Honeymoon“โอ๊ยยยยยยยยย ปิดไม่ด้ายยยยยยยยยยยยยยยยยย” ผมเงยหน้าขึ้นมองต้นเสียงที่ตะโกนโหวกเหวกโวยวายอยู่คนเดียว หน้าตามู่ทู่ตัวก็นอนทับอยู่บนกระเป๋าเดินทางใบใหญ่อวบอ้วน ทำน้ำเสียงกระฟัดกระเฟียดแบบหงุดหงิดเต็มที จนสุดท้ายก็ยอมแพ้ลงไปนอนแผ่ทับกระเป๋าที่รูดซิบไปได้แค่เกือบครึ่งอย่างหมดแรง
“เฮีย…ช่วยอั๊วะล่วย…” ไอ้ตัวแสบยังคงนอนทับกระเป๋าอยู่อย่างนั้น ส่งสายตาวิ๊งๆ มาให้ผมที่นั่งเก็บเอกสารต่างๆ จัดเรียงเข้ากระเป๋าถืออย่างเป็นระเบียบ
“เฮ้อ… ปิดไม่ไหวก็ย้ายไปไว้กระเป๋าอื่นสิ” ผมบอกอีกฝ่ายไปด้วยสายตาแบบสมเพชมากกว่าสงสาร -*-
“ไม่ได้อ่า ใบอื่นก็เต็ม ถ้าเปิดอีกมีหวังระเบิด” ไอ้มิกกี้พูดพร้อมเขย่ากระเป๋าอีกสองสามทีหวังว่าจะให้มันแบนลงสักเซ็นก็ยังดี
“ก็เอาออกไปใส่กระเป๋าถือ”
“ไม่อาวววววววววว มันหนักกกกกกกกกกก”
ผมกับมันเถียงกันอยู่สักพักจนในที่สุดผมมองดูนาฬิกา ถ้าเกิดยังไม่ยอมลดลาล่ะก็มีหวังไปไม่ทันเช็คอินแน่ๆ จึงยอมละจากของตัวเองเดินไปดูไอ้หนูที่นอนแผ่หลาอยู่บนกระเป๋าใบเขื่องแทน
“เอ้า ลุกขึ้น” ผมยืนท้าวสะเอวมองอีกฝ่าย
“ไม่ล่ายยยยยยยยยย”
“ไม่ลุกขึ้นแล้วจะให้ช่วยยังไงหะ!?” เริ่มหงุดหงิดแล้วครับ ไอ้นี่มันตัวกวนประสาทจริงๆ ให้ตายเถอะ
“ก็…ก็ถ้าลุกแล้วของข้างในพุ่งออกมาแน่ๆ”
“แล้วจะให้…” ยังไม่ทันพูดจบไอ้มิกกี้ก็แทรกมาทันที
“เฮียก็ช่วยจับปากกระเป๋าให้มันหนีบๆ ลง เสร็จแล้วก็รูดซิปปรื้ดๆ เข้าใจเปล่า”
ผมถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะคุกเข่าลงทำตามที่ไอ้หนูบอก ช่วยกันคนละไม้คนละมืออยู่นานสองนานจนในที่สุดกระเป๋าก็รูดซิปปิดสนิท และถูกล็อกด้วยแม่กุญแจมิดชิดกันขโมย แอบหวังในใจลึกๆ ว่ามันจะไม่ระเบิดออกระหว่างเดินทางนะ ไม่งั้นไม่มีเหลือ… กุญแจล็อกไปก็เท่านั้น
“โอย เหนื่อยเลย” ไอ้ตัวแสบนอนแผ่หลาไหลลงมาตายข้างกระเป๋ามันเรียบร้อยแล้ว เหงื่อแตกซิกเลยทีเดียวแม้ห้องในโรงแรมจะเย็นเฉียบจากเครื่องปรับอากาศก็ตาม
“สมน้ำหน้า ใครบอกให้ซื้อเยอะขนาดนั้น” ผมอดที่จะประชดมันกลับไม่ได้ ก็เล่นเอาซะผมเกือบหมดตัว วิ่งเข้าวิ่งออกช็อปปิ้งอย่างบ้าคลั่ง หมั่นไส้จริงๆ ให้ตายสิวะ
“โหหหห นานๆ ทีน่าเฮีย บ่นจริงเลย” มันว่าพร้อมกับทำปากจู๋ใส่
“ไปอาบน้ำไป๊ จะได้โทรไปให้เค้าเรียกแท็กซี่เตรียมกลับได้แล้ว” ผมบอกอย่างไม่ใส่ใจ เอาเท้าเขี่ยก้นไอ้ตัวที่นอนกลิ้งเกลือกกับพรมนุ่มข้างล่างไม่ได้
“อืออออออออ”
ไอ้แสบอยู่ๆ ก็เอามือมาจับเท้าผมไว้ทั้งสองข้าง แล้วอ้าปากกัดซะงั้น แต่กัดเล่นเหมือนขบมากกว่าจะทำให้เจ็บครับ ทำไงได้ล่ะ…ผมก็หัวเราะออกมาด้วยความจั๊กจี้พร้อมกับด่ามันไปทีว่าเล่นอะไรสกปรก มีเหรอที่คนอย่างมิกกี้จะสลด ได้ทีก็เล่นงับขาผมใหญ่ยังกับหมา สรุปผมได้ตัวอะไรมาเลี้ยงกันแน่เนี่ย -*-
สงสัยมันจะเพลินจัดที่เห็นผมหัวเราะด้วยความจั๊กจี้แถมยังสะบัดไปมา… ก็เข้าใจครับเพราะนานๆ ทีจะมีชัยกะเค้าบ้าง แต่ไหงมันถึงขบไปขบมาลามเรื่อยจนเกือบถึงเป้ากางเกงได้…
“งั่ม” เหมือนมันเองจะไม่รู้ตัวที่เผลอมาทำงั่มๆ ตรงเป้ากางเกงผม ช่วยไม่ได้นี่ครับเลยเผลอเกร็งตัวและมองตามใบหน้าน้อยๆ ที่ซุกเข้ากับเป้าตัวเอง ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา…
“ง…แง่ม” ในที่สุดมันก็รู้ตัว เงยหน้าขึ้นมามองตาที่เป็นประกายวิงวับของผมแบบแปลกๆ แล้วจึงค่อยๆ ผละหน้าออกก่อนจะโบกมือบ๊ายบาย แล้วชี้นิ้วไปที่ห้องน้ำเป็นเชิงว่า ‘ไปอาบน้ำแล้วนะ’ และคลานกระดึ๊บๆ แบบระวังปนระแวงไปด้วย
“จะไปไหน หืมมมม?” ผมคว้าเข้าที่ข้อเท้าไอ้หนูจนร่างนั้นชะงักอย่างจัง มันทำท่าเอาเล็บขูดข่วนพรมจนเป็นรอยทางยาวพร้อมกับร้องเสียงโหยหวน
“ม่ายยยยยยยยยยยยยย” อะไรจะเว่อร์ขนาดนั้น เอารางวัลออสการ์ไปเลยมั้ย -*-
“ไม่เล่นต่อแล้วเหรอ จะไปไหนล่ะเรา?” ผมเอาอีกมือมาช่วยดึงไว้ แต่มิกกี้ก็รีบคว้าขอบบานประตูเพื่อยึดเหนี่ยวทันทีเมื่อรู้ว่าต้านแรงผมไม่ไหว
“ไปอาบน้ำแล้วค้าบบบบบบบบบบบบ”
“เดี๋ยวค่อยอาบก็ได้มา… มานี่ก่อนมา หึหึ” ผมทำเสียงทุ่มในลำคอก่อนจะก้มลงงับที่ส้นเท้าอีกฝ่ายด้วยความหมั่นเขี้ยว
“อ๊ากกกกกก เสียววววว”
ผมเผลอปล่อยกร๊ากออกมาอย่างลืมตัว ก็อยู่ๆ มันเล่นร้องออกมาเสียงดังว่าเสียวแบบนี้จะไม่ให้ขำได้ไงล่ะครับ ไม่รู้ในสมองมึนๆ นั่นคิดอะไรอยู่ ทันทีที่ตัวเองหลุดพ้นจากพันธนาการ ไอ้มิกกี้ก็วิ่งปร๋อหยิบผ้าขนหนูแล้วเข้าห้องน้ำไปทันที ปล่อยให้ผมหัวเราะท้องคัดท้องแข็งอยู่คนเดียว
ก่อนจะหันมาจัดกระเป๋าให้ตั้งขึ้นและรวมมันไว้เป็นที่เป็นทาง ถอดเสื้อตัวเองออกแล้วเดินตามอีกฝ่ายเข้าไปในห้องน้ำบ้าง…
“เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!”
ผมร้องเสียงดังด้วยความตกใจ เหี้ยเอ้ยยยยยยยยยยยย แมร่ง อยู่ดีๆ ก็มีมือเข้ามาตะปบที่กระจกบานมัวกั้นระหว่างฝักบัวและอ่างล้างหน้า ยิ่งเพราะความขุ่นของกระจกทำให้มองไม่เห็นอะไรข้างในนอกจากรอยมือที่ขีดขึ้นขีดลงและเสียงน้ำไหลซู่ซ่าเป็นระยะ
“ฮ่าๆๆๆๆๆ”
เสียงไอ้หนูหัวเราะด้วยความสะใจมาจากข้างในทำให้ผมถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก ห่าเอ้ย เล่นอะไรไม่เข้าท่า แต่ละวันที่อยู่กับมันนี่เหมือนทำให้ชีวิตสั้นลงเรื่อยๆ หาเรื่องมาอำมาทำให้ปวดหัวไม่หยุดไม่หย่อน
“ตกใจอ่ะดิ๊” มิกกี้โผล่หัวออกมาจากช่องกั้น ก่อนจะยิ้มกว้างกว่าเดิมเมื่อเห็นผมเอามือยันกับอ่างล้างหน้าไว้แล้วหายใจระรัวเพื่อปรับอาการตื่นตกใจของตัวเองให้เป็นปกติ
“….เล่นอะไรบ้าๆ”
บอกแล้วใช่มั้ยครับว่าไอ้นี่มันไม่เคยสลด กลับไปอาบน้ำฮัมเพลงลัลล้าด้วยความสบายใจต่อ จนกระทั่งผมกลับเข้าสู่ภาวะปกตินั่นแหล่ะ เลยแอบเปิดบานกระจกเบาๆ และย่องเข้าไปใกล้อีกง่ายจนแผ่นหลังมันติดกับหน้าอกผมเต็มๆ
“เอ้ยยย เฮียยย ที่ตั้งเยอะมาเบียดทำไมเนี่ย” ปากว่างั้น มือก็พยายามเช็ดหน้าเช็ดตาเอาละอองน้ำที่ติดอยู่ออกไปด้วย
“ก็กลัวอ่ะ เดี๋ยวไอ้ผีตัวเมื่อกี้มาหลอกอีก” ผมไม่พูดเปล่า แต่เอามาโอบรอบเอวมันและลูบบนหน้าท้องแน่นเบาๆ
“เมื่อกี้มันแคสเปอร์ผีน่ารัก….แต่ตัวเนี้ยอ่ะ ผีทะเล แข็งมาเชียว” ไอ้หนูไม่ได้พูดเปล่าแต่เอื้อมมือมาด้านหลังคว้าหมับเข้าที่ลูกชายของผมที่กำลังกึ่มได้ที่พอดี
“หึหึ” ไม่ตอบ ได้แต่ขยับสะโพกเอาส่วนหน้าของตัวเองถูไถไปกับร่างกายไอ้หนูเล่นอย่างนั้น
“อือออ ไม่เอาเฮีย…รีบไม่ใช่เหรอ” ปากบอกไม่เอา แต่เสียงนี่สั่นไปแล้วครับไอ้หนูน้อยของผม
“…ไปด้านนอกกันเถอะ”
“ไม่อาวววว เฮีย…อย่าดิ”
“ไปนะ…นะครับ”
ด้านนอกที่พูดนี่คือห้องน้ำอีกส่วนครับ ห้องที่เราพักเป็นก้องกึ่งสวีทที่ค่อนข้างใหญ่ จุดเด่นของเค้าคือห้องน้ำมีสองมุม มุมที่ใช้ทำกิจวัตรประจำวันทั่วไป และมุมที่ใหญ่ไม่แพ้กับห้องนั่งเล่นเลยทีเดียว มีอ่างวจากุชชี่ขนาดใหญ่ตรงกลางพร้อมกับเครื่องอำนวยความสะดวกมากมาย ที่เด็ดสุดคือมันล้อมรอบด้วยกระจกใส สามารถมองลงไปเห็นวิวเกาะฮ่องกงดิอย่างทั่วถึงเลยทีเดียว
แล้วจะเหลือเหรอครับ…ผมลากไอ้มิกกี้ไปเล่นที่ห้องนั้นตั้งแต่วันแรกที่เรามาถึงแล้ว
“รีบไม่ใช่เหรอ…อือออ” ปากที่ร้องประท้วงก็เจอผมเชยคางให้มาประสานจูบเป็นที่เรียบร้อย ระทวยเลยครับที่นี้ จากที่ห้ามๆ ไหงกลายเป็นว่าส่งลิ้นเข้ามาแลกกันนัวเนียไปหมดซะงั้น
“ก็รีบๆ ทำ รีบๆ เสร็จไง” ผมว่าแล้วดันอีกฝ่ายให้หันหน้าเข้ามาหากัน ก่อนจะคว้ามือน้อยๆ นั่นมาจับท่อนแข็งกลางลำตัวของผมอีกครั้ง มันเองก็รู้ดีว่าต้องทำอย่างไรจึงขยับรูดขึ้นไปมาอย่างชำนาญ
“ท…ทำแค่ข้างนอกนะ ข้างในยังเจ็บอยู่เลย” มันว่า ผมก็พยักหน้าก่อนจะยื่นปากไปหอมแก้มน้ำหลายๆ ฟอดด้วยความหมั่นเขี้ยว ลามมาจนถึงริมฝีปากสีสด กดย้ำอยู่อย่างนั้นก่อนจะแลกจูบกันไปมาเสียงน้ำลายเหนอะหนะสลับกับเสียงรูดรั้งท่อนเนื้อกลางสายน้ำเรียกอารมณ์ภายในให้ปะทุรุนแรงกว่าเดิม
ผมเองก็ไม่ลืมที่จะคว้าหมับเข้าที่ลูกชายมิกกี้และทำไปด้วยเป็นจังหวะเดียวกัน…
“อือ….เฮีย… อึก…” ร่างกายสีขาวซีดนั้นเริ่มเกร็งแน่น พร้อมกับเสียงกลั้นลมหายใจทำให้ผมรู้ว่าอีกฝ่ายใกล้ถึงฝั่งฝันแค่ไหนแล้ว จึงยิ่งเร่งมือขึ้นจนกระทั่งหน้าท้องนั้นบีบรัดขึ้นจนเห็นเป็นลูกๆ และน้ำสีขาวใสพุ่งออกมา…ไม่มากเท่าไรนัก มีเพียงแค่พอให้เลอะที่ปลายนิ้วของผม สุดท้ายก็ละลายหายไปกับสายน้ำ ไม่แปลกใจเท่าไรเพราะในช่วงหยุดยาวมานี่พวกผมปลดปล่อยกันไม่รู้กี่หนถึงกี่หน… มีของเหลวออกมาได้ก็ดีแค่ไหนแล้ว แสดงว่าร่างกายยังคงแข็งแรงผลิตออกมาได้ทันใช้อยู่
เมื่อเห็นอย่างนั้นผมจึงปล่อยมือออกจากท่อนลำเจ้าหนู มาจับหมับของตัวเองที่ถูกอีกฝ่ายปล่อยให้เป็นอิสระมาพักนึงแล้วด้วยความเสียว รูดรั้งด้วยความรวดเร็วหมายให้ถึงปลายทางในระยะเวลาไม่ต่างกัน
“อืมม มิกกี้….อาาาา”
สุดท้ายของผมก็ไม่ต่างจากของไอ้หนูเท่าไร มากกว่าเพียงนิดหน่อยเท่านั้น หอบตัวโยนได้ไม่ทันไรไอ้แสบของผมก็ดึงเอาสายฝักบัวมารดเข้าที่ตัวเราสองคนอย่างรวดเร็ว
“หึหึ…ค่อยโล่งขึ้นมาหน่อย”
“รีบอาบเลยยยยย” มันโวยวายแล้วหันหลังให้ผมซะงั้น เลยต้องหยิบขวดสบู่เหลวมาบีบใส่มือก่อนจะลูบไล้ผิวกายคนข้างหน้าสลับกับตัวเองไปด้วย
“อาบอยู่นี่ไง…ถูให้ด้วยสิ” สงสัยจะยังเหนื่อยจากกิจกรรมเมื่อกี้เสียงผมเลยแหบแห้งดูหื่นกว่าปกติ เลยโดนไอ้มิกกี้มันหันมาทำหน้ามุ่ยค้อนให้ซะวงใหญ่
“เฮียยยยยยยยยย” ไม่นานเสียงคนตรงหน้าก็ร้องขึ้นมาอีกครั้ง แต่เสียงมันดูแปลกๆ นะ สั่นชอบกล แล้วผมก็เผลอยิ้มออกมาอีกไม่ได้เมื่อมันตีมือผมเป็นการยกใหญ่ ก็ช่วยไม่ได้นี่นา… สบู่มันลื่นเลยเผลอเอานิ้วผลุบเข้าไปในร่องก้นมันนิดเดียวเอง ทำไมต้องโมโหกันด้วยเนี่ย
“โอเคๆ ไม่เล่นแล้ว หึหึ รีบล้างตัวป่ะ”
ว่าแล้วเจ้าหนูก็ทำตามที่บอกอย่างรวดเร็ว กระโจนออกจากห้องน้ำก่อนผมไปเช็ดเนื้อเช็ดตัวและวิ่งออกไปจากห้องน้ำเลย ทำเอาผมหัวเราะในลำคอไม่หยุด
“เฮ้อออ ไม่อยากกลับเลย” เสียงเจ้าตัวบ่นเจื้อยแจ๊วก่อนจะลากกระเป๋าตัวเองมาหน้าห้องพักในโรงแรม กวาดสายตามองรอบๆ ห้องด้วยความเสียดาย
“ไม่เป็นไรน่า มีเวลาแล้วค่อยมาใหม่…” ผมว่างั้น พร้อมกับตรวจตราดูข้าวของในห้องอีกรอบว่าเอาออกมาครบหรือยัง
“ไม่เอา…”
“หืม? ไม่อยากมาแล้วเหรอ?”
“ไม่อยากมาที่นี่แล้ว คราวหน้าไปญี่ปุ่นกันนะเฮีย” นั่นไงล่ะครับ หาเรื่องไปที่ๆ แพงกว่าจนได้ ที่จริงเรื่องเงินน่ะไม่ใข่ปัญหาหรอก แต่แค่หมั่นไส้มันเท่านั้นแหล่ะ มันน่ากัดให้เนื้อขาดนัก!
“ก็ขยันทำงาน เก็บตังค์ แล้วจะได้ไปกัน โอเค?”
“โหหหห ไรอ่ะ ไหนบอกว่าเดี๋ยวจะเลี้ยงเอง ไม่ต้องทำอะไร นั่งกระดิกขาก็ให้เงินเดือนฟรีๆ เดือนละ สามหมื่น โกหกนี่หว่า ขี้จุ๊นะเบเบ๋” ผมล่ะอยากจะหัวเราะพรืดออกมา ก็มันเล่นทำหน้าทำตาเหมือนแดนเซอร์พี่เบิร์ดยังไงยังงั้น
“จะเกาะแฟนกินว่างั้น?” ผมยักคิ้วขึ้นข้างนึงก่อนจะลงมือปิดประตูห้อง และลากกระเป๋าออกมา โดยมีเจ้าหนูเดินตามมาด้วยไม่ห่าง
“ก็แฟนรวยอ่ะ จะทำไม อิจฉาอ่ะดิ๊” มิกกี้ยังคงเล่นหูเล่นตาไม่หยุดหย่อน
“งั้นก็ต้องทำหน้าที่แฟนให้ดี อย่าขาดตกบกพร่องด้วยล่ะ เข้าใจมั้ย?” ผมหยุดที่หน้าลิฟท์ ก่อนจะยื่นปากเข้าไปใกล้หน้าไอ้หนู และทำท่าจะงับจมูกจนมันต้องหยุดชะงักและเถิบใบหน้าหนี
“…แล้วหน้าที่แฟนมันมีไรบ้างล่ะ ทุกวันนี้ก็เป็นแฟนที่ดีอยู่แล้ว คราวหลังก็อย่าลืมมอบโล่ให้ด้วยนะ หาดีกว่านี้ไม่มีแล้ววว ขอบอกกกกก” มิกกี้ลอยหน้าลอยตา จมูกเชิดรั้นขึ้นจนน่าบีบซะจริงๆ
“อืมมม ก็กลับมาบ้านต้องมีอาหารของคาวของหวานให้พร้อม ถามสามีทุกครั้งว่า ’เป็นไงบ้างคะที่รัก ทำงานแหนื่อยมั้ย วันนี้น้องทำกับข้าวไว้ให้แล้ว จะอาบน้ำหรือทานข้าวก่อนดี’ ถ้ากินข้าวก่อนก็ต้องมานั่งนวดไหล่นวดเท้าให้ด้วยระหว่างกิน แต่ถ้าอาบน้ำก่อนก็ต้องตามมาอาบน้ำถูสบู่ให้พร้อมกับนวดไปด้วย อ้อ ที่สำคัญต้องใส่ผ้ากันเปื้อนตัวเดียว ข้างในไม่มีอะไรด้วยนะ….ที่สำคัญเวลานอนก็ต้องทำให้เป็นกิจวัตร เข้าใจมั้ย ปรนเปรอบนเตียงน่ะ…”
“มากไปแล้วมั้ยยยยยยยยยยย แบบนั้นไปจ้างคนอื่นเหอะ เชอะ” ไอ้หนูหน้างอยิ่งกว่าตะหลิว แล้วสะบัดหน้าหนี
“อ้าว ทำไม่ได้เหรอ..เอ แล้วจะไปจ้างใครดีล่ะ แต่ไม่น่าจะหายากเท่าไหร่นะ เงินก็ดี งานก็ง่ายๆ แบบนี้” ผมแกล้งทำเป็นคิด ถ้าจะพูดจริงๆ ก็หาได้ง่ายแหล่ะครับ ยิ่งในยุคเศรษฐกิจแบบนี้ ก็แค่เหมือนอาเสี่ยเลี้ยงเด็กนั่นแหล่ะ พูดไปนั่น…ทุกวันนี้ก็รู้สึกเหมือนเข้าไปทุกทีแล้วแหะ -*-
“เฮียยยยยยย”
สงสัยจะโมโหจัด ไอ้มิกกี้หันหน้ามทางผมแล้วใช้สองมือดึงคอเสื้อให้ก้มต่ำลง และทันใดนั้น…มันก็เอาหัวเหน่งโขกเข้ามากับหน้าผากผมทันที
“โอ๊ยยยยยย!” เห็นดาวเลยสิครับงานนี้ มึนไปชั่วขณะ จังหวะเดียวกันลิฟท์ก็มาพอดี ไอ้มิกกี้รีบวิ่งเข้าไปในลิฟท์ ก่อนจะรีบกดปุ่มให้ปิดหนีระรัว แต่จะไปทันผมที่ไหน ถึงจะยังตาลายอยู่ก็เถอะ ผมรีบเอามือเข้าไปขวางไว้พร้อมกับดันกระเป๋าเข้ามาก่อนที่ลิฟท์จะปิดลง
“โกรธเหรอ…?” ผมถามอีกฝ่าย พร้อมกับเขยิบเข้าใกล้ ยิ่งใกล้มันก็ยิ่งเขยิบออกจนตัวไปติดกับขอบลิฟท์ไม่มีทางให้หนีได้อีก
“มิกกี้…” ยังเงียบครับ ยังเงียบ…
“ล้อเล่นน่า… จะให้ไปจ้างใครที่ไหนเล่า บอกตั้งกี่ครั้งแล้วว่าตัวเดียวก็เหนื่อยเต็มทนละ” ผมเอาแขนคล้องเข้าที่คออีกฝ่ายพร้อมกับดึงเข้ามาใกล้มากยิ่งขึ้นจนตัวเราติดกันแนบชิด
“เหนื่อย…มากมั้ย” ไอ้ตัวแสยถามเสียงเบา พร้อมกับลิฟท์ที่เลื่อนลงเรื่อยๆ ราวกับเป็นใจเพราะไม่ต้องจอดที่ชั้นใดทั้งสิ้น
“มาก… โดยเฉพาะตอนเสียน้ำ เหนื่อยสุดๆ” ผมรีบเอาแขนมากั้นศอกเจ้าหนูที่กำลังกระทุ้งมาโดนท้องตัวเอง ก่อนจะหัวเราะออกมาด้วยความสุข
“…เหนื่อยคนเดียวซะที่ไหน” มันว่า ก้มหน้างุดๆ
“อือเนอะ เหนื่อยทั้งคู่เลย แสดงว่ารักกันทั้งคู่ใช่มั้ย?”
ผมเผลอยิ้มออกมา เอ็นดูไอ้คนตรงหน้าที่ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมายิ้มบ้าง พร้อมกับยกนิ้วมาเกลี่ยปากผมเล่นซะงั้น แต่สงสัยจะสวีทไม่เป็นที่เป็นทางเท่าไหร่ ผมกำลังจะก้มลงไปจูบที่นิ้วมือบางนั้นและเลยไปที่ริมฝีปากสีสวย แต่อยู่ๆ ประตูลิฟท์ก็เปิดออกกะทันหัน เล่นเอาผู้หญิงใส่ชุดสูทซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นพนักงานของโรงแรมผงะไปในทันที
“อ..อะ แอมซอรี่” เธอละล่ำละลักกล่าวขอโทษด้วยสีหน้าตื่นตระหนก แล้วก้าวถอยหลังแก ผงกหัวหงึกๆ ทันที
จนผมต้องบอกออกไปว่าไม่เป็นไรและเชิญให้เธอเข้ามาในลิฟท์ เธอส่ายหน้าและขอตัวอีกครั้งก่อนที่ผมจะยืนยันหนักแน่นให้ลงไปด้วยกันจะได้ประหยุดค่าลิฟท์ เธอจึงค่อยๆ ก้าวเข้ามาและยังคงผงกหัวขึ้นลงเป็นเชิงขอโทษด้วยความเกรงใจแบบสุดๆ เล่นเอาผมหายเขินเลยทีเดียว เพราะเจอคนที่เขินกว่าแล้วนั่นเอง…
ในที่สุดเราก็ลงมาล็อบบี้ด้านล่าง เช็คเอาท์เรียบร้อยก็ขึ้นแท็กซี่ที่โรงแรมจัดไว้ให้แล้วเดินทางไปยังสนามบิน ผู้คนมากมายที่สนามบินทั้งกำลังดูตารางเที่ยวบินและต่อแถวรอเช็คอินเพื่อเข้าเกทเต็มไปหมด ส่วนผมนั้นไม่ต้องไปต่อแถวให้รำคาญใจเพราะจองตั๋วชั้นธุรกิจไว้ จึงได้อภิสิทธิ์มากกว่าคนอื่น เราเข้ามาแล้วก็เหลือเวลาไม่มาก ประมาณ 20 นาทีให้พอเดินเล่นดูของปลอดภาษีข้างใน แต่ไม่ได้ซื้ออะไรกันแล้วล่ะครับเพราะช้อปไปมากเหลือเกิน ไม่มีที่จะไว้ให้ใส่ซะแล้ว
จากนั้นก็เดินมาขึ้นเครื่อง… ผมจองที่นั่งสองที่คู่ติดกัน โดยจัดแจงให้มิกกี้เข้าไปนั่งริมหน้าต่าง และผมนั่งริมทางเดิน…
“ใจหายเล็กๆ เนอะ จะกลับแล้ว” ไอ้ตัวแสบว่า มองวิวออกไปนอกกระจกทั้งๆ ที่ไม่เห็นอะไรนอกจากรันเวย์และเครื่องบินของสายการบินอื่น
“อืม กลับไปสู่โลกความเป็นจริง หึหึ” ผมหัวเราะก่อนจะรับเครื่องดื่มจากพนักงานสาวบนเครื่องที่มาแจกเวลคัมดริงค์ให้ด้วยรอยยิ้ม
“พูดซะเว่อร์ ไม่ได้แย่ขนาดน้นซะหน่อย คิดถึงบ้านแล้ว คิดถึงไอ้ดิ๊กกี้…” มันว่าพร้อมกับทำหน้าเศร้าเมื่อพุดถึงไม้หมาคู่หูคู่ใจ
“มันสบายดี นอนตีพุงไปแล้วล่ะ ไม่มีคนคอยไปแหย่ให้รำคาญ” ผมว่า พลางหัวเราะเมื่อนึกถึงใบหน้ากวนๆ ของไอ้หมาที่ตอนนี้ตกเป็นภาระให้เจ้ามาร์ชเอาไปเลี้ยงแก้ขัด
“เดี๋ยวพี่ซันก็แกล้งมัน เหมือนเฮียชอบแกล้งมัน”
“ก็เดี่ยวจะกลับแล้วนี่ไง มางอแงงุ๊งงิ๊งอะไรอีก” อย่าหาว่าผมพูดจาภาษาวิบัติเลยนะครับ แต่ไอ้ศัพท์พวกนี้ก็เอามาจากเจ้าตัวแสบนี่แหล่ะ ตอนแรกๆ ก็งงว่ามันพูดอะไรตอนที่ผมบ่นมัน จนตอนหลังมันมาบอกว่า ‘เฮียอ่ะชอบบ่นงุ๊งงิ๊งอยุ่เรื่อย’ เลยทำให้เข้าใจภาษาวัยรุ่นมากขึ้น -*-
ไม่นานนักสัญญาณคาดเข็มขัดก็สว่างขึ้นพร้อมกับประกาศจากกัปตันและพนักงานสาวบนเครื่องบินให้คาดเข็มขัดเพื่อเตรียมตัวออกเดินทาง ผมเอื้อมตัวไปดึงเข็มขัดมารัดเอวเจ้าหนูด้วยความเอ็นดู มันเองก็เอนหลังพิงเข้ากับเบาะนุ่มผืนใหญ่ของชั้นธุรกิจและหันมามองผมด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก….
“เฮีย…”
“หืม?” ผมเงยหน้าขึ้นยิ้ม มองดวงตาสีใสคู่นั้นเป็นเชิงถาม
“ผมดีใจนะที่ได้เจอเฮีย…” ผมนิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มกว้าง… มิกกี้มันกล้าพูดออกมาเพราะรอบข้างที่เรานั่งอยู่นี้มีเพียงลูกค้าแค่สองคนซึ่งอยู่อีกฝั่งไกลออกไป แถมยังเป็นฝรั่งอีกต่างหาก
“ดีใจเหมือนกัน…เหมือนพรจากสวรรค์เลยล่ะ” ผมตอบกลับไป แล้วก้มหน้าลงเข้าไปใกล้อีกฝ่าย…
“จริงเหรอ?” มิกกี้ทำตาโตแบบไม่เชื่อในคำตอบ
“อืม… พรจากสวรรค์ที่สั่งให้นรกส่งไอ้ตัวแสบมาเกิดน่ะสิ แสบได้แสบดีหาที่ไหนไม่เจอแล้วล่ะเนี่ย หึหึ”
จากที่ยิ้มอยู่ไอ้มิกกี้หน้าง้ำขึ้นมาซะงั้น ก่อนจะทำปากแบบกวนส้นติงของมันไปเรื่อย แล้วทำท่าให้น่าเตะเหมือนเดิมจนไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ ผมน่ะเหรอ…ก็ได้แต่หัวเราะออกมาและหยิกเข้าที่แก้มขาวนั่นสองสามที ก่อนจะปล่อยมือลงเมื่อพนักงานสาวออกมาเดินตรวจตราว่าผู้โดยสารทุกคนคาดเข็มขัดเรียบร้อยหรือยัง
และเมื่อเธอเดินจากไปแล้ว ไอ้มิกกี้ก็รีบเอาขาขึ้นมาพาดบนตักผมทันทีตามแบบที่เราชอบนั่งกันเป็นประจำ ก่อนจะเอนตัวลงแล้วยักคิ้วมาให้ผม ประมาณว่า ‘จะนั่งแบบนี้ มีไรเปล่า’
ยอมซะที่ไหนล่ะ ผมเลยดันตัวเองเข้าไปใกล้แล้วทำท่าจะจูบมันซะตรงนั้น พอดีกับที่ผู้โดยสารที่เยื้องไปข้างหน้าหันมาด้านหลังและเห็นว่าเรากำลังทำอะไรกันอยู่นั่นเอง เจ้าหนูรีบร้องโวยวายเสียงเบาๆ และเอามือปิดหน้าปิดตาผมใหญ่ ผู้โดยสารฝรั่งคนนั้นหัวเราะคิกคักก่อนจะหันไปบอกชายอีกคนที่นั่งข้างเธอให้หันมาดูพวกเราสองคนที่เล่นกัน ทำเอาไอ้หนุอายหน้าแดงเป็นลูกตำลึงไปเลยครับ
“ไอ้เฮียบ้าาาาาา”
++++++++++++++++++++++++++
คิดถึงที่ซู้ดดดด

แกล้งกันไปแกล้งกันมาเนอะคู่นี้
