ทีเซอร์ ๑๓. Saving Private Drag Queens นางโชว์ระทึก CANDYMAN 22-03-2568
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ทีเซอร์ ๑๓. Saving Private Drag Queens นางโชว์ระทึก CANDYMAN 22-03-2568  (อ่าน 5730 ครั้ง)

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-03-2025 08:10:55 โดย KADUMPA »

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Teaser อชิระ - เจ้าเพียง


“บนเรือนใหญ่เอะอะเสียงดังลั่นกันแต่เช้าอีกแล้ว” เด็กหนุ่มที่กำลังจะอายุเข้ายี่สิบปีบริบูรณ์ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า มองตามเสียงพูดของผู้สูงวัย ที่กำลังเตรียมข้าวของเครื่องปรุง สำหรับอาหารเช้าของคนบนคฤหาสน์ใหญ่หลังนั้น จากเรือนเล็กด้านหลังนี้ มองเห็นเพียงต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นปกคลุมปิดบังตัวเรือนเอาไว้ เห็นเพียงหลังคาด้านบนตระหง่านอยู่ ราวกับมันลอยได้เองอยู่บนฟ้า

“ฉันนึกว่ายายจ๋าจะชินแล้วเสียอีก” ผู้เป็นยายจ๋าหันมาหัวเราะในลำคอกับคำพูดของเด็กหนุ่ม “ข้าก็ควรจะชินอย่างเอ็งว่าจริง ๆ นั่นแหละ เจ้าเพียง” ก่อนจะมองตามเด็กหนุ่มที่ตัวเองช่วยเลี้ยงดูมาตั้งแต่ตัวเท่าฝาหอย เจ้าเพียงของยายจ๋าเดินมานั่งลงที่ข้าง ๆ วางถ้วยกาแฟหอมกรุ่นที่เพิ่งชงใหม่ ๆ ลงข้าง ๆ ก่อนจะหยิบเอากองใบกะเพราทั้งหมดนั้น มาช่วยผู้สูงวัยที่รับหน้าที่เป็นแม่ครัวมานานหลายสิบปี เด็ดมันลงกะละมังสีขาวใบนั้นอย่างคล่องแคล่ว อย่างที่ช่วยยายจ๋าทำมาตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก

“เป็นแบบนี้มานานจนนับไม่ได้แล้วว่ากี่ปี ไม่รู้ว่าเขามีเรื่องอะไรให้ทะเลาะกันนักหนา” เจ้าเพียงของยายแม้ตาจะมองไปทางเรือนใหญ่นั่น แต่ปากก็ไม่ได้ปริพูดอะไรออกมา มือก็เด็ดใบกะเพรานั้นไปเงียบ ๆ หญิงชราหันกลับมามองหลานเลือดนอกอกของเธอ มองอย่างพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะถามคำถามนั้นกับอีกฝ่าย

“ว่าแต่เอ็งเถอะ ชินกับเขาด้วยหรือเปล่า” เจ้าเพียงหันสายตากลับมาทางยายจ๋า ในสายตาคู่นั้น มีคำตอบอยู่ภายในใจกับคำถามนั้น “โธ่ยาย ยายจ๋าอย่าให้ฉันไปชินอะไรกับเรื่องพวกนี้เลย” มือที่เด็ดใบกะเพราจนได้ปริมาณ เจ้าเพียงก็ลุกขึ้นเดินถือกะละมังไปใบนั้นไปเปิดน้ำจากก๊อก ล้างผักในนั้นให้สะอาดจนเสร็จสรรพ

“ใช่สิ” เสียงของหญิงผู้สูงวัยกว่ามาก ฟังดูน้อยใจอยู่ในอก “อีกเดี๋ยวเอ็งก็จะสบายหูสบายตา แถมยังสบายใจกว่าข้าเป็นไหน ๆ แล้ว จริงมั้ยล่ะ” เจ้าเพียงของยายจ๋า นั่งลงข้าง ๆ ผู้เป็นยาย ก่อนจะกอดยายผู้มีพระคุณท่วมหัวจนแน่น หอมฟอดใหญ่ลงบนแก้มซ้ายของยายจ๋า “หอมที่สุด” แม้ว่าใบหน้านั้น จะเต็มไปด้วยคราบเหงื่อมาตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่

“เอ็งเป็นเด็กดี เจ้าเพียง อยู่ที่ไหนก็จะมีแต่คนอุ้มชู” ยายจ๋ายกมือขึ้นลูบหน้าลูบตาเด็กหนุ่มผู้ถือว่าเป็นหลานคนเดียวของตัว ในฐานะที่ยายจ๋าไม่มีญาติอะไรที่ไหนกับใครเขา “ถ้าแม่เอ็งเขายังอยู่ เขาต้องภูมิใจในตัวเอ็งมาก ๆ” เจ้าเพียงเม้มปากจนเกือบเป็นเส้นตรง สบตากับยายจ๋า “แม่เขารักเอ็งมากนะ อย่าให้ใครก็ตามมาพูดเป็นอื่นไปเชียว” ยายจ๋าสำทับกับเด็กหนุ่มที่กำลังจะก้าวไปเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว

“จริง ๆ เอ็งจะอยู่ที่นี่” ยายจ๋าพูดเพียงแค่นั้น ก็กลืนคำพูดต่อท้ายทั้งหมดให้หายลงไป เมื่อสีหน้าและแววตาของเจ้าเพียง มันให้คำตอบทุกสิ่งอย่างออกมาหมดแล้ว “คงไม่ต้องรอให้เขามาไล่ด้วยตัวเองหรอก” เจ้าเพียงรู้ดีว่าตัวเองเฝ้ารอคอย วันหนึ่งวันนั้นที่จะหลุดพ้นจากพันธนาการต่าง ๆ ที่เขาได้รับรู้และอดทนกับมันมาตั้งแต่จำความได้

เจ้าเพียงจัดสำรับขึ้นโต๊ะบนเรือนใหญ่ใกล้จะเสร็จแล้ว เหล่าบรรดาคุณ ๆ ก็พากันทยอยเดินเข้ามาในห้องรับประทานอาหาร บางคนไม่สังเกตเห็นเขาด้วยซ้ำ แต่สายตาหลายคู่ ก็มองมาด้วยความรู้สึกว่า เจ้าเพียงไม่ควรจะมาอยู่ตรงนี้ แม้ว่าจะเห็นหรือเข้าใจความหมายเหล่านั้นดี เจ้าเพียงก็ทำเป็นไม่รับรู้ ทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป เร่งมือรีบจัดโต๊ะให้เร็วขึ้น เพื่อจะได้ลงไปจากเรือนใหญ่โดยเร็วที่สุด

“ยายจ๋าเธอไปไหน ทำไมเช้านี้เธอถึงขึ้นมาบนเรือนใหญ่ได้” คุณวรกานต์ คุณพี่หญิงใหญ่ของบ้าน ถามขึ้น เมื่อเห็นเจ้าเพียงจัดสำรับอยู่เพียงคนเดียว “ยายจ๋าอายุมากแล้ว จะใช้อะไรคนแก่กันตั้งแต่เช้า หัวไม่วางหางไม่เว้น ไม่คิดจะเห็นใจกันบ้างหรือไงนะ” นั่นคือสิ่งที่เจ้าเพียงคิดจะพูดออกไป แต่ก็ได้แต่เก็บมันเอาไว้ ก่อนจะตอบคุณวรกานต์ออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ว่า

“ยายจ๋าเจ็บข้อเท้าครับ คุณวรกานต์ เดินไม่ไหว” จงใจจะตอบออกไปเพียงสั้น ๆ เท่านั้น ไม่อยากจะคุยอะไรด้วยให้ยืดยาว “สะเออะล่ะไม่ว่า” เสียงจากน้องชายคนเล็กของบ้าน ก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะคู่ รวมน้องสาวอีกคนของตระกูล นี่ถ้าเป็นเมื่อก่อน เจ้าเพียงพูดกับตัวเอง ตอนอายุน้อยกว่านี้ เจ้าเพียงเองก็คงไม่ยอมปล่อยเรื่องแบบนี้ไปง่าย ๆ

“เผอิญจานชามมันไม่มีขา มันเดินมาขึ้นสำรับบนโต๊ะเองไม่ได้” พูดจบ เจ้าเพียงไม่รอฟังเสียงด่าไล่หลัง ที่ฟังดูแล้ว ไม่ใช่อย่างที่พวกผู้ดีเขาสมควรทำกันแต่อย่างใด และพอก่อนจะเดินเลี้ยวลงบันไดด้านหลังเรือนใหญ่ ก็มีชายหนุ่มอีกคนเดินสวนขึ้นมาพอดี เจ้าเพียงพอรู้ว่าเป็นใคร ก็รีบหันหลังเดินเลี่ยงไปอีกทางทันที

“เธอจะจงใจหลบหน้าฉันไปอีกนานมั้ย” เสียงทักจากทางด้านหลัง ทำให้เจ้าเพียงชะงักเท้า เมื่อเกือบจะก้าวพ้นประตูนั้นไป “ฉันไม่เห็นเธอที่เรือนเล็ก” อีกฝ่ายพูดขึ้นอีกครั้ง “ยายจ๋าเธอบอกว่า เธอขอขึ้นมาจัดสำหรับบนเรือนใหญ่แทน เพราะยายจ๋าง่วนมาตั้งแต่เช้ามืด เธออยากให้นั่งพักก่อน” ใช่แล้ว เจ้าเพียงพูดโกหกคุณวรกานต์และทุกคนบนโต๊ะอาหารไปว่า ยายจ๋าเจ็บข้อเท้า เพื่อหวังใจว่า วันนี้จะไม่มีคนใจร้ายที่ไหน เรียกใช้ยายจ๋าทั้งวัน อย่างทรมานคนแก่ไม่รู้จักจบจักสิ้น

“ฉันจะสั่งห้ามไม่ให้ใครเรียกใช้ยายจ๋าของเธอ” เสียงนั้นพูดด้วยความนุ่มนวลกว่าที่เคยได้ยิน “ขอบคุณละกัน” เจ้าเพียงตอบอีกฝ่ายออกไป โดยไม่ได้หันไปมองหน้า “มารยาทที่ดีที่คุณปู่ของฉันเคยสอนเธอมาตั้งแต่เล็ก อยู่ที่ไหน” อีกแล้วสินะ กับการเอาคุณท่านมาอ้างแบบนี้ เจ้าเพียงข่มความรู้สึกเอาไว้ ก่อนจะค่อย ๆ หันมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย

“ขอบคุณครับ คุณอชิระ” ทุกคำนั้น เจ้าเพียงเน้นเสียงให้เจ้าของชื่อรู้สึก “เธอเกลียดฉันมากขนาดนั้นเชียวหรือ” น้องชายคนรองของตระกูลถามขึ้น ที่ปลายเสียงนั้น สั่นน้อย ๆ จนรู้สึกได้ เหมือนเจ้าตัวกระหวัดถึงความรู้สึกอะไรบางอย่างที่มีอยู่ในใจ “ถ้าคุณจะคุยเรื่องนั้น คงต้องใช้เวลาเป็นวัน ๆ” อชิระมองเห็นแววตาและสีหน้าของเจ้าเพียง ที่ทำให้เขารู้สึกใจสั่น หวั่นไหวไปกับอาการไม่สน ไม่แคร์ ไม่ยี่หระนั่นของอีกฝ่าย

“อย่างนั้นเองหรือ” อชิระพึมพำออกมา อย่างคนที่นึกอะไรขึ้นได้ “ถ้าอย่างนั้น ต่อไปนี้ ยายจ๋าของเธอไม่ต้องจัดการอาหารขึ้นสำรับบนเรือนใหญ่แล้ว” เจ้าเพียงคิดว่าเขาหูฝาดไป แต่ถ้านั่นจะเป็นเรื่องจริง ก็จะเป็นเรื่องที่ดีสำหรับยายจ๋า “แต่ต้องเป็นเธอ เจ้าเพียง เริ่มจากพรุ่งนี้เป็นต้นไป โดยเฉพาะอาหารที่จัดสำหรับฉัน” เจ้าเพียงมองอชิระอย่างไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจว่าอชิระจะมาไม้ไหนกันแน่

“อะไรของคุณผู้ชายไม่ทราบ” เจ้าเพียงหันหลังเดินออกไปจากตรงนั้น ก่อนจะเดินตรงไปที่ประตูรั้วด้านหลังบ้าน ที่ใช้สำหรับให้คนมาส่งของเท่านั้นใช้ และรวมถึงเป็นทางเข้าออกของบรรดาคนรับใช้ของบ้านอีกด้วย “แล้วนั่นเธอจะไปไหน เดี๋ยวนี้เธออยู่ไม่ติดบ้านเลยนะ หรือมันมีอะไรดีที่ข้างนอกนั่น เธอถึงได้ติดอกติดใจมันนัก” ได้ผล เจ้าเพียงหันมามองอชิระด้วยสายตาไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป เมื่อมีเสียงเรียกชื่อของเจ้าเพียง จากอีกฟากของประตู

“เดี๋ยวเราไปกันเลยนะ เอกคุณ” อชิระมองเห็นชายหนุ่มอีกคนนั่งอยู่บนมอเตอร์ไซค์ที่ยังคงติดเครื่องอยู่ แต่ยังคงใส่หมวกกันน็อกแบบเต็มใบอยู่ อชิระจึงมองเห็นหน้าของชายหนุ่มคนนั้นไม่ชัดนัก “เพียงขึ้นมาเลย เดี๋ยวเราพาไปดูบ้านใหม่หลาย ๆ ที่เลย จะไปกี่ที่ก็ได้ เอาที่เพียงพอใจ จนกว่าเพียงจะพอใจ” อชิระว่าเขาขนลุกขนพองกับคำพูดของหนุ่มบิ๊กไบค์แล้ว ยังต้องเห็นเจ้าเพียงขึ้นซ้อนหลังมอเตอร์ไซค์ของคนนั้นอย่างสนิทสนม

“หาบ้านใหม่ บ้านใหม่อะไรกัน เธอจะย้ายออกจากบ้านหรือไง เจ้าเพียง ทำไม” อชิระพูดรัวเร็ว “เธอมีความคิดแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เพียงออ” อชิระอยากจะคว้าตัวเจ้าเพียงลงมาจากรถ ให้มาคุยกันให้รู้เรื่อง “ก็ไม่นาน” เจ้าเพียงตอบกลับอชิระไป “ก็ตั้งแต่ตอนเด็กแล้วล่ะ ที่รับรู้ว่าบ้านหลังนี้ ไม่เหลือความปรานีให้แม่ของผมอีกต่อไป” อชิระหน้าชาดิก ที่เจ้าเพียงพูดใส่หน้าเขาแบบนั้น โดยมีคนแปลกหน้าอยู่ด้วย

ยายจ๋ามองเห็นอชิระหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่อย่างนั้น แม้ว่ามอเตอร์ไซค์คันนั้นจะขับออกไปตั้งนานแล้ว อชิระหงุดหงิดมากกว่าที่เขาเคยเป็นมา ก่อนหน้านี้เขาเคยหงุดหงิดมากเท่าไหร่ ตอนนี้มันเพิ่มเติมจากนั้นอีกหลายร้อยเท่า เมื่อภาพอาการใกล้ชิดอี๋อ๋อของเจ้าเพียงกับไอ้หนุ่มล่ำนั่น อชิระสลัดมันหลุดออกจากความคิดของเขาเองไม่ได้ และเมื่อหันมา ยายจ๋าของเจ้าเพียงก็มายืนอยู่ตรงหน้า พร้อมกับพูดออกมาในสิ่งที่ทำให้อชิระนั้น ไม่สามารถเถียงหรือแก้ตัวใด ๆ ได้

*****************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J


ยอมจำนน - ธนนท์
https://www.youtube.com/watch?v=-6IZ7B5FUco


ไม่รู้ว่านานเท่าไร ก็จำไม่ได้นัก

Not sure how long it’s been, can’t exactly remember

ที่ฉันจำเป็นต้องอยู่อย่างคนที่แอบรัก

I am the one hiding my feelings like this

ต่อให้ฉันให้เธอร้อย มันก็น้อยไป

Though I’m giving you all, still falling short

คนที่รอ คนที่คอย ได้แต่น้อยใจ

I’m waiting, I’m wishing, feeling like shit


ถึงฉันจะทำอะไรทุกอย่างไปมากสักแค่ไหน

No matter how much I do, I do a lot for you

ไม่มีสักครั้งที่คล้ายว่าเธอนั้นจะหวั่นไหว

Not even once will make your heart flutter

คนไม่รักคือไม่รัก ก็ต้องเข้าใจ

You don’t really care, I should be fair

คนคนนั้นไม่ใช่ฉัน จะให้ทำไง

It’s not me, now what can I do?


ถึงฉันไม่ได้ต้องการจะไป

I don’t really wanna leave

แต่ยังไงก็คงจะต้องลา

Yet, this might be my goodbye

เมื่อเธอนั้นให้คำตอบมาทางสายตา

When your answer is in your eyes


ก็คงต้องยอมจำนนกับคนไม่มีใจ

I may need to give in since I’m not your love

ยอมจำลา แม้ว่ารักสักเท่าไหร่

Wanna go, though I really love you so

ไม่จำเป็นว่ารักฉันแค่ไหน

Doesn’t really matter how much I love you

แค่เธอไม่ได้รักก็แค่นั้น

You don’t love me, then it’s game over


ยอมจำใจเอ่ยคำว่าลาก่อน

I cave in, finally saying so long

ใจจำยอมรับว่าเธอนั้นต้องไป

Accept that you have your own way

กับความจริงว่าฉันมันไม่ใช่

With the truth that I’m not the one

แค่ต้องจำเอาไว้ เธอไม่รักกัน

Remind myself, you don’t love me


คิดถึงเท่าไร คิดถึงเท่าไร มันก็ไม่เคยถึง

My thought or my heart never reaches you

ไม่รู้ฉันเป็นคนที่เท่าไรที่เธอจะนึกถึง

How many to count until finding me on your list

ต่อให้สายตาของฉันมันบอกว่ารักเท่าไร

My eyes keep saying that I love you

เธอก็มอง มองกลับมาอย่างคนทั่วไป

But how you see me, I am an average Joe


พยายามคือคำที่ไม่มีความหมาย

Trying my best doesn't mean anything for you

จำได้ไหม ที่จริงเธอไม่เคยขอ

The thing is, no you’ve never asked for

ฉันเพิ่งเข้าใจ เพิ่งเข้าใจคำว่าดีไม่พอ

Now I get it, understand that I won’t be good enough

ทำดีให้ตาย ไม่มีความหมายถ้าไม่ใช่คนที่เขารอ

Die trying means nothing, I’m not what you’re longing for


ถึงฉันไม่ได้ต้องการจะไป

I don’t really wanna leave

แต่ยังไงก็คงจะต้องลา

Yet, this might be my goodbye

เมื่อเธอนั้นให้คำตอบมาทางสายตา

When your answer is in your eyes


ก็คงต้องยอมจำนนกับคนไม่มีใจ

I may need to give in since I’m not your love

ยอมจำลา แม้ว่ารักสักเท่าไหร่

Wanna go, though I really love you so

ไม่จำเป็นว่ารักฉันแค่ไหน

Doesn’t really matter how much I love you

แค่เธอไม่ได้รักก็แค่นั้น

You don’t love me, then it’s game over


ยอมจำใจเอ่ยคำว่าลาก่อน

I cave in, finally saying so long

ใจจำยอมรับว่าเธอนั้นต้องไป

Accept that you have your own way

กับความจริงว่าฉันมันไม่ใช่

With the truth that I’m not the one

แค่ต้องจำเอาไว้ เธอไม่รักกัน

Remind myself, you don’t love me


ยอมจำนน

I’m throwing in the towel

ยอมจำนน

I surrender to you

ออฟไลน์ Innocent.m

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: ทีเซอร์ - teaser อชิระ - เจ้าเพียง
«ตอบ #2 เมื่อ24-05-2024 04:50:13 »

อันนี้สามารถติดตามได้ทางนี้เลยมั้ยคะ หรือต้องอ่านที่ไหน  :pig4: :hao7:

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ทีเซอร์ - teaser อิฐ - นุ่น 24_5_2567
«ตอบ #3 เมื่อ24-05-2024 11:29:02 »

Teaser อิฐ - นุ่น



“ตอนนี้ผมมั่นใจแล้ว ว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง” นุ่นส่งเสียงแบบเหนื่อยหน่ายกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินจากอีกฝ่าย “คุณคิดว่าคุณตัดสินใจถูกอยู่คนเดียวงั้นสิ” อิฐทำหน้าตาไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง ที่ได้ยินคนรักที่อยู่ด้วยกัน มากว่าสิบปีของเขาพูดออกมาแบบนั้น “อ้าว มันก็แหงอยู่แล้ว ก็หรือไม่จริง เท่าที่อยู่ด้วยกันมา มีเรื่องไหนบ้าง ที่ผมตัดสินใจให้เราสองคน แล้วมันผิดบ้าง” เจอประโยคนี้เข้าไป อิฐก็ทำท่าอึกอัก คิดว่ามีเรื่องไหนบ้างที่ผ่านมา

“นั่นแหละ มันก็ต้องมีบ้าง แต่เผอิญผมไม่ได้เป็นคนยิบย่อยหยุมหยิม เก็บเอามาคิด เอามาเป็นอารมณ์ไปซะทุกเรื่อง” อิฐได้ที จี้จุดที่เขาเองนั้น รู้จักนุ่นดี ว่าอีกฝ่ายจะต้องปรี๊ดขึ้นมาในทันที “ใครผมเนี่ยนะ ที่หยุมหยิม ยิบย่อย” มาตอนนี้ เป็นที่นุ่นที่หน้าตาแสดงความหงุดหงิดออกมาอย่างที่สุด “ตุ๊กตุ่น แกดูพ่อแกนะ หาเรื่องกันตลอด เป็นอย่างนี้ไม่เคยเปลี่ยน” เด็กหนุ่มวัยสิบเก้าปีที่นั่งมองผู้ชายสองคนกำลังทะเลาะกันอยู่ตรงหน้า ลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ

“ตุ่น แกควรจะต้องดูที่ป๊าแกทำมากกว่า ขี้งอนก็ที่หนึ่ง เอะอะ ๆ งอน ๆๆ” เสียงล้อเลียนพร้อมท่าทางเลียนแบบที่พ่อทำท่าทางของป๊า เด็กหนุ่มคิดในใจ ว่ามันก็เหมือนอยู่นะ “แล้วทีพ่อแกล่ะ ยังไม่ทันฟังอะไรให้ดีซะก่อน ก็เสียงดังเข้าใส่คนอื่นเขาแล้ว” อันนี้เด็กหนุ่มก็จำได้ดี ว่าเขาเองก็โดนมาอยู่บ่อยครั้ง ตุ๊กตุ่นมองดูพ่อและป๊า คู่รักที่เฝ้าเลี้ยงดูฟูมฟักเขามาตั้งแต่จำความได้ กำลังฮึดฮัดใส่กัน ไม่มีใครยอมใคร

“ผมมีเหตุผลถึงได้เสียงดังใส่” อิฐไม่ยอมในเรื่องนี้ “มีเหตุผล ฮึ” นุ่นแค่นเสียงใส่ “เหตุผลอะไรไม่ทราบ” นุ่นจ้องตากลับแบบต้องการคำอธิบาย “ก็รู้ ๆ กันอยู่” อิฐเองก็มองกลับคู่ชีวิตของตัวเองในแบบที่ นุ่นน่าจะรู้ตัวดีอยู่แล้ว “อย่ามาหาเรื่องกันดีกว่า” นุ่นว่ากลับอิฐเข้าให้ อิฐทำหน้าตาขึงขังกลับเช่นกัน “ว่าผมไม่ดี ๆ แต่ก็ใช้มันมาเป็นสิบปี” อิฐยิ้มที่มุมปาก แสดงความภูมิใจลึก ๆ อยู่ในรอยยิ้มนั้น

“ก็มันมีให้ใช้อยู่อันเดียว” นุ่นตอบกลับไปทันทีเช่นกัน ตุ๊กตุ่นหลับตาปี๋ เมื่อรู้ว่ากำลังจะได้ยินอะไรต่อจากนี้ “และมันก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรเลยสักนิด” อิฐหน้าแดงขึ้นมาในทันที มันเป็นความแดงในแบบที่ผู้ชายหยามกันไม่ได้ “คนเราต้องคิดบ้างนะ” อิฐตาหรี่ตาลงตอนพูด “ว่าตัวเองมันหลวมเองหรือเปล่า” ถึงตาที่นุ่นต้องมองอิฐตาเขียวปั้ด

“ตุ๊กตุ่น” นุ่นเรียกชื่อลูกชายออกมา “ครับ” เด็กหนุ่มขานรับป๊าของเขา “เลือกมา ระหว่างพ่อแกกับป๊า แกจะอยู่กับใคร” นุ่นถามน้ำเสียงเฉียบขาด “ตุ่น แกอยู่กับพ่อน่ะดีแล้ว” เด็กหนุ่มกะพริบตาถี่ ๆ หันไปทางผู้เป็นพ่อของเขา โอ๊ย เด็กหนุ่มตะโกนลั่นอยู่ในใจ นี่ก็พ่อผู้ให้กำเนิด นั่นก็ป๊าที่ป้อนน้ำป้อนนม ฟูมฟักเขามาตั้งแต่เล็ก และรักเขามากกว่าใคร

“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า ทำไมทำหน้าอย่างนั้น” ตุ๊กตุ่นคงถูกสังเกตได้ว่านั่งเงียบ ๆ ทำหน้าเครียดตั้งแต่มาถึง แฟนสาวของเขาเลยถามขึ้น เมื่อเธอเดินมานั่งลงที่ข้าง ๆ กันที่บนโซฟา “นี่มันชัด จนเจนดูออกเลยหรือ” ตุ๊กตุ่นหันไปพูดกับเจน ที่ตาจ้องไปที่หน้าจอโทรทัศน์ ส่วนมือก็กดรีโมทคอนโทรล เปลี่ยนช่องทีวีไปเรื่อย ๆ เหมือนกับไม่ได้ตั้งใจว่าจะดูอะไรเป็นพิเศษ

“อืม” เจนตอบกลับมาแบบสั้น ๆ ส่วนในใจของตุ๊กตุ่นกำลังคิดว่า เขาจะพูดมันออกไปยังไงดี “ตุ่นมีอะไรหนักใจ ก็เล่าให้เจนฟังได้นะ” เสียงพูดของเจนแสดงความห่วงใยในตัวแฟนหนุ่มออกมา ตุ๊กตุ่นได้ยินแบบนั้น ก็พยายามเรียบเรียงเรื่องราวที่อยู่ในหัว ว่าเขาควรจะเล่าออกไปให้แฟนสาวฟังยังไงดี

“คือที่บ้านของตุ่น” ตุ๊กตุ่นเริ่มเล่าเรื่องที่กำลังหนักใจอยู่ออกไป “ที่บ้านตุ่นเขากำลังมีปัญหากัน” เด็กหนุ่มอยากให้เรื่องที่เกิดขึ้น มันอธิบายออกไปง่ายกว่านี้ “เหมือนที่บ้านเขากำลังจะเลิกกัน” ตุ๊กตุ่นบอกแฟนสาวออกไป แล้วก็มองดูปฏิกิริยาจากเจน ว่าเธอจะมีทีท่าอย่างไร เจนหันมามองแฟนหนุ่มแวบหนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปมองที่หน้าจอโทรทัศน์อย่างเดิม มือก็กดรีโมทเปลี่ยนช่องไปมา

“ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรนี่นา ใคร ๆ ก็เลิกกันได้” เจนพูดออกมาด้วยท่าทีเรียบเฉย “คนที่เขาอยู่ด้วยกันไม่ได้ ก็แค่แยกจากกันไป ดีกว่าต้องทนอยู่ด้วยกันตั้งเยอะ แบบนั้นหัวจะปวด” เจนบอกตุ๊กตุ่นไปแบบที่เธอคิด “ตุ่นเองก็จะได้ไม่เสียสุขภาพจิตด้วย คิดถึง ก็แค่ไปหา ดีกว่าจะต้องมานั่งเห็นพวกเขาทะเลาะกันให้ดู” เจนพูดต่อ ตุ๊กตุ่นนิ่งเงียบฟัง

“เวลาคัม ทู เดอะ เวิลด์” เจนทำพูดติดตลก กดรีโมทอีกครั้งเพื่อเปลี่ยนช่อง “ใคร ๆ เขาก็เลิกกันได้ พ่อกับแม่เธอก็ไม่ต่างกันหรอก” จบประโยคนั้น บนหน้าจอทีวี ก็มีข่าวสั้นมาพอดี มันเป็นข่าวเรื่องที่คู่รักเพศเดียวกันชาวต่างชาติ กำลังฟ้องร้องขอสิทธิ์ในการเลี้ยงดูลูกสาว เด็กหญิงวัยแบเบาะ ที่กำลังเป็นข่าวใหญ่โตอยู่ในขณะนี้พอดี

“ยังไงก็ดีกว่าคนพวกนี้แน่นอน” เจนพูดขึ้น ตุ๊กตุ่นมองไปที่หน้าจอโทรทัศน์ ก่อนจะใจเต้นแรงขึ้น เมื่อได้ยินเจนพูดต่อไปว่า “แบบนี้ น่าสงสารเด็กจะตาย เจนไม่ได้ต่อต้านพวกโฮโมหรอกนะ แต่ยังไงธรรมชาติก็สร้างผู้หญิงให้คู่กับผู้ชาย เพศเดียวกันแบบคู่เกย์นี่ จะเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่ง ให้โตมาเป็นคนดีได้ยังไง เผลอ ๆ นะ ถ้าเลี้ยงเด็กผู้ชาย ก็ทำให้เด็กโตมาแบบเพี้ยน ๆ ผิดเพศเหมือนตัวเองนั่นแหละ เป็นภาระปัญหาสังคมไปอีก” ตุ๊กตุ่นในตอนนี้ เขารู้สึกหน้าชา เนื้อตัวเต้นยิบ ๆ ไปหมด ใจของเขาเต้นแรงมากกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินแฟนสาวพูดออกมา

นุ่นที่นั่งใช้ปลายนิ้วไล้ไปบนขอบแก้วกาแฟเย็นชืด ที่ชงเอาไว้ตั้งแต่ชั่วโมงที่แล้ว เงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาแขวนผนัง มันบอกเวลาว่าเริ่มค่ำแล้ว นุ่นเองก็นั่งรอ ตั้งแต่ที่ลูกชายคนเดียวของเขา ผลุนผลันออกจากบ้านไป จนตอนนี้ก็ยังไม่เห็นกลับมา เขามองไปที่โทรศัพท์มือถือ ที่จับแล้วจับอีก แต่ก็ได้แต่วางมันลง ไม่กล้าโทรหา ในใจกลัวไปหมดทุกอย่าง

อิฐที่สังเกตเห็นอาการนั้นของนุ่น ก็เข้าใจได้ดี เดินถือแก้วกาแฟที่เพิ่งชงใหม่หอมกรุ่น เดินมานั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเคาน์เตอร์เตรียมอาหาร นุ่นหันมามองอิฐ ก่อนจะใช้มือดันโถใส่น้ำตาลไปที่ด้านหน้าของอิฐช้า ๆ อิฐแอบยิ้มอยู่ในหน้า ก่อนจะเปิดฝาขวดโหลน้ำตาลทราย ใช้ช้อนตักมันใส่ถ้วยกาแฟ คนช้า ๆ ให้น้ำตาลละลาย สายตามองไปที่นุ่นที่อีกฝ่ายเอง ก็มองกลับมา

