When we were tied together ผมกับเขา เมื่อเราถูกผูกติดกัน
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: When we were tied together ผมกับเขา เมื่อเราถูกผูกติดกัน  (อ่าน 2987 ครั้ง)

ออฟไลน์ lillapine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
Share This Topic To FaceBook

ออฟไลน์ lillapine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
แนะนำ

ในห้วงชีวิตของคนๆหนึ่งอาจได้พานพบและลาจากผู้คนมากมาย

บางคนพานพบและรักโดยไร้เงื่อนไข… ครอบครัว

บางคนพานพบและสานต่อ… มิตรภาพ

แต่บางคนพานพบเพียงเพื่อเป็นบทเรียน… คนเคยสนิท

และบางคนแม้พานพบเพียงครั้งเดียวแต่มักเกี่ยวพันกันเรื่อยไป… คุณ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

คำเตือน

นิยายเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องแต่งเท่านั้น

ตัวละคร สถานที่ เนื้อหาเป็นจินตนาการของผู้เขียน มิได้มีเจตนาทำผู้ใดเสียหาย

อาจมีฉาก การกระทำ คำพูดไม่เหมาะสม

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
[/size]

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สารบัญ

EP.1 วันดีดี
EP.2 เจอปัญหาต้องวิ่งชน
EP.3 ตุ๊กตาหน้ารถ
EP.4 ยินดีที่ได้รู้จัก
EP.5 ผมไม่ชอบติดใคร
EP.6 ได้เรื่องแล้ว
EP.7 คำให้การ
EP.8 คนข้างๆ
EP.9 คำถาม
EP.10 จิ๊กซอว์
EP.11 เก็บเอาไว้ทำกับคนเป็นแฟน
EP.12 ฉนวนถูกจุด
EP.13 จับจุด
EP.14 ฤทธิ์ตงฉิน
EP.15 หลุมหลบภัย
EP.16 สะสาง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-09-2024 21:21:39 โดย lillapine »

ออฟไลน์ lillapine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
EP.1 วันดีดี

สองมือประคองเครื่องมือสื่อสารทรงสี่เหลี่ยม  นิ้วหัวแม่มือถูกใช้เป็นกำลังหลักต่อสู้ในเกมยอดนิยม  ดวงตาเบิกกว้างในทันที พร้อมกับในจอสี่เหลี่ยมปรากฏชื่อของผู้โทรเข้ามาขัดจังหวะการกอบกู้โลกของเขา 

“ คุณหยก ”

เพียงแค่นี้ปากที่กำลังจะสบถคำหยาบคายออกมาก็ถูกปิดลงทันที  เจ้าของโทรศัพท์เลื่อนตัวขึ้นพิงหัวเตียง แล้วกระแอมไอเล็กน้อยเพื่อปรับโทนเสียงก่อนกดตอบรับ

“ อรุณสวัสดิ์ครับ คุณหยก ” เจ้าของโทรศัพท์ทักทายด้วยน้ำเสียงนุ่ม  ก่อนพูดต่อด้วยน้ำเสียงยียวนอย่างกวนคนปลายสายว่า “ ลูกชายสุดหล่อของคุณกำลังพูดสายครับ ”

“ ไม่น่าอรุณแล้วนะครับลูกชาย ตะวันจะตรงหัวอยู่แล้วครับ ” ปลายสายตอบกลับอย่างหยอกเหย้าแฝงความดุด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยเล็กน้อย

“ คุณหยกมีอะไรให้กระผมรับใช้หรือครับ ”  คนเป็นลูกชายรีบตัดบทก่อนเรื่องอรุณไม่อรุณนี้จะวกเข้ามาทำร้ายเจ้าตัวเอง

“ คุณหยกอยากรบกวนให้พี่ฉิน  ไปจัดการพวกกระดาษเจ้าหนี้ประจำสิ้นเดือนทั้งหลายที่อยู่ในกล่องรับจดหมายหน้าบ้าน ”

“  รับทราบครับผม แล้วคุณหยกมีอะไรเป็นของสัมมนาคุณครับ ”

“ มีอาหารโปรดของพี่ฉิน  เป็นมื้อเย็นวันนี้ครับ ”

“ กระดาษทุกใบจะถูกจัดการไม่ให้เหลือแม้แต่เศษซาก ให้เป็นที่รำคาญใจคุณหยกครับ ” 
 
“  เจอกันตอนเย็นครับ พี่ฉิน ”

“ เจอกับตอนเย็นครับคุณหยก ” ปลายสายหัวเราะเล็กน้อยก่อนวางสายไป 

  เจ้าของร่างสูงตัดสินใจขยับร่างลงจากเตียงที่นอนแช่มาเกือบครึ่งวัน  ขยับแขนขาเล็กน้อย ก่อนจัดเก็บเตียงอย่างคล่องแคล่วบ่งบอกว่าเป็นกิจวัตรที่ทำเป็นประจำ   ก่อนย่างกายเข้าห้องน้ำเพื่อธุระส่วนตัว

  ไม่นานก็ปรากฏชายร่างสูงสมส่วน หยดน้ำเกาะตามกล้ามเนื้อส่วนอก  ลอนกล้ามเนื้อหน้าท้อง ก่อนจะหายลับเข้าไปในผ้าเช็ดตัวที่ถูกคาดไว้ที่เอวอย่างหมิ่นเหม่ 

  เสียงแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันสีเขียวยอดนิยมดังขึ้นอย่างต่อเนื่องราวกับมีใครบางคนร้องเรียก  จนคนที่กำลังสวมเสื้อต้องสละมือข้างหนึ่งหยิบมันขึ้นมาดู  ก่อนกดส่งความในใจไปยังบุคคลต้นเรื่อง

“ พ่อมึงตายหรอ วัดไหนกูจะได้ไปถูก ”  หลังจากข้อความถูกอ่านเสียงเรียกเข้าจากเจ้าของบัญชีที่มีชื่อว่า “หนึ่งเดียวในโลกครับผม” ดังขึ้น

“ ไอ้เหี้ยฉินพ่อกูยังสุขสบายดี ” คนปลายสายตอบกลับทันทีที่มีคนรับสายโดยไม่รอแม้แต่คำทักทาย

“ อ้าวหรอ เห็นมึงรัวมานึกว่ามาแจ้งกำหนดการงานศพ ” คนปลายสายสบถคำหยาบก่อนจะถามประโยคถัดมา

“  วันนี้มึงมาค้างบ้านกูไหม เล่นเกมส์กัน ”
 
“ ไม่ วันนี้กูจะไปทำธุระให้คุณหยก ”

“ ตามนั้น ฝากสวัสดีน้าหยกด้วย ” แล้วคนปลายสายก็กดตัดสายไปโดยไม่ล่ำลากันสักนิด
 
   เจ้าของร่างสูงที่ตอนนี้สวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว  ก็ย้ายร่างลงมายังชั้นล่างของบ้านก่อนเดินตรงออกไปยังหน้าบ้านเพื่อเริ่มจัดการกับงานที่ได้รับมอบหมายจากมารดาผู้ให้กำเนิด   
  กระดาษสีขาว และซองสีขาวมากมาย   ถูกนำเข้ามายังส่วนห้องรับแขกของบ้าน พวกมันถูกวางอย่างไม่ใส่ใจบนโต๊ะ ก่อนที่คนหยิบพวกมันมาจะเริ่มจัดการกับพวกมันอย่างเฉื่อยชา  กว่าจะแล้วเสร็จนาฬิกาก็บอกเวลาบ่ายสามโมง

  รีโมทถูกหยิบขึ้นมา เพื่อกดเปิดโทรทัศน์  เสียงนักประกาศข่าวรายงานข่าวดังอย่างต่อเนื่อง ด้วยน้ำเสียงเรียบ  เหมือนเสียงกล่อม  จนเปลือกตาค่อยๆปิดลง ร่างกายเอนลงบนโซฟาโดยธรรมชาติ

  กลิ่นหอมลอยเตะจมูก  จนคนที่กำลังอยู่ในห้วงนิทราต้องยอมเปิดเปลือกตา และเดินตรงปรี่ไปหาสาเหตุของกลิ่นหอมนี้    เจ้าตัวมาหยุดอยู่ที่ห้องครัว หากมองเข้าไปจะพบหญิงวัยกลางคน กำลังก้มเงยๆ อยู่หน้าเตาแก๊ส  ยังไม่ทันได้เอ่ยปากพูดอะไรออกไป  ก็มีเสียงเล็ดลอดออกมาจากปากบางที่เคลือบสีชมพูอ่อน

“ พี่ฉินครับ เดี๋ยวทานมื้อเย็นเสร็จขอคุยด้วยหน่อยนะครับ ”

“ เรื่องอะไรครับคุณหยก ”  คนฟังเริ่มรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่างที่ไม่ค่อยดี

เสียงปิดเตาแก๊สดังขึ้นบ่งบอกว่าอาหารเสร็จแล้ว  คนที่ลงมือทำอาหารก็ได้หันหน้ามาสบตา กับลูกชาย  ตาชั้นเดียวอย่างคนมีเชื้อชาวจีนถูกส่งต่อทางพันธุกรรมอย่างประณีต  เหมือนกันอย่างไม่ต้องถามว่าใครเป็นผู้ให้มา

“ เรื่อง จดหมาย ครับ” คนเป็นต้นแบบตาชั้นเดียวเอ่ยด้วยน้ำเสียงหวาน

แต่ทว่าคนฟังกลับรู้สึกเหมือนเสียงนั้นหวานปนขมนิดๆ จนต้องกลืนน้ำลายเฮือก ก่อนตอบรับเสียงเบา

“ ครับ ”

TBC.

ออฟไลน์ lillapine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
EP.2 เจอปัญหาต้องวิ่งชน

กระดาษสีขาวถูกวางพาดอยู่บนใบหน้า แขนทั้งสองข้างวางราบอยู่ข้างตัวเหมือนคนไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ร่างกายนอนเหยียดตรงอยู่บนผ้าปูลายซูเปอร์ฮีโร่ซึ่งดูยังไงก็ไม่เข้ากับคนที่นอนทับมันอยู่



ฟึ่บ!



กระดาษถูกใครบางคนหยิบไป

เผยให้เห็นคิ้วหนาที่พาดเฉียงขึ้นไป ขมวดจนแทบจะชนกัน ในขณะที่เปลือกตายังคงปิดสนิทบ่งบอกบอกว่าเจ้าของมันยังไม่พร้อมจะเผชิญกับอะไรในตอนนี้

“ทำไมมึงไม่เก็บหลักฐานให้เรียบร้อยละ ถ้ามึงเก็บหลักฐานเรียบร้อยนะป่านนี้มึงก็ไม่ต้องมานอนมานั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนคนท้องผูกแบบนี้หรอก” คนพูด สะบัดกระดาษไปมา

“เออ กูรู้แล้วไม่ต้องตอกย้ำ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ

“เมื่อวานอยู่บ้านทั้งวัน แถมบอกกูซะดิบดีว่า จะไปจัดการธุระให้คุณหยก เสือกไม่เห็นไอ้ที่ควรจะเห็น” คนพูดคนเดิมยังคงพูดต่อเนื่อง ตรงกลางประโยคยังใช้น้ำเสียงล้อเลียนอย่างนึกสนุก

“ก็กูไม่เห็น ถ้ากูเห็นกูจะเป็นแบบนี้ไหม”

“แล้วทำไมมึงไม่เห็นละ”

“ก็กูไม่เห็นไงไอ้เตี้ย”

“แล้วทำไมมึงไม่เห็นละไอ้เหี้ย” เสียงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับอารมณ์ที่พุ่งสูงขึ้น

เดิมทีคนสองคนที่คนหนึ่งนอนอยู่บนที่นอน อีกคนนั่งอยู่บนเก้าอี้อีกมุมหนึ่งของห้อง ค่อยๆ ลุกขึ้นมาจนคนที่ใจร้อนเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“มึงไปต่อยกับกูข้างล่างไหม”

“ไอ้ฉินมึงไม่คิดจะต่อยกูจริงๆ ใช่ไหม”

“โทษทีมึง” คนใจร้อนถอนหายใจไปหนึ่งทีก่อนทิ้งตัวลงนอนลงที่เดิม

“ไอ้เหี้ยฉิน คนเหี้ยจริงๆ ห้องก็ห้องกู เตียงก็เตียงกู ดูดิมึงนอนเอาตูดทับหน้ากัปตันอเมริกาอยู่นะเว้ย แล้วทำไมกูต้องยอมให้มึงนอนบนเตียงกู แล้วกูที่เป็นเจ้าของต้องระหกระเหินมาอยู่มุมห้องนี้วะ” อีกคนก็ยังคงสรรหาคำต่างๆ มาพูดได้เรื่อยๆ จนคนฟังอยากจะหาอะไรปิดปากมัน

ผมจะทำยังไงดีวะ?

“ไอ้หนึ่งกูจะทำยังไงดีวะ” ผมปาหมอนใบหนึ่งใส่มันเพื่อบอกให้มันหุบปาก ก่อนจะถามขึ้น

“มึงก็รู้ตอนน้าหยกโกรธเป็นยังไง ยอมรับผลกรรมเถอะ กรรมจากความโง่ ของมึงนะ” มันก็ตอบอย่างไม่ลังเลเลย

“นั่งๆ อยู่มึงเคยโดนเก้าอี้ฟาดหัวแตกไหม” คนอย่างมันต้องโดนสักทีนะผมว่า ปากแกว่งหาตีนดีนัก

“จริงๆ ชื่อของมึงคือตงฉินอันธพาลครองเมืองใช่ไหม ขนาดในถิ่นกูมึงยังไม่เว้น” มันทำเป็นกอดตัวเอง แล้วพูดเสียงเบา ไม่ได้น่าสงสารเลยครับ กวนส้นตีนจริงๆ

“นี่กูต้องทำมันจริงๆ หรอวะ” ผมบ่นพึมพำเบาเบา

“ทำอะไรวะ” นี่ก็เสือกได้ยินจริงๆ

“เปิดจอแล้วเล่นเกมส์สักตามึง”

“เออ กูว่าความคิดนี้ดี”

ผมว่ามันรอเวลานี้มานาน ลุกไปเปิดจอเตรียมอุปกรณ์การเล่นเสร็จสับ มันก็กระโดดมานั่นบนเตียงข้างๆ ผม เพื่อที่จะได้เล่นอย่างถนัด



เวลาผ่านไปนานแค่ไหนดูเหมือนจะไม่สำคัญ คนสองคนยังไม่ลุกจากที่เดิม สายตายังจดจ่อกับเกมส์ข้างหน้าราวกับนั่นคือการกอบกู้ชาติ ถ้าหากเป็นการกอบกู้ชาติจริง ตอนนี้คงเป็นการกู้ครั้งที่10 เข้าไปแล้ว

แต่ยังไม่ได้ชาติคืนเลย…



และคำว่า เล่นเกมส์สักตา ก็ไม่มีจริง



“เฮ้ย ไอ้หนึ่งกี่โมงแล้ววะ” ผมถามมันขึ้น เมื่อชักรู้สึกเมื่อยตัว เหมือนร่างกายประท้วงว่าใช้ร่างกายหนักเกินไปแล้วนะ

“มึงไม่มีนาฬิการึไง ยืมเพื่อนอย่างกูสิ”

“แล้วมึงจะต่อปากต่อคำกับกูทำไมนักหนา ก็กูเห็นมึงใส่นาฬิกา” ไอ้ห่-นี่

“อ่า ก็ช่วงประมาณว่าพระอาทิตย์กำลังเดินทางมาเพื่อจะตะตะตก เออๆ กูตอบดีๆ แล้ว ประมาณ สี่โมงเย็น” มันเห็นผมง้างมือ จะหาที่ลงซึ่งมันคาดว่าน่าจะเป็นส่วนหัวของมัน มันถึงได้เลิกเล่น

“งั้นกูไปล่ะ จะไปทำความดี” ผมลูบหัวมันไปหนึ่งทีก่อนออกมา

“ขอให้น้าหยกสับมึงแหลกเป็นชิ้นๆ” มันตะโกนไล่หลังผม



ผมไม่ควรออกมาเวลานี้

ผมลืมสนิทไปเลยว่านี่เป็นช่วงเวลาที่ผู้คนต่างทยอยกลับบ้านไม่ว่าจะเป็นเด็กนักเรียน หรือ พนักงานต่างๆ

รถที่สัญจรไปมาเริ่มมีการติดขัดเบียดเสียด ซึ่งผมก็ภาวนาให้ผมไปถึงที่หมายให้ทัน ห้า สี่ สาม สอง หนึ่ง เหยียบเลยพี่

คุณคงคิดว่าผมจะหลุดพ้นจากไฟจราจรนี้แล้วสินะครับ อันความประเทศแห่งการรถติดนะครับ

ผมได้เป็นคันแรกของไฟจราจรสีแดงรอบนี้ ก็ยังดีที่ผมได้เป็นคันแรก พี่คนขับรถแท็กซี่สบถเบาเบา เราสบตากันผ่านกระจก ผมยิ้มให้พี่เขานิดนึง ผมเข้าใจพี่ครับ

หลังจากผมจ่ายค่าเสียหายเป็นเวลาจำนวนมากสำหรับการเดินทางครั้งนี้

ณ ตอนนี้ผมก็มายืนอยู่หน้าร้านดอกไม้ร้านหนึ่ง ที่หน้าร้านติดป้าย “La fleur”

เป็นร้านดอกไม้ที่ไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไป กระจกสีใสรอบเกือบทั้งร้านทำให้มองเห็นเข้าไปถึงข้างใน

ผมเดินเข้าไปก่อนจะยืนอยู่หน้าประตู ผมตัดสินใจผลักมันเข้าไปเสียงกระดิ่งดังขึ้น พร้อมกับมีเสียงทักทายขึ้น



“สวัสดีค่ะร้านลา เฟลอค์ ยินดีให้บริการค่ะ”



โดยที่เจ้าตัวหันหลังดูวุ่นวายกับการทำอะไรบางอย่าง ผมจึงเดินไปที่เคาท์เตอร์ ยื่นแขนไปจับไหล่คนที่ยังไม่ยอมหันหน้ามาคุยกับผม พร้อมกับพูดเสียงเข้ม

“มีดอกไม้เท่าไหร่เอามาให้หมด นี่คือการปล้น”

“โถ่ คุณตงฉินนี่เองนึกว่าใคร ทำเอาคนแก่ตกอกตกใจหมด”

“ตกใจอะไรละครับ โจรที่ไหนจะเข้าร้านดอกไม้มาเพื่อปล้นดอกไม้จริงๆ”

“ก็แหมนะคะ คุณตงฉิน แต่เจอโจรหล่อขนาดนี้ อยากได้อะไรในร้านก็เอาไปเถอะ”

“ผมจะฟ้องคุณหยก ว่าพี่นิ่มหลงคนหล่อ” ผมพูดเหย้าพี่นิ่ม พี่นิ่มเป็นหญิงวัยกลางคนร่างท้วมนิดหน่อย

“พี่นิ่มจะไม่จัดดอกไม้ให้คุณตงฉิน วันแต่งงานค่ะ” พี่นิ่มพูดพร้อมทำหน้างอนๆ ผมหัวเราะแล้วยื่นมือไปจับแขนพี่นิ่มเบาๆ เป็นการขอโทษ

“ไม่ต้องเลยค่ะ เก็บเอาไว้จับมือสาวๆ เถอะค่ะ ตั้งแต่โตเป็นหนุ่มหล่อนี่ไม่ค่อยเห็นหน้าเลยนะคะ ว่าแต่หล่อขนาดนี้ไม่เห็นเคยพาสาวมาเปิดตัวเลยนะคะ ระวังเธอน้อยใจเอานะ”



“ก็ไม่มีนี่ครับ เอาไว้มีจะพามาแล้วกันครับ” ผมชะเง้อมองหาคนที่ผมตั้งใจจะมาเจอ



“คุณหยกหรอคะ อยู่โรงดอกไม้นะคะ”

“ขอบคุณครับ” ผมยิ้มให้พี่นิ่มแล้วเดินตรงไปหลังร้าน

โรงดอกไม้ของร้าน มีดอกไม้หลายชนิดถูก จัดวางอย่างเหมาะสม เหมือนที่ที่มันอยู่ต้องเป็นมันเท่านั้นที่เป็นเจ้าของ สวยงาม เหมือนถูกคัดเลือกมาแล้วอย่างดี

ลึกไปเกือบสุดทางมีคนที่ผมกำลังตามหาอยู่ ผู้หญิงใส่ชุดผ้ากันเปื้อน กำลังยื่นมือไปหยิบดอกไม้อะไรสักอย่างออกมา

ไม่รู้ว่าผมตัวโตขึ้นหรือแม่ผมตัวเล็กลง แผ่นหลังที่เคยแบกผมตอนยังเด็กตอนนี้ดูเหมือนจะเท่าขนาดเท่าแค่ฝ่ามือผม

ขาทั้งสองข้างนั้นที่ตอนเด็กๆ เวลาผมงอแงต้องการประท้วงผมจะเข้าไปเกาะที่ขาแล้วเขย่า ถ้าผมเข้าไปทำตอนนี้คงตลกน่าดู

ผมที่เคยสูงค่าเท่าเอวแม่ ตอนนี้เป็นแม่เองที่สูงเท่าไหล่ผม

แม่ตัวแค่นี้เองเลี้ยงผมโตมาขนาดนี้ได้ยังไงกัน ผมค่อยๆ เดินเข้าไปแล้วกอดแม่จากข้างหลังแล้วเอาคางเกยไหล่แม่ไว้

“พี่ฉิน ทำแบบนี้คุณหยกก็ไม่ยกโทษให้หรอกนะ” แม่ผมเอ่ยเสียงเรียบ

“ผมรู้ คุณหยกนะใจแข็งจะตาย” แต่แม่ก็จะใจแข็งน้อยลงหน่อย ผมรู้ดีเลยแหละ

“ลมอะไรหอบพี่ฉินมาถึงที่นี่ละครับ” แม่ผมถอนหายใจอย่างรู้ทัน

“พี่ฉินมีข้อเสนอ มาเพื่อลดหย่อนโทษครับ”

“ลองว่ามา” แม่ผมหยุดทำทุกอย่าง และหันหน้ามาเผชิญกับผม ผมคลายแขนแล้ว ถอยออกมา สบตากับแม่ ก่อนเอ่ยคำที่คิดมาแล้วอย่างดี

“พี่ฉินจะมาช่วยงานที่ร้าน เพื่อสงบสติอารมณ์อย่างที่คุณหยกบอก จนกว่าจะเปิดเทอมครับ”

“ข้อเสนอนี้ คุณหยกเห็นด้วยและตกลงครับ” แม้ว่าแม่จะพูดเสียงเรียบๆ แต่นัยน์ตาเหมือนมีพลุกำลังถูกจุด

“แล้วนั่นคุณหยกกำลังทำอะไรครับ” ผมเหลือบไปเห็นข้างหลังมีดอกไม้จำนวนหนึ่งถูกเก็บมา เหมือนเตรียมจะจัดช่อ

“อันนี้ของลูกค้าคนประจำครับ กลับบ้านกันเถอะ เสร็จแล้วเรียบร้อย” แม่เข้าไปฝากพี่นิ่มปิดร้าน ผมบอกลาพี่นิ่มนิดหน่อย ก่อนจะเดินออกมาจากร้าน

หลังร้านจะมีที่สำหรับจอดรถจำนวนหนึ่งซึ่งเป็นของส่วนกลาง รถสปอร์ตยี่ห้อดังคันหนึ่งถูกจอดเด่นตระหง่านอยู่ตรงกลางลานจอดรถ ถ้าคุณคิดว่ารถคันนี้เป็นของผม

คุณคิดผิด!!

คนที่เป็นเจ้าของ โน่นคุณผู้หญิงตัวเล็กๆ เจ้าของร้านดอกไม้ แม่ผมเป็นผู้หญิงที่คลั่งรถสปอร์ต แล้วก็ขัดกับลักษณะภายนอกสุดๆ

“วันนี้พี่ฉินจะเป็นสารถีเองครับ” ผมหันไปบอกแม่ ขณะที่แม่กำลังเดินใกล้เข้ามา

“ตกลงครับ” แม่เอ่ยขึ้น พร้อมหยิบกุญแจรถให้

“จะขับให้คุณหยกนั่งสบายๆ เลยครับ” ผมพูดแล้วทำท่าโค้งคำนับหนึ่งที แม่ถึงกับหัวเราะเสียงดังกับท่าทีของผม

TBC.

ออฟไลน์ lillapine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
EP.3 ตุ๊กตาหน้ารถ

เสียงกระดิ่งดังขึ้นบ่งบอกว่ามีคนเปิดประตูเข้ามา แต่นี่ยังไม่ใช่เวลาเปิดร้าน และพี่นิ่มก็มาทำงานแล้ว ชายใส่ชุดดำที่ดูเหมือนจะเป็นชุดเครื่องแบบ หน้าตาดูไม่เป็นมิตร เข้ามาทำอะไรในร้านดอกไม้ แบบนี้

“สวัสดีครับ ร้านลา เฟลอค์ ยินดีให้บริการครับ” ผมสมควรได้รับรางวัลพนักงานดีเด่น แม้ว่าจะทำงานได้แค่7วัน



“มารับดอกไม้ของคุณจิณณพัตครับ” เสียงพี่แกก็ไม่ได้โหดเหมือนหน้าตาเท่าไหร่



“รอสักครู่นะครับ” ผมบอกพี่แก ก่อนผมจะเดินไปหาพี่นิ่มที่หลังร้าน

“พี่นิ่มครับดอกไม้ของคุณจิณณพัตได้หรือยังครับ” ผมบอกพี่นิ่มที่ขณะนี้กำลังช่วยคุณหยกจัดดอกไม้อยู่

“เสร็จแล้วค่ะ” พี่นิ่มเดินไปหยิบช่อดอกไม้ช่อหนึ่งยื่นให้ผม ผมไม่รู้ว่ามันคือดอกอะไร แต่คุ้นๆ ว่ามันเป็นดอกไม้ที่คุณหยกเคยจัดเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว “อันนี้ของลูกค้าประจำ” คงเป็นช่อดอกไม้ที่สวยที่สุดที่ผมเคยเห็นมา ใครได้เป็นเจ้าของคงมีความสุขไปทั้งวัน

“นี่ครับ ดอกไม้ของคุณจิณณพัต” ผมเผลอมองตามชายชุดดำไป เขาเดินไปยังรถคันหนึ่งเปิดประตูหลังเพื่อยื่นดอกไม้ให้ใครบางคน ใครบางคนที่ผมมองเห็นใบหน้าไม่ชัดอาจจะเพราะฟิล์มกระจกที่ค่อนข้างมืด แต่ถึงอย่างนั้นผมก็มองเห็นจมูกโด่งเชิดนั้นที่ดูยังไงก็คงเป็นคนดื้อรั้นพอตัว ก่อนรถจะเคลื่อนตัวผ่านร้านไป

“คนนี้นะลูกค้าประจำเลยค่ะ มาทุกอาทิตย์ คุณหยกเธอดูเอ็นดูมากด้วยนะคะ ถ้าคุณตงฉินไม่เข้าร้านมาบ่อยๆ ไม่แน่คุณหยกเธออาจจะยกร้านให้คุณคนนี้นะคะ” พี่นิ่มที่ไม่รู้เดินมาจากหลังร้านเมื่อไหร่เอ่ยขึ้น

“ถ้างั้นผมก็จะมาเกาะพี่นิ่มกิน” ผมพูดติดตลกใส่พี่นิ่ม

“ถ้างั้นพี่จะช่วยคุณตงฉินทวงคืนร้านเองค่ะ แต่ว่าก็ว่าเถอะค่ะ คุณคนนั้นนะหล่อจริงๆ นะคะ เห็นว่าเป็นดาราด้วย” พี่นิ่มพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังที่ดูจะเกินจริงไปหน่อย

“ระหว่างผมกับคุณคนนั้นของพี่นิ่มใครหล่อกว่ากันครับ” ผมถามขึ้นพร้อมกับจ้องหน้าพี่นิ่ม

“โถ่ คุณตงฉินคำถามนี้พี่ขอตอบว่า อยากเก็บเธอไว้ทั้งสองคน” แล้วพี่นิ่มก็หัวเราะเสียงดัง

“แล้วระหว่างจัดดอกไม้ต่อ กับ ใบลาออก คุณพนักงานทั้งสองจะเลือกอะไรคะ” วงแตกแล้วครับเจ้าของร้านมาเอง

“โถ่เอ้ย! อยู่นี่เอง” อยู่ๆ พี่นิ่มก็หาของบางอย่างเจอ ก่อนเดินกลับหลังร้านไป ผมยิ้มกว้างที่สุดในชีวิตให้คุณหยก แต่คุณหยกไม่สนใจสักนิดแถมยังยกนิ้วชี้หน้าผมก่อนจะเดินหายวับไปหลังร้าน

ผมยังคงยืนมองไปที่ที่รถคันนั้นเคยจอดเมื่อหลายนาทีที่ผ่านมา ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รู้สึกคุ้นนักกับคนที่ไม่ยอมลงจากรถ คนที่นั่งข้างหลังนั่น

เวลาล่วงเลยไปค่อนวัน ผมกับพี่นิ่มกำลังช่วยกันเก็บร้าน และอีกไม่กี่กระถางผมจะเป็นอิสระแล้ว

“ถึงเปิดเทอมแล้วก็แวะมาที่ร้านบ่อยๆ นะคะ คุณตงฉิน” พี่นิ่มเอ่ยขึ้นขณะที่ผมยกกระถางสุดท้ายไปเก็บพอดี

“มาอยู่แล้วครับ”

“ปีที่แล้วก็พูดแบบนี้ แต่หายวับไปกับสายลมเลยนี่คะ” พี่นิ่มแกล้งทำเป็นพูดด้วยน้ำเสียงน้อยใจ ถอนหายใจไป1ครั้ง ก่อนจะพูดต่อ

“ไม่มีคุณตงฉิน เหนื่อยกันแน่ๆ ” ปกติที่ร้านจะมีพนักงาน 3 คนรวมพี่นิ่ม แต่อยู่ๆ คนนึงก็ลาออก แล้วอีกคนก็ลาคลอด จังหวะชีวิตสุดๆ พอผมเสนอมาทำงานที่ร้านคุณหยกเลยตอบตกลงทันที ป้ายรับสมัครพนักงานก็ติดไว้หน้าร้าน ตามออนไลน์ก็ลงไว้แต่ยังไม่มีใครมาสมัคร

“ถ้ายังงั้นก็รีบกลับบ้านไปพักเอาแรงเถอะครับ” ผมบอกลาพี่นิ่มก่อนจะแยกกัน



นักศึกษาส่งเสียงพูดคุยกัน บ้างรู้จักกันมาตั้งแต่มัธยม บ้างเพิ่งรู้จักกัน เรื่องราวมมากมายพรั่งพรูออกมา ทั้งเรื่องราวที่ผ่านมาแล้ว วัยมัธยมวัยสานฝันที่เคยคิดว่าแสนโหดหิน เรื่องราวราวที่ผ่านมาแค่เมื่อวาน เรื่องราวของนักศึกษาที่ค้นพบว่าการอยู่ห่างจากบ้านนั้นไม่ง่ายเลย หรือเรื่องที่เพิ่งเกิดไม่กี่ชั่วโมง ข่าวบันเทิงมักถูกใส่ใจเกินพอดีเสมอ



เสียงพูดคุยได้เงียบไปเมื่อมีร่างร่างหนึ่งเดินเข้ามา



“หน้าตาดี หล่อแบบที่สาวๆ ชอบ” ผมคงต้องใช้คำนี้อธิบายความเป็นเขา ผมมองไปที่เขาเหมือนใครหลายคนที่ยังคงมองไปที่เขา และตลอดระยะเวลากว่า 3 ชั่วโมงนั้น ผมแทบไม่อาจละสายตาไปจากเขาได้เลย เขาสว่างและเปล่งประกายเกินไป

เป็นความรู้สึกที่แปลกจริงๆ

ผมคงเป็นคนสุดท้ายที่ก้าวออกมาจากห้องเรียน มีสายเรียกเข้า “หนึ่ง” ผมกดรับสายมัน

“เออ ว่าไง” ผมเริ่มบทสนทนา

“น้องคุยกับพี่แบบนี้ได้หรอครับ” มันทำเสียงเข้ม

“มีเหี้ยอะไร” ผมถามเข้าประเด็น

“มารับประทานอาหารไหมครับคุณตงฉิน” กวนตีนจริงๆ

“ไป! โรงไหน” ผมถาม

“ข้างตึก1นี่ไง” เลือกที่ได้ดีกำลังหิว

“สั่งรอกูด้วย เอากะเพรา ไข่เจียว” ผมสามารถกินช้างได้สองตัวแล้วนะตอนนี้

“ครับ คุณตงฉิน” กวนส้นตีน

ผมเก็บโทรศัพท์ ก่อนจะรีบเดินไปยังที่จอดรถ แต่แล้วผมก็เห็นเขา มันจะไม่แปลกใจอะไร ถ้าคนที่เขาอยู่ด้วยไม่ใช่อาจารย์คนนั้นอีกแล้ว และผมเข้าไปยุ่งอีกจนได้ เพราะพวกเขากำลังขวางทางผม

“ขอโทษนะครับ ขอทางด้วยครับ” อาจารย์คนนั้นมองหน้าผม

ไม่ใช่ว่าโดนพักงานรึไงวะ? มาเสนอหน้าทำอะไรที่นี่อีก

รู้สึกหัวร้อนๆ เลย

ส่วนอีกคนดูเหมือนจะหายไปแล้ว ไวยังกับผี ครั้งที่แล้วก็แบบนี้ ครั้งหน้าขอไม่เจอแบบนี้นะ



“ขอ ทาง ด้วย ครับ” ผมย้ำอีกครั้ง จนอาจารย์คนนั้นยอมหลีกทางให้



ขณะที่ผมกำลังขับรถไปโรงอาหาร ผมก็เห็นเขา นั่นคนหรือหลอดนีออน สว่างอะไรขนาดนั้น เกิดมาเคยเจอแดดบ้างไหมวะ อยู่ๆ ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ผมจอดรถ แล้วลดหน้าต่างลง อาจจะเป็นเพราะแดดที่ร้อนเกินไป และผมเป็นคนมีจิตใจเมตตา

“ขอโทษนะครับ จะไปไหนครับ” ไอ้เหี้ย ผมจะถามแบบนั้นทำไมวะ เขาทำหน้างง แต่ก็ยอมตอบคำถามผม

“ไปโรงอาหารครับ” เหงื่อที่ซึมอยู่รอบกรอบหน้าไม่ได้ทำให้เขาดูดีน้อยลงเลยสักนิด

“ไปด้วยกันไหมครับ” ผมคงตื่นเช้าเกินไป แต่โชคดีที่เขาไม่ยอมให้ผมหน้าแตก ประตูข้างคนขับถูกเปิดออก


วันนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตผมที่มีตุ๊กตาหน้ารถหล่อขนาดนี้


ระหว่างทางไปโรงอาหารเราก็ไม่ได้บทสนทนาเพิ่มเติม จนกระทั่งถึงที่หมาย

“ครั้งหน้าถ้าเจอกันอีก ขอไม่เจอแบบครั้งนี้กับครั้งที่แล้วอีกนะครับ” เอาละผีห่าซาตานอะไรเขาสิงผมครับ เขาไม่ได้ตอบอะไร ประตูถูกเปิดออกพร้อมกับตุ๊กตาหน้ารถของผมที่หายไปในโรงอาหารแล้ว

เสียงนักศึกษาจอแจ เสียงแม่ค้าร้านอาหารตามสั่งเรียกชื่ออาหารตามสั่งแทนชื่อคนสั่ง เสียงกระทะเสียงตะหลิว และเสียงไอ้เหี้ยหนึ่ง

“ประธานมาแล้วมึง ตัดริบบิ้น” ทันทีที่ผมนั่งลงมันก็พูดขึ้นทันที

“ไหนกรรไกร กูจะได้ลองกับมึงดูว่ามันคมไหม” ผมเลยวางมือบนหัวมันด้วยแรงนิดหน่อย ก่อนตอบ

“ขอโทษครับเพื่อน อย่าเอาถึงตายเลย เออมึงว่าแต่น้องปีนี้มีคนน่ารักๆ ไหม” มันทำหน้าแหยๆ ก่อนท้ายประโยคมันจะทำเสียงน่าถีบ

“มาเรียนกับกูสิ” ผมยิ้มมุมปากให้มันทีหนึ่ง คนเราทำอะไรไว้ ก็ต้องรับผลของมันเป็นธรรมดา ผมนึกถึงวันที่แม่คุยด้วยขึ้นมาเลย
 
กระดาษสีขาว ถูกดึงออกมาจากซองของมันอย่างไม่เร่งรีบ เหมือนคนดึงออกมานั้นรู้อยู่แล้วว่าข้างในมีอะไร ผมสงสัยว่าจดหมายนั่นคืออะไร ทำไมแม่ถึงขอคุยด้วย จนกระทั่งผมเห็นชื่อมหาวิทยาลัยของตัวเอง “บรรลัยแล้วกู” คำนี้ดังขึ้นมาในหัวผมทันที

“พี่ฉินครับ ขอคำอธิบายครับ” แม่ยื่นกระดาษนั่นให้ผม โดยที่ตายังจ้องผมไม่หยุด ผมหยิบกระดาษนั้นมาอ่าน อยู่ๆ ผมก็อยากย้อนกลับไปตอนอ่านหนังสือไม่ได้

“เรื่องการเรียนคุณหยกไว้ใจพี่ฉินเสมอ ไม่เคยว่าถ้าพี่ฉินจะดื้อไปบ้าง แต่นี่มันคืออะไร พี่ฉินไม่ได้เป็นคนขาดความรับผิดชอบ อธิบายมาครับ” นี่คงเป็นตอนที่ผมอยากร้องไห้ ไม่ว่าเมื่อไหร่แม่ก็ยังคงเป็นคนที่ไว้ใจผมเสมอ ผมถึงเปิดใจคุยกับแม่ได้ทุกเรื่อง หลังจากเล่าให้ฟังทั้งหมด คุณหยกบ่นนิดหน่อย แล้วบอกกับผมว่า “เลือกเองก็ต้องรับผลมันให้ได้” กระดาษนั่นยังอยู่ในมือผม กระดาษแจ้งผลการเรียน รายวิชาที่ผมลงไปเกือบทุกตัวผลของมันผมพอใจมาก แต่มีตัวหนึ่งที่ผมไม่ค่อยพอใจ F นี่คือผลการเรียนที่ผมไม่ค่อยพอใจ เรียนอีกทีจะเป็นอะไรไป


“เฮ้ย เป็นอะไรมึง” ไอ้หนึ่งจับมือผมไว้ ตอนผมเผลอทุบโต๊ะ ผมน่าจะเผากระดาษนั่นไปก่อนที่แม่จะมาเจอ

“เสร็จยังมึงนะ ไปเรียนได้แล้ว” มันพยักหน้า ก่อนเราจะเดินไปเก็บจานและออกจากโรงอาหารไป



มีสายตาคู่หนึ่งที่มองตามหลังคนตัวสูงไปจนลับตา คนที่เพิ่งเจอกัน คนที่เป็นสารถีจำเป็นให้เขา



TBC.

ออฟไลน์ lillapine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
EP.4 ยินดีที่ได้รู้จัก


“เฮ้ย! อะไรวะ” ไอ้หนึ่งที่หลับฟุบไปกับโต๊ะอยู่ถูกฟาดเข้าให้ด้วยชีทเรียน โดยหนุ่มหล่อดีกรีเดือนคณะ

“ทำไม ไอ้ตี๋ตัวเตี้ยแบบมึงจะทำไม” ผมอยากให้สาวๆ มาเห็นไอ้เดือนคณะที่ตอนนี้ตีกับไอ้หนึ่งเป็นเด็กประถม

“ขอให้มึงท้องผูก กวนคนจะหลับจะนอน” มันว่าก่อนจะก้มลงไปฟุบที่เดิม แล้วมันก็โดนโบกอีกทันที

“ยังจะนอนอีก”

ไอ้หนึ่งยกนิ้วกลางให้แทนคำพูด ก่อนจะหันมาพูดกับผม

“เออมึง มึงจะไปช่วยพี่เขาดูน้องหลีดไหม พี่ๆ เขาฝากมาถาม”

“ไม่” ผมตอบแบบไม่ต้องคิดเลย

“มึงจะไม่ไปช่วยพี่เขาดูหน่อยหรอ มึงเคยเป็น มึงน่าจะรู้จังหวะดีที่สุด” เดือนคณะช่วยโน้มน้าวผม

“เออเห็นด้วยกับไอ้ต้นคนเหี้ยที่สุด” หนึ่งพูดพร้อมพยักหน้า

“ทีแบบนี้เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยนะพวกมึง” ผมมองไอ้ต้นกับไอ้หนึ่งที่ตอนนี้สงบศึกแล้วหันมาช่วยกันโน้มน้าวผม

“ค่อยตอบก็ได้มึง กว่าเขาจะเริ่มซ้อมอีกเป็นเดือน” มันยังไม่หยุดที่จะโน้มน้าวผม และที่ผมต้องไปเป็นหลีดนะไม่ได้เต็มใจอะไรเลย แต่มันเป็นข้อแลกเปลี่ยนระหว่างผมกับไอ้ต้น

ข้อแลกเปลี่ยนที่ว่าก็คือ รุ่นพี่มาชวนผมไปประกวดเดือน แต่ผมไม่อยากประกวด เลยไปตกลงให้ไอ้ต้นไปแทนซึ่งพี่เขาก็ตกลง พอรุ่นพี่จะให้ไอ้ต้นไปเป็นหลีด มันเลยโยนขี้มาให้ผม แล้วผมจะไปปฏิเสธอะไรได้ ตอนแรกหลังจบงานจะเลิกคบเป็นเพื่อนแม่ง จนตอนนี้ยังต้องคบมันอยู่

บางทีเวรกรรมก็มาในรูปแบบเพื่อนสินะ

“เออๆ ช่างเถอะ ว่าแต่มึงนะไอ้ต้น ไปดูน้องๆ ดาวเดือนมาเป็นไงบ้าง จริงๆ เอาเฉพาะน้องดาวก็พอ”

ถ้าไอ้หนึ่งมีหูตอนนี้หูมันคงตั้งตรงเลยแหละ ตอนถามอะไรแบบนี้ไม่เก็บอาการห่าไรเลยน่าถีบมากไอ้เวร

ไอ้ต้นยกมุมปากก่อนตอบ

“ไม่บอก” แล้วไอ้หนึ่งก็โวยวายอีกรอบ ส่วนผมกับไอ้ต้นมองหน้ากัน ผมแอบยกนิ้วให้ไอ้ต้นในเรื่องกวนโมโหไอ้หนึ่งเลย

“ไอ้ฉิน มึงไม่ช่วยกูเลย มึงมันพวกเดียวกัน” ผมยักไหล่ให้ไอ้หนึ่ง ก่อนจะเห็นอาจารย์เข้ามา

“ตอนนี้เรียนก่อนอาจารย์มาโน่นแล้ว อาจารย์แม่ มึงจะท้าทายอำนาจมืดไหมล่ะ”

ผมเป็นคนจริงจังกับการเรียน ดังนั้นพวกนี้มันจะไม่ก่อกวนผมเวลาเรียนเป็นอันขาด และผมไม่ใช่คนประเภทที่มาอ่านก่อนสอบเพียงหนึ่งอาทิตย์ ผมจัดการเวลาได้เป็นอย่างดีระหว่างเรื่องเล่นและเรื่องเรียน เพราะผมกับคุณหยกเรามีกันสองคนดังนั้นการดูแลตัวเองให้ดีก็ช่วยคุณหยกให้เหนื่อยน้อยลงได้มาก

“ท่านอาจารย์ตงฉินขอรับ เทอมนี้กระผมขอฝากตัวด้วยนะขอรับ หลังจากได้ฟังการบรรยายวันนี้แล้วกระผมคิดว่าเราน่าจะอยู่คนละโลกกันนะขอรับ” ไอ้หนึ่งพูดขึ้นพร้อมโค้งให้ผม ขณะที่ผมกำลังเก็บของลงกระเป๋า

“ก็แน่อยู่แล้วไอ้ตี๋เตี้ย เมื่อกี้ไอ้ฉินมันอยู่โลกมนุษย์ ส่วนมึงนะไปเข้าเฝ้าพระอินทร์ตั้งแต่ 10 นาทีแรก” ไอ้ต้นมันไม่พูดเปล่า มันใช้ชีทโบกไอ้หนึ่งด้วย

“โอ๊ย! มึงนี่กูยิ่งโง่ๆ ก่อนเรียนก็ฟาดหลังเรียนก็ฟาด แล้วมึงพูดงี้มึงรู้เรื่องหรอ” ไอ้หนึ่งพูดพลางลูบศีรษะตัวเองปอยๆ

“ถ้าตอนนี้ก็ไม่” ไอ้ต้นพูดแล้วยักคิ้ว

“โถ่ คิดว่าจะแน่ แล้วมึงจะตีหัวกูทำไมนักหนา” ไอ้หนึ่งที่ตอนนี้ม้วนชีทเรียนไล่ตีไอ้ต้นบ้าง ไม่ต้องสงสัยนะครับว่าทำไมพ่อเดือนคณะถึงได้กล้าเล่นเป็นเด็กๆ เพราะตอนนี้ทั้งห้องเหลือแค่เราสามคนครับ ผมว่าสุดท้ายแล้วไม่ว่าเราจะโตสักแค่ไหนกับเพื่อนเราก็ยังเป็นเด็กคนเดิม

“เฮ้ย มึงปิดไฟทำไมวะเนี่ย” ไอ้หนึ่งโวย

“มึงไม่กลับบ้านรึไง” ผมที่ตอนนี้มายืนอยู่ตรงประตูทางออกแล้วพูด

“สงสัยมันจะรอให้เจ้าแม่ต้นไทรของคณะมาเชิญกลับบ้าน” ไอ้ต้นที่ตอนนี้ยังคงเล่นวิ่งไล่กับไอ้หนึ่งอยู่พูดขึ้น ก่อนจะวิ่งออกประตูไป และตามด้วยไอ้หนึ่งที่วิ่งตามไปติดๆ ผมอดส่ายหน้าให้กับพฤติกรรมพวกมันไม่ได้



ดวงอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้าไปแล้วพักใหญ่ ส่งผลให้แทบทั่วทั้งตึกมืด มีแสงไฟเพียงเล็กน้อยส่องตามทางเดินเท่านั้น แต่บริเวณลานข้างอาคารกลับยังมีเสียงกลอง และเสียงนักศึกษาจำนวนหนึ่ง ที่ทำกิจกรรมให้ความสนุกสนานกับน้องๆ ปี 1 มันทำให้ผมคิดถึงช่วงเวลาของการเป็นน้องปี1 ตื่นเต้นกับชุดใหม่ เพื่อนใหม่ และเส้นทางผจญภัยเส้นใหม่ ผมเลือกที่จะเดินเงียบๆ ไปยังลานจอดรถ

“อ้าว ไอ้หนึ่งทำไมยืนคนเดียว ไอ้ต้นละ”

“ไปแล้ว มันบอกมีนัด”

“แล้วมึงนะยังไง”

“กูก็รอมึงนี่ไง” มันเดินมาเกาะแขนผม

“รอทำไม” ผมมองมันด้วยหางตา

“ก็มึงบอกจะไปส่งกูไง” น่าถีบจริงๆ มันกระโดดขึ้นรถผมทันทีที่ผมปลดล็อก

“มึงไปแดกเตี๋ยว ร้านป้าแป๋วไหม กูว่ากูหิว อาจารย์นะอาจารย์เวลาปกติไม่ค่อยว่างสอนชอบนัดชดเชยดึกๆ ” มันพูดไปบ่นไป พร้อมลูบท้องเหมือนกับกำลังปลอบกระเพาะ เวทนา!



หลังจากผมไปส่งไอ้หนึ่งเรียบร้อย รถผมก็กลับเข้าสู่ความสงบสุขอีกครั้ง โชคดีที่วันนี้รถไม่ค่อยติด ทำให้ผมใช้เวลาไม่นานในการเดินทาง ก่อนลงจากรถผมก็ไม่ลืมที่จะหยิบถุงบะหมี่ลงไปด้วย ผมไม่ได้ทานที่ร้าน เพราะผมต้องรีบกลับมาจัดการงานผมนิดหน่อย ผมคิดว่าคอนโดควรติดไฟที่จอดรถเพิ่มมันค่อนข้างมืดเกินไป ระหว่างที่ผมกำลังจะก้าวขาเข้าประตู ผมก็เหลือบไปเห็นที่ซอกตึกมีเงาของคนสองคน ที่คนหนึ่งพยายามจะตีตัวออกห่าง แต่อีกคนกลับพยายามไล่ตาม ผมจึงเดินเข้าไปดูใกล้ๆ และก่อนจะถึงผมก็ได้ยิน

“แค่ตอบตกลงก็ไม่ลำบากแล้ว” ผู้ชายคนหนึ่งพูดขึ้น พร้อมกับพยายามจับตัวอีกคน

“ขอโทษนะครับ นี่ไม่ใช่งานที่ผมจะทำ” ผู้ชายที่ตัวเล็กว่าตอบ

ตรงนั้นคือผู้ชายสองคนที่กำลังตกลงอะไรบางอย่างที่ผมรู้สึกไม่ชอบมาพากลเท่าไหร่

ผมควรจะเดินออกไปหรือจะเดินเข้าไปดี ถึงจะเป็นผู้ชายแต่เขาก็ไม่ควรถูกคุกคาม ระหว่างที่ผมกำลังตีกับตัวเอง ผู้ชายหนึ่งในสองคนนั้นก็เดินออกมาจากซอก

ทำให้ผมเห็นหน้าเขา ผมประหลาดใจนิดหน่อยที่เห็นเขาอยู่ที่นี่

แต่เวลาไม่ถึงนาทีเขาก็ถูกดึงกลับไป และนั่นทำให้ผมตัดสินใจเดินเข้าไปพร้อมกระชากผู้ชายคนหนึ่งออกมา ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไร ผู้ชายคนนั้นก็ยกหมัดให้ผมหนึ่งหมัด ผมไม่ทำร้ายใครก่อน แน่นอนครับผมไม่ใช่คนที่จะอยู่นิ่งๆ ถ้าใครมาต่อยผม ผมจึงสวนหมัดให้ผู้ชายคนนั้นไปหนึ่งหมัด และอีกหมัด จนผมมั่นใจว่ามันจะไม่ลุกขึ้นมาได้อีกสักพักนั่นแหละ

ถึงได้สังเกตอีกคนที่ตอนนี้ดูจะมึนๆ พอกัน ผมจึงดึงแขนเขาออกจากซอกตึก เดินตรงไปที่ลิฟต์ โชคดีที่เรามาทันลิฟต์พอดี ผมกดชั้นของตัวเอง ก่อนถามเขา

“ชั้นไหนครับ”

“ชั้น 8 ครับ” เสียงเขาดูไม่ค่อยตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่าไหร่ เกิดขึ้นบ่อยหรือไง ว่าแต่ชั้น8หรอ ชั้นเดียวกันนี่ ลิฟต์เปิดออกบ่งบอกว่าถึงชั้นที่กดไว้แล้ว

ผมเดินไปตามทางที่ผมคุ้นเคยเพื่อไปยังห้องผม อีกคนก็เดินตามผมมาด้วย จนถึงหน้าห้องผมแล้ว เขาก็ยังตามผมมาหรือว่า

“ห้องอยู่ทางเดียวกันหรอครับ” ผมหันไปถามเขา เขาไม่ตอบแต่ก้มลงมองไปที่แขน

ไอ้เหี้ยเอ๊ย! นี่ผมจับแขนเขาไว้ตั้งแต่ตอนไหนวะเนี่ย ผมรีบปล่อยแขนเขาทันที ก่อนจะผลักประตูเข้ามาในห้อง

และตอนนี้อีกคนก็เข้ามาอยู่ในห้องผมแล้ว มีอะไรหรือเปล่า ผมจึงหันกลับไปหาเขาไม่ทันจะได้ถามในสิ่งที่คิดไว้เขาก็พูดขึ้น นี่น่าจะเป็นประโยคที่สองของเขาตั้งแต่เราเจอกันวันนี้

“ไม่เจ็บหรอ ที่โดนต่อยนะ” เออวะ ผมโดนต่อยนี่ แม่งเจ็บขึ้นมาเลย ผมยังไม่ทันได้ตอบ เขาก็ถามอีกครั้ง

“ที่ห้องมีกล่องปฐมพยาบาลไหม” โชคดีที่ห้องผมมี แม่ซื้อมาไว้เหมือนรู้ว่าจะมีวันนี้ทั้งๆ ที่ผมไม่ใช่พวกชอบท้าตีท้าต่อย ผมเดินไปหยิบมาให้บุรุษพยาบาลจำเป็นที่ตอนนี้นั่งอยู่ที่โซฟา

ทันทีที่ผมวางลงเขาก็เริ่มเปิดกล่อง แล้วเหมือนจะขยับเข้าใกล้ผมมากขึ้น มือข้างหนึ่งจับหน้าผมเหมือนไม่ต้องการให้ผมขยับไปไหน เขาที่ขยับเข้ามาใกล้อีก เหมือนเปิดโอกาสให้ผมได้สำรวจใบหน้าเขา คิ้วที่เรียงกันอย่างเป็นระเบียบ ดวงตากลมโตถูกวางอย่างพอดีกับคิ้ว นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนสวยที่ตอนนี้กำลังจ้องไปที่แผลที่มุมปากผม จมูกโด่งเชิดอย่างคนรั้นรับกับริมฝีปากอิ่มสีชมพูอย่างคนสุขภาพดีทั้งหมดนี้ถูกวางอย่างเหมาะเจาะบนใบหน้าเนียนไร้สิว ผมย้ำว่าไร้สิว



หน้าสวยจริงๆ



แต่เขาเป็นผู้ชายก็ต้องเรียกว่าหล่อไหม เสียงท้องร้องของใครบางคนเรียกสติผมกลับมา แน่นอนว่าไม่ใช่ผม ถ้าไม่ใช่ผมก็คงเป็นคนตรงหน้าผม ที่ตอนนี้กำลังปิดกล่องปฐมพยาบาล และยังทำหน้านิ่งอยู่

ผมมีบะหมี่ที่ซื้อมานี่

“กินบะหมี่ไหม พอดีซื้อมาสองถุง” ผมถามเขา ปกติผมกินคนเดียวสองถุง แต่ผมว่าวันนี้แบ่งหน่อยคงไม่เป็นไร ถึงเขาจะค่อนข้างสูงแต่ก็ยังตัวเล็กกว่าผมอยู่ดี เนื้อที่แทบจะหุ้มกระดูกอยู่แล้วนั่น กินข้าววันละกี่มื้อกัน

“ไม่เป็นไรครับ” เขาตอบเสียงอ่อน

“กินด้วยกัน” ผมไม่รอให้เขาปฏิเสธอะไรอีก ก็เดินไปส่วนครัวแล้วหยิบถ้วยมาสองใบ วางลงบนโต๊ะอาหาร ก่อนเรียกเขามานั่ง เขาที่ตอนแรกดูจะปฏิเสธก็ยอมมานั่งตามคำเรียก อย่างเขาถ้าปล่อยให้กลับไปคงปล่อยให้ท้องร้องจนหลับไปนั่นแหละ

ระหว่างที่ความเงียบกำลังเข้าครอบงำ ทำให้ผมสังเกตเห็นว่า เขาไม่ปรุงอะไรเพิ่มเลย และไม่กินเกี๊ยวด้วย คือผมชอบเกี๊ยวมากตอนสั่งเลยให้เพิ่มเกี๊ยวเป็นพิเศษ

“ไม่กินเกี๊ยวหรอ” ผมถามเขา

“ก็กินได้ครับ แต่ไม่ค่อยชอบ”

“ผมขอนะ” แล้วผมก็ถือวิสาสะตักเกี๊ยวจากถ้วยเขามาให้ตัวเอง เขาเองก็ช่วยผมตักเกี๊ยวอีกแรง ถ้วยที่เล็กทำให้ตะเกียบชนกัน เรามองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนที่ผมจะหัวเราะและนั่นเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเขายิ้มน้อยๆ เขาเหมาะกับรอยยิ้มจริงๆ

“ผมไม่ขอโทษหรอกนะที่คุณเจ็บ แต่ก็ขอบคุณนะครับ” เขาพูดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ

ก็จริงของเขาผมเข้าไปยุ่งเอง

“กินเสร็จหรือยัง เดี๋ยวผมล้างให้” เขาพูดขึ้นอีกครั้ง ผมพยักหน้า แล้วปล่อยให้เขาจัดการ จนกระทั่งเขาบอกลาผม และกำลังจะกลับผมถึงนึกบางอย่างขึ้นมาได้



“คุณชื่ออะไรนะครับ” เขาที่กำลังจะก้าวขาออกไปหันหลังกลับมาแล้วตอบผม



“เทียนครับ” ผมยังยืนอยู่ที่เดิมในขณะที่ตอนนี้ประตูถูกปิดลงแล้ว



ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณเทียน



TBC.

ออฟไลน์ lillapine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
EP.5 ผมไม่ชอบติดใคร

“วันนี้อาจารย์ขอจบแค่นี้ อย่าลืมส่งรายชื่อกลุ่มให้อาจารย์ก่อนกลับกันนะคะ” อาจารย์ผู้สอน เตือนในสิ่งที่บอกไว้ตั้งแต่ก่อนเริ่มเรียน

“จัดกลุ่มตามเลขที่ใช่ไหมคะ” ในที่สุดก็มีผู้กล้าในเหล่าปีหนึ่งถามขึ้น คัดลอกวางเหมือนปีที่แล้วเลยครับ

เหล่านักศึกษาทั้งหลายกำลังวุ่นวายกับการหากลุ่มของตัวเอง โชคดีที่มีคนเรียกช่วงเลขที่ผมพอดี



และ



“เหลือชื่อนายสองคนนะ ชื่ออะไรกัน” หนึ่งในกลุ่มพูดขึ้น

“ตงฉิน เจริญกิจพาณิชย์” น้องเขาเหมือนจะเพิ่งรู้ว่าผมไม่ใช่ปีเดียวกันก็ตอนที่ผมบอกรหัสนักศึกษา

“อุ๊ย! ขอโทษนะคะที่เรียกนาย คิดว่าพี่อยู่ปีเดียวกัน”

“ไม่เป็นไร ก็เราไม่รู้นี่” ผมพูดด้วยท่าทีสบายๆ เพราะเห็นน้องเขาหน้าเสียไป พอผมพูดจบสีหน้าน้องเขาค่อยดีขึ้นหน่อย

“ส่วนชื่อพี่คือพี่เทียน จิณณพัฒน์ ภิรมย์วัชร ใช่ไหมคะ หนูจำได้ เคยเห็นพี่ใน เพจลมหายใจของชาวเรา บ่อยๆ เมื่อปีที่แล้ว ส่วนตอนนี้หนูขอรหัสนักศึกษาด้วยค่ะ” น้องเขาเขียนชื่อเทียนคล่องมือ อย่างกับคัดมาแล้วร้อยจบ ก่อนจะตามด้วยรหัสนักศึกษาตามคำบอกของเจ้าของชื่อที่แม้แต่ตอนนี้ก็ยังทำหน้านิ่งๆ

เย็นชาจริงๆ ขนาดผมโดนต่อยตั้งแต่วันนั้น จนแผลผมจางผมยังไม่เห็นเขาถามไถ่ผมสักครั้งใจดำชะมัด ถึงผมจะแส่เองก็เถอะ น่าจะถามสักนิด

“โอเค เสร็จแล้วทุกคนกลับได้” นั่นแหละเราถึงได้แยกย้ายกัน ขณะที่ผมกำลังจะลุกออกจากเก้าอี้ ผมก็เห็นน้องในกลุ่มกระซิบกระซาบและมองมาที่ผมเหมือนมีอะไรอยากจะพูดกับผม จนกระทั่งขาของผมกำลังจะก้าวพ้นประตูมีเสียงเรียก

“เอ่อพี่ตงฉินค่ะ”

“ครับ” ผมหยุดขา แล้วรอว่าน้องที่ชอบเทียนมากๆ เขาจะพูดอะไร

“พอดีพวกเราจะสร้างกลุ่มในไลน์ไว้ติดต่องานกันค่ะ เลยอยากจะขอไอดีไลน์พี่หน่อยนะคะ”

โถ่! น้องพี่คิดว่าเรื่องอะไร

“ได้ครับ”

“เอ่อ แล้วก็เหลือของพี่เทียนด้วยค่ะ แต่พวกเราไม่กล้าไปขอ พี่เขาดูดุมากเลยค่ะ พี่ตงฉินช่วยไปขอให้หน่อยได้ไหมคะ” เทียนเนี่ยนะ ดูดุ

“พี่จะลองดูนะ”

“ขอบคุณพี่มากเลยค่ะ พี่ตงฉินลากพี่เทียนเข้ากลุ่มด้วยนะคะ” ทันทีที่ผมตอบตกลงน้องเขาก็ทั้งขอบคุณทั้งไหว้กันใหญ่

แล้วผมจะไปเจอเทียนที่ไหน?

รถยนต์ยี่ห้อดังเคลื่อนที่ไปตามถนนเส้นที่คุ้นเคยอย่างไม่รีบร้อน กระจกด้านข้างของรถสะท้อนให้เห็นรถยนต์อีกคันหากไม่สังเกตก็แค่รถคันหนึ่งที่บังเอิญมีจุดหมายเดียวกัน



เพียงแต่คนขับรถยนต์ยี่ห้อดังสังเกตเห็น



หากเขาขับช้า รถอีกคันก็ช้าตาม หากเขาขับเร็ว รถอีกคันก็พยายามตามให้ทัน แม้กระทั่งเขาเลี้ยวเข้าปั๊มน้ำมัน รถอีกคันก็ยังเลี้ยวตาม ขณะที่เขากำลังเลี้ยวเข้าคอนโด รถคันนั้นไม่ได้เลยผ่านรถเขาไป แต่หยุดรถห่างจากเขาราวสามช่วงตึก

รถยนต์ยี่ห้อดังถูกจอดสนิทในที่ของมัน คนที่ขับมันมาตลอดเส้นทางละมือออกจากพวงมาลัย แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อเช็กข้อความแจ้งเตือนด้วยความเคยชิน ก่อนพบว่าไม่มีข้อความแจ้งเตือนใดๆ จึงเก็บมันลงกระเป๋ากางเกง

สองขาของผมที่กำลังจะมุ่งหน้าไปยังห้องอย่างเร่งรีบก็ชะงักลง เมื่อพบว่ามีใครบางคนยืนรออยู่หน้าห้อง

เทียน?

เขามาทำอะไร

“มีอะไรหรือเปล่า” เขาไม่ตอบแต่ยกบางอย่างขึ้น บางอย่างที่เขาติดมือมา และบางอย่างที่ว่าก็คือ บะหมี่

“ผมไม่ชอบติดใคร” เขาว่าอย่างนั้น

ผมคงทำได้แค่เปิดประตูและเป็นฝ่ายนำเขาเข้าห้องอีกครั้ง

“เข้ามาสิ”

เขามาเพื่อกินบะหมี่กับผมจริงๆ ครับ เพราะตอนนี้คนถือบะหมี่มานั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารพร้อมถ้วยสองใบ และตอนนี้กำลังมองมาที่ผมเหมือนกำลังเรียกผมให้ไปทานบะหมี่ได้แล้ว ยังไม่ทันที่ผมจะไปนั่งเสียงโทรศัพท์ผมก็แผดเสียงขึ้น “หนึ่ง”

“ให้ทายว่ากูอยู่ไหน” เสียงมันแทรกขึ้นมาทันทีที่ผมรับสาย

“อะไรของมึง” สัญญาณแจ้งเตือนหน้าห้องผมก็ดังขึ้นเป็นคำตอบ

“ไม่เป็นไร” ผมไม่ได้บอกไอ้หนึ่ง แต่ผมบอกเทียนที่ตอนนี้ทำท่าเหมือนจะกลับแล้ว

“มึงอยู่กับใคร ซุกสาวไว้หรอ เปิดประตูๆ ” เสียงไอ้หนึ่งโวยวายลอดลำโพง

จนเทียนนั่งลงที่เดิมผมถึงเปิดประตูให้ไอ้หนึ่งเข้ามา

“ไหนๆ สาวอยู่ไหน” เสียงมันมาก่อนตัวอีก

“อ้าว!! เทียน ไอ้ฉิน ไอ้ฉิน เทียน รู้จักกันด้วยหรอ” พอมันเห็นว่าเทียนนั่งอยู่ในห้อง มันก็เอาแต่เรียกชื่อผมสลับกับเทียนอยู่อย่างนั้น มันเดินตรงไปหาเทียนที่โต๊ะอาหาร ไม่สนใจจะวางกระเป๋าให้ดีด้วยซ้ำ

“โอ้โห ไอ้ฉิน นี่ไม่ใช่แค่รู้จักแล้ว มานั่งกินบะหมี่ด้วยกันขนาดนี้ ต้องเรียกว่าสนิทแล้ว งั้นวันนี้ขอสนิทด้วยนะเทียน” สนิทหรอ เราคุยกันนับครั้งได้ด้วยซ้ำ

“มึงมีบะหมี่หรือไง”

“ไม่ แต่กูมีหมูกรอบ” มันยกมือข้างที่ถือหมูกรอบขึ้น

“เทียน เราชื่อ หนึ่ง นะ เป็นคนตลกนิดหน่อย แต่หล่อมาก” นี่คงเป็นครั้งแรกที่ระหว่างผมกับเทียนไม่มีความเงียบ และเป็นครั้งแรกที่เทียนพูดเยอะขนาดนี้ คงเพราะไอ้หนึ่ง มันค่อยถามนั่นถามนี่พูดไม่หยุด

“นี่ไอ้หนึ่ง หยุดถาม แล้วให้เทียนกินก่อนไหม” ผมหันไปปรามไอ้หนึ่งเมื่อเห็นอาหารคนตรงหน้าไม่พร่องลงสักนิดเพราะเอาแต่ตอบคำถามไอ้หนึ่ง และตั้งใจฟังไอ้หนึ่งพล่ามเกินพอดี

ตอบคำถามแล้วหยุดกิน อันนี้ผมเข้าใจได้ แต่ตอนฟังนี่ต้องหยุดกินด้วยหรอ หรือเขามีฟังก์ชันการทำงานเดียว

พูดไปก็เท่านั้นแหละครับ ไอ้หนึ่งหยุดพูดได้ไม่เกินสองนาทีมันก็เริ่มพูดอีก นี่ก็หยุดกินอีกแล้ว พอผมเห็นไอ้หนึ่งวางช้อนลง กำลังจะไปเปิดตู้เย็นดื่มน้ำ

“น้ำไม่มี มึงลงไปซื้อหน่อย”

“มึงไม่ได้วางแผนไล่กูออกจากห้องใช่ไหม”

“จะกินไหม”

“โอเคๆ เทียนเอาอะไรไหม”

“ไม่ครับ”

“ได้เลย เดี๋ยวซื้อบราวนี่มาฝาก วันนี้ไอ้ฉินมันเลี้ยง” มันพูดพร้อมโชว์กระเป๋าตังค์ผมที่อยู่ในมือมัน หยิบไปเมื่อไหร่วะ ผมที่ว่าจะด่ามันสักหน่อยแต่เห็นคนตรงหน้ายกมุมปากนิดๆ ผมก็ไม่คิดจะทำซะอย่างนั้น

“นี่! รีบกิน เดี๋ยวมันขึ้นมาก็ไม่ได้กินพอดี” ผมบอกเขาทันทีที่ไอ้หนึ่งออกจากห้องไป ยังทำหน้างงอีก ผมเลยชี้ไปที่ถ้วยของเขา

เขาละมือจากตะเกียบ แล้วใช้นิ้วโป้งลูบที่มุมปากผมเบา มันเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่ผมลืมหายใจไปเลย

“เปื้อน” ถึงเขาจะพูดอย่างนั้นแต่มือเขาก็ไม่ได้หยุดลูบ

“ไม่เจ็บแล้ว” ผมไม่รู้อะไรดลใจให้ผมพูดแบบนั้น อาจจะเพราะมือนั้นที่ เหมือนต้องการปลอบประโลมรอยแผลที่มันเคยเกิดขึ้น

เพราะผมพูดแบบนั้นเขาเลยหยุดลูบ แล้วลงน้ำหนักแรงๆ ที่นิ้วมือนั้น จนผมร้องออกมา

“โกหก” เขาพูดแบบนั้น ก่อนหันไปสนใจอาหารที่อยู่ตรงหน้า



ผมไม่ได้ชอบความรุนแรง แต่ที่ผมใจเต้นแรง ก็เพราะผมเจ็บมากนั่นแหละ



21.30 น.

เทียนอาสาเป็นคนล้างอีกครั้ง โดยมีไอ้หนึ่งคอยก่อกวน แต่ดูเหมือนคนถูกก่อกวนจะชอบ

หน้าจอโทรศัพท์สว่างวาบ ไม่ใช่ของผม แต่เป็นของเทียน มันเป็นแจ้งเตือนจากใครบางคนบอกว่าให้เข้าไปดูเมล์ด้วย นั่นทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าต้องขอไลน์เทียน

“ห้องเทียนอยู่ตรงข้ามห้องไอ้ฉินนี่เองหรอ มาทีไรไม่เห็นเคยเจอเทียนเลย” เสียงไอ้หนึ่งยังคงเจื้อยแจ้ว นั่นสิ อยู่ตรงข้ามกัน ไม่เห็นเคยเจอเลย ไม่คิดจะบอกกันด้วยซ้ำ

“ว่าแต่เทียนมารู้จักกับไอ้ฉินได้ไงหรอ” คนที่คว่ำถ้วยใบสุดท้ายลงถาดพอดีหันมามองหน้าผม เป็นเชิงถามว่าให้ตอบเลยไหม

“พอดีว่ากูจะเลิกคบเพื่อนบางคน เลยต้องหาเพื่อนใหม่ไว้นะ” ไอ้หนึ่งหันมาแยกเขี้ยวใส่ผมทันที

“วันนี้วันศุกร์ อยู่ดูหนังด้วยกันสักเรื่องไหมเทียน มีขนมเพียบเลย” ไอ้หนึ่งที่หันไปสนใจเทียนอีกครั้ง

“ไม่ละ พรุ่งนี้มีธุระต้องไปทำนะ กลับแล้วนะ” เทียนตอบไอ้หนึ่ง แล้วหันมาสบตาผม

“เอ่อ เทียน ขอไลน์หน่อยสิ เอาไว้ติดต่องานกลุ่มนะ” ผมบอกเขา

“อ๋อ ได้สิ” ไม่ยากแฮะผมสแกนบาร์โค้ดจากโทรศัพท์เทียน ก่อนแจ้งเตือนในไลน์ผมจะขึ้นว่ามีการเพิ่มเพื่อน

“ไว้เจอกันนะ” เขาบอกผมหรือเปล่า

“ไว้เจอกันเทียน” เสียงไอ้หนึ่งดังมาจากโซฟา มันไปนั่งโซฟาตอนไหน

ช่างเถอะ

แต่ตอนนี้เทียนยกฝ่ามือที่เป็นสัญลักษณ์บอกลา พร้อมสบตาผมตรงๆ

อันนี้ผมมั่นใจว่าเทียนบอกผมแน่ๆ ทำไมรู้สึกเหมือนทำแต้มชนะให้ทีมเลยวะ

“อะไรยังไง มีขอไลน์ทำงานกลุ่ม กลุ่มอะไร ทำไมกูไม่รู้”

“ก็กลุ่มในวิชาที่มึงไม่ได้เรียนไง”

“เทียนก็เรียนอีกรอบแบบมึงหรอ”

“อยากรู้เรื่องคนอื่นทำไมนักหนา มึงนี่”

“ด่ากูว่าเสือกเถอะ”

“ว่าแต่มึงมาทำไมเนี่ย”

“คืออย่างนี้นะตงฉินสุดหล่อ กูคิดถึงมึง เราไม่ได้นอนด้วยกันนานแล้ว คิดถึงความสัมพันธ์ครั้งเก่าของเรา” ผมตบหัวมันทีหนึ่ง พูดจาสองแง่สองง่ามดีนัก

“เรื่องของมึงเถอะ จะนอนก็ไปอาบน้ำ” ใช่ว่ามันไม่เคยค้างห้องผม

หลังจากไอ้หนึ่งเข้าห้องน้ำไป ผมถึงได้เปิดดูคนที่เพิ่งแอดไลน์ผมมา ในโปรไฟล์มีผู้ชายใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนกับกางเกงสแลค นั่งหันหน้าออกไปนอกหน้าต่าง แสงธรรมชาติที่สาดเข้ามาทำให้คนในรูปดูน่ามอง

“โห เทียนแม่งหน้าตาดีสุดๆ ขนาดถ่ายรูปเผลอๆ ยังดูดีขนาดนี้ พระเจ้าไม่ยุติธรรมกับกูเลย” เออ เพิ่งพูดเข้าหูกูก็ตอนนี้แหละหนึ่ง

“ขอไลน์เทียนบางดิ” พูดไม่ทันขาดคำ

“เสือก” ผมทิ้งมันให้นอนอยู่โซฟา ก่อนจะเดินไปหยิบหมอนอีกใบที่อยู่ในห้องนอนผมมาให้มัน

“แล้วผ้าห่มกูละ”

“มึงตอบกูอีกคำถาม มึงรู้จักเทียนได้ไง”

“ไอ้ฉิน เขารู้กันทั้งมหาลัย ทั้งโลก มีแต่มึงนี่แหละ อย่างน้อยมึงต้องเคยเห็นเขาวันงาน คืนนี้ให้เฟรชชี่ ก็เทียนนะเป็นตัวแทนเดือนคณะ ถึงจะไม่ได้ชนะ แต่ก็มีแมวมองมาชวนเข้าวงการเลยนะเว้ย” วงการหรอ ผมยอมโยนผ้าห่มให้มัน ก่อนจะปิดประตูเข้าห้องนอนไป

ชีวิตก็ดูดีนี่ ลักษณะก็ดูไม่ใช่คนที่จะหาเรื่องใครเขา

แล้วไปทำอะไรเข้าถึงได้มีคนมาหาเรื่องนะ



TBC.

ออฟไลน์ lillapine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
EP.6 ได้เรื่องแล้ว

ดวงไฟถูกดับลง ความมืดเข้าปกคลุมพื้นที่ เว้นแต่บนเตียงนอนที่มีแสงไฟเล็กๆ จากหน้าจอสี่เหลี่ยมส่องไปยังใบหน้าคนที่ถือมัน สายตาจดจ้องไปที่หน้าจอ ห้องสนทนาของเพื่อนคนใหม่ในแอพลิเคชันสีเขียวยอดนิยม มีข้อความที่ถูกพิมพ์แล้วลบซ้ำไปซ้ำมาพักใหญ่ ราวกับคนพิมพ์ไม่สามารถเลือกคำที่ตรงใจได้

ผมเทียนนะครับ

หากจะอธิบายคำว่า ลนลาน

สติกเกอร์หมีสีขาวชูป้ายฝันดีนะ ที่ถูกส่งไปโดยที่คนกดส่งไม่ได้ตั้งใจกด

คงอธิบายได้ดีที่สุดในสถานการณ์นี้

คนกดส่งมันไป กดออกจากห้องสนทนาทันทีโดยไม่รอว่าอีกฝ่ายจะตอบหรือไม่ แต่ข้อความแจ้งเตือนที่ดังขึ้น เรียกร้องความสนใจจนต้องเหลือบไปมองที่ห้องสนทนานั้นอีกครั้ง

ฝันดีเช่นกันครับ

และนั่นแหละ เจ้าของโทรศัพท์ถึงได้วางโทรศัพท์ลง ดับดวงไฟดวงสุดท้ายและเริ่มต้นการฝันดี



วันหยุดสุดสัปดาห์ที่ยังไม่ทันได้ทำอะไรก็สิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว วันจันทร์จึงถูกเลือกให้เป็นวันที่มีคนเกลียดมากที่สุด สองเท้ามุ่งหน้าไปยังยานพาหนะ ก่อนจะถึง สายตาเหลือบไปเห็นใครบางคนที่ปกติมักทำหน้านิ่ง แต่ตอนนี้หน้านิ่วคิ้วขมวด ขณะที่ต่อสายหาให้สักคน ทั้งยังเดินวนไปวนมาบริเวณรถ และมองนาฬิกาตลอดเวลา

“เทียนมีอะไรให้ช่วยไหม” ผมเดินเข้าไปถาม ไม่มีการตอบสนองจากคนข้างหน้า ผมจึงเดินไปจับแขนเขาให้หยุดเดิน

“เทียน!” เขาถึงได้เงยหน้าขึ้นมามองกันบ้าง

“มีอะไรให้ช่วยไหม”

“เอ่อ เอ่อ”

“รีบไปไหนรึเปล่า”

“พอดีต้องรีบไปส่งงาน แต่รถดันเสีย”

“งั้นก็ไปรถผม”

“รบกวนหน่อยนะ”

ตั้งแต่รถเริ่มออกตัวอีกคนก็ยังคงมองนาฬิกาไม่หยุด ขณะงานที่อยู่ในมือถูกประคองอย่างดียิ่งกว่าเพชรราคาแพง

“ต้องส่งกี่โมง”

“8โมงครึ่ง” เหลืออีก 15 นาที

“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวก็ถึงแล้ว” พอถึงหน้าคณะเขา รถผมยังไม่ทันได้จอดให้สนิทคนข้างๆ ก็กระโดดลง เฮ้ย! กระเป๋า

ตอนนี้ผมเหมือนสิ่งแปลกปลอมในที่แห่งนี้สุดๆ เดินไปทางไหนก็ดูจะหลง ผมถึงได้ตัดสินใจนั่งลงที่ม้านั่งที่ตั้งอยู่ทางเดิน พร้อมกับกระเป๋าของคนที่วิ่งหน้าตั้งไปส่งงาน

นั่นไง พอเห็นเขาเต็มตาผมถึงสังเกตเหตุว่าเขาดูเหนื่อยล้าแค่ไหน เขาคงสงสัยที่เห็นผมยังอยู่

ผมส่งกระเป๋าคืนเจ้าของ

“ไปเรียนต่อไหวไหม” เขาพยักหน้าทั้งสภาพแบบนั้น ผมกลัวเขาจะเผลอหลับทั้งยืนจริงๆ

เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ผมดัง จนผมต้องหยิบมันขึ้นมาดู

Melody เชิญคุณเข้ากลุ่ม สื่อสาร ผมกดตอบรับ

“วันนี้อาจารย์ของดการเรียนการสอนนะคะ แต่ตัวแทนของแต่ละกลุ่มรายงานความคืบหน้าของงานกับอาจารย์ด้วยค่ะ อาจารย์ต้องขอโทษจริงๆ ที่ต้องงดวันนี้อย่างกะทันหัน”

อาจารย์คงอยากให้คนข้างๆ ผมพักผ่อน

“ไม่ต้องเรียนแล้ว” ผมจับแขนคนข้างๆ ก่อนจะนำทางเขาไปยังรถ

รถยี่ห้อดังแล่นออกไปตามถนนด้วยความคงที่ราวกับคนขับกลัวว่าคนที่นั่งข้างๆ จะกระทบกระเทือนหากเปลี่ยนความเร็ว จนกระทั่งถึงที่หมาย

“เทียน” ผมเขย่าเขาเบาๆ คนง่วงนอนยอมลืมตา

“ถึงแล้วไปนอนในห้องดีๆ ” หลังจากเขาส่งงานเสร็จผมว่าเขาเหมือนถอดวิญญาณออกจากร่างไปแล้ว ดูตอนนี้สิ ผมลากเขาเข้ามาในห้องผม เขายังไม่ทักอะไรสักคำ ผมอดคิดไม่ได้จริงๆ ว่าถ้าตอนนี้ไม่ใช่ผม แล้วถูกปล้นก็คงจะยอมให้เขาหมด

นั่น! จะไปไหนของเขา

“เทียน! ไปไหน? ”

“นอน ห้องนอน” เขาชี้ไปยังห้อง และเขาก็เดินเข้าห้องนอนผมไปแล้ว ผมเดินตามเขาไปทันที ไม่ใช่ว่าจะไปลากเขาออกมาหรอกนะครับ ผมไม่ใจร้ายขนาดนั้น

แค่กลัวจะหลับที่พื้นห้องไม่ใช่เตียง โล่งอกที่เขาไปถึงเตียง ถ้าคุณเห็นสภาพเทียนคุณต้องอยากซื้อเตียงพกพาให้เขาเลยล่ะ

พอได้นั่งถึงรู้ว่าเหนื่อยโคตร ดูเหมือนแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ผมจะไม่หยุดง่ายๆ หากผมไม่ยอมดูมันสักที

แอพลิเคชันสีเขียวยอดฮิตถูกเปิดขึ้นขึ้นอีกครั้ง มีแจ้งเตือนจำนวนหลายสิบข้อความจากกลุ่มล่าสุด กลุ่มที่ทำให้ผมต้องไปขอไลน์เทียน จนตอนนี้ผมก็ยังไม่ได้ชวนเทียนเข้ากลุ่ม

ถ้าผมชวนตอนนี้เสียงแจ้งเตือนคงจะก่อกวนคนนอน เอาไว้ก่อนแล้วกัน

หลายสิบข้อความนั้นผมจับใจความได้ว่าให้จับคู่กันทำงาน แล้วนำข้อมูลของแต่ละคู่มารวมกันอีกที

Melody : ตอนนี้กลุ่มเรายังเข้ากลุ่มไม่ครบเลยนะ เราค่อยคุยเรื่องจับคู่ตอนครบไหม

ไม่เป็นไรครับ พี่กับเทียนอยู่ด้วยกันตอนนี้จับคู่ได้เลย

Melody : งั้นทุกคนจับคู่ได้เลยนะ


ดูเหมือนทุกคนจะคิดไว้แล้ว ข้อความส่งเข้าจนเหลือคนสุดท้ายแล้ว คือผมเอง กับ เทียน

คนที่ได้คู่แล้ว ไปลงในโน้ตด้วยนะครับว่าคู่กับใครหน้าที่อะไร

ร่างสูงเอนตัวนอนลงบนโซฟา เปลือกตาปิดลงเริ่มสู่ห้วงนิทรา โทรศัพท์ที่เพิ่งปิดไปมีแสงสว่างเปิดขึ้นบ่งบอกว่ามีใครบางคนพยายามติดต่อ

TON 2 สายที่ไม่ได้รับ

TON: โทรหากูด้วย


เสียงร้องโทรศัพท์ ปลุกคนที่หลับบนโซฟาให้ตื่น แต่กลับไม่สะทกสะท้านคนที่นอนให้ห้อง ร่างสูงกดรับโทรศัพท์ทั้งยังนอนอยู่แบบนั้น

“เออ หนึ่งว่าไง”

“ว่าไงอะไรละ ไม่มีเรียนก็ไม่บอกกู หายหัวไปทั้งไอ้ต้นทั้งมึง จะแกล้งกูใช่ไหม พวกเลว” ผมก็เพิ่งรู้พร้อมมันนี่แหละ ด่าไม่มีช่องไฟให้แทรกเลย

“มึงโทรมาด่ากูแค่นี้หรอ”

“เออ ไอ้สัด จะไปด่าไอ้ห่าต้นละ แค่นี้แหละ”

ทันทีที่ผมเห็นข้อความที่ขึ้นแจ้งเตือนไว้ ผมก็ชิงโทรหาไอ้ต้นก่อนไอ้หนึ่งจะโทร ผมต่อสายไม่นานก็มีคนรับสาย

“มึงได้เรื่องแล้วใช่ไหม” ผมอยากรู้จริงๆ ว่าใครกันแน่ที่ตามผมวันนั้น

“มึงนะสิได้เรื่อง มาหากูที่ห้องตอนนี้” ก่อนออกจากห้องผมไม่ลืมแปะโพสอิทไว้ที่ประตูทางออกเผื่อคนที่นอนอยู่ตื่นขึ้นมา ฝากล็อกห้องด้วยนะ

ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที ผมก็มาถึงห้องไอ้ต้น

“มึงไปเหยียบตีนใครเข้าวะ” คำถามปะทะหน้าผมทันทีที่เหยียบเข้าห้องมัน

“เพิ่งเปิดเทอมเองกูจะไปเหยียบตีนใคร”

“มึงเผลอไปเอากับเมียใครหรือเปล่า”

“กูไม่ใช่มึง”

“มึงลองคิดดีๆ ช่วงนี้มีใครแปลกหน้าที่มึงไปยุ่งด้วยไหม” เหมือนมีคนปารูปเทียนใส่หน้าผมอย่างแรง

“มึงรู้ไหมว่ามันเป็นใคร คนที่ตามกูนะ”

“ตอนนี้คนของกูยังระบุตัวตนไม่ได้ แต่มันต้องเป็นคนที่อยู่ในมหาวิทยาลัยเราแน่” ไอ้ต้นมันหยิบกระซองสีน้ำตาลให้ผม ข้างในเป็นรูปรถยนต์ที่มีป้ายทะเบียนตามที่ผมบอก ขับไปที่ต่างๆ โดยมีรถผมอยู่ข้างหน้า ผมจะไม่แปลกใจสักนิดถ้ารถคันนี้ตามผมแค่ครั้งเดียว แต่ไม่ มันมากกว่านั้น

“ตอนนี้กูนึกออกอยู่คนเดียว”

“ใคร? ”

“คนที่กูมีเรื่องด้วยเมื่อปีที่แล้วไง”

“ไม่ยอมจบหรอ เล่นมึงซะขนาดนั้น”

“คงเห็นว่ากูยอม” ตอนนั้นผมอาจจะไม่ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ แต่รุกรานชีวิตผมขนาดนี้

“และถ้าเป็นมันจริงคราวนี้กูไม่จบง่ายๆ แน่”



1 ปีก่อน

“ไอ้ฉินมึงจะไปไหน”

“กูจะไปคุยงานกับอาจารย์”

“รีบมาเลยนะมึง เดี๋ยวรอไปแดกพร้อมกัน” มื้อเย็นวันนี้พวกมันจองตัวผม

ร่างสูง เดินอย่างช้าๆ พร้อมส่องดูแต่ละห้องอย่างไม่มั่นใจห้องแล้วห้องเล่า ตามฉบับเด็กปีหนึ่งที่ยังไม่คุ้นชินกับสถานที่ จนกระทั่ง

โครม! เสียงวัตถุขนาดใหญ่ร่วงลงสู่พื้นอย่างแรง

ปลายเท้าหันตรงไปยังห้องต้นเหตุโดยอัตโนมัติ

ประตูถูกเปิดออก ที่มาของเสียงนั้นเป็นเก้าอี้ที่ล้มอยู่บนพื้น ข้างๆ กันนั้นมีแต่ต้นเหตุที่แท้จริงที่ทำให้นั้นเก้าอี้ล้ม คนหนึ่งกำลังคร่อมอีกคนซุกหน้าลงที่ซอกคอ ของคนข้างล่าง คนที่ถูกคร่อมอยู่แสดงออกชัดเจนว่าไม่สมยอม



พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!



คนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ กระชาก! คนที่อยู่ด้านบนออกทันที แล้วปล่อยหมัดใส่ไม่ยั้ง จนคนถูกชกล้มลงไป ปกติตาทั้งสองข้างนั้นจะส่งสายตาให้ผู้คนด้วยความอบอุ่นตอนนี้ ตาข้างขวาที่บวมถูกปิดด้วยแว่นกรอบสี่เหลี่ยม ปากคอยยิ้มอย่างใจดีให้ผู้อื่นตอนนี้กลับมีเลือดออก

เหี้ยเอ้ย! ใครเอามันมาเป็นอาจารย์วะ

“มึงจำอีกคนได้แล้วใช่ไหม” ไอ้ต้นถามหาอีกคนที่ผมเกือบลืม

ช่วงเวลานั้นผมลืมใครไปอีกคน จนเสียงเปิดประตูยังไม่ทันได้เห็นหน้าทั้งหมด แต่ไฝใต้ตานั่นเจอกันอีกแค่ครั้งเดียวผมก็จำได้

“เออ กูได้ตัวเขามาแล้ว”

คงต้องคุยกันหน่อยแล้ว



TBC.

ออฟไลน์ lillapine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
EP.7 คำให้การ

---- จิณณพัต ----

ห้องนอนสี่เหลี่ยมกว้าง พื้นที่ตรงกลางห้องเป็นที่ตั้งของเตียงขนาดใหญ่ บนเตียงปรากฏสองร่าง แต่หมอนที่มีอยู่สองใบกลับถูกเบียดกันใช้เพียงหนึ่ง เปลือกตาคนตัวเล็กถูกเปิดขึ้น แต่คิ้วเรียวสวยยิ่งขมวดเป็นปมยิ่งกว่าเดิมเมื่อพบว่าสิ่งแรกที่ควรเห็นไม่ใช่เพดานห้องสีขาวอย่างวันอื่นๆ แต่กลับเป็นผู้ชายตัวโต แถมตอนนี้ยังเผชิญหน้ากันในระยะประชิด

“มีโปรเจกต์ทีไรเป็นแบบนี้ทุกที” คนใต้ผ้าห่มบ่นตัวเอง

“นอนหลับลึกแบบนี้ทุกครั้งเลยหรอ”

“เอ่อ เอ่อ ขอโทษนะที่รบกวน” สำหรับทุกๆ เรื่องเลย ตั้งแต่เราเจอกันผมต้องรบกวนเขาอยู่เรื่อย

“ไม่เป็นไร” อีกแล้ว ยิ่งเขาพูดแบบนี้ผมยิ่งรู้สึกไม่ดี

“ขอบคุณนะที่ให้ยืมที่นอน น่าจะปลุกผม”

“ปลุกแล้ว แต่เทียน” นั่นสิ ผมน่าจะรู้ตัวเอง ว่าสลบเหมือดแค่ไหนหลังทำงานเสร็จ

“ยังไงก็ขอโทษอีกทีแล้วกัน”

“ไม่ต้องขอโทษหรอก จริงๆ มีเรื่องที่เราต้องคุยกันสักที” เรื่องอะไร หรือว่าเขาจะรู้แล้วหรอ

“ได้สิ แต่ขอไปอาบน้ำก่อนนะ” รอไปก่อนนะ

หนึ่งอาทิตย์เต็มๆ ที่ผมไม่ได้เจอตงฉิน แต่วันนี้ยังไงก็คงได้เจอกัน ผมเดินเข้าไปในห้องเรียนที่เต็มไปด้วยปีหนึ่ง ทันทีที่ผมก้าวขาเข้าไปแล้วเสียงเงียบลง ผมรู้ทันทีว่าหัวข้อที่พวกเขาสนทนากันเป็นเรื่องของผม

ฉาวขนาดนั้นใครๆ ก็คงอยากจะพูดถึง

ผมพยายามชินกับมัน และที่สำคัญไม่มีเวลาให้คร่ำครวญมากไม่ว่ายังไงชีวิตต้องดำเนินต่อไป

แสงสว่างที่หน้าจอโทรศัพท์ปรากฏขึ้นพร้อมกับข้อความแจ้งเตือน

P’ Jen : เทียน เป็นไงบ้าง ช่วงนี้ไม่ได้เจอกันเลย พี่ยุ่งมากๆ เย็นนี้กินข้าวกันหน่อยไหม

นั่นสิ นานแล้วเหมือนกันนะ

เทียน: ได้ครับ

“เอาล่ะ ถึงแล้วเด็กน้อย” ทันทีที่เครื่องยนต์จอดเทียบหน้าคอนโด พี่เจนก็เอ่ยเสียงใส

“ช่วงนี้พี่เจนยังไม่ต้องมาเจอผมอีกนะ ผมเข้าใจ” ผมไม่อยากให้เรื่องของผมมันไปกระทบกับน้องคนอื่นๆ ในสังกัด แค่นี้พี่เจนก็ลำบากเพราะผมจะแย่

“เทียนพูดแบบนี้พี่รู้สึกไม่ดีนะ”

“ผมอยู่แบบนี้เป็นปกติอยู่แล้ว ก่อนเจอพี่เจน ก่อนเกิดเรื่องผมก็เป็นแบบนี้ ผมชอบอยู่เงียบๆ พี่ก็รู้ พี่ไม่ต้องห่วง”

“มีแต่เทียนนี่แหละที่ว่าง่าย ขอบใจนะ”

“ผมนี่สิต้องขอบคุณพี่ ถ้าไม่มีพี่”

แปะ! พี่เจนตีที่แขนผม

“ไม่เอา ไม่พูดแล้ว มากอดลาหน่อยเด็กน้อย” ขอบคุณพันครั้งก็ไม่พอ ที่นอนทุกวันนี้ก็ของพี่เจน ไหนจะเรื่องอื่นที่พี่เจนเป็นธุระให้ผมอีก

โห ห้องรกขนาดนี้อีกแล้ว ผมก็อยากเก็บ แต่พอเก็บเดี๋ยวเดียวก็รกอีก งั้นเอาไว้ก่อนนะ ขออาบน้ำก่อน

นั่นไงละ!

ตงฉิน

เขาไม่ธรรมดาหรอก ผมตามเขาไม่ทันเลย ผมว่าแล้วทำไมวันนี้เขาไม่ขอคุยเรื่องที่ค้างไว้ ตอนแรกคิดว่าเรื่องนั้นคงไม่สำคัญอะไร

แต่ไม่เลย เขารู้ว่าผมต้องไปหาเขา

ผมที่อยู่ในชุดนอนแล้วได้รวบรวมความกล้าทั้งหมดมาอยู่หน้าห้องเขาแล้ว มือข้างหนึ่งผมกดกริ่ง ส่วนมืออีกข้างกำโทรศัพท์แน่นทั้งที่หน้าจอยังค้างอยู่หน้าเดิมหลังจากมีการเชิญผมเข้ากลุ่ม สื่อสาร และข้อความสุดท้ายจากหัวหน้ากลุ่ม

ตงฉิน: คนที่ทำงานคู่กันใช้กระดาษแผ่นเดียวกันนะ ส่งพรุ่งนี้นะ

ให้ทายว่าผมทำงานคู่กับใคร เขานั่นแหละ

เขาเหมือนรอการมาของผมเพียงแค่ผมกดกริ่งครั้งเดียวประตูห้องก็เปิดออก พร้อมกับผู้ชายตัวสูงเกินมาตรฐานชายไทย ตาชั้นเดียวอย่างเป็นเอกลักษณ์ทั้งสองข้างถูกใช้มองผมทั้งหมด

“เข้ามาสิ” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเข้าห้องเขาสักหน่อย แต่ครั้งนี้มันแปลกไป ผมเดินตรงไปที่โซฟาและทันทีที่นั่งลง

กระดาษแผ่นหนึ่งถูกดึงออกมาจากแฟ้ม และวางลงตรงหน้าผม

“รีบทำเถอะจะได้ไปทำอย่างอื่นที่ทำค้างไว้”

ใช้เวลาไม่นานเราก็ทำงานเสร็จ ระหว่างทำเขาไม่ได้เอ่ยเกี่ยวกับ เรื่องอาทิตย์ที่แล้ว ผมคงคิดไปเอง

“มีอะไรหรือเปล่า”

“ทำเรื่องที่ค้างไว้ไง อยากเข้าห้องน้ำก่อนไหมเพราะต้องคุยกันนานเหมือนกัน” น้ำเสียงใจดีของเขามันไม่สัมพันธ์กันกับการที่เขาเท้าเเขนสองบนพนักพิงโซฟาเหมือนขังผมไว้

“…” ผมพยักหน้า ยังไงก็ขอออกไปจากวงแขนนี้ก่อนแล้วกัน

“เทียน! ห้องน้ำทางนี้” เขาชี้ไปทางห้องนอนที่ผมก็เคยเข้าไปแล้ว

ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเข้าห้องน้ำนานแค่ไหนแล้ว เอาเลย เป็นไงเป็นกัน จบวันนี้แหละ

อุ๊ย! เขามายืนอะไรหน้าประตูห้อง

เขาไม่ได้พูดอะไร ผมว่าระหว่างเรามันเริ่มอึดอัดขึ้นมานิดหน่อย เขาย่างก้าวเข้ามาทางผม ทุกก้าวที่เขาเดินมาทางผมคือทุกก้าวที่ผมถอยหลัง และผมไม่รู้ว่าเขาจะหยุดเดินเข้ามาเมื่อไหร่

เฮ้ย!

ชั่ววินาทีผมรู้สึกเหมือนตกเหว และก้นเหวนี้ไม่ใช่ก้อนหินแข็ง หรือ แอ่งน้ำร้อน แต่เป็นเตียง

“นั่งคุยดีกว่าไหม” ผมพยายามทำให้เสียงนิ่งที่สุด

“ไม่ แบบนี้แหละ เพราะคนแถวนี้จะแอบหนีไปอีก “แบบนี้ที่ว่าคือ แบบที่คนตัวเล็กกว่าถูกต้อนให้นอนลงบนเตียงนุ่ม โดยคนตัวโตที่ตอนนี้พันธนาการข้อมือคนข้างล่างด้วยมือตัวเอง

“ว่าแต่คุยท่านี้จะสะดวกหรอ”

“จะนั่งคุยก็ได้ แต่ถ้าเทียนยังคิดหาทางหนีอีก เราจะได้คุยกันด้วยท่าที่เเอดวานซ์กว่าท่านี้แน่ ผมพูดจริงนะ”

“งั้นคุยกันเลย” ผมโพล่งออกไปทันที

“จำหนึ่งปีก่อนได้ใช่ไหม “นี่ไม่ใช่เรื่องที่ผมคิดไว้ แต่เรื่องนี้ผมเป็นต้นเหตุให้เขาลำบากชัดๆ

“จำได้ “ทั้งที่อยากลืม



1 ปีก่อน

ห้องเรียนที่เหลือแค่ผมกับอาจารย์ประจำวิชา นักศึกษาต่างรีบกลับบ้านเพราะเรามีหยุดยาวก่อนเริ่มสอบปลายภาค

“เทียน คะแนนเธอน้อยมากนะ”

“ครับ อาจารย์ ผมจะพยายามให้มากกว่านี้” ก็วิชานี้เป็นวิชาที่ผมไม่ถนัดสุดๆ

“ดีมากคนเราต้องมีความพยายาม แต่กรณีเธอ อันนี้อาจารย์ขอพูดตรงๆ นะ มันก็ค่อนข้างจะเป็นไปได้ยากที่จะผ่าน แต่ถ้าเธอมีตัวช่วยเธอก็จะผ่านได้ฉลุยเลย”

“ต้องทำยังไงครับ”

“เธอเป็นคนหน้าตาดีนะเทียน” ผมว่าบทสนทนามันเริ่มแปลกๆ

“ยังไงนะครับ”

“อย่าทำเป็นไม่รู้เลย อะไรแบบนี้ใครๆ ก็รู้ แลกมาแลกไปนะ”

“อาจารย์ครับพูดมาตรงๆ เถอะครับ” ตอนนี้ผมไม่อยากคิดไปเองแล้ว

“ร่างกายนะเดี๋ยวก็เน่าเปื่อย เอามาใช้ประโยชน์หน่อยไหม มาทำงานกับอาจารย์ เธอจะได้ทั้งเกรดดีๆ ถ้าเธอทำตัวดีๆ เธอจะได้เงินเยอะเลยนะ แล้วเธอจะสบายไปทั้งชีวิต”

คำพูดของเขาทำให้ผมหมดศรัทธา เขาเคยเป็นอาจารย์ที่ผมคิดว่าเข้าใจนักศึกษาที่สุด ภายนอกเขาใจดี เขาอบอุ่นกับนักศึกษา แต่ภายในนั้นเน่าเฟะจนผมไม่อยากมอง

“ไม่ครับผมไม่ชอบใช้ทางลัดแบบนั้น”

“คิดดูดีดีนะเทียน ใครๆ เขาก็ทำกัน มันไม่แปลกสักหน่อย” เขาร่ายชื่อนักศึกษาหลายคนให้ผมฟัง บางคนผมคาดไม่ถึงบางคนเป็นมีชื่อเสียงในมหาลัยด้วยซ้ำ ยิ่งเขาพูดด้วยความภูมิใจ

ผมยิ่งพะอืดพะอมเหมือนจะอ้วก

“ผมถามจริงๆ เถอะคุณยังมีความเป็นอาจารย์ ไม่สิคุณยังมีความเป็นคนอยู่ไหม ไปก่อนนะครับ”

“มึง! อย่ามาลามปามนะ คิดว่ากูไม่กล้าทำอะไรมึงหรอ” เขาถลาเข้ามาจับเเขนผมไว้

“ทำแบบนี้พี่เจนรู้ไหมครับ ปล่อยครับ”

เป็นคนที่น่ากลัวจริงๆ ความเป็นคนยังไม่มี

คนสองคนสู้กันอยู่พักหนึ่งแต่คนตัวเล็กกว่าแรงน้อยกว่า ถึงได้เซไปชนโต๊ะ จนล้มลงอย่างแรงทั้งคนทั้งโต๊ะ ในสถานการณ์ที่ตกเป็นรอง นาทีนั้นคนตัวเล็กหวังว่าจะมีใครสักคนบังเอิญผ่านเข้าที่ตึกนี้ แม้ว่านี่จะเป็นเวลาเลิกเรียนแล้วก็ตาม ใครสักคน คงเป็นตอนนั้น

“แล้วนายก็เข้ามาพอดี”

“หลังจากนั้นเทียนได้บอกเรื่องนี้กับใครไหม”

“พี่เจน เป็นพี่ที่สนิท พี่เจนเป็นคนเข้าไปจัดการเรื่องให้” ตอนนั้นพี่เจนบอกว่าให้ผมกลับไปเรียน เรื่องนี้พี่เขาจะจัดการให้เอง

เขาเงียบรอผมพูดต่อ

“แต่รู้ไหม เขามาขู่พี่เจนว่าถ้าแจ้งเรื่องนี้กับตำรวจ เขาจะทำให้ผมและเด็กในสังกัดพี่เจนทุกคนไม่มีที่ยืนในวงการอีก พี่เจนไม่เชื่อ ถึงได้ไปแจ้งเรื่องนี้กับตำรวจ”

“ทำไมเรื่องถึงเงียบไป”

“ตำรวจบอกว่าหลักฐานไม่เพียงพอจะเอาผิด”

“เพราะหลักฐานที่ว่ามันเป็นหลานเจ้าของ

มหาวิทยาลัยใหญ่กว่าสินะ บัดซบ” เจ้าของห้องสูดหายใจเข้าเพื่อระงับอารมณ์โกรธ

“ส่วนผมต้องลงเรียนซ้ำ นายก็ด้วย”

“เรียกตงฉิน หรือ ฉิน ก็ได้ เราเป็นเพื่อนกันแล้วไม่ใช่หรอ”

“ห้ะ อ่อ อืม” เขาอยากเป็นเพื่อนกับคนแบบผมหรอ

“จำเอาไว้นะ อย่ารู้สึกผิดกับเรื่องนี้อีกนะ เพราะ เราไม่เคยรู้สึกคิดผิดเลยตั้งแต่ผลักประตูเข้าไป”

ยังเหลือคนแบบนี้อยู่บนโลกด้วยสินะ

“อยากรู้เรื่องนี้เฉยๆ หรือว่ามีอะไรหรือเปล่า”

“บอกแล้วอย่าตกใจนะ”

เขาหยิบซองสีน้ำตาลออกมาให้ผม ข้างในเต็มไปด้วยรูปภาพ รถสองคัน คันหนึ่งเป็นของตงฉิน อีกคันเป็นของใครกัน หรือว่าเป็นของอาจารย์คนนั้น แต่จากภาพเขาสะกดรอยตามตงฉิน

“ตงฉิน นี่เรื่องใหญ่มากนะ”

“บอกแล้วว่าอย่าตกใจ”

“ทำไม”

“เราก็ยังไม่รู้ทั้งหมดว่าเขาตามเราทำไม แต่ที่มั่นใจเรื่องนี้เราสองคนเกี่ยวแน่”

“ฉินได้บอกเรื่องนี้กับใครไหม แล้วไปเอาภาพพวกนี้มาจากไหน” เขามันพวกชอบหาเรื่องใส่ตัวเองแน่ๆ

“เป็นคนที่ไว้ใจได้”

“ถึงอย่างนั้น แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เด็กแบบเราจะจัดการได้”

“มันก็คงคิดแบบนั้น เเต่เราต้องทำให้มันคิดผิด”

“นี่ไม่ใช่เล่นตำรวจจับโจรนะ “เขานี่มันน่าตีจริงๆ

“เทียนอยากเล่นตำรวจจับโจรไหมละ ยังไม่ต้องตอบตอนนี้ เอาไปคิดก่อนก็ได้”

 ผมพูดไม่ออกเลย

“คืนนี้นอนที่นี่เป็นเพื่อนหน่อยได้ไหม”

เขาว่าอะไรนะ

“ได้ไหมครับ”

“ได้สิ” คืนนี้ผมก็ไม่อยากนอนคนเดียว



TBC.

ออฟไลน์ lillapine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
EP.8 คนข้างๆ

“วันนี้เลิกกี่โมง”

“สี่โมงเย็น”

“เดี๋ยวไปรับหน้าคณะ”

“ฉินกลับก่อนเลย วันนี้เดี๋ยวกลับเองต้องไปดูน้องซ้อมหลีด”

“อ่อ โอเค”

เพราะรถเทียนยังซ่อมไม่เสร็จ การกลับด้วยกันจึงเป็นเรื่องปกติไปแล้วสำหรับผม

และ ถ้าวันนี้ผมต้องกลับคนเดียวมันคงเป็นเรื่องแปลก

“เออ ไอ้หนึ่งเดี๋ยววันนี้กูไปดูน้องกับมึง”

“จริงหรอ ไหนตอนแรกมึงบอกไม่ไป”

“กูไม่ไปก็ได้นะ”

“เพื่อนครับ กูพูดเล่น”



หลังอาคารกีฬา มีลานโล่งกว้าง ที่นี่จึงเหมาะกับการยืดแขนขา ส่งเสียงร้องพร้อมกันของคนจำนวนสิบกว่าคนโดยไม่รบกวนผู้อื่น ตอนนี้คนเหล่านั้นกำลังทำอย่างที่ผมเคยทำเมื่อปีที่แล้ว ผมรู้ซึ้งเลยล่ะ ถึงความสาหัส ผมเกือบตายหลายรอบกว่าจะจบงาน

“น้องตงฉินสุดหล่อของเจ๊ก็มาด้วย”

“สวัสดีครับพี่พลอย” ผมทักทายพี่พลอยผู้เป็นพี่ดูแลกิจกรรมนี้ อีกทั้งยังเป็นพี่รหัสผม

“สวัสดีเจ๊” ไอ้หนึ่งไหว้แบบขอไปที ก่อนจะเดินเข้าไปร่วมวงสนทนากับคนอื่นที่มันไม่รู้จัก แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับคนอย่างไอ้หนึ่งหรอกครับ

“เด็กๆ นี่พี่ตงฉินนะ พี่หลีดปีที่แล้ว พี่เขามาช่วยดูวันนี้ ตั้งใจกันหน่อยนะ”

“สวัสดีค่ะ/ครับ”

เสียงทักทายไม่ได้เข้าหูคนมาใหม่สักนิดเพราะเจ้าตัวมัวแต่มองหาคนที่บอกว่าวันนี้จะมาดู “น้อง”

“ฉิน”

“ตงฉิน”

“อ่อ ครับ”

“อะไรเนี่ย มัวแต่ใจลอยไปหาใคร”

“วันนี้มีพี่ๆ มาดูน้องแค่นี้หรอครับ”

“ใช่ มีแค่นี้แหละ อ๋อ แล้วก็มี”

“พี่พลอยครับ นี่โลชันกันยุงครับ”

ยังไม่ทันที่พี่พลอยจะพูดจบพี่อีกคนที่มาดูน้องก็มาพอดี

“แล้วก็เทียน”

“มีอะไรหรือเปล่าครับ” คนถูกพูดถึงยังไม่รู้ตัว

“พี่รบกวนเทียนแจกให้น้องๆ ด้วยได้ไหม”

“...” คนที่ถูกขอร้องพยักหน้าหนึ่งที แล้วเดินเเจกจ่ายให้น้องๆ รวมทั้งพี่ๆ ผู้มาดูแลโดยทั่วกัน จนทุกคนใช้มันหมดแล้ว ผมก็ยังไม่เห็นคนที่อาสาไปซื้อใช้มันกับตัวเอง

“พี่พลอยครับถ้าไม่มีอะไรแล้ว ขอตัวนะครับ”

“ไปเถอะๆ ”

ผมเดินตรงไปยังด้านหลังของแถวเพื่อไปหาอีกคน

“ขอบ้างดิ”

“ว่าไงนะ”

“ขอโลชันกันยุงบ้างดิ ยังไม่ได้เลย เมื่อกี้เทียนไม่ได้ให้เรา”

“หมดแล้ว ฉินจะเอาไหมเดี๋ยวไปซื้อให้ใกล้ๆ เอง”

“เทียนก็ยังไม่ได้ใช่ไหม ถ้างั้นก็ไปซื้อพร้อมกันนี่แหละ”

“พี่คะ พี่คนที่แจกโลชันกันยุงเมื่อกี้ ยังมีคนไม่ได้นะคะ” เสียงห้วนๆ ที่มาจากน้องคนหนึ่งในแถวตะโกนมาทางผม

“ครับ เดี๋ยวพี่ไปซื้อเพิ่ม”

“งั้นก็ไปกันเถอะ” ผมจับแขนเทียนแล้วดึงเขาให้ตามมา

“เอาล่ะ เด็กๆ ทุกคนวันนี้พอแค่นี้ แต่ก่อนแยกย้ายกลับ มีพี่อยากคุยด้วยหน่อย”

“พี่ขอให้ทุกคนตั้งใจฟังพี่นะ วันนี้ทุกคนทำดีมากพี่ขอชื่นชม และทุกคนคงเหนื่อยกับการซ้อมอย่างยาวนานพี่เข้าใจ” ผมว่าจะมองข้ามไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะก่อนไปร้านสะดวกซื้อ ขณะที่เดินผ่านแล้วเสียงบางอย่างดันลอดเข้าหูผม

“ก่อนไปซื้อไม่คิดหรือไงถึงได้มาไม่ครบ ยุงกัดจนจะตายอยู่แล้ว”

“แต่! การที่น้องใช้น้ำเสียงไม่พอใจ! พูดกับพี่ที่เขาตั้งใจมาดูแลน้อง พี่ไม่เข้าใจ”

“…” ไม่รู้ว่าเสียงผมเริ่มเข้มขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่

“คำขอบคุณสักคำพี่ก็ไม่ได้ยิน! น้องคิดว่าพี่เขาเป็นคนรับใช้หรอครับ”

“…”

“พี่เขาไม่ได้เป็นคนรับใช้ของน้องนะครับ!”

“…” ผมหวังว่าเสียงผมจะดังมากพอ

“พี่ขอเตือนด้วยความหวังดี อย่าทำแบบนี้อีก มันไม่น่ารักเลยครับ” ผมต้องจบแค่นี้เพราะว่ามีคนส่งสายตาขอร้องมาจากอีกฝั่ง

หลังจากทุกคนแยกย้ายกันกลับ ผมกับเทียนก็เดินไปที่โรงรถ แต่แล้วก่อนเราจะได้กลับกันสักที

“ดูก็รู้ว่าหมายถึงกู แต่ที่กูพูดก็เรื่องจริงทั้งนั้น” แค่เห็นหน้าผมก็อ๋อแล้ว ก็เพิ่งบอกไปว่าอย่าทำแบบนี้อีก เสียงคุยโทรศัพท์ดังขึ้นๆ ตามระดับอารมณ์ มือข้างหนึ่งก็ควานหากุญแจรถ

“…”

“ก็โง่เองสมควร” ปากก็เอาแต่พ่นคำพูดแย่ๆ

“…”

“เป็นแค่ดาราปลายแถว ยังไม่ได้เป็นดาราด้วยซ้ำ” คนข้างๆ ผมชะงักและหยุดเดินไป

“เทียน” ผมกระตุกแขนเขา แต่ก็ไม่เป็นผล ผมจึงยกมือปิดหูเขาไว้ อย่างน้อยก็ช่วยให้เขาได้ยินมันเบาลง

“…”

“ตอนนั้นคงหวังดังทางลัดเลยเอาตัวเข้าแลก เป็นไงละ ดัง ฉาว สมใจ” หรือไม่ได้ยินเลยยิ่งดี คำพูดไม่จริงพวกนั้นนะ

“…”

“พี่คนนั้นก็หล่อดีอยู่หรอก แต่คงมีอะไรๆ กันไปแล้ว ไม่งั้นไม่ออกตัวแทนกันขนาดนี้หรอก”

บางทีการศึกษาก็ไม่ได้ยกระดับความคิดให้ทุกคน

“…”

เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นและรถเริ่มเคลื่อนที่ จนกระทั่งในโรงรถเหลือเพียงความเงียบ และคนสองคนที่ยังยืนอยู่ที่เดิม จนคนตัวโตจัดการจับคนตัวเล็กเข้านั่งในรถ

“กลับบ้านกันเถอะ”



เสียงเตือนเมื่อมีคนกดกริ่ง ทำให้ประตูห้องตรงข้ามเปิดออก

“ขอนอนด้วยหน่อย ที่ห้องไฟดับ” คิดว่าผมโกหกใช่ไหม ใช่ ผมโกหก

“…” คนที่ยอมเปิดประตูให้คนที่บอกว่าไฟดับ คงมีแต่คนที่ใจไม่ได้อยู่กับตัว เหมือนกับเจ้าของห้องนี้แหละ

เวลาล่วงเข้าค่อนคืนแล้ว แต่คนข้างๆ ผมยังขยับตัวพลิกไปมา

“นอนไม่หลับหรอ”

“…” เราเล่นเกมจ้องตากันอยู่นาน

“…”

“ฉิน มีคนบอกผมว่า ไม่ต้องอธิบายทุกเรื่อง ให้ทุกคนฟัง เพราะบางคนเขาก็เลือกที่จะเชื่อในสิ่งที่เขาอยากเชื่อเท่านั้น และ ผมยืนอยู่ตรงนั้นเพื่อยืนยันว่าผมไม่ได้ทำอะไรผิด และผมจะไม่รู้สึกกับคำพูดพวกนั้น”

“…”


“แต่บางทีถึงคำพูดพวกนั้นมันจะไม่จริง มันก็ยังทำให้คนฟังเจ็บ”


“…” ก่อนหน้านี้ความรู้สึกพวกนี้เขาได้ระบายมันให้ใครฟังรึเปล่า หรือเก็บมันไว้คนเดียว

“ผมพยายามชินกับมัน ผมนึกว่าผมด้านชากับเรื่องนี้ไปแล้วด้วยซ้ำ”

“…” ผมอยากกอดเขา กอดทุกความอดทนของเขา กอดทุกความพยายามของเขา กอดทุกความบอบช้ำที่คนอื่นยัดเยียดมันให้เขา ความบอบช้ำที่เขาไม่สมควรได้รับมันสักนิดเดียว

“ผมพูดอะไรไปเรื่อยเปื่อย อย่าถือสานะ”

“มานี่มา” ผมอ้าแขนให้เขาเข้ามา

“…”

“ตอนเด็กๆ เวลาฉินมีเรื่องไม่สบายใจ แม่กับฉินก็จะนอนกอดกัน แล้วก็คุยกัน”

“…” เขาค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามา

“แม่บอกว่าการที่เรากอดกันจะช่วยให้แผลในใจหายเร็วขึ้น”

“…” ผมถือวิสาสะลูบหัวเขาเบาๆ

“แล้วก็ถ้าเรื่องไปดูน้องซ้อมนะ ถ้าอึดอัดใจ ไม่ต้องไปแล้วนะ”

“…” พยักหน้าเป็นอันว่าตกลง

“ถ้าใครมีปัญหา เดี๋ยวฉินคุยให้”

“นายทำแบบนี้ เพราะสงสารใช่ไหม” นั่นไง ลูกเจี๊ยบตกใจจนได้

“...”

“ผมไม่ได้น่าสงสาร และผมก็ไม่อยากให้ใครมาสงสาร”

“ชู่ว ฟังก่อนนะ ไม่ใช่ ไม่ใช่เพราะสงสาร”

ไม่ใช่เพราะสงสาร แต่ผมก็ยังไม่แน่ใจ



TBC.

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ lillapine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
EP.9 คำถาม

เสียงโทรศัพท์ กลายเป็นเสียงปลุกในยามเช้าวันหยุด

“สวัสดีครับ”

“ครับ รบกวนรีบมาเปิดประตูให้กูหน่อยครับ”

“เออๆ แป๊ปนึง”

ขายาวก้าวลงจากเตียงโดยไม่ทันสังเกต ถึงความผิดปกติของการจัดวางของในห้อง หรือ แม้กระทั่งบนเตียง ฝั่งที่ตนเองนอนทั้งๆ ที่เวลาปกตินอนฝั่งติดหน้าต่าง ตอนนี้คนที่นอนฝั่งหน้าต่างดันเป็นใครอีกคนที่ยังมุดอยู่ในผ้าห่มและไม่มีท่าทีว่าจะตื่น ไม่มีอะไรสะกิดใจเขาสักนิดจนกระทั่งเปิดประตู

“นั่นห้องเทียนไม่ใช่หรอ” เสียงไอ้คนที่โทรมาแต่เช้า ช่วยดึงสติ คนที่ไม่ได้นอนห้องตัวเองให้กลับเข้าที่

“…” เออวะ นี่มันห้องเทียน

“มึงไปทำอะไรห้องเทียนแต่เช้า”

“…” คนที่เพิ่งออกจากห้องคนอื่น ตรงไปเปิดประตูห้องตัวเองก่อนจะถูกซักจนสะอาดหน้าห้องคนอื่น

“ห้องเทียน กับ 6 โมง เช้าขนาดนี้เนี่ยนะ”

“เออ แล้วเช้าขนาดนี้ พวกมึงมาทำอะไร” พวก เป็นการเน้นย้ำว่าคนที่มามีมากกว่าหนึ่งคน

“ก็พวกกูจะมาชวนมึงไปทาเล๊”

“ทะเล? ”

“ลุงกูมีงานเลี้ยง กูไม่อยากไปคนเดียว จะไม่ไปก็รู้สึกเป็นหลานทรพี” ไอ้คนที่มาด้วยอีกคนยอมพูดสักที

“เห็นไหม กูบอกแล้วไม่ต้องมาชวนมัน เราไปสองคนก็ได้”

“เออ ไม่ ..” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบประโยค ก็มีแขกมากรดกริ่ง วันนี้ผมแขกเยอะจริง

“อ้าว สวัสดีตอนเช้านะเทียน” และใช่ครับคนเปิดประตูไม่ใช่ผม

“สวัสดีครับ หนึ่ง”

“ขอโทษนะที่เสียงดังแต่เช้า มีอะไรรึเปล่า” ผมชิงพูดก่อนไอ้หนึ่งมันจะนอกเรื่องกับเทียน

“อ๋อ เอาโทรศัพท์มาให้” คนที่ยังอยู่ในชุดนอนครบถ้วนยื่นเครื่องมือสื่อสารนั่นให้ผม

“ไม่เจอกันตั้งนาน ไม่ทักกันบ้างเลยนะเทียน”

“อ่อ สวัสดีต้น เอ่อ สบายดีไหม” ผมไม่เห็นรู้ว่าสองคนนี้รู้จักกันเลย

“ฮ่าๆๆ ยังเหมือนเดิมเลย” ไอ้เหี้ยต้นหัวเราะทำไมนักหนา

ป๊าบ!! หนึ่งทุบหลังเพื่อนไปหนึ่งที มึงสมควรโดนสักทีไอ้ต้น

“อย่าแกล้งเทียน” กูเห็นด้วยกับมึงเลยหนึ่ง

“สบายดี แต่คิดถึงเทียนนิดหน่อย”

“ต้นก็ยังเหมือนเดิมเลย” ผมไม่ยักรู้ว่าสองคนนี้รู้จักกัน

“พอดีเลยเรากำลังจะไปทะเล ไปด้วยกันไหมขาดสมาชิกอีกหนึ่งคน”

“ไม่รบกวนหรอก”

“ไปด้วยกันสิ” ไอ้หนึ่งเสริมเสียง

“ไปด้วยกันนะเทียน” ผมแค่อยากให้เทียนไปด้วยกัน ไปรับลมหน่อยสมองของคนคิดมากจะได้หยุดพักบ้างสักนิด

“เอางั้นก็ได้” ในที่สุด

“ไอ้ฉิน ไหนมึงบอกไม่ไป” ไอ้หนึ่งมึงนี่

“โอเค เป็นอันว่าตกลงนะเทียน อีกสามสิบนาทีเจอกัน” ผมเดินไปส่งคนที่ยังอยู่ในชุดนอน



เวลาเหยียบสามทุ่มพวกเราก็เดินทางมาถึงที่พักด้วยความเหนื่อยล้า

ตัวบ้านชั้นเดียวถูกยกให้สูงขึ้นถูกตกแต่งอย่างเรียบง่ายทว่าก็ดูกลมกลืนกับท้องทะเลที่เกยขอบหาดทรายที่ติดลานหน้าที่พัก ในตัวบ้านมีห้องรับแขกที่ถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบและสะอาดอย่างตั้งใจ ห้องพักสามห้อง กับสมาชิกทั้งหมดสี่คน

“เทียนหนึ่งห้อง ส่วนไอ้ฉินไม่นอนร่วมกับคนอื่นเป็นสันดานเอาไปอีกห้อง”

“อ่อ” เทียนเหลือบมองผม

“ส่วนมึงกับต้นนอนห้องเดียวกัน ตกลงแล้วก็แยกย้ายกัน” ผมปิดบทสนทนา ก่อนบางคนจะเผยไต๋จนหมด

ในขณะที่ทุกคนแยกย้ายกันตามคำบอก ไม่นาน คนบอก ก็มายืนอยู่หน้าห้องคนอื่นซะงั้น

“ว่าไงฉิน”

“ทำอะไรอยู่”

“ไม่ได้ทำอะไร เข้ามาสิ” เตียงนอนเดี่ยวที่วางอยู่กลางห้องนั่นเป็นนิยามของคำว่าห้องนอนได้เป็นอย่างดี

“…” ไม่มีโซฟา หรือเก้าอี้สักตัว

“นั่งบนเตียงได้เลย” ขณะที่คนพูดนั่งบนพื้น ค่อยๆ เก็บเสื้อผ้าเข้าตู้ขนาดพอดีห้อง

“ไปเดินเล่นกันไหม”

“ตอนนี้หรอ”

“ไม่หรอก พรุ่งนี้เช้า”

“อือ”

ถึงแม้ว่าเขาจะตอบคำถามผมแล้วแต่ผมก็ยังไม่อยากจะลุกไปไหน อาจจะเพราะการมองเทียนจากมุมนี้ เส้นผมที่เริ่มยาวระต้นคอขาว และกรอบหน้าที่พระเจ้าจงใจสร้างอย่างประณีต ดวงตาจดจ้องไปยังชิ้นผ้า ประสานกับมือขาวที่จัดวางอย่างอ่อนโยน

คนมองมองอย่างไม่รู้เบื่อ จากอิริยาบถนั่ง เปลี่ยนไปเป็นเอนหลัง จนกระทั่งเปลี่ยนเป็นนอน แต่สายตาก็ไม่ยอมละไปจาก คนเดิม ไม่ว่าจะตอนที่คนตัวเล็กยังจัดผ้า ขอตัวไปอาบน้ำ หรือ ตอนนี้ที่ยืนเก้ๆ กังๆ เหมือนไม่ใช่ห้องตัวเอง

“เทียน”

“อือ”

“มานอนนี่”

“…” คนตัวเล็กเคลื่อนตัวมาบนเตียงอย่างว่าง่าย

เตียงเดี่ยวที่เล็กเกินไปสำหรับผู้ชายสองคนกลายเป็นข้อดี คนตัวโตกว่าแอบเร่งเครื่องปรับอากาศ แล้วสอดแขนรองคอคนตัวเล็ก พร้อมดึงร่างให้เข้ามาชิดกัน

“ห้องมันหนาว”

“ลดแอร์สิ” ต่อปากต่อคำนะเดี๋ยวนี้

“ลดไม่ได้ รีโมทหาย”

“คนโกหก”

“อะไรนะ”

“ฉินชอบผมหรอ”

“…” รอบนี้เสียงดังฟังชัดเลย

“ถ้าไม่ได้ชอบก็อย่ามาทำให้หวั่นไหว ฉินเป็นเพื่อนที่ดี ผมไม่อยากเสียเพื่อนนะ” ปากแดงๆ นี่เริ่มจะพูดจาไม่น่าฟังแล้ว

คนที่ยังไม่ยอมพูดอะไรก็ยังเงียบอยู่อย่างนั้น แต่ริมฝีปากกลับเคลื่อนไปทาบปิดริมฝีปากของคนที่

พูดไม่หยุด ก่อนจะขยับริมปากเบาๆ ดูดดึงริมฝีปากล่างจนพอใจ จึงย้ายไปริมฝีปากส่วนบนของคนตัวเล็กที่ถูกพลิกให้มาอยู่ใต้ร่างอย่างสมบูรณ์ สลับไปมาจน

“อื้อ” คนตัวเล็กร้องครางออกมาอย่างไม่รู้ตัว

คนตัวโตจึงค่อยๆ ไล่เลียริมฝีปากบนลงมาล่างอย่างอ้อยอิ่ง ก่อนถอดริมฝีปากออกจนมีเสียง

จุ๊บ!

เบาๆ ตามมาให้คนตัวเล็กหน้าแดง หูแดงไปกว่าเดิม อีกทั้งยังปรับการหายใจให้เป็นปกติไม่ได้ จนคนก่อเรื่องขึ้นต้องลูบหลังให้ สักพักทุกอย่างจึงเข้าสู่ภาวะเกือบปกติ

“ชอบครับ ผมชอบเทียนนะ”

“…” กลายเป็นว่าลูกเจี๊ยบหน้าแดงกว่าเดิม

“เพื่อนกันเขาไม่จูบกันนะครับ”

“...” กลายเป็นว่าไม่มองหน้าผมแล้วครับ

“อีกอย่างเสียเพื่อนแต่ได้แฟน ผมว่าคุ้มนะ เอาไหม”

“ขอคิดก่อนนะ จะนอนแล้ว”

“นอนก่อนเลยเดี๋ยวทำธุระก่อน”

หลังจบประโยคคนตัวโตก็เริ่ม ทำธุระที่ว่า รอยคราบน้ำใสๆ ที่มุมปากคนตัวเล็กถูกริมฝีปากของคนตัวโตซับอย่างแผ่วเบาเรื่อยมาจนกรอบหน้า

ไล่ไปที่ต้นคออ่อนไหวจนคนตัวเล็กส่งเสียงครางอือในลำคอ คนตัวโตจูบซับอยู่ตรงนั้นเนิ่นนานอย่างชอบใจ ก่อนจะตัดใจละริมฝีปากออกมา และเคลื่อนไปที่ใบหูกระซิบคำหวาน

“ฝันดีครับ”

ตอนเช้าไม่มีอยู่จริงหรอกครับ เที่ยงค่อยเป็นเรื่องจริงขึ้นมาหน่อย เราตัดสินใจไปทานอาหารมื้อแรกของวันที่ห้างสรรพสินค้า ใช่แล้วครับ ที่ห้างครับ เพราะเราต้องไปซื้อชุดเพื่อปาร์ตี้ของลุงไอ้ต้นเย็นนี้

เวลางานเริ่มเป็นเวลาที่เราทั้งสี่ถึงงานพอดี ทรายหาดกว้างรายล้อมไปด้วยแสงไฟสีส้มสลัว บ้านริมทะเลหลังใหญ่ถูกจัดไว้เพื่อรับรองแขกอย่างสมเกียรติ

ที่ระเบียงบ้านมีชายวัยกลางคนหน้าตาใจดี ในชุดเสื้อฮาวาย กับกางเกงลำลองสบายๆ มองตรงมาทางพวกเราและโบกมือทักทายทาย

ในบ้านหลังใหญ่มากไปด้วยแขกที่ถูกเชิญ แม้ทุกคนจะอยู่ในชุดที่ดูสบายๆ แต่มูลค่านั้นไม่สบายเท่าไหร่ เราทักทายผู้ใหญ่ตามมารยาทกว่าจะถึงที่คุณอยู่ก็เหนื่อยใช่เล่น

“สวัสดีครับ”

“สวัสดีๆ คนนี้หนึ่ง คนนี้ฉิน แล้วคนนี้ใครเอ่ย”

“อ่อ สวัสดีครับ ผมเทียนครับ เป็นเพื่อนตงฉิน”

“เพื่อนหรือแฟนเอาให้แน่นะเจ้าฉิน”

“ครับ” เอาแน่อยู่แล้ว ผมต่อในใจ

“อย่าไหว้กันบ่อยนักละ ไม่อยากแก่” ลุงพูดติดตลก แต่ก็นั่นแหละแม้จะอยู่ในวัยกลางคนแต่ดูอ่อนกว่าวัยเยอะ

“คุณลุงไม่แก่สักนิด”

“เทียนนี่พูดจาเข้าหู เจอกันวันหลังลุงจะเลี้ยงขนม”

“ฮ่าๆๆ ”

“แบบนี้ผมก็ตกกระป๋องแล้วสิ” ไอ้ต้นทำเป็นน้อยใจ

“มึงตกกระป๋องนานละ” ไอ้หนึ่งแทรก

“ก็เพราะมึงนั่นแหละ ตอนนี้มึงก็ตกกระป๋องแล้ว” กลายเป็นว่าไอ้ต้นกับไอ้หนึ่งเถียงกันไม่หยุด

“หนุ่มๆ นี่ดีนะ ตามสบายเถอะ”

“ครับ” ผมตอบรับก่อนที่ลุงจะแยกตัวไป

งานเลี้ยงใหญ่โตแบบนี้มีขึ้นเพื่อสร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจทั้งนั้นแหละ

ผมก็ไม่ค่อยสันทัดเท่าไหร่นัก ไม่นานพวกเราก็ตัดสินใจหยิบอาหารกับเครื่องดื่มมานั่งที่ริมหาด

“เทียนรู้จักกับต้นได้ยังไงหรอ” ถามได้ดีหนึ่ง

“ก็พรหมลิขิตไง” มึงวอนหรอไอ้ห่าต้น

“จริงๆ ก็รู้จักกันตอนงานประกวดเฟรชชี่ปีหนึ่ง” เสียดายเลยว่ะ ไม่งั้นรู้จักเทียนตั้งนานแล้ว

“แล้วสนิทกับไอ้ฉินได้ไงหรอ”

“ฉินใจดี ชอบช่วยบ่อยๆ เลยสนิทกัน”

“สนิทถึงขั้นได้ไปนอนบนเตียงเดียวกันมันเลยนะ มันยังไงนะ”

“นอนเตียงกับกูมันทำไม”

“ก็กูไม่เคยได้นอนนี่”

“ก็มึงมันสกปรก” ไอ้หนึ่งนี่แกล้งสนุกที่สุดในกลุ่มแล้ว เราคุยกันเรื่อยเปื่อยสักพักก่อนจะไปบอกลาคุณลุง

เจ้าของรถคันหรูเริ่มต้นการออกเดินทางกลับที่พักด้วยความไม่เร่งรีบ ห้องโดยสารเงียบ เพราะความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งวัน

รถคันสีดำคันหนึ่งเหยียบด้วยความเร็วสูงตรงปรี่มา ในเวลาดึก คงไม่แปลกถ้าจะมีการขับด้วยความเร็วสูง

ที่แปลกคือรถคันนั้นตรงปรี่ขึ้นมาด้วยความเร็ว เบียดรถคันหรูจนเป็นรอยถลอก แรงกระแทกปลุกสมาชิกในรถ

“เฮ้ยไรวะ” ไอ้ต้นเป็นคนแรกที่ถามขึ้นมา

“กูว่ามันเล่นแล้ววะ”

“เหยียบมิดเลยมึง” กูเหยียบอยู่แล้วเพื่อน

นี่คงเป็นหนึ่งในข้อดีของรถราคาสูงลิ่ว เพราะไม่นานเราก็ทิ้งช่วงจากรถคันนั้น

ไม่รู้สิ ผมรู้สึกว่ารถคันนั้นตั้งใจเบียดคันผมให้มาฝังนี้ไม่ใช่เพื่อหวังผลร้าย ที่กระจกหลังนั่นผมเห็นรถคันนั้นหยุดกะทันหันจนเป็นเหตุให้เกิดความวุ่นวายขึ้น

นี่มันอะไรกันแน่


TBC.

ออฟไลน์ lillapine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
EP.10 จิ๊กซอว์

“ครับลุง” เวลาเพียงน้อยนิดที่ไอ้ต้นคุยกับลุงผ่านโทรศัพท์ อีกทั้งน้ำเสียงจริงจัง ทำผมกังวลใจมากขึ้น

“ลุงว่าไง”

“คนของลุงกูจับตัวมันไว้ได้ ให้เรารีบไปหาลุงเร็วที่สุด” นั่นเหมือนจะเป็นเรื่องดีๆ

“งั้นให้เทียนกับไอ้หนึ่งกลับก่อน กูรบกวนขอแรงคนของลุงมึงประกบไปด้วย”

“ไม่” เสียงของคนที่ผมคิดว่าหลับอยู่ดังขึ้น

“เทียน”

“ผมว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวกับผม ใช่ไหมครับฉิน” ผมเริ่มไม่อยากให้เขามายุ่งเรื่องนี้แล้วสิ

“…”

“งั้นก็ไปกันทั้งหมดนี้”

ใช้เวลาไม่นานไอ้ต้นก็หอบไอ้หนึ่งที่เมาขี้ตาขึ้นมาบนรถ ก่อนเราจะเริ่มออกเดินทาง...

เส้นทางไม่เหมือนกับตอนไปงานจัดเลี้ยงอย่างสิ้นเชิง ถนนที่คดเคี้ยวขึ้นไปบนเขาราวกับที่นี่ไม่ใช่จังหวัดเดียวกัน สู่พื้นที่ที่บ้านเรือนผู้คนเริ่มน้อยลงๆ จนเป็นพื้นที่กว้างขนาดใหญ่ ล้อมด้วยรั้วสูงเกินกว่ารั้วบ้านคนธรรมดา รถคันหรูจอดหน้าประตูรั้วที่ปิดสนิทราวกับไม่มีผู้คน

แผ่นการ์ดสีดำที่มีตัวอักษรไม่กี่ตัวทำให้รั้วเปิดต้อนรับเราเข้าพื้นที่ข้างในที่กว้างสุดลูกหูลูกตา

อาคารหลังใหญ่ตั้งตระหง่านหน้าสุดราวกับต้องการบดบังบางสิ่งที่อยู่ด้านหลัง ทันทีที่รถจอดสนิทเราก็ปรี่ไปหาคุณลุง ความใจดี และรอยยิ้มถูกส่งมาตลอดเวลาที่เราทักทายกัน แค่ช่วงสั้นๆ เท่านั้นเพราะเรามีสิ่งที่จำเป็นยิ่งกว่า หนึ่งที่ถูกซื้อด้วยเตียงนอน ทำให้ตอนนี้เหลือเราแค่สี่คน ส่วนไอ้คนตัวเล็กข้างๆ ผมนี่ไม่มีอะไรซื้อเขาได้ทั้งนั้น

“ครบทุกคนนะ” น้ำเสียงทีเล่นทีจริงของลุงทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายลงบ้าง

“ครับ”

ตึกขนาดใหญ่แห่งนี้ถูกแบ่งสัดส่วนบริเวณอย่างพอดี ลิฟต์ทึบขนาดใหญ่นำพวกเราลงมายังชั้นใต้ดินของตึก

ติ้ง! เสียงสัญญาณของลิฟต์บอกให้เราเตรียมตัวเองให้พร้อม มือของคนข้างๆ ที่ผมกุมอยู่ทำให้ผมมั่นใจ

ชายที่อยู่ในชุดดำลุกทำความเคารพอัตโนมัติ ลุงยกมือขึ้นเป็นเชิงรับการทำความเคารพ

“มันพูดอะไรเพิ่มบ้าง” น้ำเสียงลุงเย็นเหยียบราวกับคนละคน

“มันพูดแต่เรื่องเดิมครับ”

เราทั้งสี่คนเดินไปหยุดที่กระจกใส ห่วงเหล็กที่ยึดกับเพดานมีเชือกขนาดใหญ่ลอด

ผ่านลงมายึดข้อเท้าของคนที่เป็นเป้าหมายในวันนี้ของเรา

นานจนพอใจกับการสอบสวน แค่เห็นหน้ามันก็ทำให้ผมโมโห ยิ่งคำพูดแต่ละคำสมกับเป็นเศษสวะจริงๆ

“ไอ้หน้าอ่อน มึงเอาของนายกูไป มึงไม่รอดแน่”

“แล้วมึงคิดว่ามึงจะรอดหรอ แล้วอย่าลืมเข้าฝันไปบอกนายมึงด้วยละ” ผมทิ้งท้ายก่อนออกมาจากห้องนั้น

“ฉินเราต้องกลับเดี๋ยวนี้”

“…”

“ผมรู้แล้วว่าของนั่นคืออะไร อยู่ที่ไหน”

ทุกคนหยุดเดินกันโดยฉับพลัน

“รีบไปเถอะ” คุณลุงพูดโดยที่ผมไม่ต้องพูดอะไร

“เออ มึงไปก่อนเลยเดี๋ยวกูลากไอ้หนึ่งกลับเอง”

“คุณลุงครับ ขอบคุณมากนะครับ ผมขออนุญาตกลับก่อน”

“สวัสดีครับ เทียนกลับก่อนนะครับ”

“กลับกันดีๆ ละ”

“เฮ้ยๆ ตอนขับรถนะปล่อยมือกันก่อนก็ได้นะเพื่อความปลอดภัย” ไอ้ต้นแหกปากมาแต่ไกล

“…” ผมเลยจับมือเทียนแน่นกว่าเดิมแล้วยกขึ้นเหนือหัว

“ฉิน!!” คนข้างๆ ผมตกใจร้องเสียงหลง ก่อนจะใช้มืออีกข้างชกแขนผมไปทีนึง

ไอ้ต้นหัวเราะสะใจ ผมเลยยกนิ้วกลางเป็นการบอกลามัน



เราใช้เวลาไม่นานก็ถึงที่หมายและถ้าไอ้ต้นอยู่บนรถด้วยคงอกแตกตาย เพราะตลอดการเดินทางผมไม่ปล่อยมือเทียนเลย

จนตอนนี้ก็ยัง ถ้าผมไม่ปล่อย ผมอยากรู้ว่าคนข้างๆ จะทำยังไง

ดื้อเอาเรื่อง

มือขาวๆ นั่นไม่ยอมดึงออกจากฝ่ามือผม ที่จับไว้หลวมๆ และดึงดันที่จะเอาทั้งมือผมมือเขาเข้าไปในกระเป๋าเพื่อหาคีย์การ์ดห้อง ผมถึงได้เลิกแกล้งเขาแล้วปล่อยมือ

“อยู่ไหนนะ อยู่ไหน” ตั้งแต่เข้ามาในห้อง คนตัวขาวก็มัวแต่หา ของ ที่ว่านั่น

“…”

“นี่ไง! ฉินเจอแล้ว” โทรศัพท์สีดำอยู่ในมือเขา และยังเปิดไม่ติด

“เก่งมากครับ” คนตัวโตเอามือไปยีหัวอีกคนจนยุ่ง เลยถูกมองค้อนวงใหญ่

“…” คนตัวขาวนั่งจ้องเจ้าเครื่องสีดำอยู่นาน จนยกมือยีตาตัวเองที่ปรือ

“ไปอาบน้ำ แล้วมานอนเถอะครับ”

แสงของวันใหม่ส่องได้เพียงไม่นานคนตัวโตก็ตื่นมานอนจ้องหน้าอีกคน

ลมเล็กๆ ถูกเป่าลงตรงหน้าผาก แรงลมนั้นไม่อาจทำให้อีกคนตื่นได้ แต่ก็ทำให้คิ้วขมวดได้

คนตัวโตถึงได้เพิ่มระดับ การปลุก ริมฝีปากทาบลงบนเปลือกตาของคนยังไม่ตื่นเบาๆ ทาบทีมือขาวก็ยกขึ้นมาเช็ดที แต่ตาไม่เห็นจะเปิด

ขี้เซา

ริมฝีปากถูกทาบลงบนปากนิ่มอีกคนแรงๆ จนเกิดเสียง แต่คนทำรู้สึกยังไม่พอ ถึงทาบลงไปอีกครั้งก่อนจะงับริมฝีปากล่างอีกคนด้วยความมันเขี้ยว แต่คงจะแรงไปคนขี้เซาถึงได้ฟาดเข้ามาเต็มแรง ก่อนจะลุกไปเข้าห้องน้ำ

3 ชั่วโมงได้แล้ว แต่ลูกเจี๊ยบยังไม่มองหน้าผมเลย ถามคำตอบคำ สงสัยจะโกรธ

“โกรธหรอ” ผมขยับเข้าไปใกล้เขาอีกนิด

“…”

“งับแรงไปหรอเมื่อเช้า ต่อไปจะทำเบาๆ นะ” ค้อนวงโคตรใหญ่เลยครับคราวนี้

“คราวหน้าหรอ ยังจะมีอีกหรอครับ” ประโยคแรกของวันไม่ค่อยดีเลย

“อาจจะมากกว่านี้ก็ได้”

“งั้นถามหน่อยครับ ความสัมพันธ์ระหว่างเราคืออะไรกัน” นี่หรือเปล่าที่เรียกว่าเถียงจนหน้าแดง

“แฟนไงครับ”

“…”

“เป็นแฟนกันนะครับเทียน”

“อือ เป็นแฟนกันนะตงฉิน” แก้มที่แดงอยู่แล้วยิ่งแดงไปกันใหญ่ น่ารัก

ผมอดยกมือไปลูบแก้มแดงๆ นั่นไม่ได้ ดวงตาคู่สวยที่หมู่นี้ผมไม่ค่อยได้มองเข้าไป

“ครับ เป็นแฟนกัน”

เขาว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ

ผมอยากให้เทียนเห็นว่าผมมีแค่เขาทั้งใจ

คนตัวเล็ก ยิ้มจนเห็นฟันแทบทุกซี่แล้ว น่ารัก!

เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ผมเอาริมฝีปากตัวเองไปหยุดที่จมูกเชิดๆ นั่น ก่อนจะเลื่อนลงมาทาบที่ริมฝีปากล่างเบาๆ อย่างกับกำลังขอโทษ แทรกเรียวลิ้นเข้าไปลัดเลาะฟันขาว สำรวจภายในจนลูกเจี๊ยบเริ่มส่งเสียงเพราะหายใจไม่ทัน

“อือ อื้อ”

ถึงได้ถอนริมฝีปากออกแล้วลากไปทาบยังแก้มแดงๆ นั่นข้างซ้ายที ข้างขวาที

มือข้างขวาลูบหัวลูบหลังคนหายใจหอบ นี่แหละที่โบราณเขาว่า จูบปากแล้วลูบหลัง

ไม่นานมือนั่นก็ย้ายมาลูบริมฝีปากที่เริ่มบวมขึ้นมาหน่อย เหมือนเยลลี่

เมื่อริมฝีปากเริ่มที่จะประกบกันอีกครั้งก็ยากจะคาดเดาว่ามันจะจบเมื่อไหร่

คงได้แต่โทษเยลลี่ชิ้นนี้


TBC.

ออฟไลน์ lillapine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
EP.11 เก็บเอาไว้ทำกับคนเป็นแฟน

----- จิณณพัฒน์ -----

3 เดือนที่ผ่านมากับการมีแฟน

ทำตัวไม่ถูก

ผมเคยตื่นด้วยเสียงนาฬิกาปลุก

ตอนนี้ผมตื่นด้วยสัมผัสบางเบาจากริมฝีปากของอีกคน ที่มักจะคลอเคลียในยามเช้า อย่างกับลูกหมา

แต่เป็นลูกหมาตัวโต

มื้อเช้ากับมื้อเที่ยงที่เคยเป็นมื้อทูอินวัน เอ่อ.. ผมหมายถึงรวบเป็นมื้อเที่ยงทีเดียว

ตอนนี้แค่เปิดประตูห้องนอนก็มีกลิ่นหอมๆ ลอยมาเตะจมูก ทำเอาผมน้ำลายไหล

ตู้เสื้อผ้าที่เคยมีแค่เสื้อผ้าของผม ตอนนี้เริ่มมีเสื้อของอีกคนแทรกอยู่ด้วย และไม่ใช่แค่เสื้อผ้า แต่สิ่งของอื่นๆ ก็เริ่มปะปนอยู่ในทั้งห้องผมและเขา

เวลาไปเรียนผมมักจะไม่รีบร้อน

แต่พอมีลูกหมาตัวโตมานั่งคอยทุกวันทำเอาผมต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองยกใหญ่

ผมเคยไปไหนมาไหนคนเดียวไม่ต้องรอใคร

แต่พอมีเขามารอกินข้าวพร้อมกัน ทำให้ผมเริ่มที่จะรอเขาบ้าง

ผมว่าบางทีการรอก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร

อย่างเช่นวันนี้

ผมที่เคยเกลียดการรอ ในวันที่ฝนตกแบบวันนี้ผมกลับห่วงใครบางคน ผมภาวนาให้เขามาช้าที่สุด

เสียงฝนกระหน่ำดังขึ้นเรื่อยๆ แข่งกับจังหวะเต้นของหัวใจผม

ผมไม่กล้าแม้แต่จะโทรหาเขา เพราะกลัวว่านั่นอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุ หน้าจอโทรศัพท์ผมจึงถูกเปิดและปิด ซ้ำไปซ้ำมา

“เทียน”

ผมเงยหน้าอัตโนมัติ

“มาแล้วหรอ”

“มาแล้ว กลับบ้านกัน”

ผมจับมือที่คนตัวโตที่ยื่นมาอย่างเคยชิน

“อือ”

“ขอโทษที่ให้รอนาน”

“ไม่เป็นไร เพิ่งทำงานเสร็จ”

ผมหัดโกหกด้วย

“โกหกแน่ๆ”

ไม่เนียนด้วยสินะ

ฮัดชิ่ว!

นั่นไง ผมบอกเขาแล้วว่าอย่าตากฝน เดี๋ยวไม่สบาย

เขาก็เอาแต่บอกว่า “ฉินแข็งแรง ไม่ป่วยหรอก”

“…”

“อย่ามองแบบนั้น แค่เป็นหวัดเองครับ”

“…” ผมไม่อยากคุยกับคนดื้อเลย

“ชิมหรือยัง บะหมี่ของโปรดเทียน ต้องกินตอนร้อนๆ นะ”

“…”

แบบนี้ผมจะโกรธเขาลงได้ไง เขาโดนฝนเพราะรีบร้อนไปซื้อมันมาให้ผม แค่เมื่อสองสามวันที่แล้วผมบอกว่าอยากกินมัน

ผมไม่ทันสังเกตว่าเขาเปียกด้วยซ้ำตอนที่มารับผม

“เทียนครับ มาเช็ดผมให้หน่อยครับ คนป่วยไม่มีแรง”

“…” เจ้าเล่ห์ ผมหรี่ตามองเขาเล็กๆ ด้วย

แต่เขาก็... แสนดีผมจะปฏิเสธได้ยังไง

ผมยืนเช็ดผมให้ฉินอย่างเบามือ ไม่นานเขาก็รั้งเอวผมให้นั่งลงบนตักเขา

จนผมอดมองเขาด้วยความสงสัยไม่ได้

“…”

“เดี๋ยวเมื่อยขาครับ”

“ไม่เมื่อยสักหน่อย” ผมไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นหรอกนะ

ผมรู้สึกได้ทันทีว่าแขนที่เกาะอยู่เอวผม อยู่ๆ ก็รัดแน่นขึ้นซะอย่างนั้น

บางทีเขาก็ชอบทำอะไรที่ผม...

อธิบายไม่ถูก อย่างเช่น

“เทียนไม่กินเกี๊ยวใช่ไหม”

“ใช่แล้ว” ฉินรู้ว่าผมไม่กินเกี๊ยว แต่เขาก็ยังสั่งบะหมี่ที่ใส่เกี๊ยวมาทุกครั้ง

“ทำไมไม่ชอบเกี๊ยวละ”

ปากถาม ขณะเดียวกันมือก็ทยอยตักเกี๊ยวจากถ้วยของผมอย่างธรรมชาติ

“อืม... แค่ไม่ชอบนะ”

“มีประสบการณ์ไม่ดีกับมันหรือเปล่า”

“ไม่นะ” แล้วผมก็หัวเราะลั่น ฉินกำลังทำหน้าตลก  “จริงๆ” ก็บางอย่างมันไม่มีเหตุผลหรอกเหมือนผมกับฉินไง แค่อยากให้อยู่ในชีวิตกันและกัน

ท่ามกลางความเงียบของเรา ตงฉินได้โยนคำถามที่ผมก็สงสัยขึ้นมาในบทสนทนาของเรา

“รู้ไหมทำไม ฉินถึงซื้อบะหมี่ใส่เกี๊ยว ทั้งๆ ที่รู้ว่าเทียนไม่กินมัน”

“...”

ผมส่ายหน้าและเลื่อนสายตาไปวางที่ตาเขา

“เพราะว่า…”

ฉินเลื่อนสายตามาสบเข้ากับตาผม

“…”

“ฉินชอบเทียนไงครับ”


“…”

“เพราะชอบถึงได้หาเรื่อง จะได้คุยกับเทียนเยอะๆ ”

ฉ่า

อยู่ๆ ผมก็รู้สึกว่า อุณหภูมิพุ่งสูงขึ้นโดยเฉพาะบริเวณผิวหน้า

ถึงตรงนี้ผมก็ไม่กล้าสบตาคนตรงหน้าแล้ว ได้แต่ปล่อยให้ผิวหน้าแดงๆ สบกับตาของคนตรงหน้าแทน

ถึงจะมีบ้างที่ผมอธิบายไม่ถูก แต่ผมก็มีความสุขจริงๆ ที่ได้ใช้เวลากับเขา


เพราะ...

“เทียนก็ชอบฉินเหมือนกัน”



........................................................

ภายในห้องชั้นบนสุดของตึกสูง บนเก้าอี้ราคาแพงถูกนั่งด้วยชายวัยกลางคน ที่มองคนที่อยู่ตรงข้ามด้วยดวงตาแข็งกร้าว ดุร้าย

“ขอโทษครับท่าน เราจะรีบจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด”

เพียงแค่สายตาที่มองมา ก็ทำเอาคนที่ถูกมองสั่นกลัว จนละล่ำละลักเอ่ยคำขอโทษ

“พวกแกไม่เคยทำงานหรือไง” น้ำเสียงเย็นเหยียบลอดออกมาจากปากผู้เป็นนาย

“ผมไม่ระวังตัวจริงๆ ครับ รอบนี้”

ตุบ!

ฝ่ามือของผู้เป็นนาย ตวัดตบลงบนหน้าของผู้เป็นลูกน้องจนล้มลงไปกองบนพื้น

“แกรู้ไหมว่า ข้อมูลในโทรศัพท์โกโรโกโสนั่นราคามันกี่สิบล้าน”

“ผมจะจัดการทันทีครับ”

“แกจะจัดการมันยังไง!”

“เอ่อ..”

คนเป็นลูกน้องที่ไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะเช็ดเลือดที่กลบปากออก อึกอักเพราะยังไม่ทันได้คิดคำตอบไว้สักนิด

“ไปเอาสินค้าคืนมา! พร้อมกับโทรศัพท์โกโรโกโสนั่น”

“…”

คนที่เป็นลูกน้องยังคงก้มหน้ารับคำสั่ง

“ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน ถ้าอีก 3 วัน ฉันไม่ได้สิ่งที่ฉันต้องการ”

ความเงียบเข้าปกคลุมห้องชั่วขณะ

“…”

ฝ่ามือของผู้เป็นนาย กระชากผมให้ลูกน้องเงยหน้าขึ้น

“โลกนี้ก็ไม่ต้องการแก!!” น้ำเสียงเรียบแต่เยือกเย็นส่งคำพูดชวนขนลุกออกมาเป็นครั้งสุดท้าย



……………………………………..

“เรื่องนี้ห้ามบอกฉินนะ”

คนที่นั่งข้างคนขับ เอ่ยขึ้นในท้ายบทสนทนาอย่างขอร้องแกมบังคับ

“โอ้ยเทียน! ทำไมต้องผมละ”

คนถูก (บังคับ) ขอร้อง โอดครวญกับคำขอ

“ก็นายเป็นหนึ่งในคนที่รู้ทุกอย่างดีในเรื่องนี้”

เหตุผลที่ปฏิเสธไม่ได้

“เฮ้อ! คงต้องเป็นแบบนั้นแหละ”

คนถูกขอร้องตอบรับคำอย่างเลี่ยงไม่ได้

“ขอบคุณมากๆ เลยนะ เรื่องนี้มันเริ่มที่ผม มันก็ต้องจบที่ผม”

ถึงแม้จะพูดอย่างมั่นใจ แต่น้ำเสียงที่สั่นเล็กๆ นั่นก็แสดงความกลัวอย่างปิดไม่มิด

“เอาก็เอา ไม่ว่าจะทางไหนก็ตายอยู่แล้วละ”

หมายถึงถ้าไม่ตายทั้งเป็นเพราะรู้สึกผิดกับคนขอร้อง ก็ตายเพราะตีนไอ้ฉินแน่ๆ

“ไม่เป็นไรหรอก ฉินใจดีจะตาย”

พูดออกมาได้นะเทียน

“เหอะ! มันใจดีกับเทียนคนเดียวนะสิ”

จบงานนี้ผมต้องตายเพราะตีนไอ้ฉินแน่ๆ


TBC.

ออฟไลน์ lillapine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
EP.12 ฉนวนถูกจุด

วันง่ายๆ ของผมเริ่มต้นด้วยการสูดกลิ่นหอมๆ จากผิวแก้มของคนข้างกาย และความชื่นใจจากริมฝีปากนุ่ม

ใบหน้าขาวใสหมดจด เหมาะกับผมที่สุด…

แต่เพราะช่วงนี้คนตัวเล็กเขาโหมโปรเจคปิดเทอม ทำให้มีรอยคล้ำเล็กน้อยที่ขอบตา ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้ความน่ามองน้อยลง

ไอ้ต้นบอกว่าผมหลงเทียนมาก

ผมว่าผมหลงได้มากกว่านี้อีก

ผมบีบจมูกคนที่หลับปุ๋ยอย่างมันเขี้ยว จนคิ้วสวยขมวดเข้าหากัน

มุมปากผมยกขึ้นอัตโนมัติ



ไฟน้ำเงินจากเชื้อเพลิง กำลังเผาให้น้ำซุปในหม้อเดือด

มีดที่กรีดลงบนผักสีเขียวด้วยจังหวะที่สม่ำเสมอ ทำให้ผักถูกซอยออกมาอย่างสวยงาม

เมื่อน้ำซุปเดือดหมูสับเป็นวัตถุดิบแรกที่ถูกใส่ลงไป ตามด้วยข้าวสวยร้อนๆ และปิดท้ายด้วยผัก กลิ่นหอมอบอวลไปทั่วห้อง

“ไปแปรงฟันก่อนครับเทียน”

หางตาผมเห็นว่าคนขี้เซามายืนหลับตาดมกลิ่นอยู่สักพักแล้ว

เเต่พอผมเงยหน้ามาชัดๆ ถึงได้เห็น

ชุดนั่นมันอะไร

เสื้อนักศึกษาตัวใหญ่ของผม

ย้ำ!! ของผม

ไปอยู่บนตัวเทียนได้ยังไง

กระดุมเสื้อผมมีครบทุกเม็ดนะ

แต่สามเม็ดบนนั่น

ที่ไม่ได้ติด

เปิดเปลือยผิวขาวๆ ช่วงคอลงมาอก

เสื้อที่ขนาดใหญ่เกินไปจนลู่ลงไปกองรวมที่เเขนข้างซ้าย

ให้ตาย


ผมไม่เคยเห็นไหปลาร้าใครเซ็กซี่ขนาดนี้

ผมพยายามหยุดสำรวจเทียนด้วยการมองไปทางอื่น

แต่อยู่ๆ เขาก็เดินเข้ามา จนผมมองไปที่เขาอีกครั้ง

เหมือนเชือกเส้นสุดท้ายของผมกำลังจะขาด

เสื้อที่ยาวลงมาปิดต้นขาเล็กน้อย

ทุกอย่างก้าวยิ่งเดินยิ่งเปิดเผยผิวขาขาวมากเท่านั้น

ผมเหมือนคนโรคจิตที่แอบมองแฟนตัวเอง

แต่เทียนวันนี้แม่ง

SO DAMN HOT!!!


แก๊ก!

พึ่บ

ผมตัดสินใจดับไฟ ก่อนทุกอย่างจะมอดไหม้ไปกับเชื้อเพลิงนี้

ทั้งหม้อข้าวต้ม กับความรู้สึกบางที่ถูกปลุกมาอย่างช้าๆ

เทียนยังก้าวมาได้ไม่เท่าไหร่

ผมก็สาวเท้าเข้าไปหา

แล้วรีบยกคนขี้ยั่วตาใสนี่ ไปเข้าห้องน้ำ

สักพักใหญ่เทียนก็ออกมาในชุดที่เป็นของเทียน

ข้าวต้มร้อนๆ สองถ้วยถูกเสิร์ฟมาคู่กัน

“ฉิน เมื่อคืนเทียนง่วงมาก เลยเผลอไปหยิบชุดฉินมาใส่”

ผมว่าจะทำเป็นลืมๆ เรื่องเมื่อเช้าไปแล้ว

“ครับ” ผมที่ยังติดอยู่กับภาพตอนเช้าตอบ

“ถือหรือเปล่า ขอโทษนะ”

“ไม่เป็นไร” แต่ถ้าจะใส่อีกก็บอกนะ บอกก่อนผมจะได้ทำใจ



ออด ~ ออด ~ ออด ~

ผมยืนกดปุ่มสัญญาณหน้าห้องเทียนสักพักใหญ่ แต่ก็ไม่มีสัญญาณตอบรับ

นี่มันนานเกินไป

โทรไปก็ไม่มีใครรับสาย หรือ เผลอหลับวะ

ไม่นี่มันไม่ปกติสักนิด

“มึงอยู่กับเทียนไหม”

“ไม่วะ กูอยู่กับไอ้หนึ่ง”

“ฮัลโหลๆ ครับเพื่อนฉิน”

“…” ผมภาวนาให้เทียนเผลอหลับอยู่ในห้อง

“มีอะไรมึง”

“ไม่มีอะไร”

“เดี๋ยวอีกสักสองชั่วโมงเทียนก็กลับมาแล้ว”

“มึงหมายความว่าไง พูดให้รู้เรื่องดิ”



แก๊ก!

15 นาที!! มันนานเกินไป ประตูบานเล็กๆ นี่เปิดยากชิบหาย

ผมตรงดิ่งไปห้องนอน

ว่างเปล่า

ห้องนอนว่างเปล่าไร้กายคนที่ผมหวังว่าเขาจะอยู่ที่นี่

ทุกอย่างในห้องเหมือนเดิมเป็นปกติ

ปกติจนเหมือนเขาตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้

นี่มันอะไรวะเนี่ย!

คีย์การ์ดยังวางอยู่ที่เดิม เพราะเทียนไม่มีเรียนทั้งวัน ผมถึงไม่ได้หยิบคีย์การ์ดไป

แต่ทำไมเขาออกจากห้องไม่หยิบคีย์การ์ดนั่นไป

ครืด ครืด ครืด

ในขณะที่ผมกำลังจะเป็นหนูติดจั่น

ข้อความจากเบอร์แปลกได้ส่งตรงมาที่เครื่องผม

เดาไม่ยากเลยว่าใคร

รูปที่ถูกแนบมากับข้อความนั้น ทำให้ผมร้อนใจกว่าเดิม

เทียนที่อยู่ในชุดสูทเนื้อดี ยืนอยู่ข้างๆ ชายวัยกลางคน มองปราดเดียวก็รู้ว่าผู้ชายคนนั้นไม่ใช่คนธรรมดา บอดี้การ์ดสองคนที่ประกบซ้ายขวานั่นให้คำตอบได้อย่างดี


พวกหมาลอบกัด


“มึงมาหากูที่ห้องตอนนี้เลย”

“มีอะไรวะ”

“เทียนโดนลักพาตัววะ”

“มึงใจเย็นๆ อาจจะไม่มีอะไรก็ได้”

“ไม่มีเหี้ยอะไร”

“เทียนอาจจะไปกับเพื่อน”

“พวกเหี้ยนั่นมันส่งรูปเทียนมาขู่กู”

“กูว่าแล้วไงพวกสันดานหมา กูรู้ว่าเทียนอยู่ไหน”

“ต้น …” ปลายสายรับรู้ได้ทันทีถึงความจริงจัง

หลังได้คำตอบจากปลายสายรถคันหรูก็เคลื่อนตัวเข้าสู่โรงแรมชื่อดังด้วยความเร็วสูง แต่ก็ดูเหมือนจะยังช้าไปสำหรับเจ้าของรถ ขายาวก้าวลงจากรถทันทีที่เครื่องยนต์ดับลง

เสียงฝีเท้าหนักแน่น แต่ทว่าที่เต็มไปด้วยความร้อนใจ สะท้อนก้องทั่วโถงหน้าแผนกต้อนรับผู้เข้าพัก

ต้นที่หนีบหนึ่งมาด้วยเห็นเพื่อนเข้ามาแล้วก็เข้าไปหาทันที เห็นท่าทางร้อนใจของเพื่อนแบบไม่เคยเป็นมาก่อน ก็อดกลัวไม่ได้กลัวว่าเพื่อนจะขาดสติ

“ทางนี้ครับท่าน”

เสียงเท้าของคนกลุ่มหนึ่งดึงความสนใจของตงฉินให้มองกลับไป

เทียน ชื่อของคนตัวเล็กถูกตะโกนในใจก้อง และฝีเท้าถูกเร่งให้เร็วยิ่งขึ้นอึก

เทียนไม่ใช่คนตัวเล็กขนาดนั้น แต่พออยู่ท่ามกลางพวกคนเหล่านี้กลับดูตัวเล็กลงเหลือนิดเดียว

ปลายเท้ามีจุดหมายไปทางที่คนตัวเล็กยืนอยู่

พรึ่บ!

บอดี้การ์ดทำตัวเป็นกำแพงกั้นระหว่างตงฉินกับเทียนทันที

ตงฉินหยุดเท้าชะงัก ปากเม้มเป็นเส้นตรงกดความรู้สึกที่เกรี้ยวโกรธข้างใน หนึ่งและต้นตบไหล่เพื่อนเบาๆ เรียกสติ

“ขอโทษด้วยนะครับ พอดีพวกเราต้องรีบไปเเล้ว”

หนึ่งในคนของพวกมันพูดออกมา

“ถ้ามีธุระอะไรกรุณาติดต่อล่วงหน้าก่อนนะครับ”

บัตรสี่เหลี่ยมเล็ก ที่มีรายละเอียดการติดต่อ ถูกยื่นมาให้ตงฉิน คิ้วข้างหนึ่งเลิกขึ้น ตาชั้นเดียวเหลือบมองตามด้วยห่างตาก่อนจะเงยหน้าขึ้นและบอกพวกนั้นผ่านสายตาอย่างน่ารำคาญ

พล่ามอะไรอยู่ได้วะ

กูจะเอาไปทำเหี้ยอะไร กูไม่ได้อยากสนทนากับคนอย่างพวกมึงด้วยซ้ำ

“ไม่จำเป็น”

แล้วทั้งโถงรองรับแขกนั้นกลับเงียบ เพราะการปฏิเสธอย่างไม่ไว้หน้าใคร

มวลความตึงเครียดปกคลุมห้องโถงจนไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหว

“คนปากดีมักไม่ตายดีนะ” คนยื่นนามบัตรตอนนี้กลับยื่นคำขู่ ที่ทำให้คนถูกขู่ยิ้มมุมปาก

ไม่ทันไรคนขู่ก็ได้ลงไปนั่งโอดโอยเพราะข้อมือถูกหัก ตามด้วยคนหน้าสุดที่ยืนเป็นกำแพงกั้นเขาและคนรักไว้

และนั่นเป็นข้อพิสูจน์ว่าเขาไม่ได้ดีแต่ปาก มากกว่านี้ก็ทำได้

ดึงคนรักให้กลับมาอยู่ข้างเขาแล้วก็ไม่พอ เขาดันให้คนรักไปอยู่ด้านหลังเอาตัวเองมาเป็นกำบัง บอดี้การ์ดที่กำลังจะเข้ามาแย่งคนตัวเล็กกลับไปต้องหยุดลงเพราะเสียงเรียกดังจากทางด้านหลัง

“คุณตงฉิน สวัสดีครับ ขอโทษจริงๆ ครับที่ไม่ได้ต้อนรับให้เหมาะสม” ชายวัยกลางคนช่วงปลายแต่งชุดสูทเนี๊ยบตามกฎโรงแรม ปัดผมเรียบไปฝั่งขวากุลีกุจอเข้ามาตามหลังด้วยประธานหนุ่มของโรงแรมและมือขวาคนสนิท

“สวัสดีครับคุณบรรจง ผมมีเรื่องด่วนเล็กน้อยครับ อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่เลยครับ” เขาเน้นคำว่าเรื่องด่วนพร้อมมองไปฝ่ายตรงข้าม

“สวัสดีครับพี่เจิน” ผู้ชายดูภูมิฐานเมื่อถูกทักทาย ก็ยิ้มบางๆ และแตะไหล่ แสดงความสนิทสนม

“แล้วนี่มีเรื่องอะไรกัน” คนเป็นพี่ถามอย่างเป็นห่วง แต่ตากลับมองไปฝ่ายตรงข้ามที่มี 2 คนสภาพดูไม่สู้ดีนัก

บอดี้การ์ดของฝั่งตรงข้ามแยกออกเป็นทางเดินตัวบงการที่จับตัวเทียนไปโผล่หน้าออกมา พร้อมกับมือขวาของเจินเดินเหนือเจินกับตงฉินไปก้าวหนึ่งเพื่อส่งสัญญาณเตือนฝ่ายตรงข้าม

“มีเรื่องเข้าใจผิดกันเล็กน้อย” ตัวบงการที่ว่าพูดหน้าตาเฉย พร้อมเหลือบมองคนตัวเล็กข้างหลังตงฉิน

“ถ้าเข้าใจถูกแล้วก็ดีครับ แต่ถ้ายังไม่เข้าใจอีกก็ติดต่อผมมาได้เดี๋ยวจะอธิบายให้ฟังชัดๆ ” ตงฉินเอ่ยกับฝั่งตรงข้ามเสียงเย็นเหยียบ ก่อนจะกล่าวคำลา

“ขอตัวนะครับ” ตงฉินหันไปทางเจิน พยักหน้าขอตัว

ดึงคนรักไว้ในอ้อมแขนและหันหลังเดินออกไปจากวงสนทนาทันที ทิ้งทุกอย่างให้คนเป็นพี่จัดการ

“… “ฝั่งนั้นไม่ทันตอบโต้ได้แต่ขบฟันแน่น และได้แต่ส่งความเกรี้ยวกราดผ่านสายตาไล่หลังพวกเขา

ตงฉิน เทียน หนึ่งและต้น ถูกคนของโรงแรมคนหนึ่งนำไปห้องรับรอง นานไม่น้อยกว่าเจินและมือขวาจะตามเข้ามา เพื่อนำพวกเขาไปยังอีกที่หนึ่ง

TBC.

ออฟไลน์ lillapine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
EP.13 จับจุด

ชั้นบนสุดของโรงแรมเป็นเขตหวงห้ามผู้ได้รับอนุญาตเท่านั้นจึงจะสามารถเข้ามาได้ วันนี้ค่อนข้างแปลกตา เพราะประธานหนุ่มมาพร้อมกับตงฉิน และกลุ่มเด็กหนุ่มหน้าตาดี โดยเฉพาะคนที่ตงฉินจับมืออยู่ใบหน้าทั้งสวยทั้งหล่อผิวมีออร่าเหมือนมีปุ่มเปิดไฟทำเอาเลขาสาวมองค้างไปหลายวินาที

“เอาเรื่องอยู่นะเมื่อกี้” เจินเอ่ยหยอกล้อ หลังทุกคนนั่งลงในห้องรับรองพิเศษ

“ขอบคุณมากพี่ แต่มาช้านะครับ” ตงฉินเอ่ยขึ้นน้ำเสียงอย่างจริงจัง แต่หน้ากลับดูยียวนชวนน่าถีบ

“ไอ้นี่ งานด่วน แล้วยังเร่ง” คนเป็นพี่เอ่ยขึ้นเบาๆ คนโดนบ่นสะเทือนที่ไหน แม้จะสามารถทำให้คนกลัวทั้งโรงแรม แต่ไม่สามารถทำให้คนเป็นน้องสะเทือนได้สักนิด

“เทียน นี่พี่ผม เป็นลูกของคุณลุงผม” ผมแนะนำประธานโรงแรมให้เทียนรู้จักอย่างกระชับ

“สวัสดีนะเทียน พี่ชื่อเจิน” เทียนค่อนข้างประหลาดใจ ว่ากันตามตรงเครื่องหน้าคมอย่างลูกครึ่งตะวันตกกับชื่อที่ออกจีนไม่เข้ากันเลย

“เทียนเป็นยังไงบ้าง” เจินไม่ลืมถามคนที่ทำให้น้องตัวเองร้อนรน

“ตกใจประมาณนึงเลยครับ ไม่คิดว่าเรื่องจะใหญ่ขนาดนี้” คนตัวเล็กเอ่ยขึ้น

“ตกใจอะไร” น้ำเสียงเย็นเหยียบจากคนข้างๆ ดังพอให้คนตัวเล็กเสียวสันหลัง ยิ่งเมื่อหันไปสบตาคนข้างๆ ที่มองเขาอย่างจะกินเลือดกินเนื้ออย่างไม่ลดละ คนที่ตัวเล็กอยู่แล้วยิ่งเล็กลงไปอีก

ก่อนที่ทุกอย่างจะมาคุไปมากกว่านี้

“โห พี่หนึ่งต่างหากตกใจที่สุด ขนนี่ลุกตั้งแต่หัวลงไปเท้า แล้ววนเท้าขึ้นมาหัว อีกตั้ง 2 รอบ ดีนะเฮียเข้ามาก่อนไม่งั้นมีรอบ3แน่ครับ” คำพูดออกจะเกินจริงสักหน่อยของหนึ่งทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลงทันที

ทุกคนแทบจะมีคำว่า พูดเกินจริงไปมาก แปะบนหน้า คงจะมีแค่เทียนที่ ยิ้มตาหยี กับคำพูดเกินจริงของหนึ่ง

“ตลกกับเป็นบ้า มันมีเส้นบางๆ กั้นนะ” ต้นที่เงียบอยู่นาน ตอบกลับอย่างรวดเร็ว จนทุกคนหลุดขำ เว้นแต่เจ้าตัวที่ยกมือขึ้นทำท่าจะทุบคนพูด

--Trrrrrr—

เสียงเครื่องมือสื่อสารประจำโต๊ะทำงานของเจ้าของห้องส่งเสียงขึ้น ก่อนเจ้าของห้องจะเดินไปอีกห้องเพื่อรับสาย หลังจากนั้นไม่นานเจ้าของห้องก็เดินกลับมา

“เรื่องนี้ใหญ่เกินกว่าเราจะจัดการกันเองแล้วละ” แม้คำพูดจากเจินจะไม่ได้ดุดัน แต่แววตาและสีหน้ากลับดูตรงข้าม

“ครับ เราเคยเจอพวกมันแล้วหนึ่งครั้ง แล้วยังครั้งนี้อีก และพวกมันไม่ยอมจบแค่นี้แน่” ตงฉินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด ก่อนหยิบโทรศัพท์สีดำที่สภาพค่อนข้างเก่าออกมาวางกลางโต๊ะ ทุกสายตาถูกดึงดูดด้วยของกลางชิ้นนี้

คนที่ตกใจที่สุดคือเทียน เพราะเขาเพึ่งคืนสิ่งนี้ให้พวกนั้นกับมือ

“อันนี้ของจริง อันที่อยู่กับเทียนคือของปลอมที่ถูกสร้างขึ้นมา” ตงฉินแอบสร้างขึ้นมาเมื่อเดือนที่แล้วเพราะมีลางสังหรณ์บางอย่าง

“ผมว่า ในนี้ต้องมีอะไรที่ชี้ความเป็นความตายของพวกมันได้มากพอ” เทียนว่าต่อทันทีที่นึกถึงสิ่งที่ไตร่ตรองมาแล้ว “ผมดูคร่าวๆ แล้วในนี้มีรายชื่อจำนวนหนึ่ง แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นรายชื่อของอะไร”

“เดี๋ยวพี่จัดการให้”

“เทียนรู้ไหมว่าคนพวกนี้เป็นใคร” ต้นถามด้วยความสงสัย

“พวกเบื้องหน้าเป็นนักธุรกิจแต่เบื้องหลังเป็นมาเฟียอ่ะ ตัวร้ายๆ ไง แบบในละครอ่ะมึง” แน่นอนว่าคนตอบไม่ใช่เทียน แต่เป็นหนึ่ง เพราะตอนนี้เทียนไม่รู้จะเรียบเรียงคำพูดยังไง

“แล้วมึงรู้ได้ไง” ต้นไม่จบบทสนทนาหัวข้อนี้ง่ายๆ

ความเลิ่กลั่กของหนึ่ง ทำให้ตงฉินจับทางได้อยู่หมัด

“ก็เทียนบอก” หนึ่งเสียงเบาลงๆ จนคำสุดท้ายจากปาก ด้วยแรงกดดันจากต้นส่วนหนึ่ง แต่หลักๆ ก็จากคนเป็นแฟนของเทียน ไอ้ตงฉิน ไอ้ห่า กดดันกูเฉย ไม่ไปกดดันเทียน เก่งแต่กับกูไอ้เวร

“คนพวกนี้มันทำทุกอย่างที่ผิดกฎหมาย “เจินทำให้การจินตนาการถึงความชั่วร้ายของพวกนั้นชัดขึ้น

“ครับ ผมเป็นคนบอกหนึ่งเอง” เทียนสารภาพ “พอดีผมได้ทำงานถ่ายแบบ โฆษณาอยู่บ้างระยะหนึ่ง”

“ช่วงนั้นทุกอย่างราบรื่นมากๆ ครั้งหนึ่งหลังจากทำงานเสร็จพี่เจนที่เป็นผู้จัดการผม เขาชวนผมไปทานข้าวกับลูกค้าและทีมงาน พี่เจนบอกว่าลูกค้าคนนี้เป็นสปอนเซอร์ให้หนังภาพยนตร์ส่วนใหญ่ซึ่งอาจจะเป็นผลดีกับการงานผมและทุกคนในทีมพี่เจน”

“เมื่อเราถึงโต๊ะ ไม่นานก็มีผู้ชายคนหนึ่งเข้ามา ซึ่งเขาคือคนที่ผมมาพบวันนี้ แต่ตอนนั้นผมไม่คุ้นหน้าเขาเลย พี่ในทีมแอบบอกผมว่าเขาคือรองประธานบริษัทที่เราจะไปถ่ายโฆษณาให้เร็วๆ นี้ เราทักทายเขาไม่นาน แล้วเราก็ทานอาหาร ดื่มสังสรรค์”

“แล้วมีอะไรแปลกๆ ไหมระหว่างที่ทานอาหาร” ตงฉินรู้สึกชอบมาพากล

“จะว่าไปพอนึกดีๆ ก็แปลกอยู่นะ ระหว่างนั้นอยู่ๆ เขาก็ขอตัวออกไปโทรศัพท์ ผมไม่ได้เอะใจอะไร แล้วระหว่างนั้นผมก็มองไปรอบๆ ก็เอิญเจอหนึ่งโบกมือทักผมพอดี “หนึ่งที่ตอนนี้ยกมือขึ้นประหนึ่งถูกอาจารย์เช็คชื่อ แต่ต้องทำเอามือลงทันทีเมื่อสบตากับตงฉิน

“แล้วมึงไปกับใคร” ต้นอดไม่ได้ที่จะถามหนึ่งเบาๆ แต่ก็ดังพอให้เจ้าตัวได้ยิน เสียงที่ออกจะติดฉุนเฉียวทำให้หนึ่งงุนงง

“เห็นอย่างนี้กูลูกมีพ่อมีแม่นะ” หนึ่งตอบกลับไปอย่างยียวน ต้นหรี่ตามองหนึ่ง ก่อนจะละสายตาไปฟังเทียนต่อ

“ผมเลยตัดสินใจขออนุญาตพี่ๆ ออกไปทักทายหนึ่งไม่นานก็เดินไปส่งหนึ่ง แต่ตอนกำลังกลับมาตรงใกล้ๆ ลานจอดมีมุมมืดอยู่มุมหนึ่งผมมองเห็นเขาสั่งการผู้ชายหน้าตาน่ากลัวอีกคน ผมไม่ทันเห็นอะไรเพิ่มมือถือผมก็ดังขึ้นเป็นพี่เจนที่โทรหาบอกกับผมว่าพี่เขามีธุรด่วนต้องรีบไป และรบกวนให้ผมอยู่รับหน้าแทน หลังจากถึงโต๊ะไม่นานประธานคนนั้นก็ตามมาแต่เขาก็ไม่ได้มีท่าทีอะไรแปลกไป” ทุกคนใจจดจ่อกับเรื่องเล่า

“ทุกคนสนุกมากผ่านไปหลายชั่วโมง เขาเมามากเลขาเขาเสนอว่าให้เจ้านายเขานอนที่โรงแรมนี้แหละเดี๋ยวเขาจะไปทำเรื่อง แต่บังเอิญเลขาที่มาด้วยและพี่ๆ ในทีมผมทุกคนเป็นผู้หญิงกันหมด ผมเลยอาสาจะไปส่งเขาที่ห้องเอง”

ตงฉินมองเทียนด้วยความเป็นห่วง กุมมือคนรักแน่น เทียนส่งสายตาและยิ้มเล็กๆ บอกว่าเขาไม่เป็นไรกลับไปให้ตงฉิน ก่อนจะเล่าต่อ

“พอผมส่งเขาถึงห้อง เขากลับดูเหมือนไม่เมาเท่าไหร่ เขาพยายามโน้มน้าวผมให้มีความสัมพันธ์ทางกายด้วยอยู่นานพอควร ผมปฏิเสธเขาว่าผมไม่ทำงานทำนองนี้ แต่ดีที่เขาก็ปล่อยผมออกมา ถึงผมออกมาจากห้องแล้ว แต่ในหัวผมนั้นยังคงงุนงงกับที่เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น พอพ้นโรงแรมนั่นแหละสติผมถึงกลับมาบ้าง ผมพยายามหารถแท็กซี่ ตอนนั้นเองก็ผมก็ได้ยินเสียงบีบแตรของรถยนต์คัน ผมเห็นหน้าหนึ่งโผล่ออกมาจากกระจกรถ ผมรีบไปขึ้นรถหนึ่งทันที”

“และหลังจากนั้นเทียนกับผมก็มีเรื่องกับอาจารย์คนนั้น วันนี้มันก็มานะอยู่ข้างหลัง” ตงฉินช่วยเชื่อมเหตุการณ์ที่ทุกคนรู้อยู่แล้ว

“ใช่ครับ หลังจากเกิดเหตุการณ์นั้นแล้วผมก็ไม่ได้เอะใจอะไร จนมีวันหนึ่งผมถึงสังเกตว่าในเสื้อคลุมผมมีโทรศัพท์เครื่องนี้อยู่”

“แล้ววันนี้เกิดอะไรขึ้นทำไมถึงได้ออกมาแบบนี้” เจินถามแทนน้องชายตัวเองที่ดูก็รู้ว่าอยากถามแต่ปากหนัก ไม่รู้มันรออะไร

“เมื่อสองอาทิตย์ก่อนอยู่ๆ โทรศัพท์ผมก็มีเบอร์แปลกโทรเข้ามา ผมรับสายเขาปรากฏว่าเป็นประธานคนนั้น เขาบอกกับผมว่าให้เอาของไปคืนเขา ไม่งั้นทุกคนรอบตัวผมจะเดือดร้อน” เสียงเบาหวิวของเทียน ทำให้ทุกคนเห็นใจ

“ทำไมเรื่องใหญ่ขนาดนี้เทียนไม่บอกฉินเลย หื้ม” ตงฉินเห็นคนรักน้ำตาคลอก็อดสงสารไม่ได้ จากจะดุก็ไม่กล้าแล้ว อีกทั้งยังอดไม่ได้ที่จะส่งมืออีกข้างไปลูบหลังปลอบเบาๆ

“ ขอโทษนะ ขอโทษทุกคนด้วยนะครับที่ทำให้ลำบาก” พอเห็นหน้าเทียนรู้สึกผิดขนาดนั้น ใครจะโกรธลง

“พูดอะไรไม่เข้าท่าอีกแล้ว เรื่องของเทียน ฉินไม่เคยมองว่ามันเป็นเรื่องลำบากเลยนะ”

3 คนที่เหลือในห้องแทบจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกับอากาศ ถ้าไม่ใช่เพราะเจินได้พูดออกมาคำแรกหลังจากเงียบไปนาน

“ก่อนที่เบาหวานจะขึ้นกันหมด พี่ว่าพี่พอจะเดาอะไรๆ ออกแล้วละ มันน่าจะกำลังทำเรื่องผิดกฎหมายอะไรสักอย่างด้วยกัน พี่ขอเก็บโทรศัพท์นี้ไว้กับพี่ก่อนนะ”

“วันนี้พี่มีประชุมนิดหน่อย เชิญตามสบายนะ ตงฉินว่างๆ หาโอกาสพาแม่ไปหาตาแก่ขี้เหงาที่บ้านหน่อยนะ” ตงฉินไม่ได้ตอบรับ ได้แต่ยิ้มส่งไปให้พี่ เพราะเขารู้ว่ามันยากยิ่งกว่ายกภูเขาทั้งลูกอีก

“ไอ้หนึ่งแล้ววันนั้นมึงกลับไปทำอะไรแถวโรงแรมนั้นอีก” ตงฉินซักไม่เลิก

“จะอะไรละมึง กูเสือกนึกขึ้นได้ว่าโทรศัพท์หายเลยได้ลากสังขารกลับมาที่โรงแรมนั้นอีกแล้วก็เจอจริงๆ พอจะกลับดันเจอเทียนพอดี” เพื่อนรักทั้งสองของหนึ่งคิดในใจว่าสมกับเป็นหนึ่งจริงๆ

“ขอบคุณหนึ่งมากๆ เลยนะ” เทียนเอ่ย

“พอแล้วเทียน คำขอบคุณของเทียนถ้าเก็บไว้ในเรือคงได้ 4 ลำแล้วเนี่ย” หนึ่งพูดทีเล่นทีจริง

สถานการณ์คลี่คลายไม่นานทุกคนก็ออกจากห้อง แต่ทว่าตอนนี้คนที่มีฐานะเป็นน้องเจ้าของโรงแรมกลับกลายร่างเป็นคนเย็นชาที่แผ่ความเยือกเย็นไปสู่ทุกคน ไม่มีใครพูดอะไร เงียบกริบ

เมื่อถึงลานจอดรถได้เวลาที่จะแยกกันกลับบ้าน คนที่กล้าบ้าบิ่นมาพบคนร้ายเมื่อเช้าตอนนี้ เริ่มกลัวที่จะนั่งรถกับคนรัก และดันทะลึ่งจะกลับกับเพื่อนคนรักซะงั้น

หนึ่งที่ไม่รู้จะปฏิเสธยังไง จากที่กำลังจะตอบตกลง ก็โดนตงฉินชี้หน้าพร้อมกับคำพูดที่ทำให้หนึ่งการตัดสินใจง่ายขึ้น

” กับมึงนี่มีอีกหลายเรื่องต้องเคลียร์นะ” หนึ่งผลักเทียนให้ตงฉินทันที ส่วนต้นก็คว้าคอหนึ่งเดินขึ้นรถตัวเอง


TBC.

ออฟไลน์ lillapine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
EP.14 ฤทธิ์ตงฉิน

--- จิณณพัต ---

ภายในห้องสี่เหลี่ยมแห่งนี้ เสียงเครื่องปรับอากาศเป็นสิ่งเดียวที่ส่งเสียงออกมาท่ามกลางความเงียบระหว่างหนึ่งคนที่คุกรุ่นด้วยความโกรธ ก็เพราะห่วงมากๆ และอีกหนึ่งคนที่รู้ว่าตัวเองมีความผิด

“ฉิน โกรธหรอ” ผมถามคนที่ไม่ยอมพูดกับผมสักคำแถมยังเอาแต่แผ่รังสีความน่ากลัว จนผมได้แต่นั่งแช่บนโซฟา ไม่กล้าเดินไปไหน

“ผมต้องโกรธคุณตรงไหนครับ” เขาพูดทั้งยังนั่งหันหลังให้ผม พูดให้ถูกเขาเอียงหัวมาทางผมนิดๆ ที่เจ็บหัวใจเลยคือสรรพนามที่เรียกก็เปลี่ยน ใจร้ายจริงๆ

เขาลุกจากเก้าอี้แล้วยืนกอดอกพิงโต๊ะ แล้วเอาตาดุๆ นั่นจ้องผมเอาเป็นเอาตาย ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นๆ

“ฉิน ขอโทษครับ” ผมทำใจกล้าเดินเข้าไปหาเขาเอื้อมสองมือไปจับแขนเขาไว้ แม้ในใจผมจะแอบกลัวว่าเขาจะสลัดมันออก ที่จริงผมก็รู้ว่าผมผิดจริงๆ นั่นแหละ

“เรื่องอะไรครับ” เขาเหมือนตำรวจส่วนผมเป็นผู้ร้ายที่ถูกสอบสวนให้สารภาพผิด อย่างที่เขาว่าถ้าผู้ร้ายสารภาพผิดโทษจะถูกลดลงกึ่งหนึ่ง ดังนั้น ผมจึงได้สารภาพความผิดของผมกับเขาอย่างละเอียด ผมรู้ว่าเขาทำแบบนั้นก็เพราะอยากให้ผมได้ทบทวนการกระทำตัวเองอีกครั้ง

แม้ว่าเขาจะไม่ได้บังคับให้ผมมองหน้าเขาตลอดเวลาสารภาพความผิดนี้ แต่ผมกลับไม่สามารถละสายตาจากดวงตาดุๆ ที่ไม่น่ามองคู่นั้นของเขาได้เลย…

และ

ถ้าเขาไม่หยุดดุผมแบบนี้ ผมจะร้องไห้ออกมาแล้วจริงๆ เพราะตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกร้อนผ่าวๆ ที่ขอบตาแล้ว

แขนที่ผมจับอยู่เริ่มขยับ ผมก็ยิ่งจับแน่น เขาไม่อยากเห็นหน้าผมแล้วหรอ แค่คิดว่าเขาจะไปน้ำตาก็พากันมาบังตาผมไปหมดตอนนี้ผมมองไม่เห็นเขาแล้ว เขาออกแรงมากกว่าเดิม จนผมรั้งเขาไว้ไม่ได้แล้ว มือผมหลุดออกจากแขนเขา ผมหลับตาลงทันที ใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม

“เป็นอะไรครับ” มืออุ่นๆ ของเขาจับหน้าผม เช็ดน้ำตาให้ผมด้วยหลังมือ ริมฝีปากอุ่นๆ ประทับลงบนเปลือกตาของผม มือของเขาวางมือบนหัวผมแล้วลูบเบาๆ ตาของผมเปิดขึ้น ตงฉินคนเดิมของผมกลับมาแล้ว

แทนที่ผมจะหยุดร้องไห้ แต่ยิ่งเขาปลอบผมก็ยิ่งร้องไห้ คนขี้แกล้ง

“ฮึก ฮึก อึ้ก ฮึก” ทั้งร้องไห้ทั้งสะอึก ผมหยุดไม่ได้เลย

เขาออกแรงเพียงนิดเดียวก็ทำให้ผมไปอยู่ในอ้อมกอดเขาแล้ว

“หึ หึ”

หัวเราะ?

ผมได้ยินเสียงเขาหัวเราะ

“ปึ้ก!” ผมทุบเขาไปที คนขี้แกล้ง

“โอ๊ย” เขาร้องลั่น

สมน้ำหน้า ตงฉิน

“โอ๋ โอ๋ นะ ขวัญเอ๋ยขวัญมา” เขาต้องลูบหัวลูบหลังปลอบผมอยู่นานกว่าผมจะเข้าสู่สภาวะปกติ

เขาจับไหล่ผมให้ผมยืนดีๆ มือของเขาดันปลายคางผมให้เชิดขึ้น

เขามองผมด้วยสายตาอ่อนโยน

“ไหนดูหน้าคนขี้แง หน่อยครับ” ยังมีหน้ามาพูดอีก เพราะใครกันละ?

ผมไม่ตอบอะไรแต่ผมมั่นใจว่าผมส่งค้อนวงใหญ่ให้เขาเลย สะทกสะท้านที่ไหน ผมอยากหยิกเขาให้ตาย

“ตาบวม จมูกแดง ไปหมดแล้ว” เขาหยิบทิชชูใกล้มือมาค่อยๆ เช็ดรอบๆ ดวงตาข้างซ้ายที ขวาที ไล่ไปแก้มผม ก่อนจะเช็ดที่จมูก

“รักนะครับ” ผมเชื่อเขาหมดใจ

“อื้อ รักเหมือนกัน”

หน้าของเขาค่อยๆ ใกล้ผมมากขึ้นทุกที จมูกของเราต่างฝังลงบนแก้มของกันและกัน ริมฝีปากที่อยู่แค่คืบของเขาค่อยๆ บรรจงลงบนริมฝีปากผมละเลียดชิมอย่างละเมียดละไมราวกับของโปรด รู้สึกดีซะจนผมอยากจะลองทำแบบเดียวกันให้เขาบ้าง แต่เขาไม่หยุดให้ถึงทีผมบ้าง ต้องหยุดเขา จับหน้าเขาไว้ นั่นแหละ

ขยับออกมาสักหน่อย หายใจเข้าลึกๆ

ทำไมสูงจังเนี่ย

“ทำอะไรครับ” ลมหายใจฉินร้อนจัง

“ฉินก้มลงมาอีกหน่อย” ผมเปลี่ยนจากจับหน้าเขาไปบังคับต้นคอเขาให้ใกล้ลงมาอีกหน่อย

ผมรับรู้ถึงความร้อนจากริมฝีปากของเขา ความชื้นนี่ก็ด้วย ผมอยู่นิ่งๆ สักพักแล้วค่อยขยับ แต่มันตะกุกตะกักไม่เห็นง่ายเหมือนที่เขาทำเลย ผมล้มเลิกความพยายาม

เหมือนโลกหมุน เขาเปลี่ยนให้ผมมานั่งบนขอบโต๊ะ แล้วแทรกตัวเองมาอยู่ตรงกลางระหว่างขาของผม

“เก่งมากครับ” เขาลูบหัวผมพร้อมพร้อมกับประโยคนี้ สปอยสุดๆ

“นี่ เทียน ถ้าไม่เลิกมองแบบนี้จะหยุดไม่ได้แล้วนะ” เขาก้มลงมากระซิบข้างหูผม เหมือนเป็นคำเตือน แต่ไม่รู้ทำไมผมไม่อยากให้เขาหยุดเลย

ความเงียบเป็นเหมือนคำตอบ

“อื้อ” ครั้งนี้มันทั้งร้อนแรง ดุดัน รุนแรง หิวกระหาย ลืมหายใจ คงเป็นคำนิยามที่ดีที่สุดของเวลานี้

มือของเขาสอดเขาไปในเสื้อไล้ลูบ บีบ นวดไปทั่วเหมือนผมเป็นดินน้ำมัน มือเขาซนมากๆ ไม่ต้องส่องกระจกผมยังรู้เลยว่าหน้าผมจะแดงแค่ไหน

เขาละริมฝีปากออกไป เว้นช่วงให้ได้หายใจเพียงนิดเดียว แป๊บเดียวที่ผมได้สติคืนมา เขาก็ไม่ปล่อยให้หัวใจผมได้พัก อะไรๆ ของเขามันดันท้องผมอยู่

ถ้าไม่เกาะเขา ผมต้องตกโต๊ะไปแล้วแน่ๆ

“ฉิน ตรงนี้ไม่ได้” ผมใช้เฮือกสุดท้าย ห้ามมือเขาไม่ให้ถอดเสื้อผมออก

“งั้นเกาะไว้แน่นๆ นะ” เขาจับขาผมให้เกี่ยวเอวเขาไว้

ประตูห้องนอนถูกปิดอย่างลวกๆ แสงไฟนอกห้องสาดเข้ามาพอให้เห็นคนสองคนบนเตียงขนาดคิงไซซ์ คนตัวเล็กถูกวางลง ทาบทับด้วยคนตัวโตที่ไม่ละสายตาจากคนรักสักวินาที พรมจูบไปทั่วไปหน้าสวย พร้อมกับถอดเสื้อคนรักออกแม้มีไฟส่องเพียงเล็กน้อยก็ปิดความขาวเนียนไว้ไม่ได้ แทบอดใจไม่ไหวที่จะกลืนกินคนตรงหน้าแต่ก็ต้องอดหวานไว้กินหวานกว่า

คนตัวโตยืดตัวขึ้น ถอดเสื้ออย่างไม่รีบร้อน แต่สายตาที่มองคนตัวเล็กกลับร้อนแรง โลมเลีย จนคนถูกมองทนไม่ไหวต้องหันหน้าหนี สร้างความพอใจให้คนมองจนต้องกดยิ้มมุมปากข้างหนึ่งลง ก่อนก้มลงไปชิมตั้งแต่ลำคอระหง อกเนียน ไปจนหน้าท้องเนียน ทั้งจูบ ทั้งเลีย ทั้งกัด กระตุ้นอารมณ์รักให้คนใต้ร่างอย่างท่วมท้น จนเสียงที่พยายามกั้นไว้ ต้องร้องครางออกมาอย่างช่วยไม่ได้ แต่ความรู้สึกที่คิดว่าจะลดลงกลับมากขึ้นอีก

“เสียงเพราะจังครับ”

“อื้อ อ๊ะ อื้อ” ในใจอยากจะตะโกนออกมาเป็นคำด่าแต่สิ่งที่ออกมากลับทำให้คนฟังพอใจ

“จุ๊บ จุ๊บ จุ๊บ!” ความเย็นเหนือขอบกางเกงที่มาพร้อมกับความเสียวซ่านแผ่ไปทั่วท้องน้อย “ยกตัวขึ้นหน่อยครับ จะถอดกางเกงให้จะได้สบายกว่านี้” คนใต้ร่างทำตามอย่างว่าง่าย

“ฉิน เทียนว่า เทียนเมาจูบของฉินแล้วแหละ” เห็นคนรักว่าแบบนั้นก็อดเอ็นดูไม่ได้ จนต้องหยิกแก้มเบาๆ

“เดี๋ยวจะทำให้เมาอย่างอื่นด้วย” เพียงคำพูดเบาๆ กลับชัดเจนในหัวคนฟัง

ว่าแล้วก็ถดตัวลงไปจูบรอบต้นขาสำรวจจนทั่วแต่กลับไม่ยอมแตะต้องสิ่งที่เรียกร้องให้แตะต้องสักที เมื่อคนใต้ร่างรู้สึกผ่อนคลายลงก็ถูกจับโยนห้วงอารมณ์ขึ้นไปบนอากาศครั้งแล้วครั้งเล่า น้ำหล่อลื่นธรรมชาติหลั่งไหลไม่หยุด แต่คนที่ชักนำอารมณ์กลับไม่ยอมทำอะไรสักที เจ้าของร่างกายขยับมือทำตามสัญชาตญาณหวังว่าจะช่วยคลายความอัดอั้นนี้ กลับถูกมือใหญ่กดมือไว้ข้างตัว ได้แต่ค้อนมองด้วยน้ำตาคลอหน่วย คนถูกค้อนจึงได้แตะต้องส่วนอ่อนไหวของคนรัก ยิ่งเสียงครวญครางมากเท่าไหร่จังหวะที่เร็วเท่านั้น เมื่อคนรักถึงทางฝันแล้ว ก็ควรจะถึงทีเขาสักที

สองขาถูกจับชันและแยกออกจนกว้างมากพอให้อีกคนเข้าไปได้ ช่องทางด้านหลังปิดสนิท เจลหล่อลื่นถูกหยิบมากใช้เป็นตัวช่วยเปิดทาง เมื่อเตรียมความพร้อมคนรักเรียบร้อยแล้ว ส่วนใหญ่โตถูกสอดใส่เข้าไปในร่างกายของอีกคน

“หายใจเข้าลึกๆ เก่งมากเทียน คนดี” น้ำเสียงอ่อนนุ่มผิดกับการกระทำหยาบโลน ส่วนแปลกปลอมได้เข้าไปทำความคุ้นชินกับร่างกายอีกฝ่ายแล้ว ไม่นานเสียงครางหวานและเสียงเนื้อกระทบเนื้อที่แสนจะน่าอายก็ดังไปทั่วทั้งห้องเมื่อบทรักครั้งแรกจบลง บทลงโทษสำหรับคนดื้อดึงจึงเริ่มขึ้น ครั้งแล้วครั้งเล่าจนคนดื้อที่ว่าทำท่าจะไม่ไหวบทลงโทษจึงจบลง พอร่างกายได้พักจึงเป็นหน้าที่ของคนตัวโตที่โอบอุ้มคนรักไปชำระทำความสะอาด แต่คงต้องโทษความยั่วยวนของร่างกายแสนหวานนี้ ทำให้ไม่วายถูกรังแกไปอีกยก กว่าจะได้นอนดีๆ ก็ล่วงเข้าวันใหม่ คนตัวเล็กนอนในอ้อมกอดของคนรักอย่างสบาย

คืนนี้ร่างกายของทั้งคู่แนบชิดยิ่งกว่าครั้งไหนๆ หัวใจถูกถักทอให้เชื่อมกันอย่างแน่นหนา



แสงแดดแข็งกระด้างส่องกระทบเปลือกตาของคนที่นอนขดอยู่บนเตียง จนต้องเปิดเปลือกตาขึ้น สิ่งแรกที่เห็นกลับไม่ใช้บรรยากาศนอกหน้าต่างเช่นทุกวัน แต่กลับเป็นคนที่รังแกกันเมื่อคืน ทนความอับอายไม่ไหวจนต้องเอาผ้าห่มมาคลุมโปง

“เป็นไงบ้าง” เหมือนจะถามด้วยความเป็นห่วงแต่น้ำเสียงกลับดูหยอกเย้า

“เป็นอะไร” ยังมีหน้ามาถาม เพราะใคร?

“จำไม่ได้หรอเทียน ให้ทวนให้ไหมครับ” ไม่ว่าเปล่าพลางทำท่าจะดึงผ้าห่มที่คลุมบางคนอยู่ออกไป ร้อนถึงคนข้างในต้องรีบตอบกลับ

“ไม่เป็นไร โอเค จริงๆ เอ่อ ฉินออกไปเถอะ” เป็นคำตอบที่เหมือนคำไล่ยังไงยังงั้น

“ได้ครับ แต่มีอะไรให้ช่วยต้องบอกนะ” คนโดนไล่รับคำอย่างว่าง่าย

คนในผ้าห่มตอบรับและรอจนได้ยินเสียงประตูปิดลง จึงค่อยๆ มุดออกมาจากผ้าห่ม เมื่อขยับขาความปวดร้าวที่ด้านหลังก็จี๊ดขึ้นไปถึงสมอง ต้องปรับตัวอยู่พักใหญ่ จึงพยายามมายืนบนพื้นความจริงอีกข้อก็ฟาดหน้าเข้าให้ ขามันสั่น เดินได้สองก้าวก็ไม่ไหวแล้ว ทันทีที่คิดว่าจะล้ม คนที่คิดว่าออกจากห้องไปแล้วก็เข้ามาช้อนตัวคนรักทันที

“เฮ้ย!! มาจากไหนเนี่ย” คนถูกอุ้มตกใจในตกใจไม่รู้จะอันไหนก่อน

คนอุ้มหัวเราะในคอ ก็แกล้งปิดประตูเฉยๆ ยืนมองอยู่ตั้งนานก็ไม่รู้ตัว ทำท่าทางตลกๆ จนเกือบหัวเราะออกมาตั้งหลายที

“ขอเข้าไปส่งในห้องน้ำ สัญญาว่าจะไม่ทำอะไร” ว่าแล้วเขาก็ไปส่งคนรักอย่างดี ไม่ลืมกำชับให้เรียกมารับออกจากห้องน้ำ เพราะไม่งั้นก็ดื้อจะเดินให้ได้ มีแต่จะเจ็บตัวเพิ่ม

พอได้พิจารณาตัวเองก็พบว่าสภาพดูไม่ได้เลย หัวฟู ปากบวมเจ่อ ต้นคอมีรอยจ้ำแดง จะว่าไปก็แทบทุกจุดของร่างกายไม่เว้นแม้แต่ต้นขาด้านใน น่าอายที่สุด

วันนี้เป็นวันที่ผมอยากอยู่ห่างตงฉินที่สุดแต่เขาเอาแต่ตามติดผม บังคับผมต่างๆ นานา อ้างสารพัดตั้งแต่ออกมาจากห้องน้ำ ไม่ว่าจะเป็น

“เทียนใส่เสื้อผ้าเองไม่สะดวกหรอก เดี๋ยวแต่งตัวให้ อย่าดื้อ!” ไม่สนเลยว่าผมอายจะตายอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าเราจะเอ่อ เปลือยเปล่าต่อหน้ากันมาแล้วก็เถอะ

“นั่งตรงนี้แหละ จะได้ไม่เจ็บไง” ตรงนี้ที่ว่าคือ นั่งบนตักเขา ผมอยากร้องไห้ ดีหน่อยที่เขายอมให้ผมกินข้าวเองได้

และที่หนักสุดก็คงเป็น

“ไม่ต้องอาย เดี๋ยวทาให้ ฉินเห็นมาหมดแล้ว อีกอย่างฉินเป็นคนกล้าทำ กล้ารับผิดชอบ” ผมยืนยันคำเดิม อยากร้องไห้ เรื่องของเรื่องก็คือ เขาเช็คร่างกายผมแล้วตรงนั้นมันแดงๆ เขาเลยถามเพื่อนที่เชี่ยวชาญด้านนี้ แล้วได้ยามาทาเลยดึงดันจะทาให้ผมให้ได้ กว่าจะต่อรองกันได้ เหนื่อยแทบตาย

แต่สุดท้ายเราก็ลงเอยด้วยการนอนกอดกันอยู่ดี


TBC.




ออฟไลน์ lillapine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
EP.15 หลุมหลบภัย

---- จิณพัตต ----

ตงฉินเหมือนเปิดสวิตช์ความหื่นแล้วหาปุ่มปิดไม่เจอ เขาเอาแต่รังแกผม เอาเปรียบผม หาเศษหาเลยจากผม ยิ่งปิดเทอมไม่ต้องพูดถึงแทบจะไม่ได้ทำอะไร จนมีครั้งหนึ่งที่ผมพูดออกไปด้วยความโมโหแต่เขากลับขำ

“ทำไมฉินเป็นคนลามกแบบนี้ ” เขาหัวเราะร่วนจนผมงง

แถมยังเอาแต่ตัวติดผมหนึบ ตั้งแต่ผมแอบหนีเขาก็ไม่ไว้ใจผมแล้ว

ผมเชื่อหนึ่งแล้วว่า ตงฉินนะไม่ใช่คนใจดีนักหรอก พูดถึงหนึ่งแล้วหลังเกิดเรื่องนั้นฉินไม่ยอมให้ผมคุยกับหนึ่งลำพังเลย เขาว่ากลัวจะพากันทำอะไรเสี่ยงอันตรายอีก ผมไม่ใช่เด็กแปดขวบสักหน่อย แต่ช่วงนี้นอกจากตงฉินจะต้องไปทำงานที่โรงแรม ยังต้องไปช่วยงานคุณแม่ด้วย และวันไหนที่เขาไม่ต้องทำงานเขาก็เอาตัวแปะผมไว้ เขาบอกว่าชดเชยช่วงเวลาที่ห่างกันแบบวันนี้

แฟนผมน่ารักจัง

เรานั่งซ้อนกันบนโซฟาตัวยาว ช่วงคอผมมีแขนของเขาพาดผ่านและมือของลูบเส้นผมเล่นสนุกมือ ส่วนผมกำลังปลอบพี่เจนที่พึ่งเลิกกับแฟนผ่านแอปพลิเคชันสีเขียวสุดฮิต

“สงสารพี่เจนเนอะฉิน คบกับคนไม่ดีมาตั้งนาน”

” คนแบบนี้ออกไปจากชีวิตนะดีที่สุดแล้ว ชีวิตจะได้สูงขึ้น” ผมตีแขนเขาเบาๆ

“ปากคอเราะรายนะเดี๋ยวนี้” แล้วยังจะมาทำตาใส ไม่เข้ากับหน้านิ่งๆนั่นเลย

“แย่แล้วมีแฟนปากร้ายแบบนี้ต้องรีบแก้ไข” เขาว่าก่อนจะโน้มตัวลงมาชิมปากผม” เราต้องทำแบบนี้บ่อยๆ ฉินจะได้ซึมซับคำพูดดีๆ จากเทียนไง” โอ๊ย! เขานี่มัน

“นิสัยไม่ดี” ผมค้อนเขา

เขาขมวดคิ้วทำเป็นคิดจริงจัง “แบบนี้ต้องศึกษาพฤติกรรมเทียนแล้วนะ” เขาว่าแล้วก็ดันผมให้ลงไปนอนโซฟา” แบบเนื้อแนบเนื้อไปเลย” เสียงกระเซ่าข้างหูผมนี่มันอะไร แล้วยังมือที่เลื้อยเขามาในเสื้อผมอีก โอเคผมยอมแพ้! แล้วเขาก็ทำการศึกษาพฤติกรรมผมจนพอใจบนโซฟานั้น

ผมเปลี่ยนคำพูดทันไหมที่ว่าแฟนผมน่ารักอะไรนั่น



ผมรู้ตัวอีกทีห้องที่ผมอยู่เตียงที่ผมนอนกลับไม่ใช่ที่เดิม ผมใช้เวลาพอสมควรในการปรับสายตาในความมืด ห้องนี้กว้างกว่าห้องเดิมเป็นเท่าตัว

แสงสว่างจ้าจากดวงไฟมาพร้อมกับคนที่ควรจะนอนข้างผม ตงฉินเดินตรงปรี่เข้ามาหาผมบนเตียง

“ตื่นแล้วหรอครับ” เขานั่งลงริมฝีปากอุ่นๆ ของเขาประทับลงหน้าผากผม

“อือ ฉินที่นี่ที่ไหน” ผมมีคำถามมากมายในหัวเลยละ

“หลุมหลบภัย”

ยังไงนะ

“ไม่ต้องทำหน้างงครับ อยู่ที่นี่ปลอดภัย” เขายังบอกอีกว่าที่คอนโดมันไม่ปลอดภัยมีคนพวกนั้นสะกดรอยตามตลอด

ผมค่อนข้างตกใจที่ตงฉินพูดออกมาแบบนั้น เพราะคอนโดนั้นราคาสูงอยู่ใจกลางเมืองและมีระบบความปลอดภัยดีมาก

เขาบอกเดี๋ยวลงไปทานข้าวกันผมถึงได้เห็นความอลังการทุกพื้นที่ปูด้วยหินอ่อนอย่างดี ลวดลายวิจิตรประณีตแทรกอยู่ตลอดทางที่เราเดิน

นี่มันหลุมหลบภัยแบบไหนกันตงฉิน

ผมจะงอนเขาให้เข็ด! เขาลักพาตัวผมมาแบบไม่บอกก่อน หนำซ้ำยังทิ้งผมให้เคว้งคว้างคนเดียวที่นี่

ผมทำตัวไม่ถูกเดินไปตรงไหนก็จะมีคนเข้ามาถามว่า อยากได้ความช่วยเหลืออะไรไหม สุดท้ายก็มานั่งเหงาๆ ในห้องเหมือนเดิม

เสียงเคาะประตูดึงสติผมให้กลับมา

“ขออนุญาตค่ะ คุณเทียน” ป้านวลเป็นผู้ดูแลบ้านเจริญกิจพาณิชย์

“ครับ ป้านวล” ผมเดินไปเปิดประตู

“ป้าแวะมาดูเผื่อคุณขาดเหลืออะไร”

“ไม่ขาดอะไรครับ เอ่อป้านวลมีอะไรให้ผมช่วยทำไหมอยู่เฉยๆ ก็เบื่อ”

“ขอโทษนะคะคุณ ป้าคุ้นหน้าคุณมากๆ เลยค่ะ เคยเจอกันที่ไหนมาก่อนไหมคะ”

“ไม่ครับ นี่ครั้งแรกเลย” ผมยิ้มเขินๆ ป้านวลอาจจะเคยเห็นผมในทีวีบ้างแหละ

“ถ้าคุณเบื่อหลังบ้านมีสวนนะคะออกไปเดินเล่นได้ค่ะ” ป้านวลพูดพลางทำนิ้วชี้บอกทางและทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกไป “มีอะไรก็บอกป้านะคะป้าไม่รบกวนคุณแล้ว”

ผมใช้เวลาตัดสินใจไม่นานก็พาตัวเองเดินเรื่อยมาจนถึงทางเชื่อมไปยังสวนขนาดใหญ่พืชพันธุ์ไม้ยืนต้นไม้ดอกนานาชนิดพวกมันเติบโตอย่างสวยงามสีเขียวธรรมชาติเป็นพื้นหลังที่ประดับด้วยเหล่าดอกไม้สีสันหลากหลายและมีสระน้ำพุเล็กๆ ตรงกลางให้ความรู้สึกเย็นสดชื่นที่สุด

ผมเห็นคุณตาคนหนึ่งใส่ชุดคนสวนกำลังดูต้นกล้วยไม้อยู่ คนถูกมองรู้สึกตัวแล้วเลยหันมา

“สวัสดีครับ ผมเป็นเพื่อนตงฉินมาขออาศัยที่นี่สักพักนะครับ” ผมแนะนำตัวตะกุกตะกักเพราะสายตาที่จ้องมา

“รู้แล้ว” คุณตาตอบเสียงดุก่อนหันไปดูต้นไม้ต่อ

“คุณตาทำอะไรครับ” ผมทำใจดีสู้เสือเขาไปถามคุณตาสุดดุ

“ถามทำไมจะช่วยรึไง”

“เทียนช่วยได้ครับ”

“โน่นอุปกรณ์ ถ้าทำต้นไม้ฉันพังเธอจะโดนไล่ออกจากที่นี่” สบายมาก ผมเคยดูแลต้นไม้ดอกไม้มานับไม่ถ้วน

แล้วผมก็ช่วยคุณตาแสนดุดูแลต้นไม้อยู่นาน ก่อนคุณตาจะไล่ผมไปเพราะเขาจะต้องไปทำอย่างอื่นแล้ว



ตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมาผมได้รับเกียรติให้เป็นผู้ช่วยอันดับหนึ่ง หลังจากนั้นผมก็ไม่เหงาอีกเลย ทุกวันผมจะรีบไปช่วยคุณตาดูแลสวนเรามีอะไรทำกันทั้งวัน



ส่วนตงฉินนะกลายเป็นคนบ้างานไปแล้ว



เสียงร้องจากโทรศัพท์ทำให้ผมต้องละมือจากงานปลีกตัวออกมารับสาย และคนโทรมาก็ไม่ใช่ใครที่ไหน

“ว่าไงตงฉิน” หลังจากนั้นเขาก็รัวเลย

“คิดถึง อยากกอดเทียนแล้ว” ก็กอดทุกวัน…

“วันนี้ไปดินเนอร์กันแต่งตัวหล่อๆ นะ”

ก่อนจบท้ายด้วยประโยคติดปาก

“รักนะครับ ไว้เจอกันที่บ้านนะ” คำซ้ำๆ ที่ฟังกี่ครั้งก็อุ่นใจทุกครั้ง

“รักตงฉิน” พูดกี่ทีก็เขินทุกที



ตะวันลับขอบฟ้านานแล้วแต่คนที่ให้ผมแต่งตัวหล่อรอก็ยังกลับไม่มา

แปลกมากปกติเขาจะทิ้งข้อความบอกผมไว้ถ้าต้องอยู่ดึก

ไม่มีข้อความทิ้งไว้ โทรศัพท์ก็ไม่รับ

ผมตัดสินใจโทรหาหนึ่ง ตอนแรกหนึ่งบอกผมว่าคิดมากไปแต่หนึ่งคงอดสงสารผมไม่ได้เลยหลุดออกมาว่าตงฉินเขาทำเซอร์ไพรซ์ให้ผมอยู่

ถึงผมจะโล่งใจ แต่ผมรู้สึกไม่ดีเลย

ผมคงกังวลมากไป ผมเผลอหลับทั้งยังนั่งพิงหัวเตียงรู้ตัวอีกทีเพราะท้องร้องประท้วง ดูเวลาก็ล่วงเข้าเที่ยงคืนแล้ว

ไม่ใช่ละนี่มันไม่ปกติจริงๆ

พร้อมกันนั้นเสียงเคาะประตูกับเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ผมก็ดังพร้อมกัน

ใจผมหล่นไปอยู่ใต้ตาตุ่ม

หนึ่ง หน้าจอโทรศัพท์ผมแสดงชื่อคนโทรเข้า มือผมเย็นและหูผมก็ดับทันทีที่ได้ยินคำพูดจากปลายสาย

“ตงฉินอยู่โรงพยาบาล”

ก้อนบางอย่างมันจุกอยู่ที่อก สองเท้าผมก้าวไปที่ประตูอัตโนมัติทันทีที่เปิดมันออกผมก็เจอป้านวลยืนอยู่หน้าห้อง

สีหน้าไม่ดีของป้านวลยิ่งทำให้ผมแย่ลงกว่าเดิม หลังจากป้านวลพูดอะไรบางอย่างกับผมก็ถูกจูงไปตามทางตรงไปหน้าบ้าน รถตู้พร้อมบอดี้การ์ดจำนวนหนึ่งก็ยืนพร้อมอยู่หน้าบ้าน

ใช้เวลาไม่นานเราก็มายืนอยู่ที่โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังในห้องผู้ป่วยนั้นตงฉินของผมหลับตาสนิท สายระโยงระยางเต็มไปหมด

ผมหายใจไม่ออก

ผมใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนอยู่ข้างเขา ร้องเรียกหาเขา

น้ำตาเหือดแห้งไปหมดแล้ว

แต่เขาก็ยังไม่ตื่นมาคุยกับผม

ประตูห้องพักคนป่วยเปิดออก ผู้หญิงร่างเล็กที่ใส่ชุดผู้ป่วยเดินเข้ามาทั้งแขนยังมีสายยึดโยงไปยังเสาถุงน้ำเกลือที่มาพร้อมกัน ผมรีบลุกไปพยุงน้าหยก

น้าหยก…

ก็โดนลูกหลงไปด้วยกับเรื่องนี้ ถูกลอบทำร้าย

อาศัยยามวิกาลทั้งร้านมีแค่น้าหยก พวกนั้นแอบเข้าไปทำลายข้าวของทั้งหมด

แต่ตงฉินคือความผิดพลาด

เขาเข้าไปที่ร้านพอดีจะไปหยิบยืมดอกไม้สวยๆ สักหน่อย

ยังไม่ทันได้เข้าไปชมดอกไม้ ก็ต้องมาฟาดฟัน

ปกป้องน้าหยกสุดกำลังของเขา

และตอนนี้คนดีของผมกำลังพักใช่ไหม?

“นี่แนะ! แอบร้องไห้อีกแล้ว ฮื้ม” ทันทีที่นั่งเรีบร้อยมือเล็กๆ ของน้าหยกก็ตีที่แขนผม “สุดหล่อของน้าหยกตาบวมหมดแล้ว” มือที่วางบนแขนผมก็ลูบเบาๆ ราวกับกำลังปลอบเด็กๆ

ทั้งที่ผมเป็นต้นเหตุทำให้ทั้งน้าหยกและตงฉินต้องเจ็บตัวกันขนาดนี้

เขายังไม่ต่อว่าผมสักคำ ซ้ำยังปลอบผมอีก

ยิ่งทำให้ความรู้สึกผิดเกาะกุมหัวใจผม

“ขอโทษนะครับน้าหยก”

“ไม่ใช่ความผิดของเทียนหรอก เป็นเรื่องในอดีตที่บังเอิญคนต้นเรื่องเป็นคนเดียวกัน” ท่าทีของน้าหยกนิ่งสงบผิดกันกับเรื่องราวอันหนักหน่วงที่ถูกเล่าออกมาจากปาก “รอบนี้พวกมันกลับมาเพื่อจะเอาคืนทั้งของใหม่และของเก่า”

“แต่ว่าตอนนี้ไม่ใช่ตอนนั้น ครั้งนี้น้าจะไม่อยู่เฉยและหนีอีกแล้ว”

TBC

ออฟไลน์ lillapine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
EP.16 สะสาง

ความจริงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

หนีไม่พ้น

นานมาแล้วยี่สิบกว่าปี


ลูกสาวเจ้าของโรงแรมชื่อดังแต่งงานกับลูกชายบริษัทค้าอาวุธยักษ์ใหญ่

ข่าวใหญ่ที่สะเทือนไปทั้งวงการ

ทั้งคู่ต่างก็รู้ว่าการเริ่มต้นใหม่ครั้งนี้จะเต็มไปด้วยขวากหนามแต่ความรักก็ผูกคนหนุ่มสาวไว้แน่นเกินกว่าจะปล่อยกันไป

ความสุขผลิบานอย่างเต็มที่ในใจของทั้งคู่ มันมากขึ้นไปอีกเมื่อครบรอบงานแต่งงานปีที่ 5

ภรรยาบอกสามีว่าเธอกำลังตั้งครรภ์

การตัดสินใจเด็ดขาดจากคนที่กำลังจะเป็นพ่อเพื่อลูกน้อยที่กำลังจะเกิดมา

เขาตัดสินใจลาออกจากบริษัทของครอบครัว ล้างมือจากวงการและจะเป็นพ่อบ้านเต็มตัว

แต่ทว่าวงการนี้ไม่ปรานีผู้ใด ศัตรูไม่สนใจคำประกาศลาออก ถ้ายังมีชีวิตอยู่ก็คือยังอยู่

การห้ำหั่นของทั้งสองฝ่ายไม่มีฝ่ายไหนไม่สูญเสีย

และผู้หญิงคนหนึ่งกับลูกก็สูญเสียสามีและพ่อของเขาไปตลอดกาล

เหลือไว้เพียงความตั้งใจสุดท้ายของเขาที่มีแต่ภรรยาเท่านั้นที่รู้

“เด็กคนนี้ต้องเป็นคนธรรมดา อย่าให้เขาอยู่ในโลกมืดมนแบบผม ผมโชคดีที่เจอคุณ เขาก็โชคดีที่มีคุณเช่นกัน”

นับแต่นั้นก็ไม่มีใครรู้ข่าวคราวของลูกสาวโรงแรมชื่อดังและทายาทของพวกเขาอีกเลย…




ชั้นผู้ป่วยVIPเงียบสนิท ราวกับไม่มีคนอยู่ แต่ทว่าในความเป็นจริงบอดี้การ์ดนับสิบคอยดูแลความปลอดภัยอย่างแน่นหนาตลอดเวลานับตั้งแต่คนป่วยคนนี้เขารับการรักษา

ชายสูงวัยเส้นผมและหนวดเคราของเขากลายเป็นสีขาวเกือบหมดแล้ว หากในเวลาปกติเขาคงเป็นเพียงคนสูงวัยที่เกษียณและมีงานอดิเรกคือการเลี้ยงนกเลี้ยงปลา

ทว่าหลังจากเบอร์โทรศัพท์ที่เคยรู้จักเมื่อเวลานานมาแล้วเป็นเบอร์โทรศัพท์เฉพาะคนในครอบครัว

เบอร์ของลูกชายคนโต แต่เขารู้อยู่แก่ใจว่าตอนนี้คนถือครองมันอยู่คือลูกสะใภ้ใหญ่เพียงคนเดียวของเขา

ไม่มีความลังเลที่จะรับสายสำคัญนี้ และเพียงไม่กี่ประโยคที่ถูกส่งมาจากปลายสายทำให้เขาเดินทางมายังที่นี่ พร้อมกับบอดี้การ์ดที่มากพอจะจัดการกับใครก็ตามที่กล้ามาแตะหลานชายเขา

ณ เวลานี้กลางห้องผู้ป่วย เตียงผู้ป่วยที่รองรับคนคนหนึ่งที่เหมือนลูกชายเขาอย่างกับส่องกระจก

หลานชายที่ถูกขอร้องไม่ให้เจอมาตลอด กำลังนอนนิ่งไม่ได้สติ

สร้างความคับแค้นใจให้แก่คนเป็นปู่อย่างมาก

ครั้งหนึ่งพวกมันพรากลูกชายไปจากเขา ครั้งนี้พวกมันยังทำร้ายหลานชายเขา

กล้ามาก!

ดวงตาวาวโรจน์ไปด้วยความโกรธ

มือที่จับไม้เท้าหัวสิงโตกำแน่น

“จัดการพวกมัน ให้หมด!”

ไม้เท้าถูกกระทุ้งลงพื้นนั่นหมายถึงคำสั่งเด็ดขาดถูกส่งออกไปแล้ว…



--- ตงฉิน -----

สถานที่กว้างใหญ่แต่ไร้ผู้คน

ถนนทอดยาวไม่เห็นจุดจบขนาบข้างไปด้วยหญ้าสีเขียว ผมเดินทอดน่องให้ลมที่พัดเอื่อยๆ ปะทะใบหน้า

จนเหลือบไปเห็นม้านั่งยาวที่มีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงา

ผมคิดว่าจะนั่งพักสักหน่อยค่อยเดินต่อแล้วกัน

พอได้นั่งลงก็เห็นว่าตรงหน้าไกลออกไปไม่เกินยี่สิบก้าวมีแม่น้ำไหลพาดผ่านมีเสียงมวลน้ำเคลื่อนตัวแผ่วเบาประกอบกับมีเสียงนกเสียงร้องเหมือนได้ฟังเพลงเพราะๆ เพลงหนึ่ง

ผมโคตรชอบ

ที่นี่ที่ไหนกัน?

ทำไมผมถึงเพิ่งเคยมา

เสียงหายใจของใครบางคนทำให้ผมหันไปมอง

ที่ข้างๆ ที่มีคนผู้หนึ่งถือวิสาสะนั่งลงอย่างองอาจ

ผมรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาดใจ

เขาเป็นใคร?

ผมรู้สึกปลอดภัยกว่าที่เคยเป็นมาในชีวิต

ในใจไม่มีความกังวล ไม่มีความกลัว

ไม่มีบทสนทนาใดๆระหว่างคนสองคน แต่ก็ปราศจากซึ่งความอึดอัด

ผมหลับตาลง ปล่อยให้ธรรมชาติผ่อนคลายร่างกาย

จวบจนกระทั่งดวงอาทิตย์คล้อยลงใกล้จะลับขอบฟ้าแล้ว ฝูงนกต่างก็บินกลับบ้านของพวกมัน

แรงกระทบที่ไหล่กระตุ้นให้เปลือกตาผมเปิดขึ้น ผมรู้สึกหงุดหงิดที่ถูกรบกวน

ทันทีที่ผมหันไปมองด้วยความรำคาญนั้น

เขากลับมองผมอย่างเอ็นดูที่สุด

เหมือนแววตาที่คุณหยกชอบมองผม

“โตมาอย่างดีเลยนะ” เขาเคยรู้จักผมหรอ

“ผมไม่แน่ใจว่า… เราเคยพบกันมาก่อนใช่ไหมครับ” เขาไม่ตอบและยังคงพินิจใบหน้าผม

“ดวงตาเหมือนแม่มาก มากจริงๆ” เขายิ้มเป็นครั้งแรก “เอาละถึงเวลาต้องกลับแล้ว”

“คุณจะกลับแล้วหรอครับ” ผมถามเขา

“ไม่ใช่ฉันหรอกที่ต้องกลับ” เขาบีบไหล่ผมแน่น” เธอนั่นแหละที่ต้องกลับไปได้แล้ว” เขาชี้ทางให้ผม

ทำไมผมต้องเดินกลับไปทางเดิม?

“ทางนี้รึเปล่าครับ” ผมชี้ทางไปข้างหน้า

เขาส่ายหน้า

“ไม่ ยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องไปทางนั้น” เขายืนยันและจ้องตาผมนิ่ง

ก่อนที่ผมจะกลับผมก็นึกบางอย่างขึ้นได้และถามเขาออกไป

“คุณชื่ออะไรครับ”

“อธิป” เสียงเขาอื้ออึ้งในหัวผม

พ่อ…

“ฝากดูแลคุณหยกด้วยนะ ตงฉิน” เขาดันหลังผมให้หันกลับไป “แถมยังมีใครอีกคนรออยู่ด้วย”

เทียน พ่อรู้จักคนรักของผม

“แล้วเจอกันใหม่ในเวลาที่ถูกต้อง พ่อจะรอตรงนี้”

ผมเหมือนเด็กอนุบาลที่ถูกพ่อแม่ส่งเข้าโรงเรียนครั้งแรก และเมื่อเลิกเรียนเราถึงจะเจอกัน

แต่ผมไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหน

ผมหันหน้ากลับไปมองจุดที่พ่อยืนอยู่

เขายิ้มให้ผม และโบกมือให้ผมเดินต่อ

ถึงผมจะหันหลังมาแล้วแต่ก็สัมผัสได้ว่าเขามองผมจนสุดสายตา

ตาพร่ามัวเหมือนมองผ่านน้ำ แต่ผมยังคงเดินต่อแม้ว่าจะไม่เห็นทางข้างหน้าก็ตาม

ความเย็นสัมผัสเข้าที่ใบหน้าทำให้ผมตื่นขึ้น

“ฉินร้องไห้ทำไมลูก” คุณหยกกำลังใช้มือของเธอเช็ดน้ำตาที่ไหลไม่ขาดสายให้ผม

“คุณหยก ผมเจอเขาแล้ว” ผมสัมผัสได้ถึงความแหบแห้งและสั่นของเสียงตัวเอง

“ใครครับ?”

“พ่อ เขาบอกว่าชื่ออธิป” คุณหยกน้ำตารื้นและกอดผมไว้

“คนเก่งของแม่ แอบหนีไปเที่ยวกับพ่อมานี่เอง”  แม่ลูบหัวผมก่อนผละตัวออก  “เดี๋ยวแม่เรียกพยาบาลมาดูพี่ฉินหน่อยนะครับ”

ขณะทีมหมอและพยาบาลเข้ามาตรวจร่างกายคนป่วยที่เพิ่งฟื้นให้วุ่นหลายอย่าง

ไม่มีใครรู้เลยว่าคนเป็นแม่ที่ต้องเก็บความรู้สึกทรมานมาตลอดหลายวัน ตอนนี้เธอรู้สึกขอบคุณทุกอย่าง

ขอบคุณคนรักของเธอ

อธิป

ทุกวันเธอได้แต่ภาวนา…

‘หากลูกเราหลงทางอยู่ คุณช่วยพาลูกเรากลับบ้านด้วยนะ’

ขอบคุณนะคะ



หลายชั่วโมงแล้วที่ผมฟื้น คุยกับคุณหยกไปหมดทุกเรื่องแล้ว

คนที่ผมอยากจะเห็นหน้ามากก็ยังไม่มาสักที

ในที่สุดผมก็ทนความเหนื่อยล้าของร่างกายไม่ไหว หนังตาหนักจนต้องปิดมันลง

กลางดึกในห้องที่ผมนอนอยู่ ประตูถูกเปิดและปิดอย่างเงียบเชียบ มีคนเดินเข้ามาที่เตียงของผมด้วยน้ำหนักเท้าที่เบาราวกับว่ากลัวผมจะรู้

ใช่ ผมรู้!

คนที่ย่องเข้ามาไม่ปลุก ไม่จับ แต่ผมรู้สึกอย่างจังว่าเขาเข้ามาใกล้ใบหน้าผมมาก นิ้วชี้ของเขาสัมผัสเข้าใกล้ๆ จมูกผมเหมือนกำลังเช็คให้มั่นใจว่าผมยังหายใจอยู่จริงๆ

“ผมยังไม่ตายเทียน” เราสบตากันเป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน หยดน้ำเม็ดสวยหล่นมาจากตาสวยคู่นั้นตกเข้าที่หน้าผม อดไม่ได้ที่จะจูบซับที่แก้ม

“ฉิน อย่าเป็นแบบนี้อีกนะ ไม่งั้นทั้งชีวิตผมก็ไม่พอที่จะชดใช้คืนให้คุณตาและคุณแม่ของฉิน” ความกลัวเด่นชัดในตาเขา ผมได้แต่ดึงเขามากอดเอาไว้

ให้เขามั่นใจว่าผมอยู่ตรงนี้ไม่หายไปไหน



ผมคิดถึงกลิ่นหอมๆ จากตัวเขาจัง

ผมคิดถึงเขามากกว่าที่ผมคิดเอาไว้อีกว่ะ




“ไม่ไปไหนแล้วครับ ยังไม่ทันได้เซอร์ไพรส์เลย”

“ไม่อยากได้สักหน่อย”

“เสียใจนะเนี่ยอุตส่าห์ตั้งใจ” ผมทำเป็นเศร้า

“ไม่คุ้มเลยถ้าฉินต้องเจ็บแบบนี้” นักรบต้องมีบาดแผลกันบ้างนะเทียน แต่ขืนผมพูดออกไปต้องโดนโกรธแน่นอน

“อย่างน้อยก็ไม่ได้เจ็บฟรี “ผมบีบแก้มนุ่มๆ ของคนตรงหน้าที่ตอนนี้ใช้ตาหรี่ตามองผมอย่างไม่แน่ใจ “เปิดโทรศัพท์ดู”

“บุกทลายเครือข่ายขบวนการค้ามนุษย์ เจ้าของธุรกิจชื่อดังมีเอี่ยว” เทียนอ่านหัวข้อประเด็นร้อนในสังคมออนไลน์

“มันจบแล้วเทียน พวกมันหายไปจากชีวิตเราแล้ว”

ส่วนที่ตำรวจจัดการได้ก็ให้เขาจัดการ ส่วนที่ตำรวจจัดการไม่ได้ก็มีคนอื่นพร้อมที่จะจัดการให้

“เป็นไปได้ยังไง” คนดีของผมยังอึ้งไม่หาย “ตงฉินสรุปแล้วคุณเป็นใครกันแน่”



เพราะเหนือฟ้ายังมีฟ้าฉันใด เหนืออำนาจยังมีอำนาจเสมอ

และผมบังเอิญมีส่วนในอำนาจอันที่เหนือกว่า



TBC.

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด