Part 50
สงสัยจะแอบห่วงเกินเหตุ ผมเลยโดนมาร์ชดึงเข้ามาในครัวแทนเพราะเป็นฝ่ายชะงักงันเสียเอง
“พี่แดน…ไหนล่ะเค้ก?” เสียงนั่นทำให้ผมต้องกลับมาตั้งสมาธิกับเรื่องตรงหน้า
“อ้อ อยู่ในตู้เย็น” ว่าแล้วก็เดินไปเปิดตู้เย็น และหยิบเค้กรสชอกโกแลตที่หายไปแล้วเกินครึ่งออกมา
“ว้าว น่ากินแหะ ใครซื้อมาเนี่ย กี้เหรอ?”
“เปล่า เพื่อนๆ น่ะแหล่ะ มาแอบจัดเซอร์ไพรส์ปาร์ตี้เมื่อเย็นนี่เอง เล่นเอาตกใจหมด” ผมพูดไป ยิ้มไปเมื่อนึกถึงสิ่งที่ทุกคนทำให้
“อะไรเนี่ย แอบมีปาร์ตี้ไม่บอกไม่ชวน คนเรา” เจ้ามาร์ชแอบตัดพ้อแบบเล่นๆ
“...ใครกันล่ะไม่ว่าง ชวนให้ไปที่งานตั้งแต่เช้าแล้ว ไม่ยอมไปเป็นเพื่อน”
“ไม่เอาอ่ะ กลัวอาทิพย์”
คนพูดทำท่าเกรงปนสยองทำเอาผมนึกขึ้นมาได้ว่าหมอนี่น่ะไม่ค่อยชอบมาอยู่บ้านผมเท่าไหร่นักหรอก ตั้งแต่เด็กแล้ว....ชอบโทรมาอ้อน ชวนให้ออกไปหาที่บ้านตัวเองทุกที แต่พอเอ่ยปากให้มาค้างที่บ้านผมกลับรีบสั่นหัว ส่ายหน้าปฏิเสธ
อาจเป็นเพราะมาดคุณหญิงกับความนิ่งขรึมของแม่ผมก็เป็นได้ ที่ทำให้มาร์ชเกรงขนาดนี้ ไหนจะพ่อตัวเองที่บ้านอีก แค่นั้นก็น่าปวดหัวอยู่แล้ว มาเจอกับแม่ผมเข้าไป....ก็ไม่แปลกนี่เนอะ พี่น้องกันนี่หว่า ดีกรีความโหดไม่ได้ต่างกันเล้ย
“แล้วงานเมื่อเช้าเป็นไงมั่ง? เหมือนเดิม?” คนถามยื่นหน้าเข้ามาดูเค้กที่ผมตัดเป็นชิ้นวางลงใส่จาน
“อือหึ...”
“จริงน่ะ ไม่มีอะไรจริงๆ ใช่มั้ย?”
“ทำไมถามงั้น?” ผมเลิกคิ้วขึ้นสูง ยื่นจานใส่เค้กให้อีกฝ่ายด้วยความสงสัย
“เปล๊า ก็เห็นไอ้ลิงน้อยเมาแบบนั้นเลยนึกว่ามีอะไร....” เอาอีกแล้วครับ ให้ตายเถอะ เซนส์ดีตลอดเลยเจ้านี่
“....ก็ไม่มีอะไร เมาเพราะกินเหล้าตอนฉลองนั่นแหล่ะ”
“พี่แดน.....”
“หืม?” ผมขานรับในลำคอ แต่ก็ต้องชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นใบหน้าขาวคมนั่นลอยอยู่ใกล้เพียงแค่ปลายลมหายใจสัมผัส
“ผมรักพี่แดนนะ....”
“หึหึ นึกว่าอะไร พี่ก็รักมาร์ชเหมือนกันครับ”
ผมก้มลงบรรจงจูบเบาๆ ที่แก้มของอีกฝ่าย อาจเป็นเรื่องแปลกสำหรับพี่น้องคู่อื่น แต่นี่คือการแสดงความรักที่ถือว่าปกติมากสำหรับพวกผม กอด จูบ (แก้ม) โอบหลัง โอบเอว จนมีหลายคนเข้าใจผิด....แน่นอนล่ะ ผมก็คนนึง... ที่เคยเข้าใจและทำผิดมาก่อน
เมื่อละปากออกจากแก้มเนียน ผมก็หันมาลงมือตัดเค้กอีกชิ้นต่อ เปล่าครับ....ไม่ได้ให้ไอ้ซัน เอาไปให้เจ้าหนูต่างหาก ไม่รู้ป่านนี้เป็นไงมั่ง หลับคาโซฟาไปแล้วรึเปล่าก็ไม่รู้
แต่เสียงหัวเราะจากคนข้างๆ ทำเอาต้องชะงักมือ แล้วเงยหน้าไปมอง....
“อะไร?”
“พี่แดนนะพี่แดน....”
“หา อะไร??” ยิ่งงงหนักกว่าเก่าสิครับ กรูทำไมล่ะวะ
“นี่คงรักมิกกี้มากๆ เลยล่ะสิ”
“......หมายความว่าไง”
“ไม่ต้องมากลบเกลื่อนเปลี่ยนเรื่องน่ะ”
“พูดอะไรเพ้อเจ้อไร้สาระ ไปได้แล้ว” ผมทำหน้ามึน มือนึงถือจานเค้กแล้วทำท่าจะหันหลังกลับไปห้องนั่งเล่น
“ไร้สาระอะไรกัน ลิงน้อยได้ยินจะเสียใจเอาน้า~”
“นั่นแหล่ะไร้สาระ...ว่าแต่ทำไมอยู่ๆ ก็พูดขึ้นมา” ก็แค่แปลกใจเท่านั้นแหล่ะครับ ไม่ได้อยากรู้หรอกว่าไอ้มาร์ชมันจับผิดความรู้สึกผมได้ยังไง
“ก็ปกติถ้าผมพูดว่ารักพี่แดนเมื่อไหร่....พี่แดนจะต้องทำตาเยิ้มๆ ยิ้มจนปากแทบจะฉีกถึงหู แล้วก็ทำหน้าหื่นใส่ แต่คราวนี้กลับไม่มีแหะ เด็กคนนี้นี่ร้ายจริงๆ หึหึ”
“.......”
“จริงมั้ยล่ะ?”
“…ไม่เคยทำหน้าหื่นใส่ซักหน่อย” ผมแก้คำพูดอีกฝ่าย แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ทันเสียแล้วเมื่ออาการเว้นเงียบไปชั่วขณะนั่นเป็นตัวฟ้องให้เห็นชัดๆ ไม่น่าเลยกรู -*-
“เห็นหน้าตัวเองรึยังไงตอนทำหน้าหื่น ไม่หื่นน่ะ”
“ก็บอกว่าไม่ได้ทำ”
“โอเคๆ ไม่เห็นต้องทำเสียงดุใส่กันเลย”
ไม่อยากจะเถียงต่อว่า ‘ไม่ได้ทำเสียงดุซักหน่อย’ แต่ก็กลัวว่าถ้าพูดต่อวันนี้คงไม่จบแน่ๆ


แต่นั่นก็ทำให้ผมคิดได้ขึ้นมาเหมือนกันว่า.... มันก็จริง ยอมรับว่าเมื่อก่อนหวงมาร์ชมากๆ ทั้งหวง ห่วง และรัก เคยคิดว่าถ้ามาร์ชไปบอกรักใครคนอื่นนอกจากตัวผมแบบนี้จะต้องตามไปฆ่าไอ้คนนั้นแน่ๆ
อย่างไอ้ซันยังไงล่ะ....รู้สึกเกลียดขี้หน้ามันตั้งแต่แรกเห็น
อาจเป็นเพราะผมเริ่มมีเซ้นส์ (กับเค้าบ้างซะที) ว่าคนๆ นี้คือคนที่เจ้าน้องชายตัวดีจะบอกว่า ‘รัก’ ....ไม่นับคนอื่นก่อนๆ มาหน้านี้ที่ยังไงก็เป็นแค่ ‘คู่นอน’
“....เป็นแผลเป็นเลย ขอโทษนะครับ” มาร์ชยกมือขึ้นลูบแผลเป็นที่เริ่มจะจางบนไรผม
“พี่ต่างหากที่ต้องขอโทษ ขอโทษนะ” ผมดึงมือนั่นลงมาหอมเบาๆ ก่อนจะนึกย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ในอดีต...เหตุการณ์ที่จำไปจนวันตาย
“อะฮึ่ม....”
เสียงกระแอมดังจากข้างหลังทำให้ผมเกือบสะดุ้ง และเมื่อเห็นเจ้าของเสียงก็ต้องถอนหายใจออกมาดังๆ ....ตายยากชะมัด นี่คงอยากจะหาอะไรมาฟาดหัวตรุอีกสักทีล่ะมั้ง -*-
“น้องเป็นไงมั่ง?” มาร์ชผละจากอ้อมกอดผมเดินเข้าไปหาไอ้คนๆ นั้น แมร่ง...ทิ้งกรูทันทีเลยทีเดียว
“แย่ว่ะ....”
“เป็นไร?!” มาร์ชดูจะตกใจไปเล็กน้อย ผมด้วยก็เช่นกัน
“มันเงียบเรียบร้อยเจี๋ยมเจี้ยมผิดปกติ สงสัยต้องพาไปตรวจครรภ์ เอ้ย สมองแล้วมั้ง หึหึ” ไอ้ซันพูดไปหัวเราะไป มือก็ยกขึ้นมาโอบเอวน้องชายสุดหวงของผม
“แดกเค้กแล้วหุบปากไปเลยมึงน่ะ”
ผมเดินแทรกผ่านสองคนนั้นออกมาจากห้องครัว และตรงไปยังโซฟาที่เจ้าหนูนั่งหันหลังพิงอยู่ราวกับคนหมดเรี่ยวหมดแรงมาจากไหน เห็นแล้วก็อาการน่าเป็นห่วงใช่ย่อย

“มิกกี้....”
“.....” คนโดนเรียกเงยหน้าขึ้นมามองตาแดงเยิ้ม นี่สงสัยฟาดเหล้าเข้าไปตอนนั่งรอเมื่อกี้อีกแหงๆ มันไม่ขานตอบรับ ได้แต่มองอยู่อย่างนั้นแล้วก้มหน้างุดลงต่ำเหมือนเดิม

“มานี่สิ มากินเค้กด้วยกัน”
ไอ้หนูไม่ได้พูดอะไร แต่ก็ลุกตามแรงดึงของผม....มันตามมานั่งแหมะที่โต๊ะรับแขกโดยที่อีกฝั่งเป็นไอ้ซันกับมาร์ชนั่งมองอยู่นิ่งๆ
การสนทนาช่วงแรกก็มีแต่เสียงผมกับมาร์ช และไอ้ซันบ้างนิดหน่อยเท่านั้นแหล่ะครับ ไอ้หนูเอาแต่ก้มหน้าก้มตาจิ้มเค้กเข้าปากลูกเดียว บางทีมันก็เงยหน้าขึ้นมามองมาร์ชกับซันอยู่นานพอดู ก่อนจะก้มลงค่อยๆ ตักเค้กเหมือนเดิม..... จนหลังๆ กลายเป็นจิ้มไปจิ้มมามากกว่า

“มิกกี้....ถ้าไม่กินแล้วก็อย่าเขี่ยเล่น เอาไปเก็บในตู้เย็นซะ” ผมบอกกับอีกฝ่ายเมื่อเห็นว่าไอ้เค้กครึ่งก้อนที่เหลือนั่นเริ่มจะเละจนไม่เหลือเค้าโครงหน้าตาเดิมของมันแล้ว
“....ยังกินอยู่” ดูๆ มันเถียง

“พี่ซัน.....” ท่ามกลางความเงียบ อยู่ๆ เจ้าหนูก็เรียกคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามขึ้นมาเสียดื้อๆ เล่นเอาทั้งวงต่างมองต้นเสียงเป็นตาเดียว
“มีไรไอ้ลิง” อีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงกวนๆ และท่าทางแสนสบาย
“....พี่ซันจะอยู่กับพี่มาร์ชตลอดไปเลยรึเปล่า?”
คำถามนั่นเล่นเอาทุกคนเงียบ และมองหน้ากันขึ้นมาราวกับนัดหมายเอาไว้
*****************************************************
ผมเดินนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวออกมาจากห้องน้ำ...มองอีกฝ่ายที่นอนคว่ำหน้ากอดหมอนข้างอยู่บนเตียงด้วยความรู้สึกประหลาด
วันนี้มันวันบ้าอะไรวะ....ทำไมถึงได้รู้สึกแปลกไปหมดแบบนี้ (อ้อ วันเกิดตรูเอง -*-)
ว่าแล้วก็หยิบเสื้อยืดบางๆ กับกางเกงมาใส่พร้อมนอน สองขาก้าวไปที่เตียงและนั่งลง
“มิกกี้....” ผมลองเรียกเจ้าหนูดูเผื่อว่าจะยังไม่หลับ และก็ได้ผล...เมื่อมันพลิกตัวมาหาและค่อยๆ ลืมตาขึ้นสบกัน
ผมยิ้ม...ทิ้งตัวเองลงนอน เอามือนึงท้าวที่คาง มิกกี้เองก็ดูจะรู้ว่าต้องทำยังไง....มันรีบขยับตัวเข้ามาซุกอกผม ก่อนที่จะเอาจมูกโด่งๆ มาคลอเคลียแถวลำคอ และหลับตา...ราวกับต้องการซึมซับความรู้สึกนี้ไว้ตลอดไป
“ผมรักเฮียนะ”
“...เหมือนกัน” ผมก้มลงจูบขมับชื้นเหงื่อ ทั้งๆ ที่เพิ่งจะอาบน้ำไปหมาดๆ นี่เอง
“ผมขอโทษเรื่องกวาง ผมไม่ได้ตั้งใจ....ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ” ยิ่งพูด สองมือนั่นก็ยิ่งโอบรอบตัวผมกระชับมากขึ้น
“ช่างมันเถอะ ลืมซะ” ผมพยายามบอกไม่ให้อีกฝ่ายคิดมาก แต่ดูท่าจะไม่ได้ผล เพราะคิ้วของเจ้าหนูยังคงขมวดติดกัน บวกกับแววตาที่ดูหมองลงไปถนัด
อยากจะถามจริงๆ ว่า วันนี้นอกจากเป็นวันเกิดตรูแล้วยังเป็นวัน ‘ขอโทษ’ แห่งปีรึเปล่าเนี่ย ขอโทษวนกันไปวนกันมาได้ดิบได้ดี
“ถ้าเฮียจะโกรธ....ผมจะไม่ว่าเลย เฮียโกรธผมใช่มั้ย?”
“....ถ้าพูดตามตรง ตอนแรกก็โกรธอยู่หรอก โกรธมาก...มากจนอยากจะย้ายคอนโดหนีเลยด้วยซ้ำ หึหึ” ผมบอกไปแบบสบายๆ เพื่อให้บรรยากาศในห้องมันหายอึมครึมเสียที
“จริงอ่ะ งอนเป็นผู้หญิงเลย” ไอ้มิกกี้เองก็ดูจะรู้สึกได้ มันถึงเริ่มหัวเราะแห้งๆ ขึ้นมาบ้างแล้ว
“เพราะใครล่ะหืม? เพราะใคร?”
“....แล้วตอนหลังล่ะ?” มันซุกหน้าลงกับอกผมต่อ ขยับเล็กน้อยให้เข้าที่ ส่วนมือที่โอบหลังอยู่ก็ลูบไปมาเบาๆ
“ตอนหลังงั้นเหรอ...ก็เริ่มปลงล่ะมั้ง ช่วยไม่ได้นี่นะ ในเมื่ออีกฝ่ายต้องการไปหาอะไรที่ดีกว่าก็ต้องปล่อยเค้าไป เราทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว รั้งไว้ก็มีแต่เจ็บ” ผมบอกไปตามที่คิด พร้อมกับนึกถึงเหตุการณ์อะไรหลายๆ อย่างในชีวิตที่ตัวเองประสบมามากมายไปด้วย
“ก็เลยไม่ยอมมาคุย มาหาผมงั้นสิ ไม่แม้แต่ถามว่าจริงรึเปล่า?”
“อย่าพูดงั้นเลย....แค่ภาพที่เห็นตำตามันก็ปวดใจพออยู่แล้ว อย่าให้ต้องเข้าไปถาม เข้าไปรู้อะไรที่มันจะทำร้ายจิตใจกันเลยดีกว่า....” ผมก้มลงสูดกลิ่นตัวไอ้หนู แล้วซุกจมูกลงกับผมนิ่ม ก่อนจะแนบริมฝีปากลงไปเบาๆ
“เฮียปวดใจจริงๆ เหรอ?”
“หึ ถามแปลกๆ”
“ผมขอโทษ....ขอโทษ”
ผมเริ่มจะสงสัยแล้วว่า...ที่มันเป็นแบบนี้เพราะเมาจริงหรือเปล่า จากที่พูดจาไม่รู้เรื่อง ไอ้หนูตรงหน้าผมนี่ตอนนี้กลับกอดคอผม พูดจาไม่ลิ้นพันกันแล้ว แถมยังดูเป็นผู้เป็นคนกว่าเมื่อครู่นี่เสียอีก
“เฮีย....”
“....อืม”
“ผมสาบานว่าจะไม่ทำตัวแบบนี้อีกแล้ว ไม่งี่เง่า ไม่เอาแต่ใจ น่ารำคาญด้วย”
ผมดึงมิกกี้เข้ามากอดแน่นๆ อยากจะบอกว่าอย่าสาบานเลย แต่ไม่รู้ทำไมถึงพูดไม่ออก รู้แค่ว่ามันเหมือนมีอะไรบางอย่าง....บางอย่างที่ต้องทำ
เพราะอย่างนั้นผมเลยไม่ได้ตอบอะไรออกไป ได้ยินแต่เสียงเจ้าหนูบอกกระซิบแผ่วเบาก่อนจะหลับไปว่า ‘จะยังไงก็ได้ ....แต่อย่าทิ้งผมไปนะ’ ยิ่งทำให้ผมรู้สึกโหวงเหวงในใจแปลกๆ
เมื่อชีวิตผ่านอะไรมามากมาย...เมื่อคนรักไม่ได้เป็นคนรักคนแรกเสมอ นั่นสอนให้ผมรู้ว่า ชีวิตมันไม่มีอะไรแน่นอน ความรักเองก็เช่นกัน ไม่รู้ว่าวันไหนเราจะหมดรัก เมื่อไหร่เราจะเบื่อหน่าย ยามใดที่เราต้องการค้นหาสิ่งใหม่ และเมื่อใดที่เราพร้อมจะเผชิญกับความเจ็บปวด
ทุกอย่างมันคือรูปแบบของความรัก....ที่จะหาคำนิยามคงร้อยแปดไม่จบสิ้น สำหรับตัวมิกกี้แล้ว ผมเองก็ไม่แน่ใจว่า ‘ความรัก’ ของมันอยู่ในรูปแบบไหน เพราะคนเราออกแบบมาไม่เหมือนกัน มันอาจต้องการครอบครองตามประสาวัยรุ่นทั่วไป รักแล้วต้องหวง รักแล้วต้องหึง รักแล้วต้องเป็น ‘ของเรา’ เพียงคนเดียว
หรือมันจะคิดมากกว่านั้น...ก็เกินกว่าที่ผมจะหาคำตอบมาได้
แต่สำหรับตัวผม....มั่นใจว่า ผมรักมันเพื่อให้มันได้เจอกับสิ่งที่ดี อาจเพราะด้วยความที่วัยวุฒิสูงกว่าอีกฝ่ายมาก เลยรู้สึกว่าต้องเป็นส่วนรับผิดชอบในอนาคตของเค้าด้วย ความรักไม่ใช่ทุกสิ่ง ไม่รูปลักษณ์สวยงามหรือมีกลิ่นหวานชื่นเพียงชั่วข้ามเวลา แต่มันต้องมาพร้อมความมั่นคง…ทั้งทางด้านชีวิตและจิตใจ
เพราะฉะนั้น..ผมจึงกล้าที่จะบอกว่า ถ้ามีสิ่งที่ต้องทำ แม้จะเจ็บปวดต่อเราทั้งสองก็ตาม.... แต่ผมก็จะทำ ถ้ามันดีกับเราทั้งสองคน โดยเฉพาะต่อตัวเจ้าหนูเอง
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
โทดทีจ้า มาลงช้า พอเปลี่ยนหัวข้อปุป คอมก้อเดี้ยงเรย
ตอนนี้คนโพสไม่สบายซะแรว เปนไข้หวัด(ธรรมดา)
ทุกคนรักษาสุขภาพน้า~~~ 