HAPPY NEW YEAR
ผมเอี้ยวตัวไปจับขายาวที่พาดมาเกือบจะกลางลำตัวเหนือผ้าห่ม… ก่อนจะลูบไล้ไปเรื่อยจนถึงเนินขาอ่อน ดูท่าเจ้าตัวจะยังคงหลับสนิทนอนนิ่งหายใจรวยรินสม่ำเสมอ ว่าแล้วก็กระชับฝ่ามือลงกับต้นขาอีกฝ่ายและกระตุกดึงให้ทั้งร่างนั้นพลิกขยับเข้ามาใกล้มากขึ้น
“อือ…”
“เมื่อคืนกลับมากี่โมง?”
“ตี 4 มั้ง….จำไม่ค่อยได้อ่ะ” คนข้างๆ ตอบเสียงแหบพร่า ตายังคงหลับอยู่แต่คิ้วขมวดเข้าหากันเป็นปมแน่น
“ตี 4? นี่ออกจากลำปางกี่โมง”
“เอ…อือ…ประมาณ 3 ทุ่ม” ผมนอนนับเลขในใจ
“เฮ้ย นี่ขับมาความเร็วเท่าไหร่เนี่ย ทำมามถึงเร็วแบบนี้ แถมน่าจะรถติดเพราะเป็นช่วงปีใหม่อีกไม่ใช่รึไง” ผมรีบเค้นคำตอบจากอีกฝ่าย นี่มันขับรถจากลำปางมากรุงเทพใช้เวลาแค่ 7 ชม.เนี่ยนะ!?
“อื้อ ก็อยากกลับแล้วนี่”
“มันไม่ปลอดภัยรู้มั้ย ก็รู้อยู่ว่าอัตราอุบัติเหตุช่วงนี้เยอะขนาดไหน บอกแล้วว่าอย่าขับเร็วๆ แล้วไม่ต้องรีบมาก็ได้ กลับมาพร้อมที่บ้านยังปลอดภัยกว่า”
“ก็ปลอดภัยแล้วนี่ ดูสิ ครบ 32 ทุกอย่าง ยังมาว่ากันอีก” ไอ้หนูลืมตามองผมหน้างอแล้วครับ
“ที่พูด…เพราะเป็นห่วง”
“ที่รีบ…เพราะคิดถึง”
โห จุกเลยครับ ผมพูดไม่ออกนอกจากถอนหายใจแล้วดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดแน่นๆ ก่อนจะกระซิบบอกว่าดีแล้วที่ไม่เป็นอะไร คิดถึงเหมือนกัน ช่วยไม่ได้นี่นะ ปีใหม่ที่ผ่านมานี้ไม่ได้อยู่ด้วยกันเพราะที่บ้านไอ้มิกกี้จองตัวกะทันหัน อยากพาลูกพาหลานไปเที่ยวลำปาง ผมก็ทำไงได้ ยึดตัวลูกชายเค้าไว้นานแล้วก็ต้องยอมๆ ไปโดยที่เจ้าตัวเองก็ดูไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ แต่ก็ทำไงได้นะ…
ส่วนผมนั้น ในเมื่อเจ้ามิกกี้ไม่อยู่เลยตัดสินใจกลับบ้านไปหาพ่อและแม่ในวันปีใหม่บ้าง ไม่มีอะไรมากแค่ทานอาหารด้วยกันและคุยกันนิดหน่อย แม่ถามถึงมิกกี้เหมือนกันแต่ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ท่านทั้งสองไม่ได้อยู่เค้าท์ดาวน์ด้วยหรอกครับเพราะแก่แล้ว 4 ทุ่มก็เข้านอนกันเรียบร้อย ส่วนผมก็เค้าท์ดาวน์ทางโทรศัพท์กับเจ้าตัวยุ่งแทน
“แล้วเป็นไงมั่งล่ะ สนุกมั้ย?” ผมถาม มือก็เริ่มลูบไปตามหน้าตามตามิกกี้ ไม่ได้เจอเกือบสัปดาห์ คิดถึงเหมือนกันนะเนี่ย
“ก็ดีอ่ะ…วุ่นวายดี รวมญาตินานๆ ที” มันตอบพร้อมกับครางอืออาไปตามประสา
“ทุกคนสบายดีมั้ย ป๊ากับม๊า…”
