Part 23
ไม่นานนักพวกเราสามคนก็มาถึงห้างชื่อดังใกล้บ้าน โดยที่ตลอดทางมีเพียงเสียงเจื้อยแจ้วของไอ้ไมล์ที่พยายามซักไซ้ไล่เลียงถามถึงญาติโกโหติกาประวัติความเป็นมาของไอ้มิกกี้ละเอียดยิบ เจ้าหนูเองก็… ก็เป็นคนแบบเจ้าหนูแหล่ะครับ พอมีเรื่องให้ดี๊ด๊าขึ้นมานิดนึงก็ลืมไปหมดเสียแล้วว่าเมื่อกี้มีเรื่องอะไรกัน
สองคนนั้นคุยกันอย่างถูกคอ… เจ้าไมล์เองก็เป็นคนเฮฮาปาร์ตี้อยู่แล้ว จึงไม่ยากเลยที่จะตีสนิทเจ้าหนูได้ในเวลาอันรวดเร็ว แค่ไอ้ไมล์บอกว่าเพื่อนมันเปิดแกลอรี่อยู่ ครั้งต่อไปจะเปิดของ… เอ่อ เป็นชื่อศิลปินสักคนน่ะครับ ที่แนวๆ สไตล์ไอ้หนูมัน เพียงแค่นั้น... ไอ้มิกกี้ก็ทำตาวาว ร่ำขอไปๆ ไม่หยุดแล้ว
“กินอะไร?” ผมเอ่ยถามเสียงแข็ง มองดูไอ้สองคนข้างหลังคุยกันหนุงหนิงๆ …แมร่งเอ้ย เห็นแล้วหงุดหงิดชิบ
“กินไรดีน้า น้องกี้อยากกินไรครับ?” โหหหห ปากงี้น่าตบให้หายหวาน… น้องกี้ อี๋ กรูอยากบ้า
“กินฟูจิๆ”
ไม่พูดพล่ามทำเพลง ไอ้มิกกี้เม้าส์ลากเพื่อนซี้คนใหม่เข้าร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อเหมือนภูเขาไฟไปเรียบร้อยโรงเรียนดิสนี่ย์ ส่วนผมเองจะทำอะไรได้ล่ะครับ…ก็เดินตามสองคนนั้นเข้าไปแบบเซ็งๆ เท่านั้นแหล่ะ
แถมไอ้สองตัวนั้นยังนั่งฝั่งเดียวกันอีกด้วย! เพราะมันเป็นที่นั่งแบบสี่ที่ แต่เรามากันสามคน เพราะฉะนั้นผมเลยกลายเป็นหมาหัวเน่านั่งอยู่คนเดียวซะงั้น! ว่าแล้ว…ก็ส่งสายตาอาฆาตไปที่ไอ้เพื่อนเลวซักหน่อย… แต่ท่าทางจะไม่เป็นผลเท่าไรครับ เพราะไอ้ไมล์ส่งหน้าตายียวนกวนประสาทกลับมา ดีใจล่ะสิมรึงงงงที่ยั่วโมโหกรูได้เนี่ย… ส่วนไอ้ตัวเล็กน่ะเหรอครับ… อย่าให้พูด ตอนนี้ไม่สนอะไรแล้วทั้งนั้นนอกจากเมนูอาหารในมือ
หลังจากที่สั่งอาหารกันเสร็จเรียบร้อย… ผมก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ มองออกไปนอกร้านดูผู้คนเดินผ่านไปมาพร้อมกับพยายามนึกเรื่องที่จะคุยกับคุณหนูปอแก้วในตอนบ่าย โดยที่มีเสียงสองคนฝั่งตรงข้ามเป็นแบ็คกราวด์… แต่อยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนโดนจ้อง ผมเบนตากลับมามองที่ก็พบว่าเจ้ามิกกี้นั่งอยู่คนเดียวแล้ว
“อ่าว ไอ้ไมล์ล่ะ?” ผมถามด้วยความแปลกใจ
“ไปเข้าห้องน้ำ” เจ้าหนูตอบผม แล้วนอนฟุบหน้าลงกับแขนตัวเองบนโต๊ะ
“เป็นอะไรไปหืมเรา?”
