[จีนกำลังภายใน] คู่เพชฌฆาต บทที่ 10 (15/7/2567)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [จีนกำลังภายใน] คู่เพชฌฆาต บทที่ 10 (15/7/2567)  (อ่าน 2258 ครั้ง)

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1051
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-07-2024 11:56:18 โดย juon »

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1051
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
สวัสดีค่ะ อิฉันหายไปนาน  :-[
.
ในที่สุดก็ได้มาอัพเรื่องใหม่แล้ว (เพราะไม่มีใครห้ามไม่ให้มันวายล่ะ<<< ว่าแต่มันยังจะมีใครห้ามหล่อนไม่ให้เขียนวายอีกเหรอยะ  :z6:)
.
เรื่องคู่เพชฌฆาตนี้ ก็เป็นนิยายแนวจีนโบราณกำลังภายในเรื่องแรกที่เขียน ภาษาอาจจะเก่าถึงเก่ามาก เพราะลอกเลียนและได้รับอิทธิพลมาจากสำนวนของ ท่าน ว. ณ เมืองลุง ไอดอลของอิฉันมาล้วนๆ
.
จะทยอยอัพเรื่อยๆ ประมาณสัปดาห์ละตอนเป็นอย่างต่ำค่ะ (จะพยายามให้ถี่กว่านี้นะคะ)
.
เรื่องนี้พระเอกแก่กว่านายเอก2ปี (เยส ในที่สุดก็เขียนพระเอกแก่กว่าออกมาได้แล้ว) พระเอกทรงหมาป่าเดียวดาย ส่วนนายเอกเป็นทรงจิ้งจอกน้อยแอ๊บแบ๊วน่ารัก 5555+
.

ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ
****************************
คู่เพชฌฆาต

บทที่ 1 เพชฌฆาตไร้หน้า


ดินแดนจงหยวน ฤดูใบไม้ผลิ

ชานเมืองยามวิกาล ร้างผู้คน

เดือนเพ็ญลอยเด่นบนท้องฟ้า สายลมเฉื่อยฉิวพัดต้องใบไม้ไหวกระทบกันดังซู่ๆ ซ่าๆ ฟังคล้ายเสียงกระซิบกระซาบของเล่าภูตผี

บนทางสายน้อยปูด้วยศิลาสีขาว ห้อมล้อมด้วยทิวไม้รกครึ้ม มีเพียงแสงจันทร์สีเงินยวงสาดส่อง ปรากฏอาชาพ่วงพีสองตัว เหยาะย่างอย่างแช่มช้าอยู่บนถนน

อาชาตัวแรกเป็นสีขาวปลอด ลักษณะงามสง่า ขนหางเป็นเงาสวย เป็นอาชาฉกรรจ์ที่เต็มไปด้วยพละกำลัง ผู้ควบขี่ก็เป็นบุรุษหนุ่มวัยฉกรรจ์ หน้าตาเคร่งขรึมคมคาย สวมเสื้อคลุมสีขาวบางเบา ทับเสื้อแพรสีเขียวเนื้อดี ตัดเย็บเข้ารูป รองเท้าครึ่งแข้งเป็นสีขาวสะอาดตา ที่ข้างเอวห้อยไว้ด้วยกระบี่อ่อนเล่มหนึ่ง ฝักกระบี่ทำจากไม้หุ้มด้วยเงินดุนลาย ประดับอัญมณีแวววาว ด้ามกระบี่ก็หุ้มด้วยเงิน ดุนลายเป็นอักษรสองตัว

ชิงเจี่ยน (กระบี่ขจี)

ที่ด้ามกระบี่ ห้อยไว้ด้วยพู่สีเหลืองอย่างดีเส้นหนึ่ง ยามอาชาเยื้องย่าง พู่ไหวสะบัด เสื้อผ้าของผู้ขี่ก็พลิ้วไหว ดูสง่างามสูงส่ง ราวหลุดออกมาจากภาพวาดก็มิปาน

ที่ตามหลังมาเป็นอาชาสีดำสนิท ผู้ขี่ก็สวมเสื้อผ้าสีดำสนิท จากรูปร่าง สามารถคาดเดาได้ว่าเป็นบุรุษผู้หนึ่ง ยามนี้เป็นยามวิกาล แสงสว่างหนึ่งเดียวย่อมมาจากจันทร์เพ็ญที่ลอยเด่นอยู่เหนือศีรษะ ทว่ามันกลับสวมหมวกกุยเล้ยคาดแพรดำใบหนึ่ง

บนเส้นทางเปลี่ยวร้างห่างจากตัวเมือง ยังมีอาชาพ่วงพีสองตัว ตัวหนึ่งสีขาว ผู้ขี่เป็นกงจื่อ (คุณชาย) หนุ่มรูปงาม สวมเสื้อแพรสีเขียวเนื้อดี ที่เอวคาดกระบี่สีเขียวเช่นกัน ฝักกระบี่ประดับประดาอัญมณี ใบหน้างามของมันเชิดขึ้นเล็กน้อย แสดงออกถึงความเย่อหยิ่งจองหองพอตัว ขณะที่ด้านหลังของมันห่างไปราวสองจั้ง (ประมาณ5เมตร) มีอาชาพ่วงพีสีดำอีกหนึ่งตัว ผู้ขี่สวมเสื้อผ้าสีดำสนิท สวมหมวกกุยเล้ย (หมวกสานปีกกว้าง) คลุมแพรสีดำปิดบังใบหน้า ที่เอวสะพายดาบหัวตัดเล่มหนึ่ง ปลอกดาบสีดำสนิทเช่นเดียวกัน เสื้อผ้าอาภรณ์ของคนผู้นี้ไม่มีราคาค่างวด ปลอกดาบก็ธรรมดา ท่ามกลางแสงจันทร์กระจ่างฟ้า สองคนบนเส้นทางช่างดูแตกต่างกันราวฟ้าเหว

เสียงเกือกม้ากระทบพื้นหินแทบจะฟังเป็นเสียงเดียว ยามเมื่อกงจื่อหนุ่มเร่งฝีเท้าม้า บุรุษชุดดำก็เร่งฝีเท้าม้า เมื่อฝ่ายแรกผ่อนฝีเท้า ฝ่ายหลังก็ผ่อนฝีเท้าเช่นกัน ไม่ทราบว่าพวกมันขี่ม้าเช่นนี้มาตั้งแต่ออกจากเมืองหรือไม่ แต่ในที่สุดกงจื่อหนุ่มชุดเขียวก็หยุดม้าลง บุรุษชุดดำก็หยุดม้าลงเช่นกัน บังเกิดความเงียบงันขึ้นอึดใจหนึ่ง จากนั้นกงจื่อชุดเขียวก็พลิ้วกายลงจากหลังม้าด้วยท่วงท่าสง่างาม หันมาประสานมือกล่าวกับบุรุษชุดดำ

“พวกเราหยุดสนทนากันที่นี่เป็นไร?”

บุรุษชุดดำมิกล่าวกระไร ทั้งมิเหลียวซ้ายแลขวา กระโดดลงมาหยุดยืนบนพื้นศิลาสีขาวเบื้องล่าง บุรุษผู้นี้มีรูปกายสูงใหญ่เป็นพิเศษ ไหล่กว้าง ร่างเหยียดตรงราวคันทวน เสื้อผ้าสีดำของมัน ดำเฉกเช่นสีของรัตติกาล ใบหน้าของมันซ่อนอยู่ด้านหลังแพรปิดหมวก ในยามวิกาลเช่นนี้ ถึงกับยังสวมไว้อยู่ คล้ายมิต้องการเปิดเผยโฉมหน้าต่อผู้ใดทั้งสิ้น

กงจื่อชุดเขียวมองมันอึดใจก็กล่าวสืบต่อ “ท่านคือเพชฌฆาตไร้หน้า (กุ้ยโฉ่วปู้เมี่ยน) ?”

“อืม”

“เดือนก่อน วันที่สิบห้า ท่านลงมือสังหารคนผู้หนึ่ง?”

“อืม”

กงจื่อชุดเขียวพลันยกกระบี่ขึ้นชูตรงหน้า “ท่านดู คนผู้นั้นที่ท่านสังหารไป ใช่ถือกระบี่เช่นเดียวกับของข้าพเจ้าหรือไม่?”

บุรุษชุดดำคล้ายไม่ต้องการกล่าววาจาใดโต้ตอบใด ส่งเสียง ‘อืม’ สั้นๆ สีหน้าของกงจื่อชุดเขียวเริ่มแปรเปลี่ยนบ้างแล้ว

“ท่านปรากฏตัวขึ้นในยุทธจักรเมื่อสองปีก่อน ก็ลงมือสังหารสี่มืดสี่สว่าง โอวหยางสี่พี่น้องอันชั่วร้าย สร้างชื่อให้ตัวเองในชั่วข้ามคืน สองเดือนถัดมา ท่านยืนขวางขบวนของมือดำเท้าขาว เถียหลูเฟิง สังหารมือคุ้มกันของมันตายในดาบเดียว บีบบังคับมันบริจาคทรัพย์ให้ชาวบ้านยากไร้เป็นเวลาสามเดือน หยางต้าเฉีย (คำเรียกยกย่องผู้กล้าหาญแซ่หยาง) ยังเคยเปรยว่าอยากเชิญท่านมาสนทนาด้วยสักคราหนึ่ง แต่พฤติการณ์ของท่านหลังจากนั้นกลับกลายเป็นเลวร้าย ท่านสังหารเหล็กในผึ้ง เถียนตู เพียงเพราะมันเตะขอทานผู้หนึ่ง ส่วนสองพี่น้องแซ่ซี เพียงเพราะมันชนเข้าใส่ท่าน ท่านก็กำนัลพวกมันด้วยดาบ ยังปล้นขบวนคุ้มภัยของสำนักยู่หลานฮวาไปสามครั้ง รวมแล้วสองปี สูงๆ ต่ำๆ ที่ท่านสังหารไป ล้วนมีไม่ต่ำกว่าสามสิบคน มิว่าชนฝั่งธัมมะหรืออธรรม คล้ายท่านพอใจสังหารท่านก็ลงมือทันที ที่เลวร้ายที่สุดท่านสังหารพวกประดานั้นแล้ว ยังชิงทรัพย์พวกมัน กระทั่งกางเกงรองเท้า ท่านก็ยังถอดไปด้วย นับว่าเลวร้ายยิ่งกว่าเดรัจฉานจริงๆ อสูรทะเลคลั่งในกาลก่อน แม้พฤติกรรมป่าเถื่อนดุร้าย แต่ก็สง่าผ่าเผยน่าเคารพ มิเช่นนั้นไหนเลยผู้คนขนานนามท่านเป็นเทพอสูรได้ แต่เจ้าที่สืบทอดฝีมือท่านมา กลับกลายเป็นเลวร้ายยิ่งกว่าเดรัจฉานไป เทพอสูรผู้นั้นหากเสียชีวิตไป ก็ต้องนับว่าต้องตามิหลับ... แต่ถ้าหากยังอยู่ เฮอะ! ปล่อยผู้สืบทอดเช่นท่านประพฤติตัวอุบาทว์เยี่ยงนี้ ยังถือเป็นยอดคนได้?”

“อืม”

กงจื่อชุดเขียวผู้นั้นถึงกับทนมิได้ ต้องตวาดออกมา “หรือท่านไม่มีปัญญากล่าววาจาอื่นแล้วจริงๆ นอกจากไร้หน้า ก็ไร้เสียงด้วย?”

“ข้าพเจ้ากำลังรอท่านเปิดโอกาสให้กล่าววาจาอยู่ทีเดียว” ครานี้ บุรุษชุดดำส่งเสียงออกมาบ้างแล้ว เสียงของมันไม่หนักไม่เบา เป็นเสียงบุรุษวัยฉกรรจ์แน่แท้ ถึงกับไม่มีโทสะ ไม่มีวี่แววล้อเลียนใดๆ คล้ายมันตั้งอกตั้งใจรอโอกาสได้กล่าววาจาอยู่จริงๆ

“ข้าพเจ้าเห็นกระบี่ของท่านแต่แรกก็ทราบแล้ว ที่เรียกให้ข้าพเจ้าตามมา ย่อมเพราะต้องการถามหาคนผู้นั้น”

“....”

“แต่ในเมื่อท่านสามารถลำเลิกพฤติกรรมทั้งหลายแหล่ของข้าพเจ้าออกมาได้ถึงเพียงนี้ ยังเสียเวลาพ่นน้ำลายอยู่เป็นครึ่งค่อนวัน ข้าพเจ้าไหนเลยหักใจปล่อยให้ท่านกล่าววาจาอยู่ถ่ายเดียวได้”

“....”

“ท่านก็มิได้เข้าใจผิดไป สูงๆ ต่ำๆ ที่ข้าพเจ้าสังหารไป ล้วนเป็นเพราะความพอใจของข้าพเจ้าทั้งสิ้น กรณีโอวหยางสี่พี่น้อง ข้าพเจ้ามิเคยรู้จักพวกมันมาก่อน ข้าพเจ้านั่งดื่มกินอยู่ พวกมันก็ยกมา ดื่มกินส่งเสียงดังยังพอให้อภัยได้ แต่พวกมันถึงกับทุบตีทำร้ายเด็กรับใช้เพียงเพราะทำน้ำชาหก ข้าพเจ้าเห็นแล้วไม่สบใจ จึงเชิญได้เชิญตัวพวกมันออกไป แต่บังเอิญพวกมันชื่อเหม็นอยู่แล้ว ดังนั้นพวกท่านจึงพานเข้าใจผิด สรรเสริญข้าพเจ้าเป็นชนฝ่ายธัมมะไป เถียนตูเตะใส่ขอทานน้อยอ่อนแอ เพียงเพราะมันคลานมาขวางทางเพื่อเก็บห่ออาหารที่คนบังเอิญทำหล่น เหตุผลที่ข้าพเจ้าลงมือต่อมันก็เป็นเช่นเดียวกันกับพวกโอวหยางทั้งสี่ เพียงแต่เถียนตูผู้นี้ดูท่าพอมีชื่อในทำเนียบคนดีอยู่บ้าง ดังนั้นพวกท่านที่ชอบขีดเส้นแบ่งความดีงาม คงคล้ายถูกข้าพเจ้าตบหน้าไปกระมัง”

กงจื่อชุดเขียวเขม่นมองมัน แล้วกล่าว “แล้วชือตี้ (ศิษย์น้องผู้ชาย) ของข้าพเจ้า มิทราบไปกระทำเรื่องใดขัดนัยน์ตาท่าน จึงได้ถูกสังหารไปอย่างเลือดเย็น”

บุรุษชุดดำแค่นเสียงเย็นชาตอบ

“เมื่อสองเดือนก่อน ข้าพเจ้าเดินทางยามวิกาล บังเอิญพบคนพลัดตกน้ำ เป็นยาโถว (คำเรียกเด็กสาว) น้อยนางหนึ่ง ข้าพเจ้างมนางขึ้นมาจากแม่น้ำ เมื่อนางฟื้นมาเห็นสภาพข้าพเจ้าเยี่ยงนี้ก็เข้าใจผิด คิดว่าข้าพเจ้าเป็นยมทูตดำ (ยมทูตดำ-ขาว คนจีนเชื่อว่ายมทูตขาวมารับวิญญาณคนดี ส่วนยมทูตดำมารับวิญญาณคนชั่ว) ก็ตัดพ้อต่อว่าชะตากรรมอาภัพของตัวเอง ข้าพเจ้าสอบถามต่อไปจึงได้ความว่านางที่แท้ต้องการฆ่าตัวตายเพราะถูกบุรุษผู้หนึ่งหลอกลวง ช่วงชิงพรหมจรรย์ของนางแล้วสะบัดหน้าจากไป บุรุษผู้นั้นพอดีเป็นชือตี้ของท่าน”

กงจื่อชุดเขียวส่งเสียงอ้อในคอเป็นเชิงรับรู้ กล่าวสืบต่อ “ดังนั้นท่านจึงเสาะหาตัวมันมาลงโทษ?”

“ถูกต้อง แต่ท่านต้องทราบไว้ บุรุษผู้หนึ่งหากเพียงแค่ทอดทิ้งสตรี มิใช่เป็นโจรเด็ดดอกไม้ (โจรข่มขืน) ในสายตาข้าพเจ้า มิใช่ต้องสังหารให้ตายตกไป ข้าพเจ้าเสาะหาตัวมันพบ ก็ให้มันไปรับผิดชอบต่อยาโถวนางนั้น”

“แต่มันมิยินยอม ท่านจึงได้สังหารมันไป?”

บุรุษชุดดำสั่นศีรษะ “มันต้องยินยอม เนื่องเพราะมันเกรงกลัวดาบในมือข้าพเจ้าจะฟันเข้าใส่ศีรษะมันเป็นอย่างยิ่ง รับปากข้าพเจ้าจะตบแต่งยาโถวน้อยนางนั้นเป็นอนุ ดูแลบิดามารดาของนาง มันยังเชิญข้าพเจ้าไปที่บ้านของมัน เพื่อยืนยันว่าได้กระทำตามที่ให้สัญญาไว้แล้ว”

“ในเมื่อมันได้กระทำตามที่ตกลงไว้ ไฉนท่านยังไม่ปล่อยปละละเว้นมัน”

“ข้าพเจ้าตอนนั้นย่อมปล่อยปละละเว้นมัน อีกหนึ่งเดือนให้หลัง ข้าพเจ้าจึงย้อนกลับไปอีก ครั้งนี้ไม่พบพวกนางทั้งสาม ข้าพเจ้าสอบถามไปๆ มาๆ ก็พบว่ามันหลังจากข้าพเจ้าไปแล้วเจ็ดวัน ก็ได้หารถจัดส่งครอบครัวยาโถวนางนั้นออกจากบ้านไปทันที”

“ดังนั้นท่านจึงฆ่ามัน?”

บุรุษชุดดำพลันแหงนหน้าหัวร่อเสียงดัง “ท่านเห็นข้าพเจ้าเป็นคนไร้เหตุผลปานนั้น มันเป็นกงจื่อรุ่มรวยมีหน้ามีตา ไหนเลยจะตบแต่งอนุไร้หัวนอนปลายเท้าเข้าบ้านได้จริงๆ ข้าพเจ้าเพียงต้องการให้มันปฏิบัติต่อนางอย่างเหมาะสม อย่างน้อยขอโทษนาง วิงวอนนางให้ให้อภัยต่อมัน คาดมิถึงมันถึงกับออกปากจะตบแต่งนางเป็นอนุ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงไม่เคยมีความเชื่อถือมันเลย ต้องย้อนกลับไปอีกครั้ง คราวนี้นับว่ามันได้กระทำเกินไปจริงๆ”

“ในเมื่อท่านก็ทราบ มันต้องไม่ตบแต่งนางเข้าบ้านเป็นอนุจริงๆ มันเพียงรับปากท่านด้วยความหวาดกลัว เมื่อมันส่งพวกนางออกไป ท่านยังถือเป็นความผิดต้องให้มันชดใช้ชีวิตอีก?”

“ถูกต้อง” บุรุษชุดดำตอบเสียงเย็นชา “มันส่งทั้งสามขึ้นรถ ยังให้เงินทองไปอีกหีบหนึ่ง มิพอ สั่งสารถีให้ขับไปในเส้นทางเปลี่ยวร้าง เต็มไปด้วยโจรป่า ข้าพเจ้าเสาะหาจนพบสารถีผู้นี้ จึงทราบแผนการของมันทั้งหมด มันที่แท้ต้องการส่งตัวพวกนางทั้งสามไปให้โจรเหล่านั้นจัดการ ยังดีที่สารถีผู้นี้มิได้โง่เขลา ทราบว่าแม้พวกโจรละเว้นชีวิตมัน แต่เซียวเอี๋ย (นายน้อย) ของมันย่อมไม่ปล่อยมันไว้เป็นเภทภัยแน่ ดังนั้นมันจึงหนีไปหลบอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง”

“ท่านนับว่ามีความพากเพียรจริงๆ คล้ายดั่งยาโถวนางนั้นเป็นเม่ยเม่ย (น้องสาว) ร่วมสายโลหิตของท่านก็มิปาน ถึงกับทุ่มเทเวลาไปเสาะหาสารถีผู้นั้นเพื่อสะสางเรื่องราวแทนพวกนาง”

“นางที่จริงมิได้เกี่ยวข้องใดๆ กับข้าพเจ้าเลย”

“ไม่เกี่ยวข้องเลย?”

“อืม”

“กับคนมิเกี่ยวข้อง ท่านก็ทุ่มเทความพยายามถึงปานนี้?”

“ถูกต้อง ขอเพียงข้าพเจ้าพอใจ ข้าพเจ้าสามารถทุ่มเทได้”

“ชือตี้ของข้าพเจ้านับว่าตอแยเข้ากับตัวเภทภัยแล้วจริงๆ” กงจื่อชุดเขียวกล่าวเสียงหนัก “แม้มันกระทำผิดจริง ท่านไฉนยังต้องชิงทรัพย์มันไปด้วยเล่า ฟังจากที่ท่านโอ่ประโคมตัวเองมา ก็คล้ายเป็นวีรบุรุษผู้หนึ่ง ไม่คล้ายโจรชิงทรัพย์แม้แต่นิดเดียว”

“ข้าพเจ้ามิเคยโอ่ประโคมตัวเองเป็นวีรบุรุษแม้แต่ครึ่งคำ ท่านคิดใส่ไคล้ผู้ใดก็มิควรใส่ไคล้ต่อหน้าเช่นนี้ ส่วนเรื่องชิงทรัพย์ คนเป็นหากมิใช่ยินยอมเอง ข้าพเจ้าต้องไม่ใช้กำลังไปหักหาญฆ่ามันเพื่อชิงทรัพย์สินบนตัวมันเด็ดขาด แต่หากเป็นคนตายแล้ว... คนตายแล้วย่อมพาสิ่งใดติดตัวไปมิได้ เมื่อพาไปมิได้ ก็สู้ให้ข้าพเจ้านำไปใช้ให้เกิดประโยชน์จึงถูกต้อง”

กงจื่อชุดเขียวผู้นั้นถลึงตามองมันด้วยโทสะ ใบหน้าแทบกลายเป็นสีม่วงคล้ำแล้ว “ท่านคล้ายมีความภาคภูมิใจว่าการชิงทรัพย์จากคนตายนี้เป็นเรื่องถูกต้องอย่างยิ่ง?”

“แน่นอน”

“กระทั่งฉกชิงเสื้อผ้าของมันไป ท่านก็ไม่คิดละอายแม้แต่นิดเดียว”

“ถูกต้อง ขอเพียงเครื่องแต่งกายของมันไม่ขาดวิ่น เปรอะเปื้อนโลหิตจนเนืองนอง เราต้องถอดออก นำไปกำนัลต่อคนยากไร้เพื่อให้มีประโยชน์สืบต่อไป สมบัติอื่นบนตัวมันก็เป็นเช่นกันดอก”

กงจื่อชุดเขียวถลึงตามองมันปานจะถลนออกจากเบ้า ชี้มือสั่นระริกส่งเสียงร้องขึ้น “เรื่องผิดมโนธรรมเช่นนี้ ท่านสามารถกล่าวออกมาได้ไม่ติดขัด หรือท่านที่แท้เกิดจากนางคณิกาในรังโจร ถึงกับไม่มีสำนึกความเป็นผู้เป็นคนเหลือเลย”

(มีต่อ)

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1051
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
บุรุษชุดดำพลันเงยหน้าขึ้นหัวร่อเสียงดังลั่น แล้วจึงกล่าววาจาสืบต่อ “ท่านทราบได้อย่างไร เด็กที่เกิดจากนางคณิกาในรังโจรสามารถกล่าววาจาเช่นนี้ได้ ท่านเคยพบมา หรือท่านที่แท้ก็เกิดจากนางคณิกาในรังโจรเช่นกัน จึงสามารถแน่ใจได้?”

กงจื่อชุดเขียวพลันอับจนคำพูดไปทันที ใบหน้าของมันบัดเดียวคล้ำ บัดเดี๋ยวแดง นับว่ามีความอึดอัดคับข้องใจจนแทบคลั่งแล้ว

“ผู้คนส่วนใหญ่โดยปกติย่อมกล่าวหาผู้อื่น ไม่พอใจผู้อื่นตามมุมมองของตัวเองอยู่แล้ว มิใช่เรื่องผิดปกติอันใด แต่ท่านสมควรทราบ หากท่านไม่รู้จักผู้ใดดีพอ ไม่ควรไปกล่าวหามันต่อหน้า ยิ่งไม่ควรพูดจากระทบกระเทียบต่อบุพการีหรือชือฟูเพื่อกระตุ้นโทสะมันเป็นอันขาด เว้นแต่ท่านมั่นใจว่ามีฝีมือเหนือกว่ามันถึงหกเจ็ดส่วน”

“....”

“ข้าพเจ้ายามนี้ยังไม่มีความพอใจจะสังหารท่าน เนื่องเพราะข้าพเจ้าเข้าใจ ท่านเพียงต้องการล้างแค้นให้ชือตี้ ถึงกับต้องการกระตุ้นโทสะข้าพเจ้าด้วยการพาดพิงถึงท่านผู้เฒ่าออกมา แต่ในเมื่อเป็นเรื่องของชือฟู ข้าพเจ้าก็ต้องพูดเพื่อรักษาหน้าท่านสักเล็กน้อย”

“....”

“ฉายาเทพอสูรทะเลคลั่ง ท่านผู้เฒ่ามิได้แต่งตั้งขึ้นมาเอง ท่านยังกล่าวอยู่บ่อยครั้ง ว่าฉายานั้นออกจะหนักหนาสาหัสจนเกินไป ทั้งยังเป็นเพียงฉายาที่คนกลุ่มเล็กๆ ตั้งให้ท่าน ท่านไม่เคยมีความเชื่อถือในฉายานั้นเลย ดังนั้นท่านจึงเสาะหาข้าพเจ้า สั่งสอนวิชาให้ข้าพเจ้า บอกข้าพเจ้าหากสามารถอาละวาดจนคนบนแผ่นดินใหญ่หวาดกลัวต่อข้าพเจ้าได้เมื่อไร ท่านจึงจะยอมรับฉายาเทพอสูรได้เต็มภาคภูมิ”

“กระทั่งเรื่องท่านไม่ให้ความเคารพศพผู้ตาย ชือฟูของท่านก็ภาคภูมิใจได้ด้วย?”

“ที่ชือฟูฝากฝังไว้เป็นเรื่องพลังฝีมือ ส่วนเรื่องไม่เคารพศพ... ยังคงเป็นพฤติการณ์ส่วนตัวของข้าพเจ้า หากท่านสามารถพิสูจน์ได้ว่าพฤติการณ์นี้ชั่วช้าบัดซบจนถึงขนาดมีผู้ฆ่าตัวตายไปเพราะข้าพเจ้าปอกลอกเสื้อผ้าออกจากศพจริงๆ ก็นำมายืนยันให้ข้าพเจ้าดู ข้าพเจ้ารับรองแก่ท่าน จะเลิกพฤติกรรมนี้โดยทันที แต่เท่าที่ทราบ ยังมิมีผู้ใดไปฆ่าตัวตายเพราะเห็นศพถูกถอดเสื้อผ้าทิ้งมาก่อน”

“เจ้า!”

บุรุษชุดดำพลันกล่าวสืบต่อ “ดังนั้นท่านก็มิต้องพิรี้พิไรให้เสียเวลาอีกแล้ว หากท่านคิดลงมือสังหารข้าพเจ้า ก็เร่งลงมือ หากคิดจะสะบัดหน้าจากไป ก็สามารถกระทำได้โดยทันที ข้าพเจ้าบอกท่านไปแล้ว เวลานี้ข้าพเจ้าไม่พอใจจะสังหารท่าน ดังนั้นท่านสามารถออกไปได้อย่างสะดวก มิต้องกลัวข้าพเจ้ากระทบต่อทรัพย์สินใดๆ บนตัวท่าน แต่หากท่านตกลงใจ จะเสี่ยงกับข้าพเจ้าให้จงได้ หากข้าพเจ้าพลาดพลั้งสังหารท่านตายไป ทรัพย์บนตัวท่านกระทั่งกางเกงรองเท้า ก็มิอาจรักษาไว้ได้ดอก”

กงจื่อชุดเขียวขุ่นแค้นจนหน้าเขียวคล้ำ สะบัดกระบี่ออกจากฝัก ตวาดลั่น “โจรชั่ว บิดาจะฆ่าเจ้าเอง”

กระบี่ของคนชุดเขียวเมื่อชักออก ร่างของมันก็พุ่งไปตรงหน้า ประกายกระบี่จากหนึ่ง กระจายเป็นประกายสีเงินนับสิบนับร้อยเส้น แทงฉวัดเฉวียนไปบนร่างของบุรุษชุดดำ

บุรุษชุดดำเพียงขยับตัว ก็หลบประกายกระบี่เหล่านั้นของกงจื่อชุดเขียวได้โดยง่าย มือของมันยังคงกำอยู่บนด้ามดาบ เพียงเอี้ยวตัวไปมา คมกระบี่ของกงจื่อชุดเขียวถึงกับไม่อาจสัมผัสแม้แต่ชายเสื้อของมันได้ด้วยซ้ำ

บนหน้าผากของกงจื่อชุดเขียวปรากฏเม็ดเหงื่อผุดพรายขึ้นมาแล้ว มันที่จริงได้เตรียมการมาอย่างรัดกุม บรรดาสูงๆ ต่ำๆ ที่เพชฌฆาตผู้นี้ลงมือสังหาร ไม่น้อยถือเป็นมืออันดับต้นๆ ของยุทธภพ เพียงสังหารสี่มืดสี่สว่างหยางสี่พี่น้องก็นับว่าเพียงพอจะประกันฝีมือของมัน ผู้คนขนานนามมันเป็นเพชฌฆาตไร้หน้า (กุ้ยโฉ่วปู้เมี่ยน) มิใช่เพราะมันใช้วิธีลอบสังหาร แต่เพราะมันผู้นี้ปกติมิใคร่เปิดเผยใบหน้าตัวเอง มักซ่อนอยู่หลังแพรดำตลอดเวลา ฟังว่าใบหน้าของมันอัปลักษณ์จนต้องสวมหน้ากากไม้ปิดไว้อีกชั้นหนึ่ง มันยามลงมือสังหารผู้ใด ส่วนใหญ่มิเคยเกี่ยวข้องกันมาก่อน ดังนั้นมันจึงเป็นปู้เมี่ยน (ไร้หน้า – ไม่เห็นแก่หน้าผู้ใด/ไม่เปิดเผยตัว) มันทราบพลังฝีมือของมันยังห่างชั้นเพชฌฆาตไร้หน้าผู้นี้อยู่ เพียงแต่มิคาดจะห่างชั้นถึงเพียงนี้

จังหวะที่มันกำลังคิดใคร่ครวญ ว่าควรจะถอยหรือรุกไล่ต่อไปดี บุรุษชุดดำก็พลันกล่าววาจาขึ้น

“ท่านในเมื่อเตรียมการมาแล้ว ไฉนไม่ทดลองใช้ออกมาให้สุดเล่า?”

กงจื่อชุดเขียวสะดุ้งในใจ แต่มันทราบโดยสัญชาตญาณ ผู้ฝึกปรือวิชายุทธ์ ยามเมื่อเอ่ยปากระหว่างต่อสู้ อย่างไรต้องสูญเสียพลังไปส่วนหนึ่ง มันอย่างไรเป็นผู้ฝึกวิชายุทธ์เช่นกัน ย่อมไม่ยอมเสียโอกาสนี้ไปโดยง่าย ดังนั้นจึงพลิกข้อมือ ใช้ออกด้วยกระบวนท่าพันพฤกษ์ผลิใบ (เชียนเจิงไค่จื๋อ) ซึ่งเป็นไม้ตายอันร้ายกาจของสำนักชิงเจี่ยน

กระบี่นี้ตอนใช้ออกมิใช่การแทงแต่เป็นการฟันเฉียง ฟันแล้วยังสามารถฟันต่อไปได้ไม่หยุดยั้ง คล้ายเป็นพฤกษาในฤดูชุนเทียนที่งอกเงยต่อไปได้เรื่อยๆ บุรุษชุดดำยามนี้ไม่สามารถเอี้ยวตัวหลบๆ หลีกๆ ได้อีก พอมันก้าวหลบ ประกายสีเงินยะเยือกสายหนึ่งก็พุ่งอย่างดุร้ายออกมาจากเงาไม้ข้างทาง ถึงกับพุ่งเข้าใส่จุดมิ่งเหมิน (ประตูชีวิต – จุดกลางหว่างเอวด้านหลัง)

การจู่โจมนี้ ถึงกับเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง ท่ามกลางความมืดสลัวยามวิกาล ต่อให้มีนัยน์ตางอกอยู่ด้านหลัง ก็อย่าหวังว่าจะหลบพ้นได้เลย

ชั่วเสี้ยวพริบตานี้ ร่างของบุรุษชุดดำถึงกับสามารถแฉลบออกหลบการโจมตีนั้นได้ ดาบของมันหลุดออกจากฝัก ประกายสีเงินสว่างวาบคล้ายแสงอัสนีบาตร

หรือมันสามารถมีนัยน์ตาด้านหลังที่มองเห็นได้ในความมืด?

คำตอบคือไม่

บุรุษชุดดำย่อมไม่มีดวงตางอกอยู่ด้านหลัง ทั้งมิได้ได้ยินเสียง แต่มันสามารถสัมผัสถึงจิตสังหารได้ ดังนั้นมันจึงสามารถหลบการจู่โจมนี้ได้อย่างฉิวเฉียด อย่าว่าแต่มันคำนวณเอาไว้แต่แรก ฝ่ายตรงข้ามยังซ่อนคนไว้อีก

เสียงร้องโหยหวนดังขึ้น กงจื่อชุดเขียวรั้งกระบี่กลับ ตวาดเสียงลั่น “หยุดไว้!”

บุรุษชุดดำพลันหยุดมือลงจริงๆ ดาบหัวตัดในมือของมันยามนี้มิเพียงสะท้อนแสงจันทร์เป็นสีเขียวคราม ยังปรากฏโลหิตอาบอยู่เป็นสาย

โลหิตนี้ย่อมมาจากคนชุดเขียวอีกผู้หนึ่ง ที่แขนขวาของมันถูกฟันขาดเสมอไหล่ ตอนนี้กลิ้งเกลือกครวญครางเป็นสภาพทุเรศตาอยู่บนทางศิลาสายน้อย

มิเพียงบุรุษชุดเขียวผู้นี้ที่ปรากฏตัวขึ้นมาใหม่ ตอนนั้นนับว่ารอบตัวของมัน ถูกบุรุษชุดเขียวสูงๆ ต่ำๆ ล้อมไว้ทั้งหมด ต่างคนต่างถือกระบี่ทอประกายแวววับบาดตา ในแสงจันทร์สลัว แต่ละคนใบหน้าซีดขาวราวกระดาษ แต่ดวงตากลับแดงฉานด้วยความคั่งแค้น

บุรุษผู้หนึ่งส่งเสียงออกมา “กู้ชือซง (ศิษย์พี่ผู้ชายแซ่กู้) ไฉนท่านสั่งพวกเราหยุดมือ หรือท่านไม่คิดแก้แค้นให้หลี่ชือตี้แล้ว?”

กู้ชือซงผู้นั้นเม้มปากเป็นเส้นตรง มันที่จริงกะเกณฑ์ศิษย์ร่วมสำนักมาซุ่มซ่อนเพื่อหาทางจัดการปู้เมี่ยนผู้นี้อยู่แต่แรก วางแผนก่อกวนโทสะให้คนผู้นี้ลงมือเพื่อหาจังหวะลอบโจมตี ทว่าเมื่อประมือกันมันจึงทราบ พลังฝีมือของมันยังห่างชั้นปู้เมี่ยนผู้นี้นัก ในเมื่อคู่มือที่ตึงมือผู้นี้ ประกาศไม่คิดเอาชีวิตมัน มันย่อมหาทางลงไปเองโดยไม่เสียเลือดเนื้อ มิคาดบรรดาชือตี้ร่วมสำนักของมัน กลับโง่เขลาดุดดั่งลา กระทั่งพลังฝีมือฝ่ายตรงข้ามก็ประเมินมิออก ถึงกับลอบโจมตีโดยมิได้รับการสั่งการ การจู่โจมนี้เมื่อไม่ประสบผลสำเร็จ ไยมิใช่กลายเป็นหันหลังกลับมิได้อีกแล้ว?

กู้ชือซงตอนนี้แม้แน่ใจว่าเพียงมันออกปาก ปู้เมี่ยนผู้นี้บางทีอาจยั้งมือไว้ไมตรีต่อไม แต่หากทำประการนี้มันยังสามารถแบกหน้าไปพบผู้คนได้อีก? ศักดิ์ศรีของมัน หน้าตาของมัน ตอนนี้ก็สำคัญกว่าชีวิตมันแล้ว

ดังนั้น แม้มันมองเห็นดาวเพชฌฆาตยืนอยู่ตรงหน้า ก็ยังต้องกัดฟันกล่าวออกไป “พวกเราล้อมไว้ อย่าให้โจรชั่วนี่หนีไปได้”

กุ้ยโฉ่วปู้เมี่ยนพลันหัวร่อออกมาคราหนึ่ง กล่าวขึ้น “เยี่ยงนี้จึงนับว่าเราติดตามท่านออกมาก็ไม่เสียเปล่า เชิญลงมือได้”

มือกระบี่ชุดเขียวนับรวมสิบสองคน ต่างกระจายกันออกรายล้อมบุรุษชุดดำไว้ สำนักชิงเจี่ยนแม้มิใช่สำนักโบราณเจ้าตำรับอย่างหวูตัง (บู๊ตึ้ง) เส้าหลิน (เซี่ยวลิ้ม) เอ๋อเหมย (ง่อไบ๊) แต่ก็นับว่าเป็นสำนักกระบี่อันดับต้นๆ ของยุทธภพในยุคนี้ เจ้าสำนักคนปัจจุบันนับเป็นรุ่นที่สาม เพลงกระบี่มีความโดดเด่นทั้งรุกรับ ยืดหยุ่นพัวพัน สามารถจัดอยู่ในอันดับสี่ของเพลงกระบี่ได้อย่างเต็มภาคภูมิ

บัดนี้ สูงๆ ต่ำๆ ของสำนักชิงเจี่ยน ต่างเริ่มแทงกระบี่เข้ามาแล้ว กระบี่ทั้งสิบสามเล่มนี้ ต่างไม่ได้แทงพร้อมกันเข้ามาในคราวเดียว เมื่อเล่มหนึ่งแทงพลาดเป้า เล่มสองก็แทงซ้ำ บางครั้งแทงใส่พร้อมกันเพื่อหลอกล่อให้เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้อื่นจู่โจมต่อ นี่เป็นค่ายกลกระบี่ชิงเจี่ยนที่ผู้ใดตกอยู่ในวงล้อมแล้ว ก็อย่าหวังหลุดออกไปได้โดยง่าย

บุรุษชุดดำที่ถูกเรียกเป็นเพชฌฆาตไร้หน้า (กุ้ยโฉ่วปู้เมี่ยน) ตอนนี้นับว่าไม่ปลอดโปร่งแล้วจริงๆ มันหวุดหวิดถูกแทงจุดตายอยู่หลายครั้ง ประกายกระบี่ยิ่งนานยิ่งไวยิ่งแม่นยำ ดาบของมันกลับคล้ายยิ่งนานยิ่งช้าลง

หรือมันจะมาพลาดพลั้งเสียท่าให้ค่ายกลกระบี่ในยามวิกาลเช่นนี้ได้

ในหมู่ผู้ที่ลงมือ ย่อมมีผู้ที่รู้สึกว่าพวกตัวเองกำลังได้เปรียบอักโข หากตนสามารถสังหารเพชฌฆาตไร้หน้าผู้นี้ได้ ไยมิใช่กลายเป็นโด่งดังในชั่วข้ามคืนเช่นกัน ดังนั้นแทนที่พวกมันจะใช้ท่วงท่าตามลำดับขั้นตอน ก็คล้ายลัดขั้นตอนกันขึ้นมาแล้ว

มิว่าค่ายกลใด จะเปล่งอานุภาพสะเทือนขวัญสยบศัตรูร้ายกาจได้ ต้องอาศัยความพร้อมเพรียงร่วมใจของผู้ประสานงาน และต้องกระทำไปตามระเบียบแบบแผน ห้ามมิให้เปิดช่องว่างหรือผิดพลาดอย่างเด็ดขาด

ยามนี้เมื่อเกิดการลัดขั้นตอน สภาพของค่ายกลแปรเปลี่ยน ช่องว่างนี้ปรากฏขึ้นเพียงเสี้ยววินาที ในเสี้ยววินาทีนี้ก็ปรากฏประกายสีเงินดั่งแสงอัสนีบาตพุ่งวาบขึ้นมา

นับว่าเป็นดาบที่เร็วอย่างยิ่ง รุนแรงอย่างยิ่ง และต่อเนื่องอย่างยิ่ง

ดาบนี้เมื่อฟันออก ก็แปรสภาพคล้ายกลายเป็นคลื่นใหญ่นับร้อยนับพัน กระจายออกโดยรอบ ประกายไฟแลบแปลบปลาบในเงาสลัว เสียงเปรื้องๆ ดังสนั่น แทรกด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวน บนท้องฟ้าถึงกับมีหยาดฝนสาดขึ้นไป ฝนที่สาดขึ้นไปย่อมเป็นฝนหยาดโลหิต

บุรุษชุดดำตอนนี้ยังคงยืนอยู่อย่างทระนงบนทางศิลา หลังของมันยังคงเหยียดตรงดั่งเช่นคันทวน ดาบที่หลุดออกจากฝักของมันตอนนี้ก็ถูกอาบด้วยโลหิตจนแทบจะกลายเป็นสีดำสนิทเช่นเดียวกับเสื้อผ้าอาภรณ์ของมัน แต่หมวกกุยเล้ยคลุมแพรใบนั้นได้หลุดออกจากศีรษะของมันไปแล้ว ภายใต้แสงจันทร์ในคืนเดือนเพ็ญ จึงส่องให้เห็นเรือนผมสีดำสนิทที่มุ่นมวยสูงไว้ครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งสยายยุ่งเหยิง ใบหน้าของมันซีกหนึ่งขาวซีดราวคนตาย ส่วนอีกซีกหนึ่งกลับดำด่างดั่งมิใช่หนังหน้าของมนุษย์

เป็นหน้ากาก หน้ากากไม้ที่กะดำกะด่างอันหนึ่ง

รอบตัวมันยามนี้กลับกลายเป็นแอ่งโลหิตขนาดใหญ่ ซากศพที่กระจัดกระจายอยู่แทบหาที่ครบสมบูรณ์มิได้ ไม่ถูกฟันตัวขาดไปก็ถูกฟันศีรษะแบะไป มือกระบี่ทั้งสิบสามคน บัดนี้เหลือเพียงกงจื่อชุดเขียวผู้นั้นผู้เดียว

สภาพมันตอนนี้กลับมิคล้ายกงจื่อรุ่มรวยอีก มวยผมของมันยุ่งสยาย ในมือของมันยังมีกระบี่ แต่เป็นกระบี่ครึ่งเล่มที่ถูกฟันหักไป ใบหน้าของมันก็ซีดราวซากศพ ดวงตาสีดำสนิทของมันเหม่อมองบุรุษชุดดำอย่างซึมเซา คล้ายคนตายที่ยืนรอยมทูตดำให้มารับตัวไป

บุรุษชุดดำมองหน้ามันแล้วกล่าว “ตอนนี้ท่านไปได้แล้ว”

กงจื่อชุดเขียวแซ่กู้ผู้นั้นงงงันวูบ ตะกุกตะกักกล่าวออกมา “ให้ข้าพเจ้าไป?”

เพชฌฆาตไร้หน้าผู้นั้นผงกศีรษะ กล่าวสืบต่อ “เราบอกแต่แรกแล้วว่าไม่พอใจจะสังหารท่าน ดังนั้นท่านไปได้”

กู้กงจื่อกวาดตามองซากศพศิษย์ร่วมสำนักของมัน ส่งเสียงสั่นสะท้าน “สภาพเช่นนี้... หรือข้าพเจ้ายังกลับไปได้?”

“ท่านไฉนกลับไปไม่ได้ หรือท่านรู้สึกผิดต่อพวกมัน? เช่นนั้นข้าพเจ้าขอถาม หากเป็นพวกมันเหลืออยู่แทนท่านตอนนี้ ในความเห็นท่าน สมควรให้ข้าพเจ้าฆ่ามัน หรือสมควรให้ข้าพเจ้าปล่อยมัน?”

“.....”

“แต่หากท่านคิดว่าไม่สามารถแบกหน้ากลับไปได้ อย่างนั้นก็พุ่งศีรษะตายไปเสีย ที่สำคัญต้องเลือกต้นไม้ใหญ่โตที่พื้นเบื้องล่างไม่เปรอะคราบโลหิต ข้าพเจ้ารับรอง ผู้ใดเมื่อได้รับเสื้อผ้าชุดนี้ของท่านไป ต้องสรรเสริญความดีของท่านไม่ขาดปาก”

“เจ้า!” กู้กงจื่อกล่าววาจาได้เพียงเท่านั้นก็มิทราบสมควรกล่าวกระไรอีก ในที่สุดก็ยอมสะบัดหน้าเดินกะโผลกกะเพลกจากไป

บุรุษชุดดำรอจนมันขี่ม้าหายลับไปแล้วก็ระบายลมหายใจออก ถึงกับเดินไปก้มๆ เงยๆ คุ้ยหาของมีค่าจากซากศพที่มันเพิ่งสังหารไปจริงๆ!?

............................................
(จบตอน)

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1051
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
บทที่2 พฤติการณ์อันแปลกประหลาด

ลั่วหยาง ราชธานีเก่าอันรุ่งเรือง ความรุ่งโรจน์ในอดีตกาล ณ ปัจจุบันก็ยังหาได้ดับมอดลงไม่

ทว่าที่ใดมีสว่าง ล้วนมีมืด

เมืองใหญ่อันเรืองรอง เมื่อมีย่านที่คึกคัก ฟุ่มเฟือยที่สุด ก็ย่อมมีย่านที่อัตคัด ยากจนที่สุดเช่นกัน

ยามนี้เป็นยามเช้าตรู่ แผงหมี่ซอมซ่อในตรอกคับแคบ เวลานี้ก็มีลูกค้าแล้ว เจ้าของแผงหมี่เป็นชายชราหลังงองุ้ม ผมเผ้าขาวโพลง ยืนลวกหมี่อยู่หน้าแผง นางเฒ่าชราที่เป็นภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากของท่านที่มีหลังงองุ้มไม่แพ้กัน ส่งเสียงบ่นอยู่มิขาดปาก บ่นไปพลางก็ยกชามหมี่ไปวางที่โต๊ะพลาง ที่มานั่งที่แผงหมี่ มีสูงมีต่ำ นับได้สี่คน ล้วนแต่เป็นคนในละแวกนั้นทั้งสิ้น

พวกมันเมื่อชามหมี่วางลงตรงหน้า ก็ก้มหน้าก้มตากินกันโดยมิสนใจสภาพแวดล้อมรอบข้าง คล้ายมีเรื่องเร่งรีบอย่างยิ่งที่จะต้องไปกระทำ

บุรุษชุดดำตอนนี้เดินมาถึงแผงหมี่ มันมิได้สวมหมวก เส้นผมดำสนิทร่วงลงมาปิดหน้ากากไม้กะดำกะด่าง ความจริงด้วยสภาพใบหน้าเช่นนี้ของมัน ไม่ว่าไปที่ใดต้องสามารถกระตุ้นความสนใจของผู้คนได้โดยง่าย แต่เพราะที่นี่เป็นย่านเสื่อมโทรมที่สุดของเมือง ผู้พิกลพิการกว่ามันก็มีให้เห็นกันเป็นปกติ ดังนั้นขอเพียงมันไม่เดินชนเข้ากับผู้ใด ก็ไม่มีใครมาสนใจมันเป็นอันขาด

บุรุษชุดดำมุดเข้ามาในแผงหมี่ ก็ทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามกับขอทานผู้หนึ่ง นางเฒ่าชรารีบพาร่างงองุ้มของนางมายังมันทันที บุรุษชุดดำไม่กล่าวกระไร ยกนิ้วบอกนางว่าต้องการหมี่สองชาม นางเฒ่าผงกศีรษะ แล้วเดินคู้หลังออกไป

ที่นี่ขายหมี่เพียงชนิดเดียว เป็นหมี่เปล่าใส่ผักเค็ม มิว่าผู้ใดเข้ามาก็ไม่ต้องกล่าววาจากับสองสามีภรรยาเฒ่า เพียงบอกจำนวนพวกท่านด้วยนิ้วเท่านั้น เนื่องเพราะยามนี้หูของพวกท่านทั้งคู่ บางทีบอกหนึ่งก็ได้ยินเป็นสามแล้ว

บุรุษชุดดำก็คล้ายมีความคุ้นเคยกับที่นี่ หรือมันก็เป็นผู้อาศัยอยู่ในละแวกนี้เช่นกัน?

