ดวงใจจ้าวมังกร
Act.1 รัชทายาทผู้สาบสูญ
-------------------
...ตั้งแต่เล็กจนโต น้ำฟ้าไม่เคยสนใจในเรื่องราวลึกลับ มหัศจรรย์ เหลือเชื่อ มาก่อน ไม่ใช่เพราะต่อต้านหรือไม่ชอบ แต่เพราะเด็กหนุ่มมัวแต่วุ่นวายกับการทำมาหาเลี้ยงชีพของตัวเองตั้งแต่จำความได้
ในขณะที่เด็กคนอื่นเขามีพ่อแม่คอยอยู่เคียงข้างดูแลเอาใจใส่ แต่น้ำฟ้านั้นเป็นแค่เพียงเด็กกำพร้าของสถานสงเคราะห์เด็กในต่างจังหวัดแห่งหนึ่ง ที่ต้องช่วยเหลือตัวเอง หางานหาการที่เด็กอย่างตนพอจะทำได้ เพื่อที่จะมีรายรับเป็นของตัวเองส่วนหนึ่ง แล้วช่วยแบ่งเบาภาระครูใหญ่ของเขา ซึ่งเป็นเจ้าของสถานสงเคราะห์เด็กแห่งนี้อีกส่วน แม้ว่าคุณครูสมศรี สาวใหญ่ผู้แสนดี จะไม่เคยเรียกร้องผลตอบแทนจากเด็กในอุปการะของเธอเลยก็ตาม
“ครูครับ น้ำไปนะครับ”
เด็กหนุ่มหน้าใสยกมือไหว้อำลากับหญิงวัยกลางคนตรงหน้า ก่อนจะเดินออกจากบ้านพักไป เพราะไม่ค่อยได้กินอาหารดี ๆ บำรุงร่างกายกับเขานัก จึงทำให้น้ำฟ้าเป็นคนตัวค่อนข้างเล็กผิดวัย นอกจากนี้เขายังมีเส้นผมและนัยน์ตาเป็นสีน้ำตาลอ่อน ทำให้ดูโดดเด่นเวลาอยู่รวมกับเด็กคนอื่น และนั่นเป็นสาเหตุให้ตอนเด็ก ๆ น้ำฟ้ามักจะโดนเพื่อนเกเรแกล้งล้อเลียนเรื่องนี้เสมอ
“อย่าหักโหมมากนะน้ำ ถ้ามันเหนื่อยนักก็กลับมาบ้านเรานะลูก”
ครูสมศรีเอ่ยย้ำเตือนกับเด็กหนุ่มที่เธอรักไม่ต่างจากลูกชายของตน เพราะวันนี้น้ำฟ้าจะไปทำงานพิเศษรับจ้างขุดหลุมดิน ให้กับนักศึกษาที่มาวิจัยเรื่องดินกลุ่มหนึ่งแถวนี้ โดยได้รับการแนะนำจากเพื่อนบ้านที่สนิทกัน เพราะเห็นว่าเด็กหนุ่มอยากมีรายได้กับเขาบ้าง
“อย่าห่วงเลยครูสมศรี เดี๋ยวผมดูแลไอ้น้ำมันเอง”
นายเชิดเพื่อนบ้านที่คอยไปมาหาสู่ แวะเวียนมาเยี่ยมเด็ก ๆ ในสถานสงเคราะห์อยู่บ่อย ๆ บอกกับครูสาวเพื่อไม่ให้หล่อนเป็นกังวล
“ฉันฝากเชิดดูน้ำด้วยนะ ถ้าเขาทำไม่ไหว ก็อย่าให้เขาฝืน เรื่องเงินน่ะ ฉันก็พอหาเลี้ยงเด็ก ๆ ได้อยู่”
“โธ่! ครู ผมน่ะไม่ใช้แรงงานเด็กอย่างไอ้น้ำจนเกินไปหรอก นี่ก็กะให้เป็นแค่ผู้ช่วย คอยส่งข้าวส่งของให้เท่านั้นล่ะ ตัวเล็กอย่างมัน ขืนปล่อยให้ไปขุดดินขุดหลุมเป็นเมตร ผมโดนพวกนักศึกษานั่นด่าว่าใช้แรงงานเด็กพอดี”
ครูสาวใหญ่ยิ้มออกในที่สุด แล้วยืนส่งเด็กในปกครองขึ้นรถไปกับหนุ่มข้างบ้านจนลับตา พลางพึมพำขึ้นมาเบา ๆ ด้วยความเป็นกังวล
“หวังว่าคงไม่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นหรอกนะ สังหรณ์ใจแปลก ๆ ยังไงก็ไม่รู้”
สิบเอ็ดนาฬิกาตรง ท้องฟ้าที่เคยแจ่มใส ก็เริ่มมืดครึ้ม เมฆหนาดำทะมึนมารวมตัวกันจนน่าหวาดเสียว โดยเฉพาะกับกลุ่มนักศึกษาที่กำลังทำงานกันอยู่ในตอนนี้
“อะไรวะ! ไหนพยากรณ์อากาศบอกวันนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่งทั้งวันยังไงล่ะ!”
หนึ่งในนั้นโวยวายอย่างหัวเสีย แล้วพอฝนตกลงมาพวกเขาก็รีบเก็บข้าวของไปหลบใต้ต้นไม้แถวนั้น ส่วนน้ำฟ้าเตรียมตั้งท่าจะเก็บอุปกรณ์ของเชิดอยู่ ก็เลยยังไม่ได้วิ่งไปไหน จนเชิดที่วิ่งหลบไปก่อนต้องหันมาตะโกนเรียก
“ไว้แถวนั้นล่ะน้ำ ไม่ต้องแบกมาด้วยหรอก หลบมาได้แล้วเดี๋ยวจะเปียกหนักกว่านี้!”
น้ำฟ้าเงยหน้ามองคนพูด แล้วจึงวางพลั่วกับจอบไว้แถวนั้น พลางเตรียมจะวิ่งมาทางที่ทุกคนอยู่ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อจู่ ๆ ฟ้าก็ผ่าเปรี้ยงลงมายังต้นไม้ต้นหนึ่งใกล้ตัว เด็กหนุ่มเบิกตาโพลงด้วยความตกตะลึง เพราะต้นไม้ที่ถูกฟ้าผ่าขาดซีกกลาง กำลังล้มมายังตำแหน่งที่เขายืนอยู่พอดี
เสียงกรีดร้องโวยวายของกลุ่มนักศึกษาดังระงมเข้าหูเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่สติสัมปชัญญะของเด็กหนุ่มจะลางเลือนไป และมารู้สึกตัวอีกทีเมื่อบรรดานักศึกษาและนายเชิดเขย่าตัวเรียกสติอีกฝ่ายที่ยืนตะลึงเหม่ออยู่กับที่
“น้ำ! เป็นไงบ้าง บาดเจ็บอะไรไหม!”
“น้าครับ น้องเขาอาจจะช็อกก็ได้นะ ผมว่าเราพาน้องเขาไป โรงพยาบาลกันเถอะ”
นักศึกษาคนหนึ่งเสนอความเห็น และอีกหลายคนเห็นด้วย แต่ก็ต้องพากันสะดุ้งเมื่อเสียงเล็ก ๆ ของร่างเบื้องหน้าตนดังขึ้น
“...ทุกคน เกิดอะไรขึ้นหรือครับ”
เสียงพึมพำของคนที่ยืนช็อกดังขึ้นแผ่วเบา เรียกใบหน้ายินดีจากทุกคนในที่นั้นพร้อม ๆ กัน
“ฟ้ามันผ่าต้นไม้ล้มใส่น้ำยังไงล่ะ เคราะห์ดีนะ ที่มันล้มไม่โดน ไม่งั้นป่านนี้...โอย ไม่อยากจะคิด”
เชิดบอกแล้วถอนหายใจยาว ก่อนที่นักศึกษาบางคนจะพาเด็กหนุ่มไปนั่งพัก และหลายคนก็เริ่มสังเกตว่าท้องฟ้ากลับมาแจ่มใสเหมือนเดิมอีกแล้ว
“เกิดอาเพศอะไรกันนักกันหนา ดูท้องฟ้าสิ ยังกับไม่เคยมีฝนตกก่อนหน้านั้นเลยสักนิด”
“...ไหว้เจ้าที่เจ้าทางกันสักหน่อยดีไหม”
นักศึกษาสาวคนหนึ่งเสนอ ซึ่งเพื่อนชายของเธอก็หันไปมองหน้าเพื่อนอีกคน ก่อนจะถอนหายใจตามมา
“เอาก็เอา เจอแบบนี้เข้าก็ชักหวาด ๆ เหมือนกันแล้วว่ะ”
จากนั้นพวกเขาก็หันมาถามเชิดถึงเรื่องการเซ่นไหว้บวงสรวงเจ้าที่เจ้าทาง ซึ่งเชิดก็รับอาสาไปซื้อของที่ตลาดใกล้ ๆ นี้ให้ แล้วฝากนักศึกษาพวกนั้นดูแลน้ำฟ้าไปก่อน เพราะเท่าที่เห็นเด็กหนุ่มไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร มีแต่อาการช็อกและหวาดกลัวหลงเหลืออยู่เล็กน้อยในยามนี้แค่นั้น
ทางด้านน้ำฟ้า เด็กหนุ่มพิงกายหลับตาพักที่ใต้ต้นไม้ใหญ่แถวนั้น ส่วนนักศึกษาคนอื่นยังคงขยาดที่จะมาพักร่มอยู่ด้วย หลังจากได้เห็นฟ้าผ่าใส่ต้นไม้อีกต้นอย่างเต็มตาเมื่อครู่ที่ผ่านมา
พอน้ำฟ้าหลับลงเสียงพูดคุยของกลุ่มนักศึกษาก็ค่อย ๆ ลางเลือนไป ทว่าเสียงอื่น ๆ แปลกหูกลับแจ่มชัดเสียยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“อา...ในที่สุดก็พบฝ่าบาทจนได้ ข้าเชื่อมาตลอดว่าท่านยังทรงมีชีวิตอยู่”
“ใคร? พูดถึงใครกัน?”
“รออีกสักพักเท่านั้นฝ่าบาท ข้าจะส่งคนของเราไปรับพระองค์กลับสู่บ้านเกิดเมืองนอนของท่าน...ฮาร์โมเนีย”
เสียงนั้นค่อย ๆ เลือนหายไป พร้อมกับที่น้ำฟ้าลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาเห็นเชิดกับนักศึกษากลุ่มนั้นกำลังบวงสรวงเจ้าที่เจ้าทาง แล้วเริ่มลงมือทำงานต่อหลังจากนั้น
“น้าเชิด ให้น้ำช่วยนะครับ”
เด็กหนุ่มเดินไปบอกกับเชิด แต่อีกฝ่ายหันมาปฏิเสธด้วยใบหน้าจริงจัง
“ไม่ต้อง ๆ ไปนั่งพักก่อน เดี๋ยวงานเสร็จน้าจะพาน้ำไปให้หมอตรวจด้วย”
ไม่เพียงแต่เชิด แต่นักศึกษาคนอื่นก็คะยั้นคะยอให้เด็กหนุ่มไปพัก น้ำฟ้าจึงจำต้องกลับไปนั่งพักเงียบ ๆ อย่างจำใจ นึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาและความฝันแปลก ๆ ที่เผลอหลับไปเมื่อครู่ ก่อนจะพยายามสลัดความคิดกังวลทั้งหลาย ให้พ้นจากสมองไปเสีย
พอตกเย็น งานเสร็จน้ำฟ้าก็ถูกเชิดพาไปตรวจที่โรงพยาบาล แต่ก็ไม่พบอะไรน่าห่วง สร้างความโล่งใจให้กับชายหนุ่มยิ่งนัก
“ดีจริง ถ้าเธอเป็นอะไรไป ฉันก็ไม่รู้จะไปขอโทษครูสมศรียังไง”
“ไม่ใช่ความผิดของน้าเชิดสักหน่อย มันเป็นอุบัติเหตุต่างหาก”
น้ำฟ้าที่นั่งข้างคนขับแย้งเบา ๆ ส่วนเจ้าของรถกระบะเก่า ๆ หันมายิ้มให้กับเด็กชายที่เขารักเหมือนลูกเหมือนหลานคนนี้
“เอาเถอะ เรื่องมันผ่านมาแล้ว จะไปคิดให้กังวลก็ใช่ที่ ...ว่าแต่ไมได้เห็นอากาศแปรปรวนวิปริตแบบนี้มานานจนเกือบลืมไปแล้วนะ”
