Born Again, กำเนิดใหม่อีกครั้ง
“ค้นหาพิกัด” อารยะออกคำสั่งเครื่องมือค้นหาตำแหน่ง ที่ถูกดัดแปลงเพื่อให้สามารถค้นหาและจดจำใบหน้าของเป้าหมายได้ หน้าจอของเครื่องค้นหา ระบุว่าเป้าหมายที่เขาต้องการนั้น อยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ร้อยเมตรเท่านั้น “มันจะได้ผลหรือ” เสียงถามดังมาจากหูฟังที่ถูกฝังเข้ากับระบบประสาทการรับเสียง
“แปลกที่คราวนี้ ระบบสื่อสารดูคงที่ ราบรื่นกว่าครั้งก่อน ๆ” อารยะพูดกลับไปที่อีกฝั่ง “อาจจะเป็นไปได้ว่า เหมือนกับคำพูดของคนในภาคนี้ชอบพูดกัน” อารยะเผยยิ้มน้อย ๆ ออกมา เมื่อเป้าหมายที่ต้องการ เคลื่อนเข้ามาในระยะที่ต้องการ “ฟ้าฝนเป็นใจงั้นหรือ” ที่อีกฝั่งพูดขึ้นเหมือนกับจะให้อารยะยืนยันให้
“เปล่า” อารยะตอบกลับไป เมื่อกำลังจะเดินถึงเป้าหมาย “อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดต่างหาก” อารยะพูดขึ้นต่อหน้าชายหนุ่มอีกคน ที่ตอนนี้กำลังทำหน้าตกใจอย่างที่สุด “ฮะ” ปลายสายอีกฝั่งร้องเสียงหลง ไม่เข้าใจความหมายของอารยะ “ถึงเวลากลับไปในภาคของคุณเสียที หมดเวลาเล่นสนุกแล้ว” อารยะสวมสายรัดข้อมือให้ชายหนุ่มคนนั้น
“ไม่ใช่ว่าผมไม่หาทางกลับไปยังโลกของผม แต่สถานที่แห่งนี้ ผมหมายถึง” ชายหนุ่มทำลดเสียงลง เหมือนกับกลัวว่าจะมีอะไรหรือใครได้ยินที่เขาพูด “มาเธอร์เอิร์ธ จะไม่ยอม” อารยะได้ยินแบบนั้นก็ทำหน้าเซ็ง “ป๊ากลับไปกลัวแม่เหมือนเดิมจะดีกว่า” ชายหนุ่มคนนั้นขมวดคิ้ว “ป๊า” ร้องถามออกมา “ผมจะเป็นป๊าใครได้ ผมเพิ่งอายุสิบแปดเท่านั้นเอง” อารยะทำหน้าเอือมกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน
“เดี๋ยวก็รู้” อยู่ ๆ ท้องฟ้าที่ดูสดใสเมื่อสักครู่ กลับเริ่มมีเมฆฝนเคลื่อนมาปกคลุม “คงจะเริ่มรู้ตัวแล้ว ส่งคลื่นรบกวน” ที่ปลายสายอีกฝั่งส่งเสียงรับคำมาตามสาย “เป็นไงเป็นกัน” อารยะสวมแจ็คเก็ตสีเงินให้กับชายหนุ่ม “เผื่อวาร์ปไปแล้ว โผล่ไปที่อีกฝั่งไม่พร้อมกัน จะได้ห่อเอาไว้ให้ร่างครบ ๆ” ชายหนุ่มถึงกับทำหน้าเหวอ อารยะยักคิ้วแล้วยิ้มให้
“วิ่ง” อารยะออกคำสั่ง เมื่อฟ้าไกล ๆ มีสายฟ้าฟาดลงมาดังสนั่นกึกก้องไปหมด “วิ่งไปไหน” ปากถาม แต่ชายหนุ่มก็ออกวิ่งตามคำสั่งของอารยะอยู่ดี “เลี้ยวซ้ายที่ข้างหน้า” เสียงสั่งการผ่านมาทางหูฟัง “ไปทางซ้าย” ชายหนุ่มวิ่งไปตามคำสั่ง โดยมีอารยะวิ่งประกบข้าง “เราต้องไปที่ไหน บอกผมที” ชายหนุ่มที่อารยะเรียกว่าป๊าตะโกนถาม
“ข้ามสะพานไป” อารยะออกคำสั่ง ชายหนุ่มหน้าตั้ง วิ่งจนสุดกำลัง “ธง มองหาธงสีแดงที่ยอดตึก” อารยะเงยหน้ามองหาสิ่งที่ต้องการ และเมื่อเห็นแล้ว “ขอเวลาที่เหลือ ก่อนมาเธอร์เอิร์ธจะชัฟเฟิลเซิร์ฟเวอร์” อารยะถามกลับไปที่อีกฝั่ง “ขอเวลาคำนวณก่อน” เสียงตอบกลับมา “เราไม่มีเวลาคำนวณอะไรทั้งนั้น” อารยะมองขึ้นไปด้านบนตึกสูงเสียดฟ้านั้น ธงแดงผืนหนึ่งโบกสะบัดให้เห็น
“ขึ้นลิฟต์ใช่มั้ย” เสียงชายหนุ่มร้องถาม ก่อนจะทำหน้าบอกบุญไม่รับ เมื่อเห็นอารยะเอาเข็มขัดมารัดตัวของเขาเข้าไว้ด้วยกันกับเอวของอารยะ “นี่ถ้าแม่รู้ว่า ป๊าไม่ได้มีแต่งานในแล็บวิทยาศาสตร์ แต่ก็สามารถทำเรื่องอะไรสนุก ๆ กับคนอื่นเขาเป็นเหมือนกันนะ” อารยะยิ้มกว้าง เมื่อกดปุ่มในมือ แล้วสายไททาเนียมก็พุ่งออกไปด้วยความเร็วสูง ก่อนจะดึงให้ทั้งสองคนลอยตามขึ้นไป
“ว้าก” ชายหนุ่มตะโกนร้องดังลั่นไปด้วยความสะท้าน เมื่อในท้องของเขาเหมือนกับว่างเปล่า ไม่เหลือตับไตไส้พุงใด ๆ ทิ้งเอาไว้อีก “สองนาทีเท่านั้น” เสียงเตือนดังมาให้อารยะได้ยิน เมื่อทั้งชายหนุ่มและอารยะร่อนลงมาบนพื้นดาดฟ้า อารยะมองไปที่ธงสีแดง ที่ตอนนี้มีปากทางเข้าอะไรบางอย่าง ลอยให้เห็นอยู่ในอากาศ
“หนึ่งนาที” เสียงเตือนดังมาอีกครั้ง อารยะพาชายหนุ่มเดินมาหยุดอยู่ที่ด้านหน้าปากทางเข้า ที่มองเห็นแค่ความมืดพุ่งตัวเข้าไปด้านในเท่านั้น “เราจะไปด้วยกันใช่มั้ย” ชายหนุ่มเสียงสั่งถามอารยะ แทนคำตอบอารยะส่ายหน้า “กลับไปแล้ว ก็อย่าเพี้ยนพาตัวเองออกจากเรียล์มตัวเองอีก” อารยะดันหลังของชายหนุ่มให้ติดกับปากทางนั้น เสียงฟ้าด้านบนเกรี้ยวกราดอย่างน่ากลัว
“ฝากความคิดถึงของหนู ให้แม่ด้วยนะป๊า” อารยะได้พูดในสิ่งที่คิดมาตลอดทาง ที่มาที่ภาคนี้ “เดินทางปลอดภัย” อารยะน้ำตาคลอหน่วย “เมื่อป๊ากลับไปถึงที่ที่ป๊าจากมาแล้ว หนูในเวอร์ชันนี้ จะหายไป” อารยะผลักชายหนุ่มให้ทะลุผ่านเข้าไปในปากทางนั้น “แต่หวังว่า หนูเวอร์ชันใหม่ จะต้องดีขึ้น แน่นอน ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น” พูดจบ ปากทางแห่งนั้นก็ปิดตัวลง เสียงสายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมา แล้วภาพเบื้องหน้าของอารยะก็ค่อย ๆ ขาวโพลนขึ้น ก่อนที่สติรับรู้ของอารยะจะดับวูบลง
ภาคย์มองขึ้นไปบนเวทีในหอประชุม ที่ทุกคนกำลังจับจ้องสายตาไปที่ตรงนั้นเช่นกัน เสียงฮึมฮัมดังไปทั่วทั้งบริเวณ ต่างพากันพูดถึงการแสดงที่ถูกทางอธิการแบน ไม่ให้ขึ้นโชว์ ด้วยเหตุผลที่ว่า มันขัดกับนโยบายและความเรียบร้อยภายในสถานศึกษา แต่ทุกคนที่พากันเข้ามาในหอประชุม ต่างก็คาดหวังว่าจะได้เห็นเซอร์อะไรบางอย่าง ก่อนที่จะเริ่มมีความเคลื่อนไหวบนเวที
“การแสดงของปีนี้ หวังว่าจะดีเท่า ๆ หรือดีกว่าปีที่แล้วนะ” พ่อของภาคย์ที่เป็นสปอนเซอร์ใหญ่ในปีนี้ เอ่ยกับลูกชาย โดยมีภรรยานั่งอยู่อีกฝั่งของลูกชาย ยิ้มรับอย่างเงียบ ๆ ไม่มีปากเสียงอะไร “ดีแล้ว ที่แกไม่ได้ไปขึ้นแสดงโชว์อะไรบ้า ๆ นั่น ไม่อย่างนั้นได้ขายหน้าเขาไปทั่วแน่ ๆ” ภาคย์ได้แต่มองตรงขึ้นไปบนเวที ตรงที่เขาควรจะได้ขึ้นไปแสดงบนนั้น
“ฉันคิดว่าคุณจะลืมไปแล้ว” เสียงพูดถามขึ้น เมื่อเห็นว่าสามีของเธอ ที่ตอนนี้แยกกันอยู่ วิ่งกระหืดกระหอบมาแต่ไกล “งานนี้ผมลืมไม่ได้” แปลกที่วันนี้ เขาไปถึงที่แล็บแล้วแท้ ๆ แต่อะไรบางอย่างกลับทำให้เขารู้สึกว่า เขาคงต้องเลือกที่จะมาดูงานแสดงของลูกชาย มากกว่าที่จะหมกตัวอยู่ในแล็บ กับโปรเจ็กต์ที่เขารู้สึกสนใจและค้นคว้ามันมาตั้งแต่อายุสิบแปดปี “เราเข้าไปด้านในกันดีกว่า” ก่อนที่ทั้งสองคนจะพากันเดินเข้าไปหาที่นั่งของตัวเอง
“อธิการไม่อยู่” เสียงใครคนหนึ่งพูดขึ้น “ยังมาไม่ถึง” ผ้าม่านบนเวทีถูกดึงขึ้นไปด้านบน เสียงฮือดังขึ้นทั้งหอประชุม ก่อนที่จะมีเสียงกลองดังขึ้นเหมือนเป็นสัญญาณว่า การแสดงกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว “เฮ้ย โชว์ของไอ้แก้ว ไอแลนด์ และเร ที่ถูกอธิการสั่งห้ามไม่ให้ขึ้นโชว์นี่หว่า” ภาคย์ชะเง้อมองขึ้นไปบนเวทีในทันที ก่อนจะได้ยินเสียงกระแอมเตือนของผู้เป็นพ่อ
บนเวที ภาพบนจอด้านหลังเวที ปรากฏภาพของทั้งสามคน แก้ว ไอแลนด์ และเร ขึ้น ทำให้เสียงกรี๊ดในหอประชุมดังสนั่น แม่ของภาคย์ถึงกับต้องหันมองไปรอบ ๆ ก่อนจะมองเห็นผู้เป็นสามี ทำหน้าบอกบุญไม่รับ เพราะเป็นคนที่ออกคำสั่งไปทางอธิการ ว่าหากให้สามคนนี้ขึ้นแสดง ก็ถือว่าเงินสปอนเซอร์เป็นอันต้องถูกยกเลิก
ไฟสปอตไลท์ส่องไปบนเวที ไอแลนด์ยืนอยู่ในชุดรัดรูปสีดำ ผู้ชมด้านล่างต่างพากันส่งเสียงเชียร์ดังสนั่น เสียงกรี๊ด เสียงปรบมือ กระทืบเท้า ดังกระหึ่ม ภาคย์มองไอแลนด์ด้วยความตกตะลึง เขากลืนน้ำลายลงคอได้อย่างยากลำบาก เมื่อเห็นไอแลนด์เริ่มขยับปากร้องเพลง แล้วเคลื่อนไหวตัวไปตามท่วงทำนอง
“ลูกชายฉันไม่ได้เป็นพวกวิปริตผิดเพศแบบเธอ ก็ขอให้เข้าใจตรงกันตั้งแต่ตอนนี้ ว่าแม้แต่เป็นเพื่อนกัน ก็ไม่ได้ เพราะคนอย่างพวกเธอ มันไม่เป็นที่ยอมรับ” ภาคย์ยืนมองไอแลนด์ที่ตอนนี้ปล่อยให้น้ำตาไหลลงอาบแก้ม มันเป็นภาพที่สะเทือนใจเขาอย่างที่สุด ยิ่งคำพูดของพ่อที่พูดกับไอแลนด์ แฟนของเขาด้วยแล้ว มันยิ่งทำให้เขารู้สึกผิดต่อไอแลนด์อย่างที่สุด แม่ของภาคย์ทำได้แค่บีบมือของลูกชายของเธอเอาไว้ เพื่อให้กำลังใจ
สปอตไลท์ดับลง ก่อนจะฉายไปที่แก้ว ที่อยู่ในชุดราตรีสั้นสีทอง รูปร่างที่เพรียวบางเคลื่อนไหวท่าทางไปตามทำนองเพลงอย่างพลิ้วไหว การชม้ายชายตา บ่งบอกถึงความมั่นใจในตัวเอง ต่อให้ก่อนหน้านี้จะเกิดอะไรขึ้นกับเขาก็ตาม แต่เดอะ โชว์ มัส โก ออน แก้วบอกกับเพื่อน ๆ อีกสองคนว่า ทุกอย่างต้องดำเนินไปตามเดิมเท่านั้น
“เราคงต้องเลือกในสิ่งที่ทางบ้านเราเตรียมเอาไว้ให้” แก้วเชิดหน้าขึ้น เมื่อได้ยินตังค์แฟนหนุ่มของเขาพูดมาแบบนั้น “เราเข้าใจ” แก้วตอบออกไป ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ “เราเสียใจ เราไม่รู้ว่าจะทำยังไง” ตังค์รีบคว้าข้อมือของแก้วเอาไว้ “เราไม่ได้อยากเลิกกับแก้ว เราคบกันแบบลับ ๆ ไม่ให้ที่บ้านรู้ไม่ได้หรือ” ตังค์ถาม “ไม่ได้” แก้วหันไปตามเสียงพูดของผู้หญิงสูงวัยคนนั้น
“หลานฉันเอง เก่งมั้ยล่ะ ไอ้แก้ว เอ้าเอ็ง แร็พให้ยายฟังหน่อย” แก้วมองเห็นยายของเขา ที่มาถึงหอประชุมตั้งแต่เช้า เพื่อให้กำลังใจหลานชายคนเดียวของยาย ลุกขึ้นโยกย้ายส่ายสะโพกไปตามหลานของตัวเองอย่างมีความสุข ตังค์ที่แอบมองอยู่ที่มุมห้อง ยิ้มออกมา คิดถึงคำพูดของยายที่บอกกับเขาว่า
“ถ้าอยากจะคบกับหลานของยาย ตังค์ ลูกต้องไปเคลียร์ความรู้สึกของตัวเองมาก่อนนะ แต่ถ้าใจไม่สู้ ยายก็ไม่ยกหลานให้แน่นอน” ตังค์หยิบเอามือถือขึ้นมาดู หน้าจอบอกว่าคนขับรถของที่บ้านมารับเขาไปเรียนพิเศษ เพื่อเตรียมตัวสอบชิงทุนไปเรียนต่อแพทย์ที่ยุโรปแล้ว ตังค์เดินไปที่ทางออกจากหอประชุม กำลังสองจิตสองใจกับความรู้สึกในหัวใจที่มี
ไฟสปอตไลท์เปลี่ยนมาฉายไปที่เร หรือที่เพื่อน ๆ ในมหาวิทยาลัย ต่างพากันเรียกว่าเรยา ความอวบอัดทำให้เนินอกเด่นเด้งออกจากชุดเกาะอกนั้น บั้นท้ายที่กลมกลึง ยามเคลื่อนไหว ก็ยักย้ายไปด้วยแรงดันสุดมิเตอร์ ทะลุปรอทจนเกินห้ามใจ ความตัวแม่ที่เพื่อน ๆ ต่างเรียกขาน ไม่เกินจริงไปจากลักษณะเฉพาะตัวของเร
“ไอแค่มาแลกเปลี่ยนปีเดียว ที่เราสองคนมี ก็สนุกดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง ทำไมยูถึงต้องทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ด้วยเร” เสียงพูดภาษาไทยสำเนียงฝรั่งของมิค ถามเรที่ยืนอยู่ปลายเตียง “ทำไมอย่างนั้นหรือ” เรพูดขึ้น ก่อนจะชี้ไปที่เพื่อนผู้หญิงต่างคณะ ที่มิคลากขึ้นเตียงด้วย หลังจากที่ออกไปท่องราตรีมาเมื่อคืน
“ยูก็ยังเป็นสวีทฮาร์ทของไออยู่” มิคยักไหล่ ก่อนจะบอกกับเรออกไปแบบนั้น “เฮ้ แล้วที่พูดกับเราเมื่อคืนล่ะ” เพื่อนผู้หญิงต่างคณะ ร้องท้วงหนุ่มตาน้ำข้าว “ยู ก็เป็นมายเบบี้ก็ได้นี่นา ไม่เห็นจะมีปัญหาเลย” มิคพูดแบบที่ตัวเองรู้สึกจริง ๆ ทำให้เรยอมโยนผ้าขาว เดินออกมาจากตรงนั้น ไม่ได้ฟังเสียงเรียกของมิคให้เรเดินกลับไปหาแต่อย่างใด
“ผมขอตัวไปห้องน้ำนะครับ” ภาคย์พูดจบก็ลุกขึ้นเดินไป “รีบกลับมานะ เจ้าภาคย์” พ่อบอกกับเขา แม่ของภาคย์มองตามลูกชายไป “นี่เราต้องมานั่งดูโชว์ของพวกตัวประหลาดพวกนี้หรือนี่ ใช่มั้ยคุณ” แม่ของภาคย์มองสามีของเธอด้วยความรู้สึกที่ราวกับว่า เธอไม่เคยรู้จักผู้ชายคนนี้มาก่อน ยังไงยังงั้น ก่อนที่แม่ของภาคย์จะเห็นผู้เป็นสามี ทำตาเหลือก เมื่อมองเห็นใครขึ้นไปบนเวที
ภาคย์ที่ถอดเสื้อโชว์กล้ามท้องแกร่ง มีเพียงกางเกงยีนเอวต่ำ เผยไรขนสุดเซ็กซี่ที่หายเข้าขอบกางเกงตัวนั้นไป เดินเข้าไปหาไอแลนด์ที่ตกใจเช่นกันที่เห็นภาคย์ทำแบบนี้ พ่อของภาคย์ถึงกับตะโกนแข่งกับเสียงกรี๊ดที่ดังลั่นฮอลล์ สั่งผู้เป็นภรรยาให้ลุกขึ้น เพื่อต้องการออกไปจากที่นี่ในทันที
“คุณหญิง” พ่อของภาคย์ร้องเรียกภรรยา ที่แทนจะทำตามคำสั่งของเขา แต่แม่ของภาคย์เลือกที่จะ “ถ้าคุณห่วงว่าฉันจะเอาตำแหน่งคุณหญิงไปทำให้คุณต้องแปดเปื้อนล่ะก็” คุณหญิงดึงแหวนแต่งงานออกจากนิ้วนางข้างซ้ายของเธอ “ไม่ต้องห่วงหรอกนะคะ” แม่ของภาคย์พูดเสียงนิ่ม ๆ “ฉันเลือกลูก” คุณหญิงโยนแหวนวงนั้น ที่เธอใส่ติดนิ้วไม่เคยถอดมาตั้งแต่แต่งงานคืนให้กับสามี ก่อนจะเดินไปสมทบกับยายของแก้ว ที่กำลังสนุกอยู่ที่หน้าเวที
“ถ้าป๊าไม่ออกมาจากแล็บ มาดูให้เห็นกับตา พ่อก็คงไม่เชื่อ ว่าไอแลนด์ลูกของพ่อจะเปรี้ยวเข็ดฟันได้ถึงขนาดนี้” ผู้เป็นพ่อเอ่ยปากแซวลูกชายของตัวเอง หลังจากที่การแสดงจบลง “คุณไม่ว่าอะไรลูกใช่มั้ยคะ” แม่ของไอแลนด์ถามผู้เป็นสามี ที่ก่อนหน้านี้ เธอเคยบอกกับเขาว่า ถ้าสามีรับไม่ได้เรื่องลูก เธอจะขอแยกทางไปกับลูกเอง โดยที่เขาไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบอะไรไอแลนด์อีก
“ลูกของเราเก่งขนาดนี้” ไอแลนด์เห็นแววตาของป๊าที่ภาคภูมิใจในตัวเขา “ผมก็ต้องชมลูกสิคุณ ใช่มั้ยลิลลี่” ผู้เป็นแม่ยิ้มออกมาอย่างสบายใจได้เสียที รู้สึกขอบคุณฟ้าที่ทำให้เธอมีความหวังว่า ครอบครัวของเธอคงไม่ถึงคราวต้องอับปางลง แล้วต่างต้องแยกย้าย ไม่เหลือความเป็นครอบครัวอีกต่อไป ตามที่เธอเคยแอบได้ยินไอแลนด์อธิษฐานเอาไว้ หากว่าทุกอย่างจะสามารถเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีได้จากนี้
“แล้วไง ไอ้หนุ่ม ตกลงเป็นแฟนไอแลนด์หรือเรา” ป๊าหันไปถามภาคย์ที่กลับมาใส่เสื้อเรียบร้อย ยืนทำอ้อมแอ้ม ๆ “เอ้าเฮ้ย อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อยู่นั่น” ป๊าทำเสียงดุใส่ จนผู้เป็นภรรยาต้องตีเข้าที่ไหล่ “ครับ ผมรักไอแลนด์ครับ” เจ้าของชื่อพยายามกลั้นยิ้มเอาไว้ด้วยความเขินอาย “ก็แค่เนี้ย” ไอแลนด์เห็นป๊าเอาแขนโอบไหล่ภาคย์ ก่อนจะเห็นแม่ของภาคย์เดินเข้ามาสมทบ พร้อมกันแนะนำตัวซึ่งกันและกัน ไอแลนด์รู้สึกว่า นี่มันไกลเกินฝันของเขาเสียด้วยซ้ำ
“ยาย แก้วหิว” ผู้เป็นยายได้ยินหลานพูดแบบนั้น ก็เอ่ยขึ้นว่า “เอาสิ อยากกินอะไร เดี๋ยวยายเปย์เอง” ยายพูดก่อนจะกอดหลาน หอมแก้มแก้วอย่างรักใคร่ “แต่จะมีแค่เราสองคนนะ ไหวป่ะ” แก้วถามผู้เป็นยาย หญิงสูงวัยพยักหน้าช้า ๆ เข้าใจในสิ่งที่หลานบอกมา สายสัมพันธ์ยายหลาน ไม่ต้องพูดอะไรกันมากมาย
“ตัดสินใจอะไรแล้ว ก็ไม่ต้องไปเสียใจทีหลัง ช่างมันไป แต่ต้องเข้าใจข้อจำกัดของอีกฝ่ายเขาด้วย ไม่ฟูมฟาย ไม่เพ้อเจ้อ ตอนยายเตะตูดตาเจ้าชู้ของแกออกไปจากชีวิต ยายก็ใช้วิธีนี้แหละ ได้ผลชะงัดนักในสายเลือดของเรา” แก้วกอดยายแน่น ๆ ด้วยความรักและรู้สึกขอบคุณ ข้อความของตังค์ที่ส่งมา ว่าเขาตัดสินใจจะเลือกไปเรียนต่อ ไม่กล้าที่จะขัดคำสั่งของแม่ จะไม่ใช้เป็นข้ออ้าง เพื่อฉุดรั้งกันเอาไว้
“ชื่อเรใช่มั้ยครับ” เสียงทักของหนุ่มลูกครึ่งดังขึ้น หลังจากที่เรถ่ายเซลฟี่กับเพื่อนในคณะเสร็จแล้ว เรมองเห็นหนุ่มลูกครึ่งที่ใบหน้ากระเดียดไปทางตะวันตกมากกว่าไทย ยืนหน้าแดงหูแดงอยู่ตรงนั้น “เราแบรนดอน เพื่อน ๆ คนไทยที่โน่นเรียกว่าดอน ดอนเมืองบ้าง ดอนหอยหลอดบ้าง” คำอธิบายได้ผล ทำให้เรหลุดหัวเราะออกมา
“เราเพิ่งกลับมาจากอังกฤษ ถ้าอยากรู้จัก จะได้ไหม” แบรนดอนกลั้นใจถามอีกฝ่ายออกไป “เดท อย่างนั้นหรือ” เรถามออกมา มองไปที่หน้าจอมือถือของอีกฝ่าย ที่ภาพมีภาพของเรตอนอยู่บนเวที ยังคงแสดงค้างเอาไว้อยู่ แบรนดอนที่เพิ่งรู้ตัว จะปิดหน้าจอตอนนี้ก็ไม่ทันเสียแล้ว “เราเพิ่งอกหักมา แต่อย่าหวังว่าจะได้อะไรง่าย ๆ นะ อย่าคิดไกล” เรบอกกับแบรนดอนออกไปตรง ๆ
“ไปกินข้าว ดูหนัง อะไรแค่นั้น” แบรนดอนรีบพูดออกไปในทันที ความละล่ำละลักทำให้เรอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “แต่ถ้าเป็นกู๊ดบอย ก็ไม่แน่ มันก็ไม่ได้ยาก” เรเดินไปหยิบเอาเสื้อคลุมมาถือเอาไว้ ก่อนแบรนดอนจะยื่นมือออกมา เป็นเชิงขออนุญาต เรยิ้มในใบหน้า แบรนดอนเอาเสื้อมาคลุมไหล่ให้เร ก่อนจะผายมือให้เรเดินนำหน้า เรเองก็เดินแบบยักย้ายสะโพกซ้ายขวาหนัก ๆ อย่างจงใจ เพราะรู้ดีว่า แบรนดอนมองบั้นท้ายของเขาอย่างชอบใจ ไม่ต้องเดาอะไรให้ยาก จากความโด่งนูนของเป้ากางเกงที่แบรนดอนใส่อยู่
***************************************************
คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาไทย โดย KADUMPA
Born Again - Lisa feat. Doja Cat and RAYE
https://www.youtube.com/watch?v=kbEC-AGr9n0&pp=ygUKYm9ybiBhZ2Fpbg==If you tried just a little more times
หากว่าจะพยายามอีกสักหลายหลายครั้ง
I would've made you a believer
เธอคงจะเชื่อมั่นมากขึ้น
Would've showed you what it's like (I would've showed you)
มันคงจะได้เห็นอะไรดีดี (อดโชว์เลยทีนี้)
Every single night (Night)
ในทุกทุกค่ำคืน
In the car, top-down, black shades on uh-huh (Lookin' so good, can I add?)
กลับเข้ามาบนรถ ขับไปตามถนน พร้อมแว่นกันแสง (เฉี่ยว เปรี้ยว สวย)
And I just broke up with my man like mm-hmm (A very, very silly, silly man)
เพิ่งอกหักกันมา เลิกรากับผู้ชาย (เซ่อเซอะเสียเต็มประดา)
One ex in the passenger seat 'cause I'm done (Done, yeah, never, ever going back)
เหลือแค่แฟนเก่านั่งรอเพื่อส่งลงรถ (พอกันที ไม่กลับไปอีกแล้ว)
Down, down, rude boy, get your foot up on my dash
ลงไปได้แล้ว ไอ้หนุ่มไร้มารยาท เอาเท้าลงจากหน้ารถของฉันด้วย
Got all the receipts, I'm a businesswoman
รู้หมดแหละไปทำอะไรมายาวเหยียด ฉันมันพวกหัวไว
Little bit of h-heartbreak
อกหักมันไม่ยักกะตาย
A little bit of "How could you do that?"
แค่อยากรู้ว่า ทำกันลงได้ยังไง
A little bit of talking out your ass
คำตอบเหมือนออกมาจากช่องแคบหลืบใน
A little bit of "Look at what you had but could not hold"
สุดท้ายก็คือ รักได้แต่รักษาเอาไว้ไม่เป็น
And that's on you, baby, too bad
คนที่เสียก็คือเธอนะคนดี แย่หน่อย
I'm about to make it heard as I vroom vroom
แล้วเดี๋ยวตอนไป จะทำให้ได้ยินกันทั่ว
Ice cold how I leave you 'lone
แบบเย็นชา ตอนทิ้งมให้เธออยู่คนเดียว
But please tell your mother I'ma miss her so
ฝากลาแม่ของเธอด้วยล่ะ ว่าเหลือแค่เพียงความคิดถึง
If you tried just a little more times
หากว่าจะพยายามอีกสักหลายหลายครั้ง
I would've made you a believer
เธอคงจะเชื่อมั่นมากขึ้น
Would've showed you what it's like (I would've showed you)
มันคงจะได้เห็นอะไรดีดี
Every single night (Night)
ในทุกทุกค่ำคืน
To be born again, baby
เหมือนได้เกิดขึ้นใหม่
To be born again
ฉันเป็นคนใหม่แล้วทีนี้
If you stayed just another few nights
นี่ถ้าอยู่ต่ออีกสักสองสามคืน
I could've made you pray to Jesus
คงต้องร้องถามหาสิ่งศักด์สิทธ์เป็นแน่
Would've showed you to the light (To the light)
หรืออาจจะเดินตามแสงสว่างนั้นไป
Every single night (Every night)
ในทุกทุกค่ำคืน
To be born again, baby
ก็เหมือนเกิดใหม่นะทูนหัว
To be born again
ถือกำเนิดกันอีกที
Non-believer
พวกไม่เชื่อกัน
You've bitten from the fruit but can't give back
แต่ลิ้มชิมรสข้อต้องห้ามย้อนกลับไม่ได้แล้ว
Nice to leave ya
เหลือแค่คำร่ำลาจากนี้
But I would be a fool not to ask
แต่ฟังดูโง่หากจะไม่ถามสักหน่อย
Do your words seem gospel to ya now? (Your words seem gospel to ya now?)
คิดว่าคำพูดของตัวเองมันน่าเชื่อถือนักหรือ (มันเคยน่าเชื่อถือด้วยหรือ)
Keepin' me strong
รังแต่จะทำให้ฉันใจแข็งมากกว่าเดิม
Choosin' to carry on after one too many lies would be wrong, so wrong
โดนโกหกซ้ำซากแบบนั้น มันเกินจะรับ มันมากเกินไป
So sad, you pop tags on my shopping spree
เศร้าเลย ไปไหนซื้ออะไรก็พ่วงกันตลอด
Stayed mad when I showed him all the long receipts
เคืองแท้ ใบเสร็จจะยาวอะไรปานนั้น
They laugh at your crash out like a comedy
หัวเราะออกมั้ยเมื่อเจอมาเกาะอะไรขนาดนี้
I can't be a sugar mom, get a job for me, shit (Ah, so)
จะเปย์แต่ก็ต้องเรียกสติ
Boy, let go
ผู้ชายแบบนี้ ไปเสียเถอะ
Or let me live happily forever after more
เอ้า ปล่อยให้ฉันได้ใช้ชีวิตสงบสุขจากนี้จะดีกว่า
I hope you learned something from a lil' fiasco
หวังว่าจะคิดอะไรได้บ้างนะจากเรื่องราวในครั้งนี้
You played the game smart lettin' lil' me pass go
อย่าหัวหมอให้มาก ให้ฉันร้องอูโน่สักตาสองตาบ้างเถอะ
'Cause
เพราะว่า
Seasoned like the cinnamon
อบเชยเติมกันเพื่อความหอม
The way I'm getting rid of him
พอปล่อยให้เธอไปชีวิตก็หอมแบบนั้น
I'm only gonna make you need religion at the minimum
หวังใจว่าคุณธรรมจะนำใจเธอสักครั้ง
And I'ma do it diligent, I'm looking for a synonym
ขยันโดน จนต้องค้นหาคำไวพจน์
I'm tryna find the words to tell him I ain't even feeling him (I pray)
จะบอกว่าทำยังไงก็ไม่รู้สึก ก็เดี๋ยวจะหาว่าปากเสีย
Don't ever let me be deficient in
ขอแค่อย่าทำให้ช้ำจิตเพลียใจกันอีก
Wish that you could wake up and then take me like a vitamin
ภาวนาให้เธอลืมตาตื่น และให้ฉันบำบัดเธอให้หาย
I learned the hard way to let go now to save my soul
แม้ฉันต้องเหนื่อยยาก หาหนทางรักษาใจของฉันให้หายดี