“…” ไม่มีเสียงตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก
“ง่วงเหรอ?” มันส่ายหน้าทั้งๆ ที่ซุกอยู่กับท่อนแขน
ผมเลยไม่ได้ทักท้วงหรือถามอะไรให้มากความ เอื้อมมือไปลูบหัวอีกฝ่ายหวังว่าจะให้รู้สึกดีขึ้น… ทำอยู่แบบนั้นสักพัก เจ้าหนูก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นจากโต๊ะ
“หิวรึเปล่า… อีกพักนึงคงได้แล้วแหล่ะ” ผมยิ้มให้ตาหวานๆ กำลังเชยมอง มันทำหน้ามู่ทู่เอาคางทับมือตัวเองมองผม เห็นแล้วก็รู้สึกอยากแกล้ง… คันไม้คันมือชอบกล พักหลังๆ นี่รู้สึกหมั่นเขี้ยวไอ้หน้าขาวๆ ปากยื่นๆ นี่เสียเหลือเกินครับ… ว่าแล้วก็ขอแหย่หน่อยเหอะ
“อื้ออออ!!” ไอ้หนูหันหน้าหนีนิ้วผมที่กำลังเขี่ยจมูกมันเล่น
“หึหึ”
“อื้อออออออ!”
เจ้ามิกกี้หลับตาปี๋ หันหน้าหนีมือผมที่กำลังยุ่งกับใบหน้ามัน ทั้งตา จมูก แก้ม และสุดท้าย…ที่ปากอย่างไม่ลดละ นึกออกป่ะครับ เหมือนเวลาแหย่หมาในกรงอ่ะ มันจะนอนอยู่นิ่งๆ ไม่หลบไปไหน แค่พยายามเบนหน้าหนีด้วยความรำคาญพร้อมกับส่งเสียงครางหงิงๆ … แบบเดียวกันเลย น่ารักชะมัด
“งั่มมม” มันเห็นผมเผลอเลยทำท่าจะงาบนิ้วหยุกหยิกซะงั้น
“เป็นหมารึไงน่ะเรา?” ผมว่า หัวเราะในลำคออย่างอารมณ์ดี… เจ้าหนูเห็นนั้นเลยพยายามงับนิ้วผมเล่น แต่เรื่องอะไรจะยอมล่ะ ผมแกว่งนิ้วไปมาเหมือนหยิบกระดูกล่อหมา นึกภาพตามกันออกมั้ยครับ?
“กัดๆ แง่งงงงง” คราวนี้มันไม่พลาด ตะครุบเอาทั้งมือผม แล้วจัดการกัด… กัด! เข้าที่นิ้วผมอย่างจัง
“โอ๊ย… ฮ่าๆ ไอ้หมาบ้าเอ้ย”
“อยากมาแกล้งดีนัก กัดให้ขาดเลย” มันยังคงทำท่าแง่มๆ ใส่มือผมอ่ะครับ ไม่เจ็บหรอก คันๆ มากกว่า…แต่เห็นสีหน้าเอาจริงเอาจังของมันแล้วก็อดขำไม่ได้ไปเสียทุกที
ผมมองอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู… ตอนนี้มันเลิกกัดผมแล้วครับ แต่ซบหน้าลงบนมือผมแทน ทั้งๆ ที่เปื้อนน้ำลายมันนั่นแหล่ะ หึหึ
“เฮีย…”
“หืม?” ผมครางในลำคอตอบ มือที่ถูกกอบกุมไว้ก็ลูบแก้มใสไปมา
“เมื่อเช้า…. เฮียจะบอกอะไรผมรึเปล่า?” มิกกี้หยุดเว้นช่วงในตอนแรก… ก่อนที่จะกลืนน้ำลายและเอ่ยประโยคสุดท้ายออกมา
ผมนั่งนิ่ง… พยายามเรียบเรียงความคิดแสนสับสนของตัวเองให้เข้ารูปเข้ารอย ก็เล่นอยู่ๆ มาถามกันแบบไม่ทันตั้งเนื้อตั้งตัวแบบนี้ก็ต้องชะงักเป็นเรื่องธรรมดาแหล่ะครับ เจ้าหนูเงยหน้าขึ้นจากมือผมและมือตัวเองขึ้นมามอง… สายตาเหมือนคาดหวังอะไรบางอย่างลึกๆ แต่ก็ไม่กล้าที่จะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน…
ก่อนที่ผมจะอ้าปากพูดอะไร ไอ้ไมล์ก็โผล่มาจากไหนไม่รู้ มันนั่งฟุบลงข้างๆ มิกกี้และยิ้มร่า ทำเอาทั้งผมและไอ้หนูทำตัวไม่ถูกกันเลยทีเดียว
“อาหารยังไม่มาอีกเหรอวะ หิวโคดๆ” มันมองผมเป็นเชิงคำถาม…
สาดไมล์เอ้ยยยยยยยยยยยยยยยยย มรึงขัดจังหวะชีวิตพวกกรูกี่รอบแล้ววะวันนี้!
……………………..
เวลาผ่านไปประมาณ 40 นาที… พวกผมก็จัดการซัดโฮกอาหารบนโต๊ะไม่เหลือครับ ด้วยความที่หิวมาตั้งแต่เมื่อวานบวกกับมีเรื่องให้เซ็งๆ เลยยัดๆ มันเข้าปากแบบไม่คิดให้มากมาย
อยู่ๆ ไอ้มิกกี้ก็บอกว่าจะไปเข้าห้องน้ำ…
“ไปเป็นเพื่อนมั้ย?” ผมถาม มองตามไอ้ตัวยุ่งที่แทรกตัวผ่านไอ้ไมล์ออกมาจากที่นั่งด้านใน
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวมานะ”
ผมนั่งคุยกับไอ้ไมล์ไปได้สักพัก ทั้งเรื่องส่วนตัว เรื่องที่ทำงานและเรื่องที่จะคุยกัยคุณปอแก้ววันนี้… เวลาผ่านไปเกือบ 20 นาที ไอ้มิกกี้ก็ยังไม่กลับมา.. เลยเริ่มรู้สึกแหม่งๆ ละ ว่าแล้วเลยอาสาบอกว่าเดี๋ยวไปตามมาเอง เพราะมือถือก็ไม่เอาไป ถ้าออกไปสองคนเดี๋ยววุ่นวายตอนสวนทางกันอีก ไอ้ไมล์เองก็ตกลงเพราะมันอิ่มจนแทบลุกไม่ไหว ขอนั่งอยู่กับที่หน่อยเถอะ
ผมเดินออกมานอกร้าน พนักงานสาวก้มหัวและกล่าวคำขอบคุณเป็นภาษาญี่ปุ่นให้ด้วยความสุภาพ ว่าแล้วก็กวาดสายตามองหาไอ้ต้นเหตุ… ผมเดินเข้าไปในห้องน้ำที่ใกล้ที่สุดก่อน แต่ก็ไม่เจอ… เดินออกมาตามร้านรวงต่างๆ ก็ยังไม่มีวี่แวว…
จนกระทั่งได้ยินเสียงเด็กสาวกลุ่มหนึ่ง ยืนคุยกันเจี๊ยวจ๊าว มือถือซอฟท์ครีมไว้คนละโคน… ผมหันไปตามเสียงก็เห็นร้านไอศกรีมสีชมพูสดใสตั้งอยู่ มีผู้หญิงทั้งเด็กและวัยทำงานยืนล้อมรอบพูดคุยเสียงดัง ท่าทางร้านนี้จะขึ้นชื่ออยู่เหมือนกันครับ เพราะเคยเห็นออกทีวีกับพวกรายการดังๆ แหงล่ะ…ไอติมกับผู้หญิงเนี่ยเป็นของคู่กันเสมอ
แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะเห็นก็คือ… ผมมองทะลุกระจกใสบานใหญ่ที่มีกรอบไม้สีชมพูเข้าไปข้างใน … แผ่นหลังของเด็กวัยรุ่นผู้ชายที่คุ้นตากำลังยืนชี้นู่นชี้นี่ที่หน้าเคาท์เตอร์ …เฮ้ย! นั่นมัน…
…กริ๊ง กริ๊ง…
“สวัสดีค่ะ รับอะไรดี…คะ” เด็กสาวในชุดสีขาวอมชมพูทักทายแขกผู้มาเยือน แต่ท้ายประโยคติดขัดไปเล็กน้อยเมื่อเงยหน้าขึ้นมาและเห็นว่าเป็นผู้ชายวัยทำงานใส่ชุดสูท หน้าเคร่งกำลังเดินเข้ามาในร้าน
“ไม่เป็นไรครับ ผมมาตามคน”
เธอพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนที่จะเดินไปเก็บถ้วยไอติมบนโต๊ะลูกค้าต่อไป… ว่าแล้วผมก็เดินไปที่เป้าหมาย เจ้าหนูกำลังก้มๆ เงยๆ มองเหล่าบรรดาท็อปปิ้งที่วางเรียงรายอยู่ในกระบะแช่เย็น หน้าตามันดูลังเล จนทำให้เด็กสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ หันมามองแล้วหัวเราะคิกคักใส่กัน
“…อยากกินไอติมทำไมไม่บอก” ผมเดินเข้าไปที่ข้างหลังมัน แล้วเอ่ยถาม
“เหวอ! ตกใจหมด!” ไอ้หนูสะดุ้งสุดตัว แล้วถอนหายใจโล่งอกเมื่อเห็นว่าเป็นผม
“หายไปตั้งนาน นึกว่าเป็นอะไรไปซะแล้ว”
“โทษที… ผมอยากกินซอฟท์ครีมนี่นา แล้วคนก็ต่อแถวตั้งเยอะ กว่าจะถึงคิวเนี่ย” อีกฝ่ายทำหน้าสำนึกผิดเล็กๆ ก่อนที่จะพยายามอธิบายเหตุผลไม่ให้ผมโกรธ…
“ทีหลังก็มาบอกก่อน แล้วค่อยมาซื้อพร้อมกัน ไม่ใช่หายไปแบบนี้” ผมยังคงยึดฟอร์มนิ่ง สองมือล้วงกางเกงมองคนตรงหน้าอย่างแข็งๆ เป็นเชิงดุ
“…ขอโทษครับ”
“เอาล่ะ อยากกินอะไรล่ะ สั่งรึยัง?”
เจ้าหนูพยักหน้า แล้วก็หันไปตามเสียงของพนักงานสาวที่บอกว่า ‘ได้แล้วค่ะ’ พร้อมกับยื่นไอศกรีมม้วนเป็นกลมๆ สีขาวบนโคนเวเฟอร์สีครีม ดูเรียบง่ายแต่น่ากินครับ… ผมหยิบเงินในกระเป๋าจ่ายให้ก่อนที่ไอ้มิกกี้จะควักได้ทัน แล้วรีบดึงมันออกมาทันที ไม่ใช่อะไรหรอก… ก็แอบอายสายตาของกลุ่มสาวๆ หลายกลุ่มที่กำลังจ้องมาที่พวกผมสองคนเป็นตาเดียวน่ะสิ
ไอ้หนูเดินเลียไอติมบนมืออย่างอารมณ์ดี ผมโทรไปบอกไอ้ไมล์ว่าเจอมิกกี้แล้ว ให้คิดเงินไปก่อนได้เลย เดี๋ยวจะไปนั่งรอที่รถ เรื่องอะไรจะเดินไปๆ กลับๆ ล่ะครับ เมื่อยจะตาย… ใช้ไอ้ตัวรักสบายนั่นหน่อยเถอะ โทษฐานที่วันนี้ทำให้พวกผมวุ่นวาย(หัวใจ)กันทั้งวัน
ว่าแล้วก็มาเดินรอตรงที่จอดรถ… ผมจูงมืออีกข้างของไอ้ตัวยุ่งไปนั่งที่เก้าอี้ตัวยาวสำหรับพักผ่อน เจ้าหนูเองก็ทำตามแต่โดยดีเพราะสมาธิทั้งหลายแหล่ตอนนี้เพ่งไปอยู่ไอ้ก้อนไขมันสีขาวขุ่นนั่นเสียแล้ว
“กินช้าจริง” ผมพูดลอยๆ เมื่อเหลือบไปเห็นไอ้คนที่นั่งข้างๆ กำลังอ้าปากเลียไอติมอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่กลับหายไปแค่นิดเดียว
“โหย กินติมมันต้องค่อยๆ ละเลียดละเล็ม… คนไม่ละเอียดอ่อนอย่างเฮียไม่เข้าใจหรอก” นั่น ฝีปากยังใช้ได้เหมือนเดิมครับ มีการหันมาค้อนให้นิดนึงก่อนที่จะลงมืออ้าเอาลิ้นแดงๆ เลียไอติมเข้าปากอย่างระมัดระวัง
เก้าอี้ที่พวกเรานั่งมันอยู่ด้านหลังรถพอดี… จึงไม่มีคนผ่านไปผ่านมาเท่าไรนัก ผมนั่งรับลมรอไอ้ไมล์อยู่แบบนั้นก็รู้สึกเหมือนมีคนจ้อง… เลยลองหันไปตามสายตานั้น ปรากฏว่าไอ้เจ้าของสัญญาณแปลกๆ จากนอกโลกกลับรีบหันหน้าหนี ทำเป็นไม่รู้เรื่อง นั่งกินไอติมต่อซะงั้น… ว่าแล้วเลยลองแกล้งทำเป็นหันกลับมาชมนกชมไม้ไปตามเรื่อง มองด้วยหางตาก็รู้ว่ามันค่อยๆ จ้องผมต่อ แต่พอหันกลับไปก็รีบหันหนี คนอะไร…น่าสนุกชะมัด
ผมยกมือขึ้นแล้วพาดกับพนักพิงเก้าอี้ ดึงตัวไอ้มิกกี้เข้ามาใกล้จนมันร้องตกใจ หันมามองผมตาโต..
“เฮีย ทำอะไรน่ะ!” ปากร้อง มือประคองของกินในมืออย่างแน่นหนา
“…อร่อยมั้ย” ผมมองดูเจ้าหนูที่กินอย่างมีความสุขแล้วก็อดถามไม่ได้
“หร่อย”
“…ชิมมั่ง”
“ไม่อาววววววว จะกินทำไมไม่ซื้อตั้งแต่เมื่อกี้ล่ะ คนเค้าอุตส่าห์เก็บไว้กินเอง” มันบ่นๆๆๆ ไปเรื่อยตามประสา มีการยกมืออีกข้างป้องไอติมที่กำลังละลายจนไหลลงมาเปรอะมือตัวเองแล้วอีกต่างหาก
“ไม่เป็นไร ชิมแค่นี้ก็ได้”
ว่าแล้วผมก็ยื่นมือไปจับมือเจ้าหนูข้างที่ถือไอติม แล้วก้มลงไปเลียระหว่างง่ามนิ้วยาวที่มีไอติมหยดเปื้อนเป็นทางลงมา เจ้าหนูดูอึ้งไปนิดนึงก่อนที่เลือดในร่างกายจะเริ่มทำงานและไหลเวียนอย่างรวดเร็วจนสูบฉีดแทบไม่ทัน
“อืม อร่อยดี รสโยเกิร์ตนี่” ผมว่า เลียริมฝีปากแล้วทำหน้าคิดตามรสชาติที่เพิ่งได้สัมผัสไปเมื่อครู่
“สะ..สกปรก” ไอ้มิกกี้รีบดึงมือหนี หยิบทิชชู่ในมืออีกข้างขึ้นเช็ดมือตัวเองทันที
“ไม่เห็นสกปรกเลย” ผมยังคงเถียงค้างๆ คูๆ มองหน้าแดงๆ ของอีกฝ่ายแล้วก็รู้สึกดีจริงๆ ให้ตายเถอะ
“เมื่อกี้เกาตรูดมาด้วย ฮ่าๆ สกปรกมั้ยล่ะ” มันทำเป็นพูดหัวเราะกลบเกลื่อนความอายจากใบหน้าร้อนฉ่า แล้วลงมือก้มหน้าก้มตากินไอติมต่อ
“อืมมมม แย่จัง ถ้าอย่างงั้นต้องเปลี่ยนที่ชิมแล้ว…”
ผมก้มหน้าลงไปใกล้ร่างข้างๆ จนมันเงยหน้าขึ้นมาเมื่อเห็นเงาตกใส่ตัวเอง… จังหวะนั้นเองที่พวกเราสบตากัน ผมยิ้ม… อีกฝ่ายชะงัก… ไม่มีเสียงเอื้อนเอ่ยใดๆ มาแทรก จนกระทั่งผมฉวยโอกาสก้มลงแนบริมฝีปากร้อนเข้าด้วยกันอย่างนุ่มนวล จากนั้นก็ผละออกมานิดหนึ่ง ก่อนที่จะจูบลงไปย้ำๆ อยู่แบบนั้น… ลิ้นไล้เลียรอบกลีบปากน้อยสีแดงสด เจ้าของปากเผยอคู่นั้นสั่นสะท้านเล็กน้อย ตาหรี่ปรือ… ราวกับกำลังรอรับสัมผัสบางอย่างที่ลึกล้ำ… ไอติมในมือร่วงหล่นลงพื้นตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ รู้เพียงแต่ว่าเราสองคนต่างละความสนใจจากมันเสียแล้ว
ผมคว้าท้ายทอยเจ้าหนูไว้ในอุ้งมือ และออกแรงดึงให้เข้ามาใกล้มากขึ้น มันเองก็ยกขาทั้งสองขึ้นบนเก้าอี้ แล้วขยับเข้ามาตามแรงบังคับจนแทบจะกลายเป็นนั่งตักกันอยู่แล้ว …ผมลิ้มรสชาติไอติมหวานอมเปรี้ยวจากโพลงปากอีกฝ่ายอย่างพึงพอใจ ก่อนที่จะถอยใบหน้าออกมา แต่ก็ไม่วายกดจมูกแนบแก้มใสนั่นอีกทีให้หายหมั่นเขี้ยว ก็ดูหน้ามันสิครับ… หลับตา หน้าแดงแปร๊ด ปากก็อ้าเล็กน้อยราวกับยังไม่อิ่มเอมจากรสสัมผัสรุนแรง… ไม่พอใช่มั้ย… ทำแค่นี้ไม่พอใช่มั้ย
“อืมมม อร่อยดี แต่คนถืออร่อยกว่าแหะ” ผมหัวเราะในลำคอเบาๆ แล้วหันไปนั่งแบบเดิม มือยังคงลูบที่ต้นคอเจ้าหนูเบาๆ
คอยดูสิ… เดี๋ยวมันจะต้องโวยวายไม่ก็เขินจนตัวม้วนอีกแน่ๆ ผมประมวลปฏิกิริยาของไอ้มิกกี้ไว้ในหัวทั้งหมดแล้ว… แค่คิดก็น่าสนุก อยากจะลองทำอีกสักครั้งจริงๆ
แต่ทว่า… ทันทีที่ผมหันหน้ายิ้มๆ มามองคนข้างๆ …กลับกลายเป็นเจ้าหนูนั่งกอดเข่าตัวเอง จ้องผมอย่างงงงวย… ที่สำคัญ แก้มขาวนั้นอาบไปด้วยน้ำสีใสทั้งสองข้าง
“เฮ้ย!...มิกกี้!” ผมอุทานเสียงหลง ก็ตกใจสิครับ… อาการแบบนี้มันไม่มีอยู่ในสมองเลยนี่หว่า
“….ฮึก” ใบหน้านั้นยิ่งเบะมากขึ้นเรื่อยๆ มันหันทั้งหน้าทั้งตัวหนีผม แล้วทำท่าจะลุกขึ้นหนี
“เดี๋ยว ไปไหน เป็นอะไร!?” ผมรีบลุกตามไปคว้าข้อมือเล็กไว้ มันไม่ดิ้น ไม่ขัดขืน แต่ก้มหน้าเหมือนไร้กำลัง
“…กลับบ้าน” แล้วก็ได้ยินเสียง ฟื้ดดดด แบบสูดน้ำมูกตามมา
“จะกลับยังไง กลับด้วยกันสิ… มานี่มา ร้องไห้ทำไม หืม?” ผมดึงมันเข้ามากอด แล้วลูบหัวเบาๆ แต่ก็โดนต้านเอาไว้ แถมยังยิ่งร้องหนักกว่าเดิมด้วยซ้ำ
“ไม่เอา ฮึก…”
“โอ๋ๆ มานี่ อย่าร้องๆ”
“ไม่ต้อง! เฮียก็ชอบทำแบบนี้! แกล้งผมสนุกมากมั้ยล่ะ! ก็รู้ว่าผม…ผมไม่เคย ก็ชอบทำเหมือน ฮึก ชอบทำเหมือน…” เสียงสะอื้นของมันทำให้พูดจาไม่ถนัดเท่าไรนัก หรือเพราะมันไม่กล้าพูดออกมากันแน่ก็ไม่รู้ ทันทีที่ผมได้ยินก็รู้สึกผิดจับใจ.. ใช่ ผมแกล้งมัน ผมสนุกกับการได้ปั่นหัวน้อยๆ นี่ ทุกครั้งที่เห็นมันเขิน มันหน้าแดงก็รู้สึกชอบใจ มีความสุขพิลึก… ยิ่งไม่ต่อต้านด้วยแล้วยิ่งได้ใจใหญ่ แต่ก็คิดว่าคงเล่นหนักและมากเกินไป จนทำให้เจ้าหนูคิดมากเกินกว่าจะรับไหว
“ขอโทษ… ขอโทษ จะไม่แกล้งแล้ว” แอบรู้สึกไม่ดี เพราะผมเคยพูดคำนี้ไปแล้ว แต่ก็ทำไม่ได้… อยากทำตัวน่าแกล้งทำไมเล่า
“สนุกมั้ยล่ะ… ทำนู่นทำนี่อยู่ได้ ผมไม่ใช่ของเล่นของใครนะ ชอบทำให้คิด แล้วก็พูดแหย่ๆ เหมือนไม่ได้คิดอะไร ฮือออ จะเป็นบ้าอยู่แล้ว ไอ้เฮียเฮงซวย!” มันยังคงร้องไห้ ยกมือขึ้นปิดปากปิดตาตัวเองที่เลอะไปด้วยคราบน้ำใส หลังน้อยนั่นสะท้านเป็นพักๆ จากการสะอื้น
“ไม่สนุก ไม่สนุกแล้ว… ไม่ทำแล้วนะ” ผมดึงอีกฝ่ายเข้ามากอด แล้วกระซิบที่ข้างใบหูเย็นเฉียบ
“ไม่ชอบก็ไม่ทำหรอก”
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไอ่เฮียโง่ววววว