ท้ายประโยคเชิดพึมพำเบา ๆ กับตัวเอง แต่คนนั่งข้าง ๆ ก็ยังได้ยิน แล้วจึงหันไปถามอย่างสงสัย
“เคยมีปรากฏการณ์ธรรมชาติคล้าย ๆ แบบนี้ด้วยหรือครับน้า”
ชายหนุ่มหันมามองคนถาม แล้วยิ้มให้ก่อนตอบ
“มีสิ บางปีฟ้าเปรี้ยงปร้างทั้ง ๆ ที่ไม่มีฝนตกสักแอะ ...แล้วยังมีที่มหัศจรรย์กว่านั้นอีกนะ”
เชิดบอกยิ้ม ๆ ทำเอาน้ำฟ้าจ้องมองเขาอย่างสนใจและตั้งใจฟังในสิ่งที่ชายหนุ่มจะเล่าต่อมา
“มีอยู่วันหนึ่ง จู่ ๆ ฟ้าฝนก็ตกหนัก เสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าดังถี่ติด ๆ กัน ทั้งที่ก่อนหน้านั้นท้องฟ้ายังแจ่มใส ตอนนั้นน้าอายุพอ ๆ กับน้ำนี่ล่ะ น้าอยู่ในบ้านมองฝ่าสายฝนไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยสายฟ้าแวบวาบไปมา และถ้าน้าตาไม่ฝาด น้าเห็นว่าท้องฟ้ามันกลายเป็นหลุมดำใหญ่ ๆ อยู่สักพักแล้วก็กลับกลายเป็นปกติ ฝนค่อย ๆ หยุดตก ฟ้าผ่า ฟ้าแลบก็หายไป แต่พอน้าไปถามใคร ก็ไม่มีใครได้เห็นแบบน้า เพราะไม่มีใครมัวแต่ไปนั่งจ้องท้องฟ้าเหมือนน้า พอพูดไปก็เลยไม่มีใครเขาเชื่อ”
พอได้ฟังเชิดเล่าจบน้ำฟ้าก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างประหลาด ก่อนจะหลุดถามออกไปอย่างสงสัย
“ถ้าตอนนั้นน้าเชิดอายุพอ ๆ กับน้ำ ...เหตุการณ์ตอนนั้นก็ต้องตรงกับช่วงที่น้ำ...”
“ใช่แล้วล่ะ เป็นช่วงที่น้ำมานอนล้มอยู่หน้าบ้านครูสมศรียังไงล่ะ”
คำตอบที่ไม่แตกต่างจากที่คิด ทำให้น้ำฟ้ากำมือตัวเองแน่น เขารู้เพียงแต่ว่าตัวเองมาล้มลงในวันฝนตกที่หน้าสถานสงเคราะห์ที่มีครูสมศรีเป็นเจ้าของ แต่เขาไม่คิดเลยว่าอากาศวันนั้นมันจะวิปริตแปรปรวนเช่นดังที่เชิดเล่า
“น้าเชิดคิดว่า น้ำเป็นตัวโชคร้ายหรือเปล่า”
เชิดชะงัก มองคนพูดที่มีใบหน้าสลดก้มหน้าก้มตาข้าง ๆ แล้วจึงแย้มยิ้มอ่อนโยนก่อนขยี้ศีรษะของอีกฝ่าย
“เด็กโง่! น้ำเป็นเด็กดี คิดถึงแต่พี่น้องทุกคนในสถานสงเคราะห์ แถมยังคอยช่วยแบ่งเบาภาระให้ครูสมศรีมาตลอด ...แล้วจะเป็นตัวโชคร้ายได้ยังไง”
น้ำฟ้ายิ้มอย่างดีใจ ที่มีคนเห็นคุณค่าของเขา ทั้งคู่คุยกันสักพัก เชิดก็ขับรถมาถึงหน้าสถานสงเคราะห์ ชายหนุ่มแบ่งเงินให้น้ำฟ้าส่วนหนึ่ง ซึ่งน้ำฟ้าก็ปฏิเสธไม่ยอมรับ เพราะตนไม่ได้ช่วยอะไรเลย แต่ก็ถูกจับยัดใส่มือมาจนได้ น้ำฟ้ามองเงินแล้วพนมมือยกขึ้นไหว้ชายหนุ่มอย่างซาบซึ้ง เชิดยิ้มให้แล้วจึงขับรถกลับเข้าบ้านที่อยู่หลังถัดไปจากนั้น
“กลับมาแล้วครับครูสมศรี”
เด็กหนุ่มยกมือไหว้สวัสดีหญิงสาวที่มาเปิดประตูบ้านให้ แล้วจึงกลับเข้าไปในบ้านด้วยกัน พร้อมกับเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้หญิงสาวฟังอย่างไม่คิดจะปิดบัง สาวใหญ่ฟังแล้วก็ต้องตกใจ แล้วปรามไม่ให้น้ำฟ้าไปทำงานแบบนี้อีก แต่ก็ถูกแย้งด้วยเหตุผลว่ามันเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นได้ตลอด จึงทำให้ครูสมศรียอมรับฟัง แล้วเตือนให้เด็กหนุ่มทำงานด้วยความระมัดระวังอย่าประมาท ก่อนจะกำชับให้น้ำฟ้าเข้านอนไวกว่าทุกวัน เพราะอยากให้พักผ่อนให้เต็มที่นั่นเอง
ตกดึกคืนนั้น น้ำฟ้าต้องงัวเงียลืมตาตื่นขึ้นมา เนื่องจากได้ยินเสียงกรอกแกรกดังขึ้นนอกห้อง เขาเม้มปากแน่น แล้วเหลือบมองรอบห้องหาบางอย่างที่พอจะเป็นอาวุธป้องกันตัว เพราะเด็ก ๆ ที่สถานสงเคราะห์แห่งนี้ นอนไวและตื่นเช้าเป็นเวลา ไม่เคยมีใครคอยมาเดินให้น่าสงสัยกลางดึกแบบนี้ โดยเฉพาะที่หน้าห้องนอนของเขา
เสียงเปิดประตูห้องมาแผ่วเบา พร้อมกับฝีเท้าที่ราวกับย่อง ทำให้ร่างในผ้าห่มกลืนน้ำลายลงคอ
“อย่าอาฆาตกันเลยนะเจ้าชาย ...ข้าแค่ทำตามหน้าที่เท่านั้น”
เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นแผ่วเบา และน่าแปลก ทั้งที่เป็นภาษาต่างถิ่นที่ไม่ใช่ภาษาไทย แต่น้ำฟ้ากลับฟังออกและเข้าใจในคำพูดนั้นทั้งประโยค
‘เคร้ง!’
เสียงเหล็กกระทบเหล็กดังขึ้น เนื่องจากร่างในผ้าห่มยกฟุตเหล็กขึ้นมาปัดวัตถุแข็งที่กำลังเตรียมจ้วงร่างตัวเอง แสงสะท้อนจากพระจันทร์ส่งให้เห็นว่านั่นคือดาบเหล็กเรียวแหลม อย่างที่น้ำฟ้าเคยได้เห็นตามในหนังฝรั่ง เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอ เมื่อชายในชุดคลุมหน้าคลุมตาสีดำเดินก้าวเข้ามาหาเขาอย่างใจเย็น เสียงเปิดประตูจากบางห้องทำให้น้ำฟ้าตัดสินใจ พุ่งไปที่หน้าต่างเปิดมันออกแล้วกระโดดลงมาโดยไม่สนใจว่าตัวเองอยู่บนชั้นสอง เพราะไม่ต้องการให้คนอื่นในบ้านต้องมาเดือดร้อนด้วย
‘ตุบ!’
แทนที่จะกลิ้งลงมาอย่างหมดท่า แต่เด็กหนุ่มก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าตัวเองลงสู่พื้นอย่างแผ่วเบาและมั่นคง แต่น้ำฟ้าไม่มีเวลาคิดมากไปกว่านั้น เมื่อชายในชุดคลุมดำกระโดดตามเขาลงมาจากชั้นสองด้วยเช่นกัน
“อย่าคิดหนีให้ยากเจ้าชาย ท่านไม่มีทางหนีข้าพ้นแน่”
“คุณเป็นใคร...จะฆ่าผมอย่างนั้นรึ ผมไม่เคยรู้จักคุณมาก่อนด้วยซ้ำ!”
น้ำฟ้าพูดโต้ตอบ และเด็กหนุ่มก็ต้องชะงักเมื่อตัวเขาตอนนี้ พูดภาษาประหลาด ๆ เช่นเดียวกันกับอีกฝ่าย
“ท่านไม่รู้จักข้า แต่ข้ารู้จักท่านดี เจ้าชายเรโน รัชทายาทองค์โตแห่งอาณาจักรฮาร์โมเนีย!”
เด็กหนุ่มนิ่งอึ้ง กับเรื่องราวที่สุดแสนจะเหลือเชื่อ แต่ภาษาประหลาด ชายแปลกหน้า รวมถึงชื่อดินแดนที่พ้องกับความฝันเมื่อกลางวัน มันทำให้เขาไม่อาจคิดว่านี่เป็นแค่ตลกร้ายเฉย ๆ ได้
“ลาก่อน เจ้าชาย!”
ร่างในชุดคลุมดำเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงห้วนเย็นชา หลังจากสะบัดดาบใส่มือเด็กหนุ่มจนไม้ฟุตเหล็กหลุดลงไปกับพื้น พร้อมกับจ้วงดาบหมายตำแหน่งหัวใจของอีกฝ่ายตามมา
‘เคร้ง!’
เสียงดาบเหล็กกระทบกับอะไรบางอย่างที่แข็งไม่แพ้กัน ทำให้คนที่หลับตาปี๋ด้วยความกลัวตาย ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมอง แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อเหมือนจะมีกำแพงโปร่งใสขึ้นล้อมรอบตัวเขา
“ฮึ่ม! นี่คือพลังของรัชทายาทแห่งฮาร์โมเนียที่เขาร่ำลือกันสินะ ขนาดไม่ได้รับการสั่งสอนอย่างถูกวิธี ยังสามารถเรียกออกมาใช้ได้อีก!”
ชายในผ้าคลุมสบถเบา ๆ กับตัวเองอย่างหงุดหงิด ส่วนน้ำฟ้า พอเห็นเจ้าตัวเผลอ เขาก็รีบฉวยโอกาสนั้นวิ่งออกไปจากสถานสงเคราะห์เด็ก เพราะไม่อยากให้ใครในนั้นโดนลูกหลงจากเรื่องประหลาดของเขา
น้ำฟ้าวิ่งและวิ่งอย่างลืมตัวลืมตาย แต่ก็ไม่อาจเทียบเท่ากับฝีเท้าของนักฆ่าลึกลับที่ตามล่าเขาได้ เพียงไม่นานเขาก็ถูกอีกฝ่ายดักต้อนไปยังซอยตัน ที่ไม่อาจหาทางหนีได้อีก
“เล่นสนุกกันมาพอแล้ว ถ้าอาวุธทำอะไรท่านไม่ได้ แล้วพลังล่ะจะสามารถทำอะไรท่านได้หรือไม่!”
ขาดคำ ฝ่ามือของชายในผ้าคลุมลึกลับก็เปล่งแสงสว่างวาบ น้ำฟ้าเห็นเหมือนมีเปลวเพลิงอัดแน่นรวมกันเป็นก้อนอยู่บนฝ่ามือนั้น เขากลืนน้ำลายลงคอ สัญชาตญาณระวังภัยเตือนว่าสิ่งนั้นมันอันตราย เพียงแต่เขาไร้หนทางที่จะหนีในยามนี้เสียแล้ว
‘ไม่นะ...ทำไมต้องเป็นฉันด้วย...ฉันก็เป็นแค่เด็กธรรมดาคนหนึ่ง ที่ไม่มีพ่อแม่ก็แค่นั้น...ทำไมฉันถึงต้องมาถูกจ้องเอาชีวิตแบบนี้ด้วย...ฉันยังไม่อยากตายสักหน่อย!’
น้ำฟ้าหลับตาแล้วคร่ำครวญต่อชะตากรรมของตน แต่แล้วเด็กหนุ่มก็ต้องพบกับความตื่นตระหนก เมื่อพลังไฟที่พุ่งเข้ามาหาร่างของตน เกิดกระแทกกับกำแพงโปร่งใสล้อมรอบตัวเขาเป็นเสียงสนั่นหวั่นไหว แล้วพุ่งกระจายไปรอบด้าน บ้านไม้ ต้นไม้แถวนั้นติดไฟลุกท่วมอย่างรวดเร็ว น้ำฟ้ามองเพลิงที่ลุกท่วมพร้อมกับเสียงร้องเอะอะโวยวายของคนบริเวณนั้นด้วยความตกใจ เขาหวนคิดถึงใบหน้าของแต่ละคนที่เป็นเพื่อนบ้านใกล้เคียง แล้วก็ต้องกำมือแน่น พร้อมกับตะโกนลั่น
“ไม่นะ! หยุดสักที!”
ขาดคำของเด็กหนุ่มท้องฟ้าที่เคยปลอดโปร่งในยามค่ำคืนก็ก่อเค้าเมฆทะมึน พร้อมกับฝนที่ตกหนักลงมาอย่างรวดเร็ว ชายในผ้าคลุมดำมองพายุฝนที่เกิดขึ้นอย่างตกตะลึงเช่นเดียวกับน้ำฟ้า
“ไม่ได้การ มิติเริ่มปรวนแปรอีกแล้ว!”
น้ำฟ้าเงยหน้ามองบนท้องฟ้าเบื้องบน เขาเห็นเหมือนมีหลุมดำขนาดใหญ่ปรากฏอยู่บนนั้น ก่อนจะสะดุ้งเฮือกเมื่อชายในชุดคลุมดำพุ่งเข้าหาเขาตอนที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัว
“หึ ๆ พลังคุ้มกันยังไม่สมบูรณ์สินะ...”
“อึก...ยะ...หยุด...”
น้ำฟ้าพยายามดิ้นรนต่อสู้เมื่อลำคอของเขาถูกมือแกร่งข้างหนึ่งของอีกฝ่าย บีบหิ้วจนขาทั้งสองข้างลอยเหนือผืนดิน ทว่าก่อนที่สติสัมปชัญญะของเด็กหนุ่มจะดับวูบลง เขาก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนด้วยความเจ็บปวด ร่างของเขาทรุดฮวบนั่งลงกองกับพื้น เพ่งมองไปก็เห็นร่างในชุดขาวกำลังต่อสู้กับร่างในชุดผ้าคลุมสีดำอย่างดุเดือด ข้างหน้าของเขามีมือข้างหนึ่งตกอยู่ เลือดไหลนองไปพร้อมกับน้ำฝนที่เจิ่งพื้นดิน น้ำฟ้าเงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้า หลุมสีดำเริ่มขยายกว้างขึ้นอีกพร้อมกับสายฟ้าแลบเป็นแนวยาวสลับตำแหน่งไปมาบนนั้น
“พาฉันไปที...ใครก็ได้ ...พาไปให้พ้นจากที่นี่...”
เด็กหนุ่มพึมพำพร้อมกับสติที่เริ่มลางเลือนขึ้นทุกขณะ และสิ่งที่เขาได้เห็นเป็นครั้งสุดท้ายก็คือแสงสว่างจากสายฟ้าสายยาวที่พุ่งตรงออกมาจากหลุมดำ ลงมายังตำแหน่งที่เขานั่งอยู่พอดิบพอดี
--- TBC ---
แปะไปก่อนสำหรับตอนที่ 1 คุณพระเอกของเรายังไม่ออกค่ะ แต่จะโผล่ในตอนหน้าแน่นอน แล้วเจอกันค่ะ (จะพยายามลงทุกวันนะคะ ถ้าไม่ติดขัดปัญหาอะไร)