“โอ๊ย มากกว่าสบายดีอ่ะ ม๊าซื้อของฝาก ผลไม้ อาหาร นู่นนี่นั่นเยอะแยะมาฝากด้วย เต็มหลังรถเลย แต่ยังไม่ได้เอาออกนะ ง่วงก่อน…”
“แล้วม๊าไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับ…”
“ไม่นี่ เห็นมีแต่ถามว่าไปกวนเฮียเค้ารึเปล่า อย่าดื้อให้มากนักนะ อย่าเอาแต่ใจด้วย เชื่อฟังเฮียเค้าดีๆ” มันดัดเสียงสูงเลียนแบบม๊าตัวเองแล้วทำหน้าทำตาจนผมหลุดหัวเราะออกมาไม่ได้
“บาปนะเรา ล้อแม่ตัวเอง” ผมยิ้ม โล่งใจที่บ้านมิกกี้เองก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเราสองคน ไม่แม้แต่ถามเรื่องแฟน ก็แปลกดี…เหมือนเค้าจะรู้แต่ทำเป็นไม่รู้ ซึ่งผมก็ดีใจแบบปละหลาด
“ไม่รักก็ไม่ล้อหรอก หุหุ” ผมส่ายหน้าด้วยความระอาปนเอ็นดูไอ้ตัวแสบตัวนี้
“งั้นนอนต่อไป…เดี๋ยวไปขนของลงจากหลังรถก่อน เผื่อมีพวกของที่ต้องใส่ตู้เย็นจะได้ไม่เสีย” ผมพูดแล้วเตรียมลุกขึ้น
“…อื้อ ยังง่วงอยู่เลยอ่า”
“เราไม่ต้องไป อยู่นี่แหล่ะ นอนต่อซะ”
ผมก้มลงจุ๊บที่หน้าผากมิกกี้ทีนึง ก่อนอีกฝ่ายจะยิ้มพอใจตอบมาและดึงผ้าห่มมาปิดหน้าปิดตาจนมิดและหลับต่ออย่างง่ายดาย ว่าแล้วก็เดินไปเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตา แปรงฟังก่อนจะเดินลงไปข้างล่าง ไอ้ดิ๊กกี้วิ่งเข้ามาพันแข้งพันขาหอบแฮ่กหางปัดรุนแรงจนตัวโยนแสดงความดีใจ ผมใช้ตรีนตัวเองลูบหัวมันไปทีนึงก่อนจะไปเปิดบ้าน ไม่ลืมหยิบกุญแจรถออกไปเพื่อตรวจดู ‘ของฝาก’ อย่างที่มิกกี้มันบอกมาด้วย
และของฝากนั่นก็เยอะจริงๆครับ ผมตกใจพูดไม่ออกตอนที่เปิดท้ายรถและเจอกับห่อข้าวแต๋นประมาณเกือบ 10 ถุง หมูยอ หมูหยอง หมูแผ่น แค๊บหมู น้ำพริกอ่อง ไส้อั๋ว และผักผลไม้ตามฤดูกาลหรือแปลกๆ ที่หาได้ยากในกรุงเทพมากมายจนผมนึกในใจว่าไอ้มิกกี้คงขับรถกลับมาบ้านแบบที่ล้อหลังคงแบนกว่าล้อหน้าเยอะเลยทีเดียว
ผมรีบทยอยขนทั้งหมดลงจากรถ เข้าไปในบ้าน…. นี่ขนาดหิ้วทีละหลายถุงแล้วนะยังกินแรงไปเกือบ 4 -5 รอบ ไอ้ดิ๊กกี้เองพอได้กลิ่นไส้อั่วก็ทั้งเห่าทั้งร้องหงิงๆ วิ่งขัดขาไปมาจนโดนเตะไปทีนึง
ผมทยอยลำเลียงผักและของสดเข้าใส่ตู้เย็นจนแทบไม่มีที่ให้ยัดโดนมีไอ้ดิ๊กกี้เป็นฝ่ายส่งกำลังใจอยู่ข้างๆ (คิดว่ามาขอของกินมากกว่า…เผื่อฟลุ๊คอะไรทำนองนั้น) นี่แม่ไอ้มิกกี้คิดว่าผมอยู่เอธิโอเปียหรืออย่างไร ของกินเยอะแยะมากมายขนาดนี้คาดว่าสามารถอยู่ได้เป็นเดือนเลยทีเดียว -*-
