Part 41
“มิกกี้!.....มิกกี้!” ผมตะโกนหาอีกฝ่ายด้วยความบ้าคลั่ง….ไม่ ไม่นะ ใจผมหายวูบควานหาร่างใต้น้ำ แต่ก็ไม่พบ หาย…หายไปไหน
ไม่นานนักโชคก็เข้าข้างผมเมื่อแสงจันทร์สะท้อนเสื้อสีขาวที่ลอยเด่นตรงหน้า….สายตาผมไปปะทะเข้ากับร่างที่กำลังตะกายน้ำเพื่อหาอากาศหายใจ แต่แล้วก็จมลงไปอีก ผมรีบว่ายไปตรงนั้น…มองดูคลื่นอีกลูกที่กำลังถาโถมเข้ามา
ยื่นมือออกไป…คว้าเอาร่างที่กำลังตะเกียกตะกายลอยโผล่พ้นน้ำมาแค่ใบหน้า…
…ซ่า…
“แค่กๆ…อ่อก…” ผมรีบดันหน้าไอ้ตัวยุ่งให้โผล่พ้นน้ำทันทีหลังจากที่โดนคลื่นใหญ่ซัดเข้ามาจนเราทั้งคู่จมลงใต้น้ำอีกครั้ง และคว้าคออีกฝ่ายเอาไว้ ว่ายกลับเข้าฝั่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
แม้จะทุลักทุเล…แต่สุดท้ายเราสองคนก็มาขึ้นมาเหนือหาดได้อีกครั้ง ผมรีบดึงร่างเปียกปอนเข้ามากอดแนบอก… เกือบ… เกือบไปแล้ว ทำไมถึงได้ชอบทำให้ใจหายใจคว่ำอยู่เรื่อยเลยนะไอ้คนๆ นี้ ส่วนไอ้หนูที่โดนผมกอดจนตัวลีบก็นั่งนิ่งอยู่แบบนั้น หายใจหอบหนักไอปนสำลัก….มือข้างหนึ่งขยุ้มหลังเสื้อผมไว้เหมือนจะช่วยพยุงตัวเอง
“ยะ….อย่าทำแบบนี้อีกนะ รู้มั้ย” ณ วินาทีนั้นผมลืมไปหมดแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ตอนนี้…แค่อยากกอด อยากจับร่างๆ นี้เอาไว้ไม่ให้ห่าง ….กลัว… กลัวว่าถ้าปล่อยให้หลุดมือไปอีก มันจะทำอะไรบ้าๆ ยิ่งไปกว่านี้
พวกเราสองคนยังกอดกันเงียบอยู่แบบนั้น แม้ว่าอากาศหน้าร้อนยามเย็นในตอนนี้จะไม่หนาวเท่าไรนัก….เสียงฟันกระทบกันภายในแก้มเย็นชืดนั่นกลับยิ่งทำให้ผมรู้ว่าอุณหภูมิร่างตรงหน้าดิ่งลงขนาดไหน แต่ไม่รู้ทำไม…ยังไม่อยากที่จะปล่อย… ไม่อยากจะทำในสิ่งที่จำเป็นจะต้องทำ
ผมยังคงกอดมันอยู่อย่างนั่นราวกับร่างกายไร้เรี่ยวแรง…ไล้ปากของตัวเองเข้ากับพวงแก้มสีขาวซีดนั่น… ร่างเจ้าหนูยังคงสั่นเล็กน้อย และสะดุ้งระริกเมื่อโดนผม… จูบ
“….อย่าทำอีก… เข้าใจมั้ย… อย่าทำอีก”
ไม่รู้ว่าที่พูดออกไปนั่น… คือการบอกว่า อย่าทำอะไรบ้าๆ แบบนี้อีก… หรือสื่อความหมายว่า อย่าทำ ‘อะไร’ ที่มันทำให้คนตรงนี้ปวดใจอีก แม้แต่ตัวผมเองยังไม่แน่ใจ
มิกกี้พยักหน้าหงึกทั้งๆ ที่ตัวสั่นงันงกอยู่แบบนั้น… มือเล็กกระชับเสื้อผมแน่น มันเองก็คงกลัวไม่ต่างกัน…
เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งบวกกับเสียงทั้งคนทั้งรถจากถนนใหญ่แว่วมาให้ได้ยินเป็นระยะ… ผมบีบรัดอ้อมแขนมากขึ้น ปากตัวเองแนบเข้ากับแก้มเย็นของอีกฝ่าย ดวงตาปิดสนิท คิ้วขมวดเป็นปม หายใจหนักอยู่หลายต่อหลายครั้ง จนกระทั่ง…
“อือ…” เสียงของเจ้าหนูทำให้สติผมค่อยๆ คลายกลับมาสู่ภาวะปกติ
“ลุกไหวมั้ย?” ผมกระซิบถามอีกฝ่ายที่ข้างหู… หลังจากที่พูดไปแล้วเพิ่งรู้ว่าตัวเองเสียงแหบขนาดไหน นี่สินะฤทธิ์ของคนตกใจ ว่าแล้วจึงค่อยๆ กลืนน้ำลายลงคอหนึ่งเอือก… ทำไมมันฝืดแบบนี้วะ
ไอ้ตัวยุ่งไม่ตอบ…นั่งแปะกับพื้นอยู่แบบนั้น มันเองก็หายใจหนักไม่แพ้กัน เห็นอย่างนั้นผมเลยค่อยๆ ดึงตัวมันขึ้น…แล้วจัดการอุ้มอีกฝ่าย ท่าจะไม่ค่อยดีเท่าไร… ไอ้หนูทำหน้าพะอืดพะอม ยกหลังมือขึ้นปิดปากตัวเอง คิ้วเรียวเข้มขมวดแน่น… เมื่อเห็นว่าไม่ทันแล้วจึงรีบเดินไปมุมต้นไม้ แล้ววางอีกฝ่ายลง ปล่อยให้โก่งคอจนสุดตัวและคายเอาอะไรต่อมิอะไรในลำคออออกมา
จะหาว่าใจร้ายก็ได้…เพราะสติมันกลับมาแล้ว… ‘ความจริง’ ก็เช่นเดียวกัน
ผมยืนมองอยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่ได้ยื่นมือเข้าไปช่วยแต่อย่างใด สักพักเมื่ออีกฝ่ายเงียบเสียงลงแล้วจึงค่อยๆ เข้าไปดึงตัวขึ้น
“ไป…เดี๋ยวพาไปส่งห้อง”
“….อึก ไม่ไป” โห แมร่งเอ้ย ยังเรื้อนไม่หาย กรูล่ะอยากจะบ้า ไอ้มิกกี้นั่งห่างจากกองเศษซากที่ตัวเองขย้อนออกมาไม่มาก สองมือเกาะต้นอะไรสักอย่างตรงหน้าไม่ยอมปล่อย … ภาพแบบนี้ผมพานพบมาจนชินตา ที่มันไม่ชิน เพราะเป็นคนๆ นี้ต่างหากล่ะ
“มิกกี้ ปล่อยมือเดี๋ยวนี้” ผมทำเสียงแข็ง เริ่มรู้สึกเหนื่อยใจกับไอ้หมาตรงหน้า
“ไม่ปล่อย ไม่ไป…!”
เสียงถอนหายใจดังเฮ้อบวกกับความอ่อนใจ….ผมตัดสินใจลองปล่อยมือจากมันอีกครั้งและถอนหลังออกมาก้าวสองก้าว ยืนท้าวสะเอวมองหน้าไอ้จอมยุ่งที่มีการแอบหรี่ตาหันมามองว่าผมจะทำอะไรต่อ….
นั่นไงล่ะ ว่าแล้วไม่มีผิด! มันละมือจากต้นไม้ แล้วตั้งท่ารีบวิ่งจะกระโจนลงทะเลอีกครั้ง คิดรึไงว่ามุขเดิมจะใช้ได้ผลอีก! ผมรีบวิ่งไปดักแล้วคว้าเอวเจ้าหนูทันที อีกฝ่ายทั้งดิ้นทั้งร้อง จิกมือจิกหลังผมจนเจ็บไปหมด ปากก็ตะโกนด่าว่าเสียๆ หายๆ ไม่น่าเชื่อว่าน้ำเมามันจะเปลี่ยนสภาพไอ้หนูของผมได้ถึงขนาดนี้…
“อยู่นิ่งๆ น่ะ!” ผมจับมันล็อกมือ แล้วอุ้มขึ้น
“ไม่เอา ไม่กลับ ปล่อยเว้ย! ไอ้สัดปล่อยกู!”
หลังจากที่ดีดดิ้นอยู่ได้พักหนึ่งผมก็สามารถพามันมาที่รถได้…ไอ้หนูหลังจากที่โดนโยนเข้าไปในรถทั้งๆ ที่ตัวเปียกก็นิ่งขึ้นมาทันตา มันมองซ้ายมองขวาแบบงงๆ แล้วค่อยหันหน้ามามองผมที่กำลังเปิดประตูรถข้างคนขับและทิ้งตัวลง….สตาร์ทรถ
“กะ…กลับกรุงเทพเหรอ?” มิกกี้มองผมหน้ามึนๆ
“….อืม”
ตลอดทางที่นั่งคนข้างๆ เงียบราวกับหน้ามือหลังตรีน… ไอ้คนที่ดิ้นร้องโวยวายว่าไม่ยอม ไม่อยากกลับเมื่อกี้หายไปไหนหมดไม่รู้… หรืออาจจะเข้าใจผิดที่บอกว่าให้กลับคงคิดว่าผมจะบังคับพามันกลับไปบังกะโลกับเพื่อนๆ แต่พอรู้ว่าให้กลับมาด้วยกันมันถึงยอม…
ผมเลี้ยวรถเข้าจอดในโรงแรมที่เช็กอินทิ้งไว้… ก่อนออกมารีบจนไม่ได้จัดการให้เสร็จสรรพ ผมคิดในใจ ‘ก็ดี…คืนนี้ให้ขับรถกลับกรุงเทพคงไม่ไหวแล้ว’ ไม่ใช่กำลังที่หมด…แต่ไอ้ปัญหาที่ปักอกอยู่นี่ต่างหากที่ทำให้ไม่มีสมาธิจะทำอะไร
เจ้าหนูมองรอบตัวอย่างงงๆ หลังจากที่โดนผมดึงคอเสื้อกึ่งลากกึ่งเดินเข้ามาในห้องพักใจกลางเมืองหัวหิน… เมื่อกดการ์ดรูดประตูห้องเปิด…ผมรีบกระชากตัวอีกฝ่ายดันเข้าไปในห้องน้ำทันที ฝักบัวเหนือหัวทำงานของมันอย่างดี…น้ำอุ่นจนเกือบร้อนไหลซ่าลงมากระทบร่างข้างใต้ทั้งๆ ที่ใส่เสื้อผ้าครบอยู่แบบนั้น อย่างน้อย….มันก็ทำให้ร่างเราทั้งสองอุ่นขึ้นหลังการแช่ทะเลกับนั่งตากแอร์ในรถมาเกือบครึ่งชั่วโมง
“อ่ะ…ร้อน…เฮีย ร้อน” ไอ้หนูร้องประท้วงขึ้นทันทีเมื่อโดนน้ำสาดกระเซ็นไปทั่วตัว ไอลอยฟุ้งกระจายทั่วห้อง….ออกไปกระทบกระจกภายนอกจนเป็นฝ้าทั้งผืน
“ก็ดี! จะได้หายบ้าลงบ้าง!” ผมจัดการถอดเสื้อยืดไอ้หนูออกจากตัวอย่างรวดเร็ว…คนข้างหน้าร้องอึกอักไม่ทันรองรับการกระทำของผม มันได้แต่ยืนขมวดคิ้วมองดูกางเกงตัวเองที่ถูกดึงร่นลงใต้เข่า
“โอ๊ย ร้อน…” คิดว่ามันร้อนคนเดียวรึไง กรูก็ยืนใต้ฝักบัวเหมือนกัน…มันก็ร้อนเหมือนกันนั่นแหล่ะ ผมจัดการถอดเสื้อผ้าคนข้างหน้าจนเสร็จเหลือเพียงกางเกงในสีเทาตัวเดียวปิดบังกายส่วนล่างเอาไว้ และเบาน้ำลงเปลี่ยนเป็นผสมน้ำเย็นเมื่อเห็นว่าผิวขาวๆ ของคนตรงหน้าเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นแดง
“เสร็จแล้วก็ออกมาข้างนอก”
ผมปล่อยร่างมิกกี้…และเดินออกมาข้างนอกด้วยความกระฟัดกระเฟียด มือข้างหนึ่งดึงท่านสีขาวรูดปิดอย่างแรง ถอดเสื้อผ้าตัวเองโยนไปกองตรงซิงค์ทั้งหมดและออกมาหยิบเสื้อผ้าตัวเองในกระเป๋าข้างนอกใส่
…ครืด…
เสียงเลื่อนประตูห้องน้ำบวกกับไออุ่นแผ่สวนไอเย็นของแอร์ในห้องทำให้ผมรู้ว่าอีกฝ่ายอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว มันยืนตัวเปียกนิดๆ ท่อนล่างห่อด้วยผ้าขนหนูสีขาวปักชื่อโรงแรม ส่วนท่อนบน…ผมเปียกลู่ไปข้างหลัง….หูและจมูกแดงเล็กน้อย ดวงตากลมโตกระพริบปริบๆ ถี่กว่าปกติ… ส่วนปาก…เผยอขึ้นเหมือนหมายมั่นจะเอ่ยบางคำออกมา แต่ก็ต้องเปลี่ยนไปปิดเม้มแน่นตามเดิม
“เอ้า เสื้อ….ใส่ซะ” ผมยื่นเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงเลขาสั้นสีสดใสที่เตรียมมาสำหรับใส่เดินเที่ยวชายหาดของตัวเองให้กับเจ้าหนู… หวังว่าให้อีกฝ่ายยื่นมือมารับ แต่…กลับนิ่งงัน
ด้วยความที่ต่างคนต่างเงียบ…จึงไม่แปลกที่บรรยากาศในห้องจะอึดอัดขึ้นมากะทันหัน ผมส่งสายตาดุพร้อมกับยื่นมือตัวเองไปชนกับหน้าอกคนตรงหน้าเป็นสัญญาณบอกเชิงว่าให้ ‘รับไปซะ’
ไอ้หนูเงยหน้าขึ้นมามองหลังจากที่ก้มดูปลายเท้าตัวเองอยู่นาน…ในที่สุดก็ต้องรับชิ้นผ้านั้นไปสวมใส่
ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมตัดสินใจหันหลังให้…เพียงแค่ในตอนนั้น….รู้สึกอะไรๆ มันไม่เหมือนเดิมซะแล้ว ไม่ใช่แบบเมื่อก่อนที่ตัวผมนั่นแหล่ะเป็นฝ่ายเต็มใจจะจับมันถอด จับมันใส่เสื้อผ้าให้ด้วยความรัก… มิกกี้เองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน มือสั่นน้อยๆ นั่นดึงรับเสื้อไปหันหลังให้ผม…
ถึงมันจะเปลี่ยนไป….แต่ใกล้กันแค่นี้ ใกล้กันแค่นิดเดียว ผมอดไม่ได้ที่จะแอบหันกลับไปมองร่างข้างหลัง…
มองดูแผ่นหลังที่สวมเสื้อสีขาวตัวโคร่งของผมเรียบร้อยแล้ว ผ้าขนหนูถูกปลดลง สองมือนั่นเงอะงะอยู่กับกางเกง…เหมือนกับวันแรก….ผมเห็นแล้วก็อดไม่ได้ สองขาก้าวไปข้างหน้าอัติโนมัติ
ไออุ่นเปียกชื้นสัมผัสกับหน้าอกอย่างไม่ได้ตั้งใจ… มือแกร่งสอดผ่านสีข้างไปข้างหน้าอีกฝ่าย ข้างนึงจับเสื้อให้เลิ่กขึ้นและบังคับให้มือขาวนั่นยึดไว้เพื่อจะได้ผูกง่ายๆ … กลิ่นหอมของแชมพูและสบู่…แม้จะไม่ใช่กลิ่นเดิม…กลิ่นที่คุ้นเคย แต่เพราะคนตรงหน้านี่ต่างหากที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนโดนไฟช็อตไปทั่วกาย
อยากกอด…อยากจะใช้สองแขนนี่โอบรัดร่างเล็กนี้ให้เต็มอิ่มสักครั้ง อยากเหลือเกิน…
และนั่น…คงไม่ใช่ผมที่คิดไปเองฝ่ายเดียว เมื่อสัมผัสได้ถึงแรงบีบที่ข้อมือตัวเอง พร้อมกับเสียงที่สั่นระริก…
“ผมชอบกวาง…..”
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หลอนอิกวางเว้ย! 