Part 31
ตอนเช้าผมก็ไปส่งมันที่มหาลัยตามปกติ….พอจอดเทียบท่าม้าหินอ่อนที่พวกมันนั่งเป็นประจำเท่านั้นแหล่ะ เสียงโห่ร้องดังมาเป็นระลอก ประมาณว่า ฮิ้ววว ราชรถมาส่งอีกแล้วเว้ยยย ผมเกือบหยิบมือถือขว้างใส่หัวพวกมันละ โชคดีที่ยังระลึกได้ว่ามันแพง… ไอ้มิกกี้เองก็หัวเราะชอบใจ มันหันมาโบกมือบ๊ายบายให้ แล้วเปิดประตูลงไปหาเพื่อนทันที
“เฮ้ เดี๋ยว” ผมตะโกนเรียกอีกฝ่าย เมื่อนึกขึ้นได้ เจ้าหนูชะงักกึก รีบหันหลังวิ่งดุ๊กๆ กลับที่รถทันที
“จะให้มารับกี่โมง?” ผมถาม พร้อมกับมองไอ้ตัวยุ่งที่ยืนเกาะประตูรถอยู่แบบนั้น
“สี่โมงเป๊ะครับผม!”
“สี่โมงเป๊ะไม่เจอ ไม่รอ โอเค?” แกล้งไปงั้นแหล่ะครับ…มาสายยังไงกรูก็รอมันอยู่นั่นแหล่ะ แพ้ทุกที
“โอเค้! มาให้ตรงเวลาล่ะ คุณคนขับรถ”
“ลามปามละๆ เดี๋ยวจะโดนมิใช่น้อย”
ผมชี้นิ้วไปที่หน้ามัน เอ็ดเล็กน้อยแต่ไม่ได้จริงจังอะไร… เจ้ามิกกี้เองก็รู้ครับ มันหัวเราะโบกมือบ๊ายบายให้ผมอีกครั้ง ก่อนจะรีบเดินหิ้วเป้ใบโตสะพายบ่า วิ่งตรงไปยังกลุ่มเพื่อนอีกที
วันนั้นทั้งวันผมก็ใช้ในการจัดการธุระส่วนตัวกับเรื่องธุรกิจเซ็นสัญญาบริษัท เอาไปทำก็ต้องเอามาแก้แล้วแก้อีก…แถมไปต่อแถวทีแมร่งคนเป็นล้าน หมดไปแล้ววันนึง รู้สึกใช้ชีวิตได้ไม่คุ้มค่าเท่าไหร่เลย ผมมองนาฬิกา…จะสี่โมงแล้ว ตายห่าละ ยังทำอะไรได้ไม่ครบอย่างที่กะไว้เลย… เอาวะ ผมรีบบึ่งออกมา ตรงไปมหาลัยเจ้าหนูก่อนทันที ไม่อยากให้มันรอนาน
เมื่อมาถึง…ผมค่อยๆ ชะลอรถลงแล้วเทียบข้างฟุตบาทหน้าตึกเรียน…นักศึกษาเริ่มทยอยลงมาจากตึกบ้าง ไม่ก็นั่งติวนั่งคุยกันแถวสวนหย่อม ผมติดเครื่องจอดรอตรงนั้นสักพัก… แปลกแหะ ปกติมันจะไม่ค่อยมาสายหรอกครับ เรียนเสร็จทีไรก็จะกระดี๊กระด๊ามายืนรอรถผม… แต่คราวนี้กลับแปลก
ผมไม่ได้คิดอะไรมาก…อาจจะติดธุระหรืออะไรอยู่ก็ได้ เลยเอนเบาะเปิดเพลงฟังรอมันอยู่ในรถแบบนั้น….สักพักผมก็ได้ยินเสียงวิ่งด้วยความเร็วแสง พร้อมกับเสียงไอ้มิกกี้มันตะโกนดังออกมาว่า
“สัดดดดดดดดดดดดด!”
เล่นเอาสะดุ้งเลยทีเดียว เพราะมันดังมากๆ อ่ะครับ…ผมลุกขึ้นมองดูไอ้หนูที่เปิดประตู กระโดดเข้ามานั่งในรถ หน้าซีดเหงื่อแตกซ่กอย่างเห็นได้ชัด
“มรึงโดนแน่ไอ้กี้ ฮ่าๆๆๆๆ” เสียงใครสักคนในกลุ่มมันดังขึ้นมา…ผมคาดว่าเป็นไอ้นัทครับ เพราะพอชะโงกหน้าออกไปมอง เห็นในกลุ่มมันหัวเราะเอิ้กอ้ากสนุกสนาน…ยกเว้นไอ้คนที่นั่งข้างๆ ผมตอนนี้เท่านั้นแหล่ะ ที่ทำหน้าราวกับจะโดนเชือดในไม่กี่วินาทีนี้แล้ว
“เล่นอะไรกัน?” ผมถามเมื่อเริ่มออกรถ…
“…เปล่า” มันกลืนน้ำหนึ่งเอือก มันเปล่าได้ไงวะท่าทีอย่างงี้เนี่ย!
“ทำอะไรแผลงๆ กันอีกล่ะสิ” ผมว่าตาก็มองดูถนน…แต่มือเอื้อมไปลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ เจ้ามิกกี้ไม่ตอบ แต่ผ่อนหายใจยาว ผมสังเกตเห็นมันลอบมองกระจกส่องหลังเป็นระยะๆ ไม่ก็กระจกข้าง…จะว่าแอร์ในรถเย็นก็ไม่ใช่ แต่ทำไมมันถึงนั่งขดซะขนาดนั้น…
ผมขับมาสักพักก็มาแวะที่บ้านเพื่อน…ต้องมาเอาของที่ฝากมันสั่งซื้อไว้ครับ แล้วก็เคลียร์เรื่องเงินเล็กน้อย เจ้าหนูมันทำหน้ายุ่งมองซ้ายมองขวา ดูมันระแวงผิดปกติชอบกล
“มาทำไรอ่ะเฮีย??” มันรีบคว้าแขนผมที่กำลังบังคับพวงมาลัยทันที สายตาเลิ่กลั่ก…
“มาเอาของกับเพื่อน แป๊บเดียว” ผมว่าแล้วรีบจอดรถหน้าบ้านมัน
“นานมั้ย...”
“เป็นไรเนี่ยหะเรา? ดูแปลกๆ มาตั้งแต่เมื่อกี้ละ …” ผมหันไปมองหน้าไอ้มิกกี้ที่ตอนนี้มันทำหน้าพยักเพยิดบอกไม่ถูก กำลังจะอ้าปากพูด แต่ก็ปิดหมับซะงั้น
“หิว?”
“หึ๊” มันส่ายหน้าแทนคำตอบ
“ปวดฉี่?”
“เปล่าาาาาา”
“ปวดขี้?”
“โอ๊ยยย เปล่าเว้ยยยย ฮืออออ” แน่ะ…ปวดขี้ก็บอกมา ทำหน้าเบ้อยู่ได้ ไอ้ตูดหมาเอ้ย
“งั้นรออยู่ที่รถนะ เดี๋ยวมา” ผมพูด หยิบกระเป๋าตังค์กับมือถือ แล้วเอื้อมมือไปเปิดประตูรถ…
“เฮ้ยยย ไม่เอา ผมไม่อยู่คนเดียวนะ…” เจ้ามิกกี้ทำตาโตเมื่อเห็นผมลงรถไปโดยไม่สนใจใยดี มันรีบเปิดประตูรถข้างตัวเองตาม…แต่ก่อนลงมีการหันหน้าไปมองเบาะหลังอีกต่างหาก เป็นอะไรมากมั้ยเนี่ย

ไอ้หนูรีบกระโดดลงจากรถวิ่งมาเกาะหลังผมทันที มันมองซ้ายมองขวาเหงื่อแตกกว่าเดิมหลายเท่า…
“ทำไมบ้านเพื่อนเฮียปลีกวิเวกจัง…” มันว่าอย่างงั้น…สองมือเกาะชายเสื้อผมแน่น
ก็ไม่แปลกหรอกครับ บ้านหมอนี่น่ะอยู่เข้ามาลึกในซอยเกือบกิโลได้ แล้วแถวนี้มันก็เป็นป่ามาก่อน เพิ่งจะมาถางก็ตอนมันเข้ามาอยู่นี่แหล่ะ รอบข้างเลยยังไม่มีผู้คนเท่าไรนัก… บ้านเสือกตั้งโดดๆ แถมยังเป็นเรือนไทยผสมอีกต่างหาก น่ากลัวได้อีกมรึง ถ้าไม่รู้จักกันกรูนึกว่ามารายการพิสูจน์บ้านผีสิง -*-
ผมเข้ามาข้างในบ้าน…ไอ้เจ้าของบ้านวิ่งร่าเข้ามาทักทาย ผมแนะนำมิกกี้ให้รู้จักเล็กน้อย มันก็พยักหน้าเออออแบบไม่ได้สนใจอะไรเท่าไหร่นัก
“เดี๋ยวรอตรงนี้นะ ไปเอาของแป๊บเดียว” ผมบอกเจ้าหนู…มันทำท่าอิดออดเหมือนอยากจะตามเข้ามาด้วย…
“ให้เข้ามาข้างในด้วยก็ได้นี่” ไอ้เพื่อนตัวดีของผมบอก กวักมือเรียกเจ้าหนูหยอยๆ แล้วเดินนำเข้าไปในห้องทำงานที่ตั้งเด่นเป็นสง่าตรงกลาง ไอ้มิกกี้ยิ้มร่า มันรีบเดินมาเกาะเสื้อผมแล้วตามเข้ามาในห้องทันที
ในห้องทำงานของมันก็ไม่ต่างไปจากข้างนอกเท่าไรครับ จัดแต่งแบบไทยๆ มีโต๊ะสลักตั้งตรงกลางพร้อมกับเอกสารต่างๆ เล็กน้อย ข้างขวามีตู้ทรงไทยเอาไว้ใส่หนังสือ …ข้างซ้ายเป็นหิ้งพระ ผมสังเกตมีเทียนและธูปจุดไว้ครบชุด ไหนจะของขลังต่างๆ วางเรียงเป็นแถว
ผมล่ะไม่อยากจะเชื่อว่ามันทำงานในที่แบบนี้ ต่อให้อนุรักษ์ไทยมากแค่ไหนก็เถอะ…แต่ให้อยู่ท่ามกลางบรรยากาศชวนขนหัวลุกแบบนี้คงไม่ไหว ท่าทางจะไม่ใช่แค่ผมที่คิดอย่างนี้คนเดียว… ไอ้มิกกี้เองที่เกาะเสื้ออยู่ข้างหลังทำตัวสั่น มันมองซ้ายมองขวากลืนน้ำลายเสียงดังเอื้อกจนเพื่อนผมหันหน้ามาหัวเราะเบาๆ
“กลัวเหรอ?” มันถามมิกกี้…ขาก็เดินไปหยิบๆ จับๆ ของในลังที่ถูกห่อไว้เป็นอย่างดี
“…ถ..ถามผม?” เจ้าหนูเอานิ้วชี้ที่หน้าตัวเองแบบงงๆ
“หึหึ ไม่ต้องกลัวหรอก พี่เลี้ยงไว้ดีทั้งนั้น”
เท่านั้นแหล่ะครับ ไอ้หนูรีบดึงแขนผมจนแทบจะเป็นกระชาก…มันกระซิบถาม ‘เลี้ยง…เลี้ยงนี่เลี้ยงอะไรอ่ะเฮีย!’ แถมหน้ายังซีดได้อีก…
“ของได้ป่ะวะ?” ผมเห็นว่าท่าจะไม่ดี ไอ้เชี่ยนี่ก็ดูมีความสุขในการทำให้คนอื่นกลัวได้จริงๆ ผมน่ะมาบ้านมันหลายครั้งแล้ว ตอนแรกๆ ก็ไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่หรอก แต่หลังๆ ก็เริ่มชินแล้ว ที่จริงเคยมาค้างด้วยล่ะครับ ถ้าไม่คิดมันก็ไม่มีอะไรหรอก…แต่ไอ้ห่านี่ก็ชอบพูดให้คนคิดไง มันถึงมีเรื่องกัน -*-
“ได้สิวะ ระดับไหนแล้ว”
ว่าแล้วมันก็หยิบสิ่งหนึ่งที่ถูกห่อเอาไว้อย่างแน่นหนา…ก่อนที่จะยกขึ้นมาก็มีการพนมมือไหว้ และสวดอะไรของมันสักครู่
“หายาก…แต่ก็ไม่เกินมือกรู” มือว่างั้น แล้วส่งของมาใส่มือผม
“ขอบใจ” ผมส่ายหน้ากับอาการขี้เก๊กของมันแล้วรีบรับของมา เปิดห่อดูนึดนึง อืม… ที่จริงผมก็ทำเป็นดูไปงั้นแหล่ะครับ ไม่ค่อยจะรู้เรื่องพวกพระเครื่องอะไรนี่หรอก พอดีลูกค้าเค้าต้องการแต่งบ้านแบบไทยๆ และอยากได้พระรุ่นนี้มาบูชา ผมก็ต้องเสาะหามาให้จนได้…โชคดีที่มีเพื่อนรู้ลู่ทางอะไรแบบนี้อยู่บ้าง ไม่งั้นก็จนปัญญาจริงๆ
ผมยื่นเช็คที่มีจำนวนเงินตามที่ตกลงกันไว้ให้อีกฝ่าย มันเอาขึ้นไปจูบทีนึงก่อนที่จะแสยะยิ้ม…ผมเริ่มรู้สึกว่าไม่ใช่แค่บรรยากาศหรอกที่น่ากลัว ไอ้เจ้าของนี่มันก็น่าขนลุกไม่แพ้ไปกว่ากันเล้ยยย
“โอ๊ะๆๆๆ น้องครับ ระวังอย่าไปชนนะ” ไอ้เพื่อนผมมันรีบร้องขึ้นเสียงดังเมื่อเห็นเจ้ามิกกี้เดินถอยหลังไปจนเกือบชนตู่กระจกที่ตั้งไว้ใกล้ประตู
“อ๊ะ ขอโทษครับ…”
“เฮ้ออ ไม่เป็นไรครับ…โชคดีนะที่ไม่เป็นไร”
“….นี่อะไรเหรอครับ” ไอ้หนูมันถอยออกมานิดนึงก่อนที่จะชะโงกหน้าเข้าไปดูในตู้ด้วยความสงสัย ผมเองก็แอบมองเหมือนกันครับ สิ่งนั้นเป็นเหมือนเศษไม้ผสมกับเศษดิน แต่ถูกสลักเป็นรูปพระ วางเรียงไว้หลากหลายขนาด…
“อ๋อ นี่คือ ปรกโพธิ์ ของอาจารย์เจิม วัดหอยราก ครับ หายากมากๆ เลยนะ แพงด้วย กว่าพี่จะหามาได้นี่แทบตายเลย…อย่า อย่า อย่าเข้าไปใกล้ครับน้อง”
“..ล แล้วมันดียังไงอ่ะครับ?” แน่ะ..กลัวนะ มือนี่สั่นเชียว แต่ยังอยากรู้อีก ไอ้ตัวยุ่งเอ้ย
“องค์นี้ผสมเนื้อกระดูกผี 7 ป่าช้า เลยขลังเป็นพิเศษ พี่เอาไว้ป้องกันคุณไสย เดี๋ยวนี้โดนเยอะ…ไอ้พวกไม่ชอบขี้หน้ากัน บางวันพี่ก็ส่งของพี่ไปเล่นมันมั่ง สะใจดี ฮ่าๆๆๆ”
เท่านั้นแหล่ะครับ…ไอ้มิกกี้สะดุ้งสุดตัว มันหลบหนีตั้งแต่ได้ยินคำว่ากระดูกผีป่าช้าแล้ว มันรีบกระตุกชายเสื้อผมเป็นเชิงบอกว่าให้รีบกลับ เอาวะ…ไหนๆ ก็ได้ของแล้ว กรูก็ไม่อยากอยู่ที่แบบนี้นานนักหรอก แมร่ง โดนไอ้นี่เอายาเสน่ห์ป้ายทำไง คนยิ่งร้อนแรงอยู่ กร๊ากก (คิดได้)

“เออๆ งั้นกรูกลับก่อนนะ ขอบใจเว้ย” ผมรีบพูด แล้วหันหลังจะออกจากบ้านทันที
“ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวไปส่ง” มันว่างั้น แล้วหันไปพูดคนเดียว ประมาณว่า เดี๋ยวพ่อมานะลูก…นู่นครับ ไอ้มิกกี้วิ่งปรู๊ดออกไปหน้าบ้านแล้ว
“เอ้ยๆ เดี๋ยวก่อนไอ้แดน” มันเอามือคว้าบ่าผมไว้ก่อนที่จะขึ้นรถ
“ทำไม?”
“เอานี่ไป…” เพื่อนตัวดีของผมมันยื่นขวดน้ำเล็กๆ ให้ขวดหนึ่ง…น้ำข้างในนั้นเป็นสีน้ำตาลออกแดง และมีใบเล็กๆ ลอยอยู่
“อะไรวะ?” ผมยกขึ้นมาเขย่าๆ และมองดู…นี่กะจะให้กรูโด๊ปงั้นเหรอ ผมเปิดหมุนฝาขวดออก
“ห่า! อย่าดื่ม! นี่กรูเอาไว้ให้ล้างหน้า ล้างตัว ก่อนเข้าบ้านมรึงก็เอาน้ำนี่ลูบๆ หน้า ลูบๆ แขนก่อน…บอกน้องเค้าด้วย”
“ทำทำไม? แล้วนี่มันน้ำอะไรวะเนี่ย เอามาให้กรูล้างหน้า สิวขึ้นขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบ” ผมว่างั้นแล้วหัวเราะ
“สัด นี่น้ำทับทิม ไม่เชื่ออย่าลบหลู่… เค้าเอาไว้ล้างสิ่งสกปรกไม่เป็นมงคลก่อนเข้าบ้าน บ้านกรูน่ะ มันมีทั้งพวกดีและไม่ดี กันไว้ดีกว่าแก้”
ผมขนลุกซู่ รีบปิดฝาขวดแล้วเอามาไว้ข้างในรถทันที …ถึงผมจะไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้มากนัก แต่เห็นจากสีหน้าจริงจังของมันแล้วก็เอาสยองไปเหมือนกัน ผมรีบบอกลาไอ้เพื่อน แล้วขับรถออกจากบ้านร้างของมันทันที ผมเหลือบไปมองไอ้มิกกี้เล็กน้อย ท่าทางคงจะได้ยินบทสนทนาของผมกับเพื่อนเข้าล่ะครับ เพราะตอนนี้นั่งเม้มปากแน่น หน้าซีด ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่มะรอมมะร่อ…
“เฮีย…ต้องเอา…นั่นกลับบ้านด้วยเหรอ?” อยู่ๆ มันก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงฝืดคอ แล้วหันไปมองห่อสีขาวที่เบาะหลัง
“อืม…พรุ่งนี้ค่อยเอาไปส่งให้ลูกค้า”
“เอาไปส่งวันนี้เลยไม่ได้เหรอ?” มันพูดงุงิๆ เสียงเบา…เหมือนกลัวโดนผมดุ
“ทำไม…กลัว?”
“….อือ”
ผมหัวเราะ…ก่อนจะรีบขับรถไปที่เป้าหมาย ไม่นานนักก็มาถึงบ้านเพื่อนอีกคนครับ คราวนี้ผมไม่ได้ลงจากรถ แค่เรียกให้มันออกมาจากบ้าน แล้วยื่นห่อกระดาษจากเบาะหลังไปให้ พร้อมกับกำชับว่าพรุ่งนี้ให้ส่งให้ถึงบ้านลูกค้าภายในเวลากี่โมง หลังจากที่ออกมาจากบ้านเพื่อนแล้ว ไอ้หนูก็แอบทำหน้าใจชื้นขึ้นมานิดนึง จนกระทั่งมาถึงคอนโด…. ก่อนเข้าห้อง ผมหยิบน้ำทับทิมออกมา แล้วยื่นให้เจ้าหนูเอาลูบหน้าลูบตาก่อน มันนี่แทบจะเอาไปราดตัวครับ…ไม่ได้แค่ลูบ แต่มีการถูด้วย อะไรจะกลัวขนาดนั้น จนผมต้องแย่งมาก่อนไม่งั้นหมด ไม่มีเหลือมาถึงตรูแน่ (แอบกลัวเหมือนกันนี่หว่า)
หลังจากชำระล้างมลทินออกจากร่างกายแล้ว พวกเราก็มีกินมื้อเย็นกัน….วันนี้กินอะไรง่ายๆ เพราะดูเจ้าหนูมันไม่มีอารมณ์จะทำ ผมถามแล้วว่าจะไปกินข้างนอกหรือสั่งอะไรเข้ามากินมั้ย… มันก็ไม่เอา จะทำให้ได้ เลยบอกให้ทำแค่ไข่เจียวกับผัดผักก็พอ
“ทำไมยังดูตื่นๆ อยู่…ยังกลัวอยู่เรอะ?” ผมถาม เพราะปกติเวลากินข้าวมันจะเจื้อยแจ้วยังกับนกขุนทอง วันนี้นี่เงียบเชียว…ถามคำตอบคำ ผิดวิสัย
“ก็….นิดหน่อย” อีกฝ่ายตอบเสียงเจื่อนๆ เขี่ยน้ำมันหอยในจานตัวเองเล่น แล้ววาดเป็นรูปดอกไม้
“กลัวอะไร พระก็ไม่อยู่แล้ว ตอนนี้อยู่บ้านเรา ไม่มีอะไรทั้งนั้น”
“ก็….”
“ก็อะไร?” ผมตีมือมันทีนึงข้อหาเล่นกับข้าว เจ้าหนูร้องโอ๊ยทำหน้ายู่…มองผมตาขวาง แบบนี้ค่อยสมเป็นมันหน่อย
“วันนี้…พวกไอ้โจ้….มันชวนเล่นผีเหรียญ” อ้อออ เมื่อตอนผมเด็กก็เคยเล่นนะ…ท้าทายดี
“ถึงว่า…ตอนกลับบ้านทำหน้าแปลกๆ แล้วมันมีอะไรเกิดขึ้นรึไง?” ผมถามอย่างไม่ยี่หระ มือก็ตักกับข้าวเข้าปาก เคี้ยวตุ้ยๆ
“ก็…พอถึงตาผม….แล้วผมเผลอทำมือหลุดอ่ะ ลมมันแรง แล้ว…แล้วก็เลย ไม่ได้บอกก่อนว่าจะเลิกเล่น ไอ้นัทมันบอกว่า แบบนี้โดนแน่ๆ หยุดเล่นกะทันหัน ผีที่สิงเหรียญจะมาแก้แค้น…ผม…ผม”
คืออยากให้เห็นหน้าไอ้มิกกี้ตอนนี้มากครับ คือมันเหมือนกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก จะเบ้ก็ไม่ใช่ จะมู่ทู่ก็ไม่เชิง เหมือนอมอะไรเอาไว้…แล้วกลืนไม่ลง หน้ามันเลยบิดเบี้ยวคล้ายกับว่ากำลังใช้ความคิดอย่างหนัก ผมก็เลยซักๆ มันต่ออีกหน่อย ปรากฏว่ามันเองก็ไม่ได้เชื่ออะไรมากครับ พอเล่นเสร็จก็จุดธูปขอขมาแล้ว…. แต่มันก็อดคิดไม่ได้ เพราะตลอดทั้งวันก็โดนเพื่อนขู่…จากไอ้ที่ไม่คิดอะไร ก็กลายเป็นเริ่มคิด… แล้วดันไปประจวบเหมาะกับที่ผมพาไปบ้านเรือนไทยของเพื่อนด้วย มันเลยมาผสมๆ รวมกันออกมาเป็นเรื่องเป็นราวซะงั้น
หลังจากนั้นผมก็ปลอบๆ มันไปนิดหน่อย บอกว่าอย่าคิดมาก ถ้าเราคิดดี ไม่ได้ตั้งใจ…ก็ไม่มีใครคิดจะประทุษร้ายเราหรอก เดี๋ยวคืนนี้ก่อนนอนก็ไหว้พระอีกรอบละกัน เจ้าหนูก็พยักหน้าอือๆ ก่อนที่จะโดนผมบังคับให้ไปอาบน้ำอาบท่า
“เฮีย…อันนี้ผิดตรงไหนอ่ะ?” ไอ้มิกกี้นอนกลิ้งไปมาบนเตียง หยิบหนังสือเรียน English II ขึ้นมาให้ผมดู แล้วถามเรื่อง Error ที่เรียนมาวันนี้
“ไหน…..แล้วเราตอบอะไรไป” ผมหอมหัวน้อยๆ ของมันทีนึง ก่อนที่จะหยิบหนังสือขึ้นมาดู
“ผมวงอันนี้อ่ะ…ตรงนี้มันต้องเป็นคำนามป่ะ เอ๊ะหรือเวิร์บ…แอดเจ็คทีฟฟฟแมร่งงง โอ๊ย ทำไมต้องเรียนภาษาอังกฤษด้วยวะ ชาตินี้กรูคงอยู่ไทยจนตาย พูดภาษาไทยอย่างเดียวไม่พอรึงายย แง่งงงงง” เจ้าหนูดึงผ้าห่มขึ้นมากัดแล้วดีดดิ้นไปมา
“ไอ้ตูดหมาเอ้ย” ผมส่ายหน้าด้วยความระอา

แต่อยู่ๆ ทั้งห้องก็ดับวูบ!.... ผมมองซ้ายมองขวามีแต่ความมืด… ไหงไฟมาดับเอาตอนนี้วะ!?
“เฮีย!” นั่นไงล่ะ ไอ้มิกกี้ตะโกนขึ้นมาสุดเสียง ผมได้ยินเสียงพั่บๆ คาดว่าคงเป็นหนังสือที่หล่นลงพื้นไปเรียบร้อยแล้ว ตามด้วยเสียง ตุบๆ คงเป็นมืออีกฝ่ายที่ทุบเตียง ควานหาตัวผม
“เฮียยยยยยย ทำไมไฟดับอ่ะ!? …เฮียยยยย!!” เสียงมันเริ่มเครือเล็กน้อยแล้วครับ
“ใจเย็นๆ อยู่นี่” ผมพยายามกระพริบตาหลายๆ ครั้งเพื่อปรับให้ชินกับความมืด พอเห็นตัวไอ้หนูลางๆ ก็รีบดึงมันเข้ามากอด…ลูบหลังเบาๆ เพื่อให้ผ่อนคลาย ดูมันตกใจมากจริงๆ ครับ ปกติถ้าไฟดับธรรมดาคงไม่เท่าไหร่ แต่วันนี้ดันมาเจอเรื่องมากมาย แถมยังผีๆ ทั้งนั้น เลยต้องตกใจเป็นธรรมดา มันจะเหมาะเจาะไปไหนวะ!?
“เฮีย…เฮีย… ไมไฟดับอ่ะ เฮีย…” มันยังคงละล่ำละลั่กพูดไม่ค่อยจะเป็นคำอยู่แบบนั้น มือก็เกาะตัวผมแน่น
“ไม่รู้สิ เดี๋ยวต้องออกไปดูข้างนอกว่าห้องอื่นดับมั้ย” ผมพูดและทำทีว่าจะลุกออกไปดูทันที
“เดี๋ยวๆๆๆ ผมไปด้วยๆ”
“รออยู่ตรงนี้แหล่ะเรา เดี๋ยวมา” ผมว่างั้นแล้วพยายามแกะมืออีกฝ่ายออกจากตัว แต่ท่าทางจะไม่เป็นผล ยิ่งผมแกะมันก็ยิ่งรัดแน่นไม่ยอมปล่อย ผมเลยเบี่ยงตัวไปเปิดลิ้นชักข้างเตียง แล้วควานหา…เควาย เอ้ย! ไม่ใช่ ไฟฉายเว้ย! คนเขียนแมร่งหมกมุ่น -*-
….พรึ่บ…
“แว่กกกกกกกกกกกกกกก”
“โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยย!”
เสียงแรกคือไอ้มิกกี้ที่ตกใจเห็นหน้าผม…ที่มีไฟฉายส่องอยู่ใต้คาง ส่วนเสียงที่สองคือเสียงผม…ที่โดนมันเตะเข้าที่ซี่โครงอย่างจัง
“อูยยย เจ็บ….” ผมกุมหน้าท้องตัวเอง แมร่งเอ้ย ถีบมาได้ไม่ทันได้ตั้งตัวเลย จุกชะมัด
“เหวอ…ขอโทษครับ ก็เฮียอ่ะ! เล่นแบบนี้ทำไม!” มันรีบเข้ามาชิด แล้วเอามือลูบที่หน้าท้องผมไปมา หน้าตาออกแนวสำนึกผิด แต่ก็โกรธเล็กๆ ที่ผมเล่นไม่ดูเวลา…
ผมนั่งนิ่งๆ เอาไฟฉายวางไว้ที่โต๊ะข้างเตียง ตั้งไว้ให้มันฉายไปข้างหน้า แสงสว่างจากไฟฉายสาดไปรอบๆ จนทำให้สามารถมองเห็นสิ่งรอบตัวในระยะแขนได้ค่อนข้างชัดเจน…ผมนั่งพิงเตียงโดยมีเจ้าหนูขยับเข้ามา มือก็ยังลูบท้องผมวนไปมาอยู่อย่างนั้น…ท่ามกลางความมืดมิด
ตอนนี้มันเริ่มหายเจ็บแล้วล่ะครับ
“มิกกี้…” ผมใช้อีกมือกำมือของเจ้าหนู ทาบไว้ที่หน้าท้องตัวเองเบาๆ แล้วใช้อีกมือจับเข้าที่ท้ายทอยอีกฝ่าย…
…เพื่อโน้มเข้ามาใกล้…
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตอนหน้าหยิบเควายชัว! อิอิ 