พอจัดของเสร็จผมก็แอบแบ่งไว้อั่วคลุกกับข้าวให้ไอ้ดิ๊กกี้สักหน่อย ไหนๆ ก็มาเป็นกองเชียร์ซะขนาดนั้นแล้ว แค่นั้นมันก็กินอย่างตะกละตะกรามดูเป็นสุขมากกว่าทุกวัน หลังจากนั้นผมก็ทำงานบ้านเล็กน้อย กวาดสวน รดน้ำต้นไม้ กวาดบ้านและถูบ้านตามประสา….ผมต้องกวาดและถูบ้านทุกวันครับ วันไหนว่างหน่อยก็สองเวลา เช้า-เย็น ไม่ชอบให้บ้านมีฝุ่น
แล้วค่อยไปทำความสะอาดตัวเองทีหลัง… ลงมาชงกาแฟกินพร้อมกับเปิดทีวีดูข่าวและอ่านหนังสือพิมพ์ไปด้วย
โฮ่ง! โฮ่ง! งี๊ดดดดด หงาววววว…
เสียงไอ้หมามันร้องดังขึ้นประหลาดๆ ดูดีใจมากมายทำเอาผมเดาไม่ยากเลยว่าพ่อมันคงลงมาจากชั้นบนแล้ว เสียงทักทายดังขึ้นและฝีเท้าหยุดลงเพื่อเล่นกับลูกชายตัวเอง ไม่นานนักก็เดินมาใกล้และโน้มแขนทั้งสองมากอดคอผม
“เห็นของฝากรึยัง?” เจ้าตัวว่า พร้อมกับเอาแก้มตัวเองมาถูไถแก้มผมไปมา
“หึหึ เห็นแล้ว นี่เค้าคิดว่าบ้านเราไม่มีไรจะกินกันหรือยังไง เยอะเหลือเกิน”
“ผมบอกม๊าแล้วอ่า แต่ม๊าน่ะแหล่ะสั่งให้ขนมาแล้วหุบปากซะ หาว่าผมมารบกวนเฮีย ต้องเอาของไปเซ่นเยอะๆ” ผมเริ่มงงกับคำว่า ‘เซ่น’ นี่กรูเป็นตัวอะไรวะ!?
“ขนไปแบ่งเพื่อนๆที่ทำงานด้วยละกันนะ มันเยอะเกิน เดี๋ยวเสีย” ผมว่า
“ครับ ก็กะจะทำงั้นอยู่แล้วล่ะ”
ตัวแสบละออกจากผมแล้วเดินไปเข้าครัว เปิดตู้เย็นแล้วหัวเราะออกมาเสียงดัง เพราะข้างในมันแน่นมากจนแทบมองไม่เห็นว่าอะไรเป็นอะไร ผมแอบเห็นว่ามันแอบแกะถุงแค๊บหมูแล้วป้อนให้ไอ้ดิ๊กกี้ไปคำนึง แต่ก็ต้องชะงักเมื่อผมกระแอมเสียงดังเป็นเชิงเตือน
“จะเที่ยงแล้ว เหมาข้าวเช้ากะเที่ยงรวมกันเลยนะ เฮียอยากกินไรอ่ะ” มันชะโงกหน้ามาถาม
“ไม่รู้สิ อาหารเหนือสักมื้อเบื่อรึยังล่ะ”
“ตามบัญชาคร้าบบบ จัดปายยยย” ผมยิ้มให้กับตัวเองก่อนจะยกกาแฟขึ้นมาจิบอีกครั้ง
ระหว่งาทางมื้อเที่ยงเจ้ามิกกี้ก็เล่าทริปลำปางยาวไปถึงเชียงใหม่และเชียงรายให้ฟังว่าสนุดขนาดไหน มีเรื่อองะไรบ้าง ผมก็ฟังอย่างเดียวเลยครับ เห็นมันเล่าแล้วก็สนุกตาม ความจริงแล้วไปเทีย่วคราวนี้ที่บ้านมันกะอยู่ยาวจนเกือบ 2 สัปดาห์ แต่ไอ้หนูหนีกลับมาก่อน ที่วันวางแผนเอารถตัวเองไปทั้งๆ ที่ที่บ้านก็เช่ารถตู้ไปอยู่แล้วนั้นก็เพื่อการนี้ด้วย… เวลากลับจะได้กลับมาเองได้
จะว่าไปก็ไม่มีอะไรให้คุยกันมากมายหรอกครับ เพราะระหว่างเที่ยวมิกกี้มันก็โทรหาผมเป็นระยะอยู่แล้ว มันไม่โทร ผมก็โทร ตอนโทรก็เลยเล่าเรื่องนู้นนี้นั้นให้ฟังตลอด กลายเป็นว่าแทบจะได้ไปเที่ยวด้วยกันอยู่แล้วเพราะรู้เกือบทุกเรื่อง ผมเองก็มีขนมในบ้านมากมายเพราะเป็นของที่ทั้งคนรู้จักและบริษัทอื่นๆ นำมาให้เป็นของขวัญวันปีใหม่
ส่วนเจ้ามาร์ชและซันก็โทรมา Happy New Year ตั้งแต่วันเค้าท์ดาวน์แล้วครับ สองคนนั้นตอนนี้อยู่อเมริกา ทั้งเที่ยว ทั้งทำงานได้สัก 3 เดือนแล้ว ดูท่าทางคงจะอยู่อีกนาน ตอนบ่ายผมตัดสินใจเข้าบริษัทเพื่อไปดูความเรียบร้อยเล็กน้อยแม้วันนี้จะเป็นวันหยุดก็ตาม ผมบอกไอ้ตัวแสบแต่ดูท่าทางมันก็ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ ตาดูหนังไม่กระพริบได้แต่เออออว่าตาม ผมจึงไปเปลี่ยนชุดและขับรถออกมา กะว่าเย็นนี้จะพามันไปทานข้าวนอกบ้านบรรยากาศดีๆ เสียหน่อย เพราะไม่ได้ฉลองกันตอนปีใหม่
เวลา 6 โมงเย็น ผมโทรกลับเข้ามาบ้านบอกว่าจะไปกินข้าวนอกบ้านดีมั้ยวันนี้ แต่ก็แปลกใจเมื่อไอ้มิกกี้บอกว่ายังเหนื่อยจากการขับรถ ไม่อยากไปไหน กินที่บ้านเถอะ ของเยอะแยะเลย ผมก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร…
แต่เมื่อกลับมาก็ต้องแปลกใจ เมื่อพบกับ…
“เย้ สะใภ้!!” ผมมองออกไปรอบสวนในบ้านแล้วก็ตะลึง ต้นไม้เล็กใหญ่ถูกประดับด้วยโคมไฟหลากสีหลากขนาดระโยงระยางดูไม่รกและไม่เรียบจนเกินไป โต๊ะใบเล็กตั้งอยู่กลางสนามพร้อมกับผ้าปูโต๊ะสีขาว เก้าอี้สองตัว เชิงเทีนยตรงกลาง และอาหารวางรายล้อมเต็มไปหมด
“หึหึ เซอร์ไพรส์ต่างหากล่ะ พูดให้มันถูกๆ หน่อย”
“พูดถูกแล้ว เซอร์ไพรส์ต้อนรับสะใภ้กลับบ้าน” มันแลบลิ้นใส่จนผมอยากจะดึงออกมาทำโทษด้วยลิ้นตัวเองเสียให้หนักเลยทีเดียว
“เขยต่างหากไม่ใช่สะใภ้” ผมแก้
“สะใภ้ก็สะใภ้ดิ เฮียอ่ะสะใภ้บ้านผมนะ”
“เออ เอาเถอะ…ว่าแต่ไปจัดตอนไหนเนี่ย หัดวางแผนนะเรา ไม่อยากออกไปกินข้าวนอกบ้านเนี่ย หืม?” ผมบีบจมูกมันไปทีด้วยความหมั่นเขี้ยว อยากฟัดเสียเต็มแก่แล้ว
“เอ้า ก็งานปีใหม่ไง ไม่ได้อยู่ด้วยกันเลยขอจัดย้อนหลังซะหน่อย ไม่มีใครรู้หรอกเนอะว่าเราดีเลย์”
ผมยืนงับปากไอ้ตัวยุ่ง…ต่างฝ่ายต่างกอดกันแน่นจนแทบหายใจไม่ออก เซอร์ไพรส์จริงๆ ครับงานนี้…
“นั่งๆ นั่งก่อนเร็ว เดี๋ยวอาหารเย็นหมด” ผมว่าตาม เดินไปที่เก้าอี้แล้วก็ต้องแปลกใจอีกครั้งเมื่ออีกฝ่ายเดินอ้อมมาเพื่อดึงเก้าอี้ออกให้
“บริการดีนะร้านนี้ เดี๋ยวให้ทิปหนัก” ผมว่าพร้อมกับมองอาหารบนโต๊ะน้ำลายสอ
“ขอบคุณครับป๋า” มิกกี้กระดิกคิ้ว ทำหน้ากระลิ้มกระเหลี่ยจนผมต้องส่ายหน้า
แต่แล้วก็ต้องขำพรืดอีกครั้งเมื่อเห็นไอ้ดิ๊กกี้สิ่งเห่าเสียงดังมาจากในบ้าน พร้อมกับริบบิ้นสีแดงสดผูกเป็นโบว์รอบคอ มันวิ่งมากลางสนามเห่าทักผมทีนึง ก่อนจะหมุนเป็นวงกลมไล่กัดริบบิ้นตัวเองด้วยความบ้าคลั่ง
“ไอ้ดิ๊กกี้! เป็นบ้าอะไรของแกหะ!?” พ่อมันมองลูกตัวเองอย่างปลงๆ ก่อนจะเข้าไปกระตุกริบบิ้นออกให้เพราะกลัวมันจะหมุนมาชนโต๊ะอาหาร -*-
“นี่ทำตั้งแต่กี่โมงเนี่ย เยอะขนาดนี้” ผมว่าพร้อมกับมองไปยังมิกกี้ที่ลุกจากดิ๊กกี้แล้ว เดินไปหยิบขวดไวน์มาเปิด รินลงแก้วทรงสูงทั้งสอง
“ก็ตั้งแต่เฮียออกไปอ่ะ ทำเองบ้าง ของที่ม๊าซื้อมาให้บ้างปนกันไป วันนี้อาหารไทยแกล้มไวน์นอกนะครับ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็ยักคิ้วให้อีกที ก่อนจะเตรียมตังลงที่เก้าอี้ด้านตรงกันข้าม
“เดี๋ยว”
ผมเอ่ยปาก ก่อนจะดึงเก้าอี้ตัวนั้นจากฝั่งตรงข้าม ให้มาเป็นข้างๆ ผมเอง ไม่ชอบให้นั่งไกลกันครับ ไม่ใช่ในหนัง ขอเป็นข้างๆกันดีกว่า อุ่นกว่ากันเยอะ มิกกี้เองก็มองแล้วยิ้มกว้าง ก่อนจะเลื่อนจานตัวเองสลับมาตรงที่ใหม่และนั่งลง
“Happy New Year ครับผม” เจ้าตัวว่าแล้วส่งแก้วไวน์มาให้ผม
“Happy New Year”
เราสองคนชนแก้วกันพองามแล้วจิบไวน์ทีละนิด ผมเอาแขนที่พาดไปกับพนักพิงเก้าอี้มิกกี้เปลี่ยนเป็นยกขึ้นมาลูบไล้แก้มแดงใสนั่นแดง
“ขอบคุณนะ ที่อยู่ด้วยกันอีกปีนึงแล้ว”
“ผมก็ขอบคุณเหมือนกัน…. ขอบคุณเฮียนะที่ดูแลผมมาอีกปี” ว่าแล้วตัวแสบก็ค่อยๆ จูบลงบนมือหนาของผมและยิ้มตอบกลับเล่นเอาอดไม่ได้ที่จะยื่นหน้าเข้าไปละเมียดริมฝีปากชมพูนั่นก่อนอาอหารตรงหน้า
เราจูบกันแผ่วเบาเพียงสักพัก มิกกี้ก็ยกมือขึ้นดันหน้าผมออกห่างก่อนจะคลี่ยิ้มเล็กน้อย
“กินข้าวก่อนนะ ผมไม่อยากให้มันเป็นหมัน”
ผมยิ้มรับก่อนเราทั้งสองจะผละออกจากกัน น่าตลกที่ทันทีเราสองคนห่างออกจากันนั้นก็ถอนหายใจออกมาเวลาเดียวกันอีกต่างหาก ผมมั่นใจว่าไอ้หนูเองก็คิดว่าถ้าออกจากันช้ากว่านี้มีหวังไม่ได้กินอาหารตรงหน้านี้แน่ๆ …. เลยโล่งใจไปตามๆ กัน เรามองหน้ากันแล้วยิ้มก่อนจะเริ่มลงมือรับประทานอาหารทีมีตั้งแต่ข้าวเหนียวจิ้มกับน้ำพริกอ่อง และข้าวเปล่าหอมๆ ทานกับแกงเลียง แกล้มไวน์… ช่างเข้ากันดีจริงๆ 555
จนเจ้ามิกกี้มันเขินมีปั้นข้าวเหนียวมาปาใส่ผม หาว่าจ้องมันมากเกินมั่งล่ะ ทำสายตาเยิ้มใส่มั่งล่ะ ไม่เห็นจะรู้สึกตัวเลยวะ
“ดิ๊กกี้ ไส้อั่วววววว กินมั้ยยยยยย วะฮ่าๆๆๆ” มิกกี้มันเอาส้อมจิ้มไส้อั่วชิ้นยาวเกือบคืบจับส่ายไปมายั่วไอ้หมา ดิ๊กกี้เองก็นั่งตูดแทบไม่ติดพื้นเพราะมัวแต่มองไส้อั่วชิ้นนั้นลุกลี้ลุกลนน้ำลายหยดติ๋งๆ
“เดี๋ยวเถอะ ไปแกล้งมัน” ผมดุเบาๆ
“ไม่ได้แกล้ง เค้าเรียกแบบทดสอบความอดทน เนอะดิ๊กกี้ ฮ่าๆๆ”
พอมันแกล้งจนหนำใจก็ค่อยๆ บิเนื้อไส้อั่วออกเป็นชิ้นเล็กและโยนให้เจ้าดิ๊กกี้กินจนไม่เหลือคราบในเวลาอันรวดเร็ว… พอมันหันกลับมาเท่านั้นแหล่ะก็ต้องผงะเพราะเห็นผมถือส้อมจิ้มด้วยหมูยอแผ่นเล็กหอมๆ ร้อนๆ ล่ออยู่ตรงปากมัน
“มิกกี้ หมูยอ กินมั้ย หึหึ”
“บ้าเหรอเฮีย ผมไม่ใช่หมานะ งั่ม” มันว่างั้นแล้วรีบงับหมูยอในมือผมทันที ก่อนจะปล่อยให้ผมหัวเราะท้องคัดท้องแข็งอยู่คนเดียว
“ขออีกชิ้นนะ” ผมว่าแล้วจิ้มหมูยอขึ้นมาใหม่ แต่คราวนี้เอาใส่ปากตัวเองครึ่งนึง และยื่นเข้าไปใกล้อีกฝ่าย
“โห เล่นงี้เลยเหรอ”
เจ้าตัวพูดอย่างนั้นแต่ก็เขยิบเข้ามาใกล้ พร้อมกับยื่นปากมางับหมูยอออกไปจากปากผมแผ่วเบา ไม่ลืมที่จะปล่อยให้ริมฝีปากเราสองคนแนบกันพักหนึ่งก่อนจะใช้พันบิชิ้นเนื้อนั่นออกมาแล้วเคี้ยวเข้าปากตุ้ยๆ
“จูบรสหมูยอ” มิกกี้หัวเราะ
“อร่อยนะ” ผมหัวเราะตอบ
“หมูยอหรือจูบ”
“…ทั้งสองอย่าง” ผมเลื่อนหน้าเข้าไปหาอีกฝ่ายอีกครั้งช้าๆ…. คราวนี้เป็นจูบที่ไม่มีหมูยอแล้วแม้จะมีรสชาติเฝือนๆ ค้างอยู่บ้างก็ตาม
โฮ่ง!
เราสองคนผละหน้าออกจากกันแล้วก้มลงไปมองดิ๊กกี้ที่ตอนนี้ตะกายเก้าอี้ขึ้นมามองดูเจ้านายจูบกันแบบไม่เกรงใจ ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่าว่าเหมือนมันยิ้มด้วย -*-
“สงสัยมันอยากกินหมูยอบ้าง” มิกกี้หัวเราะร่า ก่อนจะจิ้มหมูยอแล้วโยนไปให้ไอ้หมาชิ้นนึง
มื้อเย็นนั้นกว่าเราจะกินกันเสร็จก็หมดไปซะเกือบ 2 ชม. เพราะมัวแต่กินๆ เล่นๆ หยอกกันไปมาอยู่อย่างนั้น เสร็จแล้วก็ช่วยกันเก็บข้าวของให้เรียบร้อย ล้างจาน ปิดบ้าน ก่อนจะผลัดกันวิ่งไล่อีกฝ่ายขึ้นไปอาบน้ำและเข้าห้องนอน…. ส่วนผมนั้น กระชากเสื้อตัวเองออกตั้งแต่ตอนวิ่งไล่มันบนบันไดแล้ว
เรียบง่ายใช่มั้ยล่ะครับ ปาร์ตี้ปีใหม่ของพวกเรา...
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คนเขียนฝากสวัสดีปีใหม่แบบเลทๆค่ะ ขอโทษด้วยที่ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น คิดพล็อตไม่ออก แค่คิดถึงเลยเอาตัวละครมาเขียนใหม่