รอจนนางเฒ่าผู้นั้นเดินออกไปแล้ว ขอทานที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ก็เงยหน้าขึ้นจากชามหมี่ แย้มยิ้มกล่าววาจาขึ้น “เดือนนี้ท่านมาช้าไปสองสามวัน ผู้เฒ่าทั้งสองท่านนี้ก็ถามหาท่านกับผู้น้องมิได้หยุดปากเลยทีเดียว”

ขอทานผู้นี้หน้าตาแม้หน้าตาสกปรกมอมแมม คล้ายไม่ได้อาบน้ำมาสามวัน แต่ดวงตากลับแจ่มใส เวลากล่าววาจามุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ดั่งมันกำลังยิ้มอยู่ตลอดเวลา

บุรุษชุดดำคล้ายพยายามยกริมฝีปากขึ้นหน่อยหนึ่ง แต่ได้เพียงเล็กน้อยก็ปล่อยตกไป กล่าวตอบ “เรามาช้าเนื่องจากติดกิจธุระอยู่ ท่านผู้เฒ่าทั้งสองไฉนต้องวุ่นวายใจ”

“เนื่องเพราะพวกท่านต่างรู้สึกว่า เดือนใดที่ท่านมา เดือนนั้นการค้าจะคึกคักเป็นอย่างยิ่ง”

“อ้อ...”

“ต้าเกอ (พี่ – คำเรียกยกย่อง) เมื่อวานผู้น้องได้ยินข่าว เพชฌฆาตไร้หน้าอาละวาดสังหารคนอีกแล้ว ครั้งนี้สังหารไปถึงสิบสามคน”

แลเห็นสายตาพิศวงของบุรุษชุดดำ ขอทานผู้นั้นก็หัวร่อฮิฮะแล้วกล่าวสืบต่อ “ที่ผู้น้องทราบ เพราะเมื่อวานนี้ผู้น้องได้ฟังว่ามีกงจื่อผู้หนึ่ง ซื้อโลงในคราวเดียวกันถึงสิบสามโลง”

“เจ้าเพียงได้ยินคนผู้หนึ่งซื้อโลงทีเดียวสิบสามโลง ก็สามารถบรรลุได้เลยว่าผู้ที่จะต้องถูกหามร่างใส่โลงเหล่านั้น ล้วนถูกเพชฌฆาตไร้หน้าผู้นั้นสังหารตายไป?”

ขอทานผู้นั้นหัวร่ออีก พลางโบกมือ “ผู้น้องตอนแรกไม่แน่ใจ รอจนทราบว่าผู้ซื้อโลงคือไผ่หยก (ยู่หวง) กู้เฉียนซี ก็แน่ใจทันที เนื่องเพราะพวกมันเองก็หาตัวเพชฌฆาตผู้นั้นอยู่ร่วมเดือนแล้ว กอปรกับสองสามวันนี้ ฉือต้าเกอมาถึงลั่วหยาง ไม่แวะมาหาผู้น้องที่แผงหมี่ซอมซ่อ กลับตะกายพาสารรูปเช่นนี้ ขึ้นไปกินดื่มบนเหลาสุราที่แพงที่สุดถึงสามวันติด หากมิใช่ต้องการให้พวกประดานั้นเสาะหาท่านพบ ผู้น้องก็คิดเป็นอย่างอื่นมิออกแล้ว”

“เราทราบอยู่แล้วว่าการข่าวของพรรคกระยาจกนั้นรวดเร็วที่สุด แม่นยำที่สุด ว่าแต่นี่มิใช่เรื่องที่เราต้องการฟัง”

“ผู้น้องก็ทราบว่านี่มิใช่เรื่องที่ท่านต้องการฟัง แต่ผู้น้องมีข้อสงสัย ไฉนท่านจึงปล่อยให้ยู่หวง (ไผ่หยก) ผู้นั้นกลับมาซื้อโลงเล่า?”

“ในความเห็นเจ้า ยู่หวงผู้นั้นก็สมควรตาย?”

“ผู้น้องย่อมไม่สามารถตัดสินได้เองว่าผู้ใดสมควรตาย ผู้น้องเพียงสงสัยไฉนมันมิได้ตายพร้อมผู้อื่น หรือตอนท่านลงมือ มันมิได้อยู่ร่วมด้วย?”

“มันต้องอยู่ร่วมด้วย มันที่จริงชักชวนผู้อื่นไปดักลอบเร้น คิดใช้แผนค่ายกลอยู่แต่แรก เพียงแต่ก่อนลงมือ มันถึงกับสามารถลำเลิกพฤติการณ์ของเราออกมาได้แทบทั้งหมด เราจึงเสวนากับมันอยู่ครึ่งค่อนวัน รู้สึกมันมิใช่คนเจ้ายศเจ้าอย่างไร้เหตุผลจนเกินไป เพียงแต่ยังคร่ำครึอยู่บ้าง”

“คร่ำครึเรื่องใด?”

“เรื่องเสื้อผ้าของศพ”

ขอทานผู้นั้นถึงกับกระโดดขึ้นจากเก้าอี้ ปรบมือฉาดหนึ่ง แล้วร้อง “ประการนี้น่ากลัวผู้น้องก็ยังต้องเห็นพ้องกับมัน ท่านที่จริงเป็นคนดีงาม แต่เรื่องนี้ท่านกลับดีงามจนสาหัสเกินไปจริงๆ หากมิใช่เห็นท่านซื้อเสื้อผ้าเหล่านั้นมากับตา ผู้น้องอย่างไรต้องขอปฏิเสธไม่รับเด็ดขาด”

“เฮอะ หรือเจ้าคิดว่า เสื้อผ้าที่เจ้าไปเก็บมาสวมใส่ เจ้าของทั้งหมดล้วนยังมีชีวิตอยู่ดี”

ขอทานผู้นั้นทรุดตัวลงนั่งอีกครั้ง ถอนหายใจกล่าว “ไอ้หยา ต้าเกอ ที่ท่านกล่าวมาก็ไม่ผิด แต่... ให้ผู้น้องสวมใส่เสื้อผ้าที่รู้แน่ว่าถูกถอดออกมาจากศพผู้ตาย ผู้น้องทำใจมิได้จริงๆ”

“เราก็มิเคยมาบังคับให้เจ้าใส่ เจ้าไฉนต้องเป็นเดือดเป็นร้อน”

“ก็ได้ๆ ผู้น้องมิใช่เดือดร้อนแทนพวกมัน เพียงแต่ต้องการบอกท่าน พฤติการณ์นี้ของท่านมิว่าผู้ใดก็ยากจะรับได้จริงๆ”

“เฮอะ”

มันรีบวกกลับมากล่าวเรื่องเดิมอีกครั้ง “ท่านสนทนากับยู่หวงผู้นั้น พลันรู้สึกว่ามันเป็นคนไม่เลว รอจนมันใช้พวกอีกสิบสามคนคุกคามท่าน ท่านก็ยังเห็นว่ามันไม่เลว?”

นางเฒ่าชรายกหมี่ชามใหญ่สองชามมาวางต่อหน้า ขอทานผู้นั้นจึงจำต้องหยุดปากไว้ รอจนฉือต้าเกอกลืนกินไปได้สองสามคำ ก็อดมิได้ต้องถามขึ้นอีก

“นี่... ท่านมิคิดจะตอบคำถามผู้น้องแล้ว”

บุรุษชุดดำกลืนหมี่เข้าไป จ้องหน้ามันแล้วถาม “ตอนนี้เราจึงเริ่มสงสัย เจ้าไฉนต้องถามถึงรายละเอียดเรื่องนี้”

ขอทานผู้นั้นหัวร่อฮาๆ กล่าวตอบ “ฉือต้าเกอของพวกเราที่จริงเป็นคนมีเมตตาอันยิ่งใหญ่ ดังนั้นท่านจึงเป็นฉือต้าเกอ (ฉือ – เมตตา) แต่ความเมตตาของท่านแต่ไหนแต่ไรมิเคยใช้ออกพร่ำเพรื่อ มิเช่นนั้นท่านต้องไม่ถูกเรียกเป็นเพชฌฆาต ที่ผู้น้องสงสัย ปกติท่านไม่เคยละเว้นบุคคลเช่นกู้กงจื่อมาก่อน ไฉนครานี้ถึงกับละเว้นมันได้เล่า”

บุรุษชุดดำมองมันอึดใจแล้วกล่าว “เนื่องเพราะกู้กงจื่อผู้นั้น เมื่อประมือกันก็แสดงให้เห็นว่าไม่คิดจะสังหารเราแล้ว มันเพียงหาทางถอยให้ตัวเองและพวกสายหนึ่ง เราที่จริงอยากทดลองค่ายกลกระบี่ของพวกมันดูสักครั้ง จึงกล่าววาจากระตุ้นโทสะมันไปหลายคำ หลอกล่อให้ผู้ที่ร่วมทางมากับมันเปิดเผยตัวได้สำเร็จ โดยที่มันยังมิทันได้สั่งการ มันเมื่อถูกกดดันจากพวกประดานี้ ที่คิดจะล่าถอยก็กระทำมิได้เสียแล้ว ดังนั้นมันจึงรวมมือกับพวกประดานั้น ใช้ค่ายกลเล่นงานเรา”

“ดังนั้นดาบของท่านก็สามารถมีตางอกเงยขึ้นมา ถึงกับฟันผู้อื่นล้มตาย เหลือมันไว้เพียงผู้เดียวได้?”

“กล่าวตามตรง ดาบของเราย่อมไม่สามารถมีตางอกเงยขึ้นมา ยามชุลมุนเช่นนั้นไหนเลยจะแยกแยะพวกมันออกได้ เพียงแต่เราคำนวณในใจ ทลายค่ายกลพวกมัน ใช้กำลังเพียงสามส่วน กู้กงจื่อผู้นั้นย่อมมีฝีมือเหนือกว่าผู้อื่นอยู่บ้าง จึงไม่ถูกฟันร่างขาดไป นับว่ามันรอดมาได้ด้วยตัวมันเองดอก เราก็ไม่มีความคิดจะสังหารมันอยู่แต่แรกแล้ว จึงได้ไม่ซ้ำเติมทำร้ายมันอีก”

“อ้อ... ที่แท้ก็เป็นเพราะมันมีความสามารถอยู่ส่วนหนึ่ง” ขอทานผู้นั้นผงกศีรษะ แล้วกล่าวสืบต่อ “น่าเสียดาย ฉือต้าเกอลงมือไว้ไมตรีครานี้ คิดว่าพวกมันอย่างไรก็ยังขึ้นบัญชีท่านเป็นศัตรูอันดับหนึ่งอยู่นั่นเอง”

“เราสังหารพวกมันไปนับสิบคน ปล่อยไปเพียงหนึ่ง ย่อมมิได้หวังให้พวกมันสำนึกบุญคุณไม่ไล่ล่าเรา เราแค่คร้านจะสังหารมันก็เท่านั้น”

ขอทานผู้นั้นหัวร่อขึ้นอีก “ท่านถึงเป็นฉือต้าเกอของพวกเราจริงๆ ผู้น้องเสี่ยวเปาคารวะน้ำชาท่านจอกหนึ่ง”

กล่าวจบมันก็คว้าจอกน้ำชาขึ้นมาดื่มเหือดไป ฉือต้าเกอมองแล้วก็ยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย กล่าวขึ้นต่อ “เรื่องราวที่เราฝากฝังเจ้าหาเล่า มีข่าวบ้างหรือไม่?”

ดวงตาของเสี่ยวเปาเป็นประกาย กล่าวขึ้นต่อ “มี ครั้งนี้นับว่าท่านมาไม่เสียเวลาเปล่าแล้ว”

ดวงตาของบุรุษชุดดำก็พลันเป็นประกายขึ้นด้วยเช่นกัน “รีบเล่ามา เจ้าได้ข่าวใด”

“คนผู้นั้นที่ต้าเกอตามหา มิแน่อาจมาจากหุบเขาพิทักษ์ทรัพย์”

“หุบเขาพิทักษ์ทรัพย์?” บุรุษชุดดำทวนคำ “เป็นสถานที่เช่นไร ไฉนเรามิเคยได้ยินมาก่อน”

(มีต่อ)

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1051
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
“ท่านย่อมมิเคยได้ยินมาก่อน ผู้น้องเองก็เพิ่งเคยได้ยินเช่นกัน ฟังว่าสถานที่นี้เร้นลับเป็นอย่างยิ่ง เต็มไปด้วยสมบัติและคัมภีร์โบราณล้ำค่า ผู้ที่อาศัยอยู่ก็ล้วนแต่เป็นยอดฝีมือ เนื่องเพราะพวกมันต้องพิทักษ์รักษาทรัพย์สมบัติในหุบเขา จึงมิค่อยปรากฏตัวสู่โลกภายนอก หากออกมาก็ต้องเก็บงำฝีมืออย่างมิดชิด มิให้กลายเป็นที่แตกตื่นหรือรับรู้แก่ผู้คนทั่วไปโดยเด็ดขาด คนผู้นั้นที่ท่านตามหา ก็มิใช่มีคุณสมบัติเช่นนี้ดอกหรือ? มันปรากฏตัวขึ้นโดยกะทันหัน ทั้งยังมีฝีมือร้ายกาจ แต่กลับไม่คิดแสวงหาชื่อเสียงเลย”

“เจ้าไปได้ยินเรื่องราวเหล่านี้มาจากที่ใด”

“นี่เป็นนิทานในหมู่พวกหัวขโมย”

“นิทาน?” บุรุษชุดดำร้องขึ้น “นิทานก็ถือเป็นข่าวดีได้? ข่าวดีของเจ้านับว่าสาหัสจริงๆ เราไม่ฟาดตัวอุบาทว์เช่นเจ้าให้หนัก น่ากลัวต้องนอนไม่หลับไปสามวันสามคืน”

เห็นบุรุษชุดดำถลึงตาท่าทางเหมือนตั้งใจลงมือใส่มันจริงๆ เสี่ยวเปาผู้นั้นก็รีบละล่ำละลักกล่าว “ต้าเกอท่านต้องฟังผู้น้องก่อน ผู้น้องไหนเลยจะกล้าหยิบนิทานเหลวไหลเลอะเทอะมาบอกเล่าต่อท่านได้”

“หรือในนิทานของเจ้า ก็มีแผนที่ของหุบเขานั้นด้วย”

“หากมีแผนที่ ที่นั่นก็ต้องถูกบรรดาหัวขโมยรุมขุดกันไปนานแล้ว ที่ผู้น้องจะบอกกล่าวกับท่านคือ สถานที่แรกที่ท่านพบกับคนผู้นั้น บางทีอาจมีเบาะแสหลงเหลืออยู่ มิทราบท่านพบกับมันได้อย่างไร?”

บุรุษชุดดำแค่นเสียงขึ้นจมูกคำหนึ่ง กล่าวตอบขึ้น “เราพบมันครั้งแรก เป็นตอนที่เราลงมือปล้นสินค้าจากขบวนคุ้มภัยของสำนักยู่หลานฮวา”

เสี่ยวเปาอ้าปากค้าง “หรือที่ท่านลงมือปล้นขบวนสินค้าของสำนักนี้ติดกันถึงสามครั้ง ก็เพื่อกระตุ้นให้มันโผล่ออกมา”

“ถูกต้อง เราปล้นครั้งแรก ก็ทิ้งจดหมายเรียกตัวมันให้ไปพบ นับว่าสูญเปล่าไปหนึ่งครั้ง”

เสี่ยวเปาโพล่งออกมา “ผู้น้องจำได้ ท่านปล้นครั้งนั้น เพียงเอาฝักดาบทุบบรรดาเปียวชือ (เจ้าหน้าที่คุ้มกันสินค้า) พวกนั้นจนสะบักสะบอม แล้วขโมยรถขนเงินพวกมันไปซ่อนเอาไว้ถึงเจ็ดวัน จึงค่อยลำเลียงไปคืนที่สำนักคุ้มภัยของมันอย่างครบถ้วน นับว่าเป็นการปล้นที่พิลึกพิลั่นอย่างยิ่ง แต่ผู้น้องกลับเข้าใจว่าท่านเพียงต้องการรังควาญเจ้าสำนักคุ้มภัยนั้นเฉยๆ ดอก”

บุรุษชุดดำแค่นเสียงขึ้นจมูกอีก “เราถึงกับใช้ถ่านเขียนบนหน้าพวกมันทุกผู้ เรียกมันไปพบเราสะสางความแค้นสักคราหนึ่ง เจ็ดวันผ่านไปเราคอยอยู่แทบคลุ้มคลั่ง สุดท้ายก็ต้องยกรถขนเงินพวกนั้นไปคืนสำนักของมัน”

เสี่ยวเปาฟังแล้วก็มิทราบเป็นประการใด อดหัวร่อออกมามิได้ “ท่านไฉนมั่นใจว่ามันต้องมาแน่”

บุรุษชุดดำถลึงตามองมัน “เรามิใช่แน่ใจว่ามันต้องมาแน่ แต่หวังว่ามันอาจโผล่ศีรษะมาก็เท่านั้น”

“พอมันไม่โผล่มาท่านก็ลงมือปล้นครั้งที่สองต่อทันที ฟังว่าเป็นการปล้นขบวนเดิม สถานที่เดิมอีกด้วย”

“ถูกต้อง”

“ปล้นครานี้บรรดาเปียวชือพวกนั้นพอเห็นท่าน ก็พากันถอยหนีไปทันที ทิ้งรถพร้อมแท่งเงินขาวไว้ให้ท่านหีบหนึ่ง”

บุรุษชุดดำหรี่ตามองมัน “เจ้าก็รู้รายละเอียดไม่น้อยทีเดียว”

เสี่ยวเปาหัวร่อ “ผู้น้องหากไม่รู้เรื่องพวกนี้ ต้าเกอน่ากลัวต้องพิจารณาไม่ใช้ผู้น้องสืบหาผู้คนให้ท่านแล้ว พวกมันว่าเป็นคำสั่งของจ่งเปียวเถา (ประมุขใหญ่สำนักคุ้มภัย) ตอนนั้นพวกมันยังคิดว่าจ่งเปียวเถาของพวกมันกับท่าน มิทราบผู้ใดวิกลจริตกว่ากัน ท่านปล้นของแล้วส่งคืน ส่วนมันกลับน้อมมอบเงินแท่งแก่โจรได้ ที่สำคัญมันรู้ได้อย่างไรว่าท่านจะลงมืออีก ผู้น้องเองก็รู้สึกพิศวงในเรื่องนี้เช่นกัน”

ไม่รอให้บุรุษชุดดำกล่าวตอบ ก็พลันปั้นสีหน้าเคร่งเครียด กล่าวสืบต่อ “ครั้งนั้นท่านขนหีบเงินไป พวกมันต่างก็เข้าใจว่าท่านรับไมตรีพวกมันแล้ว มิคาด อีกสี่เดือนให้หลัง ท่านกลับลงมืออีก ครั้งนี้ที่จริงไม่อาจเรียกว่าปล้นได้ ต้องเรียกว่าสังหารหมู่จึงถูกต้อง เพราะทรัพย์สินใดมิได้ถูกหยิบฉวยไปเลย หลังสังหารหมู่เปียวชือพวกนั้นแล้ว ท่านถึงกับหอบหีบเงินที่พวกมันเคยทิ้งไว้ให้ท่าน ไปทุ่มไว้ที่หน้าสำนัก แขวนแพรขาวที่เขียนด้วยโลหิตไว้บนป้ายยี่ห้อของมัน ‘รับชำระเป็นเหมยโลหิตประการเดียวเท่านั้น’ ”

กล่าวจบก็ถอดถอนหายใจ “จนถึงวันนี้ ผู้น้องจึงค่อยทราบ ที่แท้เหมยโลหิตที่ว่า น่ากลัวหมายถึงปานรูปดอกเหมยสีแดงบนตัวของคนผู้นั้นกระมัง”

“อืม...”

“อย่างนี้ก็นับว่าสาหัสมากแล้วจริงๆ พฤติการณ์ครั้งนั้นของท่านจัดได้ว่าสะเทือนขวัญผู้คนเป็นอย่างยิ่ง จ่งเปียวเถาผู้นั้นถึงกับทนความอับอายมิได้ หายตัวไปภายในคืนเดียว สำนักของมันก็ล่มสลาย ตอนนี้ถูกผู้อื่นช่วงชิงการค้าไปแล้ว เบาะแสที่ผู้น้องว่า น่ากลัวตอนนี้ก็ไม่หลงเหลืออยู่อีก”

“ผายลม! อาศัยเพียงแค่มูลเหตุจากนิทานเรื่องหนึ่ง เจ้าก็คิดจะปฏิเสธสืบหาคนให้เราแล้ว?”

เสี่ยวเปารีบละล่ำละลักกล่าวขึ้นอีก “ผู้น้องมิใช่ต้องการปฏิเสธต้าเกอ แต่เบาะแสของคนผู้นี้เลือนรางอย่างยิ่งจริงๆ ท่านเพียงบอก มันอายุอ่อนกว่าท่านสองปี เป็นกงจื่อรุ่มรวย นิยมสะพายกระบี่โบราณสูงค่า ขี่ม้าจากนอกกำแพง ในตัวนอกจากมีจี้หยกล้ำค่าชิ้นหนึ่งห้อยอยู่ ยังมีปานรูปดอกเหมยสีแดงที่หัวไหล่ วิชากระบี่ที่มันใช้เรียกว่ากระบี่สนดอกเหมย ข้อนี้ผู้น้องก็สืบได้ความมาแล้วว่าเป็นวิชากระบี่โบราณที่หายสาบสูญไปเนิ่นนาน ผู้ที่บัญญัติขึ้นมาเป็นอัจฉริยะนามเทพสหัสศัสตรา (เชียนลี่ฉีเซียนเหริน) ปัจจุบันวิชานี้ไม่มีค่ายสำนักใดสืบทอด ส่วนนามที่ท่านบอก แม้ผู้น้องหาคนชื่อแซ่นี้พบ แต่ก็มิได้มีบุคลิกตรงกับบุคคลที่ต้าเกอตามหาเลยแม้แต่ผู้เดียว”

“.....”

“บุคคลเช่นมันนี้หากมีตัวตนอยู่ในวงสังคมจริง ย่อมหาพบได้มิยาก ต่อให้มิได้ใช้ชื่อเดียวกันก็ตาม แต่จนตอนนี้ผู้น้องไม่สามารถสืบคลำสิ่งใดออกมาได้เลยแม้แต่เส้นด้ายเดียว เว้นแต่เรื่องเพลงกระบี่ของมัน ต้าเกอท่านลองตรึกดู ในเมื่อมันรุ่มรวยปานนั้น เก่งกาจปานนั้น มันย่อมมิใช่ทายาทผู้ไร้ชื่อเสียง เรื่องที่มันอาจมาจากหุบเขาพิทักษ์ทรัพย์จึงมิใช่เลื่อนลอยเด็ดขาด”

“.....”

เห็นบุรุษชุดดำมีสีหน้าครุ่นคิด เสี่ยวเปาจึงค่อยๆ เลียบเคียงถามขึ้น “มีประการหนึ่งที่ผู้น้องมีความสงสัยเกี่ยวกับตัวบุคคลผู้นี้นานแล้ว มิทราบท่านพอจะ... ตอบคำถามได้หรือไม่?”

“เจ้าถามมา”

“ท่านที่จริงคล้ายรู้จักบุคคลผู้นี้ละเอียดลอออย่างยิ่ง กระทั่งปานที่หัวไหล่ เรื่องนี้หากมิใช่สนิทสนมกันมากจริงๆ ต้องมิอาจทราบได้เด็ดขาด หรือท่านกับมันเคยเป็นสหายกันมาก่อน?”

บุรุษชุดดำพลันยกมือตบโต๊ะจนน้ำแกงในชามกระฉอกขึ้นมา “ผายลม เราตอนพบหน้ามันก็เป็นศัตรูกับมันทันที”

“แต่...”

“มิต้องกล่าวเรื่องใดเกี่ยวกับมันอีกแล้ว” บุรุษชุดดำพลันตัดบท “เดือนหน้าเราจะมาอีก หวังว่านิทานของเจ้าจะมีรายละเอียดเพิ่มขึ้นบ้างก็แล้วกัน”

..................................................
(จบตอน)

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1051
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
บทที่3 จ้าวฉือ

เทพอสูรทะเลคลั่ง

ฉายานี้เพียงเอ่ยก็สะท้านสะเทือนแผ่นน้ำผืนดิน เนื่องเพราะเทพอสูรผู้นี้ เมื่อสามสิบปีก่อน อาละวาดไปทั่วทะเลโป๋ไห่ ใช้เวลาเพียงห้าปีก็สามารถกำราบพวกโจรสลัดทั้งหลาย ขึ้นเป็นหัวหน้าใหญ่ของพวกมันได้

ฟังว่าวิชาที่ท่านใช้เป็นการรวบรวมความโดดเด่นจากหลายคัมภีร์ฝีมือ หลังผ่านประสบการณ์การต่อสู้อันโชกโชน ที่สุดก็ได้บัญญัติออกมาเป็นวิชาเฉพาะตัว

เรียกว่าวิชาดาบสยบธารา และพลังปราณเคลื่อนสมุทร

ในบั้นปลายชีวิตท่านได้ถ่ายทอดวิชาให้กับบุตรชายทั้งเจ็ด แล้วหายสาบสูญ ว่ากันว่าในบรรดาทั้งเจ็ดคน มิมีผู้ใดสามารถบรรลุถึงแก่นแท้วิชาของท่านได้เลย นี่มิอาจตำหนิพวกมันละเลยการฝึกฝน มาตรแม้นพวกมันถือกำเนิดมาจากบิดาคนเดียวกันก็จริง แต่มิได้ถือพรสวรรค์เยี่ยงบิดาของมันติดมาด้วย

ถึงกระนั้นพวกมันทั้งเจ็ดคล้ายมีความถือดีว่าต่างล้วนเก่งกว่าผู้อื่น ดังนั้นภายในช่วงเวลาสามปีให้หลัง พวกมันถึงกับสังหารกันเองจนหมดสิ้น หลักวิชาฝีมืออันสะท้านสะเทือนแผ่นดินนี้ก็คล้ายดับสูญไป

กระทั่งเวลาล่วงเลยไปอีกสิบห้าปี ในแผ่นดินจงหยวนก็ปรากฏดาวเพชฌฆาตขึ้นมาผู้หนึ่ง วิชาที่มันใช้ถึงกับเป็นบัญญัติอันเฉพาะตัวของเทพอสูรทะเลคลั่งผู้นั้น!

ผู้คนเรียกขานมันเป็นเพชฌฆาตไร้หน้า พฤติการณ์ของมันก็คลุ้มๆ คลั่งๆ มิทราบเป็นดีหรือเป็นร้าย แต่ผู้ใดไหนเลยจะทราบ ที่จริงแล้วดาวเพชฌฆาตผู้นี้ มิได้เพิ่งออกสู่ยุทธจักรเป็นครั้งแรก เพียงแต่เมื่อห้าปีก่อน มันยังมิทันได้มีชื่อเสียง ก็ถูกคนผู้หนึ่งพิชิตลงไป คนผู้นั้นมีอ่อนวัยกว่ามันสองปี ยังมีฝีมือเลอเลิศพิสดารยิ่งกว่ามันเสียอีก

...............................................

ฝน... น้ำทิพย์ที่หยาดหยดลงจากฟากฟ้า หล่อเลี้ยงพืชพรรณธัญญาหาร บันดาลให้ผู้คนมีชีวิตที่แช่มชื่นแจ่มใส

ฝน... บางคราก็คล้ายหยาดน้ำตาแห่งความเศร้าโศก หลั่งไหลลงมาอย่างมิขาดสาย พิลาปรำพันต่อชะตาชีวิตที่โหดร้ายอย่างไม่หยุดยั้ง

บุรุษชุดดำยามนี้นั่งอยู่ในมุมที่มืดที่สุดของเหลาสุรา ด้วยสารรูปและพฤติการณ์ของมัน มิว่าก้าวเท้าไปแห่งหนใด ล้วนแต่เป็นที่สะกิดสายตาของผู้คนทั้งสิ้น บุคคลเช่นมัน เมื่อคิดพักหลบฝนในโรงเตี๊ยม ทางที่ดีควรเก็บตัวอยู่แต่บนห้อง เรียกผู้รับใช้นำส่งอาหารเพื่อมิให้พบกับเรื่องเดือดร้อนรำคาญใจ แต่มันกลับเลือกนั่งอยู่ในเหลาสุราที่มีผู้คนมากหน้าหลายตา อาศัยความมืดอำพรางร่องรอย เพื่อฟังการเสวนาของพวกประดานั้น เพียงหวังจะได้ยินร่องรอยของคนผู้หนึ่ง

มันทำเยี่ยงนี้มาเป็นเวลาถึงสองปี สองปีที่มันออกสู่ยุทธจักรอีกครั้ง เรื่องที่คนผู้นั้นกระทำต่อมัน มันมิเคยปริปากเล่าต่อผู้ใดมาก่อน แม้แต่เสี่ยวเปาที่สนิทสนมกับมันมากที่สุด มันก็มิเคยเอ่ยปากบอกเลย

เนื่องเพราะเรื่องที่บุคคลผู้นั้นกระทำต่อมัน เป็นเรื่องที่มิอาจบอกเล่าต่อผู้ใดได้จริงๆ

เสียงสายฝนตกกระทบหลังคา บางทีอาจดังยิ่งกว่าเสียงสนทนาในเหลาสุราด้วยซ้ำ ดังนั้น พวกมันจึงต้องตะเบ็งแข่งกับเสียงฝน ใจความล้วนเป็นเรื่องทั่วไป มีบ้างเกี่ยวกับการสังหารโหดที่เกิดขึ้นเมื่อหลายวันก่อน บุรุษชุดดำฟังไปพลาง ดื่มสุราคีบกับใส่ปากไปพลาง จังหวะนั้น ประตูของเหลาสุราก็พลันถูกผลักเข้ามา ผู้ที่เข้ามาสวมชุดสีขาวปลอด ถือร่มน้ำมันคันใหญ่ บุรุษชุดดำเหลียวหน้าไปมอง หัวใจของมันพลันเต้นถี่ แทบมิอาจบังคับตัวเองมิให้ลุกพรวดขึ้นมา

.............................................

เมื่อสิบห้าปีก่อน ขอทานน้อยผู้หนึ่งอาศัยนั่งขอเศษเงินอยู่บนถนนเส้นที่คับคั่งจอแจที่สุดในลั่วหยาง มันตอนนั้นมีวัยเพียงเจ็ดขวบปี หน้าตาสกปรกมอมแมม เสื้อผ้าขาดกะรุ่งกะริ่ง ตั้งแต่จำความได้ มันรู้จักแต่การนั่งขอทานเท่านั้น ในแต่ละวัน จะมีชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งเรียกกันว่าหนิวต้าเกอ พาพวกมันตระเวนไปขอทานในจุดต่างๆ ตกค่ำจะพาพวกมันไปนอนเบียดเสียดกันในห้องด้านหลังของศาลเจ้าร้างในย่านซอมซ่อ บรรดาขอทานน้อยมีตั้งแต่อายุสามขวบไปจนถึงสิบขวบปี นับจำนวนได้ราวสิบยี่สิบคน นอนเบียดอัดกันอยู่ในห้องคับแคบ สภาพบางทียังอเนจอนาถกว่าลูกสุกรในเล้าเสียอีก

หนิวต้าเกอจะบอกจำนวนเงินที่พวกมันต้องขอให้ได้ในแต่ละวัน ผู้ใดหาได้ต่ำกว่าเกณฑ์จะถูกตีด้วยไม้ เหล่าขอทานน้อยเพราะกลัวถูกตีจับใจ จึงพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เงินมาครบจำนวน กระทั่งลักเล็กขโมยน้อยก็มี

ในบรรดาขอทานน้อยเหล่านี้ มีผู้หนึ่ง แม้ร่างกายผ่ายผอมแต่กระดูกของมันคล้ายหล่อหลอมมาจากเหล็กกล้า มันเป็นผู้หนึ่งที่แทบจะมิเคยหาเงินมาได้ครบตามจำนวนเลยแม้แต่หนเดียว เนื่องเพราะมันมักแบ่งปันเศษเงินที่หาได้ ให้กับบรรดาขอทานที่ตัวเล็กกว่ามัน เพื่อที่จะได้ไม่ต้องถูกโบยตี ส่วนตัวมันเองยินยอมโดนโบยตีครั้งแล้วครั้งเล่า

ดังนั้น พวกขอทานอื่นๆ จึงเรียกมันเป็นอาฉือ (ฉือ – เมตตา)

ตอนนี้อาฉือกำลังนั่งมองถุงใส่เงินที่หว่างเอวของคนที่เดินผ่านไปผ่านมา พลางนึกกับตัวเองว่า หากมันขโมยมาได้สักถุงหนึ่งคงจะดีไม่น้อย แต่หากมันขโมยต่อหน้าผู้คนเช่นนี้ นอกจากจะมิได้เงินในถุงแล้ว น่ากลัวต้องถูกกรมเมืองเอาไปโบยตีอย่างสาหัส ต้องสาหัสกว่าที่หนิวต้าเกอโบยตีมันแน่นอน

ระหว่างนั้นก็มีขอทานน้อยที่ตัวเล็กอย่างยิ่ง สกปรกมอมแมมอย่างยิ่ง ฟันหน้ายื่นพ้นขอบปาก วิ่งกระย่องกระแย่งมาทางมัน ส่งเสียงเรียก “ฉือเกอ” คำหนึ่ง ก่อนจะร่ำไห้เสียงดังสนั่น

อาฉือรีบดึงมันให้นั่งลง รอจนมันหยุดส่งเสียง จึงถาม “เสี่ยวเปา (เหยินน้อย) เกิดเรื่องใด หรือมีผู้ใดทุบตีเจ้า?”

เสี่ยวเปาสะอึกสะอื้นอยู่เป็นค่อนวัน ในที่สุดก็กล่าววาจาออกมาได้ “เสี่ยวเปา... เสี่ยวเปาโดนแย่งถุงเงินไปอีกแล้ว”

อาฉือปั้นหน้าเคร่งเครียดแล้วกล่าว “เป็นผู้ใดแย่งไปอีก เฮยเกอ? โฉ่วเกอ?”

เสี่ยวเปาผงกศีรษะ กล่าวต่ออีก “ทีแรกเสี่ยวเปามิยินยอมให้พวกมัน กอดถุงเงินไว้แน่นๆ อย่างที่ฉือเกอสอน พวกมัน... พวกมันก็เอาดอกหญ้ามาจั๊กจี้เสี่ยวเปา เสี่ยวเปา...”

กล่าวถึงตรงนี้ก็ร่ำไห้ออกมาอีก อาฉือฟังแล้วก็มิทราบสมควรจะหัวร่อ หรือร่ำไห้เป็นเพื่อนมันดี รออยู่ครู่ใหญ่จนมันเริ่มส่งเสียงสะอึกสะอื้นอีก จึงค่อยกล่าวปลอบ

“แล้วก็แล้วไปเถิด เจ้าก็มานั่งข้างฉือเกอที่นี่ รับรองพวกนั้นต้องมิกล้าเอาดอกหญ้ามาจั๊กจี้เจ้าอีกอย่างแน่นอน”

เสี่ยวเปาผงกศีรษะ ยกมือขึ้นปาดน้ำตาออกจากใบหน้า ระหว่างนั้นมีสตรีสองสามนางเดินผ่านมา แลเห็นพวกมันคล้ายพี่น้องสองคนกำลังปลอบกันอยู่ บังเกิดความเห็นใจจึงโยนเงินให้พวกมันคนละเหวินสองเหวิน เสี่ยวเปาเห็นแล้วก็มองพวกนางตาเป็นประกาย เอ่ยปากขึ้นทันที

“ขอบคุณเสียวเจี่ย (คุณหนู) ท่านจึงเป็นเทพธิดากลับชาติมาเกิดแท้ๆ”

ความจริงเสี่ยวเปาหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูอย่างยิ่ง ถึงสกปรกมอมแมมไปบ้าง แต่วาจาที่มันกล่าว แม้เรียบง่ายแต่ก็เป็นถ้อยคำรื่นหูที่ผู้ใดฟังแล้วย่อมไม่อาจหุบยิ้มได้ ดังนั้นพวกนางจึงโยนเงินให้มันอีก

ตรงข้ามจุดที่พวกมันนั่งขอทานอยู่ เป็นโรงเตี๊ยมใหญ่ ชั้นบนที่เปิดเป็นเหลาสุราของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ ยังมีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ตรงระเบียง เป็นบุรุษวัยราวห้าหกสิบปี รูปกายสูงใหญ่ผิดธรรมดา หนวดเคราก็เล็มเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเนื้อดีดั่งคหบดีสูงวัยที่ออกท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ สายตาของคหบดีสูงวัยผู้นี้กำลังจับจ้องไปยังขอทานน้อยสองคนที่นั่งอยู่ แน่นอนว่าขอทานน้อยทั้งสองมิได้รู้สึกตัวเลย

เสี่ยวเปาพอได้เงินมาก็มีสีหน้าดีขึ้น หันไปแย้มยิ้มกล่าวกับฉือเกอของมัน “ท่านดู พวกเราได้มา หนึ่ง... สอง... สาม... สี่... ได้มาถึงห้าเหวิน หากมีนางฟ้าผ่านมาอีกบ่อยๆ พวกเราก็ไม่ต้องถูกตีแล้ว”

อาฉือได้แต่ยิ้มฝืนตอบ ตอนนี้ก็ใกล้พลบค่ำแล้ว ‘นางฟ้า’ ที่เสี่ยวเปาพูดถึง ยิ่งนานจะยิ่งไม่มี มันก้มลงนับเงินในถุงของตัวเอง แล้วหยิบส่งให้เสี่ยวเปาจำนวนหนึ่ง

“เจ้าเก็บไว้ รอจนหนิวต้าเกอมาค่อยยื่นให้”

เสี่ยวเปารีบกล่าวขึ้น “แต่นี่มิใช่เงินของท่านดอกหรือ? ท่านให้เงินเสี่ยวเปาแล้ว ท่านก็ต้องถูกหนิวต้าเกอโบยตี เสี่ยวเปาไม่ต้องการเห็นท่านถูกโบยตี ผู้ที่สมควรถูกโบยตีที่จริงต้องเป็นเฮยเกอโฉ่วเกอคู่นั้นต่างหาก”

“เจ้ามิต้องกังวลแทนเราไป เราแน่ใจสักครู่ต้องมีผู้ใจบุญนำเงินมาให้ วันนี้ไม่ถูกหนิวต้าเกอโบยตีอย่างแน่นอน”

เสี่ยวเปามองมันด้วยความพิศวง แล้วยิ้มอีก “อย่างนั้นเสี่ยวเปาจะช่วยท่านอ้อนวอนผู้ใจบุญนั้นเอง”

‘ผู้ใจบุญ’ ที่อาฉือพูดถึง ปรากฏตัวหลังจากนั้นไม่นาน เป็นกงจื่อรุ่มรวยอายุเยาว์ที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสวยๆ งามๆ สองคน เดินมาพร้อมผู้อารักขาด้านหลังสองคนเช่นกัน อาฉือพอเห็นพวกมันสองคนก็ส่งเสียงเห่าทันที

“โฮ่ง!”

เสี่ยวเปาอ้าปากกว้างแทบจะกลืนไข่ห่านลงไปได้ ขณะที่กงจื่อคู่นั้นยืนหัวร่อจนตัวงอ ผู้อารักขาด้านหลังก็พลอยหัวร่อไปด้วย อาฉือส่งเสียงเห่าแล้วก็กล่าวขึ้น

“ข้าพเจ้าเห่าแล้ว ท่านยังคงต้องจ่ายสิบเหวินมาก่อน”

กงจื่อคู่นั้นหัวร่ออยู่อีกพักใหญ่ ก็ค่อยกล่าววาจาออกมา “เมื่อวานเจ้าเห่า เราจ่ายไปแล้วสิบเหวิน วันนี้เห่าอีกไฉนต้องได้อีกสิบเหวิน?”

“แต่ท่านบอกว่าถ้าข้าพเจ้าเห่าจะได้สิบเหวิน”

“เนื่องเพราะเมื่อวานกว่าเจ้าจะยอมเห่า ใช้เวลาเนิ่นนานอย่างยิ่ง วันนี้เห่าออกมาง่ายๆ ก็คิดจะรับเงินสิบเหวิน โลกนี้ไหนเลยมีเรื่องง่ายๆ เช่นนี้อยู่”

อาฉือพลันขมวดคิ้ว กล่าวสืบต่อ “ท่านหมายความเช่นไร”

“ความหมายคือ เจ้าใคร่ได้เงินมาก เจ้าก็ต้องกระทำเรื่องที่ผู้อื่นกระทำได้ยาก ยกตัวอย่างเช่น... วิ่งมาคลานสี่ขารอบพวกเราสักรอบหนึ่งเป็นไร”

อาฉือเม้มปาก นิ่งคิดอยู่อึดใจ ก็ก้มลงคลานสี่ขาไปรอบๆ กงจื่อสองคนนั้น ทั้งสี่คนยกมือกุมท้องหัวร่อ หนึ่งในกงจื่ออายุเยาว์กล่าวขึ้น

“ดีมากๆ นับว่าเจ้าดูเชื่องคล้ายสุนัขจริงบ้างแล้ว ก้มลงเลียรองเท้าเราหน่อยเป็นไร แล้วเราจะให้เจ้าเพิ่มอีกสิบเหวิน”

ใบหน้าของอาฉือกลายเป็นสีแดงก่ำด้วยความอับอาย แต่ถึงกระนั้น มันก็ยังก้มหน้าลงไป ถึงกับแลบลิ้นเลียรองเท้ากงจื่อผู้นั้นจริงๆ กงจื่อรุ่มรวยผู้นั้นหัวร่อชอบใจ อาศัยจังหวะนั้น เตะใส่มันไปฉาดหนึ่ง อาฉือถึงกับกระเด็นถอยหลัง มุมปากปรากฏเลือดซึมออกมา เสี่ยวเปาเห็นแล้วก็หวีดร้องขึ้น

“ฉือเกอ!”

อาฉือยกมือขึ้นเช็ดโลหิตตรงมุมปาก ถลึงตามอง ขยับตัวเตรียมจะโถมเข้าใส่กงจื่อผู้นั้น แต่ถูกตวาดไว้

“อะไร แค่นี้เจ้าก็คิดจะกัดเราแล้วหรือ เงินยี่สิบเหวินก็ไม่คิดต้องการแล้วกระมัง”

ได้ยินประโยคนั้น อาฉือมีแต่ต้องกล้ำกลืนโทสะไว้ มันทรุดตัวลงนั่ง หอบหายใจแรง กงจื่อสองคนจึงพากันปรบมือ แล้วกล่าว “เยี่ยมมากๆ เจ้านับว่าเลียนแบบสุนัขได้ละม้ายเหมือนกว่าผู้ใดจริงๆ ดังนั้นพวกเราผู้ใจบุญ จะให้เงินเจ้ายี่สิบเหวิน”

กล่าวจบหนึ่งในสองของพวกมันก็ล้วงเอาพวงเหรียญออกมาพวงหนึ่ง เทออกนับ แล้วจึงโยนใส่ลงไปในถุง

“พรุ่งนี้พวกเราจะมาอีก หากเจ้าเลียนแบบได้ละม้ายเหมือนถูกใจ พวกเราจะให้เจ้าอีกสามสิบเหวิน”

กล่าวจบพวกมันก็เดินหัวร่อจากไป เสี่ยวเปารีบเข้าไปหามัน ร้องขึ้น

“ฉือเกอ คนพวกนั้นมิใช่ผู้ใจบุญ ต้องเป็นผีร้ายกลับชาติมาเกิด จึงสามารถกลั่นแกล้งผู้คนเยี่ยงนี้ได้”

อาฉือถ่มน้ำลายปนเลือดออกมา หัวร่อคำหนึ่ง “จะผีร้ายก็ดี ผู้ใจบุญก็ดี อย่างน้อยวันนี้เราได้เงินมาไม่น้อย สามารถช่วยหลายคนมิให้ต้องถูกหนิวต้าเกอโบยตีได้”

มันก้มลงจะเก็บเงินในถุง แต่ยังมิทันได้เอื้อมมือไปสัมผัส เงินในถุงก็ถูกรองเท้ามหึมาของคนผู้หนึ่งเหยียบเอาไว้ พอเงยขึ้นไปก็คล้ายมีภูเขาลูกหนึ่งมาตั้งขวางหน้าอยู่ก็ไม่ปาน อาฉือกัดฟันระงับโทสะแล้วกล่าว

“ต้าเอี๋ย (นายท่าน) มิทราบต้องการให้ข้าพเจ้าทำสิ่งใด?”

(มีต่อ)

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1051
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
คนที่ยืนเหยียบถุงเงิน ถึงกับเป็นคหบดีสูงวัยที่เมื่อครู่นั่งอยู่ที่ระเบียง คหบดีร่างสูงใหญ่ผู้นี้มองมันครู่หนึ่ง จึงกล่าว

“เราต้องการถามเจ้า เพียงแค่เงินยี่สิบเหวิน เจ้าก็สามารถเปลี่ยนจากคนเป็นสุนัขได้?”

“ถูกต้อง”

“ในตัวของเจ้า มิมีศักดิ์ศรีหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่นิดเดียว?”

“หากข้าพเจ้าตอบว่ามี มิทราบต้าเอี๋ยจะให้ข้าพเจ้าสักกี่เหวิน”

“เราต้องไม่ให้เจ้าแม้แต่เหวินเดียว”

อาฉือจึงตอบ “ดังนั้นข้าพเจ้าจึงไม่มีศักดิ์ศรี เนื่องจากมันไม่มีราคาใด”

“ผายลมสุนัขจริงๆ” คหบดีผู้นั้นด่า แต่น้ำเสียงคล้ายกำลังกล่าววาจากับเด็กน้อยที่มันนึกเอ็นดูอยู่ก็มิปาน “แล้วหาก บิดาเหยียบเงินยี่สิบเหวินของเจ้าไว้เยี่ยงนี้เล่า เจ้าจะทำเช่นไร?”

“ข้าพเจ้าพอจะโขกศีรษะขอร้องท่านได้”

“เราไม่ต้องการการโขกศีรษะจากเจ้า”

“เช่นนั้น... ท่านจะให้ข้าพเจ้าทำเยี่ยงไร?”

“ต้องถามเจ้าจะทำเยี่ยงไร”

หยุดคิดไปครู่หนึ่ง อาฉือก็กล่าววาจาขึ้นต่อ “ต้าเอี๋ย นี่ก็มืดค่ำแล้ว ท่านก็เป็นคหบดีร่ำรวย ไฉนมาเสียเวลาเหยียบเงินผู้น้อยเพียงยี่สิบเหวินเล่า”

“เนื่องเพราะเราพอใจ”

“ท่านไฉนจึงไร้เหตุผล” เสี่ยวเปาตะโกนขึ้นมา “เพื่อเงินประดานี้ ฉือเกอถึงกับยอมเลียนเป็นสุนัข ท่านก็ยังมาเหยียดหยามมันอีก”

“บิดาก็จงใจเหยียดหยามมันจริงๆ ยังต้องอาศัยเจ้าลูกเต่าน้อยช่วยบิดาอีกแรง”

กล่าวจบก็คว้าคอเสื้อของเสี่ยวเปาขึ้นมาชูไว้ “เจ้าดูลูกเต่าตัวนี้ หากถูกเราโยนขึ้นไปแล้วตกลงมา สภาพจะเป็นเช่นไร”

เสี่ยวเปาตอนนี้กระทั่งคิดร่ำไห้ก็ยังเปล่งเสียงมิออก มันถึงกับตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว อาฉือเห็นดังนั้นก็รีบโขกศีรษะ “วิงวอนต้าเอี๋ยโปรดเมตตา จะให้ข้าพเจ้าทำสิ่งใดก็โปรดสั่งมาเถิด อย่าได้ทำร้ายเสี่ยวเปาเลย”

คหบดีสูงวัยผู้นั้นแค่นเสียงคำหนึ่ง แล้วกล่าว “เพียงเจ้าต่อยใส่บิดาให้เต็มแรง บิดาก็จะยกขาออก ปล่อยลูกเต่าน้อยตัวนี้ทันที แต่บิดาจะเตะเจ้าให้ตายคารองเท้าไป”

อาฉือลุกพรวดขึ้น ยกแขนต่อยใส่คหบดีผู้นั้นเต็มแรงทันที

........................................

“ฉือเกอ!”

อาฉือพลันลุกพรวดพราดขึ้น รู้สึกเจ็บแปลบไปทั่วสรรพางกาย พอเหลียวมองไปรอบตัวก็ให้รู้สึกขนลุกเกรียวทั่วร่าง เนื่องเพราะยามนี้มันกลับอยู่ในห้องหับที่ตกแต่งอย่างสวยงามห้องหนึ่ง ทั้งยังนั่งอยู่บนเตียงที่ปูฟูกนุ่มนิ่ม

หรือว่ามันได้ถูกเตะตายไปแล้วจริงๆ ตอนนี้จึงตื่นขึ้นมาบนสรวงสวรรค์?

ตรงหน้าเตียงมีโต๊ะวางไว้ชุดหนึ่ง บนโต๊ะมีสำรับอาหารวางอยู่ พอเหลือบไปเห็น จมูกก็พลันได้กลิ่นขึ้นมา ท้องก็ร้องโครกคราก อาฉือรีบตะกายลงไปจากเตียง ไม่สนความเจ็บปวดบนร่าง สวาปามอาหารเหล่านั้นอย่างตะกละตะกลาม น้ำตาไหลด้วยความปลื้มปีติ มันดูดนิ้วมือเสียงดังจ๊วบจ๊าบ ไม่เคยได้ลิ้มรสชาติอาหารที่โอชะเยี่ยงนี้มาก่อน

แดนสวรรค์แสนดีเสียนี่กระไร

รอกระทั่งมันสวาปามอาหารสำรับนั้นลงไปหมดสิ้น เทน้ำชาล้างคอแล้ว คนผู้หนึ่งจึงแหวกม่านลูกปัดที่ห้อยระย้าอยู่เข้ามา

เป็นคหบดีรูปร่างสูงใหญ่ดั่งบรรพตผู้นั้นนั่นเอง

เมื่อแลเห็นมัน อาฉือถึงกับอ้าปากค้าง รีบคุกเข่าลงโขกศีรษะ “ขอบคุณท่านเทพเซียนที่เมตตา”

คนผู้นั้นหัวร่อคำหนึ่ง แล้วกล่าว “บิดาหาใช่เทพเซียน บิดาที่จริงเป็นเทพอสูร”

“เทพเซียนก็ดี เทพอสูรก็ดี นับว่าท่านได้ช่วยปลดปล่อยข้าพเจ้าแล้ว หากทราบว่าตายแล้วได้กินอาหารโอชะเยี่ยงนี้ ข้าพเจ้าต้องรีบตายนานแล้ว”

ได้ยินเสียงคหบดีผู้นั้นหัวร่อฮาๆ “ทารกเช่นเจ้าจะรีบตายไปไย”

อาฉือเงยหน้าขึ้นมองมันด้วยความงุนงงสงสัย คนผู้นั้นกล่าวสืบต่อ “เจ้าลุกขึ้น แล้วนั่งให้ดี”

ขอทานน้อยทำตามอย่างว่าง่าย มันลากเก้าอี้ลงนั่ง เหม่อมองดูร่างสูงใหญ่ตรงหน้า แล้วกล่าว “ข้าพเจ้ายังมิตาย?”

“เจ้าย่อมมิตายไปได้ เราไหนเลยจะเตะเจ้าตายไปจริงๆ”

“แล้วเสี่ยวเปา... เสี่ยวเปาเล่า? ท่านได้โยนมันทิ้งหรือไม่?”

“ลูกเต่าน้อยตัวนั้นของเจ้าตอนนี้รับรองว่าต้องสบายดีกว่าผู้ใด เราได้ฝากฝังมันไว้กับเหล่าต้า (พี่ใหญ่, ลูกพี่ – คำเรียกยกย่อง) ของสาขาพรรคกระยาจกที่นี่แล้ว จะมิมีอันธพาลใดไปรีดเร้นเงินทองที่มันหาได้อีกแล้วเด็ดขาด”

“พรรคกระยาจก?” อาฉือทวนคำ คหบดีผู้นั้นมองมันแล้วถอนหายใจยืดยาว

“เจ้ากระทั่งพรรคกระยาจกก็ไม่รู้จัก อืม... เอาเถิดๆ เราบอกต่อเจ้า พรรคนี้เป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ มีสาขากระจายอยู่ทั่วทุกหนแห่ง ขอแค่ที่นั่นมีกระยาจก ก็ย่อมมีสมาชิกพรรคกระยาจก หัวหน้าขบวนการขอทานของเจ้า ที่จริงแล้วก็เป็นศิษย์พรรคกระยาจกเช่นกัน แต่มันกระทำการฉ้อฉล ซื้อเด็กมาจากหมู่บ้านยากไร้ นำมาบังคับขอทาน เรื่องนี้เหล่าต้าได้รับรู้และสะสางเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น เจ้าก็มิต้องเป็นห่วงพวกที่เหลือดอก”

“แปลว่าพวกมันจะไม่ถูกโบย?”

คหบดีท่านนั้นสั่นศีรษะ “เจ้าลูกเต่าน้อยตัวนั้นเล่าให้เราฟังแล้ว เรื่องที่เจ้าปันเงินที่ได้ให้คนอื่นเพื่อที่จะได้มิต้องถูกโบย แต่ตัวเจ้ากลับรับโทษโบยไว้เอง ในที่สุดเราก็ได้รู้เหตุผลว่าทำไมคนเช่นเจ้าจึงกล้ำกลืนฝืนให้เจ้าลูกเต่าร่ำรวยสองตัวนั่นดูถูก เพื่อเงินยี่สิบเหวิน นับว่าเราตำหนิเจ้ารุนแรงเกินไปจริงๆ”

“ท่านตำหนิข้าพเจ้าก็มิเป็นไร อย่างไรเสียที่ท่านตำหนิก็มิได้ผิดไปเลย”

คหบดีท่านนั้นมองมันเนิ่นนาน ก็ถอนหายใจอีก “เจ้ามิสงสัย เราไฉนถึงต้องช่วยเจ้าเอาไว้”

“ข้าพเจ้าย่อมสงสัย แต่ในเมื่อท่านเป็นร่างจำแลงของเทพเจ้า ข้าพเจ้าไหนเลยจะกล้าถามได้”

ได้ยินเสียงคหบดีผู้นั่นหัวร่อดังสนั่น “เราไหนเลยเป็นร่างจำแลงของเทพเจ้า เราก็เป็นเพียงปุถุชนผู้หนึ่ง ที่เก่งกาจกว่าผู้อื่นสักเล็กน้อยเท่านั้น”

“ข้าพเจ้ามิเข้าใจ”

“ตอนนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้าใจ เพียงทราบไว้ บรรดาบุตรทั้งเจ็ดคนของเรา มิมีผู้ใดมีสรีระและความคิดทัดเทียมลูกเต่าน้อยเช่นเจ้าเลยแม้แต่ผู้เดียว เราผู้เป็นบิดานับว่าได้ให้กำเนิดเศษสวะออกมาจริงๆ”

“....”

“ปีนี้เจ้าอายุกี่ขวบปี?”

“ข้าพเจ้ามิทราบ... บางทีอาจเป็นเจ็ด ได้ยินหนิวต้าเกอบอกว่าปีนี้ข้าพเจ้าอายุเจ็ดขวบปี อีกสามปีข้าพเจ้าก็สามารถนำไปใช้งานอย่างอื่นได้”

“ชื่อแซ่ของเจ้าเล่า?”

“ข้าพเจ้ามิมีแซ่ ข้าพเจ้าจดจำได้ก็อยู่กับขบวนของหนิวต้าเกอแล้ว ทุกคนเรียกข้าพเจ้าว่าอาฉือ”

คหบดีผู้นั้นเงียบไปอีกคราหนึ่ง ก็กล่าวขึ้นต่อ “เราแซ่จ้าว นามชินจ้าน ปีนี้เราอายุห้าสิบหก บุตรของเราเจ็ดคนต่างตกตายหมดสิ้นแล้ว ในเมื่อเจ้าไร้แซ่ ส่วนเราไร้บุตร เจ้าก็คำนับเราเป็นบิดาบุญธรรมเถิด”

อาฉือผู้นั่นเบิ่งตากว้างด้วยความยินดี รีบคุกเข่าโครมลงกับพื้น โขกศีรษะทันที “อาฉือคำนับเตียเตีย”

ดวงตาของจ้าวชินจ้านคล้ายมีหยาดน้ำไหลออกมาสายหนึ่ง รีบลุกขึ้น ประคองร่างเด็กน้อยผู้นั้นเอาไว้ทันที “เตียเตียรับไหว้เจ้าแล้ว ต่อไปนี้เจ้าคือจ้าวฉือ ทรัพย์สมบัติและพลังฝีมือของเตียเตียทั้งหมด จะมอบให้เจ้าเป็นผู้สืบทอด”

.....................................
(จบตอน)

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1051
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
บทที่4 กงจื่อชุดขาว

จ้าวฉือเมื่อได้คำนับจ้าวชินจ้านเป็นบิดาบุญธรรมแล้ว ก็ติดตามท่านขึ้นเหนือไปยังหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ แห่งหนึ่ง ผู้คนที่นี่ล้วนแต่มีวัยห้าหกสิบขึ้นไป บางผู้ผมเผ้าขาวโพลน บางผู้ศีรษะล้านเลี่ยน มีสูงมีต่ำ มีอ้วนมีผอม ทั้งหมดล้วนเป็นบุรุษ รุ่งเช้าออกเรือหาปลา ยามสายนั่งอาบแดดพักผ่อน ตกค่ำร่ำสุรา สรวลเสเฮฮาไม่เว้นแม้แต่ละวัน

เรือนของจ้าวชินจ้านตั้งอยู่ในสุดของหมู่บ้าน เป็นเรือนไม้ขนาดกลาง ไม่มีผู้รับใช้ จ้าวฉืออาศัยอยู่กับบิดาบุญธรรมของมันที่นี่เอง

สิ่งที่เทพอสูรทะเลคลั่งถ่ายทอดให้มัน นอกจากวิชาอันเป็นบัญญัติเฉพาะตัวแล้ว ยังมีวิชาทางน้ำ และวิชาหมัดมวย จ้าวฉือแม้ฝึกฝนวิชาอย่างยากลำบาก แต่มันก็มิได้ย่อท้อ ยามว่างจากการฝึกฝน บิดาบุญธรรมของมันก็มักจะเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในทะเลใหญ่บ้าง เกิดขึ้นในแผ่นดินใหญ่บ้าง ล้วนแต่เป็นเรื่องราวของวีรบุรุษ สนุกสนานเร้าใจทั้งสิ้น

กระทั่งเวลาล่วงเลยไปถึงสิบปี จากทารกวัยเจ็ดขวบ บัดนี้มันอายุย่างสิบเจ็ด มีรูปกายสูงใหญ่ดั่งเช่นบิดาบุญธรรมของมันมิผิดเพี้ยน ทั้งยังมีเรี่ยวแรงเหนือธรรมดา ดวงตาของมันสีดำสนิท เป็นประกายแจ่มใส คิ้วดกหนา ใบหน้าคมคาย นับเป็นบุรุษหนุ่มวัยเยาว์ที่มีเค้าหน้าหล่อเหลามิใช่น้อย น่าเสียดายที่มันมิใคร่ยิ้มหรือหัวร่อบ่อยนัก บางทีอาจเพราะมันจริงจังกับทุกสิ่งเกินไป

วิชาดาบสยบธารา นับว่ามันฝึกถึงจุดสูงสุดแล้ว ส่วนพลังปราณเคลื่อนสมุทร ก็ฝึกจนถึงขั้นที่ห้าจากทั้งหมดเจ็ดขั้น สูงกว่าบุตรในสายเลือดของจ้าวชินจ้านทั้งหมด คล้ายดั่งมันถือกำเนิดมา เพื่อรับสืบทอดวิชาของเทพอสูรทะเลคลั่งผู้นี้ก็มิปาน

แต่ว่ามันพอบรรลุถึงขั้นนี้แล้ว ก็หยุดชะงัก มิว่าเพียรฝึกอย่างไรก็ไม่มีความก้าวหน้าขึ้นเลย บิดาบุญธรรมของมันก็คล้ายรุ่มร้อนใจกับเรื่องนี้จนล้มป่วย ยามที่ท่านอาการทรุดลง ก็สั่งให้มันขังตัวเองอยู่ในห้องสิบวัน ฝึกปรือจนกว่าจะบรรลุผลสำเร็จ

แต่สิบวันผ่านไป มันก็มิอาจบรรลุถึงขั้นที่หกได้ เมื่อตอนมันออกมาจากห้อง ก็พบเรือนอันว่างเปล่า บิดาบุญธรรมของมันได้จากไปแล้ว เนื่องเพราะท่านได้สั่งเอาไว้ว่ามิว่าอย่างไรห้ามมิให้รบกวนการฝึก ดังนั้นพวกผู้เฒ่าในหมู่บ้าน จึงได้นำร่างของท่านไปฝังเสียเนิ่นนานแล้ว

ก่อนสิ้นใจ จ้าวชินจ้านทิ้งของไว้ให้มันสองสิ่ง สิ่งแรกคือจดหมาย ปลอบมันว่ามิต้องเสียใจ หากต้องการบูชาดวงวิญญาณของท่าน ก็ขอให้มันนำวิชาที่ได้รับสืบทอด ไปสร้างชื่อในยุทธภพ สิ่งที่สองคือแผ่นหนังจารึกแผนที่แผ่นหนึ่ง มีถ้อยคำสั้นๆ เขียนไว้ ‘หนทางมืดมน ปลายทางมีแสงสว่าง’

จ้าวฉือหลังจากไปเยี่ยมคำนับหลุมฝังศพของบิดาบุญธรรมแล้ว ก็นำเงินที่เหลือในเรือน แจกจ่ายให้บรรดาผู้เฒ่าเหล่านั้นจนหมดสิ้น แล้วจึงออกจากหมู่บ้านไป

มันยามนี้คล้ายเรือลำน้อยที่ออกจากฝั่งเป็นครั้งแรก บิดาบุญธรรมของมันสั่งมันไปแสวงหาชื่อเสียง แต่มันกลับมิทราบว่าสมควรจะแสวงหาเช่นไร ดังนั้นมันจึงออกเดินทางอย่างไร้จุดมุ่งหมาย ระหว่างทางพบเจอผู้ใดประสบความลำบาก ก็เข้าช่วยเหลือเอาไว้ จนเงินทองที่ติดตัวร่อยหรอหมดลง มันจึงเกิดความคิดจะปล้นชิงขบวนคุ้มกันสินค้าขึ้น

ลงมือครั้งแรกมันก็สังหารเปียวชือไปถึงห้าคน หากถามมันว่าเหตุไฉนมันจึงลงมือสังหารบุคคลที่ไม่เคยมีความแค้นต่อมันง่ายดายถึงเพียงนี้ มันต้องตอบว่า

เนื่องเพราะคนพวกนี้มิเกี่ยวข้องกับมัน แต่ทำงานรับใช้บุคคลร่ำรวยเอาเปรียบ ดังนั้นสังหารไปแล้วอย่างไร?

มันนับว่ามีความคิดเช่นนี้จริงๆ

มันนำทรัพย์สินที่ได้จากการปล้นครั้งนี้ ไปบริจาคตามอารามทรุดโทรม ให้แก่หญิงหม้ายและผู้ตกทุกข์ได้ยากที่มันพบระหว่างเดินทาง

เมื่อใช้จ่ายจนหมดสิ้นเกลี้ยงเกลาแล้ว มันก็ลงมือปล้นอีก ครั้งนี้ก็นับว่าประสบความสำเร็จได้โดยง่าย

ดังนั้นมันจึงลงมือเป็นครั้งที่สาม ถึงกับเป็นขบวนของสำนักเดิม และยังลงมือที่จุดเดิม คราวนี้เองจ้าวฉือจึงได้พบกับบุคคลผู้นั้น

มันนั่งมาบนหลังม้าสีขาวสะอาดตา ตลอดร่างสวมเสื้อผ้าเนื้อดีสีขาวปลอด อาภรณ์ประดับกายล้วนแต่เป็นสีขาว ที่เอวแขวนกระบี่ปลอกเงินดุนลายสวยงาม พู่ห้อยยังมีมุกเม็ดโตกว่าเม็ดลำไยห้อยอยู่ถึงสองเม็ด เกล้ามวยสูงคาดแพรสีขาวประดับด้วยไข่มุกและหยก ทั่วทั้งสรรพางกายของมันมิมีจุดใดไม่กลายเป็นที่อวดโอ่ความร่ำรวยของมันเลยแม้แต่จุดเดียว

บุรุษผู้นี้มีอายุเยาว์อย่างยิ่ง อาจเพียงสิบห้าสิบหกเท่านั้น ดังนั้นร่างกายมันจึงบอบบางราวอิสตรี การแต่งกายของมันแม้ฟุ่มเฟือยอย่างยิ่ง แต่ก็มิได้ขัดหูขัดตา เค้าหน้าของมันยังจัดว่าหล่อเหลาราวหยกสลัก แต่เพราะจ้าวฉือตั้งแต่เล็กก็ถูกบุคคลเยี่ยงกงจื่อชุดขาวผู้นี้ข่มเหงมาโดยตลอด ดังนั้นเมื่อมันเห็นกงจื่อชุดขาวผู้นี้ครั้งแรก ก็บังเกิดความอำมหิต ต้องการสังหารให้ตกตายทันที

มันหะแรกเข้าใจว่าบรรดาเปียวชือที่มาด้วยทั้งหกคน จะต้องดาหน้ากันเข้ามาปกป้องกงจื่อน้อยรุ่มรวยผู้นี้ แต่เรื่องราวกลับเป็นตรงกันข้าม เมื่อมันกระโดดไปขวางทาง กงจื่อผู้นั้นก็รีบกระโดดลงมาจากหลังม้า หัวร่อพลางกล่าว

“ในที่สุดท่านก็โผล่ศีรษะออกมาแล้ว ข้าพเจ้าเป็นกังวลอยู่ทีเดียวว่าท่านจะมิหวนกลับมาปล้นอีก”

คำกล่าวนี้ยิ่งสะกิดเพลิงโทสะของมันให้โหมกระพือขึ้นอีก ดาบพอหลุดออกจากฝัก ก็ใช้ออกด้วยกระบวนท่าอันตรายหมายชีวิตทันที มันแน่ใจว่ากงจื่อน้อยผู้นี้ต้องถูกฟันขาดครึ่งไม่อาจเอื้อนเอ่ยวาจาดูถูกผู้ใดได้อีก

แต่ครั้งนี้มันคำนวณผิดไปแล้ว ถึงกับคำนวณผิดไปอย่างสาหัส

กงจื่อผู้นั้นสีหน้ามิแปรเปลี่ยน บังเกิดประกายวาบคล้ายดาวตก ดาบของมันถึงกับถูกฟาดแฉลบไป

แม้รู้สึกตระหนกกับความไม่คาดหมายนี้ แต่จ้าวฉือยังสามารถพลิกข้อมือ ฟันใส่ต่อได้อย่างสืบเนื่องมิขาดตอน ทุกดาบที่ฟันออกไป ปกติสามารถฟันม้าให้ขาดครึ่งได้ แต่ตอนนี้ไม่ว่าจะฟันออกไปเท่าไร ก็คล้ายถูกดีดกลับมา ยิ่งใช้กำลังออกไปรุนแรงเท่าไร แรงที่ดีดกลับมาก็คล้ายทวีคูณขึ้นเท่านั้น

จ้าวฉือรู้สึกเหงื่อไหลโซมหน้า มันคาดมิถึงเด็ดขาด พลังฝีมือของกงจื่อผู้นี้สูงล้ำผิดกับสภาพภายนอก หากวิพากษ์วิจารณ์กันโดยตรงแล้ว พลังฝีมือของจ้าวฉือในยามนั้น หากหาคู่ต่อสู้ถูกคน เพียงไม่นานก็สามารถมีชื่อในทำเนียบยอดฝีมือได้ น่าเสียดายที่มันพานพบกงจื่อชุดขาวผู้นี้เข้า ผู้ที่คล้ายเกิดมาเพื่อเป็นดาวข่มมันโดยเฉพาะ

ยามแตกตื่นลนลาน มันก็ใช้ออกด้วยกระบวนท่าไม้ตายอันเหี้ยมโหด ความรุนแรงของกระบวนท่านี้ อย่าว่าแต่ม้า กระทั่งศิลาก็ถูกฟันแยกเป็นสองซีกได้ แต่กระบวนท่านี้ของมันก็ยังมิอาจทำอันตรายกงจื่อวัยเยาว์ผู้นั้น หนำซ้ำมันยังถูกแรงดีดอันมหาศาล ดีดจนดาบในมือหลุดกระเด็นออกไป

จ้าวฉือในยามนี้ถึงกับหยุดมือแล้ว มันถลึงตาจ้องกงจื่อชุดขาวที่ถือกระบี่โบราณสวยงามผู้นั้น ส่งเสียงตวาดไป “ไฉนยังมิลงมืออีก”

กงจื่อผู้นั้นหัวร่อเสียงดังกังวาน กล่าวตอบ “ไฉนข้าพเจ้าต้องรีบลงมือเล่า ดาบในมือของท่านก็ไม่มีแล้ว ฟังข้าพเจ้ากล่าววาจาอีกสักหลายคำจะเป็นไร?”

จ้าวฉือไม่ต้องรอฟังก็ทราบ ถ้อยคำที่มันต้องการกล่าว ย่อมเป็นถ้อยคำดูถูกเหน็บแนมอย่างมิต้องสงสัย มันในยามนี้เมื่อฝึกปรือวิชาบู๊แล้ว ก็เกิดความทระนงในศักดิ์ศรีขึ้นมา ยอมตายมิยอมให้ผู้ใดมาดูถูกเหยียดหยามอีกเด็ดขาด ดังนั้นมันจึงฟาดฝ่ามือเข้าใส่กงจื่อผู้นั้นทันที

กงจื่อผู้นั้นเพียงเอี้ยวตัวไปมา ก็หลบฝ่ามือทั้งหมดของมันได้อย่างง่ายดาย ความจริงเพลงมวยของมันก็มิได้ย่ำแย่ จะเป็นรองก็เพลงเพียงดาบเท่านั้น แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าบุรุษวัยเยาว์ผู้นี้แล้ว ก็คล้ายกลายเป็นของเด็กเล่นไป รอจนมันใช้กระบวนท่าออกจนสุด กงจื่อผู้นั้นก็กระแทกด้ามกระบี่ใส่ซอกไหล่ของมันทีหนึ่ง ถึงกับส่งร่างสูงใหญ่ปลิวออกไปร่วมวาเศษ ร่วงลงกระแทกพื้นเสียงดังสนั่น

“เพลงมวยของท่านอย่าได้ใช้ออกมาจึงประเสริฐ นอกจากเสียกำลังเปล่าแล้วก็มิมีความหมายใดอีก” กงจื่อชุดขาวกล่าว แล้วสืบเท้าเข้ามา “พวกเราสามารถสนทนากันสักหลายคำได้หรือไม่?”

จ้าวฉือคำรามเสียงลั่น “วาจาผายลมของเศษสวะเช่นเจ้า บิดาไม่ต้องการฟัง หากเจ้ายังขืนเข้ามาอีก บิดาจะกัดเจ้าให้ตาย”

กงจื่อชุดขาวที่จริงเพิ่งพิชิตมันพ่ายแพ้ไปอยู่ชัดๆ กระทั่งคมดาบเหล่านั้นก็มิได้อยู่ในสายตาเลย แต่เมื่อได้ยินจ้าวฉือขู่ว่าจะกัด ก็คล้ายรู้สึกขยาดขึ้นมา ถึงกับถอยหลังออกไปสี่ห้าก้าว ยกมือประสานแล้วกล่าว

“เช่นนั้นท่านก็ไปเถิด มีโอกาสพวกเราค่อยพบกันใหม่”

จากนั้นมันก็พลิ้วกายขึ้นม้า พาขบวนทะยานออกไปไม่เหลียวหลังกลับมาอีก ทิ้งจ้าวฉือให้นั่งตื่นตะลึงอยู่ตรงนั้น

หรือเจ้าเด็กน้อยผู้นี้รู้สึกสังเวชมันขึ้นมาจับจิต กระทั่งจะลงมือสังหารยังกระทำมิลง

จ้าวฉือกล้ำกลืนความคับแค้น สาบานกับตัวเอง หากสามารถได้พบกับกงจื่อผู้นั้นอีก จะต้องพิชิตมันให้พ่ายแพ้ลงไปให้จงได้

แต่มันไหนเลยจะคาด ยังสามารถพบกับกงจื่อวัยเยาว์ผู้นั้นได้ในเวลาอันรวดเร็วอย่างยิ่ง คือหลังจากนั้นอีกสี่วัน

วันนั้นฝนตกหนัก ตกจนคล้ายมิอนุญาตให้ผู้ใดก้าวเท้าออกจากบ้านอย่างเด็ดขาด จ้าวฉือนั่งอยู่ในห้องหลังศาลเจ้าร้าง มันมิได้กินอาหารมาสี่วันแล้ว น้ำในถุงหนังข้างกายก็แห้งผาก ดาบวางอยู่ใกล้ตัว แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็มิอาจจะจับเอาไว้ให้มั่นได้อีก ยามมันกำดาบ จะรู้สึกปวดร้าวที่หัวไหล่ซึ่งถูกกงจื่อผู้นั้นใช้ด้ามกระบี่กระแทกจนต้องรีบปล่อยออก ตั้งแต่เกิดมามันไม่เคยรู้จักอาการบาดเจ็บเช่นนี้มาก่อน ครั้นจะออกไปร้านขายยาเพื่อให้หมอตรวจดูอาการ จนใจที่มันแม้แต่อีแปะเดียวก็ไม่เหลือไว้ติดตัว ดังนั้นมันจึงได้แต่นั่ง นั่งรอให้เทวดาฟ้าดินช่วยรักษาอาการบาดเจ็บนี้ของมันให้หายขาดไป มิทราบสมควรแช่งชักกงจื่อผู้นั้น หรือแช่งชักตัวมันเอง

ระหว่างที่มันกำลังตกอยู่ระหว่างภวังค์เพราพิษบาดแผล ก็รู้สึกเหมือนมีใครมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า พอเพ่งมองก็เห็นรองเท้าสีขาวคู่หนึ่ง นอกจากดินโคลนที่เลอะอยู่ตรงพื้นรองเท้าแล้ว ก็ไม่มีกระเซ็นไปโดนที่ใดอีก วิชาตัวเบาของคนผู้นี้ น่ากลัวล้ำเลิศกว่ามันหลายเท่า คนผู้นั้นย่อตัวลงนั่งตรงหน้ามัน วางร่มน้ำมันลง

ถึงกับเป็นกงจื่อชุดขาวที่ทำร้ายมันบาดเจ็บผู้นั้นเอง!

จ้าวฉือยามนี้ไม่เหลือเรี่ยวแรงจะต่อยตีกับผู้ใด จึงได้แต่ฝืนยิ้ม แล้วกล่าวเสียงแห้ง “นับว่าเราพ่ายแพ้ต่อเจ้าตั้งแต่วันนั้นแล้ว จะผัดจะต้มก็เชิญตามสบายเถิด”

ได้ยินเสียงกงจื่อผู้นั้นถอนหายใจ แล้วกล่าว “ข้าพเจ้าไหนเลยจะเสียเวลาเสาะหาตัวท่านมาผัดมาต้ม ที่ข้าพเจ้าดั้นด้นมา ก็เพื่อจะคบหาท่านเป็นสหายดอก”

“?”

กงจื่อวัยเยาว์ผู้นั้นไม่สนใจสีหน้างงงันของจ้าวฉือ มันล้วงของสิ่งหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ กล่าวสืบต่อ “ที่ข้าพเจ้าเคาะใส่ท่าน ก็แน่ใจว่าต้องทำร้ายท่านบาดเจ็บอยู่พอสมควร แต่ท่านกลับมิตะกายออกไปหาหมอที่ร้านยา กลับมาซุกตัวอยู่ที่นี่ มิยอมโผล่ศีรษะออกไปเลย ข้าพเจ้าสงสัยอยู่ทุกวี่วัน เป็นท่านอับอาย ไม่มีค่ารักษา หรือไม่ทราบว่าโลกนี้มีร้านยาอยู่กันแน่”

จ้าวฉือใคร่เตะใส่มันสักฉาด จนใจที่ตอนมีเรี่ยวแรงก็กระทำมิได้ อย่าว่าแต่ตอนนี้เลย ดังนั้นจึงกัดฟันตอบไป “ร้านยาเราย่อมรู้จัก แต่เพราะไม่มีอัฐดอก”

(มีต่อ)

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1051
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
ได้ยินเสียงกงจื่อผู้นั้นถอดถอนใจอีก “ท่านเป็นโจรที่ประหลาดแท้ ลำพังสินทรัพย์ทั้งสองขบวนที่ท่านปล้นไป หากมิเอาไปเล่นพนันหมดในคราวเดียวยังพอทำให้ชีวิตของท่านสุขสบายขึ้นกว่านี้อีกมาก ท่านกลับเอาไปบริจาคจนหมดสิ้น ปล้นคนร่ำรวยช่วยคนยากจน ข้าพเจ้าก็เคยได้ยินมาดอก แต่ช่วยจนไม่เหลืออัฐติดตัวเลยแม้แต่อีแปะเดียวเช่นตัวท่านนี้ อาจนับเป็นผู้แรกในประวัติศาสตร์จริงๆ บางทีข้าพเจ้าก็คิดว่าท่านเพียรบำเพ็ญตัวเป็นโพธิสัตว์ แต่โพธิสัตว์ย่อมมิสังหารคนเด็ดขาด สรุปแล้วท่านเป็นกระไรแน่?”

จ้าวฉือมองมันแล้วทอดถอนใจบ้าง “หากเจ้าถ่อมานี่เพื่อกล่าววาจาให้บิดาระคายหู ก็นับว่าประสบความสำเร็จแล้ว”

กงจื่อผู้นั้นหัวร่อออกมา คล้ายไม่นำพาคำว่า ‘บิดา’ ที่อีกฝ่ายยกมาข่มมันเลยแม้แต่น้อย

“ข้าพเจ้าทราบท่านเป็นคนทะนงในฝีมือตัวเองเป็นอย่างยิ่ง มิเช่นนั้นไหนเลยจะปล้นขบวนคุ้มภัยเดิมในที่เดิมถึงสามครั้งสามครา ในความเห็นของข้าพเจ้า ผู้ที่กระทำเช่นนี้ได้ ต้องมีความสามารถึงสามประการ”

“....”

“ประการแรก ทะนงในฝีมือ”

“....”

“ประการที่สอง มิมีความเกรงกลัวต่อสิ่งใด”

“....”

“ประการที่สาม เถรตรงจนเกินไป คนผู้หนึ่งเมื่อริเป็นโจรต้องมิใช่เถรตรงจนเกินไปเช่นนี้เด็ดขาด ปล้นครั้งหนึ่งแล้ว มีครั้งที่สอง ยังปล้นซ้ำครั้งที่สาม ท่านสมควรตระหนักได้ สำนักคุ้มภัยหากสามารถถูกคนผู้หนึ่งปล้นได้ติดๆ กันถึงสามสี่ครั้ง นับว่ากิจการของมันต้องล่มสลายลงแล้ว ดังนั้นมันต้องวางแผนรับมือท่าน หาคนมาจัดการกับท่าน โอกาสที่ท่านจะพลาดพลั้งเสียทีย่อมมีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ข้าพเจ้าสามารถกล่าวกับท่านได้เลยว่า เพียงมีคุณสมบัติข้อนี้ติดตัว ท่านก็มิอาจตั้งตัวเป็นมหาโจรใหญ่ได้อีกแล้ว”

“....”

“แต่คุณสมบัติประการนี้ของท่าน ข้าพเจ้ากลับชื่นชมที่สุด ดังนั้นข้าพเจ้าจึงมาที่นี่ เพื่อคบหาท่านเป็นสหาย”

จ้าวฉือแค่นเสียงขึ้นจมูก “หากบิดาไม่ปรารถนาคบค้าเจ้าเป็นสหายเล่า?”

กงจื่อผู้นั้นหัวร่ออีก “ท่านแม้เถรตรงก็มิควรแสร้งทำเป็นโง่เขลาจนเกินไป มิเช่นนั้นก็จะกลายเป็นโง่เขลาจริงๆ แล้ว มาๆ ให้ข้าพเจ้าถอนเข็มให้ท่านก่อน”

“เข็ม?”

“อืม... ตอนกระแทกใส่ ข้าพเจ้าก็ฝังเข็มเงินเล่มหนึ่งลงไปบนจุดหยุนเหมินของท่าน จุดนี้ที่จริงหากปักเข็มลึกพอดี จะช่วยบรรเทาอาการแน่นหน้าอกได้ แต่หากฝังลึกเกินไป ท่านแม้ต้องการขยับแขน ก็น่ากลัวทำมิได้แล้ว”

จ้าวฉือขบกรามกรอด ใคร่สับมันเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจริงๆ “เจ้าสามารถพิชิตเราให้พ่ายแพ้อยู่ได้ชัดๆ ไฉนยังต้องเล่นลูกไม้ก่อกวนเช่นนี้อีก”

กงจื่อผู้นั้นก้มศีรษะลงเล็กน้อย คล้ายดั่งสำนึกผิดขึ้นมา “ข้าพเจ้าไหนเลยต้องการเล่นลูกไม้ก่อกวน ข้าพเจ้าเพียงต้องการให้ท่านเยี่ยมหน้าไปร้านยา ท่านไปร้านยาแล้ว ข้าพเจ้าก็พอจะพบปะสนทนากับท่านได้”

“ไฉนต้องเป็นร้านยา”

“เพราะร้านยาในแถบนี้มีอยู่เพียงไม่กี่ร้าน ขอเพียงท่านไปร้านยา ข้าพเจ้าก็สามารถหาท่านพบได้ แต่พอท่านมิโผล่ศีรษะไป ข้าพเจ้าจึงต้องใช้เวลาถึงสองสามวัน ถึงหาสถานที่นี้ของท่านพบได้”

กล่าวจบก็ยกมือขึ้นมา จ้าวฉือเห็นดังนั้นก็รีบใช้แขนข้างที่เป็นปรกติฉวยมือของมันเอาไว้

คนผู้นั้นชะงักมือ แล้วแย้มยิ้มพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน “ข้าพเจ้าหากคิดทำอันตรายท่าน ต้องกระทำลงไปเสียนานแล้ว หรือท่านหวาดกลัวข้าพเจ้าถึงเพียงนี้ กระทั่งให้ข้าพเจ้าถอนเข็มให้ ท่านก็มิมีความกล้าแล้ว?”

จ้าวฉือต้องปล่อยมือมันอย่างเสียมิได้ แล้วใช้มือข้างนั้น ดึงเสื้อออกจนเผยให้เห็นหัวไหล่ข้างที่บาดเจ็บ กงจื่อผู้นั้นก็จี้นิ้วใส่หัวไหล่ของมัน เพียงอึดใจก็คีบเอาเข็มเงินบางเบาเล่มหนึ่งออกมา

จ้าวฉือถลึงตามองเข็มเงินเล่มนั้น พลางลอบกำมือข้างที่บาดเจ็บ เตรียมเกร็งกำลังปะทะ มิคาด กงจื่อผู้นั้นก็คล้ายคาดเดาจิตใจของมันออก แย้มยิ้มกล่าวขึ้นต่อ “เข็มยังอยู่ในมือข้าพเจ้า ข้าพเจ้าถอนมาได้ก็ปักเข้าไปใหม่ได้ดอก ท่านก็มิคล้ายเป็นผู้โง่เขลา ดังนั้นเก็บออมกำลังไว้เถิด”

วาจาของมันกล่าวออกมาครานี้ นับว่ากล่าวได้ถูกต้องจริงๆ จ้าวฉือแม้มิต้องการยอมรับ ก็ยังต้องยอมรับอยู่นั่นเอง มันจึงสลายกำลังไป นั่งดูกงจื่อผู้นั้นใส่เข็มเงินกลับไปที่กระเปาะตรงด้ามกระบี่

“เจ้าฝีมือเลอเลิศพิสดารเช่นนี้ ยังซ่อนลูกไม้อุบาทว์เอาไว้ในกระบี่อีก”

กงจื่อผู้นั้นมิมีโทสะ หัวร่อแล้วกล่าวต่อ “นี่เป็นเพียงความชื่นชอบส่วนตัวของข้าพเจ้าเท่านั้น มา ให้ข้าพเจ้าทายาให้ท่าน”

กล่าวจบก็ล้วงเอากระปุกเคลือบใบเล็กออกมาจากถุงแพรที่หว่างเอว ใช้นิ้วแตะน้ำมันในขวด แล้วทาลงไปเบาๆ

จ้าวฉือตั้งแต่เกิดมา ก็เพิ่งถูกผู้อื่นสัมผัสอย่างเบามือหนนี้เป็นหนแรก ในใจบังเกิดรสชาติประหลาด มิทราบจะอธิบายอย่างไร จึงพลอยลอบพิจารณากงจื่อผู้นั้นอย่างเงียบๆ

คนผู้นี้อ่อนเยาว์อย่างยิ่ง ใบหน้าไม่มีไฝฝ้าราคีแม้แต่จุดเดียว คิ้วเรียงสวย ริมฝีปากเป็นสีชมพูระเรื่อ สมแล้วที่เป็นกงจื่อในตระกูลร่ำรวย ที่สำคัญ ร่างของมันถึงกับมีกลิ่นหอมอย่างยิ่ง

หอมดั่งกลิ่นของแป้งย่างไส้เนื้อ

“เจ้าไฉนถึงมีกลิ่นหอมของแป้งย่างไส้เนื้อย่างได้” จ้าวฉือต่อให้มิเคยได้ใกล้ชิดบรรดากงจื่อรุ่มรวยในระยะประชิดมาก่อน แต่มันเคยนั่งขอทานอยู่ในเมือง พบเห็นผู้คนประดานี้ผ่านไปผ่านมา ทุกผู้ล้วนแต่มีกลิ่นของถุงหอม ต้องมิใช่มีกลิ่นแป้งย่างไส้เนื้อเช่นนี้เด็ดขาด

กงจื่อผู้นั้นหัวร่อเสียงสดใส หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมือ แล้วกล่าว “ข้าพเจ้าทราบว่าท่านต้องหิวแล้ว ดังนั้นจึงซื้อแป้งย่างไส้เนื้อติดมือมาด้วย”

จ้าวฉือจึงเพิ่งพบเห็น คนผู้นี้ที่จริงคล้องห่อขนมแป้งย่างเอาไว้ที่แขน แต่ถูกแขนของเสื้อคลุมยาวตัวนอกบังเอาไว้ จึงมิได้สังเกตเห็นในตอนแรก

กลิ่นของขนมแป้งย่างหอมยั่วน้ำลายจริงๆ พอห่อยื่นถึงหน้า จ้าวฉือก็คว้าไว้ชิ้นหนึ่งโดยไม่คิดจะรักษาหน้าตาตัวเองอีก กงจื่อผู้นั้นก็ทรุดตัวลงนั่งข้างมัน เอนหลังพิงผนัง หยิบขนมแป้งย่างอีกชิ้นขึ้นมากัดกินเช่นกัน

แป้งย่างข้างนอกกรอบ ข้างในนุ่ม เนื้อด้านในทั้งฉ่ำทั้งหวาน

จ้าวฉือที่ไม่มีสิ่งใดตกถึงท้องมาสี่วัน ย่อมรับประทานแป้งย่างชิ้นนี้หมดไปอย่างรวดเร็ว พอคิดจะคว้าถุงหนังหาน้ำมาดื่ม ถุงหนังใส่น้ำไม่คุ้นตาใบหนึ่งก็ถูกยื่นส่งให้ มันรีบคว้ามาดื่มอั่กๆ อย่างมิเกรงใจ ก่อนจะยื่นส่งคืนให้กงจื่อชุดขาวที่นั่งอยู่ข้างๆ ส่งเสียงถามขึ้น

“ขนมยังมีอีกหรือไม่?”

“ที่ร้านยังมี แต่ข้าพเจ้ากลัวท่านปฏิเสธไม่รับน้ำใจ จึงซื้อมาเพียงสองชิ้น”

กล่าวจบก็ก้มลงกัดขนมชิ้นที่เหลือในมือ จ้าวฉือถึงกับกลืนน้ำลายด้วยความลืมตัว ส่งเสียงถามต่อ “พวกเรา... พอจะออกไปหาซื้อเพิ่มได้หรือไม่?”

มันตอนนี้ถึงกับใช้คำว่าพวกเรา น้ำเสียงก็ค่อยคลายความกระด้างลงหน่อยแล้ว คนผู้หนึ่งหิ้วน้ำหิ้วอาหารหิ้วยามาให้มันถึงที่ หากมันยังดึงดันกล่าววาจาหยาบคายใส่คนผู้นั้นต่อ ก็นับว่าต้องเป็นคนเลวอย่างยิ่งแล้ว

จ้าวฉือย่อมมิใช่คนเลวประดานั้น

อย่าว่าแต่ดั้งแต่เดิมมันก็มิใช่คนหวงศักดิ์ศรีเท่าไรอยู่แล้ว ในเมื่อมีผู้หนึ่งดีกับมันเยี่ยงนี้ มันหรือจะปฏิเสธน้ำใจได้อีก

แต่จ้าวฉือมิได้ฉุกคิด ฝนตกหนักเยี่ยงนี้จะมีผู้ใดสามารถตั้งแผงขายขนมแป้งย่างได้ ขนมแป้งย่างสองชิ้นนี้ เป็นกงจื่อชุดขาวผู้นี้สั่งให้คนครัวในเหลาสุราที่ดีที่สุดในเมืองทำขึ้น จุดประสงค์เพื่อนำมาให้มันโดยเฉพาะ

กงจื่อผู้นั้นแย้มยิ้มแล้วกล่าว “รอให้ฝนซาสักครู่ พวกเราย่อมออกไปหาซื้อมาอีกได้”

จ้าวฉือมองมันอึดใจ “เรามีนามจ้าวฉือ เจ้าเล่า?”

“ข้าพเจ้ามีนามเซี่ยตัน ตันที่แปลว่าสีแดง”

..............................................
(จบตอน)

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1051
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
บทที่ 5

ร่มน้ำมันถูกหุบลงแล้ว จ้าวฉือลอบระบายลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ มิทราบเป็นโล่งใจ หรือผิดหวัง

บุรุษชุดขาวที่กางร่มน้ำมันเข้ามาผู้นั้น ไม่ใช่บุคคลที่มันตามหา

มิใช่เซี่ยตัน

คนผู้นั้นเป็นบุรุษวัยฉกรรจ์ อายุอย่างน้อยต้องมากกว่ามันสองถึงสามปี สวมชุดยาวสีขาว ตัดเย็บด้วยแพร่ต่วนเนื้อดี เกล้ามวยสูง รัดไว้ด้วยผ้าสีขาวประดับหยกเม็ดเล็กๆ คนผู้นี้แม้มีหน้าผากแคบเล็กน้อย แต่สัดส่วนอื่นบนใบหน้าจัดว่าคมคายสง่างาม

ที่นี่เป็นโรงเตี๊ยมระหว่างเมือง เมื่อคนผู้นี้กางร่มเข้ามา แสดงว่ามันต้องโดยสารมากับรถม้าอย่างมิต้องสงสัย แต่น่าแปลก มันแต่งตัวเยี่ยงกงจื่อรุ่มรวยอยู่ชัดๆ แต่ด้านหลังกลับปราศจากผู้ติดตาม คล้ายนอกจากมันแล้วก็ไม่มีผู้อื่นอีก

ผู้รับใช้ของเหลาสุรา แลเห็นกงจื่อรุ่มรวยผลักประตูเข้ามา ก็เร่งรีบเข้าไปนอบน้อมประจบทันที

“ห้องพักตอนนี้ของเรามีว่างอยู่สามห้อง ล้วนแต่อบอุ่นกว้างขวาง มิทราบกงจื่อ...”

กงจื่อชุดขาวผู้นั้นยกมือเป็นเชิงห้าม แล้วส่งเสียงออกมา “อสูรหยกขาวแห่งพรรคอสูรเทวราชมาเก็บกวาดผู้ทรยศ ท่านใดมิเกี่ยวข้องโปรดอย่าสอดมือ”

เหลาสุราในโรงเตี๊ยมตอนนี้ที่จริงคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ต่างตะเบ็งเสียงแข่งกับเสียงฝนด้านนอก แต่คนผู้นี้เพียงกล่าววาจาด้วยน้ำเสียงธรรมดา ก็สะท้อนก้องกังวาน บันดาลในทุกผู้คนในเหลาสุรานั้นพลันเงียบเสียงลงทันที

จ้าวฉือเลิกคิ้วขึ้นสูง นามอสูรหยกขาวมันเคยได้ยิน นี่คือหนึ่งในสี่จตุบาลของพรรคอสูรเทวราช ขบวนการอันเร้นลับที่สร้างความหวาดหวั่นให้กับชนชาวยุทธ์มานานหลายสิบปี

ฟังว่าบนผืนแผ่นดินจงหยวนนี้ มิมีประการใดที่พรรคอสูรเทวราชคลี่คลายมิได้ ขอเพียงแต่ยอมปวารณาตนเป็นสมาชิกเท่านั้น แต่เมื่อเป็นสมาชิกแล้ว ต้องปฏิบัติตามกฎพรรคทุกประการ หากคิดตีตัวออกห่าง ทางสายเดียวที่จะได้เดินคือทางตาย

จ้าวฉือเมื่อคราแรกได้ยินนามของพรรคอสูรนี้ ก็มีความกระตือรือร้นสนใจเป็นอย่างยิ่ง แต่เพราะเป็นสมาคมเร้นลับ สมาชิกต่างไม่เปิดเผยตัว กอปรกับเมื่อครั้งอาศัยอยู่กับบิดาบุญธรรม ก็ถูกย้ำนักย้ำหนาว่าห้ามมิให้ไปข้องเกี่ยวปวารณาตัวเป็นสมาชิกพรรคอันลี้ลับนี้เป็นอันขาด ดังนั้น มันจึงมิได้ใส่ใจสืบหาเป็นเรื่องเป็นราว

แต่บัดนี้ มีผู้อ้างชื่ออสูรหยกขาว หนึ่งในจตุบาลของพรรคอสูรเทวราชมาปรากฏอยู่ตรงหน้า มันอย่างไรย่อมมิอาจหักห้ามความสนใจได้โดยเด็ดขาด

จ้าวฉือลอบพิจาณาอสูรหยกขาวผู้นั้นอีกครั้ง เห็นคนผู้นี้รูปกายสูงโปร่ง บุคลิกผึ่งผายองอาจ เมื่อกล่าววาจาแล้วก็ไม่เหลือบมองซ้ายขวา เพียงแต่ยืนรออยู่ตรงนั้น คล้ายแน่ใจว่าผู้ทรยศจะปรากฏตัวออกมาเองก็ปาน

ทว่าคนที่กล้าทรยศพรรคอสูรเทวราช กระทั่งอสูรหยกขาวผู้นี้ต้องมาปรากฏตัว จะยินยอมออกมารับความตายโดยง่ายดายจริงหรือ?

เหลาสุราที่มีผู้คนคลาคล่ำ กลับเงียบวังเวงดั่งป่าช้า ผู้คนต่างคล้ายถูกวาจาของอสูรหยกขาวผู้นี้ขู่ขวัญ อย่าว่าแต่จับตะเกียบคีบอาหารหรือรินสุรา กระทั่งระบายลมหายใจยังแทบมิกล้ากระทำ ในความเงียบงันอันสุดพิสดารนี้ พลันมีเสียงนกหวีดดังขึ้น อสูรหยกขาวผู้นั้นก็โถมขึ้นไปบนระเบียงชั้นสองของโรงเตี๊ยมทันที

จ้าวฉือก็ได้ยินเสียงนกหวีดนี้ และยังทราบว่าดังมาจากทางด้านหลังของโรงเตี๊ยม มันเข้าใจได้โดยปฏิภาณว่าอสูรหยกขาวผู้นี้แท้จริงมิได้มาเพียงผู้เดียว แต่ซุ่มซ่อนคนเอาไว้ภายนอก ตัวมันเองเดินเข้ามาในโรงเตี๊ยม ส่งเสียงขู่ขวัญผู้ทรยศ คนผู้นั้นพอได้ยินว่าเป็นอสูรหยกขาว ย่อมบังเกิดความกลัวจับจิต มิยอมนั่งเงียบๆ อยู่ในห้องหับเพื่อรอให้ถูกค้นพบแน่ ทั้งสภาพตอนนี้ฝนยังตกหนัก หากมันกระโดดออกนอกหน้าต่างไป ต้องมิมีผู้ใดได้ยินเสียงเป็นอันขาด อสูรหยกขาวผู้นี้ ย่อมคำนวณสถานการณ์ล่วงหน้า จึงได้ซุ่มคนเอาไว้ พอเห็นมีคนกระโดดออกหน้าต่างออกไป ก็เป่านกหวีดสัญญาณทันที

จ้าวฉือที่จริงชมชอบเกี่ยวข้องกับเรื่องไร้สาระอย่างยิ่ง ขอเพียงเป็นเรื่องที่ทำให้มันสนใจ อย่างไรต้องเกี่ยวข้องให้ถึงที่สุด บัดนี้ อสูรหยกขาวนับว่าสะกิดความสนใจของมันขึ้นมาแล้ว ดังนั้นมันจึงวางเงินเอาไว้บนโต๊ะจำนวนหนึ่ง แล้วกระโดดขึ้นระเบียงชั้นสองไป

บนระเบียง ห้องพักห้องหนึ่งบานประตูเปิดอ้าอยู่ ต้องถูกอสูรหยกขาวผู้นั้นทะลวงเข้าไปไม่ผิดพลาด จ้าวฉือสืบเท้าเข้าไปด้านใน จึงแลเห็นบานหน้าต่างเปิดทิ้งไว้ ฝนจากด้านนอกสาดกระเซ็นเข้ามาเป็นสาย มองฝ่าสายฝนออกไปก็ไม่เห็นเงาร่างผู้ใดอีก อย่าว่าแต่ยามนี้ก็เป็นช่วงเวลาพลบค่ำ ต่อให้ไม่มีฝนตกก็ยากที่จะมองเห็นได้ในระยะไกล

จ้าวฉือกวาดตามองไปรอบๆ ห้องที่มืดสลัว มันมิได้เดินไปปิดหน้าต่าง ทั้งมิได้จุดชุดไฟ ด้วยมิต้องการกระตุ้นความสนใจของสมาชิกพรรคอสูรเทวราชที่อาจจะยังซุ่มอยู่ภายนอก มันเพียงแต่ต้องการชมดูว่าห้องพักของผู้ที่ทรยศพรรคอสูรเทวราช มีประการใดพิเศษกว่าผู้อื่นหรือไม่

ภายในห้องมีเตียงหลังหนึ่ง ฟูกและผ้าห่มบนเตียงวางอย่างเรียบร้อย แสดงว่าไม่เคยมีผู้ใดนอนลงไป บนโต๊ะมีกาน้ำชาวางอยู่ มีถ้วยสองใบ จ้าวฉือมองอยู่ครู่หนึ่งก็เดินมาที่ประตู ส่งเสียงกล่าวขึ้น

“ผู้ที่แอบอยู่บนขื่อ ลงมาเถิด”

ประกายสีเงินสายเล็กๆ พุ่งวาบลงมาจากบนขื่อ จ้าวฉือไม่ขยับหลบ กลับม้วนตัวใช้ฝ่ามือเข้ารับโดยตรง ถึงกับสามารถคว้าจับข้อมือที่ถือมีดเล่มนั้นไว้ได้โดยง่าย ได้ยินเสียงผู้ที่ถือมีดตวาด

“เฮยโหมวกุ่ย (ปิศาจดำ) วันนี้มารดาขอเสี่ยงกับเจ้า”

จ้าวฉือออกแรงบิดอีกเล็กน้อย มีดในมือของนางก็หลุดออก ตัวนางเองก็เจ็บปวดจนเปล่งวาจามิได้อีก มันจึงกล่าวขึ้นบ้าง

“กู่เหนียง (คำเรียกยกย่องสตรี) ข้าพเจ้ามิใช่เฮยโหมวหวัง (ราชันอสูรทมิฬ) ท่านเรียกผิดแล้ว”

ดวงตาของสตรีนางนั้นเบิ่งกว้างอย่างผิดคาดหมาย จ้าวฉือกล่าวสืบต่อ “ท่านกับพรรคอสูรเทวราช มีเรื่องหมางใจอันใด ไฉนท่านจึงได้ทรยศต่อพวกมันเล่า”

“ท่าน... ท่านเป็นผู้ใด?” นี่คือวาจาแรกที่นางกล่าวออกมา หลังจากจ้าวฉือคลายมือออกแล้ว จ้าวฉือมองหน้านางแล้วตอบ

“ข้าพเจ้าเป็นผู้ใดมิสำคัญ สำคัญที่ท่านตอบคำถามข้าพเจ้าก่อน”

กู่เหนียงนางนั้นกลอกตาวูบหนึ่ง ก่อนจะเม้มริมฝีปาก กล่าวขึ้น “ข้าพเจ้าที่จริงไม่คิดทรยศ แต่เพราะอสูรหยกขาวผู้นั้น บีบคั้นให้ข้าพเจ้าต้องตกเป็นของมันอย่างไม่เต็มใจ ข้าพเจ้ากับถูหลาง (หลาง - คำเรียกคนรัก) จึงลักลอบหนีออกมา มิคาดวันนี้ก็ยังถูกมันตามตัวพบจนได้ ตอนนี้ถูหลางกระโดดออกหน้าต่างดึงความสนใจให้มันตามไป เพื่อเปิดทางให้ข้าพเจ้าหลบหนี หากตอนนี้ข้าพเจ้ามิรีบไป สิ่งที่ถูหลางทำไปคง...”

หยดน้ำใสๆ ไหลกลิ้งออกมาจากดวงตาคู่งามของนาง ฟังแล้วก็เป็นเรื่องราวที่โศกสลดเป็นยิ่งนัก แต่ใบหน้าของจ้าวฉือกลับเรียบเฉย “วาจาของท่านหากมิใช่เรื่องปั้นแต่ง ข้าพเจ้ายังพอจะเจรจากับอสูรหยกขาวได้”

นางพลันกรีดร้องออกมา “ถูหลาง ท่านต้องช่วยข้าพเจ้า!”

จ้าวฉือรู้สึกถึงพลังอันดุดันขุมหนึ่งพุ่งมาจากทางด้านหลัง ยามหน้าสิ่วหน้าขวานจึงต้องผลักสตรีนางนั้นออกเพื่อป้องกันตัวเอง หันไปก็เห็นฝ่ามือที่ขาวใสราวหยกฟาดเข้ามา มันรีบยกมือข้างที่มิได้กุมด้ามดาบขึ้นต่อต้าน พริบตาเดียวก็ฟาดใส่กันไปแล้วถึงยี่สิบสามสิบกระบวนท่า บรรดาเครื่องเรือนในห้องที่ไม่อาจทานพลังของทั้งคู่ จึงทยอยหักพังไป กระทั่งห้องข้างๆ ยังต้องรีบอพยพหนีกันจ้าละหวั่น

จ้าวฉือค้นพบว่า วิชาฝ่ามือของคนผู้นี้ล้ำลึกอย่างยิ่ง ถึงกับไม่เปิดโอกาสให้มันชักดาบได้เลย

ประมือกันไปถึงห้าสิบกระบวนท่า คนผู้นั้นก็กระโดดถอยไปด้านหลัง แล้วตวาด “หยุดมือ!”

จ้าวฉือถอยหลังมาสองก้าว ก็ทราบว่าเป็นผู้ใดแล้ว

อสูรหยกขาวผู้นั้นกวาดตามองมันขึ้นลง แล้วกล่าว “ท่านที่นับถือ น่ากลัวเป็นเพชฌฆาตไร้หน้าจ้าวฉือผู้นั้นกระมัง”

“อืม”

“ท่านกับสตรีนางนั้น มีความสัมพันธ์อันใดต่อกัน”

“ไม่มี”

อสูรหยกขาวผู้นั้นงงงันวูบ กล่าวสืบต่อ “ไม่มี? ไฉนท่านออกรับแทนนาง?”

“ข้าพเจ้าก็กำลังรอให้ท่านถามอยู่ทีเดียว” จ้าวฉือกล่าว “ข้าพเจ้ามิได้ออกรับแทนนาง ข้าพเจ้าเพียงขึ้นมาชมดู ก็พบนางเข้า กล่าววาจากันได้เพียงไม่กี่ประโยค ท่านก็โผล่มา ลงมือโดยไม่ไถ่ถาม ข้าพเจ้ามีแต่ต้องใช้ฝีมือป้องกันตัวเอง”

“นางกล่าวกระไรกับท่าน?” อสูรหยกขาวผู้นั้นมีสีหน้ารุ่มร้อนใจขึ้นมา จ้าวฉือจึงตอบ

“นางว่า เป็นท่านบังคับข่มขืนใจนาง นางจึงลอบหนีมา ข้าพเจ้าก็เห็นว่าเป็นเรื่องเท็จดอก มิเช่นนั้นไหนเลยนางจะตะโกนเรียกข้าพเจ้าเป็นถูหลางของนางได้”

อสูรหยกขาวผู้นั้นถึงกับหลุดหัวร่อออกมาคำหนึ่ง แล้วประสานมือกล่าว “นับว่าข้าพเจ้าตาบอดตาใส ลงมือโดยมิดูตาม้าตาเรือจริงๆ ขอจ้าวเซียงเซิน (คำเรียกเชิงยกย่อง – คุณ/ท่าน) โปรดอภัย”

จ้าวฉือเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ แล้วจึงรีบประสานมือกล่าว “เป็นข้าพเจ้าที่ต้องกล่าววาจาขอโทษให้มากๆ ข้าพเจ้าเป็นฝ่ายก่อกวนให้เชลยของท่านหนีไป นับเป็นเรื่องนี้ข้าพเจ้าสอดมือเข้ามาเกี่ยวโดยมิได้แยแสต่อคำเตือนของท่านเองดอก”

“ท่านเป็นถึงผู้สืบทอดฝีมือของเทพอสูรทะเลคลั่ง ไหนเลยต้องกริ่งเกรงเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ อีกอย่าง เหมิงจู่ (หัวหน้า) ของพวกเรามีความสนใจในตัวท่านเป็นอย่างยิ่ง น่าเสียดาย ข้าพเจ้าติดภารกิจต้องนำตัวผู้ทรยศกลับไปสะสาง จึงมิอาจอยู่สนทนากับท่านให้นานกว่านี้ได้”

“ข้าพเจ้าไปกับท่านด้วย” ไม่รอให้อสูรหยกขาวกล่าววาจาใด จ้าวฉือกล่าวขึ้นต่อ “ข้าพเจ้าทำเชลยของท่านหลบหนี ดังนั้นข้าพเจ้าต้องคร่าตัวนางกลับมาส่งคืนให้ท่าน”

สีหน้าของมันตอนกล่าว ก็เป็นดังเช่นเดิม คือเรียบเฉยอย่างยิ่ง ไร้อารมณ์อย่างยิ่ง คล้ายสิ่งที่มันกล่าวเป็นเรื่องที่พึงกระทำตามปกติ มิใช่ปรากฏการณ์แปลกประหลาดใด อสูรหยกขาวความจริงใคร่จะกล่าววาจาประการหนึ่ง แต่ก็พลันมีเสียงนกหวีดดังขึ้นที่ด้านนอก

ทั้งคู่โถมออกไปจากห้องทันที

ที่ด้านนอกโรงเตี๊ยม โคมไฟยังคงสว่างไสว แต่สภาพในลานจอดรถม้านับว่าผิดปรกติแล้ว รถม้าใหญ่คันหนึ่งถูกฟาดประทุนหลังพังไป ที่ด้านข้างมีคนเจ็บนอนกลิ้งเกลือกอยู่ จ้าวฉือมิได้ชำเลืองสังเกต เพราะมันได้ยินเสียงห้อม้าดังขึ้นที่ด้านนอกกำแพงโรงเตี๊ยม จึงกระโจนขึ้นม้าสีดำคู่ขาไล่ตามไปทันที

ฝนในตอนนี้ซาเม็ดลงแล้ว ดวงจันทร์รูปเคียวโผล่พ้นออกมาจากขอบเมฆ ที่ด้านหน้า ปรากฏรถม้าขนาดเล็กคันหนึ่งวิ่งห้อตะบึงอยู่บนทาง จ้าวฉือกระตุ้นม้าไล่ไปอย่างมิหยุดยั้ง ละอองฝนที่พร่างพรมลงมาหยาดหยดจากใบหน้าของมันเป็นสาย

ถนนชื้นแฉะ รถม้าย่อมมิอาจทำความเร็วได้ดี อย่าว่าแต่ม้าที่จ้าวฉือขี่ก็เป็นม้าพันธุ์ดี จะมีฝีเท้าเป็นรองก็แค่ม้าจากนอกกำแพงเท่านั้น ดังนั้น ใช้เวลาเพียงไม่นาน มันก็ใกล้จะไล่ตามทันรถม้าคันนั้นแล้ว

ทันใดนั้นก็ปรากฏประกายสีเงินจำนวนมากพุ่งออกมาจากม่านด้านหลังรถม้า ถึงกับมิได้เล็งสูงที่คน แต่กลับเล็งไปในตำแหน่งของม้าที่ควบขี่อยู่ นับเป็นการเล็งเป้าใหญ่ที่ได้ผลชะงัด

จ้าวฉือถอนเท้าออกจากโกลนม้า เหวี่ยงร่างไปด้านหน้า ประกายดาบแลบปลาบคล้ายแสงอัสนีบาต ได้ยินเสียงติงๆ ดังถี่ยิบ อาวุธลับเหล่านั้นก็ถูกฟาดร่วงไปทั้งหมด

จ้าวฉือรั้งบังเหียนกลับมานั่งบนอานม้าอีกครั้ง รถม้าก็ทิ้งระยะออกไปแล้ว รอจนมันควบตามไปจนถึงระยะ อาวุธลับก็ถูกซัดออกมาอีก

บิดาบุญธรรมเคยบอกกล่าวต่อมัน ผู้ใช้อาวุธลับล้วนแต่เจ้าเล่ห์เพทุบาย มิใช่ชนชั้นเปิดเผย ลงมือครั้งหนึ่งไม่สำเร็จ ลงมือครั้งที่สองต้องพลิกแพลงไปจากเดิม

จ้าวฉือพอถีบตัวออกไปแล้ว จึงตระหนักได้ว่าคำกล่าวของบิดาบุญธรรมนั้นมิผิดไปเลย

ครั้งนี้ มันโถมออกไปฟาดอาวุธลับนั้นร่วงไปชุดหนึ่ง ชุดที่สองก็ตามติดออกมา ยังคงเป็นการจู่โจมใส่ม้าเช่นเดิม ในสภาพหวุดหวิดหวาดเสียวเช่นนี้ มันยังสามารถเกร็งลมปราณ ตวัดดาบฟาดอาวุธลับชุดนั้นให้ร่วงไปได้ แต่คนในรถม้าย่อมมิปล่อยโอกาสให้มันตั้งตัว อาวุธลับชุดที่สามก็พุ่งออกมาอย่างมิรอช้า

อาชาสีดำตัวนี้ เป็นอาชาที่ร่วมทางกับมันตั้งแต่เมื่อสองปีก่อน นับว่าเป็นสหายสนิทที่สุด จ้าวฉือเปลือกนอกอาจคล้ายมิสนใจไยดีความเป็นความตายของผู้ใด แต่หากได้เพาะน้ำใจไมตรีต่อมันขึ้นมาสายหนึ่งแล้ว มันอย่างไรก็หักใจอำมหิตมิลงเด็ดขาด แม้กระทั่งอาชาตัวหนึ่งก็ตาม

จ้าวฉือเหวี่ยงบังเหียนในมือออกโดยกำลัง ถึงกับสามารถยกอาชาตัวนั้นลอยสูงขึ้นจากพื้น มือข้างหนึ่งฟาดดาบออกปะทะกับอาวุธลับนั้นโดยตรง

รอจนมันกลับมานั่งบนอานอีกครั้ง รถม้าคันนั้นก็แล่นหายลับไปแล้ว

ครั้งนี้จ้าวฉือมิเร่งรัดติดตามอีก มันรั้งบังเหียนเรียกให้อาชาสีดำตัวนั้นหยุดอยู่กับที่ อาชาตัวนี้ก็คล้ายมิรู้สึกตัวเลยว่าเพิ่งถูกคนยกลอยไปหยกๆ เมื่อถูกรั้งบังเหียนแล้วยังควบต่อไปอีกหลายจั้งถึงหยุดฝีเท้าลงได้ จ้าวฉือเมื่อหยุดม้าได้แล้วก็เอื้อมมือคลำไปที่ไหล่ขวาด้านหลัง ถอนลูกดอกที่มีความยาวราวหนึ่งคืบออกมาส่องดู เมื่อเห็นหัวลูกศรมิได้เป็นสีดำคล้ำอันแสดงว่ามีการเคลือบพิษเอาไว้ก็ค่อยระบายลมหายใจออกมา จังหวะนั้นเองก็มีเสียงฝีเท้าม้าดังมาจากด้านหลัง พอหันไปก็เห็นว่าเป็นอสูรหยกขาวผู้นั้นเอง

“จ้าวต้าเกอ ท่านได้รับอันตรายหรือไม่?” ครั้งนี้มันเปลี่ยนมาเรียกจ้าวฉือเป็นต้าเกอ นัยว่าเพิ่มความสนิทสนมนับถือขึ้นมาอีกเล็กน้อย จ้าวฉือมองมันพลางสั่นศีรษะ แล้วประสานมือกล่าว

(มีต่อ)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1051
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
“ข้าพเจ้ามิเป็นอันตรายร้ายแรง แต่ก็มิอาจคร่ากุมเชลยกลับมาให้ท่านได้ ต้องขออภัยด้วย”

“ข้าพเจ้าจะกล่าวโทษท่านได้อย่างไร นับว่าท่านเสี่ยงอันตรายเพื่อพรรคเราโดยแท้” อสูรหยกขาวผู้นั้นตอบ จ้าวฉือมองมันอึดใจก็กล่าวขึ้นต่อ

“เช่นนี้... ท่านกลับไปจะถูกลงโทษหรือไม่?”

อสูรหยกขาวแย้มยิ้มกล่าว “เหมิงจู่ของพวกเราเป็นผู้มีเมตตายึดหลักเหตุผล ทั้งยังยืดหยุ่นเป็นอย่างมาก เรื่องในคราวนี้นับว่าสุดวิสัย หากข้าพเจ้าจะถูกลงโทษ ก็ย่อมเป็นโทษสถานเบาดอก ท่านมิต้องกังวลไป”

“ต้องการให้ข้าพเจ้าติดตามท่านไปยืนยันต่อเหมิงจู่ของท่านหรือไม่?”

“ข้าพเจ้ามิกล้ารบกวนท่านถึงขั้นนั้น แต่หากมีวาสนาได้พบกันอีกคราหน้า ข้าพเจ้าก็หวังจะได้คว่ำสุรากับท่านสักไหหนึ่ง”

จ้าวฉือผงกศีรษะ “ในเมื่อท่านกล่าวเช่นนี้ ข้าพเจ้าย่อมจะมิทำให้ผิดหวังเป็นอันขาด”

ที่ด้านหลังบังเกิดเสียงกุบกับดังอื้ออึง หันไปก็แลเห็นรถเทียมม้าสองตัวกำลังแล่นเข้ามา อสูรหยกขาวรีบหันมาประสานมือกล่าว “ข้าพเจ้าต้องไปแล้ว ขอจ้าวต้าเกอรักษาตัวด้วย”

“เช่นกัน”

อสูรหยกขาวผู้นั้นชักม้าเข้าเทียบข้างขบวนรถ ก่อนจะขี่หายไปในความมืดของยามวิกาล

.......................................

ขบวนของพรรคอสูรเทวราชเคลื่อนที่ไปตามถนนอย่างไม่เร่งร้อน รอจนพ้นเขตโรงเตี๊ยมมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ก็มีสุ้มเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากในรถ

“ไป๋ยู่เกอเกอ ท่านว่า... เพชฌฆาตไร้หน้าผู้นั้นจะสืบทราบหรือไม่ ว่าลูกดอกนั้นเป็นท่านซัดไป มิใช่ถูกยิงมาจากในรถ”

เสียงที่ดังออกมานั้น แม้ไพเราะแต่ฟังดูแปลกหูอย่างยิ่ง จะคล้ายเสียงอิสตรีในทีเดียวเสียก็มิใช่ จะคล้ายเสียงของบุรุษเสียเลยก็มิเชิง ได้ยินเสียงอสูรหยกขาวกล่าวตอบ

“บางทีอาจทราบ บางทีอาจมิทราบ”

“อ้อ... ท่านตอนนี้ก็คล้ายมิมีความมั่นใจขึ้นมาแล้ว”

อสูรหยกขาวสูดหายใจ แล้วกล่าว “คนผู้นี้นับว่าคาดเดาได้ยากอย่างยิ่ง อย่าว่าแต่มันอัปลักษณ์สวมหน้ากากอยู่ครึ่งหนึ่ง จึงมิอาจคาดเดาจากสีหน้าได้ ดวงตาของมันเวลากล่าววาจาก็มิกลอกไปมาแม้แต่น้อย คล้ายทุกถ้อยคำที่มันกล่าว เป็นสิ่งที่มันคิดและต้องการกระทำให้ได้จริงๆ วาจาของมันผิวเผินดูตรงไปตรงมา แต่นี่จึงรับมือได้ยาก มันบอกเราจะติดตามไปพบเหมิงจู่ หากเป็นผู้อื่นเราต้องตบสั่งสอนเสียนานแล้ว แต่มันกลับใช้ความผิดพลาดตัวเองมาเป็นสะพาน เราไหนเลยจะก้าวร้าวรุนแรงต่อมันได้ อย่าว่าแต่มันเป็นผู้สืบทอดพลังฝีมือของเทพอสูรทะเลคลั่งผู้นั้นด้วยแล้ว ในความเห็นเรา มันต้องมิใช่โง่งมอย่างเด็ดขาด ยิ่งมิใช่คนคลุ้มๆ คลั่งๆ อย่างที่ร่ำลือกัน”

“ดังนั้นมันย่อมรู้ว่าลูกดอกนั้นมิใช่มาจากบนรถ เพียงแต่มิทราบเป็นผู้ใดซัดมา จึงมิได้กล่าวโทษต่อท่าน”

“เป็นได้”

“ต่อให้มันสงสัยว่าท่านเป็นผู้ลงมือ มันก็ยังต้องมิกล้าแน่ใจเด็ดขาด เนื่องเพราะมันย่อมไม่อาจหาเหตุผล ท่านไฉนต้องลงมือช่วยศัตรู”

“อืม...”

“เนื่องเพราะมันมิทราบ แผนนี้เป็นเหมิงจู่ของพวกเราวางขึ้น ให้ข้าพเจ้าปลอมตัวเป็นคนทรยศผู้นั้น ลอบมาส่งสารลับให้นางชะมดน้อยนี้ นางที่จริงต้องหนีรอดไปอย่างสะดวกปลอดภัย เพื่อที่จะได้นำข่าวไปบอกต่อผู้อยู่เบื้องหลังนาง เมื่อปลางับเหยื่อแล้ว เหมิงจู่ก็เพียงแต่สั่งพวกเราไปสาวมาเท่านั้น”

“อืม...”

“อย่าว่าแต่การลงมือครั้งนี้ของท่าน ก็เพียงแต่ซัดลูกดอกทั่วๆ ไปใส่มันเท่านั้น มิได้คิดแพร่พิษใดๆ มันอย่างมากก็แค่มีบาดแผลเล็กน้อย ด้วยบุคลิกเช่นมัน เมื่อได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ย่อมไม่ก่อกวนให้เกิดเรื่องบานปลายเด็ดขาด”

“นับว่าเสี่ยวจื่อยู่ (หยกม่วงน้อย) มีความสามารถในการคาดเดาผู้คนที่มิเคยได้พบเห็นหรือสนทนาจริงๆ”

“นี่ถือเป็นคำชมได้?”

“ย่อมถือเป็นคำชมได้ เราหากไม่ยินยอมให้เจ้าแสดงปฏิภาณเลย น่ากลัวต้องเป็นการทรมานเจ้าอย่างสาหัสทีเดียว”

อสูรหยกม่วงแสร้งส่งเสียงละห้อยตัดพ้อ “นับว่าไป๋ยู่เกอเกอท่านช่างร้ายกาจ หลอกล่อให้ข้าพเจ้ากล่าววาจาอยู่เป็นครึ่งค่อนวัน แล้วใช้เพียงประโยคเดียวก็ฮุบความดีไปเสียหมดสิ้น”

ครั้งนี้อสูรหยกขาวเพียงหัวร่อคำหนึ่ง มิส่งเสียงโต้ตอบอีก อสูรหยกม่วงจึงกล่าวขึ้นต่อ “ในความเห็นท่าน มันกับนางชะมดผู้นั้น ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ ต่อกัน?”

“เราเห็นว่าไม่มี หากมันเกี่ยวข้องกันย่อมช่วยเหลือนางให้หลบหนีไปอย่างง่ายดาย ไหนเลยต้องมาเสียเวลายืนคุยกับนางในห้องจนเรากลับมา อีกอย่าง เพชฌฆาตไร้หน้าผู้นี้ ตั้งแต่ออกอาละวาดมา ไม่แสดงออกว่าฝักฝ่ายใดเป็นพิเศษ คล้ายมันพอใจก็กระทำลงไป มิสนว่าไปเกี่ยวข้องหรือกระทบกระเทือนผู้ใด ประการนี้เรากลับไม่รู้สึกประหลาด ด้วยพลังฝีมือของมันนับว่าเพียงพอให้มันสามารถกระทำเยี่ยงนี้ได้จริงๆ”

“ท่านประมือกับมันคราเดียว ก็ให้คุณค่ามันสูงถึงเพียงนี้?”

“แน่นอน” อสูรหยกขาวผู้นั้นกล่าว “เราบอกต่อเจ้าตามตรง หากมันเป็นคนคลุ้มคลั่งมิฟังเหตุผลดั่งที่ร่ำลือกัน ค่ำคืนนี้ของพวกเราก็นับว่าต้องลำบากอย่างสาหัสแล้ว”

“กระทั่งท่านก็มิอาจจัดการมันได้โดยง่าย?”

อสูรหยกขาวทอดถอนใจแล้วกล่าว “เจ้ามิได้เห็น? มันใช้มือข้างหนึ่งถือบังเหียนม้า เท้ามิได้แตะพื้นยังสามารถเหวี่ยงม้าตัวนั้นให้ลอยขึ้นได้ ยังสามารถควงดาบฟาดอาวุธลับเหล่านั้นให้ร่วงไป”

“เพียงยกม้าตัวหนึ่งให้ลอยขึ้น ข้าพเจ้าว่าไป๋ยู่เกอเกอท่านก็ทำได้โดยมิยากเย็น”

“เพียงยกม้าตัวหนึ่งให้ลอยขึ้นสำหรับเรามิใช่เรื่องยากเย็น แต่ต้องมิใช่เป็นตอนที่เหวี่ยงตัวในขณะขี่ม้า ใช้ออกไปแล้วสองกระบวนท่า และเท้ามิได้แตะพื้นเด็ดขาด คนผู้นี้นอกจากจะบรรลุถึงพลังฝีมืออันเยี่ยมยอดแล้ว ยังมีพละกำลังผิดมนุษย์อีกด้วย ฟังว่าเทพอสูรทะเลคลั่งเองก็มีร่างกายสูงใหญ่และพละกำลังมหาศาลผิดมนุษย์เช่นกัน ดังนั้นวิชาที่ท่านบัญญัติขึ้นมา จึงมีรากฐานอยู่บนความพิเศษของร่างกายและพละกำลังนี้เอง”

“แสดงว่ามันเป็นผู้สืบทอดวิชาอันร้ายกาจนี้ได้โดยสมบูรณ์”

“ถูกต้องแล้ว เราเคยได้ยินผู้คนกล่าวว่า มันเป็นบุตรบุญธรรมของเทพอสูรทะเลคลั่งผู้นั้น ก็นับว่าท่านเสาะหาบุคคลได้ถูกต้องจริงๆ”

อสูรหยกม่วงส่งเสียงขึ้นมาอย่างสนใจ “บุตรบุญธรรม? ในเมื่อมันเป็นบุตรบุญธรรมของเทพอสูรทะเลคลั่ง มันย่อมต้องร่ำรวยมหาศาลมิใช่หรือ? ไฉนมันยังต้องกระทำพฤติกรรมเยี่ยงโจรกระจอก ฉกชิงสมบัติคนตาย กระทั่งถอดเสื้อผ้าจากศพให้เป็นที่ติฉินนินทาอีกเล่า?”

อสูรหยกขาวทอดถอนใจอีก “นี่นับเป็นพฤติกรรมที่บันดาลให้ผู้คนรู้สึกปวดศีรษะจริงๆ หากจะถามว่าส่วนใดของมันพิกลพิสดารที่สุด เราต้องบอกว่ามิใช่ใบหน้าของมัน แต่เป็นพฤติกรรมนี้นี่เอง”

“หรือเทพอสูรทะเลคลั่งผู้นั้น นอกจากพลังฝีมือแล้ว ก็มิให้สิ่งใดกับมันอีกเลย? เช่นนี้มิสู้รับมันเป็นศิษย์ไปมิดีกว่าหรือ?”

“คนผู้นี้ที่จริงหากต้องการทรัพย์สินเงินทอง ต่อให้เทพอสูรทะเลคลั่งผู้นั้นไม่เหลือสมบัติใดไว้ให้มัน ก็ยังสามารถไปช่วงชิงมาได้โดยง่าย หรือเจ้ามิเคยได้ยินเรื่องที่มันปล้นขบวนคุ้มกันของสำนักคุ้มภัยยู่หลานฮวา”

“ไอ้หยา ข้าพเจ้านึกออกแล้ว มันปล้นครั้งแรกก็เพียงเอารถไปซ่อนไว้เจ็ดวัน จึงจัดส่งคืนโดยมิมีสิ่งใดตกหล่นขาดหาย ครั้งที่สองจ่งเปียวเถาของสำนักยู่หลานฮวาตอบแทนมันด้วยเงินแท่งขาวหีบหนึ่ง มิว่าอย่างไรต้องบันดาลให้ผู้คนสยบยอมได้โดยง่าย ไหนเลยจะคาด มันกลับตอบแทนด้วยการสั่งหารหมู่เปียวซือในครั้งที่สาม ซ้ำยังเอาเงินหีบนั้นไปซัดไว้ที่หน้าสำนักใหญ่ของยู่หลานฮวาอีกด้วย พอมาคิดดูแล้ว พฤติการณ์ของคนผู้นี้นับว่าประหลาดพิกลจนบันดาลให้ผู้คนปวดศีรษะจริงๆ”

“ที่เหมิงจู่เคยตักเตือนว่า หากประสบพบคนผู้นี้ ก็อย่าได้ไปตอแย หรือเพาะความแค้นกับมันเป็นอันขาด วันนี้เราก็ได้ซาบซึ้งถึงคำของท่านแล้ว”

“นับเป็นโชคดีที่ท่านปกติก็เชื่อฟังวาจาของเหมิงจู่เป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นวันนี้จึงได้ประพฤติตัวนอบน้อมต่อมันเป็นพิเศษ หากเปลี่ยนเป็นข้าพเจ้าต้องน่ากลัวต้องกลายเป็นย่ำแย่ไป”

อสูรหยกขาวหัวร่อขึ้นมาคำหนึ่ง ได้ยินเสียงอสูรหยกม่วงกล่าวสืบต่อ “ว่าแต่ท่านออกปากชวนมันดื่มสุรา ท่านคิดเพาะไมตรีกับมันอย่างจริงจัง?”

“อืม”

“ท่านมิกลัวมันตอบแทนท่านด้วยการมาทุ่มไหสุราไว้หน้าบ้านท่าน กำนัลท่านด้วยดาบสักหลายครั้ง?”

อสูรหยกขาวหัวร่ออีก “คิดเพาะไมตรีอย่างจริงจังกับคนผู้หนึ่ง ใช้สุราจึงประเสริฐ เงินทองใช้ผีโม่แป้งได้ แต่มิอาจใช้ให้ผู้คนจริงใจได้เป็นอันขาด”

“ท่านแน่ใจว่ามันพบท่านอีกครั้ง ก็จะคว่ำสุรากับท่านด้วยดี?”

“เราแน่ใจ เนื่องเพราะตัวมันมิใช่ชนชั้นประเภทกลับกลอกไปมาอย่างเด็ดขาด”

.......................................
(จบตอน)

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1051
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
บทที่6 เซี่ยตัน

ตอนที่จ้าวฉือกลับมาถึงโรงเตี๊ยม ฝนก็หยุดแล้ว ด้านหน้าลานจอดรถม้าเรียบร้อยเป็นปกติ รถม้าที่ถูกฟาดประทุนหลังแหลกไปคันนั้นก็อันตรธานไปแล้ว ย่อมเป็นการจัดการของพรรคอสูรเทวราช แต่สามารถจัดการได้อย่างไร จ้าวฉือคร้านที่จะสนใจ

เหลาสุราที่ชั้นล่าง บัดนี้เงียบเหงาวังเวง คล้ายผู้คนที่กินดื่มอยู่เมื่อครู่ ถูกการประมือของพวกมันสองคนขู่ขวัญจนกระเจิดกระเจิงไปหมดสิ้น

การค้าของเหล่าสุรานับว่าเพิ่งถูกก่อกวนไปชัดๆ แต่ผู้รับใช้พอเห็นจ้าวฉือก้าวเข้ามาในโถง ก็ปราดเข้ามาแย้มยิ้มกล่าวประจบทันที

“ต้าเอี๋ย ท่านกลับมาแล้ว บ่าวกำลังต้มน้ำร้อนเตรียมไว้ให้ท่านชำระล้างร่างกาย โปรดรอสักครู่หนึ่ง”

จ้าวฉือขมวดคิ้วเล็กน้อย กล่าวถามไป “เรามิใช่คนจากพรรคอสูรเทวราช เจ้ามิต้องมาประจบสอพลอไป”

“ท่านมิใช่ก็มิเป็นไร นี่เป็นต้าเอี๋ยชุดขาวผู้นั้นสั่งไว้ เมื่อท่านกลับมาต้องทำการต้อนรับให้ดีที่สุด ทั้งยังชำระราคาค่าเสียหายรวมถึงค่าห้องพักและรายละเอียดต่างๆ ของท่านจนหมดสิ้น ดังนั้น...”

“ดังนั้นพวกเจ้าก็รับไว้เถิด ส่วนเราจะไปแล้ว”

“ท่านจะไปแล้ว? แต่ท่านเพิ่งกลับมาถึง?”

“กลับมาถึงเราก็ไปได้ ห้องพักที่ผู้อื่นชำระใหญ่ เรามิปรารถนาจะหลับนอน”

กล่าวจบก็หันกาย ผลักประตูออกไปทันที ผู้รับใช้ได้แต่อ้าปากค้าง ด้วยมิเชื่อบนโลกจะมีคนเช่นนี้อยู่

คนผู้นี้สวมหน้ากากประหลาด สารรูปก็มิใช่ร่ำรวยมาจากที่ใด กลับปฏิเสธห้องพักที่ผู้อื่นชำระให้ ซ้ำยังเร่งรีบจากไปอีกเล่า เท่าที่ผู้รับใช้ทราบ นอกจากโรงเตี๊ยมแห่งนี้แล้ว แห่งที่ใกล้ที่สุดมีระยะทางไม่ต่ำว่าห้าหกสิบลี้

มันต้องเป็นบุคคลวิกลจริตโดยแท้เทียว ถึงสามารถกระทำเรื่องลำบากต่อตัวเองโดยไร้ประโยชน์เช่นนี้ได้

.........................................

จ้าวฉือที่จริงมิใช่คนรั้นถึงกับดูแคลนน้ำใจของผู้อื่น คนผู้หนึ่งดีต่อมัน มันย่อมดีตอบคนผู้นั้น

คืนนี้มันก่อกวนการทำงานของอสูรหยกขาว แม้มันทราบลูกดอกลูกนั้นถูกผู้อื่นซัดมา มันก็มิพาดพิงไปถึงอสูรหยกขาวโดยเด็ดขาด เนื่องเพราะมันถือว่านี่คือการชำระราคาของมันแล้ว

แต่เมื่อพรรคอสูรเทวราชชำระค่าห้องให้มัน ทั้งยังชำระค่าจิปาถะต่างๆ ล่วงหน้า หากมันยินยอมใช้ ก็เท่ากับว่ามันติดค้างพรรคอสูรเทวราชไป

มันยินยอมนอนที่ข้างทาง มิยอมติดค้างผู้ใดเด็ดขาด นี่คือกฎของมัน

ดังนั้นมันจึงสะบัดหน้าจากมาอย่างมิแยแส

ตอนนี้มันย่ำม้าอยู่บนทางสายน้อย อากาศเย็นเยือก เสื้อผ้ามันตอนนี้ก็เปียกชื้นจากละอองฝน แม้มันสามารถโคจรลมปราณเพื่อรักษาความร้อนของร่างกายไว้ได้ แต่ต้องมิใช่บนเส้นทางยาว อีกทั้งอาชาสีดำคู่ขามันตอนนี้ ก็นับว่าเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าอย่างยิ่งแล้ว

จ้าวฉืออย่างไรก็มีประสบการณ์เดินทางรอนแรมมาอย่างโชกโชน ใช้เวลาไม่นานก็เสาะหาอารามร้างได้หลังหนึ่ง จึงแวะพักที่นั่น

.......................................

ขนมแป้งย่างไส้เนื้อโอชะมากจริงๆ รอจนเอื้อมมือหยิบชิ้นที่สามขึ้นมา จ้าวฉือจึงเพิ่งสังเกตว่าเซี่ยตันนั่งจ้องอยู่

“ขนมอร่อยมากใช่หรือไม่?”

จ้าวฉือผงกศีรษะ แล้วกัดเข้าไปอีกคำหนึ่ง “บอกต่อเจ้าก่อน เพียงเจ้าให้ขนมแป้งย่างเรา ก็ยังไม่สามารถให้เรานับถือเจ้าเป็นสหายได้”

เซี่ยตันมิได้แสดงสีหน้าโกรธขึง แย้มยิ้มแล้วกล่าวอีก “ข้าพเจ้าหิ้วขนมมาให้ท่าน ท่านไฉนไม่ยอมรับข้าพเจ้าเป็นสหาย”

“เนื่องเพราะเจ้าคือพวกกงจื่อรุ่มรวย คนประดาเจ้า หากมิใช่มีฐานะเทียบเคียงเสมอหรือสูงส่งกว่า ย่อมมิเหลือบแลไปมองอย่างเด็ดขาด คบหาเป็นสหาย เฮอะ นับว่าเจ้าสามารถพูดจาผิดแปลกไปจากผู้อื่นได้บ้าง จุดประสงค์ยังคงเป็นดังเดิมนั่นเอง”

“อ้อ... ท่านก็มีความสามารถ ล่วงรู้จุดประสงค์ดั้งเดิมของข้าพเจ้าได้? ไหนลองบอกออกมาสักหลายคำ ข้าพเจ้าจะน้อมล้างหูรับฟัง”

จ้าวฉือจึงจ้องหน้ามัน แล้วกล่าว “เจ้าต้องการใช้เราไปกระทำเรื่องประการหนึ่ง ที่บรรดาคนรับใช้ของเจ้ามิอาจกระทำได้ บางทีอาจเป็นเรื่องโง่เขลาบัดซบ บางทีอาจเป็นเรื่องประหลาดพิสดาร บางทีอาจเป็นเรื่องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย แต่มิว่าเรื่องใด ย่อมเป็นเรื่องที่ทำให้เจ้ารู้สึกสนุกสนานเป็นแน่”

เซี่ยตันพลันปรบมือฉาด กล่าวขึ้น “นับว่าท่านสามารถคาดเดาได้ถูกต้อง ข้าพเจ้ามีจุดประสงค์ให้ท่านกระทำเรื่องเรื่องหนึ่งจริงๆ”

“เจ้าลองว่ามา เราอย่างไรก็กินขนมของเจ้าไปแล้ว ย่อมมิสะบัดหน้าหนีโดยไม่ตอบแทนประการใดอย่างเด็ดขาด”

คิ้วของเซี่ยตันเลิกสูงขึ้นอย่างผิดคาดหมาย “เพียงขนมไม่กี่ชิ้น ท่านไม่คิดยอมรับข้าพเจ้าเป็นสหาย แต่กลับคิดตอบแทนมูลค่าของขนมนี้ หรือท่านคิดว่ามูลค่าขนมนี้มิได้มากมาย?”

“ต่อให้มากมายก็ย่อมมิอาจเทียบได้กับคุณค่าของคำว่ามิตรสหายอย่างเด็ดขาด”

เซี่ยตันเบิ่งตากลมกว้างมองมัน “วาจานี้ของท่านช่างลึกล้ำอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าตอนนี้ยังไม่มีคุณค่าพอจะเป็นมิตรสหายของท่าน?”

“ไม่มี”

“หากต้องการเป็นมิตรสหายของท่าน ข้าพเจ้าต้องทำเช่นไร”

จ้าวฉือกลอกตาคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าว “คุกเข่าลงคลานสี่ขา แล้วเห่ามาครั้งหนึ่ง”

เซี่ยตันผู้นั้นมิได้โกรธขึง มันถึงกับหัวร่อออกมา “ท่านน่ากลัวต้องผ่านเรื่องยากลำบากใจชีวิตมาแล้วจริงๆ”

“เจ้ามิยินยอมกระทำ?”

“ข้าพเจ้าอาจยินยอมกระทำได้” เซี่ยตันตอบ “แต่ผู้ที่สามารถสั่งให้ข้าพเจ้ากระทำเช่นนี้ได้ ต้องเป็นมิตรสหายที่สำคัญกับข้าพเจ้าอย่างยิ่ง และการกระทำประการนี้ของข้าพเจ้า จะส่งผลใหญ่หลวงต่อชีวิตของมัน ตอนนี้ท่านยังมิใช่สหายที่สำคัญกับข้าพเจ้าถึงเพียงนั้น”

“อ้อ...”

“แต่หากข้าพเจ้าเป็นมิตรสหายของท่าน ต่อให้ข้าพเจ้าต้องตาย ก็จะมิสั่งท่านให้กระทำเช่นนี้อย่างเด็ดขาด”

วาจานี้ตอนมันกล่าวออกมา ก็กล่าวด้วยสีหน้าท่าทางจริงจังจริงใจเป็นอย่างยิ่ง จ้าวฉือฟังแล้วก็ให้รู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาในทรวงอกอย่างประหลาด จึงแสร้งทำเป็นกระแอมไอขึ้นมาแล้วกล่าว

“วาจาประดานี้ของเจ้าเรามิต้องการรับฟัง จะให้เราไปกระทำสิ่งใดจงรีบบอกกล่าว”

“ข้าพเจ้าต้องการให้ท่านออกไปท่องเที่ยวกับข้าพเจ้าสักวันหนึ่ง”

“ตกลง”

“อย่างนั้นท่านตอนนี้ก็ไปชำระล้างร่างกาย ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ได้”

จ้าวฉือส่งเสียงปฏิเสธทันที “ไปเที่ยวเรากระทำให้ได้ แต่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เฮอะ นี่มิได้อยู่ในเงื่อนไข”

“ไฉนมิได้อยู่ในเงื่อนไข ท่านรับปากไปเที่ยวกับข้าพเจ้า อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าย่อมรวมอยู่ในเงื่อนไขนั้น หากท่านไปในสภาพนี้ผู้คนล้วนเข้าใจว่าข้าพเจ้าออกมากับบ่าวรับใช้ นั่นก็มิใช่การออกไปท่องเที่ยวด้วยกันแล้ว เงื่อนไขประการนี้ ท่านคงเข้าใจได้มิยากกระมัง”

จ้าวฉือเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วกล่าว “เช่นนั้นไยมิใช่เราติดค้างค่าเสื้อผ้าเจ้าไป?”

เซี่ยตันแย้มยิ้มกล่าวขึ้นต่อ “ประการนั้นข้าพเจ้าได้คำนวณราคาไว้แล้ว วันนี้ฝนตกไปเสียครึ่งวัน ท่านรับปากข้าพเจ้าหนึ่งวัน ดังนั้นที่ตกลงกันจึงต้องเป็นพรุ่งนี้ วันนี้ท่านอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ชำระเป็นการโขกหมากล้อมกับข้าพเจ้าแล้วกัน”

“หมากล้อม? เกมชั้นสูงพวกนั้น เจ้าคิดหรือว่าเราก็เล่นได้?”

“เล่นไม่ได้ก็ไม่ใช่ปัญหา ข้าพเจ้าสามารถสอนท่านได้ เว้นแต่ท่านแน่ใจว่ามิมีความสามารถเพียงพอ”

“เฮอะ การสอนนี้มิคิดเป็นมูลค่ากระมัง”

“ข้าพเจ้าย่อมมิคิดเป็นมูลค่า ท่านเล่า?”

“ในเมื่อเจ้าแส่หาความยุ่งยากเอง หากเรายังขืนห้ามปรามอีกก็คงจะเป็นการปราณีเจ้าเกินไป”

ดังนั้นอีกราวครึ่งชั่วยามต่อมา มันก็กลับมานั่งประจันหน้ากับเซี่ยตันในห้องพักอันกว้างขวางของโรงเตี๊ยม โดยมีกระดานหมากล้อมคั่นกลาง จ้าวฉือเนื่องจากเติบโตมาข้างถนน จ้าวชินจ้านที่เป็นบิดาบุญธรรมของมันเดิมก็เป็นโจรสลัด ดังนั้น การที่จ้าวฉือมิพูดคำสบถคำ ก็นับว่ามันสามารถสุภาพได้อย่างสาหัสแล้ว อย่าว่าแต่รู้จักการเล่นหมากล้อมซึ่งเป็นศิลปะชั้นสูงเลย

พอเซี่ยตันเริ่มอธิบาย มันก็ออกอาการง่วงเหงาหาวนอนทันที ฟังไปได้สักไม่ถึงชั่วหม้อน้ำเดือด จ้าวฉือก็หาวหวอดแล้วกล่าวขึ้น “เจ้ายังจะอธิบายอีกนานหรือไม่ ถ้านาน บิดาจะไปนอนก่อน”

“หากท่านไปนอนแล้ว จะเข้าใจกติกาได้อย่างไร”

“กติกาก็เพียงเปลี่ยนตัวหมากฝั่งเจ้าให้เหมือนฝั่งเรามิใช่หรือ”

“ก็ใช่”

“เช่นนั้นก็เริ่มเล่นกันได้แล้ว”

เซี่ยตันจึงเริ่มวางหมาก เล่นกันไปมิทันได้กี่ตา ก็เป็นจ้าวฉือร้องออกมา “ไฉนเป็นเจ้าที่เปลี่ยนหมากอยู่ร่ำไป นี่คดโกงหรือไม่?”

“นี่มิใช่การคดโกง ย่อมเป็นไปตามกติกา”

“กติกาผีสางใด! ต้องเป็นเจ้าพยายามคดโกงเราอยู่ชัดๆ”

“เพราะท่านมิเข้าใจกติกากระจ่างเองดอก”

“เฮอะ การละเล่นนี้มิเห็นสนุกสนานที่ใด”

“หากท่านเข้าใจกฎกติกา ก็ย่อมจะรู้สึกสนุกได้เอง”

“เพ้ย! กติกาพวกนี้ อธิบายอีกครึ่งค่อนวันต้องก่อกวนให้เราเบื่อตาย”

“หากท่านมิตั้งใจฟังให้แจ่มแจ้ง ก็จะถูกล้อมกินอยู่ร่ำไป”

จ้าวฉือเขม้นมองมันแล้วถาม “เจ้าลูกเต่ามิมีเกมอื่นที่เล่นสนุกกว่านี้แล้ว?”

เซี่ยตันกะพริบตาครั้งสองครั้ง แล้วกล่าว “ท่านเรียกข้าพเจ้าเป็นลูกเต่า?” (เต่าในที่นี้มีความหมายว่าขี้ขลาด ไร้ศักยภาพ เพราะเอาแต่หดหัวผลุบๆ โผล่ๆ ลูกเต่า = ลูกของคนขี้ขลาด ไร้ศักยภาพ = ด่าถึงพ่อแม่ จึงจัดว่าเป็นคำด่าที่หยาบคายมาก)

จ้าวฉือเลิกคิ้ว ส่งเสียงขึ้นจมูก “ถูกต้อง เราด่าเจ้า เรายังสามารถด่าเจ้าได้อีกมาก ต้องการฟังหรือไม่?”

เซี่ยตันสั่นศีรษะ ดวงตาถึงกับมีน้ำรื้นขึ้นมา ส่งเสียงละห้อยกล่าวว่า “ท่านไฉนต้องด่าว่าข้าพเจ้ารุนแรง ข้าพเจ้าเพียงต้องการเล่นกับท่าน ข้าพเจ้าเคยไปก่อกวนด่าบิดามารดาท่านตั้งแต่เมื่อใด”

จ้าวฉือที่จริงคิดจะกล่าววาจาก่อกวนโทสะเซี่ยตันให้ขับไล่หรือลงมือกับมัน เพราะคนผู้นี้ที่จริงก็มีฝีมือสูงส่งกว่ามันอยู่ชัดๆ มิคาด กงจื่อน้อยผู้นี้แทนที่จะมีโทสะกับมัน กลับกลายเป็นเศร้าเสียใจกับคำด่าของมันเสียได้ แม้กิริยา วาจาและท่าทางของจ้าวฉือจะหยาบกระด้างเย็นชา แต่จิตใจของมันก็มิใช่เลวทราม มิเช่นนั้นไหนเลยจะยื่นมือออกไปช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่คำนึงถึงตัวเองได้ พอเห็นเซี่ยตันมีสีหน้าเช่นนี้ก็ให้หวนนึกถึงเสี่ยวเปา เสียงที่กล่าวออกมาเลยนุ่มนวลลงเล็กน้อย

“เรามิได้ตั้งใจด่ากระทบกระเทียบบิดามารดาเจ้า เราที่จริงโตมาในสถานที่แร้นแค้น ชีวิตเคยชินกับการสบถใส่ผู้อื่นเป็นเรื่องปรกติธรรมดา คนที่เกิดในชาติตระกูลดีเช่นเจ้า มาเพียรพยายามเป็นสหายกับคนเช่นเรา ย่อมเป็นเรื่องให้ผู้อื่นหัวร่อลับหลังเอาเสียเปล่าๆ”

เซี่ยตันเหลือบตามองมัน แล้วกล่าว “ตอนนี้ท่านยอมรับว่ามิคู่ควรเป็นสหายของข้าพเจ้า?”

จ้าวฉือถอนหายใจ ผงกศีรษะ “ถูกต้อง บุคคลเช่นเรา ดูที่ใดก็นับว่าไม่คู่ควรจริงๆ”

มันถึงกับสามารถถ่อมตัวต่อหน้ากงจื่อรุ่มรวยอย่างเซี่ยตันได้ หากบอกตัวมันในชั่วยามก่อน รับรองว่ามันต้องมิยอมรับเป็นอันขาด แต่เพราะยามนี้ มันบังเกิดความเวทนาต่อกงจื่อผู้นี้ขึ้นมาจริงๆ

“ท่านที่จริงอาจจะหยาบคายเกินไปบ้าง” เซี่ยตันว่า “ข้าพเจ้าที่จริงก็อาจจะสุภาพนุ่มนวลเกินไปเช่นกัน”

“....”

(มีต่อ)

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1051
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
“เมื่อครู่ท่านมิได้ตั้งใจกล่าวคำผรุสวาท ทั้งหมดเป็นเพียงความเคยชิน ประการนี้ท่านก็อธิบายออกมาอย่างกระจ่างแจ้งจนข้าพเจ้าเข้าใจแล้ว ข้าพเจ้าเองก็มีความเคยชินประการหนึ่ง คิดว่าสมควรอธิบายให้ท่านเข้าใจโดยกระจ่างแจ้งเช่นกัน”

“ว่ามา”

“ข้าพเจ้าที่จริงมีความคิดใคร่ด่าผู้คนอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อข้าพเจ้ากล่าวคำหยาบคายคำหนึ่ง เตียเตียของข้าพเจ้าจะเสาะหาคนผู้กล่าวคำหยาบคายนั้นให้ข้าพเจ้าได้ยิน วันรุ่งขึ้นคนผู้นั้นต้องถูกตบปากจนแทบฟันร่วง ดังนั้นในบ้านจึงมิมีผู้ใกล้กล้ากล่าวคำสบถอีก แม้ฝีมือข้าพเจ้าจะพอใช้ได้ แต่ฝีปากเรื่องการด่าคนของข้าพเจ้ากลับมีปัญหาจริงๆ”

มันเอาชนะจ้าวฉือได้ง่ายดายชัดๆ กลับถ่อมตัวว่าฝีมือพอใช้ได้ แต่จ้าวฉือตอนนั้นมิทันได้ไปคำนึงถึง เพียงมองมันอย่างพิศวง “ฝีปากการด่าคนที่จริงไม่นับเป็นฝีมือสูงส่งใด เจ้ามิต้องไปหัดให้เสียเวลาดอก”

“ท่านกลัวข้าพเจ้าหัดแล้วจะด่าท่านเจ็บแสบเกินไป?”

จ้าวฉือหัวร่อออกมา “เรากลัวเจ้าหัดแล้วจะร่ำไห้เพราะทนกล่าวถ้อยคำเหล่านั้นไม่ไหวดอก”

เซี่ยตันผงกศีรษะ “ก็จริง ให้ข้าพเจ้าด่าท่านเป็นลูกหลานเต่า ข้าพเจ้าก็ทานทนมิได้จริงๆ”

“.....”

“ให้ข้าพเจ้าด่าท่านเป็นคนโง่บัดซบ จึงสามารถลงมือปล้นสถานที่เดิมสามครั้งได้ ข้าพเจ้าก็ว่าเกินไปจริงๆ”

“.....”

“ดังนั้น ข้าพเจ้ามีแต่ต้องกล่าววาจาสุภาพ ท่านที่จริงเป็นคนเปิดเผยไม่ซ่อนเร้น ยังเป็นบุคคลที่มีน้ำใจอันประเสริฐ เช่นนี้ต้องเข้าหูกว่ามาก”

จ้าวฉือแยกเขี้ยวแล้วกล่าวเสียงขึงขัง “เสี่ยวหูลี่ (เจ้าจิ้งจอกน้อย) เจ้านับว่ามีฝีปากด่าคนไม่ธรรมดา เราเกือบลืมว่าเคยถูกเจ้าฝังเข็มเงินเล่มหนึ่งไว้ที่หัวไหล่ เจ้าต้องมิใช่คนอ่อนแอไร้เดียงสาเด็ดขาด”

เซี่ยตันแย้มยิ้มกล่าว “หากข้าพเจ้าอ่อนแอไร้เดียงสา ไหนเลยจะมากับขบวนของเปียวซือเหล่านั้นได้ แต่เมื่อครู่ถูกท่านด่าทอเช่นนั้น ข้าพเจ้าก็เจ็บปวดใจจริงๆ มิใช่เสแสร้งแกล้งทำ ส่วนท่านเองแม้เป็นคนหยาบคายแต่ก็มิใช่คนไร้น้ำใจ ดังนั้น นับว่าข้าพเจ้าคบหาสหายมิผิดไป ท่านมิต้องลดทอนคุณค่าตัวเองถึงเพียงนั้นดอก”

จ้าวฉือฟังแล้วก็ให้รู้สึกคันยุบยิบอยู่ในทรวงอก อดมิได้ต้องกล่าวถามออกมา “กงจื่อรุ่มรวยเช่นเจ้า ไหนต้องมาคบโจรเช่นเราเป็นสหายให้ได้?”

“เนื่องเพราะข้าพเจ้ามีความตั้งใจ จะออกท่องเที่ยวไปในยุทธจักรเป็นเวลาสักหนึ่งปี ดังนั้นข้าพเจ้าจึงต้องการมีสหายร่วมทางที่ไว้ใจได้สักผู้หนึ่ง”

“เฮอะ เจ้ามองว่าเราไว้ใจได้?”

“ต้องถามท่าน มองว่าตัวเองไว้ใจได้หรือไม่”

“....”

“ท่านอย่างน้อยต้องอายุมากกว่าข้าพเจ้าสองสามปี ที่จริงด้วยพลังฝีมือย่อมมีชื่อเสียงได้มิยากเย็น แต่ข้าพเจ้าลองสอบถามดูแล้ว มิมีผู้ใดรู้จักชื่อเสียงเรียงนามท่านเลย แสดงว่าท่านเองก็เพิ่งปรากฏตัวเข้ามาในวงการเช่นกัน”

จ้าวฉือจ้องมองมันแน่วนิ่ง แล้วกล่าวช้าๆ “ต้องขอบคุณสวรรค์ที่เราบังเอิญยังมิมีชื่อเสียงใด มิเช่นนั้นพอถูกเจ้าพิชิตลงอย่างง่ายดายต้องอับอายจนพุ่งศีรษะชนต้นไม้ตายไป”

เซี่ยตันหัวร่อสดใส “ข้าพเจ้าดูอย่างไรท่านก็มิใช่คนที่สามารถตายได้ง่ายดายเช่นนั้นแน่”

“เราจะตายง่ายหรือไม่นั่นยังมิสามารถนับเป็นเหตุผล ที่เราสงสัย ด้วยพลังฝีมือเลอเลิศและบุคลิกเช่นเจ้า จะสรรหาชาวยุทธ์ที่มีชื่อเสียงฝ่ายธัมมะสักคนเป็นสหายมิใช่เรื่องยากเย็น”

“เรื่องนั้นข้าพเจ้าก็ทราบอยู่”

“แล้วไฉนเจ้ามิไปสรรหา”

“ในเมื่อมิใช่เรื่องยากเย็น ข้าพเจ้าไฉนต้องลำบากไปสรรหา”

“....”

“แต่หากข้าพเจ้าใคร่มีสหายเป็นผู้ไร้ชื่อเสียงที่มีความสามารถปล้นรถขนเงินไปนำแจกผู้อื่นจนสิ้นเนื้อประดาตัว นั่นนับว่าเป็นเรื่องยากแล้ว ประการแรกต้องเสาะหาตัวคนผู้นั้นให้เจอก่อน ประการที่สองต้องเปลืองสมองในการขบคิดวิธีการเพื่อให้ได้พบมันอีกครั้ง ประการที่สาม ต้องลงทุนซื้อขนมให้มันอีกจำนวนหนึ่ง คนผู้นี้สามารถรับกินขนมผู้อื่นได้ แต่กลับมิยอมรับผู้อื่นเป็นสหาย นับว่าดื้อดึงดั่งเช่นโคลา ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงชักชวนมันมาเล่นหมากล้อม ในความเห็นข้าพเจ้า เมื่อสองคนมาเผชิญหน้ากันบนกระดาน อย่างไรต้องมีไมตรีเกิดขึ้น นี่จึงเป็นความพยายามประการที่สี่ แต่มันนอกจากมิสนใจหลักการละเล่น ยังด่าข้าพเจ้าอย่างรุนแรง ข้าพเจ้าอย่างไรก็เป็นปุถุชน มิใช่อรหันต์ ต้องรู้สึกคับแค้นใจเป็นธรรมดา จึงด่ามันไปหลายคำ ครานี้มันก็เรียกข้าพเจ้าเป็นเสี่ยวหูลี่แล้ว ข้าพเจ้าจึงวางแผนจะกระทำประการที่ห้าต่อ”

จ้าวฉือที่จริงใคร่หัวร่ออกมา แต่น่าเสียดายที่พอมันคิดหัวร่อ ก็พลันนึกได้ว่ามิทราบเป็นหัวร่อผู้ใดกันแน่ ดังนั้นจึงปั้นหน้าปั้นตาสอบถามต่อไป

“ประการที่ห้าคือ?”

“เรียกขานท่านด้วยชื่อฉายา” มิรอให้จ้าวฉือกล่าววาจาโต้แย้งใด มันรีบกล่าวสืบต่อ “ในเมื่อท่านเรียกข้าพเจ้าเป็นเสี่ยวหูลี่ (จิ้งจอกน้อย) ข้าพเจ้าจะเรียกท่านว่าสือเกอ (พี่หิน) ”

“นี่ไม่ถูกต้อง”

“มีที่ใดไม่ถูกต้อง ท่านอายุมากกว่าข้าพเจ้า เป็นเกอเกอก็ถูกต้องแล้ว หรือที่จริงท่านก็เกิดปีเถาะเช่นกัน”

“เราไหนเลยจะเกิดปีเถาะไปได้” จ้าวฉือกลอกตาวูบหนึ่ง นึกทบทวนแล้วจึงกล่าว “เราเกิดปีฉลู แก่กว่าเจ้าสองปี”

มันที่จริงก็มิทราบตัวเองเกิดปีใดแน่ แต่หากนับย้อนจากอายุปัจจุบัน ก็ต้องเป็นปีฉลู เซี่ยตันผงกศีรษะแล้วกล่าวอย่างจริงจัง

“สือหนิวต้าเกอ (พี่วัวหิน) ข้าพเจ้าจะจำไว้”

จ้าวฉือพลันตบเข่าฉาด “เพ้ย เรามีนามจ้าวฉือ เจ้าถือดีประการใดมาเรียกชื่อฉายาอื่นได้”

“ข้าพเจ้าย่อมยึดถือมาจากต้าเกอท่านเป็นหลัก” เซี่ยตันแย้มยิ้มกล่าว “ท่านเรียกข้าพเจ้าเป็นเสี่ยวหูลี่ ไฉนข้าพเจ้าไม่อาจเรียกท่านเป็นสือต้าเกอได้เล่า?”

จ้าวฉือตอนนี้มิทราบสมควรลุกหนี หรืออาละวาดดี คิดไปคิดมาก็ต้องยกมือขึ้นกุมศีรษะ “โอย... ปวด... เราปวดศีรษะแทบตายแล้ว”

“แย่แล้ว หรือในขนมแป้งย่างจะมียาพิษ ให้ข้าพเจ้าช่วยท่าน” กล่าวจบเซี่ยตันก็ยื่นมือไปคว้ากระบี่ที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา จ้าวฉือเห็นดังนั้นจึงร้องขึ้น

“เจ้าคิดมีเรื่องต่อยตีแล้ว”

“ข้าพเจ้าไหนเลยคิดมีเรื่องต่อยตี ข้าพเจ้าคิดช่วยเหลือท่านดอก ยามนี้ขนมแป้งย่างมีพิษร้ายกาจ บันดาลให้ท่านปวดศีรษะแทบตาย ข้าพเจ้าต้องผ่าท้องท่านเอาขนมออกมา”

เห็นเซี่ยตันเงื้อง่าเตรียมเอากระบี่ผ่าท้องมัน จ้าวฉือก็รีบยกมือห้าม “หยุดไว้!”

เซี่ยตันห่อปากปลอบ “ท่านมิต้องลนลานไป ข้าพเจ้าเป็นคนมือเบาอย่างยิ่ง รับรองเพียงผ่าท้องท่าน มิทำให้ท่านเจ็บปวดเป็นอันขาด”

จ้าวฉือใคร่จะร่ำไห้ออกมาจริงๆ “เสี่ยวหูลี่ เจ้าวางกระบี่ลงเถิด ศีรษะของเราตอนนี้ไม่ปวดอีกต่อไปแล้ว”

“ท่านหายปวดศีรษะแล้ว”

“อืม”

“แสดงว่าในแป้งย่างไส้เนื้อมิได้มีพิษ”

จ้าวฉือถอนหายใจอย่างมิทราบจะทำประการใดต่อไป “ตอนนี้เรากลับหวังอย่างยิ่งว่าในขนมแป้งย่างนั้นจะมีพิษสักเล็กน้อย เนื่องเพราะเราจะได้ใช้มันเป็นข้ออ้างสะบัดหน้าจากไป”

เซี่ยตันแย้มยิ้มแล้วกล่าว “แต่ตอนนี้ขนมแป้งย่างไม่มีพิษ ดังนั้นท่านก็อยู่เล่นหมากล้อมกับข้าพเจ้าสักกระดาน”

จ้าวฉือส่งเสียงคล้ายครวญคราง “หากเจ้าเห็นเราเป็นสหาย ก็อย่าได้ทรมานเราด้วยการละเล่นน่าเบื่อเช่นนี้เลย”

เซี่ยตันหัวร่อเสียงสดใส “หากมิเล่นหมากล้อมกัน หรือท่านมีอย่างอื่นนำเสนอ”

จ้าวฉือกลอกตาเล็กน้อย แล้วกล่าว “เราย่อมมีการละเล่นอื่น ซึ่งสนุกสนานเร้าใจกว่าหมากขาวดำนี้มาก”

.........................................
(จบตอน)

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1051
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
บทที่7 ตรอกผี

ที่จ้าวฉือพาเซี่ยตันมา ถึงกับเป็นตรอกผี

ตรอกผีนี้ ย่อมมิได้หมายถึงตรอกที่มีภูตผีหลอกหลอน แต่เป็นตรอกที่เต็มไปด้วยแหล่งอบายมุขทุกชนิดที่มนุษย์สามารถคิดค้นขึ้นมาได้ เพราะเป็นแหล่งรวมสถานที่อโคจร จึงเรียกกันว่าตรอกผี

คนเช่นจ้าวฉือ แม้มิใช่สันดานเลวร้าย แต่มันอย่างไรย่อมมิสามารถสรรหาสถานที่เลอเลิศได้เป็นอันขาด

เนื่องเพราะมันเติบโตมาในสังคมเช่นนี้เอง

สายันต์เคลื่อน ทิวาคล้อยแล้ว

ในตรอกเริ่มสว่างไสวด้วยแสงโคม บนถนนมีผู้คนสูงๆ ต่ำๆ เดินกันขวักไขว่ ต่างสวมเสื้อผ้าตามฐานะที่พอจะหาได้ กงจื่อรุ่มรวยซ้ำยังอายุเยาว์เช่นเซี่ยตันที่สวมเสื้อผ้าราคาแพงมาปรากฏตัวอยู่ในตรอกผีเช่นนี้ นับว่าก่อกวนให้ผู้คนสนใจได้จริงๆ

ที่ร่วมทางมากับมัน นอกจากจ้าวฉือยังมีบุคคลอีกผู้หนึ่ง

คนผู้นี้มีวัยราวสี่สิบ ไว้หนวดยาวเล็มเป็นระเบียบ สวมเสื้อตัวยาวสีครามรัดปลอกแขน เกล้ามวยสูง ที่เอวรัดไว้ด้วยเข็มขัดหนัง เหน็บกระบี่ข้างละเล่ม สั้นข้าง ยาวข้าง รูปร่างสันทัด ยามกล่าววาจามักมีรอยยิ้มปรากฏอยู่ในดวงตาเสมอ

เซี่ยตันเรียกคนผู้นี้ว่า หม่าเอ้อร์ซู (ท่านอารองแซ่หม่า)

จ้าวฉือประหลาดใจกับประการนี้อยู่บ้าง กงจื่อในตระกูลร่ำรวย ข้างกายมักมีบ่าวรับใช้รุ่นราวคราวเดียวกัน แต่เซี่ยตันมิปรากฏบ่าวรับใช้สักผู้หนึ่ง ที่ติดตามมันมา ถึงกับเป็นท่านอารองของมันไปได้

ตอนเซี่ยตันจะออกจากโรงเตี๊ยมมาที่นี่ มันก็ไปบอกต่อท่านอารองแซ่หม่าผู้นี้ ท่านก็มิได้ห้ามปราม แต่ขอติดตามมาด้วย

ดังนั้นตอนนี้ทั้งสามคนจึงเดินอยู่ในตรอกผีที่สว่างไสวไปด้วยแสงไฟ เป็นเซี่ยตันเดินอยู่กับจ้าวฉือ ส่วนหม่าเออร์ซูเดินตามหลังอยู่ห่างๆ คล้ายมิต้องการรบกวนการสนทนาของพวกมันทั้งคู่ เพียงแต่ติดตามมาดูสถานการณ์เท่านั้น

“ท่านอาของเจ้าผู้นี้ น่ากลัวต้องเป็นชนชั้นมิใช่ธรรมดา เราเคยได้ยินว่าผู้ใช้กระบี่คู่มีอยู่มิมาก ยิ่งเป็นกระบี่คู่สั้นยาว ยิ่งนับว่ามีน้อยจริงๆ ที่เตียเตียเราเคยพูดถึง มีอยู่ผู้หนึ่ง ฉายากระบี่เป็นตาย ครั้งหนึ่งเคยมีชื่อขึ้นทำเนียบผู้ยอดยุทธ์แห่งยุค แต่นั่นก็เป็นเรื่องเมื่อหลายสิบปีมาแล้ว มิทราบจะเป็น...”

เซี่ยตันแย้มยิ้มให้มันแล้วตอบ “ข้าพเจ้าก็เคยเห็นหม่าเอ้อร์ซูใช้เพลงกระบี่ นับว่าดุดันหวาดเสียวเป็นอย่างยิ่ง แต่จะใช่ผู้เดียวกับที่ท่านคาดเดาหรือไม่นั้น ข้าพเจ้าก็มิทราบได้ เนื่องเพราะท่านอาเองก็มิเคยบ่งบอกออกมา บางทีอาจมิใช่ก็ได้”

“เจ้ามิได้สอบถาม?”

“ข้าพเจ้าไยต้องสอบถาม?”

จ้าวฉืองงงันวูบ ถามต่อไป “หรือเจ้ามิสงสัย คนผู้นี้แท้จริงเป็นผู้ใดแน่”

เซี่ยตันยิ้มอีกแล้วกล่าว “ข้าพเจ้าจะสงสัยไปไย หม่าเอ้อร์ซูก็คือหม่าเอ้อร์ซู ข้าพเจ้าพอจำความได้ก็พบเห็นท่านแล้ว”

“หรือหม่าเอ้อร์ซูผู้นี้ เป็นผู้คุ้มครองประจำตัวของเจ้า?”

“จะใช่ได้อย่างไร ท่านเป็นถึงเอ้อร์ซู (ท่านอารอง) ที่ติดตามมาด้วย เพราะเตียเตียสั่งมาให้คอยสอดส่องความประพฤติของข้าพเจ้าดอก”

จ้าวฉืออดมิได้ต้องหัวร่อออกมา “กระทั่งเตียเตียก็มิเชื่อถือในความประพฤติของเจ้า ประการนี้เรากลับเห็นด้วยอยู่”

“ข้าพเจ้าทั้งสุภาพนุ่มนวล เรียบร้อยออกเช่นนี้ เดินทางไกลคราแรก เตียเตียย่อมห่วงเป็นธรรมดา”

“เพ้ย เรียบร้อย? เจ้าเดินตามเรามาในตรอกผีเช่นนี้ สามารถกล่าวว่าตัวเองเรียบร้อยได้?”

เซี่ยตันปั้นหน้าไร้เดียงสาพลางกล่าว “ท่านเรียกให้ข้าพเจ้าติดตามมา ข้าพเจ้าก็ติดตามมา นี่ยังไม่เรียกว่าเรียบร้อยได้?”

“....”

เห็นจ้าวฉือมีหน้าคล้ายดั่งปวดศีรษะขึ้นมา เซี่ยตันจึงแย้มยิ้มแล้วกล่าวสืบต่อ “ฉือเกอ สถานที่อโคจรเช่นตรอกผีนี้ ข้าพเจ้าเพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก นับว่าผิดคาดหมายไปจริงๆ”

“ผิดคาดหมายอย่างไร”

“ในความคิดของข้าพเจ้า สถานที่เช่นนี้ล้วนเป็นที่รวมตัวของบรรดานักเลง ขบวนการมิจฉาชีพ เมื่อก้าวเท้าเข้ามา น่ากลัวต้องถูกจี้ปล้นสมบัติไปสักครึ่งตัวก่อน จึงพอหายใจหายคอโล่งได้ แต่ถึงตอนนี้ กระทั่งขอทาน ข้าพเจ้าก็ไม่เห็นแม้แต่ผู้เดียว อย่าว่าแต่โจรวิ่งราวเลย”

จ้าวฉือหัวร่อออกมา “บอกต่อเจ้า ที่ตรอกผีแห่งนี้ นอกจากเป็นตัวเจ้าใช้มือของเจ้าเองล้วงเอาอัฐของตัวเองออกมาแล้ว ก็มิมีผู้ใดกล้าล่วงเกินเงินทองของเจ้าอย่างเด็ดขาด”

เซี่ยตันเบิ่งตากลมกว้าง “คนที่นี่เรียบร้อยถึงปานนั้น ข้าพเจ้ามิทราบมาก่อน”

“เป็นตรงข้าม ผู้คนที่นี่มิมีผู้ใดเรียบร้อยสักครึ่งคน แต่ที่ทุกคนสามารถเรียบร้อยต่ออัฐในมือของผู้อื่นได้นั้น เนื่องเพราะหากมีผู้ใดก่อเหตุปล้นชิง ผู้นั้นจะต้องถูกลงโทษตามกฎของตรอกนี้ กล่าวคือถูกตัดมือทิ้งกลายเป็นคนพิการไป”

“อ้อ ข้าพเจ้าเข้าใจแล้ว เนื่องเพราะที่นี่ประกอบกิจการไม่สุจริต ดังนั้นจึงต้องมีผู้คุ้มครอง กอปรกับผู้ที่มาก็มิใช่ผู้สุจริต หากไม่มีกฎเกณฑ์เข้มงวด ก็ไม่สามารถค้าขายกันได้อย่างราบรื่น”

“ถูกต้องแล้ว”

แย้มยิ้มแล้วกล่าวต่อ “นับว่าฉือเกอท่านพาข้าพเจ้ามาเปิดหูเปิดตาจริงๆ”

ที่ตรอกแห่งนี้ สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านรวงและแผงลอย ล้วนแต่วางขายของแปลกๆ ที่มิมีให้พบเห็นในตรอกทั่วๆ ไป เซี่ยตันในตอนนี้ ก็ถึงกับถูกเสียงตะโกนบรรยายสรรพคุณสินค้าของเจ้าของแผงเหล่านั้นดึงดูดเข้าแล้ว

“ต้าเกอ ข้าพเจ้าได้ยินท่านว่ามีขนกิเลนจำหน่าย?”

เจ้าของแผงผู้นั้นพอเห็นกงจื่อวัยเยาว์ที่แต่งตัวอู่ฟู่หรูหราเดินเข้ามาสอบถามที่แผงก็ดีใจจนใบหน้าแดงปลั่ง ถูมือพลางส่งเสียงกล่าวขึ้นทันที

“กงจื่อท่านได้ยินถูกต้องแล้ว ข้าพเจ้ามีขนกิเลนจริงๆ”

“ให้ข้าพเจ้าชมดูได้หรือไม่?”

“ย่อมได้ๆ เพียงแต่... ขนกิเลนนี้ได้มายากอย่างยิ่ง ข้าพเจ้ามีเพียงปอยเดียว ท่านต้องใช้ความระมัดระวังในการดูสักเล็กน้อย อย่าได้จุดชุดไฟขึ้นส่องเป็นอันขาด”

“อ้อ”

กล่าวจบก็หยิบเอากล่องไม้สีแดงใบหนึ่งขึ้นมา แง้มฝาด้านในออก มองเห็นขนสีเทาซีดปอยหนึ่งวางอยู่ด้านใน เซี่ยตันคิดอ้าปากถามสิ่งใดต่อ จ้าวฉือก็เดินมาขนาบข้างมัน แล้วกล่าว “ขนกิเลนอุบาทว์ใดของท่าน นี่เป็นเพียงขนหางม้าที่ถูกนำไปต้มแช่ในน้ำขี้เถ้าจนสีซีดจางอยู่ชัดๆ”

“เจ้า!” คนค้าขายผู้นั้นพอได้ยินก็ตวาดออกมา แต่พอมองเห็นใบหน้าของจ้าวฉือ ท่าทางของมันก็พลันอ่อนลงทันที

“ที่แท้ก็เป็นต้าฉือตี้ (ท่านน้องฉือ) วันนี้มิทราบน้องท่านไปมีโทสะมาจากที่ใด ถึงได้มาระบายที่กิจการของเราเล่า”

จ้าวฉือแยกเขี้ยวตอบไป “หากข้าพเจ้าไปมีโทสะมา รับรองต้องไม่ปราณีต่อท่านเช่นนี้ เสี่ยวหูลี่ผู้นี้เป็นสหายของข้าพเจ้า อย่าได้คิดว่ามันเป็นสุกรอ้วนพีที่เคี้ยวง่ายทีเดียว ข้าพเจ้าชิงเปิดโปงท่านก่อนเพื่อมิต้องให้ท่านถูกมันตลบหลังดอก”

(มีต่อ)

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1051
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
คนค้าขายผู้นั้นหันไปมองเซี่ยตันคราหนึ่ง เซี่ยตันเห็นดังนั้นก็แย้มยิ้มให้มันแล้วกล่าว “ข้าพเจ้าเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก สามารถได้เห็นขนกิเลน นับว่ามีวาสนาอยู่ ที่จริงถ้ามันมิได้เปิดโปงท่าน ข้าพเจ้าก็คิดจะควักกระเป๋าอยู่แล้วเทียว”

คนค้าขายผู้นั้นหันไปจ้องจ้าวฉือเขม็ง เซี่ยตันจึงกล่าวสืบต่อ “ราคาที่ข้าพเจ้าจะจ่ายให้ท่าน ย่อมมิใช่ราคาของขนกิเลนปอยนี้ แต่เป็นราคาของวิธีที่ได้มา หากท่านเล่าได้สนุกสนานเร้าใจไม่แพ้นักเล่าเรื่องที่โรงน้ำชา ข้าพเจ้ารับรองท่านต้องได้ไม่น้อยกว่าพวกประดานั้นแน่นอน”

“....”

“ท่านสนใจอยากเล่าหรือไม่?”

คนค้าขายผู้นั้นฝืนยิ้มแล้วกล่าว “ข้าพเจ้าไหนเลยจะรบกวนเวลากงจื่อเช่นนั้นได้ หากท่านมิคิดซื้อขนกิเลนปอยนี้ ก็แล้วไปเถิด”

“น่าเสียดายอย่างยิ่ง ที่จริงข้าพเจ้าต้องการฟังนิทานแปลกใหม่ที่สนุกสนานเร้าใจอยู่ทีเดียว” กล่าวจบก็หันกายหมายเดินออกไป คนค้าขายผู้นั้นรีบส่งเสียง

“มิทราบกงจื่อจะให้ราคาประมาณเท่าใด?”

“เมื่อครู่มิใช่ข้าพเจ้าบอกแล้ว? หากสนุกสนานเร้าใจกว่านักเล่าเรื่องที่โรงน้ำชา ข้าพเจ้าจะจ่ายท่านมิด้อยไปกว่าที่จ่ายพวกประดานั้น”

“แล้วหากไม่สนุกสนานกว่าเล่า?”

“ท่านต้องจ่ายให้ข้าพเจ้า และยังเป็นการเต็มใจจ่ายอีกด้วย”

“ไฮ้ นี่นับเป็นเรื่องราวใด?”

เซี่ยตันแย้มยิ้มแล้วกล่าว “บอกท่านตามตรง ราคาของเรื่องเล่า ไหนเลยจะเทียบราคาของขนกิเลนได้ ท่านเล่าได้ไม่สนุกสนานเร้าใจ ผู้ใดจะยอมซื้อขนกิเลนของท่านในราคาสูง แต่หากท่านมีนิท่านที่สนุกสนานเร้าใจ ก็จะสามารถขายขนกิเลนนี้ในราคาสูงได้ อันนิทานที่สนุกสนานเร้าใจนั้น มีองค์ประกอบหลายสิ่ง ทั้งเนื้อเรื่อง ตัวละคร และวาทศิลป์ ประการนี้ต้องใช้เวลาศึกษา แต่ข้าพเจ้ารับประกัน ภายในชั่วเวลาหม้อน้ำเดือด ข้าพเจ้าจะทำให้ท่านสามารถเล่านิทานที่สมเหตุสมผล เต็มไปด้วยกลอุบายและความยากลำบาก ทั้งยังสนุกสนานเร้าใจ จนผู้ฟังต้องควักกระเป๋าซื้อขนกิเลนของท่านในราคาตามที่ท่านเสนอ ท่านว่า นี่มิใช่เรื่องที่คุ้มค่าต่อการลงทุนดอกหรือ?”

คนค้าขายผู้นั้นคล้ายมีสีหน้าเห็นคล้อยขึ้นมาด้วยบ้างแล้ว แต่ตอนที่มันจะอ้าปาก ก็ถูกจ้าวฉือชิงพูดขึ้นก่อน

“หลูเกอ (พี่ชายแซ่หลู) ท่านอย่าได้หลงคารมจิ้งจอกน้อยตัวนี้เป็นอันขาด มิเช่นนั้นเงินทองในกระเป๋าอันเบาหวิวของท่าน ก็กลายเป็นกลายไปหนักอยู่ในกระเป๋าของผู้อื่น ท่านอย่าได้ลืมว่าต้องเป็นผู้ได้เงินทองจากมัน มิใช่เป็นมันดึงเงินทองจากกระเป๋าท่านไป”

หลูเกอผู้นั้นสะดุ้งคล้ายเพิ่งตื่นจากภวังค์ จึงแสร้งหัวร่อแล้วกล่าวขึ้น “ในเมื่อถูกเปิดโปงแล้ว ข้าพเจ้าไหนเลยจะเหนี่ยวรั้งกงจื่อไว้ได้อีก ท่านไปเถิด”

จ้าวฉือดึงแขนเซี่ยตันออกมาจากแผงข้างทาง แน่นอนว่าเซี่ยตันย่อมมิขัดขืน เดินตามมันมาแต่โดยดี

“เสี่ยวหูลี่ ตัวเจ้าที่เป็นกงจื่อรุ่มรวยสวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์อันเลอค่าเยี่ยงนี้ ยังสามารถคิดวิธีไปหลอกลวงเงินจากผู้ที่กระเป๋าเบาลีบเช่นนั้นได้อีก เราคาดมิถึงจริงๆ”

“ท่านไฉนใส่ไคล้ปรักปรำข้าพเจ้าได้ ข้าพเจ้าไหนเลยต้องไปหลอกลวงคนผู้นั้นด้วย”

“เมื่อครู่เจ้าเพิ่งบอกจะคิดราคาค่าสอนเล่าเรื่องมันอยู่ชัดๆ นี่ยังมิใช่เรียกการหลอกลวงอีก”

เซี่ยตันพลันทอดถอนใจแล้วกล่าว “หากคนผู้หนึ่งทำผิดเงื่อนไขที่กล่าวไว้ นั่นจึงถือเป็นการหลอกลวง เกอเกอผู้นั้นขายขนกิเลนปลอม ย่อมต้องเรียกหลอกลวง แต่ที่ข้าพเจ้าสอนมันเล่านิทาน เป็นความสัตย์จริงทั้งสิ้น จะเรียกหลอกลวงได้อย่างไร”

“เจ้าสอนผู้อื่นเล่านิทาน ยังสามารถคิดราคาได้ด้วย”

“ถูกต้องแล้ว นิทานที่ข้าพเจ้าจะสอนคนผู้นั้นเล่า ย่อมเป็นนิทานที่สนุกสนานจนทำให้ผู้ฟังสามารถเคลิบเคลิ้ม ควักกระเป๋าจ่ายค่าขนกิเลนปลอมนั้นได้อย่างเต็มใจ ดังนั้นนี่จึงเป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง การลงทุนย่อมต้องมีราคา เว้นเสียแต่ท่านกระทำการค้าไม่ลงทุน (ปล้นชิง) ประการนี้มิทราบท่านสามารถเข้าใจได้หรือไม่?”

จ้าวฉือยามนี้ก็รู้สึกปวดศีรษะมากกว่าเดิมแล้วจริงๆ เซี่ยตันเห็นมันมิกล่าววาจาตอบโต้ดังนั้นจึงส่งเสียงขึ้นต่อ “แต่ว่า... หากท่านคิดทำการค้าที่ต้องลงทุนขึ้นมา ข้าพเจ้าก็สามารถให้คำปรึกษาท่านได้ ท่านเป็นสหายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าย่อมมิคิดราคาต่อท่านดอก”

จ้าวฉือพลันทอดถอนใจ แล้วกล่าว “ก่อนที่เราจะคิดเรื่องการลงทุน เราน่ากลัวต้องคิดเรื่องทำอย่างไรมิให้ถูกเจ้านำไปลงทุนเสียก่อน”

“ข้าพเจ้าจะนำท่านไปลงทุนได้อย่างไร ในเมื่อศีรษะของท่านยามนี้ ยังมิมีผู้ใดให้ราคาเลยแม้แต่เหวินเดียว”

“....”

“แต่ท่านมิต้องเป็นกังวลไป ข้าพเจ้าแม้เป็นคนค้าขาย แต่มิใช่คนขายมิตรสหายเป็นอันขาด”

“เจ้าเป็นคนค้าขาย?”

“ถูกต้อง ไฉนท่านต้องทำหน้าเช่นนั้น?”

จ้าวฉือมิทราบตอนนี้มันทำหน้าเยี่ยงไร จึงได้แต่ส่งเสียงกล่าว “ท่าทางของเจ้าเหมือนมาจากตระกูลขุนนางอยู่ชัดๆ อย่างน้อยต้องเป็นคหบดีมีชื่อเสียง ไฉนกล่าวว่าตัวเองเป็นคนค้าขาย” (ประเทศจีนโบราณได้รับอิทธิพลของขงจื้อ ซึ่งมองว่าพ่อค้าเป็นอาชีพที่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ดังนั้นจึงเป็นอาชีพที่มีศักดิ์ศรีต่ำต้อยที่สุดในบรรดาอาชีพทั้งหมด)

“ข้าพเจ้าก็เป็นคนค้าขายจริงๆ” เซี่ยตันส่งเสียงตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “ขงจื้อกล่าวว่า พ่อค้าคืออาชีพเอารัดเอาเปรียบ เป็นดั่งกาฝากของสังคม เรื่องเอารัดเอาเปรียบข้าพเจ้าก็ยอมรับอยู่ แต่เรื่องเป็นกาฝากของสังคม ประการนี้ข้าพเจ้ามิอาจยอมรับได้ ท่านลองคิดดู ต้าหมิงกว้างใหญ่ หากราชสำนักกะเกณฑ์แรงงานเพื่อเก็บเกี่ยวผลิตผลของทุกภูมิภาคเข้าสู่คลัง แล้วจึงค่อยนำออกมาแจกจ่าย มิทราบต้องสิ้นเปลืองงบประมาณเท่าไร ต้องใช้ผู้ดูแลควบคุมสักกี่มากน้อย คนค้าขายเดินทางระหว่างพื้นที่ กระจายผลผลิตไปสู่ภูมิภาคต่างๆ ราชสำนักนอกจากมิต้องสิ้นเปลืองกำลังคน ยังสามารถจัดเก็บภาษีเพิ่มเติมจากพวกเราได้อีกด้วย อีกทั้งมิต้องรับความเสี่ยงจากการเดินทางเอง เพียงประการนี้ก็มิสมควรถูกมองเป็นกาฝากอีกต่อไปแล้ว”

“คารมของเจ้านับว่าร้ายกาจ เพียงมิกี่ประโยคก็คล้ายสามารถสร้างเกียรติให้คนค้าขายได้ แต่เท่าที่เราทราบ บรรดาตระกูลร่ำรวย ล้วนแต่ผันเปลี่ยนตัวเองไปเป็นคหบดีหมดสิ้นแล้ว ไฉนเจ้าจึงยังเรียกตัวเองเป็นคนค้าขายอีก”

“เนื่องเพราะโดยดั้งเดิมครอบครัวข้าพเจ้าก็เป็นคนค้าขาย ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่ และจะยังเป็นต่อไป”

“เฮอะ ดูเจ้าภาคภูมิกับการเป็นคนค้าขายของตัวเองถึงเพียงนั้น ทั้งที่สารรูปมิได้ใกล้เคียงเลย”

เซี่ยตันหัวร่อแล้วกล่าว “ข้าพเจ้ามิจำเป็นต้องมีสารรูปเช่นเกอเกอที่ขายขนกิเลนปลอมนั้น ก็สามารถค้าขายได้เช่นกัน ประการสำคัญ ที่บ้านของข้าพเจ้ายึดหลักสามไม่”

“หลักสามไม่?”

“ไม่กดราคาจนผู้อื่นไม่เหลือกำไร ไม่คดโกง ไม่ปัดความรับผิดชอบ นี่คือหลักสามไม่”

“อ้อ...”

“ท่านต้องทราบไว้ ความร่ำรวยของผู้ค้าขาย มิใช่ได้มาโดยง่าย ล้วนแต่ต้องอาศัยความมานะอดทน ยินยอมเสี่ยงชีวิตเดินทาง ยังต้องวางแผนอย่างรัดกุม เปลืองเรี่ยวแรงเปลืองสมองมากมาย ถึงได้กำไรตอบแทนกลับมา หากบอกว่าข้าพเจ้ามิโกรธเคืองท่านเลยที่มาปล้นเอาการค้าไปสองครั้งก่อนหน้า ก็ต้องเรียกว่าข้าพเจ้ามุสา แต่เมื่อทราบว่าท่านมิได้นำทรัพย์นั้นไปใช้จ่ายเอง แต่กลับแจกจ่ายผู้อื่น ที่โกรธก็กลายเป็นพิศวงไป ดังนั้นข้าพเจ้าจึงได้มาเอง มาเพื่อดูว่าท่านเป็นบุคคลเช่นไรแน่ นับว่าข้าพเจ้ามิได้มาเสียเที่ยวเลย”

จ้าวฉือมิทราบ สมควรรู้สึกต่อวาจาประการนี้ของเซี่ยตันเยี่ยงไร จึงได้แต่เสมองไปในทิศทางอื่น

..............................................
(จบตอน)

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1051
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
บทที่8 บ่อนปลาเงิน

ในตรอกผีนี้ ทุกพื้นที่ล้วนคลาคล่ำไปด้วยผู้คน แต่ที่แน่นขนัดที่สุด ก็คือบ่อนพนัน

ที่จ้าวฉือพาเซี่ยตันเดินเข้าไปตอนนี้ เป็นบ่อนพนันที่ใหญ่ที่สุดและคึกคักที่สุดในย่านนี้ ด้านบนมีป้ายยี่ห้อทาสีทองโอ่อ่า สะท้อนแสงของโคมไฟเป็นประกายสว่างตา ประดับอักษรคำว่า ‘ปลาเงิน’ (อิ๋นหยู)

ภายในห้องโถง มีโต๊ะวางอยู่หลายตัว แต่ละตัวล้วนมีผู้คนห้อมล้อมเนืองแน่น ทั้งเสียงสบถด่าทอ กลิ่นยาสูบ กลิ่นเหงื่อไคล กลิ่นสุรา กลิ่นอาหาร ลอยอบอวลอยู่ในอากาศจนเกิดเป็นกลิ่นอันจำเพาะอันเข้มข้น

เซี่ยตันเมื่อเดินเข้ามา ก็อดมิได้ต้องย่นจมูก พึมพำขึ้น “ที่นี่เหม็นจริงๆ”

จ้าวฉือจึงหันไปหามันแล้วถาม “ต้องการกลับหรือไม่”

“ข้าพเจ้าไหนเลยต้องการกลับ เพียงแค่ตำหนิเรื่องกลิ่นเท่านั้น” เซี่ยตันกล่าว พลางยกแขนเสื้อขึ้นโบก แล้วส่งเสียงดังกว่าเดิม “ตอนนี้มีสุกรอ้วนพีเดินมาให้เชือดถึงหน้าประตูแล้ว พวกท่านไฉนไม่รีบเสนอหน้าออกมารับเทพเจ้าโชคลาภ”

วาจาของมันประโยคนี้ นับว่าผู้คนทั้งห้องโถงนั้นสามารถได้ยินถ้วนทั่วโดยมิต้องออกแรงตะเบ็งจริงๆ จากนั้นนัยน์ตาทุกคู่ก็หันมามองมันเป็นจุดเดียว ผู้รับใช้ที่สวมเสื้อผ้ามอซอสีเทา มีเหงื่อไคลไหลอาบเต็มใบหน้า เร่งรีบเดินแหวกฝูงชนเข้ามาทันที

“กงจื่อต้องการเล่นพนัน?”

เซี่ยตันเชิดหน้าเหลือบตามองมัน ส่งเสียงย้อนถาม “ที่นี่มิใช่บ่อนพนัน?”

“ย่อมเป็นบ่อนพนัน”

“ในเมื่อเป็นบ่อนพนัน ไฉนยังต้องสอบถามว่ามาเล่นพนันหรือไม่ ไป รีบไปเปิดห้องด้านหลังให้แก่เรา ตามต้าเอี๋ยของเจ้ามาด้วย”

คนรับใช้ผู้นั้นเห็นเซี่ยตันอายุเยาว์แต่แต่งตัวอู้ฟู่หรูหราอย่างยิ่ง ก็เข้าใจว่าเป็นบุตรผู้มีอันจะกินที่ใช้เงินมือเติบหลบหนีออกมาหาความบันเทิงในช่วงหัวค่ำ จึงผงกศีรษะถี่ๆ แล้วเดินนำไปที่ด้านหลังทันที

จ้าวฉืออดมิได้ต้องกระซิบถาม “เจ้าเมื่อครู่ยังประพฤติตัวเรียบๆ ร้อยๆ อยู่ชัดๆ ไฉนก้าวเท้าเข้ามาในบ่อนก็กลายร่างเป็นยโสโอหังไป”

เซี่ยตันหันไปหัวร่อเสียงใส แล้วจึงตอบ “ท่านดูสารรูปของข้าพเจ้า มาเดินเรียบๆ ร้อยๆ อยู่ในบ่อน ต้องมิมีผู้ใดมาพนันขันต่อด้วย เพราะคิดว่าบางทีอาจถูกลักตัวมาเป็นสินพนัน”

“ผู้ใดจะลักตัวเจ้ามาได้”

“ตัวท่าน”

“....”

ด้านหลังบ่อนก็มีห้องห้องหนึ่งจริงๆ ยังสะอาดสะอ้าน จุดโคมสว่างไสว เซี่ยตันเมื่อเข้ามาแล้วก็ลากเก้าอี้ลงนั่งวางท่าเขื่องโขทันที จ้าวฉือจึงลากเก้าอี้นั่งข้าง แล้วถามต่อ

“หรือเจ้าก็เคยเข้าบ่อนมา จึงทราบว่ามีห้องด้านหลังเช่นนี้?”

“ข้าพเจ้าไหนเลยไม่เคยเข้าบ่อน ในบรรดาวิธีค้าขายร้อยแปดประการ บ่อนเป็นหนึ่งในนั้น ถ้ามิใช่บ่อนที่ตั้งอยู่ที่ริมถนน อย่างไรต้องมีห้องพิเศษห้องหนึ่ง เพราะมีผู้คนจำนวนไม่น้อย ด้วยฐานะอันสูงส่ง มิควรปรากฏตัวว่ามาเกลือกกลั้วอยู่ในสถานที่อโคจร ห้องพิเศษนี้จึงมีไว้เพื่อต้อนรับอาคันตุกะหน้าบางเหล่านั้นเอง”

“อ้อ”

ผู้รับใช้นั้นหายออกไปได้ไม่นาน ประตูก็ถูกผลักเข้ามาอีกครั้ง ครานี้ผู้ที่เข้ามาเป็นบุรุษฉกรรจ์ รูปกายกำยำสูงใหญ่ สวมเสื้อสีครามแบะคอจนเห็นแผ่นอกที่มีขนรุงรัง ใบหน้าแดงปลั่ง เกล้ามวยผมไว้หลวมๆ ดวงตาโปนคล้ายกระดิ่ง หนวดเคราชี้ชันคล้ายดั่งเตียวหุยกลับชาติมาเกิด

“มิทราบเป็นกงจื่อกระเป๋าหนักท่านใดถามหาผู้แซ่ลู่”

กล่าวพลางเดินมาลากเก้าอี้นั่งประจันหน้ากับเซี่ยตันและจ้าวฉือ ก่อนเลิกคิ้วแล้วส่งเสียงขึ้นต่อ “ไฮ้ ต้าฉือตี้ เป็นเจ้าเอง? ไฉนแต่งตัววิปริตพิสดารเช่นนี้ มิน่าเล่า เจ้าลูกเต่าแซ่หมิงผู้นั้นจึงว่าเป็นกงจื่อผู้หนึ่ง”

จ้าวฉือหัวร่อคำหนึ่งแล้วประสานมือกล่าว “คารวะลู่ต้าเกอ หมิงเกอผู้นั้นน่ากลัวมองไม่เห็นข้าพเจ้าด้วยซ้ำ ที่ดึงดูดสายตามันไปหมดสิ้นจึงเป็นคนที่นั่งอยู่ข้างข้าพเจ้าดอก”

คนแซ่ลู่ผู้นั้นจึงหันไปมองเซี่ยตัน แล้วหัวร่อออกมา “ฮ่าๆ นับว่าฉือตี้เจ้าสามารถหาของมาพนันได้น่าสนใจอย่างยิ่ง ถึงกับเป็นกงจื่อน้อยน่ารักเยี่ยงนี้ ทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์รวมถึงหยกเม็ดที่อยู่บนผ้ารัดผมชิ้นนั้นก็ยิ่งน่ารักเป็นที่สุด ลำพังเพียงแค่ตัวมันก็ต้องได้ราคางามทีเดียว”

พูดพลางใช้ดวงตากลมโปนพิจารณาเซี่ยตันขึ้นๆ ลงๆ เซี่ยตันเห็นดังนั้นจึงสะกิดจ้าวฉือแล้วกล่าว “ฉือเกอ ข้าพเจ้าบอกท่านแล้ว ให้ข้าพเจ้ามานั่งเรียบๆ ร้อยๆ อยู่ในบ่อน ข้าพเจ้าก็จะกลายเป็นสมบัติเดินได้ของท่านไป”

คนผู้นั้นแย้มยิ้มพลางกล่าว “กงจื่อน้อยท่านยังสามารถกล่าววาจาได้น่ารักนุ่มนวลกับมันได้ถึงเพียงนี้ มิทราบเป็นฉือตี้ของเราวางยาเสน่ห์ใดใส่ท่าน”

จ้าวฉือขยับริมฝีปากคล้ายต้องการกล่าวสักประการหนึ่ง แต่กลับถูกเซี่ยตันช่วงชิงจังหวะไปเสียก่อน

“ข้าพเจ้ามีนามเซี่ยตัน ท่านเล่า?”

“เรามีนามลู่ถง เป็นผู้ดูแลควบคุมกิจการของที่นี่ เซี่ยกงจื่อ บุคคลน่ารักนุ่มนวลเช่นท่าน ไฉนมาปรากฏตัวในสถานที่เช่นนี้ได้เล่า? หรือเป็นท่านนอนหลับอยู่ ก็ถูกเจ้าอุบาทว์ใหญ่นี้ไปลักตัวมา ฉือตี้ของเราเรี่ยวแรงปานโคถึก บุรุษน้อยๆ หน้าตาจิ้มลิ้มดั่งเช่นท่าน ไหนเลยจะต้านทานมันได้”

“ลู่ต้าเกอ!” จ้าวฉือทนมิไหวต้องส่งเสียงแทรกขึ้น “ท่านเป็นตัวอุบาทว์ลามกก็เป็นของท่านไป มิต้องเหมารวมข้าพเจ้าเข้าไปด้วย”

ลู่ถงมิมีโทสะ กลับหัวร่อแล้วกล่าวสืบต่อ “ต้าฉือตี้ไยต้องมีโทสะ หากต้าเกอสามารถหล่อเหลาได้สักครึ่งหนึ่งของเจ้า ต้องมิปล่อยให้กงจื่อน้อยผู้นี้ว้าเหว่อยู่บนเตียงอย่างเด็ดขาด”

ใบหน้าของจ้าวฉือตอนนี้กลายเป็นสีแดงฉานปานชาด มิทราบเป็นเพราะโทสะหรือประการอื่น ตวาดออกมา “ท่าน!”

“เอาน่าๆ ฉือเกอ” เซี่ยตันรีบส่งเสียงกล่าวขึ้น “ลู่ต้าเอี๋ยชมท่านหล่อเหลา แม้ท่านรู้สึกขัดเขินก็มิควรกลบเกลื่อนด้วยท่าทางก้าวร้าวเช่นนี้”

“เราไหนเลยจะรู้สึกขัดเขินกับวาจาของมันได้” จ้าวฉือเชิดหน้าส่งเสียงแล้วเขม่นมองเซี่ยตันแน่วนิ่ง “เป็นเจ้า ไฉนถูกผู้อื่นใส่ไคล้เป็นเด็กหน้าขาว (เด็กผู้ชายที่ขายบริการ) ก็ยังสามารถนั่งหน้าระรื่นอยู่ได้”

เซี่ยตันเบิ่งตากลมโต แล้วกล่าวขึ้น “เป็นท่านมีโทสะแทนข้าพเจ้า? ข้าพเจ้าตอนนี้ก็รู้สึกตื้นตันขึ้นมาจริงๆ แต่ข้าพเจ้าไหนเลยจะเป็นเด็กหน้าขาวที่เพียงผู้อื่นมายื่นอัฐก็ติดตามไปได้ ข้าพเจ้าติดตามท่านเพียงผู้เดียว กระทั่งอัฐก็สามารถหยิบยื่นให้ท่านได้”

ลู่ถงพลับปรบมือฉาด ส่งเสียงกล่าวขึ้น “ต้าฉือตี้นับว่าร้ายกาจจริงๆ กงจื่อน้อยผู้นี้ก็ถูกเจ้ามอมเมาจนงมงายแล้ว”

“ท่านกลายเป็นเชื่อถือวาจาผู้อื่นโดยง่ายดายแต่เมื่อใด” จ้าวฉือส่งเสียง “ข้าพเจ้ากับเสี่ยวหูลี่ผู้นี้มิเคยกระทำการอุบาทว์ลามกใดๆ ด้วยกันทั้งสิ้น ข้าพเจ้าเพียงพามันมาหาเรื่องสนุกสนานที่นี่ดอก”

เซี่ยตันหัวร่อฮิฮะแล้วกล่าว “ตอนนี้ข้าพเจ้าก็นับว่าสนุกสนานอย่างยิ่งแล้วจริงๆ”

ลู่ถงกวาดตามองเซี่ยตันแล้วแย้มยิ้มกล่าว “ดูท่าทางท่านก็มิใช่ตัวดีใดเช่นกัน ว่าแต่... บุคคลประเภทท่าน ไฉนพานไปรู้จักกับตัวอุบาทว์ใหญ่อย่างมันได้ เท่าที่เราทราบมา ตัวอุบาทว์ใหญ่นี้แต่ไหนแต่ไรชิงชังพวกกงจื่อสำอางเช่นท่านมาโดยตลอด”

เซี่ยตันแย้มยิ้มพลางตอบ “เพราะมันลงมือปล้นข้าพเจ้า แต่ไม่สำเร็จ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงลงโทษมันโดยการบีบบังคับให้มันปวารณาตัวเป็นสหาย”

ลู่ถงขมวดคิ้ว จ้องมองเซี่ยตันแน่วนิ่ง “คนผู้หนึ่งลงมือปล้นท่าน ท่านกลับไปบังคับมันเป็นสหาย? บิดามารดาท่านหากทราบเรื่องเข้า มิร่ำไห้ไปสามวันเจ็ดวัน?”

“บิดามารดาข้าพเจ้าไยต้องร่ำไห้สามวันเจ็ดวัน? มันมิได้ฆ่าข้าพเจ้า ซ้ำก็ยังมิได้ได้ทรัพย์ใดๆ ไป”

ลู่ถงกะพริบดวงตา แล้วส่งเสียงต่อ “มิทราบตอนนี้มีผู้ลงมือปล้นท่านไปแล้วกี่มากน้อย”

“อืม... ประการนี้ก็ยากจะนับอยู่ น่ากลัวตลอดทางที่ผ่านมา มีเป็นสิบกระมัง”

“อ้อ... แล้วพวกประดานั้น ล้วนแต่กลายเป็นสหายของท่านทั้งสิ้น?”

เซี่ยตันหัวร่อ “ยามท่านถูกผู้คนดักปล้น ยังมีอารมณ์สนใจไปคบค้าพวกมันเป็นสหายได้?”

“เราต้องไม่มี ไม่ว่าผู้ใดต้องไม่มีเด็ดขาด มีเพียงท่าน... เมื่อครู่ท่านก็บอกออกมาเอง”

เซี่ยตันหัวร่ออีก แล้วกล่าว “ข้าพเจ้าบอกท่านเมื่อใดว่าข้าพเจ้านิยมคบหาโจรปล้นชิงเป็นสหาย ท่านเพียงถามข้าพเจ้า ว่าพบกับมันได้อย่างไร ข้าพเจ้าก็ตอบไปตามความจริงเท่านั้น”

“แต่มันเป็นฝ่ายไปปล้นชิงท่านอยู่ชัดๆ?”

“แล้วอย่างไร ข้าพเจ้าหากเกิดความชื่นชมนับถือในตัวคนผู้หนึ่ง มาตรแม้นมันเป็นโจรปล้นชิง ข้าพเจ้าก็ยังตะเกียกตะกายดั้นด้นไปขอให้มันนับเป็นสหายจนได้”

“อ้อ... ที่แท้ท่านก็บังเกิดความชื่นชมในตัวมัน”

“ถูกต้อง”

“ท่านบังเกิดความชื่นชมใดในตัวมัน มิใช่หน้าตาของมันกระมัง?”

เซี่ยตันหัวร่ออีกแล้วกล่าว “ท่านเล่า ไฉนจึงเป็นสหายกับมันได้? คงมิใช่เพราะหน้าตาของมันกระมัง”

ลู่ถงปรบมือฉาดแล้วหัวร่อเสียงดัง “ความสามารถในการยอกย้อนผู้อื่นของท่านมิได้ด้อยไปว่าเจ้าตัวอุบาทว์ใหญ่นี้เลย ได้! เราบอกต่อท่าน เราพบมันครั้งแรกก็เป็นที่นี่เอง”

“อ้อ... มันเดินมาเล่นพนันที่บ่อนของท่าน?”

“ผิดแล้ว มันมาเพื่อลากคอผีพนันผู้หนึ่งกลับไป”

เซี่ยตันเบิ่งตากว้าง “คนผู้นั้นเป็นสหายของมัน?”

ลู่ถงสั่นศีรษะ “มิใช่สหาย และมิเกี่ยวข้องใดๆ กันทั้งสิ้น เพียงแต่มันพบเจอนางเฒ่าชราผู้หนึ่ง สลบไสลอยู่ที่ริมทาง จึงช่วยเอาไว้ สอบถามได้ความว่าบุตรชายของนางติดพนันจนนำเอาทรัพย์สินในบ้านออกไปเล่นพนันหมดสิ้น มันสอบถามจนทราบว่าคนผู้นั้นมาเล่นที่บ่อนของเรา”

“จากนั้นเล่า?”

“จากนั้นมันก็มาที่บ่อนของเรา ถามหาคน แต่ที่นี่ทำการค้ามีขื่อแบ ไหนเลยจะปล่อยตัวลูกค้าที่มิได้ชำระหนี้ครบถ้วนกลับไปได้ ดังนั้นมันจึงเตรียมอาละวาดพังบ่อนของเราให้พินาศวอดวายไป”

เซี่ยตันถอนหายใจแล้วกล่าว “นับว่ามันก่อกวนการค้าของผู้อื่นโดยไร้เหตุผลแท้ๆ”

“เซี่ยกงจื่อกล่าวถูกแล้ว นับว่าไร้เหตุผลจริงๆ”

“ดังนั้น ท่านจึงได้ลงมือต่อยตีกับมัน?”

“ผิดแล้ว หลังจากมันพังโต๊ะเล่นพนันไปโต๊ะหนึ่ง ก็หยุดมือมิได้ทำลายข้าวของใดอีก”

“ไฮ้ หรือมันเกิดสำนึกได้ว่าก่อกวนการค้าของผู้อื่น? แต่นั่นมิใช่เร็วเกินไปหน่อย?”

ลู่ถงหัวร่อเสียงดังสนั่น ขณะที่จ้าวฉือเขม้นมองเซี่ยตันแน่วนิ่ง แล้วส่งเสียงสอดขึ้น

“เนื่องเพราะพอเราพังโต๊ะพนันที่มันเล่นอยู่ เจ้าผีพนันผู้นั้นก็ถึงกับร่ำร้องคล้ายคนเสียสติ บอกว่าหากมันมิได้เล่นพนันสืบไป ไหนเลยจะสามารถหาเงินที่เสียไปคืนให้มารดามันได้ ที่มันลงทุนลงแรงไปล้วนแต่ต้องจบสิ้นไม่เหลือสิ่งใด”

“ท่านจึงหยุดมือ?”

“อืม”

“จากนั้นเล่า?”

“จากนั้นลู่ต้าเกอก็เข้ามาสอบถามเรื่องราว”

ลู่ถงผงกศีรษะ “เราเห็นมันมิได้อาละวาดต่อ จึงเข้าไปเจรจา ยื่นข้อเสนอว่า เพียงเจ้าลูกเต่านั้นชำระเงินที่ติดค้างไว้ทั้งหมด เราก็ย่อมจะปล่อยตัวมันกลับไปได้โดยง่าย”

“อ้อ... ฉือเกอจึงใช้หนี้แทนมันไป”

“ถูกต้อง แต่ต้าฉือตี้ตอนนั้นไหนเลยจะมีเงินพอชำระหนี้ของผีพนันผู้นั้นได้ ดังนั้นเราจึงเสนอให้มันทำงานชำระหนี้แทน”

“มันก็ยินยอม”

“อืม”

เซี่ยตันหันไปมองจ้าวฉือ ส่งเสียงต่อ “ฉือเกอ กับผู้ที่ไม่รู้จักกัน มันมิได้ทำดีใดๆ กับท่านสักนิด ท่านสามารถทำงานใช้หนี้ให้มันได้ ข้าพเจ้าดีต่อท่านปานนี้ ท่านไฉนกลับปฏิเสธน้ำใจของข้าพเจ้าอยู่ร่ำไป”

จ้าวฉือเหลือบตามองมันแล้วกล่าว “ขนมที่เรากินเข้าไป จะให้สำรอกออกมาตอนนี้เลยหรือไม่ คำกล่าวนี้ของเจ้าจะได้เป็นความจริงขึ้นมาสักเล็กน้อย”

“ฮาๆ ฉือเกอตอนนี้ท่านก็เริ่มมีอารมณ์ขันแล้ว ข้าพเจ้าไหนเลยต้องการให้ท่านสำรอกออกมา ข้าพเจ้าก็แสร้งกล่าวไปอย่างนั้นเอง”

หยุดไปครู่หนึ่งก็หันมาทางลู่ถง กล่าวขึ้นต่อ “แล้วท่าน... ใช้ให้มันทำประการใดชำระหนี้ คงมิใช่ขึ้นเตียงกับท่านกระมัง?”

“เพ้ย!” ทั้งจ้าวฉือและลู่ถงส่งเสียงขึ้นพร้อมกัน “เรามิใช่สุนัขกินอาจม...”

ทั้งคู่ถึงกับกล่าววาจาแบบเดียวกัน ซ้ำยังชี้มือใส่หน้ากัน จ้องกันอยู่ครึ่งค่อนวัน สุดท้ายต่างฝ่ายต่างก็ส่งเสียงหัวร่อดังสนั่นหวั่นไหว

“น่าตาย น่าตายอย่างยิ่ง ฮ่าๆ ทั้งเจ้าทั้งเราตอนนี้กลายเป็นอาจมของผู้อื่นไปแล้ว”

“ท่านจึงเป็นกองอาจมที่แท้จริง”

“เจ้าไหนเลยจะหลีกเลี่ยงเป็นอื่นไปได้ ย่อมเป็นกองอาจมเช่นกัน”

เซี่ยตันหัวร่อจนตัวงอ ส่งเสียงออกมาอย่างยากเย็น “พวกท่าน... ไฉนต้องแก่งแย่งกันเป็นกองอาจมของผู้อื่น... ข้าพเจ้า... ข้าพเจ้าจะตายแล้ว”

ทั้งสามหัวร่อกันอยู่เป็นนาน จึงพอจะหยุดลงได้ เซี่ยตันยกมือขึ้นปาดน้ำตา กล่าวสืบต่อ “นับว่าสนุกสาหัสจริงๆ ให้ข้าพเจ้าเดาแล้วกัน เป็นฉือเกอทำงานบางอย่างให้ท่าน ดังนั้นมันจึงพลอยเป็นที่รู้จักในตรอกนี้ไป”

ลู่ถงผงกศีรษะ “ถูกต้องแล้ว ยามนั้นเราขาดคนดูแลอยู่พอดี เห็นมันถือดาบ ท่าทางฝีมือไม่เลว จึงใช้มันเป็นผู้ดูแลตรอกเป็นเวลาสามเดือน”

“อ้อ...”

“แต่เพียงสามวันให้หลัง เจ้าลูกเต่าตัวนั้นก็กลับมาเล่นพนันอีก”

คราวนี้เซี่ยตันหัวร่อออกมา “ข้าพเจ้าก็คาดแล้วไม่ผิด ผีพนันเมื่อเป็นแล้ว ทางเดียวที่จะหายได้คือเสียพนันจนมิเหลือสิ่งใดติดตัวกระทั่งเสื้อผ้า เมื่อหมดสิ้นทรัพย์สินจะเอามาพนัน จึงค่อยเลิกแล้วต่อกันได้ มีเมื่อใดผีก็ย่อมกลับมาอีก”

กล่าวจนก็หันไปหาจ้าวฉือ “ครั้งนี้ท่านอยู่ที่นี่ก็จึงได้ถีบส่งมันไป?”

“เราไหนเลยถีบส่งมันไป” จ้าวฉือว่า “ลู่ต้าเกอก็ได้บอกเราตั้งแต่วันแรก ที่เรากระทำล้วนแต่ไร้ประโยชน์ เพียงไม่กี่วันคนผู้นั้นจะต้องกลับมาอีก เพื่อพิสูจน์เราจึงรับทำงานให้มันสามเดือน”

“อ้อ... ที่แท้ลู่ต้าเกอก็คาดเอาไว้แต่แรกแล้วเช่นกัน”

ลู่ถงมองเซี่ยตัน “เซี่ยกงจื่อก็คล้ายรู้จักผีพนันปรุโปร่ง หรือท่านเองก็เคยมีประสบการณ์กับผีพนันมา?”

เซี่ยตันเพียงแย้มยิ้ม มิได้ตอบคำแต่ถามขึ้นต่อ “ในเมื่อท่านมิได้ถีบส่งมันไป ท่านทำประการใด?”

“เราย่อมเชื้อเชิญมันไปเล่นพนัน เพียงแต่พนันครั้งนี้เราเป็นเจ้ามือเอง”

“ฮ่าๆ ฉือเกอก็เป็นเจ้ามือพนันได้แล้ว หรือท่านทำงานที่นี่เพียงสามวัน ก็เกิดความเข้าใจในวิถีของการพนัน มิสงสารผีพนันผู้นั้นอีก”

“ถูกต้อง ครั้งนี้นับว่าเราซาบซึ้งถึงคำว่าผีพนันแล้วจริงๆ ดังนั้นเราจึงเชิญมันมาเล่นพนัน”

“ท่านมิคิดช่วยเหลือมารดาของมันแล้ว?”

“ย่อมคิดอยู่ หากมิคิดช่วย เราก็ต้องฟาดมันตายไปตั้งแต่แลเห็นมันกลับมาแล้ว”

เซี่ยตันขยับตัว เพ่งสายตามองมันอย่างสนใจ “แล้วท่านช่วยมันอย่างไร”

“เราให้มันพนันลูกเต๋า หากมันพนันได้ถูกต้อง เราก็จ่ายให้มันเท่าจำนวนที่มันต้องการ”

“ท่านก็เป็นเจ้ามือที่ใจกว้างอย่างที่ข้าพเจ้าคิดไว้ แล้วหากมันเสียเล่า?”

“ตัดนิ้วแลกมานิ้วหนึ่ง”

(มีต่อ)

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1051
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
เซี่ยตันนิ่งไปอึดใจก็กล่าวออกมา “นับว่าวิธีพนันของท่านขู่ขวัญผู้คนจริงๆ เป็นข้าพเจ้าจะไม่ตกลงพนันกับท่านเด็ดขาด”

จ้าวฉือส่งเสียงหัวร่อขึ้นจมูกคำหนึ่ง “มันจะมิพนันก็มิได้แล้ว เพราะเป็นเราบังคับ มิว่าอย่างไรต้องพนันให้ได้ หากคิดออกไปโดยมิพนัน เราก็จะตัดนิ้วมัน”

“อ้อ... แล้วมัน... พนันชนะท่านหรือไม่?”

“ที่จริงเราตั้งใจให้โอกาสมันพนันถึงยี่สิบครั้ง เท่ากับจำนวนนิ้วมือนิ้วเท้าของมันพอดี เพียงแต่... พนันครั้งแรกมันเสีย เราจึงตัดนิ้วก้อยเท้ามันออกมานิ้วหนึ่ง มันก็มิยอมพนันต่ออีกแล้ว วิงวอนให้เราปล่อยมันไป สาบทสาบานต่อฟ้าดินต่อแต่นี้จะไม่เล่นการพนันอีก เราเห็นมันสำนึกตัวเลยทำแผลให้แล้วพามันไปส่งที่บ้าน”

“มารดาชราของมันน่ากลัวต้องซาบซึ้งพระคุณของท่านเป็นอันมาก”

ลู่ถงหัวร่อออกมา “เซี่ยกงจื่อผิดอีกแล้ว นางเฒ่าผู้นั้น พอทราบว่าฉือตี้เป็นผู้ตัดนิ้วเท้าของลูกชายนาง ก็ไล่ตะเพิดมันออกมาอย่างไม่ไยดี”

เซี่ยตันมองมันอย่างสะทกสะท้อน “นับว่าท่านช่วยผู้คนกลับได้ก้อนหินเป็นการตอบแทน นี่จึงเป็นเรื่องน่าคับแค้นใจที่สุด”

จ้าวฉือถอนหายใจ แล้วกล่าว “นี่นับเป็นเรื่องปรกติของโลก มารดาย่อมรักถนอมบุตรเป็นดวงใจ เราไปตัดนิ้วเท้าบุตรของนาง นางไหนเลยจะขอบอกขอบใจเราได้”

“แต่... ที่ท่านกระทำเช่นนี้ก็เพราะต้องการช่วยเหลือพวกนาง ท่านมิรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเลย?”

“เราไหนเลยต้องรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเยี่ยงนั้น มิใช่นางวิงวอนเรา เป็นเราแส่หาเรื่องมาเองทั้งสิ้น เราเมื่อลงมือสะสางเรื่องราวให้ผู้ใด ก็ไม่เคยคิดให้คนผู้นั้นทำสิ่งใดตอบแทนเรามาก่อน เราเพียงแต่ต้องการทำให้สำเร็จเท่านั้น”

เซี่ยตันผงกศีรษะ แล้วกล่าว “นับว่าข้าพเจ้าดูคนมิผิดไป”

ลู่ถงแย้มยิ้มออกมา “ท่านก็มีสายตาไม่เลว ต้าฉือตี้ของเราผู้นี้มีบุคลิกห้าวหาญเปี่ยมด้วยคุณธรรมจริงๆ แต่พฤติการณ์ของมันกลับประหลาดพิสดารอยู่บ้าง หากได้บุคคลเช่นเซี่ยกงจื่อช่วยส่งเสริมให้มันอยู่กับร่องกับรอย มิแน่ไม่นานอาจกลายเป็นผู้มีชื่อเสียงในยุทธภพได้มิยาก”

จ้าวฉือส่งเสียงสวนคำ “ชื่อเสียงข้าพเจ้าสามารถหามาเองได้ มิต้องให้ผู้ใดยื่นมือส่งเสริมดอก”

เซี่ยตันแย้มยิ้มตอบ “ข้าพเจ้าก็ทราบ ฉือเกอมิใช่ต้องการความช่วยเหลือ ข้าพเจ้าไหนเลยจะช่วยเหลือท่าน ข้าพเจ้าที่จริงต้องการให้ท่านช่วยเหลือต่างหาก”

จ้าวฉือเหลือบมองมัน “เจ้ายังต้องการให้เราช่วยเหลือเรื่องใดอีก?”

“พรุ่งนี้ข้าพเจ้าจึงค่อยบอกท่าน” เซี่ยตันตอบ แล้วกล่าวสืบต่อ “วันนี้ได้มาเยือนบ่อนปลาเงินของลู่ต้าเกอทั้งที ข้าพเจ้าไม่เล่นพนันเลยก็เป็นการมิให้เกียรติ”

ลู่ถงส่งเสียงหัวร่ออย่างยินดี “เราก็กำลังรอเซี่ยกงจื่อให้กล่าววาจานี้ออกมาอยู่ทีเดียว มิทราบเซี่ยกงจื่อต้องการเล่นพนันแบบใด?”

“ข้าพเจ้าความจริงคิดจะมาก่อกวนบ่อนพนันของท่านให้ครึกครื้นสักเล็กน้อย แต่ตอนนี้ข้าพเจ้าเริ่มมีความประทับใจในตัวท่านขึ้นมาบ้าง ดังนั้น ข้าพเจ้าจะเพียงพนันเทสุรากับพวกท่าน ผู้ใดเทสุราล้นออกมา ผู้นั้นต้องดื่มสุรา”

“นี่สามารถถือเป็นการพนันใดได้” ลู่ถงส่งเสียงออกมา “นี่นับว่าเป็นการกรอกสุราต่างหาก”

“หรือท่านต้องการพนันให้ได้จริงๆ?”

“เราต้องการพนันให้ได้จริงๆ อย่างน้อยๆ เซี่ยกงจื่อท่านสมควรแบ่งรายได้ให้บ่อนเราบ้าง”

เซี่ยตันหัวร่อแล้วกล่าว “ย่อมได้ๆ อย่างนั้นข้าพเจ้าพนันกับพวกท่าน พวกเราผลัดกันกรอกสุราให้กันและกัน ผู้ใดสามารถยืนหยัดเป็นคนสุดท้าย ผู้นั้นถือว่าชนะพนันไป”

“นี่มิเรียกว่าเล่นพนัน” จ้าวฉือว่า “เรียกเป็นการประลองสุรา”

“นี่ย่อมเรียกเป็นการพนัน” เซี่ยตันว่า “เพราะข้าพเจ้าจะพนันว่าตัวเองชนะ หากข้าพเจ้าพ่ายแพ้ พวกท่านสามารถเรียกร้องสิ่งที่อยู่บนตัวข้าพเจ้าได้หนึ่งประการ”

ลู่ถงเบิ่งตากว้าง “นี่รวมถึงร่างกายของท่านด้วยหรือไม่?”

เซี่ยตันเลิกคิ้วพลางกล่าว “หรือลู่ต้าเกออยากได้ตัวข้าพเจ้าจริงๆ?”

ลู่ถงหัวร่อออกมา “ในเมื่อท่านเป็นสหายของฉือตี้ เราไหนเลยจะกล้าล่วงเกินท่านได้ ที่เราถาม ก็เพื่อยืนยันให้ตี้ตี้ของเราดอก”

“ท่านจะยืนยันอุบาทว์ใดให้ข้าพเจ้า” จ้าวฉือส่งเสียงด่า “เสี่ยวหูลี่ผู้นี้ มาตรแม้นมันเอาตัวใส่จานมาประเคนให้ ข้าพเจ้าก็มิยอมรับประทานลงไปเด็ดขาด”

“ถูกต้องแล้ว ฉือเกอรับประทานข้าพเจ้าลงไป ก็มีแต่จะปวดท้องปวดศีรษะปานจะระเบิด แต่หากลู่ต้าเกอท่านอยากทดลอง ข้าพเจ้าก็มิขัด การพนันนี้ก็รวมเอาตัวข้าพเจ้าเข้าไปด้วยแล้วกัน”

“เพ้ย!” จ้าวฉือส่งเสียง “เล่นพนันเช่นนี้เรามิรับพนันด้วยเด็ดขาด”

“เป็นไร หรือท่านกลัวพ่ายแพ้แล้วข้าพเจ้าเรียกร้องร่างกายของท่าน? ท่านมิต้องกังวลถึงเพียงนั้น ข้าพเจ้าใช้ลาโม่แป้ง มิใช้ท่านไปโม่แป้งเด็ดขาด”

กล่าวพลางชม้ายมองไปยังลู่ถง “ส่วนลู่ต้าเกอ หากข้าพเจ้าชนะก็จะมิใช้ท่านไปโม่แป้งเช่นกัน เพียงแต่ข้าพเจ้าใช้ท่านทำธุรกิจที่นี่แทนข้าพเจ้า ท่านว่ายุติธรรมดีหรือไม่”

ลู่ถงกลืนน้ำลาย หัวร่ออีกครั้งแล้วกล่าว “นี่ไยมิใช่พนันกันหนักเกินไป”

“ย่อมมิหนักเกินไป ราคาของตัวข้าพเจ้าที่จริงต้องสูงกว่านี้มาก นี่ข้าพเจ้าก็ใจกว้างอย่างยิ่งแล้ว”

ลู่ถงถอนหายใจแล้วส่งเสียงตอบ “ที่ถามไปก็ถือว่าเราผายลมแล้วกัน”

“ท่านสามารถผายลมได้ถูกเวลาจริงๆ” จ้าวฉือว่า “หากท่านทราบแต่แรก ก็ไม่สมควรจะผายออกมา”

เซี่ยตันแย้มยิ้มสดใสแล้วกล่าว “พวกท่านมิต้องทะเลาะกัน ข้าพเจ้าก็มิได้ตั้งใจจะหักหาญพวกท่านถึงเพียงนั้น หากพวกท่านพ่ายแพ้ ก็แค่ไปทำธุระให้ข้าพเจ้าคนละประการ ค่าสุราอาหารยังคงเป็นข้าพเจ้าเป็นผู้ออก เช่นนี้เป็นอย่างไร?”

“เรากลับคิดว่า ควรวางพนันอย่างเสมอภาค ผู้ใดชนะก็ให้ผู้อื่นไปกระทำเรื่องราวแทนหนึ่งประการ เช่นนี้เป็นอย่างไร?” จ้าวฉือกล่าว ลู่ถงส่งเสียงสนับสนุนทันที

“เราก็ว่าประการนี้ยุติธรรมที่สุด ในเมื่อเซี่ยกงจื่อออกปากเป็นเจ้าภาพค่าสุราอาหารแล้ว พวกเราไหนเลยควรจะเอาเปรียบท่านอีก เป็นตามที่ฉือตี้กำหนดแล้วกัน?”

“ในเมื่อพวกท่านเห็นตรงกัน ข้าพเจ้าก็ไม่ค้านแล้ว รีบให้คนนำสุราอาหารมาเถิด”

...................................

สุราอาหารถูกยกมาแล้ว อาหารแม้มิใช่ชั้นเลิศอย่างภัตตาคารใหญ่ แต่มิได้เลวทราม ส่วนสุรานั้นก็ใสราวกับตาตั๊กแตน ยังส่งกลิ่นฉุนเฉียวรุนแรง เซี่ยตันอดมิได้ต้องแย้มยิ้มออกมา

“ประเสริฐมาก ท่านถึงกับเสาะหาสุราเช่นนี้มาได้ มิทราบมีชื่อเรียกหรือไม่?”

“นี่คือสุราอู่เหลียงเย่อันขึ้นชื่อของทางใต้ เซี่ยกงจื่อเป็นเจ้ามือทั้งที เราไหนเลยจะกล้าทำให้ท่านผิดหวังไปได้”

จ้าวฉือส่งเสียงหัวร่อขึ้นจมูกคำหนึ่ง แต่มิได้พูดกระไร เซี่ยตันเห็นดังนั้นจึงหันไปสอบถาม “ฉือเกอ ท่านหัวร่อสิ่งใด?”

“เราย่อมหัวร่อมัน สุราที่ปรกติมันมิได้จำหน่าย ตอนนี้ก็สามารถไปเสาะหามาได้ หากมิได้หวังมอมเจ้าจนตายไป น่ากลัวต้องหวังมอมตัวเองแล้ว”

ลู่ถงหัวร่อแล้วกล่าว “สุราเช่นนี้หากเราลงทุนเอง ไหนเลยจะกล้าสั่งมามอมตัวเองได้ มาๆ เซี่ยกงจื่อ ให้เรารินให้ท่าน”

ลู่ถงรินสุราแจกจ่ายจนทั่วแล้วจึงยกจอก “ดื่มให้เซี่ยกงจื่อ”

ทั้งสามก็กรอกสุราในจอกจนเหือดไป สุรารสหอมหวานกลิ่นรุนแรง เซี่ยตันหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับแล้วกล่าว “สมกับเป็นสุราของทางใต้ นับว่ารสชาติแปลกใหม่สมใจข้าพเจ้าจริงๆ มาๆ รินสุราอีก พวกเราต้องดื่มให้เท่ากัน มิเช่นนั้นไหนเลยจะเรียกพนันได้”

พวกมันต่างพากันกรอกสุราใส่ตัวเองจอกแล้วจอกเล่า ใบหน้าที่แดงอยู่แล้วของลู่ถงยิ่งแดงเข้าไปอีก ส่วนเซี่ยตันสองแก้มก็กลายเป็นสีชมพูเรื่อไปนานแล้ว เหลือเพียงจ้าวฉือที่ใบหน้าแทบมิแปรเปลี่ยนไปเลย

“ฉือเกอ เลือดลมท่านต้องมีปัญหาแน่นอน” เซี่ยตันยกตะเกียบขึ้นชี้หน้ามันพลางกล่าว “ให้ข้าพเจ้าทะลวงจุดให้ท่านเป็นไร?”

จ้าวฉือยกมือปัดตะเกียบออกแล้วกล่าว “เจ้าเมาแล้ว”

“ข้าพเจ้าก็เมาแล้ว” เซี่ยตันผงกศีรษะ แล้วรินสุราแจกจ่ายอีก “แต่ข้าพเจ้ายังสามารถดื่มได้ เป็นท่าน... หากยังเลือดลมไหลเวียนไม่ดีเช่นนี้ พรุ่งนี้ต้องปวดศีรษะตาย”

“นี่เป็นเรื่องศีรษะของเรา มิต้องไปรบกวนเจ้ามาก้าวก่าย” จ้าวฉือว่า แล้วยกสุรามากรอกเหือดไป ลู่ถงชี้หน้าจ้าวฉือแล้วส่งเสียง

“นับว่าตัวอุบาทว์นี้เป็นปิศาจสุราแท้เทียว ดื่มไปเท่านี้แล้ว สีหน้ายังมิแปรเปลี่ยนไปอีก” กล่าวไปก็สะอึกไป จ้าวฉือส่งเสียงต่อ

“ลู่ต้าเกอ ท่านก็เมาแล้ว...”

“ฮ่าๆ เราไหนเลยจะเมาได้ มาๆ เซี่ยกงจื่อ ดื่มกันอีก”

เซี่ยตันหัวร่อฮาๆ แล้วจึงรินสุราอีก รินสุราส่งกันไปมาเช่นนั้นอีกครู่ใหญ่ ลู่ถงก็ส่งเสียงมิออกอีกแล้ว ถึงกับฟุบศีรษะลงไปบนโต๊ะ จึงเหลือเซี่ยตันกับจ้าวฉือนั่งดื่มกันต่อไป

“ฉือเกอ ข้าพเจ้าเตือนท่านอีกที ยังคงทำให้เลือดลมไหลเวียนจึงจะมิปวดศีรษะ หากท่านยังฝืนเช่นนี้ อีกมิเกินสิบจอกก็จะเป็นข้าพเจ้าต้องหามท่านออกไป”

จ้าวฉือมิส่งเสียงตอบก็กรอกสุราเหือดไปอีก เซี่ยตันตอนนี้สองแก้มแดงปลั่ง ดวงตาเป็นประกายหยาดเยิ้มแวววาว เมื่อกรอกสุราหมดจอกก็รินต่อ

“ท่านดื้อดึงมิเชื่อฟังจริงๆ เอาเถิดๆ คอสุราท่านก็นับว่าไม่เลว นอกจากเจียงเล่าเอี๋ย ก็มีท่านเป็นบุคคลที่สองที่ดื่มสุรากับข้าพเจ้าได้นานเช่นนี้”

จ้าวฉือยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย “เจ้าก็นับว่าเมาอยู่ไม่น้อยแล้ว ยังมิคิดยอมแพ้อีก”

“ข้าพเจ้าไหนเลยแพ้ได้ ฮ่าๆ ข้าพเจ้ายังสามารถดื่มได้อีก ดื่มจนท่านล้มฟุบไป”

กล่าวจบก็รินสุรากรอกเข้าไปอีก “มาๆ ข้าพเจ้าจะรำกระบี่ให้ท่านดู”

ยังมิทันที่จ้าวฉือจะได้กล่าววาจา เซี่ยตันก็ลุกจากเก้าอี้ ชักกระบี่ออกมา ก้าวซ้ายๆ ขวาๆ พลางกรีดกระบี่ออกเป็นวง ท่วงท่าของมันก็คล้ายกับคนเมาจริงๆ แต่มิใช่สะเปะสะปะเด็ดขาด ยังสามารถร่ายรำท่วงท่าอันอ่อนช้อยออกมาคล้ายกับกิ่งหลิวที่ถูกลมพัดเอนไหว จ้าวฉือก็ชมดูจนตะลึงลานไป รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เซี่ยตันถลามานั่งลงบนตักของมัน

“ฉือเกอ พวกเราดื่มกันอีก”

“เจ้ายอมแพ้เถิด เมาจนแทบทรงตัวมิอยู่อีกแล้ว จะฝืนไปไย”

เซี่ยตันหัวร่อพลางชม้ายตากล่าว “ข้าพเจ้ายืนมิอยู่ก็มิเป็นไร ยังมิล้มฟุบไปง่ายๆ ดอก แต่ท่าน หากดื่มอีกจอกหนึ่ง เพียงผุดลุกขึ้นก็ต้องล้มฟุบไป”

“เฮอะ เจ้ามีความมั่นใจปานนั้น”

“หากท่านมิเชื่อ ทดลองดูเป็นอย่างไร” กล่าวจบก็รินสุราใส่จอก ยื่นให้ “มา ข้าพเจ้าป้อนท่าน”

จ้าวฉือฉวยจอกจากมือของมัน “มิเป็นไร เราสามารถดื่มเองได้”

เซี่ยตันหัวร่อฮิฮะ รินสุราให้ตัวเองอีกจอกหนึ่ง แล้วกรอกเหือดไป “ท่านคิดจะลุกเมื่อไร?”

“ต้องถามเจ้าว่าคิดจะลุกออกไปเมื่อไรก่อน”

ผู้ถูกย้อนถามหัวร่อจนนัยน์ตาหยี ส่งเสียงตอบ “ข้าพเจ้าก็แทบคิดว่าท่านเป็นเก้าอี้ไป”

กล่าวจบมันก็ผุดลุกขึ้น เดินเซซ้ายเซขวาไปจนชนกับผนังห้องที่ด้านหลัง ส่งเสียงหัวร่อ “ฉือเกอ ท่านไฉนยังมิลุกอีก”

“เรากำลังรอดูเจ้าล้มลงไปอยู่”

เซี่ยตันหัวร่อจนตัวงอ ส่งเสียงกล่าว “ข้าพเจ้าไหนเลยจะล้มก่อนท่านได้ ฮ่าๆ มา รับข้าพเจ้าหนึ่งกระบี่”

สิ้นคำก็แทงกระบี่ปราดเข้ามา กระบี่นี้ถึงกับรวดเร็วและแม่นยำอย่างยิ่ง มิคล้ายการแทงของคนเมาแม้แต่น้อย จ้าวฉือยามนี้ดาบมิได้อยู่ใกล้มือ มันจึงต้องลุกขึ้นเพื่อถลันหลบ

“เจ้า!”

กล่าววาจาได้เพียงนั้น ภาพตรงหน้าก็พลันดับวูบไป

.........................................
(จบตอน)

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1051
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
บทที่9 สนทนาบนระเบียง

จ้าวฉือลืมตาตื่นมา ก็รู้สึกปวดศีรษะแทบระเบิด ใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่จึงพอยันตัวลุกขึ้นนั่งได้ รู้สึกสรรพสิ่งรอบกายมิคุ้นตาอย่างยิ่ง ทั้งโต๊ะเก้าอี้ที่วางอยู่หน้าเตียง ขณะที่กำลังยกมือนวดขมับ คนผู้หนึ่งก็ผลักประตูเข้ามา

“ฉือเกอ ในที่สุดท่านก็ตื่นแล้ว รู้สึกอย่างไรบ้าง?”

จ้าวฉือเขม้นมองอยู่พักหนึ่งก็ร้องอ้อออกมา “ที่แท้เป็นเจ้าเอง นี่ที่ใด กี่ยามแล้ว?”

“ที่นี่เป็นหอหมิงเย่ว์ ยามอู่” (ประมาณเที่ยงวัน)

จ้าวฉือยกมือตบหน้าผาก “เราถึงกับหลับไปได้นานเพียงนี้” ก่อนจะร้องขึ้น “ที่นี่เป็นหอหมิงเย่ว์? มิใช่บ่อนปลาเงิน?”

เซี่ยตันผงกศีรษะ “ถูกแล้ว ท่านไฉนต้องมีสีหน้าตระหนกตกใจถึงเพียงนั้น”

“ดาบ! ดาบของเราเล่า?”

“วางอยู่ข้างเตียงตรงนั้น” เซี่ยตันยกมือชี้ไป จ้าวฉือหันไปคว้าดาบ แล้วเบือนหน้ากลับมาขมวดคิ้วนิ่วหน้ากล่าว

“เมื่อคืนเจ้าเล่นลูกไม้ใดอีก”

เซี่ยตันทอดถอนใจ ส่งเสียงละห้อยกล่าว “ข้าพเจ้าพาท่านกลับมานอนพักที่นี่ ยังอุ่นน้ำแกงสร่างเมาไว้รอท่าน ท่านตื่นมาก็ตำหนิใส่ข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าไปกระทำผิดต่อท่านที่ใดอีก”

จ้าวฉือกวาดตามองดูเซี่ยตันขึ้นๆ ลงๆ แลเห็นมันหวีผมเรียบร้อย ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เป็นสีครามสดใส ทั้งใบหน้าและดวงตาก็มิคล้ายคนเพิ่งสร่างเมาเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว จึงกล่าวขึ้นต่อ

“เมื่อคืนเจ้ากรอกสุราเมามายอยู่ชัดๆ ไฉนตอนนี้มายืนทำหน้าระรื่นอยู่ได้”

“ข้าพเจ้าก็เมาจริง แต่มิได้เมาไปกว่าท่านเด็ดขาด เรื่องนี้เป็นเพราะท่านหักโหมเอง มิใช่ข้าพเจ้าเล่นลูกไม้ใด”

“เราหักโหม? เพ้ย กล้ากล่าว”

เซี่ยตันทอดถอนใจอีกแล้วกล่าว “ท่านที่จริงก็มีความสามารถเชิงสุราไม่ด้อยไปกว่าข้าพเจ้า หากยังนั่งดื่มกันต่อไป ต้องเป็นข้าพเจ้าที่ล้มไปก่อน ท่านใช้กำลังภายในกดข่มฤทธิ์สุราเอาไว้ ถึงกับสามารถดื่มสุราได้เป็นไหโดยสีหน้ามิแปรเปลี่ยน แต่ว่านั่นก็เป็นจุดอ่อนเช่นกัน เมื่อคืนหากข้าพเจ้าตั้งใจลงมือประทุษร้ายท่านจริง ท่านต้องตายอยู่ที่นั่นอย่างเด็ดขาด เนื่องเพราะท่านเมื่อคิดเกร็งปราณขึ้นต่อต้าน พลังที่ใช้กดฤทธิ์สุราไว้ก็หย่อน พิษสุราจึงตีขึ้นเบื้องบนกะทันหัน ปั่นป่วนลมปราณของท่านจนติดขัด มิอาจควบคุมร่างกายได้ดั่งใจ ถึงขั้นหมดสติ ข้าพเจ้าจึงเตือนท่านแต่แรก ควรให้พิษสุรากำเริบบ้าง เมามายสักเล็กน้อยพอให้ร่างกายคุ้นชิน ยามเมื่อต้องลงมือต่อยตีกับผู้อื่น ก็จะมิถูกพิษสุราเข้าแทรกจนพลาดพลั้งไป”

จ้าวฉือตอนนี้มิได้ส่งเสียงโต้เถียงกระไรอีก ถึงกับนิ่งฟังอย่างสงบ ท้ายที่สุดก็ทอดถอนใจออกมา “เจ้าถึงกับสามารถมองออกได้อย่างปรุโปร่ง ยังคงเป็นเราพ่ายแพ้ต่อเจ้าอยู่นั่นเอง”

เซี่ยตันปั้นหน้าเคร่งขรึม กล่าวขึ้นอย่างจริงจัง “วิธีที่ท่านใช้ ข้าพเจ้าก็เคยทดลองกระทำอยู่ จึงทราบจุดอ่อนจุดแข็ง เมื่อคืนข้าพเจ้าแสร้งพ่ายแพ้ให้ท่านก็ได้ แต่ข้าพเจ้าห่วงใยท่าน จึงได้ลงมือเช่นนั้น”

จ้าวฉือผงกศีรษะพลางกล่าว “เราตอนนี้ก็ซาบซึ้งใจจนแทบปวดศีรษะตายไป”

เซี่ยตันแย้มยิ้มพลางกล่าว “ข้าพเจ้าไปยกน้ำแกงสร่างเมาให้ท่านแล้วกัน”

........................................

หลังดื่มน้ำแกงไปสามถ้วย อาการปวดศีรษะของจ้าวฉือก็ค่อยบรรเทาเบาบางลง จึงลุกออกจากเตียงไปนั่งที่ห้องรับแขกด้านนอก กวาดตามองไปรอบๆ แล้วกล่าว

“ห้องนี้กว้างขวางจริงๆ คล้ายมิใช่ห้องเดียวกับที่เรามาเมื่อวาน”

“ก็มิใช่”

“.....”

“ข้าพเจ้าเพิ่งเช่าใหม่เมื่อคืน ที่นี่มีสองห้องนอน ให้ท่านห้องหนึ่ง ข้าพเจ้าห้องหนึ่ง”

“แล้วหม่าเอ้อร์ซูของเจ้าเล่า?”

“หม่าเอ้อร์ซูพักอยู่อีกตึกหนึ่ง”

“อ้อ...”

“เมื่อคืนก็เป็นเอ้อร์ซูช่วยข้าพเจ้าแบกท่านขึ้นรถม้ากลับมา”

เห็นจ้าวฉือยกมือนวดขมับ เซี่ยตันจึงถามต่อ “ท่านยังรู้สึกปวดศีรษะอีก?”

จ้าวฉือถอนหายใจพลางสั่นศีรษะ “มิใช่... เพียงแต่เรา... เฮ้อ... วันนี้เจ้าคิดจะไปที่ใด?”

เซี่ยตันมองหน้ามันอึดใจ ก็กล่าวตอบ “นี่เป็นยามอู่ พวกเราสมควรถมท้องให้เต็มก่อนจึงค่อยคิดถึงเรื่องอื่นอีกที”

........................................

หอหมิงเย่ว์มีเหลาสุราตั้งอยู่บนระเบียงชั้นสอง มองลงไปก็จะเห็นถนนที่คึกคักที่สุดของลั่วหยาง เซี่ยตันกับจ้าวฉือก็เลือกนั่งที่ริมระเบียงนี้เอง ครั้งนี้จ้าวฉือถึงกับเป็นฝ่ายเอ่ยปากชวนสนทนาก่อน

“เสี่ยวหูลี่ เจ้ามองเห็นขอทานที่นั่งอยู่อีกฝั่งของถนนตรงโน้นหรือไม่?”

เซี่ยตันชะเง้อมองตามไป แลเห็นขอทานน้อยนั่งอยู่ผู้หนึ่ง จึงผงกศีรษะ “ข้าพเจ้าแลเห็นแล้ว หรือท่านเกิดมีความสนใจในตัวขอทานน้อยผู้นั้น”

จ้าวฉือยกน้ำชาขึ้นจิบแล้วกล่าว “ครั้งหนึ่งเราก็เคยนั่งขอทานอยู่ตรงนั้นเช่นกัน”

ครานี้เซี่ยตันรีบหันกลับมามองมันทันที แลเห็นใบหน้าที่เคร่งขรึมนั้น ปรากฏรอยยิ้มเยาะที่มุมปากเล็กน้อย

“เป็นไร หรือเจ้าไม่คิดว่าเราเคยเป็นขอทานมาก่อน”

“ข้าพเจ้าย่อมไม่คิด” เซี่ยตันว่า “แต่ที่ไม่คิดมากกว่า คือไม่คิดว่าท่านจะเป็นฝ่ายกล่าวออกมาเอง”

“เราเองที่จริงก็ไม่ได้เตรียมจะกล่าวเรื่องนี้มาก่อน เพียงแต่นี่เป็นครั้งแรกที่เราเหยียบขึ้นมาบนระเบียงของหอหมิงเย่ว์ เมื่อได้เห็นถนนสายนี้จากตรงนี้แล้ว ก็อดคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคราวนั้นมิได้...”

เห็นจ้าวฉือกล่าวออกมาเพียงเท่านั้นก็นิ่งเงียบไป เซี่ยตันอดมิได้ต้องถามขึ้นต่อ “ท่านไม่กล่าวต่อไป?”

“เจ้ายังต้องการรับฟัง?”

เซี่ยตันผงกศีรษะ “ท่านเป็นสหายข้าพเจ้า เรื่องราวของสหาย ข้าพเจ้าไหนเลยไม่ต้องการรับฟังได้”

จ้าวฉือมองมันอึดใจก็กล่าวสืบต่อ “เรื่องราวมิมีอันใดซับซ้อน เรานั่งอยู่ที่นั่น ส่วนท่านนั่งอยู่ที่นี่ ท่านแลเห็นเราจากตรงนี้ จึงได้ลงไปหาเรา รับเราเป็นบุตรบุญธรรม แล้วถ่ายทอดวิชาให้”

เซี่ยตันส่งเสียงถามต่อ “ท่านผู้นั้นเป็นบิดาบุญธรรมของท่าน? ขอทราบนามอันสูงส่งจะได้หรือไม่?”

“บิดาบุญธรรมของเรามีนามว่าจ้าวชินจ้าน”

“จ้าวชินจ้าน? เทพอสูรทะเลคลั่งผู้นั้นเอง” เซี่ยตันเบิ่งตากว้าง กล่าวออกมาด้วยความตื่นเต้น “ท่านถึงกับเป็นบุตรบุญธรรมของเทพอสูรทะเลคลั่ง มิน่าเล่า เพลงดาบที่ท่านใช้ถึงได้ดุดันเป็นยิ่งนัก ข้าพเจ้าที่จริงสมควรระลึกได้เสียตั้งแต่แรก”

“เจ้าก็รู้จักบิดาบุญธรรมของเรา?”

“ขอเพียงมีความสนใจเรื่องราวในยุทธจักรแม้เพียงเล็กน้อย ก็ต้องเคยได้ยินนามของเทพอสูรทะเลคลั่งผู้นี้มาบ้าง มีคำกล่าวว่า ‘จงหยวนมีสามเทพ หนึ่งเซียน หนึ่งมาร ทะเลโป๋ไห่มีเทพอสูร’ ความยิ่งใหญ่ของเทพอสูรทะเลคลั่ง มิได้ยิ่งหย่อนไปกว่าชื่อเสียงของห้าผู้ยิ่งใหญ่ในจงหยวนเลย”

แลเห็นจ้าวฉือมีสีหน้าประหลาดใจคล้ายเคยได้ยินเป็นคราแรก เซี่ยตันก็กล่าวสืบต่อ “ท่านมิเคยได้ยินมาก่อน?”

จ้าวฉือสั่นศีรษะ “เตียเตียเคยกล่าวว่า ฉายาเทพอสูรทะเลคลั่งนี้เป็นเพียงคนในแถบลุ่มน้ำโป๋ไห่ตั้งให้ท่าน จะสามารถทัดเทียมห้าผู้ยิ่งใหญ่ในจงหยวนหรือไม่ ผู้เดียวที่พิสูจน์ได้มีเพียงเราเท่านั้น”

เซี่ยตันผงกศีรษะแล้วกล่าว “อ้อ... เนื่องเพราะท่านคือผู้เดียวที่รับสืบทอดฝีมือมา? ข้าพเจ้าเคยได้ยินว่า เทพอสูรทะเลคลั่ง เมื่อครั้งวางมือลงจากผู้นำโจรสลัด ได้ถ่ายทอดวิชาให้กับบุตรชายทั้งเจ็ดของท่าน แต่กลับมิมีผู้ใดบรรลุถึงขั้นสุดยอด ท้ายที่สุดก็ห้ำหั่นกันจนตกตายหมดสิ้น ตัวท่านเองก็หายหน้าไปจากยุทธภพ มิมีผู้ใดทราบข่าวอีกเลย คาดมิถึงจริงๆ ว่าจะถ่ายทอดวิชาให้กับท่าน ซ้ำยังรับเป็นบุตรบุญธรรมด้วย ข้าพเจ้าช่างมีวาสนาแท้ๆ”

เห็นเซี่ยตันดูตื่นเต้นเสียเต็มประดา จ้าวฉือจึงถาม “เจ้ามีความสนใจในตัวของบิดาบุญธรรมเราถึงเพียงนั้น”

กงจื่อวัยเยาว์ผงกศีรษะ “ถูกต้องแล้ว ข้าพเจ้าแต่เล็กชมชอบฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับยุทธภพเป็นที่สุด ทั้งบุญคุณ ความแค้น คุณธรรม น้ำใจของมิตรสหาย ช่างเป็นเรื่องราวที่เต็มไปด้วยความตราตรึงใจ บิดาบุญธรรมของท่านก็เป็นหนึ่งในผู้มีชื่อเสียงของยุคนี้ ข้าพเจ้าไหนเลยจะไม่สนใจได้”

“อ้อ... เจ้าที่พิชิตเราพ่ายแพ้ไปอย่างง่ายดายชัดๆ กลับมิรู้สึกดูถูกดูแคลนต่อตัวท่านเลย?”

เซี่ยตันแย้มยิ้มประจบแล้วกล่าว “ข้าพเจ้าจะไปนึกดูถูกบิดาบุญธรรมของท่านได้อย่างไรเล่า ที่ข้าพเจ้าพิชิตท่านได้ น่ากลัวเพราะท่านเองยังฝึกปรือไม่ถึงขั้นมากกว่า”

“....”

เห็นจ้าวฉือนิ่งเงียบไปคล้ายมิอาจสรรหาวาจามาโต้ตอบ เซี่ยตันจึงรีบกล่าวขึ้นต่อ

“ข้าพเจ้าบังอาจสอบถาม บิดาบุญธรรมของท่านเป็นบุคคลเช่นไร ใช่มีรูปกายสูงใหญ่ดั่งรูปปั้นทวารบาลอย่างที่ร่ำลือกันหรือไม่”

จ้าวฉือเมื่อนึกถึงบิดาบุญธรรม ดวงตาก็ทอประกายแห่งความภาคภูมิออกมา “ท่านเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ ใช้มือเพียงข้างเดียวก็สามารถเหวี่ยงอาชาพ่วงพีขึ้นไปวางไว้บนกำแพงได้โดยมิกระทบกระเทือน เราก็มิทราบว่าผู้คนร่ำลือถึงท่านอย่างไร ที่เราทราบ ยามปรกติท่านเป็นคนสนุกสนานเฮฮา แต่ยามจริงจังก็จริงจังอย่างยิ่ง มิผ่อนคลายเด็ดขาด”

เซี่ยตันมองด้วยสายตาเป็นประกาย “มิทราบข้าพเจ้าจะสามารถมีวาสนาได้ไปเยี่ยมคำนับท่านผู้อาวุโสบ้างหรือไม่?”

จ้าวฉือจึงถอนหายใจแล้วสั่นศีรษะ “ประการนี้เห็นทีจะไม่มีวันเป็นไปได้ ท่านผู้เฒ่าได้เดินทางไปพบเหยียนโหลวหวัง (เงี่ยมล่ออ๋อง – พญายม) เสียหลายเดือนแล้ว”

เซี่ยตันพลอยรู้สึกรันทดหดหู่ไปด้วย “ท่านย่อมเศร้าโศกเสียใจมากกระมัง”

“อืม... แต่เตียเตียเคยบอกต่อเรา ตายมิใช่เรื่องน่าเสียใจ ที่น่าเสียดายคือตอนมีชีวิต มิได้กระทำเรื่องราวที่สมควรกระทำ เมื่อตายก็มิอาจย้อนกลับมากระทำสิ่งใดได้อีกแล้ว”

เซี่ยตันผงกศีรษะ แล้วกล่าว “วาจานี้ของท่านผู้อาวุโส ข้าพเจ้าจะจดจำไว้”

เมื่อเห็นจ้าวฉือยังคงนั่งนิ่งเฉย จึงค่อยกล่าววาจาออกมาอีก “ข้าพเจ้าเคยได้ยินมาว่า เทพอสูรทะเลคลั่ง เมื่อครั้งอาละวาดอยู่ในทะเลโป๋ไห่ มีทรัพย์สมบัติไม่น้อย ถึงกับร่ำลือกันว่าได้ซุกซ่อนสมบัติไว้เป็นจำนวนมหาศาล ในเมื่อท่านเป็นบุตรบุญธรรม ไฉนถึงได้ยากจนข้นแค้นถึงขั้นไร้อัฐติดตัวเยี่ยงนี้เล่า”

“เรื่องขุมสมบัติ เตียเตียมิเคยกล่าวถึงมาก่อน ท่านเล่าเพียงว่าเคยเป็นโจรสลัดเท่านั้น บางทีสมบัติเหล่านั้นท่านอาจจะมอบให้แก่บุตรชายทั้งเจ็ดไปหมดสิ้นแล้ว ส่วนตอนท่านอยู่กับเรา ก็มีสมบัติพอใช้สอยประมาณหนึ่งไม่เคยขาดมือ ภายหลังเมื่อท่านเสียชีวิตลง เราจึงได้แจกจ่ายทรัพย์สมบัติเหล่านั้นให้กับผู้อื่นไปจนหมดสิ้น”

“....” เซี่ยตันมองมันอย่างตะลึงลาน เนิ่นนานจึงสามารถส่งเสียงออกมาได้ “สมบัติที่เตียเตียท่านหามาได้อย่างยากลำบาก ท่านก็มิคิดจะหวงแหนเอาไว้เลย?”

“เตียเตียเคยว่า สมบัติทั้งหมดท่านยกให้กับเรา เมื่อท่านไม่อยู่แล้ว เราจะนำไปใช้สอยประการใดล้วนแต่เป็นเราตัดสินใจ สมบัติเหล่านั้นที่จริงก็มิได้มากมาย เมื่อเราตัดสินใจออกเดินทางแล้ว ย่อมไม่เก็บไว้ให้เป็นภาระ”

เซี่ยตันถึงกับส่งเสียงครางออกมา “หากข้าพเจ้ามีบุตรเช่นท่าน รับรองต้องร่ำไห้ไปสามวันเจ็ดวัน หากตายต้องตายตามิหลับเด็ดขาด”

“เจ้ามีความตระหนี่ถี่เหนียวถึงเพียงนั้น?”

“ตระหนี่ถี่เหนียว?” เซี่ยตันร้องขึ้น “ข้าพเจ้ามิได้ตระหนี่ถี่เหนียว แต่หากบุตรข้าพเจ้าสามารถโง่งมถึงขั้นแจกจ่ายทรัพย์สมบัติให้ผู้อื่นหมดสิ้นจนมิมีกระทั่งอัฐเอาไว้รักษาตัวเอง ข้าพเจ้าต้องลุกจากโลงมาก่นด่ามันสามวันเจ็ดวัน ร่างกายบิดามารดาให้มา ท่านต้องรู้จักถนอมรักษา มิใช่ปล่อยปละละเลยจนย่ำแย่ไป”

ในดวงตาของจ้าวฉือบังเกิดประกายแห่งความปวดร้าวขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง ส่งเสียงกล่าว “เตียเตียเพียงต้องการให้เราฝึกฝนวิชาของท่านให้สำเร็จ เพื่อสืบสานปณิธานของท่าน ส่วนบิดามารดาที่แท้จริงของเรานั้น... เป็นผู้ใดเราก็มิอาจทราบได้ เหตุใดเราต้องถนอมร่างกายเพื่อคนเหล่านั้นด้วย”

เซี่ยตันเมื่อได้ยินดังนั้นก็ให้รู้สึกสะทกสะท้อน ถึงกับมิอาจสรรหาวาจามากล่าวอยู่เป็นครู่ใหญ่ๆ จ้าวฉือจึงว่า

“เจ้าเองก็ระวังไว้ คิดคบค้าเราเป็นสหาย วันหนึ่งมิแน่ทรัพย์สมบัติของเจ้าจะถูกเราผลาญจนหมดสิ้นไป”

เซี่ยตันค่อยระบายยิ้มออกมาได้ กล่าวขึ้น “ท่านมิใช่บุตรของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่กลัวท่านผลาญสมบัติหมดสิ้น แต่... ท่านเป็นสหายของข้าพเจ้า... ข้าพเจ้ามีความห่วงใยในตัวท่าน ดังนั้น... ขอให้ท่านห่วงใยในตัวเองด้วย”

น้ำเสียงที่กล่าวออกมานุ่มนวลอย่างยิ่ง ดวงตาที่จ้องมองมันยิ่งนุ่มนวลกว่า จ้าวฉือพลันรู้สึกระอุอุ่นอยู่ในอก นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนตั้งอกตั้งใจกล่าววาจาว่าห่วงใยมัน บอกให้มันถนอมตัว แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นกงจื่อรุ่มรวยอย่างที่มันมิเคยนึกชอบมาก่อน อีกทั้งยังมีนิสัยเจ้าเล่ห์แสนกล มันจึงต้องเสแสร้งส่งเสียงตอบกลับไปอย่างเย็นชา

“อืม...”

เซี่ยตันก็ทราบว่าบรรยากาศมิใคร่สนุกสนานแล้ว จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“ในเมื่อเทพอสูรทะเลคลั่งเป็นบิดาบุญธรรมของท่าน ท่านเคยได้กล่าววิพากษ์วิจารณ์ถึงห้าผู้ยิ่งใหญ่แห่งจงหยวนไว้บ้างหรือไม่?”

จ้าวฉือผงกศีรษะ “ก็เคยพูดถึงอยู่บ้าง ท่านว่า กระบี่พิสุทธิ์หยางชุนอิ๋นมีเพลงกระบี่อันยอดเยี่ยมดั่งเป็นเทพกระบี่มาจุติ ทั้งยังจรรโลงไว้ด้วยคุณธรรมอันยิ่งใหญ่ แต่มิทราบใช่วิญญูชนที่แท้จริงหรือไม่ ส่วนกระบี่สรรสร้างเส้าช้วงไป๋ แม้แนวทางวิชามิได้เลิศเลออย่างหยางชุนอิ๋น แต่คำร่ำลือเกี่ยวกับค่ายกลกระบี่ของสำนักมันถึงกับสามารถเทียบชั้นค่ายกลกระบี่ของบู๊ตึ้ง (หวู่ตังในภาษาจีนกลาง) ได้ ประการนี้ท่านว่าหากมีโอกาสเราก็ควรหาเรื่องไปทดลอง”

เซี่ยตันหัวร่อแล้วกล่าว “หากท่านคิดใคร่ทดลองค่ายกลกระบี่ของสำนักชิงเจี่ยน มีสถานเดียวคือบุกขึ้นสำนักของมัน เรื่องราวสนุกสนานเช่นนี้ท่านต้องเชิญข้าพเจ้าไปด้วย”

จ้าวฉือจึงว่า “วางใจเถิด เราต้องไม่กระทำเรื่องนี้ระหว่างที่ถูกจิ้งจอกน้อยเช่นเจ้าพัวพันอยู่แน่ อย่าลืม สัญญาของพวกเราเหลือหนึ่งวันคือวันนี้”

เซี่ยตันเชิดปากขึ้นเล็กน้อย ส่งเสียงกล่าวต่อ “ข้าพเจ้าก็มิได้ลืม แต่ท่านก็อย่าได้ลืม เป็นท่านแพ้พนันข้าพเจ้าเมื่อคืน ดังนั้นท่านจึงยังติดค้างเรื่องที่ต้องกระทำให้ข้าพเจ้าอยู่อีกหนึ่งเรื่อง”

“เจ้าจะใช้เรื่องนี้บีบบังคับให้เราพาเจ้าติดตามไปที่สำนักชิงเจี่ยน?”

“ข้าพเจ้ายังมิมีความคิดเช่นนั้น อันที่จริง ถึงท่านมิเชิญ ข้าพเจ้ามีขาก็สามารถเชื้อเชิญตัวเองไปได้ ดังนั้น เรื่องนี้ข้าพเจ้าอนุญาตให้ท่านติดไว้ก่อน ไว้ข้าพเจ้านึกออกว่าต้องการใช้ท่านไปทำประการใดก็ค่อยบอกกล่าวกับท่านอีกที”

เห็นจ้าวฉือทำสีหน้าประหนึ่งใคร่คว่ำโต๊ะใส่มัน เซี่ยตันจึงคลี่ยิ้มนุ่มนวลแล้วกล่าวต่อ “นี่... แล้วคำวิจารณ์ต่อสำนักหมิงเจี่ยว (ประกายจรัสแสง) เล่า? ข้าพเจ้าเคยได้ยินว่าสำนักนี้ศิษย์ทุกคนต้องสวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์สีม่วง ดังนั้นจึงเรียกขานกันเป็นสำนักเสื้อม่วง ฟังว่าเพลงดาบของสำนักนี้มีอานุภาพสะท้านสะเทือนแผ่นดิน มิทราบพอจะทัดเทียมกับเพลงดาบอัสนีบาตตัดธาราของเตียเตียท่านได้หรือไม่?”

(มีต่อ)

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1051
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
จ้าวฉือยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย ส่งเสียงกล่าว “สำนักหมิงเจี่ยวนี้ เตียเตียถึงกับต้องการให้เราบุกไปพังสำนักมันให้ราบเรียบเป็นหน้ากลอง”

“ไฮ้ หรือท่านมีความแค้นกับสำนักนี้อยู่?”

จ้าวฉือสั่นศีรษะ “ท่านมิได้บอกว่ามีความแค้นใด ท่านเพียงบอกต่อเรา หากต้องการให้ท่านมีความภาคภูมิในฉายาเทพอสูร เรามีแต่จะต้องไปทำลายสำนักดาบจอมปลอมนั่นให้สิ้นซาก”

“นี่มิใช่ไร้เหตุผลจนเกินไป?”

“นี่มิใช่ไร้เหตุผล” จ้าวฉือว่า “วิชาที่เตียเตียบัญญัติเป็นวิชาดาบ วิชาที่เจ้าสำนักหมิงเจี่ยวใช้ก็เป็นวิชาดาบ หากเรามิใช้วิชาดาบของเตียเตียไปทำลายสำนักมันให้ราบคาบ ไหนเลยจะสามารถยกย่องวิชาดาบของเตียเตียเป็นอับดับหนึ่งในแผ่นดินได้”

“ท่านมิต้องทำลายล้างสำนักมันให้ราบคาบ เพียงแต่ประลองชนะประมุขของพวกมัน ก็สามารถเชิดชูวิชาของเตียเตียท่านให้เป็นวิชาดาบหนึ่งในแผ่นดินได้แล้ว”

“หรือเจ้ามีความสัมพันธ์อันดีต่อสำนักของมัน จึงมาพูดแก้ต่างแทนมันเช่นนี้”

“แก้ต่างอย่างไร ข้าพเจ้ากำลังพูดถึงหลักเหตุผลกับท่าน” เซี่ยตันกล่าวด้วยสีหน้าอันจริงจัง “ท่านทราบหรือไม่ การทำลายล้างค่ายสำนักใดสำนักหนึ่ง มิใช่ง่ายดายเพียงท่านเดินอาดๆ ไปสังหารประมุขของมันเท่านั้น หากสำนักของมันมีรากฐานอันเหนียวแน่น สิ่งที่ท่านจะได้คือการเพาะความแค้นกับคนกลุ่มใหญ่ มิใช่ความแค้นต่อคนคนเดียว นอกจากท่านจะมิอาจทำลายล้างสำนักมันได้ดั่งใจหวังแล้ว ยังต้องเผชิญหน้ากับการล้างแค้นราวีมิเลิกรา ชีวิตของท่านจะหาความสงบสุขไม่ได้เลยแม้แต่วันเดียว”

“....”

“ดังนั้น เมื่อท่านคิดจะทำลายล้างค่ายสำนักหนึ่ง ท่านต้องวางแผนอย่างรัดกุม ต้องทำลายจากรากฐาน มองหาจุดอ่อนที่จะสร้างความกังขาให้กับศิษย์และผู้ที่ยกย่องนับถือมัน เมื่อท่านวางแผนจนถี่ถ้วนแล้ว ก็ดำเนินการตามแผน ขั้นตอนสุดท้ายคือท่านเดินอาดๆ ไปถล่มป้ายสำนักของมัน สำนักนั้นก็จะถูกทำลายลงอย่างราบคาบ ไม่เหลือเภทภัยมากวนใจท่านอีก แต่จะทำประการนี้ได้ ต้องลงทุนลงแรง เปลืองสมองวางแผนไม่น้อย หากมิใช่มีความแค้นจนไม่อาจอยู่ร่วมฟ้า ไหนเลยต้องทำถึงขนาดนี้เล่า”

“อืม... ฟังคำเจ้าคล้ายคนเคยผ่านประสบการณ์นี้มา หรือเจ้าก็มีผู้ที่มีความแค้นจนไม่อาจอยู่ร่วมฟ้ามาก่อน?”

เซี่ยตันถอนหายใจแล้วกล่าว “ข้าพเจ้ามิใช่ชนชาวยุทธ์ แต่เป็นคนค้าขาย ในวงการคนค้าขายไม่ยกเรื่องบุญคุณความแค้นเป็นหลัก แต่ยกเรื่องผลประโยชน์เป็นสำคัญ ตระกูลของข้าพเจ้าจึงหลีกเลี่ยงการเป็นคู่ขัดแย้งกับผู้อื่นเสมอมา หากต้องเป็นคู่ขัดแย้งให้ได้ ก็มีแต่จะต้องทำลายคู่ขัดแย้งนั้นให้ราบคาบ เพราะเมื่อคนค้าขายเกิดขัดแย้งกันจนมิอาจหาข้อยุติ ก็จะกลายเป็นศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมฟ้า มีแต่ต้องทำลายการค้าของอีกฝ่ายให้สิ้นซากเท่านั้นจึงจะจบสิ้นความขัดแย้งลงไปได้”

จ้าวฉือผงกศีรษะ “วงการค้าขายนอกจากจะเหี้ยมโหดต่อผู้อื่นแล้ว กระทั่งพวกเดียวกันเองก็ไม่ปล่อยปละละเว้นอีกด้วย”

“มิว่าผู้ใดอยู่ในวังวนการแก่งแย่งอำนาจและผลประโยชน์ ก็หนีไม่พ้นต้องกระทำเช่นนี้ทั้งสิ้น แต่... ยุทธภพกลับต่างออกไป ข้าพเจ้าเคยได้ยินว่ายุทธภพนั้นเป็นโลกของคนสามัญ นับถือในเกียรติ ศักดิ์ศรี และคุณธรรม คนในยุทธภพสามารถมีมิตรภาพ ความรัก ความแค้นต่อกันได้อย่างเปิดเผยจริงใจ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงต้องการจะออกท่องเที่ยวในยุทธภพ เพื่อสัมผัสกับเรื่องราวเหล่านี้ด้วยตัวเอง แม้เพียงระยะเวลาหนึ่งปีก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว”

“ไฉนต้องจำกัดเวลาเพียงหนึ่งปี” จ้าวฉือส่งเสียงถาม “เจ้าเองก็เป็นวิชายุทธ์ กอปรกับทรัพย์สินเงินทองที่เจ้ามี คิดจะท่องเที่ยวอยู่อีกเป็นสิบปีก็ไม่น่ามีปัญหาใด”

“หากข้าพเจ้าคิดท่องเที่ยวหาความสุขใส่ตัวไปตลอดชีวิตเช่นนั้น ก็นับว่าข้าพเจ้าเอาเปรียบผู้อื่นแล้ว”

“เอาเปรียบอย่างไร? เจ้าที่บอกว่าตัวเองเป็นคนทำการค้ายังสามารถอ้างคำว่าเอาเปรียบผู้อื่นได้อีก”

เซี่ยตันถอนหายใจแล้วกล่าว “เงินทองที่ข้าพเจ้าใช้จ่าย มิใช่งอกเงยขึ้นมาเอง แต่มาจากกิจการต่างๆ กิจการต่างๆ ก็ต้องมีผู้คอยบริหารงาน แม้ข้าพเจ้ามิใช่บุตรคนโต มิต้องรับภาระรับผิดชอบอันใหญ่หลวง แต่ก็มิอาจปล่อยให้ผู้อื่นดำเนินงาน ส่วนตัวเองเที่ยวเล่นไปวันๆ ได้ ดังนั้น หากข้าพเจ้าไม่ไปสอบเป็นขุนนาง ก็ต้องไปรับช่วงดูแลกิจการบางอย่างของที่บ้าน”

จ้าวฉือมองมันอึดใจ “ที่จริงเจ้าเองก็สามารถเป็นผู้มีชื่อเสียงในยุทธภพได้มิยากเย็น เท่าที่เราทราบ การค้าบางอย่างก็ต้องอาศัยชื่อเสียงในวงการนี้ ดั่งเช่นพวกเปียวจื๋อ (สำนักคุ้มภัย) ”

เซี่ยตันระบายยิ้มบางบนใบหน้า กล่าวตอบ “เรื่องนี้ผู้อื่นสามารถกระทำได้ แต่ข้าพเจ้ามิอาจกระทำได้”

“ไฉนมิอาจกระทำได้ เราเห็นเจ้าร่วมทางมากับบรรดาเปียวซือพวกนั้นอยู่ชัดๆ”

“ร่วมทางก็คือร่วมทาง แต่ทำกิจการโดยอาศัยชื่อเสียง ข้าพเจ้ากระทำมิได้เด็ดขาด มิว่าในแวดวงใดก็ตาม”

“เพราะเหตุใด”

“นี่เป็นกฎที่บรรพบุรุษของข้าพเจ้าตราขึ้น ผู้ที่เกิดอยู่ในตระกูล หากคิดทำการค้าห้ามมิให้แสวงหาชื่อเสียงตำแหน่ง หากคิดแสวงหาชื่อเสียงตำแหน่ง ก็ต้องมิทำการค้าหรือหาผลประโยชน์จากการค้าของตระกูล ส่วนผู้ที่คิดจะเข้าร่วม หากมีตำแหน่งชื่อเสียงก็ต้องละทิ้งไปไม่นำมายุ่งเกี่ยวปะปน”

จ้าวฉือนิ่งไปนานก็กล่าวสืบต่อ “ด้วยเหตุนี้ เจ้าจึงเรียกตัวเองว่าคนค้าขาย”

“ถูกต้อง”

“ผู้อื่นเมื่อมีเงินทองต้องแสวงหาลาภยศชื่อเสียง ไฉนบรรพบุรุษของเจ้าจึงตั้งกฎเป็นตรงข้าม?”

“ประการนี้ข้าพเจ้าก็เคยสอบถามเตียเตีย ท่านตอบว่า เงินทองเป็นดั่งสัดใส่ข้าว เมื่อไว้ในเรือนย่อมดึงดูดเหล่ามุสิก (หนู) ดังนั้นจึงต้องเก็บรักษาอย่างมิดชิด ส่วนลาภยศชื่อเสียงกลับเป็นดั่งสตรีงามเมือง เมื่อมีแล้วต้องเปิดประตูป่าวประโคมรับแขกอยู่ตลอดเวลา หากคิดรักษาสัดใส่ข้าวให้พ้นจากเหล่ามุสิก ไหนเลยจะสามารถเปิดประตูบ้านไว้ตลอดเวลาได้ บรรพชนจึงได้ตรากฎข้อนี้ขึ้นมา”

“อืม... นี่นับว่าแปลกประหลาดจริงๆ”

เซี่ยตันคีบกับใส่จาน แล้วกล่าวขึ้นอีก “ท่านจึงมิต้องกังวลว่าจะถูกข้าพเจ้าพัวพันไปตลอดชีวิต หรือถูกข้าพเจ้าพิชิตพ่ายแพ้ลงไปอีก เพราะเวลาในยุทธภพของข้าพเจ้า มีเพียงหนึ่งปีเท่านั้น”

จ้าวฉือพลันหัวร่อออกมาคำหนึ่งแล้วกล่าว “ฟังแล้วเราก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมากจริงๆ พบเจอเจ้าเพียงวันเดียวเราก็แทบปวดศีรษะตายไป ยังต้องนับถึงหนึ่งปี...”

เซี่ยตันหัวร่อฮิฮะแล้วกล่าว “ข้าพเจ้ารับประกัน ท่านเดินทางกับข้าพเจ้าหนึ่งปี ต้องครึกครื้นไม่เว้นวัน เมื่อครบปีแล้ว น่ากลัวท่านต้องคิดถึงข้าพเจ้าแทบตาย”

“ตอนนี้เราก็คิดถึงคืนวันอันสงบสุขที่ไม่มีเจ้าแทบตาย”

เซี่ยตันแสร้งทำเป็นมิได้ยิน กล่าวขึ้นต่อ “แล้วที่เหลือเล่า? ยังมีนางเซียนเมฆคราม (เตี่ยนหยุนเซียนหมู่) ประมุขวังบัวแดง กับราชันอสูรทมิฬแห่งพรรคอสูรเทวราช เตียเตียของท่านได้กล่าวถึงไว้ว่าอย่างไร”

“พรรคอสูรเทวราชเป็นขบวนการใต้ดินอันลี้ลับพิสดาร มิทราบเป็นผู้ใดก่อตั้ง และมิทราบผู้ใดเป็นประมุข ทั้งยังมิทราบว่าผู้ใดเป็นสมาชิก ผู้ใดที่ปวารณาตัวเป็นสมาชิกแล้ว ก็ห้ามแสดงตนต่อผู้อื่นว่าเป็นสมาชิก นอกจากสมาชิกด้วยกัน เรื่องของพรรคอสูรเทวราชนี้ เตียเตียถึงกับให้เราสาบานต่อหน้าท่าน มิว่าอย่างไรห้ามปวารณาตัวไปเข้าร่วมกับพรรคมันอย่างเด็ดขาด”

“อืม... ข้าพเจ้าก็เคยได้ยินมา สมาชิกพรรคมันกระจายอยู่ทุกหนแห่ง มิว่าจะเป็นวงการวานิช ขุนนาง หรือแม้แต่วงการนักเลง แต่ทั้งหมดล้วนไม่เปิดเผยตัว ว่ากันว่านี่เป็นขบวนการอันแข็งแกร่งที่คงอยู่มานานกว่าสามสิบปี น่ากลัวผู้ก่อตั้งย่อมมิใช่ชนชั้นสวะเป็นอันขาด”

“อืม”

“ยังเหลือวังบัวแดงอีกเล่า? ที่ข้าพเจ้าได้ยินมา นางเซียนเมฆครามเมื่อครั้งอดีต เคยถูกเรียกเป็นเทพธิดาเมฆคราม ร่ำลือว่านางมีความงามราวเทพธิดามาจุติในมวลมนุษย์ ทั้งยังมีพลังฝีมืออันเลอเลิศ แต่เพราะนางผิดหวังจากบุรุษผู้หนึ่ง จึงเร้นกายออกไปตั้งสำนักลึกลับ รับเพียงศิษย์สตรี เรียกตัวเองเป็นนางเซียนเมฆครามนับแต่นั้น”

จ้าวฉือคีบกับเข้าปากแล้วกล่าว “ในบรรดาห้าผู้ยิ่งใหญ่แห่งจงหยวน นางนับเป็นบุคคลที่เตียเตียกล่าวถึงบ่อยที่สุด เนื่องเพราะพวกท่านทั้งคู่ เป็นสหายเก่าแก่กันมา”

เซี่ยตันเบิ่งตากลมกว้างด้วยความตื่นเต้น “พวกท่านเป็นสหายเก่าแก่? มิใช่คู่รักกระมัง”

จ้าวฉือส่งเสียงตวาด “เหลวไหล! เตียเตียยามกล่าวถึงนาง ก็คล้ายกล่าวถึงเม่ยเม่ย (น้องสาว) ท่านมิได้บอกว่าพบเจอกันที่ใด เพียงแต่บอกว่าเป็นสหายเก่าแก่เท่านั้น”

“อย่างนั้น... ท่านเคยกล่าวถึงเรื่องความงามของนางหรือไม่?”

“อืม ท่านว่านางก็เป็นสตรีที่งามอยู่ อาจจัดได้ว่างามเลิศ เสียดายที่นางมิใช่สตรีชนิดที่ยอมสยบให้บุรุษโดยง่าย นางอาจสามารถเป็นคนรักของบุรุษผู้หนึ่ง แต่นางมิอาจยอมตัวเป็นภรรยาที่น่ารักของมัน หรือเป็นมารดาที่นุ่มนวลให้บุตรของมัน ดังนั้นนางจึงสะบัดหน้าจากมา”

“เป็นนางจากไปเอง?”

“อืม”

เซี่ยตันผงกศีรษะแล้วกล่าว “นี่กลับน่าสนใจอย่างยิ่งจริงๆ สตรีนางหนึ่งสามารถรักกับบุรุษได้ แต่กลับมิอาจเป็นภรรยาของมัน ทั้งยังมิอาจเป็นมารดาให้บุตรของมัน สตรีเช่นนี้เป็นสตรีเช่นไรแน่ ข้าพเจ้าใคร่ไปเยี่ยมคารวะสักคราหนึ่ง”

“วังบัวแดงมิใช่สถานที่ทัศนาจร หรือเจ้าคิดว่าสามารถเดินอาดๆ เข้าไปพบนางก็ได้?”

เซี่ยตันแย้มยิ้มพลางใช้ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นมองจ้าวฉือแล้วกล่าว “หรือกระทั่งบุตรบุญธรรมของสหาย นางก็มิคิดจะเปิดประตูต้อนรับเลย”

จ้าวฉือหรี่ตามองมันอึดใจ ก็กล่าว “อย่าได้ฝันว่าเราจะพาเจ้าไปเด็ดขาด”

“หรือท่านก็เคยไปเยี่ยมเยียนนางที่วังมาแล้ว?”

“เราไหนเลยจะเคยไปพบนางได้”

“แล้วไฉนท่านจึงไม่ไปเยี่ยมคารวะนาง”

“ไยเราจึงต้องไปด้วย”

“เนื่องเพราะท่านว่านางก็เป็นดั่งเม่ยเม่ยของบิดาท่าน ดังนั้นก็ถือเป็นอากู (ท่านอา) ของท่านด้วย ท่านจึงสมควรแวะไปเยี่ยมเยียนนางสักหนหนึ่ง เรื่องเช่นนี้เป็นมารยาทพื้นฐาน หรือท่านมิเคยทราบมาก่อน?”

“.....”

“ข้าพเจ้าสามารถช่วยท่านเลือกหาของขวัญอันล้ำค่าเพื่อไปเยี่ยมคารวะนางได้”

จ้าวฉือหัวร่อขึ้นจมูกคำหนึ่งแล้วกล่าว “ลูกไม้นี้ของเจ้าใช้กับเรามิได้ผลดอก อย่างไรเราก็ไม่พาเจ้าไปเด็ดขาด”

“ไฉนพาข้าพเจ้าไปด้วยมิได้ ข้าพเจ้ารับรองจะเป็นคนว่าง่าย เมื่อไปแล้วจะไม่สร้างปัญหาให้ท่านปวดศีรษะเด็ดขาด ท่านพาข้าพเจ้าไปด้วย มิแน่อาจโชคดีได้ว่าที่ภรรยากลับมาด้วยสักนางหนึ่ง”

“เพ้ย เราไปเยี่ยมคารวะท่านผู้อาวุโส ไหนเลยจะไปพาภรรยากลับมาด้วยได้”

เซี่ยตันมินำพากับท่าทีขึงขังของคู่สนทนา กล่าวต่อไปอย่างมิเร่งร้อน “ก็ข้าพเจ้าได้ยินมา สำนักของนางรับเฉพาะศิษย์สตรี พวกเราไปเยี่ยมเยียนนาง น่ากลัวต้องเป็นบุรุษกลุ่มแรกที่เข้าไป ฉือเกอของข้าพเจ้าหล่อเหลาปานนี้ มีหรือจะไม่พาหัวใจสตรีให้โบยบินได้ ท่านเพียงแต่ต้องจัดการบริหารให้ดี อย่าไปคว้าเอาไหน้ำส้มมาเด็ดขาด” (น้ำส้ม – สตรีขี้หึง มาจากเรื่องราวของเสนาบดีในสมัยราชวงศ์ถัง กับภรรยา ฮ่องเต้ในยุคนั้นต้องการปูนบำเหน็จให้กับเสนาบดีเป็นสตรีงามเพื่อตบแต่งเป็นอนุ แต่เสนาบดีท่านนั้นได้ทูลคัดค้าน อ้างเหตุภรรยาไม่ยินยอม ฮ่องเต้จึงมีรับสั่งให้นำสุราพิษไปให้ภรรยาของเสนาบดี ให้นางเลือกระหว่างดื่มสุราพิษ กับยอมรับอนุที่ฮ่องเต้จะพระราชทานให้ นางเลือกดื่มสุราพิษ ไม่ยอมให้สามีแต่งอนุ ทว่าสุราจอกนั้นแท้จริงเป็นเพียงน้ำส้มสายชู ฮ่องเต้วางอุบายเพื่อทดสอบความใจเด็ดของนาง ดังนั้นสำนวนเกี่ยวกับน้ำส้มจึงหมายถึงสตรีขี้หึง)

จ้าวฉือถึงขั้นมิสามารถอดกลั้นได้อีกต่อไป ถึงกับหัวร่ออกมา “ความสามารถในการเยินยอผู้คนของเจ้านับว่าร้ายกาจจริงๆ ด้วยความสามารถเช่นนี้ ผู้ที่ได้ภรรยากลับมา ต้องมิใช่เรา แต่เป็นเจ้า”

เซี่ยตันหัวร่อเสียงสดใสแล้วกล่าว “เช่นนั้นก็ต้องนับเป็นบุญวาสนาของข้าพเจ้า”

“ได้สตรีที่ฝึกวิชาฝีมืออำมหิตเยี่ยงนั้นเป็นภรรยา เจ้ายังถือเป็นบุญวาสนาได้?”

เซี่ยตันเลิกคิ้ว พลางกล่าว “ท่านตำหนิพวกนางว่าฝึกฝีมืออำมหิต?”

“ถูกต้อง เตียเตียบอกเรา อย่าได้ไปตอแย่วุ่นวายกับสตรีจากวังบัวแดงเป็นอันขาด อันวิชาฝ่ามือกร่อนวิญญาณของพวกนางนี้ มิใช่วิชาที่ใช้ทำร้ายฝ่ายตรงข้ามให้ตกตายลงทันที แต่เป็นวิชาทรมานคนทั้งเป็น เมื่อฟาดใส่ผู้ใดครบหกฝ่ามือ จะบันดาลความเจ็บปวดดั่งวิญญาณถูกกัดกร่อนจนคลุ้มคลั่งตายไป ดังนั้นผู้ที่ฝึกวิชานี้ส่วนมากจึงเป็นสตรี เพราะมีเพียงสตรีเท่านั้นที่ชมชอบใช้วิธีทรมานเช่นนี้จัดการกับศัตรูของพวกนาง”

“สตรีทุกนางเกิดมาก็ล้วนอ่อนแอกว่าบุรุษ พวกนางจะฝึกฝีมืออำมหิตเพื่อข่มขู่บุรุษบ้าง ท่านก็มิควรจะไปตำหนิพวกนาง อย่างน้อยที่พวกนางฝึก ก็เป็นวิชาที่เปิดเผย มิใช่ลอบประทุษ”

“อืม... เจ้าก็กล่าวมิผิด แต่เราอย่างไรต้องไม่เสาะหาสตรีที่ฝึกฝีมือเยี่ยงนี้มาเป็นภรรยาเด็ดขาด”

“อ้อ… ข้าพเจ้าเข้าใจแล้ว ท่านเกรงว่าเมื่อนางเกิดถือไหน้ำส้มใหญ่ จะฟาดใส่ท่านหกฝ่ามือ ไอ้หยา! นี่ก็เป็นเรื่องที่น่ากังวลจริงๆ ทางที่ดีพวกเราควรหาภรรยาเรียบๆ ร้อยๆ สักคนจึงประเสริฐที่สุด”

“ในที่สุดเจ้าก็เข้าใจจนได้” จ้าวฉือผงกศีรษะ คีบกับใส่ปากอีกคำ แล้วกล่าวต่อ “เมื่อครู่เจ้าพูดถึงการลอบประทุษ ทำให้เรานึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา”

“เรื่องอันใด”

“เตียเตียเคยว่า ในบรรดาวิชาลอบประทุษที่ท่านทราบ มีวิชาหนึ่งอุบาทว์เลวทรามเป็นอย่างยิ่ง เรียกว่าวิชาหนอนอัคคี”

“ข้าพเจ้ามิเคยได้ยินมาก่อน เป็นวิชาอย่างไร?”

จ้าวฉือมองหน้ามันอึดใจก็กล่าวต่อ “วิชานี้แม้เรียกหนอนอัคคี แต่มิใช่วิชาแมลงพิษ เป็นวิชาปราณประเภทหนึ่ง เมื่อซัดใส่ผู้ใดจะทำให้ผู้นั้นลมปราณแตกซ่านมิอาจผนึกขึ้นมาได้ วิชานี้มิต้องสัมผัสถูกตัว แต่ต้องใช้ใส่ในระยะใกล้ยามศัตรูมิทันได้เกร็งกำลังภายในขึ้นต่อต้าน”

“ใช้ใส่ในระยะใกล้ยามศัตรูมิทันได้เกร็งกำลังภายในขึ้นต่อต้าน?” เซี่ยตันทวนแล้วกล่าว “ศัตรูประเภทใดที่อยู่ใกล้กันแล้วมิเกร็งกำลังภายในขึ้นต่อต้าน”

“ศัตรูประเภทนั้นคือศัตรูที่มิทราบว่าเจ้าเป็นศัตรูของมัน นี่จึงเป็นวิชาที่อุบาทว์เลวทรามที่สุด เนื่องเพราะมีแต่ผู้ที่แสร้งทำว่าเป็นมิตรสหายที่สนิทชิดเชื้อเท่านั้นจึงสามารถใช้ลอบประทุษได้”

เซี่ยตันผงกศีรษะแล้วกล่าว “ท่านโปรดวางใจ ข้าพเจ้าสามารถเอาชนะท่านอย่างง่ายดาย ต้องมิใช้กลวิธีอันขี้ขลาดเช่นนั้นเล่นงานท่านเป็นอันขาด”

“หากคำนวณจากเข็มที่เจ้าซ่อนไว้ในด้ามกระบี่แล้ว เรามีแต่ต้องระวังตัวจึงประเสริฐที่สุด”

“ไอ้หยา ฉือเกอ” เซี่ยตันร้อง “เหตุผลที่ข้าพเจ้ากระทำเช่นนั้นข้าพเจ้าก็บอกกล่าวแก่ท่านแล้ว... มาๆ ข้าพเจ้าคีบกับให้ท่าน รอพวกเรากินจนอิ่มแล้ว ค่อยลงไปเยี่ยมขอทานน้อยผู้นั้นกัน”

จ้าวฉือมองเซี่ยตันกุลีกุจอคีบกับใส่ชามของตน มิทราบสมควรหัวร่อหรือถอนหายใจออกมาดี

........................................
(จบตอน)

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1051
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
บทที่10 เรื่องลึกลับใต้กรอบหน้าต่าง

เซี่ยตันรับประทานอาหารเสร็จแล้วก็ชำระค่าอาหาร แล้วยังลงไปหาขอทานน้อยผู้นั้นดั่งที่มันได้ว่าไว้จริงๆ จ้าวฉืออดมิได้ต้องติดตามไปด้วย

ขอทานน้อยผู้นั้น มีวัยใกล้เจ็ดแปดขวบ เนื้อตัวสกปรกมอมแมม ใบหน้าซูบตอบ พอเห็นกงจื่อสวมเสื้อผ้าอาภรณ์หรูหราไปหยุดยืนตรงหน้า ก็รีบส่งเสียงอ้อนวอนทันที

“ท่านผู้ใจบุญ โปรดเมตตาทำทานด้วย”

เซี่ยตันย่อตัวลงนั่งยองตรงหน้ามัน แล้วถาม “นอกจากนั่งขอทาน เจ้ามีความสามารถประการใดอีก?”

ขอทานน้อยผู้นั้นมองมันอย่างงงงัน ครู่ใหญ่จึงเอ่ยตอบ “ข้าพเจ้ามิมีความสามารถใด ทำได้เพียงนั่งขอทานเท่านั้น”

“สมมติว่า หากเราใช้เจ้าไปขโมยของในบ้านของคนผู้หนึ่ง เจ้ายินยอมไปกระทำหรือไม่?”

ขอทานน้อยผู้นั่นมองมันแล้วถามกลับ “ท่านมิใช่คนร่ำรวย?”

“เราเป็นคนร่ำรวย แต่มีของสิ่งหนึ่งที่เราแม้จะทุ่มเทเงินทองเพียงไรก็มิอาจมีไว้กับตัวได้ มีแต่ต้องใช้คนไปขโมยมาเท่านั้น หากเจ้าไปขโมยของชิ้นนั้นมาได้ เราให้เจ้าสิบตำลึงเงิน”

ขอทานผู้นั่นเบิ่งตากลมกว้างด้วยความตื่นเต้น คล้ายคิดจะรับปาก แต่แล้วก็โพล่งออกมา “สิบตำลึงเงิน? จำนวนเงินมากมายขนาดนั้น ไฉนท่านไม่ไปว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญ (โจร) แต่มาจ้างข้าพเจ้าเล่า?”

“เนื่องเพราะคนผู้นั้นระแวดระวังตัวอย่างยิ่ง แม้แต่ผู้ที่มือเบาที่สุดก็มิอาจได้ของสิ่งนั้นมา มีแต่ใช้ทารกไร้เดียงสาเช่นเจ้าเข้าไปเท่านั้น จึงจะประสบความสำเร็จได้”

“ข้าพเจ้าไม่ทำให้ท่าน”

ครานี้เป็นเซี่ยตันที่มีสีหน้างงงันบ้าง “ไฉนเจ้าจึงรีบปฏิเสธ สิบตำลึงเงินมิใช่น้อยๆ เรายังให้เจ้าดูก่อนได้”

กล่าวจบก็ล้วงเอาเงินในถุงข้างเอวออกมา ขอทานน้อยมองดูเงินแท่งสีขาวแวววาวในมือของมันด้วยสายตาเป็นประกาย แต่สุดท้ายก็ปฏิเสธอีก

“ข้าพเจ้าขอทาน ขอไม่ได้ก็เพียงอด แต่ต้องไม่ถูกผู้อื่นจับไปโบยตีเด็ดขาด ข้าพเจ้าขโมยของแล้วถูกจับได้ ข้าพเจ้าต้องถูกตีเจ็บปวดแทบตายไป เงินสิบตำลึงก็มิได้ใช้แล้ว ข้าพเจ้าไม่กระทำให้ท่าน”

เซี่ยตันคลี่ยิ้มออกมา จากนั้นก็เอาเงินในมือใส่ลงในถุงตรงหน้าขอทานน้อย ขอท่านผู้นั้นรีบส่งเสียงตะกุกตะกัก “ข้าพเจ้า... ข้าพเจ้าเพิ่งปฏิเสธท่าน ไฉน...?”

“เจ้าก็ดูมิใช่เด็กโง่งม หากไม่คิดเป็นขอทานสืบไปให้ฟังคำเราให้ดี นำเงินนี้ไปหาซื้อเสื้อผ้าใหม่ที่ร้านฝูหยุนสักสองสามชุด มิต้องเลือกที่แพง แต่ต้องเลือกที่ทนทาน ดูแลรักษาง่าย จากนั้นไปอาบน้ำชำระร่างกาย เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ มีคำกล่าวว่า คนที่รู้การศึกษา สู้คนที่ชอบเรียนรู้ไม่ได้ คนที่ชอบศึกษา สู้คนที่มีความสุขกับการศึกษาไม่ได้ (ขงจื้อ) สำนักศึกษาซีหมิงเปิดสอนหนังสือทุกชนชั้น ขอเพียงมีเงินชำระค่าเล่าเรียน หากเจ้าเข้าใจเนื้อหาของประโยคที่เรากล่าวเมื่อครู่ ก็ไปพบท่าน ใช้เงินนี้ชำระค่าเล่าเรียน ส่วนเรื่องที่มาที่ไป เจ้าต้องมีความจริงใจ บอกกล่าวเรื่องราวกับท่านไปตามตรง ที่สำคัญเก็บรักษาเงินเหล่านี้ไว้ให้ดี อย่าได้บอกกับผู้ใดเด็ดขาดว่าเจ้ามีเงินทองติดตัวอยู่กี่มากน้อย นี่คือโอกาสที่เรามอบให้เจ้า ที่เหลือขึ้นอยู่กับเจ้า ว่าสามารถมีปัญญา ใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ได้เพียงใด”

ขอทานน้อยผู้นั้นรับฟังจนเคลิบเคลิ้ม รีบโขกศีรษะขอบคุณเป็นการใหญ่ “ข้าพเจ้าจะจดจำถ้อยคำของท่านไว้ ขอบพระคุณกงจื่อที่ให้โอกาส”

เซี่ยตันเพียงผงกศีรษะแล้วผุดลุกขึ้น เดินจากออกมาโดยมิเหลียวหลังอีก จ้าวฉือเดินตามมันไปติดๆ ส่งเสียงถาม

“เจ้าไฉนช่วยคนแล้วมิช่วยไปให้สุด”

เซี่ยตันส่งเสียงย้อนถาม “อย่างไร?”

“นำพามันไปสมัครเล่าเรียน”

เซี่ยตันก็หัวร่อออกมาคำหนึ่ง “มันมิใช่ตี้ตี้ของข้าพเจ้า เป็นเพียงขอทานน้อยผู้หนึ่งเท่านั้น ข้าพเจ้าหยิบยื่นโอกาสให้แก่มัน ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของมันแล้ว”

“....”

เห็นจ้าวฉือเงียบไปคล้ายคิดเรื่องใด เซี่ยตันจึงกล่าวขึ้นต่อ “เงินความจริงมิใช่สัดใส่ข้าว บางคราก็คล้ายมุสิก เมื่อมีอยู่ย่อมดึงดูดอสรพิษ หากท่านเป็นห่วงมัน ท่านก็ไปดูแลมันเถิด ข้าพเจ้าจะรอท่านอยู่ที่หอหมิงเย่ว์”

จ้าวฉือไม่อยู่ฟังจนจบ รีบหันหน้าเดินกลับไปหาขอทานน้อยผู้นั้นทันที

.......................................

ตอนที่จ้าวฉือกลับมาที่หอหมิงเย่ว์อีกครั้ง ยามวิกาลก็คืบคลานเข้าปกคลุมท้องฟ้าแล้ว โคมไฟในหอถูกจุดสว่างไสว เสียงดนตรี และเสียงหัวร่อต่อกระซิกของผู้คนดังแว่วมาให้ได้ยิน

จ้าวฉือก็เกือบลืมไปจริงๆ ว่าหอหมิงเย่ว์แห่งนี้ คือสถานที่พักแรมที่อู้ฟู่หรูหราที่สุดแห่งหนึ่งในลั่วหยาง มิใช่บริการเพียงห้องพักอย่างเดียว แต่ยังเป็นหอคณิกาที่เลื่องชื่อที่สุดอีกด้วย

เมื่อวานมันมาถึงในช่วงบ่าย มาแล้วก็ถูกเซี่ยตันพัวพันให้เล่นหมากล้อมในห้อง ตอนออกก็ออกทางประตูสำหรับห้องพัก มิใช่ประตูด้านหน้าที่เปิดเข้าสู่หอใหญ่

นางคณิกาน้อยใหญ่เมื่อเห็นมันโผล่ศีรษะเข้ามา ก็แห่แหนมาล้อมหน้าล้อมหลัง ทั้งกลิ่นถุงหอมและเครื่องประทินโฉมก่อกวนให้จ้าวฉือหัวหมุนตาลาย จ้าวฉือเติบโตมาอย่างแร้นแค้น ตอนถูกชุบเลี้ยงโดยจ้าวชินจ้าน หมู่บ้านที่อาศัยก็มีแต่บุรุษ มันที่ตั้งหน้าตั้งตาฝึกเพื่อสืบทอดวิชาต่อจากบิดาบุญธรรม ย่อมต้องมิวอกแวกไปสนใจอิสตรี ในความเห็นของมัน สตรีเป็นเพศอ่อนแอ พัวพันด้วยมีแต่ทำให้พะวงหน้าผวาหลัง ต้องคอยดูแลประคบประหงมพวกนาง ไหนเลยจะมีเวลาไปจัดการเรื่องสำคัญได้ ดังนั้น จ้าวฉือจึงมิเคยคิดเหยียบย่างเข้าไปในหอคณิกามาก่อน กระทั่งเหลือบแลยังมิเคยด้วยซ้ำ

พฤติการณ์นี้ของมัน กระทั่งลู่ถงเมื่อทราบก็ยังหัวร่อจนแทบพลัดตกเก้าอี้ตายไป ด่ามันเป็นบุรุษโง่งม มิรู้จักหาความสุขใส่ตัว แต่จ้าวฉือมินำพา ยังคงไม่ขวนขวายเข้าหอคณิกาอยู่นั่นเอง อย่าว่าแต่ตัวมันก็มีปัญหาเรื่องเงินๆ ทองๆ อยู่เป็นทุนเดิม ไหนเลยจะมีปัญญาเดินเข้าหอคณิกาได้

ตอนนี้มันถึงกับพาตัวเองมายืนอยู่ในโถงใหญ่ของหอคณิกาที่เลื่องชื่อที่สุดของเมือง เป็นเรื่องที่กระทั่งตัวมันเองก็คาดมิถึงมาก่อน

เหล่านางคณิกาพอเห็นมันถือดาบเข้ามา ก็เรียกหามันเป็นต้าหาว (ผู้เหี้ยมหาญ) จ้าวฉือฟังแล้วก็ให้รู้สึกคันยุบยิบอย่างบอกไม่ถูก ครั้นจะผลักไสพวกนางออกก็กระทำมิลง เนื่องเพราะในสายตาของมัน พวกนางก็เป็นเพียงสตรีที่อ่อนแอเท่านั้น ดังนั้นมันจึงได้แต่ยืนทื่อ รอจนพวกนางสอบถามมันว่าต้องการเรียกหาผู้ใด จึงค่อยตอบวาจาออกไปได้

“ที่เรามาหาคือเซี่ยกงจื่อ มิทราบพวกท่านพอจะไปเรียกมันมาได้หรือไม่?”

นางคณิกาเหล่านั้นต่างส่งเสียงผิดหวัง มีผู้หนึ่งกล่าวออกมา “ท่านมาถึงหอหมิงเย่ว์ ไม่ถามหาสตรีแต่ถามหาบุรุษ นี่มิใช่ดูถูกดูแคลนพวกเราจนเกินไป”

จ้าวฉือสะกดใจ กล่าวตอบออกไปอย่างนุ่มนวลที่สุด “ที่นี่เป็นที่พัก เรามาถามหาคนที่พักแรม จะเป็นการดูถูกดูแคลนพวกท่านได้อย่างไร”

“ฟังวาจาท่าน ช่างไร้เยื่อใยยิ่งนัก ถึงกับกล่าวว่าที่นี่เป็นสถานที่พักแรมได้อย่างไม่ติดขัด ท่านกระทำเช่นนี้ ก็คล้ายเห็นพวกเรามิได้สวยงามพอ”

“พวกท่านย่อมสวยงาม พอกทากันมาปานนี้ ไหนเลยจะสามารถไม่สวยงามได้”

สตรีเหล่านั้นมองมันอึดใจ ก็ส่งเสียงถาม “หรือท่านไม่พอใจสตรีที่ประทินโฉม พวกเราพอหา...”

“เราก็พอใจพวกท่านทุกคน แต่น่าเสียดาย พวกท่านต้องไม่พอใจเราอย่างเด็ดขาด”

คณิกานางหนึ่งแย้มยิ้มหยาดเยิ้มแล้วกล่าว “ขอเพียงท่านพอใจพวกเรา พวกเราไหนเลยจะไม่พอใจท่านได้”

“พวกท่านย่อมไม่สามารถพอใจเราได้ เพราะเรายามนี้ ไม่มีเงินติดตัวเลยแม้แต่เหวินเดียว”

“ล้อเล่นกระมัง”

จ้าวฉือกวาดตามองพวกนางแล้วกล่าว “อย่างนั้นพวกท่านเลือกกันมาเองสักคน บริการเราอย่างเต็มที่ ให้ดีต้องเป็นคนที่มีราคาที่สุดของหอท่าน เราเมื่อคิดไม่ชำระราคา ย่อมต้องเรียกร้องของที่มีมูลค่าสูงที่สุดเอาไว้ก่อน”

นางคณิกาเหล่านั้นพากันหัวร่อเสียงใส “ท่านก็มีอารมณ์ขันมิเลว น่าเสียดาย ที่แพงที่สุดในหอเรา ถูกคนจับจองไปแล้ว”

“ผู้ใด”

“เป็นเซี่ยกงจื่อที่ท่านถามหาเมื่อครู่นี้เอง”

“มันตอนนี้อยู่ที่ใด?”

สตรีนางหนึ่งชี้มือขึ้นไปบนระเบียง “อยู่ที่นั่น”

.........................................

เซี่ยตันยังคงหัวร่อ หัวร่ออย่างมิหยุดยั้ง หัวร่อตั้งแต่ยืนอยู่ที่ระเบียงชั้นสอง กระทั่งเดินเข้ามาในห้อง ก็ยังมิยอมหยุดแม้แต่อึดใจเดียว ต้องทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ยกมือกุมท้อง ฟุบศีรษะลงกับโต๊ะเพื่อหัวร่อต่อไป

จ้าวฉือมองมันด้วยสีหน้าบึ้งตึง ส่งเสียงเย็นชากล่าว “เราวันนี้ต้องมีวาสนาอย่างยิ่งยวด ถึงกับสามารถมาพบเห็นผู้คนที่หัวร่อจนขาดใจตายได้”

เซี่ยตันถึงกับทิ้งตัวลงไปบนพื้น หัวร่อไปกลิ้งไปอย่างมิอาจระงับ ยกมือชี้นิ้วกล่าวอย่างยากลำบาก “ท่าน... ร้ายกาจจริงๆ ... ข้าพเจ้าก็... หัวร่อจนตายได้จริงๆ ฮ่าๆ”

จ้าวฉือยืนมองมัน ในใจใคร่เตะใส่สักฉาดหนึ่ง แต่ยังมิทันได้สาวเท้าเข้าไป ร่างระหงแน่งน้อยในชุดเสื้อผ้าสีแสดสดใสก็ปราดเข้ามา ประคองร่างของเซี่ยตันเอาไว้

“เซี่ยกงจื่อ ท่านโปรดระงับอารมณ์บ้าง หัวร่อเช่นนี้ใยมิใช่คล้ายเป็นการเยาะเย้ยผู้อื่นไปเล่า”

เซี่ยตันยกมือขึ้นจับแขนนาง หอบหายใจครู่หนึ่งก็กล่าว “ชิงเจี๋ยเจี่ย ข้าพเจ้าไหนเลย... ไหนเลยจะกล้าเยาะเย้ยมัน มัน... มันก็มีรูปโฉมพอจะหลอกล่อสตรีให้งมงายได้อยู่ชัดๆ กลับมิรู้จักใช้ ซ้ำยังกล่าววาจาที่แทบจะตะเพิดพวกนางออกไปได้ ข้าพเจ้าก็ทราบมันเป็นคนตรงไปตรงมาเช่นนี้เอง แต่นี่... นี่ก็สาหัสเกินไปมาก”

จ้าวฉือมีสีหน้าบึ้งตึงกว่าเดิม กระชากเสียงกล่าว “ที่จะพูด จบแล้วหรือไม่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็ขอลา”

“ต้าหาว” สตรีนางนั้นส่งเสียงเรียกมัน “ท่านอย่าเพิ่งไป”

จ้าวฉือหันกลับมา ส่งเสียงถาม “เรียกเรา?”

นางผงกศีรษะ ส่งเสียงอ้อยอิ่งกล่าว “เซี่ยกงจื่อก็รอท่านมาตลอดทั้งเย็น เอาแต่เดินวนเข้าวนออก ท่านเมื่อมาแล้วก็อยู่สนทนากันสักหลายคำเถิด”

“เฮอะ รอเรา? ดูสภาพมัน เป็นรอหัวร่อใส่เราอยู่ชัดๆ”

“ไฮ้ๆ ฉือเกอท่านก็คิดมากเกินไป ข้าพเจ้าไหนเลยจะเสียเวลารอเพื่อหัวร่อใส่ท่านเล่า” เซี่ยตันส่งเสียงกล่าว ตอนนี้นับว่ามันสามารถหยุดหัวร่อได้แล้วจริงๆ สตรีนางนั้นจึงประคองมันกลับไปนั่งที่เก้าอี้ เซี่ยตันหันมองนางแล้วแย้มยิ้มอย่างรู้สึกสำนึกผิด

“ยังต้องรบกวนชิงเจี๋ยเจี่ยประคองข้าพเจ้า เซี่ยตันก็ออกจะทำตัวน่าละอายเกินไปบ้างจริงๆ”

“อ้อ... เจ้าก็รู้จักด่าตัวเองแล้ว” จ้าวฉือส่งเสียงเย้ยหยัน ลากเก้าอี้ลงนั่งตรงข้ามมัน “เรายังเห็นว่ามิใช่น่าละอายเกินไปบ้าง แต่เป็นน่าละอายเกินไปมาก เจ้าเป็นบุรุษประเภทใด จึงต้องให้สตรีช่วยประคอง”

เซี่ยตันถอนหายใจแล้วกล่าว “ท่านก็เป็นบุรุษแข็งกระด้างเช่นนี้ จึงได้แต่ยืนทื่อให้สตรีไปรุมล้อมเช่นนั้น ท่านที่จริงสมควรเลียนเยี่ยงข้าพเจ้า มีมารยาสักเล็กน้อย ข้าพเจ้ารับรอง ความหล่อเหลาของท่านบางทียังร้ายกาจกว่าดาบของท่านอีก”

“เรามิใช่คนประเภทที่ชมชอบใช้มารยาต่อหน้าสตรีเหมือนดั่งเจ้า ถ้อยคำไร้สาระพวกนี้ เจ้าก็เก็บไว้บอกตัวเองเถิด”

เซี่ยตันหันไปจับแขนนาง แล้วถาม “ชิงเจี๋ยเจี่ย ท่านดูฉือเกอเกอของข้าพเจ้า ปากคอเราะร้ายเช่นนี้ ที่ข้าพเจ้าหัวร่อไปเมื่อครู่ ตอนนี้น่ากลัวต้องหลั่งน้ำตาแล้ว”

จ้าวฉือปรบมือฉาดแล้วกล่าว “เรากำลังกระหายน้ำอยู่ทีเดียว ได้ดื่มน้ำตาของเจ้าสักแก้วต้องชื่นใจที่สุด”

เซี่ยตันทอดถอนใจเป็นการใหญ่ จูกู่เหนียงเห็นดังนั้นก็หันมาประสานมือ น้อมกายชดช้อยต่อหน้าจ้าวฉือแล้วกล่าว “ข้าพเจ้ามีนามลี่ชิง”

“ลี่ชิง?” จ้าวฉือทวนคำ คล้ายไม่คิดว่านางจะหันมากล่าวกับตน เซี่ยตันจึงรีบส่งเสียง

“ท่านไฉนไม่แนะนำตัวต่อนางเล่า?”

จ้าวฉืองงงันไปวูบหนึ่งก็รีบกล่าว “ข้าพเจ้าเรียกจ้าวฉือ”

ลี่ชิงแย้มยิ้มแล้วกล่าว “จ้าวต้าหาว ข้าพเจ้าจะรินน้ำชาให้ท่าน”

นางจึงนั่งลงหยิบจอกชาอันประณีตวางลงตรงหน้าจ้าวฉือแล้วรินน้ำชาจากกาลงไป แสงจากโคมส่องให้เห็นใบหน้าอันผุดผาดของนาง จ้าวฉือเมื่อมองแล้วก็อดรู้สึกใจเต้นมิได้

สตรีนางนี้เป็นสตรีที่งดงามอย่างสมบูรณ์ และมิใช่สตรีเยาว์วัย อายุอย่างน้อยต้องสักยี่สิบเศษ ทั้งเรียวแขนอันกลมกลึงและช่วงคอที่ผอมระหงของนาง ช่างดูน่าทะทุถนอมเสียนี่กระไร จ้าวฉือถึงกับทอดถอนใจเสียงยาว จนนางอดมิได้ต้องเงยหน้าขึ้นกล่าว

“ท่านมิพอใจน้ำชา?”

“มิได้ ข้าพเจ้าเพียงคิด สตรีงามดั่งเช่นท่าน ไฉนจึงได้มาจับเจ่าอยู่ในสถานที่เช่นนี้ได้”

ลี่ชิงจึงตอบ “ชะตาชีวิตของผู้คนมีหลากหลาย ข้าพเจ้าตอนนี้อยู่ที่นี่ก็มีความสุขสบายดี ขอบคุณจ้าวต้าหาวที่ห่วงใย”

“เราไม่...”

“นี่...” เซี่ยตันส่งเสียงแทรกขึ้นมา “ฝีมือการเล่นผีผาของชิงเจี๋ยเจี่ยนับว่าเยี่ยมยอดหาตัวจับยาก ท่านก็เล่นให้ฉือเกอของข้าพเจ้าฟังระหว่างรับประทานอาหารเป็นไร”

ลี่ชิงค้อมศีรษะเป็นเชิงรับทราบ ทว่านางยังมิทันได้ลุกออกก็ถูกจ้าวฉือฉวยมือไว้ “มิต้อง”

นางมองมันด้วยความงงงัน กล่าวขึ้น “ท่านมิชื่นชอบฟังผีผา?”

จ้าวฉือนิ่งไปอึดใจก็กล่าว “ข้าพเจ้าที่จริงไม่รู้จักด้วยซ้ำว่าผีผาคือสิ่งใด แต่... คืนนี้ท่านมิต้องลำบากตรากตรำกระทำเรื่องพวกนี้”

“ข้าพเจ้าบอกต่อท่าน” เซี่ยตันส่งเสียงอีก “ผีผาเป็นเครื่องดนตรีชนิดหนึ่ง ชิงเจี๋ยเจี่ยก็มีความภาคภูมิใจในการเล่นเครื่องดนตรีชนิดนี้ ท่านมิฟังนางเล่น มิใช่เป็นการดูแคลนนางไป”

“อ้อ... ที่แท้เป็นเครื่องดนตรีนี่เอง”

ลี่ชิงหัวร่อออกมา “มิทราบจ้าวต้าหาวไปคิดถึงเรื่องใด”

จ้าวฉือจึงกระแอมไอกล่าว “มิได้คิดเรื่องใดทั้งนั้น ข้าพเจ้าเป็นคนหยาบ กำพืดต่ำ เรื่องราวชั้นสูงดั่งเช่นดนตรีข้าพเจ้าหามีความรู้ไม่ หากมิได้ลำบากกู่เหนียง ท่านก็เล่นเถิด”

ลี่ชิงผงกศีรษะแล้วหันไปหาเซี่ยตัน “เซี่ยกงจื่อ ท่านก็รับประทานอาหารได้แล้วกระมัง”

“อืม... ในเมื่อมันมาแล้ว ข้าพเจ้าก็สามารถรับประทานลงไปได้”

จ้าวฉือหันไปมองมันแล้วกล่าว “เจ้ายังมิได้รับประทานอาหารอีก?”

“แน่นอน ข้าพเจ้าก็รอท่านมาอยู่”

“เจ้าไฉนแน่ใจว่าเราต้องมาแน่”

เซี่ยตันแย้มยิ้มแล้วกล่าว “เพราะท่านมิใช่คนหลงลืมง่ายดาย และมิใช่คนไม่รักษาสัจจะ ข้าพเจ้าก็มิได้คบหาสหายผิดไป”

“เฮอะ”

...........................................

สุราอาหารถูกยกเข้ามาแล้ว อาหารก็เป็นอาหารชั้นเลิศ สุราก็เป็นสุราไผ่เขียวอันละมุน เซี่ยตันกับจ้าวฉือนั่งตรงข้าม คีบกับใส่ปากไปพลาง พูดคุยกันไปพลาง โดยมีเสียงบรรเลงผีผาของลี่ชิงเคล้าคลอบรรยากาศ

“เป็นอย่างไร ท่านได้จูงมือขอทานน้อยผู้นั้นไปยังสำนักศึกษาซีหมิงเรียบร้อยแล้วหรือไม่?”

“เรามิได้จูงมือมันไป เพียงแต่ลอบสังเกตมันอยู่ห่างๆ ”

“อ้อ... ท่านไฉนไม่เข้าไปจูงมือมันเลยเล่า?”

“เนื่องเพราะเราเองก็ต้องการทราบ มันจะเชื่อฟังวาจาที่เจ้ากล่าวหรือไม่?”

“ฮ่าๆ แล้วผลเป็นเช่นไร”

“มันได้ทำตามที่เจ้าบอกต่อมันไว้ครบถ้วนทุกประการ แต่หากมิใช่เราติดตามไป มันน่ากลัวต้องถูกคนที่ร้านฝูหยุนจับโบยไปแล้ว”

เซี่ยตันเบิ่งตากว้างด้วยความประหลาดใจ “ไฉนคนที่นั่นต้องจับมันโบย?”

“เนื่องเพราะมันมีสภาพขอทานอยู่ชัดๆ กลับสามารถมีเงินแท่งขาวอยู่ในมือได้ คนที่ร้านก็เข้าใจว่ามันไปลักขโมยมา เตรียมลงโทษให้มันหลาบจำ ดังนั้นเราจึงต้องออกหน้าไปรับว่าเป็นสหายของเราผู้หนึ่งมอบเงินนี้ให้แก่มัน ยังใช้ให้เราติดตามมาดูว่ามันนำไปใช้จ่ายอย่างไร คนพวกนั้นจึงพอจะเข้าใจเรื่องราว”

“ต้องขอบคุณท่านที่กระทำการรอบคอบ นี่นับว่าข้าพเจ้าคำนวณพลาดไปมากจริงๆ ข้าพเจ้าเพียงคิดว่าในเมื่อข้าพเจ้าหลอกล่อมันด้วยเงินสิบตำลึง ข้าพเจ้าก็สมควรจะจ่ายให้มันตามที่ข้าพเจ้าได้กล่าว ยังคิดว่ามันอาจจะถูกขอทานด้วยกันปล้นชิงเงินไปเสียก่อน แต่มิคิดว่ามันจะถูกคนที่ร้านฝูหยุนเข้าใจผิดได้ ข้าพเจ้าจะจดจำเรื่องนี้ไว้เป็นบทเรียน”

จ้าวฉือหรี่ตามองมันแล้วกล่าว “ร้านขายเสื้อผ้ามีตั้งมากมาย เจ้ากลับระบุให้มันไปที่ร้านนี้ เราที่จริงคิดว่าเป็นแผนกลั่นแกล้งคนของเจ้าเสียอีก”

“ข้าพเจ้าไหนเลยต้องหาเรื่องไปกลั่นแกล้งขอทานน้อยผู้นั้น ที่ข้าพเจ้าแนะนำร้านฝูหยุน เพราะเป็นร้านใหญ่ มีเสื้อผ้าหลากหลาย ล้วนแต่มีคุณภาพดีเหมาะสมแก่ราคาทั้งสิ้น”

“หรือนี่เป็นกิจการส่วนหนึ่งของเจ้าด้วย”

เซี่ยตันหัวร่อพลางกล่าว “จะใช่ได้อย่างไร ข้าพเจ้าเพิ่งมาลั่วหยางเป็นครั้งแรก มาครั้งแรกจะเปิดกิจการอันใดได้ เพราะข้าพเจ้าได้ไปซื้อเสื้อผ้าที่ร้านนั้นมา จึงทราบรายละเอียดดอก”

“อ้อ...”

เซี่ยตันคีบกับเข้าปากอีกคำก็ชวนเปลี่ยนเรื่อง “ท่านว่า... ฝีมือเล่นผีผาของลี่ชิงเจี๋ยเจี่ยเป็นอย่างไร ไพเราะพอเข้าหูของท่านบ้างหรือไม่?”

(มีต่อ)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1051
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
จ้าวฉือขมวดคิ้วแล้วกล่าว “นี่เรากลับต้องการถาม เจ้าหมกอยู่ที่นี่ครึ่งค่อนวัน เพียงฟังนางเล่นดนตรีเท่านั้น?”

เซี่ยตันผงกศีรษะ “ใช่แล้ว ฝีมือเล่นผีผาของลี่ชิงเจี๋ยเจี่ยนับว่าสมคำร่ำลือจริงๆ ข้าพเจ้าฟังไปก็เคลิบเคลิ้มเป็นที่สุด”

“ไหนนางบอกเจ้าเอาแต่เดินวนเข้าวนออก เจ้าตั้งใจฟังดนตรีของนางหรือไม่กันแน่”

“ข้าพเจ้าก็ตั้งใจอยู่ ตั้งใจฟังจนหลับไปงีบหนึ่ง ตื่นมายังมิเห็นแม้แต่เงาของท่าน ข้าพเจ้าก็ต้องเดินออกไปดู ดูแล้วยังมิเห็นท่านโผล่ศีรษะมา ข้าพเจ้าก็เข้ามาฟังดนตรีของนางต่อ”

จ้าวฉือมองมันอยู่อึดใจใหญ่ๆ ก็ส่งเสียงออกมา “ลี่ชิงกู่เหนียง ท่านหยุดเล่นแล้วมานั่งสนทนากับพวกเราสักครู่จะได้หรือไม่?”

ลี่ชิงหยุดเล่นผีผา เดินชดช้อยมานั่งร่วมโต๊ะกับบุรุษหนุ่มทั้งสอง กล่าวด้วยเสียงอันสดใส “มิทราบต้าหาวต้องการสนทนาเรื่องใดกับข้าพเจ้า”

“ย่อมเป็นเรื่องของเสี่ยวหูลี่ตัวนี้เอง มันว่าตลอดเย็นก็ตั้งใจฟังท่านเล่นผีผา เรากลับรู้สึกว่ามันต้องมิได้ตั้งใจฟังปานนั้น”

“เซี่ยกงจื่อตั้งใจฟังจริงๆ ยังช่วยแนะนำวิธีการเล่นให้ข้าพเจ้าอีกด้วย”

“แนะนำวิธีการเล่น? หรือมันก็เล่นผีผาเป็น?”

เซี่ยตันส่งเสียงออกมา “ชิงเจี๋ยเจี่ย เรื่องราวนี้ท่านที่จริงก็ไม่ควรจะไปบอกต่อมันเลย อย่างไรฝีมือผีผาของท่านก็ยอดเยี่ยมมากอยู่แล้ว ข้าพเจ้าเพียงช่วยส่งเสริมเท่านั้น”

“เซี่ยกงจื่ออายุเยาว์แต่มีพรสวรรค์ทางดนตรีอันเยี่ยมยอด ได้ให้คำแนะนำแก่ลี่ชิง ลี่ชิงไหนเลยจะละเลยไม่กล่าวถึงความดีของท่านไปได้”

จ้าวฉือจึงว่า “ในเมื่อเจ้าเล่นผีผาเป็น ไหนลองไปดีดให้เราฟังสักเพลงหนึ่ง”

เซี่ยตันจ้องมันเขม็ง “ท่านกล้าใช้ข้าพเจ้าไปดีดผีผา?”

“เป็นไร หรือเจ้าดีดไม่เป็น?”

“ข้าพเจ้าย่อมดีดเป็น แต่ให้ดีดผีผาให้ท่านฟังที่นี่... เฮอะ ข้าพเจ้าสอนท่านดีดผีผายังดีกว่า”

“เจ้ามิยินยอมดีดผีผาให้เราฟัง กลับตั้งใจฝึกสอนเราเล่นผีผา นี่เป็นความคิดพิสดารใดอีก?”

เซี่ยตันพลันถอนหายใจออกมายืดยาว “ฉือเกอเกอ ข้าพเจ้ารอท่านมาฟังดนตรีอันยอดเยี่ยมของชิงเจี๋ยเจี่ย ท่านมิตั้งใจฟังยังพอทำเนา นี่มาใช้ให้ข้าพเจ้าเล่นผีผาแทนนาง หรือต้องให้ข้าพเจ้าอบรมมารยาทท่านด้วย?”

ครั้งนี้จ้าวฉือถึงกับไม่มีโทสะ ยิ้มเล็กน้อยกล่าวสืบต่อ “นับว่าเราไร้มารยาทเองจริงๆ” หันไปหาลี่ชิงแล้วกล่าว “จ้าวฉือก็ขออภัยต่อท่านด้วย”

“มิเป็นไรๆ ลี่ชิงมีหน้าที่สร้างความบันเทิงให้พวกท่าน ไหนเลยจะมารับคำขออภัยจากพวกท่านได้”

“ในเมื่อลี่ชิงกู่เหนียงเล่นผีผาได้อย่างยอดเยี่ยม เราก็มิควรจะเสียมารยาทให้เจ้าเล่นผีผาแทนนาง แต่เราใคร่อยากฟังดนตรีของเจ้า และคิดว่าลี่ชิงกู่เหนียงต้องใคร่อยากฟังด้วย เจ้ายังมีความสามารถเล่นเครื่องดนตรีชนิดอื่นได้อีกหรือไม่ ในฐานะสหาย ก็ช่วยสงเคราะห์เราสักคราหนึ่ง มิแน่เรื่องที่เคยคุยกันไว้ เราอาจจะนำไปพิจารณาดูอีกที”

เซี่ยตันพลันยืดอกขึ้น แสร้งทำเป็นชะโงกหน้ามองมัน แล้วส่งเสียงขึ้นจมูก “ฉือเกอ ในเมื่อท่านกล่าวถึงเพียงนี้ ข้าพเจ้าไหนเลยจะรานน้ำใจไม่ฟังคำอ้อนวอนของท่านได้ ลี่ชิงเจี๋ยเจี่ย ท่านพอจะหากู่เจิงให้ข้าพเจ้าได้สักตัวหรือไม่?”

ลี่ชิงผงกศีรษะ และส่งเสียงบอกยาโถวรับใช้ของนาง ไม่นานกู่เจิงตัวหนึ่งก็ถูกลำเลียงมาที่ห้อง เซี่ยตันนั่งลงแล้วปรับสายทดลองเสียงอยู่อึดใจ ก็เริ่มบรรเลงเพลง

จ้าวฉือก็เพิ่งเคยฟังทั้งกู่เจิงและผีผาเป็นคราแรก รู้สึกเสียงกู่เจิงนั้นฟังดูซับซ้อนพิสดาร ทั้งท่วงท่าการบรรเลงก็ดูสง่างาม มันถึงกับชมดูอย่างเพลิดเพลิน ลืมเลือนเรื่องราวรอบตัวไปหมดสิ้น กระทั่งเซี่ยตันบรรเลงจนจบ มันก็ส่งเสียงขึ้นมา

“ไฉนหยุดไปเล่า?”

เซี่ยตันเงยหน้าขึ้นจ้องมัน “ท่านต้องการฟังต่ออีก?”

จ้าวฉือผงกศีรษะ “ท่วงทำนองนี้ของเจ้าไม่เลว นับว่าเปิดหูเปิดตาเราที่รู้จักแต่ทำนองเพลงชาวเรือเป็นยิ่งนัก”

ลี่ชิงเห็นดังนั้นก็แย้มยิ้มแล้วกล่าวขึ้น “ฝีมือเล่นกู่เจิงของเซี่ยกงจื่อมิธรรมดาเลยจริงๆ ท่านเล่นเพลงเงาสะท้อนแห่งชิวเทียนได้ประณีตซับซ้อนกว่าผู้ใดที่ข้าพเจ้าเคยได้ยินได้ฟัง จ้าวต้าหาวเองก็ถูกท่วงทำนองของท่านดึงดูดจนมิได้วอกแวกต่อสิ่งใดเลย”

สองแก้มของเซี่ยตันแดงเรื่อ หัวร่อออกมาอย่างกระดากเล็กน้อย “เยินยอกันเกินไปแล้ว ข้าพเจ้าก็เพียงแต่พอเล่นให้มีเสียงได้ ไม่รบกวนโสตผู้อื่นเท่านั้น”

“เซี่ยกงจื่ออย่าได้ถ่อมตัวเช่นนี้ มิเช่นนั้นก็เป็นลี่ชิงที่ต้องละอายในฝีมือของตัวเองแล้ว”

“ไฮ้ๆ ท่านมีที่ใดต้องละอาย ฝีมือผีผาของท่านก็เยี่ยมยอด ตัวท่านเองก็งดงามอย่างยิ่ง เมื่อท่านดีดผีผา ดวงตาของข้าพเจ้าไหนเลยจะไปจับจ้องสิ่งใดได้อีก”

ลี่ชิงหัวร่อแล้วกล่าว “ความสามารถในการเยินยอผู้คนของเซี่ยกงจื่อก็ไม่เลวจริงๆ ข้าพเจ้าจะลืมเรื่องที่ท่านเดินเข้าเดินออกไปแล้วกัน”

สองแก้มของเซี่ยตันแดงเรื่อกว่าเดิม รีบลุกขึ้นเดินมานั่งที่โต๊ะอาหาร แล้วยกมือประคองมืออันนุ่มนิ่มของลี่ชิงเอาไว้

“ข้าพเจ้านับว่าผิดต่อท่านมากจริงๆ พรุ่งนี้ข้าพเจ้าขอแก้ตัวใหม่ จะมิให้สิ่งใดมารบกวนระหว่างพวกเราอีก”

จ้าวฉือหรี่ตามองมันแล้วกล่าว “เสี่ยวหูลี่ มิต้องเพียรพยายามทำตัวเป็นกงจื่อกรุ้มกริ่มตอนนี้ เรามองตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ก็เห็นเจ้าเป็นเพียงเด็กทารกเล่นซนผู้หนึ่ง”

เซี่ยตันหันไปถลึงตาใส่มันแล้วกล่าว “ท่านจึงเป็นบุรุษที่หัวทื่อโดยสมบูรณ์แบบ”

จ้าวฉือจึงกล่าว “เรื่องราวระหว่างบุรุษสตรี มิใช่เราไม่รู้ความ เราพอใจเมื่อใด เราก็ไปสรรหามาเองได้ เจ้ามิต้องเสียเวลาเป็นธุระจัดการ”

เซี่ยตันพลันไอแค่กๆ ออกมา ขณะที่ลี่ชิงแย้มยิ้มเล็กน้อย แล้วกล่าว “ข้าพเจ้ารินสุราให้พวกท่านแล้วกัน”

จ้าวฉือยกจอกสุราไปทางลี่ชิง แล้วกล่าว “ลี่ชิงกู่เหนียง ข้าพเจ้าเป็นคนหยาบมิรู้จักเรื่องละเอียดอ่อน แต่ก็ทราบว่าท่านเป็นสตรีงามที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถ วันนี้มีวาสนาได้มาฟังท่านเล่นผีผา ยังได้ร่วมดื่มกับท่าน ถือเป็นโชคของข้าพเจ้าแล้ว”

ลี่ชิงแย้มยิ้มออกมา ขณะที่เซี่ยตันเชิดปากขึ้นน้อยๆ แล้วส่งเสียง “เฮอะ ฉือเกอก็รู้จักเยินยอผู้คนเป็นด้วย”

จ้าวฉือหันไปทางมันแล้วกล่าว “ส่วนเจ้า ก็มาดื่มด้วยกัน ในฐานะกงจื่อน้อยมือเติบ ปรนเปรอเราอย่างสะดวกสบายเช่นนี้ เรามีแต่ต้องคว่ำให้เจ้าสามจอกแล้ว”

เซี่ยตันฉวยจอกมาแล้วกล่าว “ท่านคว่ำสามข้าพเจ้าคว่ำห้า สุราก็เป็นข้าพเจ้าออกทุนทรัพย์ มิปล่อยให้ท่านดื่มเอาๆ อยู่ถ่ายเดียวเป็นอันขาด”

...............................

บนฟ้าไร้ดวงจันทร์ มีเพียงดารากระจ่างแสงส่องสกาวอยู่ บนทางเดินหินตัดไปยังสวนด้านหลังของหอหมิงเย่ว์สว่างไสวด้วยแสงโคม เสียงดนตรีและเสียงหัวร่อต่อกระซิกเงียบลงแล้ว เหลือเพียงความเงียบสงัดของยามวิกาล และสายลมเย็นเยือกที่พัดผ่านมา

ทั้งเซี่ยตันและจ้าวฉือเมื่อดื่มสุราฟังดนตรีกันจนเป็นที่พอใจแล้ว ก็พากันออกมาจากห้องของลี่ชิง ตอนนี้พวกมันทั้งคู่จึงเดินเคียงกันอยู่บนทางศิลา มุ่งหน้าไปยังห้องพักที่เช่าไว้ด้านหลัง

“ข้าพเจ้าคืนนี้นับว่ากระทำเรื่องโง่เขลาต่อหน้าท่านไปแล้วจริงๆ”

จ้าวฉือมองมันด้วยความสงสัย ส่งเสียงถามกลับ “เรื่องใด?”

เซี่ยตันเงยหน้าขึ้นมองดาราบนท้องฟ้า ตอบคำ “เดิมทีข้าพเจ้าคิดว่า เมื่อท่านได้พบลี่ชิงกู่เหนียง ท่านจะนึกขอบคุณข้าพเจ้าที่มอบโอกาส อย่างน้อยก็ต้องซาบซึ้งในน้ำใจของข้าพเจ้าบ้าง ท่านแสดงว่ามิแยแสสนใจ ข้าพเจ้าก็เข้าใจว่าท่านแสร้งทำเป็นโง่งม เพราะเกรงจะตกหลุมพรางของข้าพเจ้า แต่กลับกลายเป็นท่านมิมีความสนใจในตัวนางเลยจริงๆ แผนที่ข้าพเจ้าบรรจงวางไว้ ก็กลายเป็นธาตุอากาศไป”

จ้าวฉือถึงกับหัวร่อออกมาคำหนึ่ง “เจ้ามิใช่สนุกสนานมากหรือในตอนแรก ที่เห็นเราถูกสตรีเหล่านั้นรุมล้อมเอาไว้ เจ้าสมควรตระหนักได้แต่แรก หากเรามักมากเรื่องอิสตรี ก็ย่อมมิแจกจ่ายทรัพย์สินให้ผู้อื่นจนหมดตัวเช่นนี้”

“ข้าพเจ้าก็ทราบว่าท่านมิใช่เป็นคนมักมากเรื่องนี้ แต่ว่า... กระทั่งสตรีอย่างลี่ชิงกู่เหนียง ก็ยังมิอาจโยกคลอนจิตใจท่านได้ นี่นับเป็นเรื่องเหนือคาดหมายของข้าพเจ้าจริงๆ”

“เจ้าคิดใช้นางมาพัวพันเราให้รับปากเรื่องร่วมเดินทางกับเจ้ากระมัง”

“อืม”

“เจ้าคิดบ้างหรือไม่ หากเราเกิดหลงใหลในตัวนาง ไหนเลยจะเดินทางไปกับเจ้าได้อีก”

“เมื่อท่านหลงใหลในตัวนาง มิว่านางวิงวอนสิ่งใดท่านต้องกระทำให้นาง ข้าพเจ้าก็ให้นางวิงวอนท่านให้ไปกับข้าพเจ้า... หรือท่านจะไม่รับปากนางได้?”

“เราอาจรับปากนาง แต่การเดินทางนี้ต้องมิใช่การเดินทางที่สนุกสนาน เราไหนเลยจะไปกับเจ้าในฐานะสหาย ก็เพียงแต่ไปเพื่อเอาใจนางเท่านั้น” หยุดครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ “หรือเจ้าที่จริงมิใช่ต้องการสหายร่วมเดินทาง เพียงแต่ต้องการเอาชนะเราเท่านั้น”

เซี่ยตันทอดถอนใจยืดยาว “เดิมทีข้าพเจ้าก็อยากได้ท่านเป็นสหายร่วมเดินทาง แต่มิว่าทำประการใดท่านก็ไม่ใจอ่อนรับปากข้าพเจ้าเสียที ข้าพเจ้าก็เข้าใจว่า เมื่อท่านเกิดความรักอันลึกซึ้งขึ้นมา อาจจะสำนึกถึงข้าพเจ้าได้บ้าง”

จ้าวฉือคลี่ยิ้มแล้วกล่าว “เจ้าเข้าใจว่าเราเมื่อพบหน้านางก็จะบังเกิดความรักลึกซึ้งขึ้นมาได้ทันที? คนเราเพิ่งพบหน้ากัน ไหนเลยจะเกิดความรักลึกซึ้งขึ้นมาได้ นี่เป็นเพียงเรื่องราวเพ้อฝันที่กวีเขียนเอาไว้เท่านั้น”

เซี่ยตันก้มหน้ามองพื้น ส่งเสียงละห้อย “ก็จริงของท่าน ข้าพเจ้าเพิ่งพบท่านได้เพียงไม่กี่วัน ไหนเลยจะสามารถสร้างไมตรีอันลึกซึ้งต่อท่านได้... แต่ว่า... คนเราหากละความพยายาม ไหนเลยจะได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ” กล่าวถึงตรงนี้ ดวงตาของเซี่ยตันก็พลันเป็นประกายสุกใสขึ้นมา “พรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะก่อกวนไปพบท่านอีก ข้าพเจ้าจะตามตอแยท่านจนกว่าท่านจะรับปากไปกับข้าพเจ้า”

จ้าวฉือเห็นแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ กล่าวตอบ “เจ้าก็มิยอมเลิกราโดยง่ายดั่งที่เราคาดไว้จริงๆ ดังนั้น เพื่อมิให้เจ้าตามตอแยจนเราปวดศีรษะตายไป เราก็เตรียมจะรับปากต่อเจ้าแล้ว”

“ท่านจะรับปากร่วมเดินทางไปกับข้าพเจ้าแล้ว?!”

“อืม... แต่เรามิได้รับปากเพราะจนต่อแผนการของเจ้า เพียงแต่เรามีความกังวลว่า หากปล่อยให้เจ้าเดินทางเพียงลำพัง เจ้าจะกลายเป็นตัวหายนะน้อยที่สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้ผู้อื่นโดยมิมีผู้ใดควบคุม ดังนั้นเราก็เตรียมจะสละตัวเองเพื่อรักษาสันติสุขให้กับแผ่นดิน”

เซี่ยตันหัวร่อฮิฮะแล้วกล่าว “ข้าพเจ้ารับรองว่าอนุชนรุ่นหลังจะต้องสรรเสริญเยินยอวีรกรรมนี้ของท่านตราบชั่วฟ้าดินสลาย”

จ้าวฉือผงกศีรษะแล้วกล่าว “ดังนั้น คืนนี้เจ้าก็ไปนอนได้ เมื่อเจ้าเตรียมจะออกเดินทางเมื่อไร เราจะเป็นฝ่ายมาหาเจ้าเอง”

“ตกลง ข้าพเจ้าเชื่อถือวาจาของท่าน”

แต่ยังมิทันที่จ้าวฉือจะหันหลังกลับ เซี่ยตันก็รีบฉวยมือมันเอาไว้ แล้วขยับมากระซิบ “ท่านได้ยินเสียงเหล่านั้นหรือไม่?”

จ้าวฉือเงี่ยหูฟัง ก็ได้ยินเสียงคล้ายเสียงครวญครางปะปนกับเสียงหอบหายใจดังแว่วมา เซี่ยตันกระตุกมือมันอีกครั้งแล้วกระซิบกล่าว “เสียงมาจากทางนั้น พวกเราไปดูกัน”

จ้าวฉือถึงกับยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นมิขยับไปไหน จนเซี่ยตันต้องหันมากล่าว “ท่านไฉนยืนเป็นตอไม้เช่นนี้ ข้าพเจ้าว่า ที่ห้องนั้นต้องมีเหตุสยดสยองเกิดขึ้น”

จ้าวฉือเบิ่งตามองมัน ส่งเสียงถาม “เหตุสยดสยอง?”

“ถูกต้อง หรือท่านมิได้ยิน ต้องเป็นบุรุษลงมือต่ออิสตรีอย่างทารุณ นางถึงได้ส่งเสียงทุรนทุรายเช่นนั้นออกมา”

จ้าวฉือหัวร่อเสียงดังพรืด รีบลากมือเซี่ยตันกลับไปที่ห้องพัก ฝ่ายถูกลากมือก็ยื้อยุดเอาไว้มิยอมตามไปง่ายๆ

“ท่านไฉนต้องหัวร่อเช่นนั้น หรือท่านเห็นดีเห็นงามกับการที่บุรุษรังแกสตรี?”

“เสี่ยวหูลี่เอ๋ยเสี่ยวหูลี่” จ้าวฉือครางออกมา “เป็นเจ้าโง่งมจริงๆ หรือแสร้งทำเป็นโง่งมกันแน่”

เซี่ยตันถลึงตามองมัน “ท่านว่าข้าพเจ้าโง่งม?”

“อืม”

“โง่งมที่ใด ข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงอยู่ชัดๆ”

จ้าวฉือจึงถอนหายใจ ส่งเสียงตอบไป “ได้ งั้นพวกเราไปดูกัน”

กล่าวจบมันก็ลากมือเซี่ยตันไปหลบใต้กรอบหน้าต่างอันเป็นที่มาของเสียงดังกล่าว ใช้นิ้วจุ่มน้ำลาย เจาะรูเล็กๆ ที่กระดาษบุหน้าต่างขึ้นมารูหนึ่ง แล้วลอบมองเข้าไปด้านใน

“ไหน ขอข้าพเจ้าดูด้วย” เซี่ยตันส่งเสียงกระซิบแล้วเบียดศีรษะเพื่อหามุมมองเข้าไปด้านในบ้าง จ้าวฉือได้ยินดังนั้นก็ใช้มือผลักศีรษะมันออก แล้วกระซิบเสียงขุ่น

“เสี่ยวหูลี่...”

เซี่ยตันเบิ่งนัยน์ตากลมกว้าง ตีสีหน้าไร้เดียงสาใส่มัน แล้วตอบ “หรือท่านไม่เห็นว่ามีสตรีถูกทารุณอยู่?

“เจ้าแน่ใจว่าในนั้นมีสตรีกำลังถูกทารุณอยู่แน่นอน”

“อื้อ”

“เมื่อครู่น้ำเสียงเจ้ามิคล้ายห่วงใยว่านางกำลังถูกทารุณอยู่แม้แต่น้อยนิด”

“ข้าพเจ้าก็เป็นห่วงนางจริงๆ แต่ข้าพเจ้าต้องดูให้แน่ใจว่านางถูกทารุณเช่นใด” กล่าวจบก็รีบชะโงกหน้าไปส่องดูในรูที่เจาะไว้ ดูอยู่เป็นครึ่งค่อนวันก็กลับลงมาทรุดตัวลงนั่ง มิกล่าววาจาใดอีก จนจ้าวฉือต้องกระซิบต่อ

“เป็นไร หรือเห็นว่านางถูกทารุณโหดร้ายเกินไป”

เซี่ยตันยังคงนิ่งเงียบไปเป็นค่อนวัน จึงค่อยกล่าววาจาออกมาได้ “นั่นมิใช่สตรี... แต่เป็นบุรุษ”

จ้าวฉือถึงกับต้องชะโงกไปดูบ้าง ดูอยู่อีกครึ่งค่อนวัน ก็ทรุดตัวลงนั่งข้างเซี่ยตัน พึมพำออกมา “เป็นบุรุษคู่หนึ่งจริงๆ”

จากนั้นทั้งสองก็นั่งเงียบอยู่เช่นนั้นมิมีใครกล่าววาจาใดอีก จู่ๆ เซี่ยตันก็ฉวยมือมันไว้ แล้วส่งเสียงกระซิบ “พวกเราไปกัน”

“ไปที่ใด”

“ห้องข้าพเจ้า”

..............................................
(จบตอน)

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด