จริงเราก็ยังได้คุยกันอยู่บ้าง ไม่ถึงกับหายหน้าจากกันไปเลย แต่ในช่วงปิดเทอมที่ผมไม่ได้เจอกับมันทุกวันเหมือนตอนมีเรียนก็ทำให้ผมรู้สึกเคว้งไปไม่น้อยเหมือนกัน
พูดได้เลยว่าช่วงปิดเทอมหน้าร้อนที่ผ่านมา เป็นช่วงที่ผมรู้สึกเหงามากที่สุดของที่สุดจริงๆ เพราะไอ้เอกับไอ้ด้าก็กลับบ้านที่ต่างจังหวัด ไอ้เพื่อนผู้หญิงอีกสองคนก็ไปเที่ยวต่างจังหวัดบ้าง อยู่กับครอบครัวบ้าง กับแฟนบ้าง ส่วนเพื่อนคนอื่นๆ ที่คณะ ผมก็ไม่ได้สนิทสนมมากถึงขนาดที่จะทำให้ผมรู้สึกคลายเหงาและสบายใจได้เท่ากับการอยู่กับพวกมัน นอกจากนั้น ไอ้คนที่ทำให้ผมรู้สึกเหงามากที่สุด ก็ดูเหมือนจะไม่ได้รับรู้เลยว่าทั้งๆ ที่เราสองคนอยู่ใกล้กันมากกว่าเพื่อนคนอื่นๆ แต่ความรู้สึกและความห่วงใยที่เรามีให้แก่กันมันกลับดูห่างไกลกันเหลือเกิน
“มึงคิดมากไปรึเปล่า ไอ้ต้า” ไอ้เอพูดกับผมทางโทรศัพท์ในคืนหนึ่ง “บางทีมึงอาจจะน้อยใจ อาจจะคิดมาก ก็เลยทำให้มึงคิดแบบนั้นไปเองก็ได้นะเว้ย”
“กูก็เคยคิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่... ไอ้เอ มึงก็เห็นไม่ใช่เหรอวะว่าพักหลังมานี้ไอ้อาร์มมันก็ดูห่างๆ ออกไปจริงๆ และที่สำคัญ มันกับกูไม่ได้คุยกันแทบทุกวันเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้วนะเว้ย มันไม่ปรึกษาปัญหากับกู ไม่เล่าเรื่องผู้หญิงของมันให้กูฟังเหมือนเมื่อช่วงที่มันแขนหัก แต่มันกลับไปคุยกับไอ้ด้าและกับมึงมากขึ้นแทน หลายครั้งนะเว้ยที่กูรู้สึกน้อยใจจริงๆ เวลาที่มึงสามคนคุยกันเรื่องคนอื่นๆ หรือเรื่องอะไรที่กูไม่รู้มาก่อนน่ะ แต่กูแค่ไม่เคยพูดเท่านั้นเอง”
“แต่กูรู้ ไอ้ด้าเองมันก็รู้”
“พวกมึงรู้เหรอวะ”
“เห็นหน้ามึงก็รู้แล้ว ไอ้ตูด”
“แล้ว... แล้วไอ้อาร์มมันไม่รู้รึไงวะ”
“อันนี้กูก็ไม่แน่ใจว่ะ แต่กูรู้แค่ว่ามันเองก็ไม่ใช่คนโง่หรอก”
“มึงหมายความว่าที่จริงมันก็รู้อยู่แล้วงั้นเหรอวะ แต่ถ้างั้นแล้วทำไมมัน...”
“นี่ ไอ้ต้า กูอ่านใจคนไม่ออกหรอกนะเว้ย กูไม่มีทางรู้ดีไปกว่าตัวไอ้อาร์มเองหรอก แล้วที่สำคัญคือกูเองก็ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างมึงสองคนด้วย เดี๋ยวก็ดูดี เดี๋ยวก็ไม่ดี อะไรก็ไม่รู้ และกูก็ไม่คิดจะถามด้วย แต่กูคงแนะนำมึงได้แค่อย่างเดียวว่า มึงลองไปคุยกับมันเองเลยดูดีกว่ามั้ยวะ เพราะยังไงไอ้อาร์มมันก็เป็นคนที่คิดอะไรก็มักจะพูดออกมาตลอดอยู่แล้ว และที่สำคัญกว่านั้น กูมั่นใจว่าถึงยังไง มันก็ยังคงรักมึงและแคร์มึงมากเหมือนเดิมอยู่ดีนั่นแหละว่ะ”
คำพูดของไอ้เอทำให้ผมต้องคิดหนักอีกครั้ง และมันยังทำให้ผมคิดไปถึงคำพูดของไอ้อาร์มที่มันบอกว่า ‘รัก’ ผม และ ‘จะไม่มีวันเปลี่ยนไป’ ในวันนั้นขึ้นมาอีกด้วย แต่ทว่ามันก็ไม่ได้ช่วยให้จิตใจของผมสงบลงได้เลย
ในช่วงต้นเทอมหนึ่งของการเป็นนักศึกษาปีสอง ผมก็เริ่มกลับไปหาเพื่อนคุยทางอินเตอร์เน็ตเพื่อคลายเหงาอีกครั้ง ไม่ว่าจะทั้งทางเฟซบุ๊ค เอ็มเอสเอ็น สไกป์ หรือแม้แต่แคมฟร็อก ซึ่งผมก็รู้หรอกว่ามันไม่ดี แต่อย่างน้อยๆ มันก็ช่วยทำให้ผมคลายเหงาลงไปได้อยู่บ้าง โดยคนที่รู้เรื่องนี้ก็มีไอ้เอแค่เพียงคนเดียว
ผมทำแบบนั้นอยู่พักใหญ่ๆ จนกระทั่งไอ้ด้าได้ตกลงรับปากเป็นครูสอนพิเศษให้ไอ้อ้วน และจนมันสองคนตกลงคบกันเป็นแฟนไปแล้วนั่นแหละ ความลับของผมถึงมาแตกเข้าจนได้ เมื่อมีผู้ชายคนหนึ่งที่ผมรู้จักจากทางแคมฟร็อกมาโพสข้อความลงบนหน้าวอลล์ของผมในเฟซบุ๊ค และไอ้อาร์มก็ดันมาอ่านเจอเข้าพอดี ทำให้มันแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน
วันนี้ พวกเราสามคนได้แก่ ผม ไอ้อาร์ม ไอ้เอ และไอ้ด้า ก็กำลังนั่งกินข้าวกลางวันด้วยกันอยู่ที่โรงอาหารของมหาวิทยาลัยด้วยบรรยากาศที่น่าอึดอัดอย่างที่สุด เพราะไอ้อาร์มมันยังคงโกรธผมอยู่
“ก็กูไม่ชอบ” มันพูดแบบห้วนๆ “และกูก็ไม่ชอบใจมึงด้วย”
“เออ กูรู้แล้ว... แต่กูก็บอกมึงไปแล้วไม่ใช่รึไงว่ามันไม่มีอะไรหรอก”
“กูจะรู้ได้ไงว่ามึงพูดความจริง ไอ้ต้า แต่ก็เอาเหอะ จริงๆแล้ว มึงจะเคยไปมีอะไรกับแม่งรึยังมันก็ไม่ใช่เรื่องของกูหรอก แต่มึงไม่อายมั่งเหรอวะ ที่เฟซมึงมีผู้ชายใส่กางเกงในตัวเดียวนั่งแหกแข้งแหกขามาโพสว่า ‘ยังน่ารักน่ากินเหมือนเดิม’ เหี้ยอะไรนั่นน่ะ”
ผมหน้าแดงขึ้นทันที เพราะว่าเรากำลังนั่งกันอยู่ในโรงอาหาร และมันก็ไม่ได้พูดเสียงเบาๆ ที่เราจะได้ยินกันแค่ในกลุ่มนี้ด้วย
“เฮ้ย ไอ้อาร์ม มึงไม่เห็นต้องพูดขนาดนั้นเลย” ไอ้ด้าปรามขึ้น ดูท่าทางว่ามันเองก็คงจะรู้สึกอายและกลัวคนอื่นจะได้ยินเหมือนกัน
“กูบอกไปแล้วไงว่ากูไม่เคยมีอะไรกับมัน และนี่มันก็ผ่านมาตั้งสามวันแล้วนะเว้ย มึงจะยังไม่หายโกรธกูอีกเหรอวะ แม่งงง” ผมส่ายหัวเบาๆ
“กูไม่ได้โกรธมึง แต่กูไม่ชอบ เหี้ยแม่งงง คนเป็นเกย์นี่แม่งน่ากลัวฉิบหาย มึงต้องเห็นรูปโปร์ไฟล์ที่มันใช้ว่ะ ไอ้ด้า แม่งโคตรทุเรศเลยว่ะ”
“มันก็ไม่ทุกคนหรอก” ไอ้เอพูดขึ้นบ้าง “กูว่านะ”
“กูว่าแม่งก็คงไม่ต่างกันนักหนาหรอกวะ” มันพ่นลมหายใจออกทางจมูก “แล้วตกลงมึงลบไอ้เหี้ยนั่นออกจากเฟรนด์มึงไปรึยัง ไอ้ต้า”
“ลบแล้ว...”
“เออ ดีแล้ว แล้วคนอื่นๆ ล่ะ ลบแม่งให้หมดเลยรึยัง แม่งงง มึงคุยกับไอ้คนพวกนี้ไปได้ยังไงวะ ไอ้เชี่ย แม่งมีแต่พวกหาเซ็กส์ หื่นๆ ทั้งนั้น”
สิ่งที่มันพูดก็มีส่วนถูกอยู่บ้าง เพราะผมคงปฏิเสธไม่ได้ว่าคนเป็นเกย์หลายคนก็ทำตัวแบบที่มันบอกจริงๆ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะคุยและชอบคนแบบนั้นนี่นา ผมเองก็เลือกคนที่จะคุยด้วยอยู่เหมือนกัน และผมก็ไม่ได้คิดที่จะหาคู่นอนผ่านทางอินเตอร์เน็ตแบบที่มันอาจจะกำลังคิดอยู่ตอนนี้ด้วย
“นี่ถ้าไอ้อ้วนเห็นมันจะรู้สึกยังไงวะ น้องกูมันรักมึงมากนะเว้ย มันเคารพมึงมากกว่ากูด้วยซ้ำ แต่มึงเสือกทำตัวแบบนั้นน่ะเหรอ ไปคุยกับผู้ชายคนอื่นในแคมฟร็อกเนี่ยนะเนี่ย”
“พอได้แล้วน่า ไอ้อาร์ม” ไอ้ด้าปรามอีกครั้ง “ไอ้ต้ามันก็ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้นนะเว้ย และไอ้กัสเองมันก็คงไม่คิดอะไรแบบนั้นหรอก”
“ช่างมันเถอะ ไอ้ด้า กูผิดเองจริงๆ นั่นแหละ กูมันเหี้ยเอง”
“นี่มึงประชดกูเหรอวะ ไอ้ต้า” ไอ้อาร์มนิ่วหน้าใส่ผม
“เปล่า... กูยอมรับผิดจริงๆ”
“ถึงน้องกูมันจะตกลงคบกับไอ้ด้าแล้ว และถึงกูจะยอมรับมันได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ากูอยากให้น้องกูเห็นต้นแบบเหี้ยๆ จากมึงแบบนั้นนะเว้ย จะบอกให้”
“มึงพูดเกินไปแล้วนะ ไอ้อาร์ม!” ไอ้เอพูดเสียงเข้ม “นี่เพื่อนมึงนะเว้ย คนที่มึงกำลังพูดถึงอยู่นั่นน่ะ มึงจะพูดเหี้ยอะไรก็คิดถึงจิตใจคนฟังด้วยเว้ย!”
“ก็กูพูดความจริงนี่หว่า คนผิดมันก็ต้องยอมรับผิดสิวะ กูบอกแล้วไงว่ากูรับไม่ได้ ที่แม่งไปคุยกับผู้ชายในแคมฟร็อกอะไรแบบนั้น มันมั่วอะ กูว่ามันทุเรศ”
“เออ! ไอ้เหี้ย!!” ผมทุบโต๊ะเสียงดังพร้อมกับลุกขึ้นยืน ผู้คนที่อยู่รอบตัวพวกเราต่างก็เงียบลงและหันมามองที่ผมเป็นตาเดียวกันทันที “ตกลงคือมึงเห็นกูเหี้ย เห็นกูทุเรศแบบนั้นไปแล้วใช่มั้ย! สรุปว่าตลอดเวลาปีกว่าที่กูกับมึงรู้จักกันมา กูไม่เคยมีอะไรดีในสายตาของมึงเลยใช่มั้ยวะ ไอ้อาร์ม!! มึงคงคิดว่ากูมันมั่วมากเลยงั้นสิ! ก็ได้! ถ้าแบบนั้น มึงก็ไม่ต้องมายุ่งกับคนเหี้ยๆ อย่างกูอีกเลยก็แล้วกัน!!”
ผมตะคอกใส่หน้าของมันด้วยความโกรธ ผมไม่เคยรู้สึกโมโหใครมากขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต ความเดือดดาลที่พลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่างทำให้ร่างกายของผมสั่นเทาออกมาเล็กน้อย
แม่งงง! ที่จริงผมรู้สึกราวกับจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้วด้วยซ้ำ!
“ไอ้ต้า! มึงใจเย็นๆ ก่อนเว้ย” ไอ้ด้ารีบลุกขึ้นยืนแล้วจับแขนของผมเอาไว้ “ไอ้อาร์มมันก็ไม่ได้คิดขนาดนั้นหรอก”
“ไม่คิดเหี้ยอะไร!!” ผมสะบัดแขนออก “กูเย็นไม่ไหวแล้ว ไอ้ด้า! กูรู้ว่ากูทำไม่ดี กูรู้ว่ากูทำให้มันผิดหวัง แต่แม่งเคยรู้มั่งรึเปล่าล่ะว่าที่กูต้องเหงา ที่กูต้องเป็นแบบนั้น ที่จริงแล้วมันเป็นเพราะอะไร! แล้วขอโทษทีเหอะว่ะ! กูเองก็แค่ ‘คุย’ แต่ไม่เคย ‘เอามั่วซั่ว’ แบบที่มันทำมาตลอดด้วยซ้ำ!”
จู่ๆ เสียงของผมก็เริ่มสั่น และน้ำตาของผมก็เริ่มไหลรื้นขึ้นมาอยู่ที่ขอบตา
“เฮ้ย ไอ้ต้า...”
“โทษทีว่ะ ไอ้ด้า ไอ้เอ” ผมหยิบกระเป๋าขึ้นแล้วรีบเดินออกจากโต๊ะที่พวกเรานั่งอยู่ไปทันที
ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งผ่านผู้คนจำนวนมากมายด้วยดวงตาที่พร่ามัวไปด้วยน้ำตา ผมเพิ่งได้รู้เดี๋ยวนี้เองว่าที่ผมรู้สึกโมโหจนแทบจะร้องไห้ในตอนแรกนั้นแท้จริงแล้วไม่ใช่ความรู้สึกโกรธ แต่หากเป็นความรู้สึกเสียใจและน้อยใจอย่างถึงที่สุด
คำพูดแต่ละคำของไอ้อาร์มบาดและกรีดลึกลงไปในหัวใจจนผมไม่สามารถทนพิษบาดแผลได้อีกต่อไป แต่ทว่าความเจ็บปวดที่เลวร้ายที่สุดนั้นกลับไม่ได้เกิดจากคำพูดเหล่านั้นของมัน หากแต่เป็นเพราะสิ่งเหล่านั้นถูกพูดออกมาจากปากของมัน คนที่ผมรัก และเคยบอกว่ารักผมต่างหาก
มัน... คนที่เคยบอกว่าเรื่องระหว่างเราจะไม่มีวันเปลี่ยนไป แต่ในวันนี้มันกลับมองผมด้วยความรู้สึกที่เลวร้ายและคงไม่มีวันกลับมาเป็นเหมือนเดิม
“แม่งเอ๊ยยยย!!” ผมสบถออกมาเสียงดังและค่อยๆ ชะลอฝีเท้าลง จากนั้นก็ใช้แขนเสื้อปาดน้ำตาออกจากหางตาของตัวเอง
“ต้า! ต้า!!” เสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังกระชั้นขึ้นเรื่อยๆ จากทางด้านหลังของผม
ผมหันกลับไปมองคนที่กำลังวิ่งเหยาะๆ ตรงเข้ามาหาผมด้วยความประหลาดใจ
“พี่อาร์ท”
“เป็นอะไรเนี่ย ทำไมจู่ๆ ก็เดินพรวดพราดไม่สนใจใครแบบนั้น พี่เรียกเราตั้งหลายทีแล้ว ไม่ได้ยินพี่เลยเหรอ”
“ต้า... ต้าไม่...”
“ต้าร้องไห้เหรอ! เกิดอะไรขึ้น ใครทำอะไรต้ามาเนี่ย มีปัญหาอะไร”
“เปล่า ไม่มีอะไรครับพี่” ผมปฏิเสธและตั้งท่าจะเดินหนีไป
“เดี๋ยว” เขาคว้าแขนของผมเอาไว้ “ฟังพี่นะ ต้า พี่รู้ว่าพี่ทำไม่ดีกับต้าไว้ แต่พี่ยังคงรักและเป็นห่วงต้าเหมือนเดิมนะเว้ย ที่ผ่านมาพี่ขอโทษ พี่เห็นเราเป็นแบบนี้แล้วพี่ก็ไม่สบายใจจริงๆ อย่างน้อยๆ ก็คิดถึงวันเวลาดีๆ ที่เรามีด้วยกัน เชื่อใจพี่สักนิด แล้วระบายออกมาให้พี่ฟังบ้างก็ได้”
เมื่อผมได้ยินสิ่งที่พี่อาร์ทพูดแล้ว น้ำตาของผมมันกลับยิ่งจะไหลรื้นมากขึ้นไปอีก ผมจึงต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้อย่างเต็มที่ และหันไปมองหน้าของพี่เขา
“งั้นเราไปที่หอพี่ก็ได้ครับ ต้าไม่อยากอยู่ที่ที่คนเยอะๆ”
หลังจากที่เราไปถึงที่หอใหม่ของพี่อาร์ทแล้ว ผมก็ดื่มเบียร์ที่เหลืออยู่ครึ่งโหลในห้องของเขาเข้าไปคนเดียวจนหมด นอกจากนั้นพี่อาร์ทก็ยังซื้อกับแกล้มขึ้นมานั่งกินเป็นเพื่อนผมด้วย ซึ่งพอผมเริ่มจะรู้สึกมึนๆ ขึ้นมาแล้ว ผมก็เล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้พี่อาร์ทฟัง ไม่ว่าจะเรื่องของผมกับไอ้อาร์มในห้องน้ำคืนนั้น เรื่องที่ผมเริ่มคุยกับคนในอินเตอร์เน็ต ไปจนถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสักครู่
ผมดื่มหนักมากทั้งเบียร์และเหล้าที่พี่อาร์ทซื้อเพิ่มมาให้ จนในที่สุดผมก็เริ่มจะไม่รู้ตัวแล้วว่าผมพูดหรือทำอะไรลงไปบ้าง จนกระทั่งสิ่งสุดท้ายที่ผมรู้สึกก็คือสัมผัสจากร่างกายของพี่อาร์ทที่แบกผมขึ้นไปนอนบนเตียง แล้วหลังจากนั้นผมก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย