Part 44
“กวาง…เรื่องที่เราคุยกันวันนั้นน่ะ…” เจ้าหนูดูลำบากใจที่จะเกริ่นเรื่องราวต่างๆ ขึ้นมา มันก้มหน้าเล็กน้อย ก่อนที่จะเงยขึ้นมา… มองตรงไปยังคนข้างหน้า
“เรื่องอะไรกี้?”
“ก็…เรื่องที่กวางบอกว่า…เอ่อ ว่า..”
“ที่เราชอบกี้น่ะเหรอ?” เท่าที่ดูท่าทางกวางนี่จะค่อนข้างแก่นแก้วน่าดู เพราะเธอดูสบายๆ กับผู้ชายทั้งๆ ที่มากันแค่สองต่อสอง แถมยังพูดแบบนี้ออกมาตรงๆ จนไอ้หนูถึงกับสะอึกอีก…เอ หรือว่ากรูอคติวะ ก็เค้าเป็นเพื่อนกันมาก่อนนี่หว่า -*-
“…อืม คือเราอยากจะบอกว่า ตอนนี้เราแน่ใจแล้วล่ะ เรา…เป็นแค่เพื่อนกันเถอะ” สุดท้ายมันก็ตัดสินใจพูดออกไป..แมร่งเอ้ย ไอ้เหี้ยนัทก็กำแขนกรูซะแน่น เจ็บนะนี่
“พ..เพื่อนเหรอ? ทำไมล่ะกี้ กวางนึกว่าเราสองคน…”
“ใช่..ใช่ เป็นเพื่อนแหล่ะดีแล้ว เชื่อเรานะ” หลังจากสูดหายใจเข้าไปเต็มปอด…เจ้าหนูย้ำคำตอบของตัวเองอย่างหนักแน่น
“ไม่อ่ะ ทำไมล่ะกี้ ถ้าเป็นเพื่อนกวางก็ไม่ต้องทำอะไรแบบนี้หรอก…ปกติเราก็เป็นเพื่อนกันอยู่แล้วนี่ ต..แต่กวางอยากเป็นมากกว่านั้น…ไม่ได้เหรอ?”
โอ้โหเหะ…ผู้หญิงเดี๋ยวนี้เค้าแรงกันขนาดนี้เลยเหรอ อยากเป็นมากกว่าเพื่อนก็บอกกันตรงๆ โต้งๆ ทำเอาผมถึงขั้นต้องหลับตาลงและถอนหายใจดังพรืดออกมา ไอ้นัทเองก็เห็นว่าท่าจะไม่ได้เท่าไหร่ มันกระตุกแขนผมใหญ่ ทำปากเป็นคำๆ แต่ไม่ได้ส่งเสียงออกมาประมาณว่า ‘ใจเย็นๆ เฮีย’
“เราขอโทษ แต่เราทำอย่างที่กวางบอกไม่ได้… เราไม่ได้ชอบกวาง เราขอโทษจริงๆ” เหมือนผมควรจะโล่งใจได้สักที เพราะทั้งคำพูดและท่าทีของเจ้าหนูมันยังคงปฏิเสธอย่างหนักแน่น แต่ไม่รู้ทำไม…มันยังรู้สึกแหม่งๆ อยู่ดี
“แต่นี่เพิ่งลองแค่สามวันเองนะกี้ กี้รู้ได้ไงว่ากวางไม่ใช่”
โหหหหหห สาดดดด….นี่แสดงว่ามีการลองคบกันด้วย และท่าทางฝ่ายวางแผนจะเป็นสาวน้อยหน้าใสคนนี้ซะอีก ที่สำคัญ…สามวัน มันลองคบกันมาสามวันแล้ว หึหึ
“เฮีย…แรงว่ะ” ไอ้นัทกระซิบกระซาบข้างหูผม พร้อมกับทำท่าขนลุกซู่ๆ ไปด้วย ห่านี่…ไม่บอกกรูก็รู้อยู่แล้วมั้ย ได้ยินเต็มสองรูหูแบบนี้ -*-
ผมหันไปมองว่าสองคนนั้นจะคุยอะไรกันอีก….
“สามวันก็เกินพอแล้ว…มัน…เราทำไม่ได้จริงๆ กวาง เรามีคนที่รักอยู่แล้ว และเราก็รักเค้ามากด้วย แค่ที่ทำอยู่นี่ก็รู้สึกผิดจะตายแล้ว รู้เปล่า” คำพูดนั่นทำให้ผมรู้สึกใจชิ้นขึ้นมาเล็กน้อย…ไอ้หนูยืนบิดไปบิดมา เม้มปากแน่น
“กี้…กี้ให้เวลากวางอีกนิดได้มั้ย ขออีกนิดเดียวจริงๆ กวางจะทำให้กี้เชื่อว่ากวางรักกี้มากขนาดไหน” สาวน้อยตรงหน้าเดินเข้าไปคว้ามือเจ้าหนูขึ้นมากุมแน่น ตาดวงโตเริ่มพร่าไปด้วยน้ำใส ปากเรียวสั่นระริก
“ขอโทษนะ แต่เราให้กวางไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นเวลาของเรา…กับเค้าคงหมดแน่นอน” คนพูดดึงมือสาวน้อยออกจากตัวเอง
“…แล้วทำไมจู่ๆ กี้ถึงเพิ่งมาพูดล่ะ ทำไมกี้ไม่ปฏิเสธไปตั้งแต่แรกว่าไม่อยากลองคบกับเราถ้ากี้รักคนนั้นจริงๆ!”
คำพูดของกวางเล่นเอาหัวใจผมกระตุกวูบ…นั่นสิ ถ้ามันรักผมจริงๆ ทำไมถึงอยากลองไปคบกับคนอื่น ทำไมถึงอยากลองใจตัวเอง…ทำไม…
“ใช่…เรื่องนั้นเราผิดเอง ผิดที่โลเลสับสน กวาง…เราขอโทษ แต่เรารักเค้า เรา…รักเค้า กวางเข้าใจเราหน่อยเถอะ”
“หึ…เห็นแก่ตัว” เธอยกยิ้มมุมปาก สายตาก้าวร้าวมองมาที่อีกฝ่ายตรงหน้า
มาถึงตรงนี้…ผมทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ถึงผมจะโกรธ จะยังงุนงงไม่หายว่าทำไมเจ้าหนูถึงตัดสินไปลองคบกับกวาง แต่การที่ต้องมาทนมองคนที่ผมรัก….ใช่…รักหมดหัวใจ โดนต่อว่าเสียๆ หายๆ โดยที่ไม่ได้โต้ตอบอะไรเลยมันไม่ไหว
“มาว่าคนอื่นเห็นแก่ตัว ดูตัวเองรึยังล่ะ?” ผมเดินออกมาจากพุ่มไม้ประชันหน้ากับคนทั้งสอง ไอ้นัทหมายจะกระโจนเข้ามาห้าม แต่ก็ไม่ทันและทนแรงยักษ์ไม่ได้ เลยได้แต่เลยตามเลย ยืนนิ่งอยู่ข้างหลังผมแบบนั้น
ส่วนเจ้าหนู…เมื่อเห็นผมกลับยืนนิ่ง แม้จะมีแววตกใจบ้างแต่ก็ไม่ได้ดูแตกตื่นแต่อย่างใดจนผมอดแปลกใจไม่ได้ แต่ ณ จุดนี้…อารมณ์โกรธมันพลุ่งพล่านมากกว่าเรื่องอื่นใด ผมมองหน้ากวางที่กำลังยืนอึ้งรับประทานอยู่…หลังจากที่สติกลับมาแล้ว เธอก็แว๊ดใส่ผมทันที
“พูดแบบนี้พี่หมายความว่ายังไงคะ!?” เสียงเธอเริ่มดังขึ้น…คงเพราะไม่พอใจที่ผมมาแอบฟังบทสนทนา และ เรื่องที่ตัวเองโดนกล่าวหาไปหยกๆ
“หมายความอย่างที่พูด…ก็รู้อยู่แท้ๆ ว่าเค้ามีแฟนแล้ว แต่ยังมาขอคบด้วยเนี่ย ใครกันแน่…ที่เห็นแก่ตัว”
นี่ไม่ใช่นิสัยผมหรอกนะครับ…กับการที่มาต่อว่าต่อขานผู้หญิง โดยเฉพาะเด็กน้อยที่อ่อนกว่าหลายปีแบบนี้ แต่ในกรณีนี้มันทนไม่ได้จริงๆ ไม่ได้ลงมือก็ขอด่าสักอย่างหน่อยเถอะ
“ก…กะ…ก็ พี่มีสิทธิ์อะไรมาว่าหนูอย่างนี้ล่ะ ไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยซักหน่อย!” เธอตอบผมตะกุกตะกัก…สุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนเรื่องไป ส่วนผมตอนแรกก็ว่าจะไม่อะไรมากนะ แต่พอได้ยินคำว่า ‘ไม่เกี่ยว’ ขึ้นมาก็รู้สึกเจ็บจี๊ดชอบกล
“กวาง…พอเถอะ” มิกกี้เข้าไปยกมือขึ้นปรามอีกฝ่าย มันได้ผลเล็กน้อย แต่นัยน์ตาคู่นั้นยังคงมองผมไม่ลดละราวกับว่าไปขัดจังหวะของเค้าทั้งสองซะเหลือเกิน
“ใช่ ไม่มีสิทธิ์หรอก…ก็แค่พี่ชาย ไม่ใช่แฟนเค้าซักหน่อยนี่นะ”
ผมกระแทกเสียงในประโยคสุดท้าย…พร้อมกับหันไปมองคนข้างๆ เป็นจังหวะเดียวกับที่มันหันมามองผมเช่นเดียวกันพอดี คิ้วเรียวเข้มนั่นขมวดขนกัน…กรามกัดกันไปมาราวกับฟันกำลังขบกรอดแน่น แต่ถึงอย่างนั้น…ผมก็ยังไม่หยุด
“แต่แฟนเค้า…ฝากมาบอกจากกรุงเทพว่า….”
“เลือกซะ….มิกกี้”
ผมยื่นปากเข้าไปกระซิบที่ข้างหูเจ้าหนู…แต่ก็ดังพอที่จะให้ได้ยินกันทั้งสองฝ่าย แล้วจึงก้าวขาฉับๆ เดินออกมาจากที่ตรงนั้น ไม่หันไปมองอีกเลย
อืมมม….ร้อนชะมัด
ผมทรุดตัวลงนั่งริมหาดทราย…ตอนนี้บ่ายแก่ๆ แล้ว แดดเลยเริ่มลดแสงลงบ้าง ท้องฟ้าสีออกส้มนิดๆ ส่วนคลื่นยังคงซัดชายฝั่งเข้ามาเป็นระลอกไม่หยุดไม่หย่อนอยู่อย่างนั้น…เบาบ้างแรงบ้าง… แต่ไม่ขาด
แขนซ้ายเริ่มเมื่อยนิดหน่อย เพราะโดนพิงมานาน ผมยกมืออีกข้างที่ว่างขึ้นมาปัดผมของอีกฝ่ายที่คลอเคลียใบหน้าผมอยู่ออกจากแก้มตัวเอง หัวมันซุกอยู่ตรงซอกคอผม…หลับตาพริ้ม ดูสงบสุขกว่าเมื่อวาน…และเมื่อเช้าเยอะ
หน้าขาวๆ อยู่ห่างจากกันไม่มากนัก อดไม่ได้ที่จะละมือจากเส้นผมมาลูบแก้มขาวนิ่มมือนั่น…
อยู่ๆ เจ้าหนูก็ลืมตาขึ้นและยกมือขึ้นมาจับมือผมบนแก้มมัน ผมรีบดึงมือออกมาทันที…และหันหน้าตรงไปมองทะเลแทน
“ผมขอโทษ…” เสียงแผ่วเบาดังขึ้นสวนกับเสียงคลื่น…
“…หยุดพูดคำนั้นได้แล้ว”
ความเงียบบังเกิดขึ้นอีกครั้ง ผมลอบมองเจ้าหนูด้วยหางตา มันเบ้ปาก มองดูทะเลเช่นเดียวกับผม
“เอาล่ะ ลุก… หมดเวลา กลับบ้าน” ผมดันหัวมันออกจากบ่า แล้วลุกขึ้นปัดทรายออกจากกางเกงตัวโปรด ทำเอาอีกฝ่ายแทบจะล้มคะมำ มิกกี้เงยหน้าขึ้นมามองผมแบบงอนๆ งงๆ
“หิวข้าวอ่ะ กินก่อนได้เปล่า?” มันยืดมือขึ้นส่ายไปมาข้างหน้าผมหมายจะให้ดึงเพื่อฉุดลุก ผมคิ้วขมวดมองมันแบบนั้นและหันหลังเดินกลับเข้าไปด้านตัวถนนโดยที่ไม่ได้กลับมามอง
เสียงฟึ่ดฟั่ดของทรายทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายลุกขึ้นด้วยตัวเองแล้ว มันเข้ามาเดินขนาบกับผม สองมือปัดกางเกงกับชายเสื้อตัวเอง และแอบมองด้วยหางตา ทำปากยื่นใส่…
“เดี๋ยวพาไปส่งห้อง…” ผมบอกมันอย่างนั้น ตาก็มองหาว่าแถวนี้จะมีอะไรกินมั้ย
“พูดเหมือนอยู่ไกลกันอย่างงั้นแหล่ะ” ไอ้หนูยิ้ม สองมือไพล่ไปข้างหลัง เดินตามผม
“อืม ไกล…เดี๋ยวชั้นไปนอนบ้าน”
“อ้าว!”
อีกฝ่ายหยุดกึกทันทีที่ผมพูดเสร็จ…มันรีบคว้ามือมาดึงแขนผมไว้ไม่ให้เดินต่อไปข้างหน้า
“บ้านไหน?” เจ้าหนูถามอย่างร้อนรน ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจ้องมองใต้คิ้วที่เริ่มจะชนกัน
“ชั้นก็มีบ้านของชั้น ทำไม?” ผมยังตอบแบบไม่ยี่หระ ขาข้างหนึ่งก้าวไปข้างหน้าเพื่อเดินต่อ แต่ก็โดนมือเล็กๆ นั่นฉุดเอาไว้อีกจนเกือบจะหงุดหงิด
“ผมไม่เห็นเคยรู้เลย บ้านไหน?”
“บ้านพ่อแม่สิวะ…จะบ้านไหนล่ะ” ผมเริ่มตอบไปแบบรำคาญ
“ล..แล้ว ไมเฮียไม่นอนคอนโดล่ะ?” เจ้าหนูถามละล่ำละลั่ก…มือที่จับแขนผมไว้เริ่มเย็นเฉียบ
“….เพราะใครบางคนอยู่”
เพียงแค่นั้น…ผมก็รู้สึกอุ่นวาบที่แขนอีกครั้ง เจ้าหนูปล่อยมือออกไปแล้ว ผมหันกลับไปดู มันยืนนิ่ง…มองหน้าผม ปากเม้มแน่น…ดวงตากลมโตนั่นเริ่มสั่นระริกแม้จะยังแห้งผากก็ตาม พอสบตากันไปสักพัก…มิกกี้กลับเป็นฝ่ายที่ต้องหลบตาเสียเอง มันเงยหน้าขึ้นเพื่อที่จะไม่ให้น้ำใสๆ ไหลรินออกมา ก่อนจะหันไปข้างๆ ยกมือขึ้นปิดจมูกตัวเอง

“จะกลับมั้ย? หรือจะกลับเอง?” ผมมองดูอีกฝ่าย ถามด้วยเสียงนิ่งเย็นชา สองมือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง แล้วจึงหยิบกุญแจรถขึ้นมาคลึงเล่น
“….ทำไมอ่ะ”
“หืม?” ผมถามย้ำอีกครั้ง
“ทำไมเฮียต้องทำท่าทางแบบนี้ด้วย…”
“หึ ไม่น่าถาม” ปากก็พูด แต่สายตาผมกลับมองเลยคนตรงหน้าไปมองทะเลสีครามกับพระอาทิตย์ที่กำลังหย่อนตัวลงน้ำไกลสุดลูกหูลูกตาแทน ลมเย็นปนร้อนปะทะใบหน้ายิ่งทำให้อยากจะหลับตาลงเสียเดี๋ยวนั้น
“เป็น….แบบเมื่อก่อนไม่ได้เหรอ” เสียงสั่นๆ กับคำพูดที่เริ่มติดขัด ทำให้จับสังเกตได้ไม่ยากเลยว่าไอ้หนูรู้สึกแย่และประหม่าขนาดไหน
“แล้วใครล่ะที่ทำให้มันเป็นแบบนั้นไม่ได้”
“……”
“ใคร หืม มิกกี้? ชั้นงั้นสิ?”
มันส่ายหน้า…มือทั้งสองกำแน่นแนบลำตัว
“อ้อ งั้นใครดีล่ะ?....ไอ้นัท ไอ้เป้ เพื่อนๆ ทั้งหลายที่เห็นดีเห็นงามด้วย…หรือว่า กวาง?” ถึงหน้าผมจะยิ้มๆ และน้ำเสียงที่ดูสบายๆ แต่ไอ้เนื้อความนี่ท่าทางจะบาดใจใครบางคนได้ไม่น้อย
“….เฮีย” เจ้าหนูเริ่มเบะปากแล้ว ไหนจะเสียงเครือนั่นอีก แต่ผม….ยังใจอ่อนตอนนี้ไม่ได้
“หืม? …ใครผิด มิกกี้?” ผมยักคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเป็นเชิงถาม….สองมือยังคงล้วงกระเป๋าอยู่อย่างนั้น
“…ผมผิด”
“ใครนะ?”
“ผมผิดเอง ได้ยินรึยัง ไอ้เฮียบ้า!”
คราวนี้มันคงกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ แต่ก็ไม่รอที่จะให้ผมเห็นน้ำใสๆ นั่น…มือขาวรีบชิงขึ้นมาเช็ดเสียก่อน มันถูหน้าถูตาแรงเสียจนผมกลัวว่าจมูกจะหลุดติดมือไปด้วย
“ผมผิดเอง….ผมขอโทษ” เสียงมันจากที่กึ่งตะโกนกลายเป็นเงียบเสียงลงจนกระทั่งแผ่วเบาในตอนท้าย
“…อืม” ส่วนผม…ยังคงยืนท่าเดิมอยู่แบบนั้น มองอีกฝ่ายที่ยืนก้มหน้าก้มตาเช็ดใบหน้าตัวเอง มือเล็กนั่นบีบจนกำปั้นเปลี่ยนเป็นสีซีด
“ต…แต่ ผมตัดสินใจแล้ว ผมเลือกแล้ว….ทำไมเฮียยัง…”
มันเอามือลง…ดวงตาแดงก่ำนั่นจ้องมองมายังผม ราวกับกำลังอ้อนวอนขอร้องอะไรบางอย่าง…
“แต่ชั้นยัง….”
ผมหันกลับโดยที่ไม่ได้หันไปมองร่างข้างหลัง…สองขาแกร่งก้าวไปข้างหน้า ทิ้งไว้เพียงใครบางคน ที่ยืนแข็งเกร็งนิ่งอยู่แบบนั้น
ลอบมองกลับไป…มันเดินถอยหลังไปเล็กน้อย หันหลังให้ผมเช่นเดียวกัน สายตาจ้องมองไปยังทะเล มือข้างหนึ่งกอดอกตัวเองเอาไว้…ส่วนอีกข้างกุมใบหน้า หลังสะท้านขึ้นลง ใบหน้าสะบัดไปมาตามแรงบีบของมือ
ร้องไห้….
เม็ดทรายค่อยๆ ไหลเข้ามาในรองเท้าแตะผมจนรู้สึกหยาบไปหมด แต่มันก็ยังแซะเข้ามาเรื่อยๆ จนอดที่จะรู้สึกรำคาญไม่ได้ ผมหยุดเดินลงแล้ว…ค่อยยังชั่วขึ้นหน่อย ให้ตายเถอะ เกลียดการเดินบนทรายจริงๆ
คนตรงหน้าสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงวงแขนแกร่งโอบรอบเอว มือรีบยกมือขึ้นปิดหน้าปิดตา…และทั้งแกะทั้งสะบัดให้มือผมออก
แต่ช่วยไม่ได้…ยิ่งดิ้น มือนี่ก็ยิ่งรัด ผมดึงร่างมันเข้ามาแนบอกและซบคางลงบนไหล่สั่นระริกนั่น คราวนี้ไม่โดนสะบัดแล้ว อีกฝ่ายยืนนิ่งปล่อยให้ผมกอดอยู่แบบนั้น น้ำใสไหลรินลงข้างแก้ม…คาดว่ามันคงไหลมามากมายก่อนหน้านี้แล้วเพราะเค็มไม่ใช่น้อย
อืม…ใช่ครับ ผมกำลังฝังจมูกและปากลงบนแก้มมันอยู่ รสปะแล่มๆ นั่นไม่ได้ทำให้ผมเลิกคิดที่จะหอมมันเลย ทางน้ำนั่นแห้งเผือดไป และ ก็เปียกชุ่มอีกครั้ง… มันยกมือขึ้นมาปิดหน้าปิดตาตัวเอง สูดน้ำมูกพร้อมกับเสียงสะอื้น ปากเม้มกัดฟันแน่น
ผมรีบดึงให้อีกฝ่ายหันหน้ามาประชันกัน แต่ดูท่าทางมันยังทนไม่ไหว เลยได้แต่รีบซุกหน้าลงกับบ่าผม สองมือน้อยเปลี่ยนไปเกาะเสื้อด้านหลังผมแน่นจนเล็บแทบจิกลงบนเนื้อหนา
“….เพราะชั้นไม่ต้องเลือก ก็รักมันอยู่ตัวเดียวมาตลอดนี่แหล่ะ”
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