“เย็นแล้ว ปกติตุ๊กตุ่นจะโทรหา ถ้าจะกลับดึก” น้ำเสียงของนุ่นกำลังเป็นห่วงลูกมาก ตุ๊กตุ่นเองนั้น กำลังปิดประตูบ้านลงแบบเบา ๆ ได้ยินเสียงพ่อกับป๊าคุยกันที่ในห้องครัวพอดี เด็กหนุ่มค่อย ๆ ย่องไปหยุดยืนฟัง “เดี๋ยวลูกก็กลับมา” อิฐพูดแบบปลอบใจอีกฝ่าย ที่ได้แต่พยักหน้ารับ สีหน้าแสดงออกอย่างชัดเจนว่ารู้สึกผิดในใจ

“ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะให้ลูกเลือกเลยนะ” นุ่นเอ่ยปากออกไปในที่สุด “ผมขอโทษนะอิฐ” นุ่นพูดด้วยความรู้สึกผิดจริง ๆ “ลูกมันเลือกไม่ได้หรอก” อิฐพูดออกไปแบบคนที่รู้จักลูกชายของตัวเองดี ตุ๊กตุ่นยืนเอาหลังพิงผนังห้อง แอบฟังพ่อและป๊าคุยกันต่อ “นุ่นเลี้ยงลูกมาดีพอใช่มั้ย” นุ่นถามอิฐออกไป ด้วยเสียงที่สั่นน้อย ๆ ตุ๊กตุ่นพยักหน้าให้กับคำถามนั้นของป๊า

“เทอมล่าสุด มันได้เกรดเฉลี่ยสี่จุดศูนย์ศูนย์นะ” ตุ๊กตุ่นจำได้ดี ที่ป๊าไปรับรอส่งเขาทุก ๆ ที่ ที่เด็กหนุ่มอยากไปเรียนเพิ่มหรือสนใจ โดยไม่เคยปริปากบ่นว่าเหนื่อยหรือรำคาญเลยสักครั้ง ตอนนั้นมีบางเรื่องที่ป๊านุ่นอยากให้เขาเรียนเพิ่ม ตุ๊กตุ่นก็เรียนให้อย่างขัดไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้อยากทำ มาตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว ถึงความหวังดีของป๊าที่มีให้

“ใจไม่ได้อยากจะบังคับเขาเลย แต่ไม่อยากให้เขาพลาดโอกาสเหมือนกับที่เราเคยเจอมา” อิฐเข้าใจกับสิ่งที่นุ่นพูด “โดยเฉพาะเรื่องนั้น” อิฐยื่นมือไปบีบมือของนุ่นเบา ๆ เมื่อรู้ว่าคู่ชีวิตของเขาพูดเรื่องที่พลาดงานสำคัญในอาชีพไป เพียงเพราะเรื่องที่มีคู่ครองเป็นผู้ชายด้วยกัน “เราเลยต้องเลิกกันด้วยเรื่องนี้น่ะนะนุ่น” อิฐถามออกไป น้ำเสียงของเขาก็สั่นด้วยเช่นกัน ตุ๊กตุ่นรู้สึกโหวง ๆ ในใจที่ได้ยินป๊าพูดแบบนั้น

“ลูกมีแฟนแล้วนะอิฐ” นุ่นพูด น้ำตารื้นขึ้นคลอหน่วย “ต่อไปก็ต้องแต่งงาน” นุ่นพูดต่อ “ให้มีเพียงแค่พ่อเจ้าบ่าว เป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวก็พอ ผมไม่อยากให้ลูกต้องพลาดสิ่งดี ๆ ในชีวิตไปเพราะผม” ตุ๊กตุ่นปาดน้ำตาออกจากใบหน้าอย่างลวก ๆ “คุณก็เห็นแล้ว ว่าแฟนลูก โพสต์อะไรบ้างในโซเชียลมีเดีย เกี่ยวกับเรื่องนี้” อิฐบีบมือของนุ่นแน่นขึ้น ส่งผ่านความรู้สึกที่เข้าใจดีและไม่เข้าใจเลยพร้อม ๆ กัน

ตุ๊กตุ่นลำดับภาพตั้งแต่เด็กจนโต นี่คงเป็นเหตุผลที่ป๊านุ่นของเขาไม่เคยแสดงตัวใด ๆ ที่โรงเรียน มีเพียงพ่ออิฐที่รับหน้าที่นั้น แต่ป๊าคือแรงผลักดันสำคัญอยู่เบื้องหลัง ตุ๊กตุ่นรู้ว่าป๊ารักเขามากแค่ไหน กับสิ่งที่ป๊าเฝ้าเพียรทำมันตลอดมา วันแล้ววันเล่า ก่อนจะต้องมาได้ยินว่า พ่อกับป๊าจะปล่อยมือจากกันเพราะสาเหตุนี้

*****************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

ไม่ปล่อยมือ Billkin x PP Krit

https://www.youtube.com/watch?v=cHVLOdpiwU8


โลกหมุนไป

The world spins

โดยที่เราไม่รู้ตัว

Not noticing it

สิ่งรอบรอบตัวก็ยังเปลี่ยนได้ทุกนาที

Things around us change almost every minute

บางทีความรักของเรา

Maybe our love

ก็เดาอะไรไม่ได้ดังใจ

We can’t predict or direct it

จะผิดจะพลั้งต้องลองกันไป

We can try just to make it work


บนหนทาง

On the road

มีอะไรที่แน่นอน

What seems to be certain?

ที่เคยคบวันก่อนเลิกกันง่ายง่ายก็มี

They were together the other day, now they’re not

บางทีชีวิตคนเรา

Sometimes our life

อาจเจอเส้นทางให้เดินเป็นร้อยเป็นพัน

See thousands of different paths lie down ahead of us

ต่างคิดต่างฝัน

Many dreams, alternative ones


ฉันก็แค่รู้ว่ามีแต่เธอที่อยู่ในใจ

All I know is only you within my heart

ฉันก็แค่รู้ว่าเธอคนเดียวที่มีความหมาย

All I care is you with all the meanings

ไม่จำเป็นต้องรู้สุดท้ายเป็นไง

Don’t need to know how the end will be

รู้แค่พรุ่งนี้จะเป็นเมื่อวานเมื่อผ่านเวลา

Realize only that tomorrow will be the past when time changes

รู้แค่ไม่ต้องสัญญาอะไรให้กันวันนี้

Just knowing promises are not needed today

มีกันและกัน

There, you and me

ไม่ว่าจะร้ายดี

For better or worse

เพียงแต่เราต่างคนไม่ปล่อยมือ

That we don’t let go our hands


ออกก้าวไป

Take a leap

ตามที่ใจเราต้องการ

However our hearts desire

อาจมีที่ไกลห่างแยกเดินกันคนละทาง

Though there may be times, we take each own separate avenues

แค่เพียงลึกลึกในใจ

Deep down inside

จะยังจดจำเรื่องราวที่สองเรามี

Memories of us still remain

เก็บไว้อย่างดี

Well kept alive


ฉันก็แค่รู้ว่ามีแต่เธอที่อยู่ในใจ

All I know is only you within my heart

ฉันก็แค่รู้ว่าเธอคนเดียวที่มีความหมาย

All I care is you with all the meanings

ไม่จำเป็นต้องรู้สุดท้ายเป็นไง

Don’t need to know how the end will be

รู้แค่พรุ่งนี้จะเป็นเมื่อวานเมื่อผ่านเวลา

Realize only that tomorrow will be the past when time changes

รู้แค่ไม่ต้องสัญญาอะไรให้กันวันนี้

Just knowing promises are not needed today

มีกันและกัน

There, you and me

ไม่ว่าจะร้ายดี

For better or worse

จะพบหรือเจออะไร

Whatever we are facing together

ไม่ว่าจะร้ายดี

For better or worse

เพียงแต่เราต่างคนไม่ปล่อยมือ

That we don’t let go our hands


บางครั้งเราก็ห่างกันไกล

Sometimes we are far away

และบางครั้งเราก็ต่างทางเดิน

Sometimes we take different turns

แต่สิ่งที่สำคัญ

The most important thing is

มันคือความในใจที่จะไม่เปลี่ยนไป

What we feel in our hearts, they won’t change


บางครั้งเราก็ห่างกันไกล

Sometimes we are far apart

และบางครั้งเราก็ต่างทางเดิน

Sometimes we’re on different journeys

แต่สิ่งที่สำคัญ

What important is

มันคือความในใจที่จะไม่เปลี่ยนไป

The feelings inside, they’re still the same


ฉันก็แค่รู้ว่ามีแต่เธอที่อยู่ในใจ

All I know is only you within my heart

ฉันก็แค่รู้ว่าเธอคนเดียวที่มีความหมาย

All I care is you with all the meanings

ไม่จำเป็นต้องรู้สุดท้ายเป็นไง

Don’t need to know how the end will be

รู้แค่พรุ่งนี้จะเป็นเมื่อวานเมื่อผ่านเวลา

Realize only that tomorrow is the past when time comes

รู้แค่ไม่ต้องสัญญาอะไรให้กันวันนี้

Just knowing promises are not needed today

มีกันและกัน

There, you and me

ไม่ว่าจะร้ายดี

For better or worse


จะพบหรือเจออะไร

Whatever we are going through together

เพียงแต่เราต่างคนไม่ปล่อยมือ

Just make sure we still hold our hands

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

Teaser เก้าฤกษ์ - นับฝัน



คุณ ๆ เคยเจอกับเหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกว่า ตัวคุณที่ปกติก็เป็นโนบอดี้แทบจะทุกเวลาอยู่แล้ว เกือบจะไม่มีใครมองเห็นเสียด้วยซ้ำ กลับอยากจะกลายเป็นซัมบอดี้ มีตัวตนในสายตาคนอื่นกับเขาบ้าง แต่ไม่ใช่กับทุกคนนะครับ สำหรับผมนายเก้าฤกษ์แล้วนั้น ผมขอแค่คนคนนี้เพียงแค่คนเดียว คนที่ผมตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็นในวันนั้น

“น้องนับฝันนี่เก่งมากเลยนะครับ ที่สามารถพาลูกค้ารายนี้มาให้บริษัทสำเร็จจนได้” เจ้าของชื่อยิ้มเขิน ๆ เมื่อรุ่นพี่พนักงานทีมบริหารเอ่ยชมออกมาอย่างตรง ๆ ส่ายหน้าพลางตอบออกตัวว่า “มันคงเป็นความโชคดีของผมมากกว่าน่ะครับ ไม่ใช่ความเก่งกาจอะไร” แต่พนักงานชายหลายคนในออฟฟิศ ที่พากันมายืนรุมล้อมเจ้าตัว ต่างพากันไม่เห็นด้วยที่นับฝันปฏิเสธ

“น้องนับฝันรู้มั้ยครับว่า มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน เพราะลูกค้ารายใหญ่รายนี้ เข้าถึงยากมาก พวกผู้หญิงแผนกเซลส์ยังไม่สามารถทำอะไรได้เลย ทั้ง ๆ ที่มีแต่พวกสวย ๆ เก่ง ๆ ทั้งนั้น” พี่พนักงานฝ่ายขายยืนยันอีกคน “แต่ผมเชื่อว่า มันเป็นเสน่ห์ในตัวของน้องนับฝันเขามากกว่านะ” เสียงฮือดังขึ้น แสดงความไม่พอใจของพนักงานหนุ่ม ๆ ในออฟฟิศ

“อย่างนี้มันต้องฉลองให้คนเก่งหน่อยแล้ว” เมื่อหัวหน้าทีมฝ่ายผลิต เดินผ่าเข้ามากลางวงสนทนายังไม่พอ ยังใช้แขนโอบเอวโอบไหล่นับฝัน จนหลายคนต้องเดินเข้ามาห้ามปราม “งานนี้ไม่มีพี่ไม่มีน้อง ตำแหน่งใหญ่โตกว่ายังไงก็ไม่มีผลนะ” หลายคนร้องสนับสนุนกับคำพูดนี้ นับฝันเองก็ดึงตัวเองถอยออกมาจากพี่ ๆ พนักงานทั้งหลาย ก่อนจะพูดบอกกับทุกคนว่า อย่ามีเรื่องกันเลย

นี่แหละครับ นับฝัน คนที่ผมฝันถึงมานานหลายเดือนแล้ว คนที่ผมอยากจะให้เขาหันมามองผมบ้างสักครั้ง แต่จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง ก็ตัวผมมันทั้งเห่ย ทั้งเชยแบบนี้ เสื้อเชิ้ต ผูกไท แว่นตาเฉิ่ม ๆ ใครที่ไหนกันเขาจะมามอง โดยเฉพาะคนที่ดูจะเพียบพร้อมเก่งไปเสียทุกเรื่องอย่างนับฝัน สำหรับผม ก็ทำได้แค่รู้สึกหึงอยู่ในใจ มองจากที่ไกล ๆ ตรงมุมออฟฟิศแบบนี้เท่านั้นแหละ ยังไงผมก็ไม่กล้าที่จะบอกออกไป ว่าผมตกหลุมรักนับฝันตั้งแต่แรกเห็น

“เริ่มต้นจากอันนี้ก่อนดีกว่า” หัวหน้าทีมผลิตบอกกับทุกคน “เพื่อให้น้องนับฝันรู้สึกประทับใจในตัวผม และทุกคนในแผนกเสียคะแนนในสายตาของน้องเขาด้วย ผม ขอเลี้ยงเครื่องดื่มทุกคนในแผนก จากร้านกาแฟที่เพิ่งมาเปิดใหม่ใต้อาคารของเรา” เสียงโห่ไล่ดังออกมาอย่างพร้อมเพรียง แต่ทุกคนก็มาลงชื่อเขียนออเดอร์ของตัวเองลงกระดาษจด

“เอ้า ไอ้เก้า ยืนเซ่อทำเหม่ออะไรอยู่ตรงมุมห้องนั่นอยู่ได้ แกนั่นแหละ เป็นคนลงไปซื้อให้ที” เสียงบ่นไล่ให้เก้าฤกษ์ที่เป็นเหมือนลูกไล่ให้คนในออฟฟิศอยู่เป็นประจำ ให้มารับคำสั่งได้แล้ว “น้องนับฝันล่ะครับ ชอบดื่มอะไร ยังไม่เห็นน้องนับฝันเขียนลงในออเดอร์” คงเหลือแต่ว่าที่พนักงานดีเด่นอย่างนับฝัน ที่ยังไม่ได้บอกว่าตัวเองต้องการเครื่องดื่มอะไร

“ชาเขียวเย็น” เก้าฤกษ์บอกออกไป โดยที่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองนับฝัน “ครับ ชาเขียวเย็น ขอบคุณมากนะครับที่จำได้ว่าผมชอบดื่มอะไร” เก้าฤกษ์ได้ยินนับฝันบอกขอบคุณกับเขา ตอนนี้ชายหนุ่มแทบจะทำตัวไม่ถูก มือที่หยิบเอากระดาษออเดอร์เครื่องดื่มของทุกคน สั่นไปหมด “ไอ้เฉิ่มเอ๊ย” พี่หัวหน้าทีมผลิตทำเสียงเหนื่อยหน่าย แบบไม่ถูกใจเป็นอย่างยิ่ง

“เดี๋ยวนี้มีใครเขาเรียกกันวะว่าชาเขียว มัทฉะลาเต้อะไรก็ว่าไปสิวะ” เก้าฤกษ์รู้ว่านับฝันยังคงมองเขาอยู่ พยักหน้ารับรู้กลับไปให้กับอีกฝ่าย ว่าเข้าใจแล้ว ก่อนจะรีบเดินกึ่งจ้ำอ้าวไปที่ลิฟต์ด้านนอกออฟฟิศ พอประตูลิฟต์เปิดก็รีบเดินเข้าไป พอประตูลิฟต์ปิด เก้าฤกษ์ก็ทั้งยิ้ม ทั้งบิดตัวเขินอยู่คนเดียว นี่เป็นครั้งแรกเลยมั้ง ที่ได้ใกล้ชิดกับนับฝันแบบนี้ แค่นี้ ถือว่าใกล้ชิดได้มั้ยนะ ใกล้ฤกษ์ถามคำถามนั้นพร้อมกับขำในความคิดของตัวเอง

ตลอดทั้งวัน เก้าฤกษ์ดูจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ใครใช้ให้เขาช่วยทำอะไร ก็ทำให้แบบไม่มีเสียงสองเสียงสามดังขึ้นในหัวแบบเซ็ง ๆ อย่างที่เคยเป็นมาทุกครั้ง ที่รู้ว่าถูกหลอกใช้ให้ทำงานเกินหน้าที่ ก็เพราะวันนี้ ได้ลงไปซื้อของอร่อยให้กับคนที่แอบชอบ ถึงแม้ว่าตลอดบ่ายวันนี้ จะไม่เห็นนับฝันเลยก็ตาม แต่แค่นี้ ความสุขของเขาก็มีแค่นี้

นี่แหละครับ ความสุขของผม ที่ได้ทำอะไรเพื่อคนที่ผมรัก แค่เห็นว่านับฝันมีรอยยิ้ม ผมก็นอนหลับฝันดีแล้ว แม้ว่าจะไม่ได้มีคำพูดหรือการกระทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ตอบแทนคืนกลับมาก็เถอะ แต่ผมก็ยินดีที่จะทำให้กับนับฝันของผม เสียดายที่เย็น ๆ หลังเลิกงานแล้วแบบนี้ ถ้าได้เป็นคนกดลิฟต์ให้กับนับฝัน ตอนกลับบ้าน วันนี้ก็คงจะเป็นวันที่เพอร์เฟกต์ สมบูรณ์แบบอย่างที่สุด

เก้าฤกษ์เดินเข้ามาในลิฟต์เพื่อจะกดลงไปที่ชั้นล็อบบี้ แต่ลิฟต์ก็ถูกเรียกจากชั้นที่สี่เสียก่อนที่ชายหนุ่มจะกดปุ่มชั้นที่ต้องการ ประตูลิฟต์เปิดออก เมื่อมาถึงที่ชั้นสี่ นับฝันเดินเข้าลิฟต์มา โดยที่เก้าฤกษ์ไม่นึกไม่ฝันมาก่อน ชายหนุ่มยืนตัวแข็งทื่อ ประหม่าไปหมด ทำอะไรไม่ถูก มองเห็นนับฝันเอื้อมมือไปที่แผงลิฟต์ ก็ได้แต่ยืนหน้าแดง เพราะไม่คิดว่าจะได้ยืนใกล้กันถึงขนาดนี้ สองต่อสอง แม้จะในลิฟต์ออฟฟิศก็เถอะ โรแมนติกชะมัดยาด เก้าฤกษ์คิด

“มัทฉะ” เก้าฤกษ์เห็นจากทางหางตาว่า นับฝันหันมาพูดกับเขา “เอ๊ยคือ” นับฝันหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเปลี่ยนคำ “ชาเขียวเย็นอร่อยมากเลย ขอบคุณอีกครั้งนะครับ” นับฝันมองเก้าฤกษ์พยักหน้าให้เร็ว ๆ กลั้นยิ้มไว้ในหน้า “แล้วเค้กส้มนั่นด้วย ขอบคุณมากนะครับ” เก้าฤกษ์ลืมตัว หันไปมองนับฝัน ก็ต้องสบตากันเข้าจัง ๆ “ไม่เป็นไรครับ ยินดีครับ” หัวใจที่เต้นแรงแทบจะหลุดออกมาจากอก นี่มันคือฝันไป เก้าฤกษ์ไม่อยากจะเชื่อตัวเอง

ก็พอดีกับเสียงลิฟต์ดังขึ้น พร้อมกับประตูเปิดออก นับฝันเดินออกจากลิฟต์ไป เก้าฤกษ์ขมวดคิ้ว นึกสงสัยกับชั้นที่ลิฟต์ลงมาจอด ชายหนุ่มกดปุ่มเปิดประตูลิฟต์อีกครั้ง นับฝันยังยืนอยู่ตรงนั้น เก้าฤกษ์มองไปที่เสาต้นที่ใกล้ที่สุด มันบอกว่าเป็นชั้นจอดรถล่างสุดของตึก ที่ไม่ได้เปิดใช้บริการมานานแล้ว เก้าฤกษ์มองไปที่นับฝัน ที่มองตรงมาที่เขาเช่นกัน ก่อนจะมีเสียงของหนัก ๆ หรืออะไรบางอย่างที่ตัวใหญ่ ๆ กระแทกลงบนพื้นจากมุมมืดด้านไกลลานจอดรถนั่น

“กลับขึ้นไปซะ” นับฝันสั่งด้วยเสียงเฉียบขาด ผิดกับน้ำเสียงนุ่มนวลที่เก้าฤกษ์ได้ยินทุกครั้ง “อะไรนะครับ” เก้าฤกษ์ถามออกไปแบบงง ๆ “คุณไม่ควรอยู่ที่นี่” นับฝันพูดเกือบจะเป็นการคำรามออกมาเสียด้วยซ้ำ “แต่ผมว่า ผมมีบางอย่างอยากจะบอกกับคุณนะ นับฝัน” เก้าฤกษ์พยายามจะพูดให้นับฝันฟัง “ไม่ใช่ตอนนี้” นับฝันดันตัวเก้าฤกษ์เข้าไปในลิฟต์ โดยที่ชายหนุ่มรู้สึกว่า ตัวเล็ก ๆ อย่างนับฝัน ทำไมแรงเยอะดีจัง สามารถใช้มือดันอกของเขา เลื่อนปื๊ดจากด้านนอกลิฟต์ให้เข้ามาด้านในได้อย่างง่ายดาย

“อูย นับฝันผลักผมแรงจัง เจ็บนะเนี่ย” ไม่พูดเปล่าเจ้าฤกษ์ทำท่าจะเดินออกจากลิฟต์อีกครั้ง นับฝันเห็นว่าจะไม่ได้การ ก็ผลักอีกฝ่ายอย่างแรงจนตัวของเก้าฤกษ์ ถอยหลังไปกระแทกกับผนังลิฟต์อย่างแรง โดยภาพสุดท้ายที่เก้าฤกษ์เห็นราง ๆ นั้น ก็คือภาพกึ่งหลับกึ่งฝัน เสียงคำรามของอะไรบางอย่างดังลั่นไปหมด เสียงลิฟต์ดังขึ้น ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบไป

***************************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

I ไม่ O - Billkin

https://www.youtube.com/watch?v=j-5f7AleaJo


ก็มันแอบหลง ตั้งแต่วันนั้น

Yeah, I have a crush on you since forever

ทั้งโลกของฉันกลายเป็นของเธอไป

My whole world that has become yours

ความสุขที่ฉัน ได้เฝ้ามองทุกวัน

My happiness is that I get to see you every day

แม้ระหว่างเรายังไม่เคยได้ทักทาย

Though there’s space that keeps us from chit - chat


ทั้งรู้ความจริงใครใคร มากมายก็แอบชอบเธอ

I know that many guys feeling the same about you

ฉันไม่ใช่คนเดียวที่มีแต่เธอในใจ

I’m not the only one with you on mind

แค่หึงหวงเธอไกลไกล ทำได้แค่ดู

Getting jealous from here, can't do anything near


I ไม่ O นะ you (No no คือไม่ O)

I’m not okay, and no is a no - no

เธอก็คงไม่รู้ (เรื่อง you คือไม่ O)

But you don’t really know, they desire you is a no - no

อยากซ่อนเธอเอาไว้

Want to hide you from everyone

แต่มันต้องทำแบบไหน

What should I be doing?

ตัวฉันเป็นใครจะห้ามความรู้สึกเธอ

Who am I to you to ban your feelings from other guys?


กลัวใครทำเธอหวั่นไหว

Afraid that someone gets you swept off feet

จะจูงมือเธอจากไป

Holding your hand away from me

แค่อยากเก็บเธอเอาไว้ให้มันนานนาน

Just want to keep you right here with me for long

ให้เธอเป็นของฉันคนเดียวได้ไหม

Can you be mine, only for me my dear?


ได้แต่แอบหวง อยู่ในความคิด

Me secretly being possessive, crazy in my mind

ผิดเองที่ฉัน มันยังไม่กล้าพอ

That’s my fault, I don’t have guts to say it

อยากจะส่งเสียงบอกความจริงเสียที

Want to tell you the whole truth

ว่าฉันน่ะ รักเธอมากมายไม่แพ้ใคร

That, yes, I do - love you more than any guy indeed

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ทีเซอร์: อชิระ - เจ้าเพียง (2)



“เด็กคนนั้น ไม่ควรต้องมาเจออะไรแบบนี้” อชิระได้ยินคุณปู่ตัวเอง พูดถึงเด็กในบ้านที่เป็นลูกชายของผู้หญิงที่เข้ามาเป็นแม่เลี้ยงของเขา “เราทำความเลวร้ายกับคนแม่ไม่พอ” คุณปู่ไอออกมาอย่างหนัก และมันเป็นอาการที่มากขึ้นกว่าเดือนก่อนเป็นเท่าตัว อชิระประคองคุณปู่ที่นอนอยู่บนเตียง ให้ขึ้นจิบน้ำ ผู้สูงวัยจิบได้เพียงนิดหน่อย ก็โบกมือบอกว่าพอแล้ว

“คุณปู่น่าจะให้หมอเข้ามาตรวจเพิ่มสักหน่อยนะครับ” อชิระพูดกับผู้เป็นปู่ ด้วยน้ำเสียงที่แสดงความเป็นห่วงอย่างยิ่ง “มันไม่มีประโยชน์อะไรแล้วล่ะ” คุณปู่บอกกับหลายชายคนโตของตัวเอง “มันเป็นผลกรรมที่ทำกับแม่ของเด็กนั่น ที่ตามปู่มาจนทัน หมอถึงหาสาเหตุไม่ได้สักที ว่าทำไมปู่ถึงป่วยแบบนี้” ชายชราพูดพลางหัวเราะคล้ายกับจะเย้ยหยันกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง

“คุณปู่ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย” อชิระรีบพูดบอกกับคุณปู่ของตัวเอง ก่อนจะส่ายหน้าเมื่อรู้ดีว่า ใครกันแน่ ที่เป็นคนเริ่มต้นเรื่องราวยุ่งเหยิงทุกอย่างนี้ “มันเกิดจากความไม่รู้จักพอของเขาคนเดียว” อชิระเลี่ยงที่จะไม่เรียกผู้ให้กำเนิดออกมาตรง ๆ “ปู่เองก็มีส่วนที่จะต้องรับผิดชอบ” ผู้เป็นหลานชาย ที่จะต้องรับหน้าที่สืบทอดกิจการขอวงศ์ตระกูลต่อจากนี้ มองใบหน้าของคุณปู่ ที่ตอนนี้อิดโรยเต็มที

“ปู่สามารถห้ามไม่ให้ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ แต่ปู่ก็เลือกที่จะไม่ทำ” ชายชราไอโขลกออกมาอย่างหนัก และคราวนี้ มีเลือดติดผ้าเช็ดหน้าที่ใช้ปิดปากออกมาได้ “เวลาของปู่ใกล้จะหมดลงแล้ว” ชายหนุ่มรับรู้ได้ในทันที “แต่เวลาของแก อชิระ” ว่าปู่ของเขาต้องการจะสั่งเสียอะไรกับเขาเอาไว้ “ยังพอมีให้แก้ตัว และทำดีกับเด็กคนนั้นแทนปู่ แทนพวกเราทุกคนได้” อชิระก้มลงมองมือที่อ่อนแรงของคุณปู่ บีบเบา ๆ ที่มือของเขา

เสียงบีบแตรในกระแสจราจร ดึงความคิดของอชิระให้กลับมา เสียงขอโทษจากคนขับรถดังมา เมื่อเผลอสบถไล่รถคันข้างหน้า ที่แทรกตัดหน้าอย่างกระชั้นชิด จนคนขับรถต้องเบรกกะทันหัน อชิระโบกมือว่าไม่เป็นอะไร ก่อนจะก้มลงมองเวลาบนนาฬิกาข้อมือหรู ที่เคยเป็นเรือนโปรดของคุณปู่ของเขา คนขับรถสังเกตเห็นชายหนุ่มแบบนั้น ก็บอกว่า ยังไงอชิระก็ไปถึงที่งานเลี้ยงทันเวลาอย่างแน่นอน

“เจ้าเพียง” หนุ่มใหญ่เจ้าของบริษัทที่เพิ่งเจอกับเจ้าของชื่อเป็นครั้งแรก เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ “ชื่อแปลก แต่ว่าก็น่ารักดีนะครับ” แสดงให้เห็นว่าเขารู้สึกเอ็นดู ทันทีที่ได้ยินมัน “จริง ๆ แล้ว แม่ตั้งชื่อให้ผมว่า เพียงออ เพราะพ่อชอบเสียงจากขลุ่ยชนิดนี้น่ะครับ” เจ้าของชื่ออธิบายให้กับหนุ่มใหญ่เจ้าของบริษัทได้ฟัง

“แต่ว่า” ภาพใบหน้าของชายชราที่เคยมอบความเมตตาให้กับเขา ผุดขึ้นมาให้ได้เห็นในความคิด “มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่ผมให้ความเคารพมาก ๆ เคยเรียกผมว่าเจ้าเพียงน่ะครับ ใคร ๆ ได้ยิน ก็เลยติดเรียกตามกันมาจนถึงตอนนี้” เจ้าของชื่ออธิบายที่มาที่ไปต่อจนจบ “ผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง” หนุ่มใหญ่พูดขึ้น พลางเลิกคิ้ว สงสัยกับความหมายของมัน ว่ามันใช่อย่างที่เขาเข้าใจหรือเปล่า

“คุณปู่ของผมเองน่ะครับ” เจ้าเพียงได้ยินเสียงนั้น ก็จำได้ไม่ยากว่าเป็นอชิระ “ไม่ใช่ผู้ใหญ่อย่างว่า อย่างที่ใคร ๆ อาจจะคิดกันหรอกครับ” อชิระเดินเข้ามาหยุดอยู่ข้าง ๆ กันกับเจ้าเพียง ชายหนุ่มมองไปที่ใบหน้าของอีกฝ่าย ที่ยังไม่ยอมหันมาสบตากับเขา “เจ้าเพียงเขาเคยอาศัยอยู่กับผมมาหลายต่อหลายปีน่ะครับ” ได้ผล เจ้าเพียงหันขวับมาสบตากับอชิระ ที่รออยู่แล้ว

“อ้าวคุณอชิระ รู้จักคุณเพียงออด้วยหรือครับ” หนุ่มใหญ่ถามขึ้น นึกแปลกใจกับท่าทีที่อชิระแสดงออกมาอยู่พอสมควร เหมือนชายหนุ่มกำลังขุ่นใจ ที่เห็นเจ้าเพียงคุยกับเขา “คุณปู่ผมเรียกเจ้าตัวเขาว่า เจ้าเพียงน่ะครับ” แววตาที่อชิระใช้มองไปที่เจ้าเพียง มันมีอาการหยอกล้ออยู่ในที แถมปนไปด้วยความดีใจที่ได้เจออีกฝ่ายในตอนนี้

“เป็นญาติกันหรือครับ” หนุ่มใหญ่ถามขึ้น “หรือว่าพี่น้อง” อชิระที่ไม่ทันได้เตรียมตอบคำถามนั้น ชะงักไปเช่นกัน “เปล่าหรอกครับ เราไม่ได้เป็นอะไรที่ดูดีขนาดนั้น” เป็นที่เจ้าเพียงที่ใช้แววตาของคนที่กุมความลับอะไรบางอย่างเอาไว้ และจะใช้มันเพื่อความเป็นต่อของตัวเอง “ผมอยู่ที่นั่น ในฐานะแค่เด็กในบ้านเท่านั้น” อชิระย่นคิ้วห้ามไม่ให้เจ้าเพียงพูดอะไรต่อจากนั้นอีก

“แต่แม่ผมน่ะสิ ที่อยู่ในบ้านนั้นในฐานะ” ยังไม่ทันที่เจ้าเพียงจะจบประโยคนั้น อชิระก็คว้าข้อมือ กึ่งดึงกึ่งลากเจ้าเพียงให้เดินตาม โดยไม่สนใจว่าหนุ่มใหญ่คนนั้นจะงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น “นี่เธอเป็นบ้าอะไรของเธอ” ทันทีที่อชิระเห็นว่า เขาทั้งสองคนหลบมุมอยู่กันตามลำพังแล้ว ก็เอ่ยปากดุอีกฝ่ายในทันที

“คุณไม่มีสิทธิ์มาใช้น้ำเสียงดุใส่ผมแบบนี้แล้วนะ” เจ้าเพียงใช้สิทธิ์ของตัวเองในทันที เพราะเขาไม่ได้อยู่ที่บ้านหลังนั้นอีกแล้ว “แต่เธอกำลังจะพูดอะไรที่ทำให้ตัวเธอดูไม่ดี ฉันไม่ชอบที่เห็นเธอทำแบบนั้น” อชิระว่าเจ้าเพียงออกไป “ทำไมหรือครับ คุณจะมาเดือดร้อนอะไรกับเรื่องที่ผมยอมรับว่า แม่ของผมเป็นคนใช้บ้านคุณ” เจ้าเพียงพูดออกไปเอง แต่นั่นก็ทำให้รู้สึกเสียดแทงในใจแบบแปลก ๆ

“ไม่สิ พวกคุณต่างหาก ที่บังคับให้แม่ผมต้องเป็นแบบนั้น” อยู่ ๆ น้ำตาก็รื้นขึ้นคลอหน่วย จนเจ้าเพียงต้องกะพริบตาถี่ ๆ พยายามไล่หยาดน้ำนั้นให้หายไป อชิระเห็นอาการนั้นของเจ้าเพียง ก็พยายามจะพูดคลี่คลายอารมณ์นั้นของอีกฝ่าย “ฉันไม่ต้องการให้ใครเอาเธอไปพูดลับหลังในแง่ไม่ดี” อชิระหมายความว่าตามนั้นจริง ๆ แต่เป็นที่เจ้าเพียงที่ไม่เชื่อมันเลยสักนิด

“ไม่ใช่เป็นที่คุณเองหรอกหรือ ที่กลัวว่าคนอื่นจะรู้ ว่ามีแม่เลี้ยงเป็นคนใช้ในบ้าน” เจ้าเพียงพูดใส่หน้าอชิระออกไป ทำเอาชายหนุ่มลืมตัว ใช้สองมือคว้าต้นแขนทั้งสองข้างของเจ้าเพียง ดึงให้ตัวของอีกฝ่ายรั้งเข้าหาตัวเขาในทันที เจ้าเพียงนึกตกใจกับที่อชิระทำเช่นกัน “เจ้าเพียง” แววตาและน้ำเสียงที่อชิระใช้มันทำให้เจ้าเพียงรู้สึกกลัวขึ้นมา อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน อชิระมองเห็นใบหน้าของเจ้าเพียง ห่างจากปลายจมูกของเขาไปเพียงแค่คืบเดียว และพอเห็นแววตาที่ตกใจกลัวของอีกฝ่าย ชายหนุ่มก็ผ่อนอารมณ์ลงในทันที

“ปล่อยผม” เสียงของเจ้าเพียงดังให้อชิระได้ยิน “ไม่ปล่อย” คำพูดนี้ ดึงเอาสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนั้นมาให้ทั้งสองคนจดจำได้อีกครั้ง ในคืนที่อชิระใช้ริมฝีปากสัมผัสเรียวปากนั้นของเจ้าเพียง “คุณใช้เหตุผลแบบครั้งนั้นไม่ได้เป็นครั้งที่สอง” เจ้าเพียงเอ่ยกับอีกฝ่าย “คืนนั้นฉันเมามาก” อชิระพูด “แต่วันนี้คุณไม่ได้เมา” เจ้าเพียงบอกออกไป “วันนี้ฉันไม่ได้เมา” สายตาของอชิระ อ้อยอิ่งอยู่กับริมฝีปากของเจ้าเพียง ที่เจ้าของริมฝีปากนั้นก็รู้ตัวเช่นกัน ว่าอีกฝ่ายกำลังมองอะไรอยู่

“หนีมาหลบอะไรกันอยู่ตรงนี้คะเนี่ย” อชิระและเจ้าเพียงเห็นนักข่าวจากช่องซุบซิบแวดวงดาราและไฮโซเอ่ยทักเสียงดัง “ไม่น่าเชื่อนะคะ ว่าคุณอชิระ จะมีน้องชายโตขนาดนี้แล้ว แถมยังน่ารักอีกต่างหาก ไม่เคยได้ข่าวเรื่องนี้มาก่อนเลยด้วย” คำพูดของนักข่าวสาว ไม่ได้ปิดบังใด ๆ เลย ว่าเธอไม่เชื่อที่ตัวเองเพิ่งพูดออกมาเลยสักนิด เช่นกัน

“คนละแม่น่ะครับ” อชิระตอบออกไป “และเขาก็ค่อนข้างเก็บตัว” นักข่าวสาวพยักหน้าน้อย ๆ หัวเราะในลำคอหน่อย ๆ แบบตามน้ำไปอย่างนั้นเอง “ถ่ายรูปเก็บเอาไว้สักหน่อยมั้ยล่ะครับ” อชิระเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นนักข่าวสาวตั้งกล้องรออยู่แล้ว “คุณจะทำอะไร” เจ้าเพียงถามขึ้น อยากจะพูดปฏิเสธออกไป “ทำตามฉันเถอะน่า” อชิระบอก ก่อนจะทำทีจัดท่าทางให้นักข่าวสาว เพื่อใช้ถ่ายรูป

“เป็นข่าวใหญ่นะคะ คุณผู้ปกครองและเด็กในปกครอง” นักข่าวสาวยิ้มกว้าง ใช้คำพูดของอชิระมาเอ่ยยำ “ช่วยเมตตาเราสองคนให้เยอะ ๆ นะครับ” นักข่าวสาวรู้ดี ว่าอชิระหมายถึง เมื่อเขียนข่าวออกมา ก็ให้มันอย่าตีสีใส่ไข่จนเกินงามไปนัก “ไม่รับปากนะคะ แต่จะพยายาม” ทันทีที่นักข่าวพูดจบ อชิระก็ยกแขนขึ้นโอบไหล่ของเจ้าเพียง พอดีกับที่นักข่าวกดชัตเตอร์ลั่นภาพรัว ๆ เก็บเข้ากล้องไปเรียบร้อย

“คุณเป็นบ้าอะไรของคุณ” เจ้าเพียงดึงตัวออกจากวงแขนของอชิระในทันที ที่นักข่าวสาวคนนั้นเดินจากไป “ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อทะเลาะกับเธอ” อชิระยังรู้สึกตัวเองดี ว่าหัวใจของเขานั้นกำลังเต้นแรงมากแค่ไหน จากความรู้สึกที่เพิ่งมีเจ้าเพียงอยู่ในอ้อมแขนของเขา ชายหนุ่มได้แต่แสดงอาการเป็นปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พยายามควบคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่น จากอาการหัวใจหวั่นไหว

“เธอจะกลับมาที่บ้านเมื่อไหร่” อชิระถามขึ้น เจ้าเพียงหลบสายตานั้นของชายหนุ่ม “ผมไม่ได้อยู่บ้านหลังนั้นแล้ว ผมจะไม่กลับไป” เจ้าเพียงตอบออกไปเด็ดขาด “ยายจ๋าต้องการเธอนะ” อชิระรู้จุดอ่อนข้อนี้ของเจ้าเพียงดี ซึ่งเจ้าเพียงนั้น ก็กำลังเตรียมพร้อมเพื่อไปรับยายจ๋ามาอยู่ด้วยกัน “มันเป็นโอกาสเดียวและอาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายแล้วนะ ที่จะไปเจอยายจ๋าของเธอ” อชิระพูดกระตุ้นจุดอ่อนของเจ้าเพียง “วันเสาร์นี้ แล้วฉันจะรอ” อชิระพูดเสียงอ่อน “ถือว่าเรานัดกันแล้วนะ” อชิระยิ้มให้อีกฝ่าย เมื่อเจ้าเพียงพยักหน้าตอบตกลงออกไป

“ยิ้มหน่อย” อชิระที่อยู่ไม่ห่างจากเจ้าเพียงตลอดทั้งงาน คอยพูดเตือนให้อีกฝ่ายทำให้แนบเนียน เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น “สนุกมากใช่มั้ย” เจ้าเพียงเสียงแข็งใส่ชายหนุ่ม “เธอนี่ไม่เคยเข็ดนะ” อีกครั้งที่เจ้าเพียง กลับเข้าสู่อ้อมแขน ที่อชิระเดินโอบไหล่เข้าเพียงไปทั่วทั้งงาน “โอเค รู้แล้ว เข้าใจแล้ว” เจ้าเพียงมองเห็นอชิระเผยยิ้มออกมา ในแบบที่กำลังรู้สึกพึงใจ ซึ่งเป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้เห็นมานานแล้ว “แต่มันสายไปหน่อยนะ” อชิระกระชับวงแขนของตัวเองให้แน่นขึ้น ก่อนจะเดินพาเจ้าเพียงไปพบปะผู้คนมากหน้าหลายตาจนทั่วทั้งงาน

**********************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

มีผลต่อหัวใจ - นนท์ ธนนท์ จำเริญ

https://www.youtube.com/watch?v=eiYRHsTzvjs


บางอย่างก็ไม่เปลี่ยนไป

Something does never ever change

แม้อะไรอะไรจะเปลี่ยน

Though many other things do

บางสิ่งก็คล้ายบทเรียน

It is one lesson learned

ที่ฉันไม่เคยผ่านมันได้เลยซ้ำซ้ำ

That I can’t ever get past it, over and over


แค่วันนี้ได้สบสายตา

I’ve got to look in your eyes today

แค่พูดคุยกันไม่กี่คำ

Some words have been exchanged

ต่อให้เฝ้าระวัง ให้ยั้งยังไง

I was extra careful, trying to prevent it

ก็พลั้งพลาดไปทุกที

I failed to do so, oh typically me

เคยคิดเวลาจะช่วยทำใจ

I thought time would help my heart to heal

ให้ฉันลืมเธอคนนี้

That I’d be able to forget you

แต่แล้วอาการเดิมเดิมก็กลับมา

And here I am, doing the same things all again


สุดท้ายฉันก็พ่ายแพ้

I am defeated, at the end of the day

แพ้ให้ใจตัวเองที่ไม่เคยหยุดรักเธอ

Surrender to my own heart that doesn’t stop loving you

สุดท้ายฉันยังรอคอยเธอเสมอ

Now you know I’m still waiting for you, always

แม้จะเนิ่นนานสักเพียงไหน

No matter how awfully long it has been

เธอยังคงมีผลต่อหัวใจ

You are the one that matters to my heart

ไม่หายรักเธอได้สักที

Can’t get over you, I really can’t


ทำไมยังรู้สึกดี

Why am I feeling good about it, still?

ทั้งที่เธอไม่เคยมีใจ

You have never showed you’ve cared

ทำไมยังรู้สึกหวั่นไหว

Why is my heart still trembling, you see?

ทั้งทั้งที่รู้แก่ใจเป็นไปไม่ได้

I thought I knew, we could never be


แค่วันนี้ได้สบสายตา

I’ve got to look in your eyes today

แค่พูดคุยกันไม่กี่คำ

Some words have been exchanged

ต่อให้เฝ้าระวัง ให้ยั้งยังไง

I was extra careful, trying to prevent it

ก็พลั้งพลาดไปทุกที

Yet, I failed to do so, oh typically me

เคยคิดเวลาจะช่วยทำใจ

I thought time would help my heart to heal

ให้ฉันลืมเธอคนนี้

That I’d be able to forget you

แต่แล้วอาการเดิมเดิมก็กลับมา

And here I am, doing the same things all again


สุดท้ายฉันก็พ่ายแพ้

I am defeated, at the end of the day

แพ้ให้ใจตัวเองที่ไม่เคยหยุดรักเธอ

Surrender to my own heart that doesn’t stop loving you

สุดท้ายฉันยังรอคอยเธอเสมอ

Now you know I’m still waiting for you, always

แม้จะเนิ่นนานสักเพียงไหน

No matter how awfully long it has been

เธอยังคงมีผลต่อหัวใจ

You are the one that matters to my heart

ไม่หายรักเธอได้สักที

Can’t get over you, I really can’t


สมองไม่เคยมีแรงจะสั่งหัวใจ

My brain doesn’t function to command my heart

ไม่มีปาฏิหาริย์ไหนพอจะทำให้เปลี่ยนไป

None of miracles is magical enough to change me

ไกลเกินจากฝัน เธอเกินเอื้อมมือฉัน

Far away from dreams, you’re out of my league

เป็นได้เพียงแค่เพื่อนกันแค่เท่านั้น

Friends, that all we can be - that’s it

แค่เท่านั้น

That’s all we are


สุดท้ายฉันก็พ่ายแพ้

I am defeated, at the end of the day

แพ้ให้ใจตัวเองที่ไม่เคยหยุดรักเธอ

Surrender to my own heart that doesn’t stop loving you

สุดท้ายฉันยังรอคอยเธอเสมอ

Now you see I’m still waiting for you, always

แม้จะเนิ่นนานสักเพียงไหน

No matter how awfully long it has been

เธอยังคงมีผลต่อหัวใจ

You are the one that matters to my heart


แล้วฉันก็พ่ายแพ้

Now I’m not a winner, a sore loser

แพ้ให้ใจตัวเองที่ไม่เคยหยุดรักเธอ

Surrender to my own heart that can’t stop loving you

สุดท้ายฉันยังรอคอยเธอเสมอ

Now you see I’m still waiting for you, forever

แม้จะเนิ่นนานสักเพียงไหน

No matter how awfully long it will have been

เธอยังคงมีผลต่อหัวใจ

You are the one that keeps my heart go on

ไม่หายรักเธอได้สักที

Can’t get over you, that won’t happen


รู้ว่าควรจะพอแต่ก็ทำไม่ไหว

Know that I should stop but I really can’t

รู้ว่าควรจะพอแต่ก็ทำไม่ได้

Know that I should quit but I can never

ให้ทำอย่างไร

What should I do?

รู้ว่าควรจะพอแต่ก็ทำไม่ไหว

Know that I should stop yet I still do it

รู้ว่าควรจะพอแต่ก็ทำไม่ได้

Know that I should quit yet I really won’t


ก็ใจ

My heart, oh well
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-05-2024 14:37:51 โดย KADUMPA »

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0


Teaser: จิ๊กโก๋ - คุณหนู



“เฮ้ย ๆๆ อย่าเพิ่งดับนะโว้ย” ไอ้จิ๊กโก๋ตะโกนร้อง เมื่อมอเตอร์ไซค์เก่าเก็บแต่คู่ใจของมัน มาทำเสียงคอกแคกจะดับแหล่ไม่ดับแหล่ใส่มัน “เหี้ยแล้วไง” จิ๊กโก๋ตะโกนใส่รถอีกครั้ง ทันทีที่เสียงเครื่องยนต์เงียบหายไป ก่อนที่รถจะดับจนนิ่ง จิ๊กโก๋ทำเสียงฮึดฮัดในลำคอ ใช้เท้าทั้งสองถีบยันพื้นถนน เพื่อนำรถจักรยานยนต์ที่เพิ่งไปทำเครื่องยนต์มาหมาด ๆไถเข้าไปจอดที่ข้างทาง

“ไอ้อู่เวรนี่ มันเล่นกูเข้าแล้วไง แม่งเอ๊ย” จิ๊กโก๋รู้สึกเซ็งอย่างที่สุด ที่อุตส่าห์เชื่อการรีวิวในโซเชียลมีเดีย นำรถไปซ่อมกับอู่ที่เขาบอกกันว่าดีนักดีหนา “ยังไม่พ้นอาทิตย์เลยแม่ง” สบถออกมาอีกรอบเพื่อระบายความหงุดหงิด “ห่าเอ๊ย แล้วกูจะไปยังไงต่อดีวะเนี่ย” พูดไปก็มองซ้ายมองขวา มองหน้ามองหลัง มองสำรวจไปทั่วบริเวณ

“ถนนแถวนี้ ก็ไม่คุ้นเสียด้วยสิ” จิ๊กโก๋ พูดกับตัวเอง และเป็นที่มันเองนั่นแหละ ที่เลี้ยวไม่ทันตรงแยกไฟแดงที่แล้ว มันถึงต้องขี่มอเตอร์ไซค์ตรงมาเรื่อย ๆเพื่อจะหาที่กลับรถ แต่เจ้ากรรม รถของมันมาซี้แหง็กอยู่ตรงนี้เสียก่อน “โรงเรียนหรืออะไรวะเนี่ย หรูฉิบหาย” จิ๊กโก๋ที่ยังนั่งคร่อมมอเตอร์ไซค์อยู่ ชะโงกมองข้ามรั้วที่ปลูกต้นไม้ขนานกับถนน ยาวไปตลอดทั้งทาง

ยังไม่ทันที่จิ๊กโก๋จะได้รับคำตอบกับข้อสงสัยของตัวเอง ตรงช่องว่างระหว่างรั้วต้นไม้นั้น ก็มีร่างเล็ก ๆร่างหนึ่ง พยายามแทรกตัวออกมา เจ้าของใบหน้าที่เหยเกมองมาทางจิ๊กโก๋แบบตกใจอยู่เหมือนกัน ที่อยู่ ๆก็มีคนมานั่งมองจากริมถนน แต่ก็ดูจะรีบร้อนพยายามจะพาตัวเองออกจากรั้วต้นไม้นั้นให้ได้มากกว่า

“อ้าว เฮ้ย อะไรกันวะเนี่ย” ไอจิ๊กโก๋ร้องออกมาเสียงดัง เมื่อเห็นเด็กหนุ่มวัยใกล้เคียงกันกับเขา แทรกตัวออกมาจากพุ่มไม้นั้นได้สำเร็จ “แล้วทำไมไม่เดินออกมาจากประตูดี ๆ” มันถามเจ้าของใบหน้าจิ้มลิ้มนั้น ที่ตอนนี้มองมาทางมันอย่างลังเลอะไรบางอย่าง “อ้าวไอ้เด็กนี่ ถามไม่ตอบ รวยแล้วหยิ่งหรือไง” จิ๊กโก๋มั่นใจว่า เสียงของมันดังมากพอ ไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะไม่ได้ยินที่มันถามออกไป

“อะไร” มันถามอีกฝ่ายออกไป เมื่อเห็นว่า เด็กบ้านรวยนั่นเดินมาหยุดยืนอยู่ที่ข้างรถของมัน “หนีโรงเรียนหรือไง” มันถามออกไป มองเห็นอีกฝ่ายหันหน้ากลับไปมองที่รั้วพุ่มไม้นั้น เหมือนกับกลัวว่า จะมีใครตามมาจนเจอ “ทำไม” จิ๊กโก๋ถามออกไปอีกครั้ง เมื่อเด็กหนุ่มที่ตัวเล็กกว่ามันหันมาสบตา เหมือนกับอยากจะขอร้องให้มันช่วยอะไรบางอย่าง

“รถมันเสีย” จิ๊กโก๋ก็พอจะเข้าใจแหละ ว่าอีกฝ่ายที่ชี้นิ้วมาที่มอเตอร์ไซค์ของมัน พยายามจะหมายความว่าอย่างไร “รถกูมันดับเมื่อกี้นี่เอง ก่อนหน้าที่มึงจะโผล่ออกมาจากรั้วนี่แหละ” พูดไปขนาดนี้ แต่เด็กบ้านรวยที่ไอ้จิ๊กโก๋ไปเรียกเขาแบบนั้น ก็พยักหน้าเร็ว ๆทำหน้าอ้อนวอน ขอให้มันช่วยพาเขาออกไปจากตรงนี้ก่อน ไปตอนนี้เลย

“รถมันเสีย” ไอ้จิ๊กโก๋ทำเสียงดุข่ม เมื่อดูว่าอีกฝ่ายจะพูดไม่ฟัง “ก็บอกว่า” ไอ้จิ๊กโก๋อยากจะขึ้นเสียงใส่อีกฝ่ายอีกรอบ เมื่อเด็กบ้านรวยหน้าตาชวนมองนั่น คะยั้นคะยอให้จิ๊กโก๋สตาร์ทรถ แล้วพาออกไปจากตรงนี้ได้แล้ว “อ้าว เฮ้ย” จิ๊กโก๋เสียงหลงไม่น้อย เมื่ออยู่ ๆหลังจากที่เขากระทืบเท้าลองสตาร์ทรถ เสียงเครื่องยนต์มันก็กลับคำรามดังขึ้นมาอีกครั้ง

“ติดได้ไงวะ แล้วมึงจะไปไหน ให้กูพาไปไหน” ไอ้จิ๊กโก๋ถามออกไป มองดูเด็กบ้านรวยเก้ ๆ กัง ๆมองดูเบาะซ้อนท้ายรถของไอ้จิ๊กโก๋ ว่าจะขึ้นนั่งยังไงดี “อย่าบอกนะ ว่าไม่เคยนั่งซ้อนท้ายมาก่อนเนี่ย” เด็กบ้านรวยปราดสายตาจากริมฝีปากของไอ้จิ๊กโก๋ ขึ้นมาสบตากับมัน ก่อนจะส่ายหน้าเป็นคำตอบ “อ้ะงั้นมึงใส่นี่ก่อน” จิ๊กโก๋เอาหมวกกันน็อคที่แขวนไว้ที่แฮนด์จับมอเตอร์ไซค์ มาใส่ให้กับอีกฝ่าย

“เดี๋ยวลูกเขาเป็นอะไรไป กูทำคืนให้ได้ไม่เหมือนเดิม” เด็กบ้านรวยมองไปที่ใบหน้าของไอ้จิ๊กโก๋ ที่มันดูตั้งใจจะใส่หมวกกันน็อคให้อีกฝ่ายอย่างตั้งใจ “แล้วตกลงจะไปไหน” มันถามอีกฝ่ายอีกครั้ง เมื่อมีเสียงผู้ชายสองสามคนดังถามกันลอดรั้วมาว่า เห็นคนที่กำลังตามหาบ้างมั้ย เด็กบ้านรวยพยักพเยิดหน้า เหมือนกับจะบอกกับไอ้จิ๊กโก๋ว่า ไปไหนก็ได้ ขอให้ไปก่อนเถอะ

“มึงพูดเองนะ ไอ้ลูกคุณหนู” ไอ้จิ๊กโก๋ว่าแบบนั้น เมื่อฉุดแขนให้ลูกคุณหนูของมัน ขึ้นมานั่งคร่อมซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ของมันได้เแล้ว “เดี๋ยวกูซิ่งให้ มึงจับดี ๆก็แล้วกัน” ไอ้จิ๊กโก๋บิดเร่งเครื่องพามอเตอร์ไซค์ออกไปจากตรงนั้น มันเลี้ยวสองสามเลี้ยว ก่อนที่จะพาทั้งตัวมันและลูกคุณหนู เข้าสู่เส้นทางถนนที่มันรู้จักและคุ้นเคย

เย็นจนเกือบจะค่ำแล้ว คุณหนูของบ้านก็ยังกลับมาไม่ถึง คนที่ดูจะกระวนกระวายใจมากที่สุด ก็คงจะเป็นนมอ่อน ผู้ที่เลี้ยงดูคุณหนูมาตั้งแต่เล็ก ที่เดี๋ยวก็ผุดลุกผุดนั่ง ชะโงกหน้าผลุบโผล่ไปที่ด้านหน้าของบ้าน ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงรถคันไหนขับผ่านไปมา นมอ่อนมองเข้าไปในตัวบ้านหลังใหญ่ คุณท่านกับคุณผู้หญิงนั่งรอลูกชายคนเดียวอยู่ในบ้าน ไม่ยอมขึ้นไปพักผ่อนที่ขั้นบนเช่นกัน มาตั้งแต่คนรถรายงานว่า คุณหนูแอบหนีออกไปจากโรงเรียนพิเศษ

“คุณหนู นั่นคุณหนูมาแล้ว” เสียงคนสวนที่เห็นเด็กหนุ่มเดินผ่านประตูรั้วบ้านเข้ามา ร้องบอก “คุณหนู คุณหนูของนมอ่อน หายไปไหนมาคะ แล้วนี่เป็นอะไรมั้ย เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” คุณหนูของนมอ่อนหัวเราะออกมาเบา ๆเมื่อถูกนมอ่อนจับพลิกตัวไปมา มองหาร่องรอยบาดแผล ด้วยความเป็นห่วง “คุณพ่อกับคุณแม่เป็นห่วงคุณหนูมากเลยนะคะ” จากตรงนั้น รอยยิ้มของคุณหนูก็พลันหายไป

“ทำแบบนี้ คิดหรือว่าพ่อกับแม่จะยอมใจอ่อน” ทันทีที่คุณท่านเห็นลูกชายคนเดียวเดินเข้าบ้านมากับนมอ่อน ด้วยความโมโหก็เอ่ยปากเอ็ดตะโรลูกชายออกไป “คุณคะ ใจเย็น ๆก่อน พูดกับลูกดี ๆ” เสียงคุณผู้หญิงปรามผู้เป็นสามีของเธอ ก่อนจะทำท่าทางบอกให้นมอ่อนพาคุณหนูขึ้นห้องนอนไป “คุณก็เลิกให้ท้ายลูกเสียที” คุณท่านหันไปบ่นผู้เป็นภรรยา

“ไป ๆนมอ่อน พาคุณหนูของเธอไปให้พ้นหน้าฉันก่อนไป” ก่อนจะโบกมือโบกไม้ บอกให้นมอ่อนที่ตามใจคุณหนูของบ้านกว่าใคร ให้พาขึ้นชั้นบนไป นมอ่อนกุลีกุจอ ดุนหลังคุณหนูผู้เป็นที่รักของทุกคนในบ้าน ที่ยืนหน้าคว่ำงอง้ำอยู่ ให้เดินขึ้นห้อง พอเข้าห้องนอนมาได้ คุณหนูของบ้านก็หันมายิ้มแฉ่งกับนมอ่อน “อย่ามายิ้มเชียวนะคะ ทำแบบนี้ น่าจะโดนทำโทษนัก” พูดจาขึงขังไปอย่างนั้นเอง ยังไงนมอ่อนก็ทำคุณหนูของเธอไม่ลง

“อะไรนะคะ” นมอ่อนถึงกับขมวดคิ้วด้วยความสงสัย แต่ก็ยิ้มตามรอยยิ้มกว้างของคุณหนู ที่ใช้ภาษามือบอกกับนมอ่อนว่า “วันนี้สนุกมากเลยหรือคะ” คุณหนูพยักหน้าเร็ว ๆยืนยันคำพูดที่เพิ่งบอกกับนมอ่อนไป “ว่าแต่ คุณหนูไปทำอะไรมาคะเนี่ย” พูดพลางจับมือของคุณหนูขึ้นมาดู “ตายแล้ว คุณหนู อะไรติดมือมาคะเนี่ย” คุณหนูยิ้มเขิน ๆให้กับนมอ่อน “ข้าวเหนียว” แววตาของคุณหนูของนมอ่อน กระหวัดนึกถึงเด็กหนุ่มที่โตกว่าเขานิดหน่อย สอนให้ใช้มือเปล่าปั้นข้าวเหนียวกิน เมื่อมื้อเที่ยงวันนี้

ไอ้จิ๊กโก๋จอดรถมอเตอร์ไซค์ของมัน ห่างจากบ้านของลูกคุณหนูของเขาออกมา มันนั่งรอ มองจนคุณหนูเดินเข้าบ้านไป มันถึงได้กลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก เมื่อรู้ตัวว่า หัวใจของมันเต้นเร็วและแรงจนผิดปกติ จิ๊กโก๋ไม่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น เพราะว่าไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนี้มาก่อน และไม่เคยคิดว่ามันจะเกิดขึ้น จิ๊กโก๋หยิบเอาหมวกกันน็อคขึ้นมาใส่ กลิ่นหอมอ่อน ๆที่ไม่รู้ว่าจะเป็นกลิ่นแชมพู หรือว่าน้ำหอมจากตัวของลูกคุณหนูกันแน่ ยังติดอยู่ ลอยอ้อยอิ่งอยู่ตรงหน้าของมัน

“มึงเป็นอะไรของมึงเนี่ย ไอ้จิ๊กโก๋” ถามตัวเองออกไปอีกครั้ง ก่อนจะออกรถมาจากตรงนั้น ขับมาเรื่อย ๆตามทาง ก็ได้แต่คิดทบทวนว่า ไปทำอะไรมาบ้างในวันนี้ ตั้งแต่ขับรถพาลูกคุณหนูหนีโรงเรียนมาด้วยกัน จิ๊กโก๋ขี่รถมาเรื่อย ๆโดยไม่บีบแตรใส่ใครเลยสักครั้ง อย่างที่เคยชอบทำเป็นนิสัยมาตลอด แถมพอจอดรถที่หน้าห้องเช่ารังหนูของมัน จิ๊กโก๋ก็เห็นรอยยิ้มกว้าง อารมณ์ดี ยิ้มไม่หุบของตัวเอง ในกระจกมองข้างรถเสียอย่างนั้น

***************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

Is this Love? - Tom Issara feat. SaintSup

https://www.youtube.com/watch?v=nUuvdC61QeA


โปรดเถอะฟ้า บอกฉันที

Come on, heaven! Tell me this

ไอ้แบบนี้ ใช่หรือเปล่า

This kinda thing, is really it?

ที่เขาเรียกกันว่ารัก

The thing they call it love

(Is this love and if this is love)

ยังไม่เคยได้รู้จัก

I’ve never known it

มันคือรักใช่ไหม

Is it really called love?


ที่หวั่นไหว ไม่รู้ตัว

It makes heart flutter, rush fever

ใจสั่นรัว นี่มันจริงใช่ไหม

Shaking my heart to the core, is it really?

ที่ใครเรียกกันว่ารัก

Everybody calls it love

(Is this love and if this is love)

ช่วยบอกกันให้รู้หน่อย

Please let me know about it

อย่างน้อยฉันจะได้รักเธอได้ทัน

At least, help me fall in love in no time


ยังไม่เคยจะทันได้ตั้งตัว

I am caught off guard

ใจมันยังไม่ชัวร์เรื่องความรัก

My heart is never sure about love

ยังไม่เคยจะทันได้รู้จัก

No one ever introduces me to it

รักจริงจริงเป็นอย่างไร

What real love will be like


จนวันหนึ่งที่เธอเดินเข้ามา

Until one day you showed up

ใจที่มันเย็นชาก็เปลี่ยนไป

The cold heart day then got changed

มันก็ยังคงไม่เข้าใจ

But it’s still difficult to understand

มันเป็นอะไรนะหัวใจ

What is going on with my heart?

ไม่เคยจะรู้ เพราะอะไร

Never have come across it, why?

ยังอยากจะรู้

I want to know


โปรดเถอะฟ้า บอกฉันที

Come on, heaven! Tell me this

ไอ้แบบนี้ ใช่หรือเปล่า

This kinda thing, is really it?

ที่เขาเรียกกันว่ารัก

The thing they call it love

(Is this love and if this is love)

ยังไม่เคยได้รู้จัก

I’ve never known it

มันคือรักใช่ไหม

Is it really called love?


ที่หวั่นไหว ไม่รู้ตัว

It makes heart flutter, rush fever

ใจสั่นรัว นี่มันจริงใช่ไหม

Shaking my heart to the core, is it really?

ที่ใครเรียกกันว่ารัก

Everybody calls it love

(Is this love and if this is love)

ช่วยบอกกันให้รู้หน่อย

Please let me know about it

อย่างน้อยฉันจะได้รักเธอได้ทัน

At least, help me fall in love in no time


(I just wanna know it is call love)

(I just wanna know I'm a fall in love)


อยากรู้ว่าฟ้า จะมีเวลาบ้างไหม

Wanna know if heaven has some time

ช่วยตอบคำถามที่ยังสงสัย

Give me an answer that I’ m wondering

ที่ฉันและเธอต้องมาเจอ ก็มันยังไม่เข้าใจ

You and I, now since we’ve met

ก็มันยังไม่เข้าใจ

Yet still don’t understand

ว่าเป็นเพราะ เหตุเพราะ มันเพราะอะไร

Why? Because why? Why is that, really?


ไม่เหมือนในวิชา ที่เคยได้เรียนเรียนมา

None of it in the classroom, no teacher teaches it

ไม่มีในตำราที่ครูเคยสอนมา

No textbook from any masters writing it

ถามเพื่อนพ่อแม่ ก็จนเขาเอือมระอา

Asking parents and friends, they’re fed up with me already



Have you ever been this feeling

Have you got idea of this feeling

Tell me some more about this feeling

Have you got idea a better way give me some more


โปรดเถอะฟ้า บอกฉันที

Come on, heaven! Tell me this

ไอ้แบบนี้ ใช่หรือเปล่า

This kinda thing, is really it?

ที่เขาเรียกกันว่ารัก

The thing they call it love

(Is this love and if this is love)

ยังไม่เคยได้รู้จัก

I’ ve never known it

มันคือรักใช่ไหม

Is it really called love?


ที่หวั่นไหว ไม่รู้ตัว

It makes heart flutter, rush fever

ใจสั่นรัว นี่มันจริงใช่ไหม

Shaking my heart to the core, is it really?

ที่ใครเรียกกันว่ารัก

Everybody calls it love

(Is this love and if this is love)

ช่วยบอกกันให้รู้หน่อย

Please let me know about it

อย่างน้อยฉันจะได้รักเธอได้ทัน

At least, help me fall in love in no time


อย่างนี้มันจริงใช่ไหม

Is it really happening now?

ช่วยบอกกันให้รู้หน่อย

Just let me know all about it

อย่างน้อยฉันจะได้รักเธอได้ทัน

That I’ll fall in love with you right now

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ทีเซอร์ - teaser ๖. รวิ - อินทุ 10_6_2567
«ตอบ #7 เมื่อ10-06-2024 10:20:01 »

Teaser รวิ - อินทุ


“เจ้าพร้อมแล้วใช้มั้ย กับหน้าที่และความเสียสละในครั้งนี้” อินทุยังจำได้ดีถึงคำถาม จากในครั้งนั้น กับเขาในวัยสิบหกปีเต็ม “แล้วถ้าหากว่า ข้าปฏิเสธ” อินทุยังจำน้ำเสียงที่สั่นไปด้วยความหวั่นกลัวของตัวเองได้ “เจ้าเกิดมาพร้อมกับตำหนิในดวงเกิด” แทนคำตอบว่าได้หรือไม่ได้

“หากเจ้าเลือกที่จะเห็นแก่ตัว เผ่าพันธุ์ของเราก็จะย่อยยับลง ด้วยน้ำมือของเจ้า” อินทุในวัยใกล้ยี่สิบปี หลับตาลงแน่น กับคำพยากรณ์ที่เขาได้ฟังมันกรอกหูมาเกือบสี่ปี “มันต้องมีทางเลือกอื่นที่นอกเหนือจากนี้ ไม่ใช่หรือ กับทุกครบรอบปีที่ผ่านมา” อินทุแย้งคำทำนายนั้นออกไป

“ใช่” เสียงตอบกลับมาแบบนั้น “หากว่าไม่มีใครอายุครบยี่สิบปี แต่ดวงกำเนิดมีตำหนิแบบเจ้า” อินทุขมวดคิ้วจนแน่น เมื่อเสียงที่ดังก้องอยู่ในความทรงจำดังขึ้นตามมาว่า “ทุกอย่างถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ไม่มีอะไรเป็นเรื่องบังเอิญ” สิ่งที่อินทุต้องจดจำเอาไว้ให้ขึ้นใจ

“คนดั่งเช่นเจ้า ไม่มีทางจะมีรักแท้แบบคนอื่นทั่วไป” อินทุลืมตาขึ้น เมื่อเสียงโห่ร้องเฉลิมฉลองดังขึ้นอยู่เบื้องหลัง แต่อินทุกลับต้องเดินขึ้นไปด้านบนยอดเขาเบื้องหน้า เพียงลำพัง “ดูนั่น คำทำนายเป็นจริงตามบันทึกทุกประการ” เสียงคนตะโกนดังลั่น เมื่อผิวกายของอินทุผ่องพรรณเปล่งประกาย เมื่อต้องกับแสงจันทร์วันเพ็ญ จากผ้าพันกายที่เว้าเผยให้เห็นแผ่นหลังของผู้มีนามว่า พระจันทร์

“อายตนะที่เชื่อมต่อในค่ำคืนนี้คือดวงดาว” แปลกที่บนฟ้าแสงจันทร์สว่างสุกสกาว แต่กลับมีดาวดวงหนึ่งส่องประกายระยิบระยับอยู่คู่กัน “คำทำนายจะเป็นจริงดังว่า” เสียงอีกคนพูดขึ้น ทำให้ผู้คนมากมาย ณ ตรงนั้น โห่ร้องแสดงความยินดีออกมา

“เจ้าเดินขึ้นไปบนยอดเขานั่นได้แล้ว ทุกอย่างจะถูกตอบรับโดยผู้อยู่บนนั้น” ไม่มีใครที่เดินขึ้นไปบนยอดเขานั่น กลับลงมาได้สักคน อินทุประหวั่นพรั่นพรึงอยู่ในใจ และนี่คือชะตาชีวิตของเขา ของคนที่เกิดมามีตำหนิในดวงเกิดเช่นนั้นหรือ

รวิลืมตาขึ้นมาอีกครั้งด้วยความงุนงง เขามองไปรอบ ๆ ตัว กลับพบว่าตัวของเขานั้น ไม่ได้อยู่ที่เรือนพักของตัวเองอย่างที่เคย แต่กลับกลายเป็นว่า เขาถูกคุมขังอยู่ในห้องแคบ ๆ ที่มีช่องด้านบนพอมองลอดออกไป กับแสงจันทร์นวลใยที่ส่องเข้ามากระทบพื้น

“อินทุ” รวิเรียกชื่อของอีกฝ่ายออกมาอย่างร้อนรน ก่อนจะพยายามทั้งผลักทั้งดัน เตะถีบซี่ลูกกรง เพื่อให้ตัวเองเป็นอิสระ “อินทุรอข้าก่อน” เสียงตะโกนเรียกหาอีกฝ่ายของรวิ “มีใครอยู่ข้างนอกนั่นบ้าง” ดังไปทั่วบริเวณ แต่ทุกอย่างดูเงียบสงัด

“อย่าใช้เพียงแต่กำลัง เจ้าผู้มีนามว่าพระอาทิตย์” เสียงปริศนาดังผ่านความมืดมาให้รวิได้ยิน “นั่นใคร” เขาตะโกนถามออกไป “คืนนี้อายตนะเชื่อมต่อคือดวงดาว” เสียงนั้นดังมาอีกครั้ง “หากดวงอาทิตย์หมายจันทราแล้ว ดวงดาวคือคำตอบของเจ้า” รวิหยุดคิดตามที่เขาได้ยิน ก่อนจะหันไปมองทางช่องด้านบน ที่แสงจันทร์นั้นลอดเข้ามา มองเห็นดวงดาวดวงหนึ่ง สว่างสู้แสงจันทร์อยู่บนฟ้า

“รวิ” อินทุเรียกชื่ออีกฝ่าย เมื่อความมืดรอบกายบนยอดเขา มันทำให้เขากลัวจนจับใจ ความเย็นยะเยือกทำให้อินทุสะพรึงกลัว เสียงประหลาดของอะไรบางอย่างดังวนเวียนอยู่รอบกาย อินทุเงยหน้าขึ้นมองไปบนฟ้า รวิที่มองออกไปที่ช่องด้านบนนั้น ดาวดวงเดียวดวงนั้น หายไปจากฟากฟ้า ก่อนที่จะมีดาวตกดวงหนึ่งพุ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว

“ว่าแล้ว คุณเก้าต้องจำได้ และสั่งมัทฉะเอาไว้รอผม ขอบคุณมากนะครับ” รู้ตัวอีกที เก้าฤกษ์ก็รู้สึกงุนงง ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ชายหนุ่มมองไปรอบ ๆ กลับพบว่า ตัวเขากำลังนั่งอยู่กับนับฝันในร้านกาแฟเล็ก ๆ น่ารัก ๆ ร้านหนึ่ง แต่เขากลับจำไม่ได้ว่า มาถึงที่นี่เมื่อไหร่ และมาได้อย่างไร

“นับฝัน” เก้าฤกษ์มองไปที่แก้วเครื่องดื่มของอีกฝ่าย ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะตรงหน้า “ชอบดื่มชาเขียว” เสียงของเก้าฤกษ์พูดออกไป ไม่ใช่ว่าจะบอกกับอีกฝ่ายแต่อย่างใด แต่เป็นเหมือนกำลังตั้งสติทบทวนเรื่องราวอะไรมากกว่า

“คุณเก้าโอเคนะครับ” เก้าฤกษ์ได้ยินนับฝันถาม และต้องซ่อนยิ้มเพราะความเขินเอาไว้ไม่ได้ เมื่อนับฝันแตะที่ข้างแก้มของเขาเบา ๆ “ตอนนี้โอเคแล้วครับ” ทันทีที่เก้าฤกษ์ตอบกลับไป แล้วเห็นรอยยิ้มของนับฝัน ชายหนุ่มก็ยิ้มกว้างให้เห็นเช่นกัน

“แค่ผม คือ เหมือนว่าผม ฝันเห็นอะไรแปลก ๆ ได้ยินชื่อคนสองคนที่ไม่คิดว่าจะได้ยินมาก่อน เห็นในความฝัน ว่าเขาสองคน” เก้าฤกษ์ส่ายหัวไปมา หัวเราะให้กับความบ้าบอของตัวเอง ที่คงเก็บเอาอะไรมาฝันจนเป็นตุเป็นตะไปหมด

“หรือครับ” นับฝันยกแก้วชาเขียวขึ้นดื่ม สายตายังคงมองไปที่เก้าฤกษ์ “แต่ผมรู้สึกว่ามันคุ้นจนเหมือนกับว่า มันไม่ใช่ความฝัน แต่มันคือความจริง” เก้าฤกษ์สบตากับนับฝัน และกำลังคิดว่า นี่ก็คือความจริงเช่นกันใช่มั้ย ที่เขากำลังนั่งอยู่กับนับฝันด้วยกันสองคนเช่นนี้

*******************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย JayJ

พริบตา - เบิร์ด ธงไชย &  แสตมป์ อภิวัชร์

https://www.youtube.com/watch?v=qaJHGZ9RKZE



ทุกครั้งที่รู้ว่าดาวตก
Every time a star's falling down from the sky
ทั้งโลกจะมองขึ้นฟ้า
Everybody is looking up there
รอคอยอยากเห็นชั่วพริบตา
Waiting for it to see it's gone real fast
ที่ดาวลงมาบนนั้น
A star disappears just that
กี่สิบร้อยพันปีจะมีสักหนึ่งครั้ง
Ten, hundreds or thousand years, it'll be just one
มีแค่เสี้ยวนาทีที่เราจะเห็นมัน
A fraction of a minute, we'll get to see

ทุกครั้งก็ได้ยินคนเล่า
There's a storytelling
ถ้าเราลองอธิษฐาน
If we wish upon the star
ทันเวลาที่แสงดาวพาดผ่าน
Just in time that star goes across the sky
ทุกอย่างจะเป็นเรื่องจริง
Everything will then be true
บันดาลทุกทุกสิ่งดังใจปรารถนา
Anything we desire, will become reality
หากเมื่อถึงเวลาหลับตาและกลั้นใจ
At that moment, close your eyes and hold your breath

ทำให้ ในช่วงเวลาที่ดาวตก
In that exact time, the meteorite happens
ฉันจึงไม่เคยได้ลืมตา
I never ever open my eyes
มันกำลังภาวนาหลับตาลงเพื่ออธิษฐานให้เธอคืนกลับ
I'm praying for you to return to me
เพราะเธอไม่กลับ ไม่กลับมา มันนานเกินไป
Because you're not here, never here for too long
รู้มั้ย ในช่วงเวลาที่โลกหยุดดูดวงและดาวที่พาดผ่าน
Do you now when the earth stands still for that?
พันปีหรือนานแสนนาน
Thousands of years or longer
กับการรอคอยจะได้เห็นมันอีกสักครั้ง
To wait and see it one more time
มันก็ไม่สำคัญ เพราะสำหรับฉัน
That's not important anymore, for me
ดาวทุกดวงได้ดับไป ตั้งแต่เธอไม่กลับมา
Every star's outshined since you don't come back


ทุกครั้งที่รู้ว่าดาวตก
Every time a star falls from grace
ถ้าหากเธอมองขึ้นฟ้า
And you look up there again
เธอจงโปรดรับรู้ไว้ว่ามีคนหนึ่งเอ่ยชื่อเธอ
Please realize there's someone calling your name
กี่สิบร้อยพันปีก็รออยู่เสมอ
No matter how long it takes, I'll be right here waiting
ปรารถนาเพียงเธอ กลับมาเถอะได้มั้ย
Wish that you just come back to me, please baby



ทำให้ ในช่วงเวลาที่ดาวตก
In that exact time, the meteorite happens
ฉันจึงไม่เคยได้ลืมตา
I never ever open my eyes
มันกำลังภาวนาหลับตาลงเพื่ออธิษฐานให้เธอคืนกลับ
I'm praying for you to return to me
เพราะเธอไม่กลับ ไม่กลับมา มันนานเกินไป
Because you're not here, never here for too long
รู้มั้ย ในช่วงเวลาที่โลกหยุดดูดวงและดาวที่พาดผ่าน
Do you now when the earth stands still for that?
พันปีหรือนานแสนนาน
Thousands of years or longer
กับการรอคอยจะได้เห็นมันอีกสักครั้ง
To wait and see it one more time
มันก็ไม่สำคัญ เพราะสำหรับฉัน
That's not important anymore, for me
ดาวทุกดวงได้ดับไป ตั้งแต่เธอไม่กลับมา
Every star's outshined since you're not here with me.



Want you back. Want you back. Want you come back to me.
Want you back. Want you come back. Want you come back to me.

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0


ทีเซอร์: อชิระ - เจ้าเพียง (3)



“ขอบคุณ คุณอชิระมากนะคะ ที่ให้เกียรติมาร่วมพูดคุยกับทางรายการในวันนี้” พิธีกรสาวที่แปลงร่างจากนักข่าว คนที่คุยกับอชิระในงานเลี้ยงคืนนั้น พูดเปิดรายการสัมภาษณ์บุคคลที่มีชื่อเสียงในด้านต่าง ๆ ในสังคม และวันนี้ ก็ถึงคิวที่อชิระจะต้องตกลงมานั่งพูดคุย หลังจากพยายามเลื่อนคิวมาแล้วหลายครั้ง ด้วยเหตุผลที่ว่า ทางรายการไม่ได้ต้องการจะสัมภาษณ์ชายหนุ่มเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่ทว่า

“ตื่นเต้นสินะคะวันนี้” พิธีกรสาวใช้น้ำเสียงแบบคนรู้ทัน ดักคออชิระตั้งแต่เริ่ม “ผมไม่ค่อยให้สัมภาษณ์อะไรที่ไหน” อชิระออกตัว น้ำเสียงราบเรียบปกติ แต่ก็มีรอยยิ้มแย้มออกมาที่ท้ายประโยค ให้ดูเป็นอาการปกติทั่วไป “ช่วงนี้เราเจอกันตามงานบ่อยพอสมควร ธุรกิจใหม่กำลังไปได้สวยสินะคะ” พิธีกรสาวเปิดประเด็นธุรกิจตัวใหม่ที่ทางอชิระลงทุนไปด้วยเงินมหาศาล

“ก็เป็นธุรกิจสเกลที่ใหญ่กว่าปกติที่ผมเคยทำมา แต่ก็ถือว่าเริ่มต้นได้ดี แต่อาจจะต้องการคนมาช่วยผมดูแลรายละเอียดต่าง ๆ เพิ่มเติม” ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับงาน อชิระตอบด้วยความสุขุม ดูเป็นผู้ใหญ่ น่าเชื่อถือ “นี่คุณอชิระเปิดรับสมัครงานใหม่หรือเปล่าคะเนี่ย” น้ำเสียงของพิธีกรสาวหยอกเอิน

“แต่ เอ หรือจะล็อกตำแหน่งเอาไว้ให้กับคนในครอบครัวกันแน่คะ” ไม่รอช้า พิธีกรสาวยิงเข้าจุดที่ต้องการในทันที อชิระยิ้ม แต่ไม่ได้พูดตอบอะไรออกไป “ไม่ใช่อะไรนะคะ แต่พักหลังนี้ ดิฉันเห็นคุณอชิระอยู่กับคู่หูบ่อย ๆ แบบออกงานด้วยกันหลายงาน ตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋เชียว” อชิระฟังที่พิธีกรสาวพูด ได้แต่ยิ้มตาม แต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป

“ไม่รอช้าดีมั้ยคะ ที่เราเชิญคุณอชิระมา ก็เพราะรู้ว่า คนคนนี้จะต้องตามมาด้วย ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของเขาสองคนนั้นเป็นอะไรกันแน่ ถ้าอย่างนั้นมาหาคำตอบกันเลยดีกว่า พบกับคุณ” พิธีกรสาวทำหยุดพูด ก่อนก้มลงมองกระดาษสคริปต์ที่วางอยู่ตรงหน้า แล้วจึงค่อยเรียกชื่อแขกรับเชิญอีกคนออกมา

“คุณเพียงออ หรือคุณเจ้าเพียง ชื่ออะไรกันแน่คะเนี่ย เปลี่ยนชื่อหนีหนี้หรือเปล่า แต่ก็เอาเถอะ เชิญออกมาได้เลยค่ะ” เสียงหัวเราะอย่างที่เจ้าตัวขำเสียเต็มประดากับคำพูดของตัวเองของพิธีกรสาว พาผู้ชมในก้องส่งฮาครืนตามไปตามคิวการ์ดที่ทางสตาฟของทางรายการ ยกให้ผู้ชมที่นั่งอยู่ตรงนั้น ให้หัวเราะพร้อมกันแบบตลกโปกฮา เจ้าเพียงที่ถูกสตาฟด้านหลังเวที ใช้มือดุนหลังให้เดินออกไปด้านนอก ออกมาหยุดยืนอยู่กลางเวที

“ทางนี้เลยค่ะ เชิญนั่นที่เก้าอี้ข้าง ๆ คุณอชิระได้เลย แหม ตื่นคนหรือคะ ไม่ใช่สิ ต้องพูดว่าตื่นเวทีสินะคะ ถึงจะถูก” เจ้าเพียงมองไปทางอชิระที่ลุกขึ้นยืนรอรับเด็กหนุ่มอยู่ ก่อนชายหนุ่มจะเห็นอีกฝ่ายสะบัดหน้าขวับ เดินไปที่เก้าอี้แล้วนั่งลง อชิระนั่งลงตาม ด้วยสายตาของพิธีกรสาวที่เห็นผู้ชายสองคนตรงหน้า เป็นเรื่องสนุกของตัวเอง

“เรียกเจ้าเพียงก็ได้ครับ” เจ้าเพียงตอบออกไปอย่างสุภาพ “เป็นชื่อเล่นหรือคะ” พิธีกรสาวถามทันควัน “คุณท่านเรียกผมแบบนั้น” เจ้าเพียงตอบออกไปตามตรง พิธีกรเลิกคิ้วขึ้นเมื่อได้ยินแบบนั้น “คุณปู่ของเราสองคนน่ะครับ” อชิระช่วยพูดแก้ให้ออกไป เจ้าเพียงหันไปทางอชิระ ที่ทางชายหนุ่มส่งสายตาห้าม ไม่ให้เจ้าเพียงพูดอะไรต่อ

“ผมไม่ได้อายที่จะพูดเรื่องจริง” เจ้าเพียงหันไปพูดกับอชิระ “แต่คนอื่นจะจงใจทำให้เธออับอาย ถ้าเธอพูดความจริง” อชิระกระซิบตอบ ก่อนที่ทั้งสองคนจะมองตากันอยู่สักพัก “ยังไงกันคะเนี่ย” พิธีกรที่ไม่ทันได้ยินว่าทั้งสองคนพูดอะไรกัน เอ่ยถามขึ้น “ไม่มีอะไรหรอกครับ” อิชิระตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้ม พิธีกรหันมามองทางเจ้าเพียง ที่พยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะยิ้มออกไป

“ดูเป็นพี่น้องที่รู้จักกันดีนะคะ” พิธีกรถามต่อ “แต่ดูคุณเจ้าเพียงจะอ่อนกว่าคุณอชิระอยู่พอสมควร ลูกหลงหรือคะ” เจ้าเพียงกับอชิระสบตากัน ต่างก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ความจริงเป็นแบบไหน “เราสองคนสนิทกันมาตั้งแต่เด็กแล้วน่ะครับ” อชิระรีบพูดเสไปอีกทาง ก่อนจะวางมือลงบนมือของอีกฝ่าย ที่ดึงออกโดยสัญชาตญาณอัตโนมัติ แต่ว่าอชิระก็เอื้อมมือไปกุมมือเจ้าเพียงเอาไว้จนได้

“ตอนเด็กดื้อยังไง” อชิระที่มองไปทางพิธีกรสาว แกล้งพูดต่อว่าเจ้าเพียงออกไป พิธีกรสาวมองไปที่มือของอชิระที่กุมมือของเจ้าเพียงเอาไว้ตาไม่กะพริบ “ตอนนี้ก็ยังดื้ออย่างนั้น” ก่อนที่อชิระจะหันมามองทางเจ้าเพียง ด้วยสายตาของคนที่กำลังมีความสุขใช้มองคนที่เขารัก พิธีกรสาวกำลังจะขยับปากถามอะไรออกมา ก็พอดีกับที่เจ้าเพียงพูดอะไรบางอย่างออกมาเสียก่อน

“ถ้าเราสองคนสนิทกันมากขนาดนั้น” เจ้าเพียงพูด “ผมชอบสีอะไร” เจ้าเพียงถามออกไป “ผมชอบทำอาหาร แล้วผมทำอะไรอร่อย” เจ้าเพียงถามต่อ “ผมชอบสัตว์เลี้ยงชนิดไหน” อชิระมองนิ่ง ๆ ไปที่เจ้าเพียง “ถ้าเราสองคนสนิทกันแบบนั้น คุณตอบคำถามเหล่านี้ได้ถูกมั้ย” เจ้าเพียงถามคนตรงหน้าออกไป โดยที่มีเสียงของพิธีกรสาวแทรกขึ้นมาว่า “แหม คำถามพวกนี้ ไม่เหมือนพี่น้องรู้ใจกันและกันเท่าไหร่เลยนะคะ มันน่าจะเป็นคำถามที่แฟนใช้ถามคนรู้ใจกันมากกว่า” ทั้งห้องส่ง ผู้ชมส่งเสียงฮือฮากันโดยไม่ต้องรอใช้คิวการ์ดจากสตาฟ

“พิธีกรคนนี้ นี่ก็ยังไงนะวันนี้” อชิระพูดกลั้วหัวเราะ ขณะที่ออกรถพาเจ้าเพียงออกมาจากที่ตึกห้องส่งนั้น “พูดออกมาแบบหน้าตาเฉยเลย ว่าเป็นคำถามใช้เช็กความเป็นแฟน” รอยยิ้มกว้างฉายอยู่บนใบหน้าของอชิระในตอนนี้ ทางด้านเจ้าเพียงนั้น ได้แต่นิ่งเงียบ คิดถึงสิ่งที่เป็นคำตอบของอชิระ ที่ชายหนุ่มพูดออกมาในรายการสัมภาษณ์นั้น

“เธอชอบสีฟ้าคราม” คลิปคำตอบของอชิระจากรายการสัมภาษณ์กำลังเป็นไวรัลไปทั่วอินเทอร์เน็ตในขณะนี้ “เพราะเธอชอบไปทะเล เธอนั่งมองดูทะเลได้เป็นวัน ๆ ทะเลสีฟ้า ลมเย็น ๆ พักมาเบา ๆ เปลญวนสักหลัง หนังสือสักเล่ม เธออยู่ตรงนั้นได้เป็นวัน ๆ” อชิระพูดจากความทรงจำที่เขามีกับเจ้าเพียง

“เธอชอบเก็บหมากลับมาที่บ้าน และทุกครั้งเธอจะร้องไห้อย่างหนัก เมื่อกลับมาจากโรงเรียนแล้ว คนงานในบ้านถูกสั่งให้เอาพวกมันไปปล่อยอีกครั้ง” อชิระจดจำเด็กชายเพียงออ ที่ร้องไห้ฟูมฟาย ขอร้องแทนเจ้าพวกลูกหมาเหล่านั้น ยอมที่จะยกค่าขนมของตัวเองทั้งหมด ให้เป็นค่าอาหารของพวกมัน” นี่คือสิ่งที่อชิระจำได้ดีมากที่สุดอย่างหนึ่งเกี่ยวกับเจ้าเพียง

“เธอทำอาหารเก่ง และเธอก็ทำอร่อยหลายอย่าง” อชิระแยกความแตกต่างได้ทันที เมื่อวันไหนสำรับที่ตั้ง เป็นฝีมือของเจ้าเพียง ไม่ใช่ฝีมือยายจ๋าของเด็กหนุ่ม “หลนปูของเธอ ทำให้ฉันกินข้าวแทบจะหมดหม้อ” อชิระนึกขำที่ตัวเองลืมตัวทุกครั้งกับรสมือของเจ้าเพียง “แต่อาหารที่เธอทำอร่อยที่สุด ฉันยังไม่มีโอกาสได้กิน เธอเคยสัญญากับฉันเอาไว้นะ แต่เธอยังไม่ได้ทำตามสัญญานั้น สัญญาที่เราสองคนให้กันเอาไว้” อชิระตอบคำถามสุดท้ายในรายการเอาไว้แบบนั้น

*************************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

ฝืนตัวเองไม่เป็น - นนท์ ธนนท์

https://www.youtube.com/watch?v=pHZT4UVzh3U


ขอให้เธอรับฟังได้ไหม

Would you listen to me, please?

หากปล่อยทิ้งไว้นานไป มันก็ไม่ดีกว่านี้

If we ignore this far too long, it won’t do any good

เธออย่าห้ามฉันเลยได้ไหม

You, don’t you say no to me, please?

ปล่อยให้ฉันนั้นเป็นไป

Let me be the way I am

หยุดรักเธอไม่ได้แล้ว

I can’t stop loving you no more


เข้าใจทุกอย่างที่เธอบอกนะ

I understand everything you’re telling me

เข้าใจทุกสิ่งที่เธอ กำลังจะอธิบาย

I get all the things you’re trying to explain

เข้าใจเสมอ

I really do, really


แต่จะให้ฉันให้ฉันทำอย่างไร

But what you expect me to do

ฉันรักเธอแล้วทั้งใจ

Since I’m in love with you dearly

จะไม่ให้รักไม่ให้รักได้อย่างไร

How can I make myself not to love you?

ฉันฝืนตัวเองไม่เป็น

I can’t deny my heart

ไม่ได้อยากจะกวนใจ อยากถามเธอสักคำหน่อย

Don’t want to bother you, just wanna ask some questions

หากว่าเธอรักใครสักคน เธอฝืนใจได้หรือเปล่า

If you do love somebody, can you resist it truly?


ฉัน ไม่อยากซ่อนใจอีกแล้ว

I don’t want to hide my heart anymore

เจ็บยังไงก็ต้องเสี่ยง

It’s risky, I may get hurt

ดีกว่าทนเก็บเอาไว้

But it’s way better to keep it unspoken


เข้าใจทุกอย่างที่เธอบอกนะ

I understand everything you’re telling me

เข้าใจทุกสิ่งที่เธอ กำลังจะอธิบาย

I get all the things you’re trying to explain

เข้าใจเสมอ

I really do, really


แต่จะให้ฉันให้ฉันทำอย่างไร

But what you expect me to do?

ฉันรักเธอแล้วทั้งใจ

Since I’m in love with you dearly

จะไม่ให้รักไม่ให้รักได้อย่างไร

How can I make myself not to love you?

ฉันฝืนตัวเองไม่เป็น

I can’t deny my heart

ไม่ได้อยากจะกวนใจ อยากถามเธอสักคำหน่อย

Don’t want to bother you, just wanna ask some questions

หากว่าเธอรักใครสักคน เธอฝืนใจได้หรือเปล่า

If you do love somebody, can you resist it truly?


ฉันรู้ฉันเป็นแค่คนไกล

I know I am someone you’re unfamiliar with

ไม่ใกล้ใจเธอเลย

Far away from your heart

ฉันรู้ตัวดีถึงฉันบอกรัก

I know though I dare telling you that I love you

เธอก็อาจเมินเฉย

You will say nothing back

บอกเธอว่ารักก็ต้องเจ็บ

It’s gonna hurt to say I love you

เก็บไว้ยังไงก็ยิ่งเจ็บ

But it hurts me more keep it hidden

มองแล้วไม่เห็นจะมีทางไหน

Damn if I do, damn if I don’t


แต่จะให้ฉันให้ฉันทำอย่างไร

But what you expect me to do?

ฉันรักเธอแล้วทั้งใจ

Since I’m in love with you dearly

จะไม่ให้รักไม่ให้รักได้อย่างไร

How can I make myself not to love you?

ฉันฝืนตัวเองไม่เป็น

I can’t deny my heart

ไม่ได้อยากจะกวนใจ อยากถามเธอสักคำหน่อย

Don’t want to bother you, just wanna ask some questions

หากว่าเธอรักใครสักคน เธอฝืนใจได้หรือเปล่า

If you do love somebody, can you resist it truly?


ไม่ได้อยากจะกวนใจ อยากถามเธอสักคำหน่อยได้ไหม

Don’t want to bother you, but can I ask you something?

เวลาเธอรักใคร เธอห้ามใจได้ไหมเธอ

When you love somebody, can you resist it, can’t you?


เธอจะรักไม่รักมันก็ไม่รู้

You will love me, you will love me not

จะเก็บไว้ในใจมันก็ไม่อยู่

Can’t keep it in my heart anymore

อย่างเดียวที่รู้คือทนต่อไปไม่ไหว

I know one thing, I can’t do that no more

เธอจะรักไม่รักมันก็ไม่รู้

You will love me, you will love me not

จะเก็บไว้ในใจมันก็ไม่อยู่

Can’t keep it in my heart anymore

ก็เลยต้องถามเธอดูให้รู้ใจ

So, I’ll ask you too, to love me


เธอจะรักไม่รักมันก็ไม่รู้

You will love me, you will love me not

จะเก็บไว้ในใจมันก็ไม่อยู่

Can’t keep it in my heart anymore

อย่างเดียวที่รู้คือทนต่อไปไม่ไหว

I know one thing, I can’t do that no more

เธอจะรักไม่รักมันก็ไม่รู้

You will love me, you will love me not

จะเก็บไว้ในใจมันก็ไม่อยู่

Can’t keep it in my heart anymore

ก็เลยต้องถามเธอดูให้รู้ใจ

So, I’ll ask you too, to love me

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ทีเซอร์ The Ambience: เอซ - อ้าย



เอซกำลังถามตัวเอง ว่านี่เขากำลังทำอะไรอยู่ มือที่เกาศีรษะแกรก ๆ กับสมอบกที่ถืออยู่ในมือ ขณะที่กำลังยืนงง ๆ อยู่ในลานกางเต็นท์กว้าง ที่ตอนนี้ดูแคบลงถนัดใจ เมื่อมีเต็นท์หลายหลังถูกกางผุดขึ้นอยู่ทั่วไปหมด ไอ้ตอนที่ถูกถามว่ากางเป็นมั้ย ก็ดันตอบออกไปด้วยความที่กลัวว่า หากใครบางคนรู้เข้า ว่าเขาทำไม่เป็น จะเสียหน้าเอาได้

“ทำยังไงดีล่ะทีนี้” เอซบ่นกับตัวเองออกมา ไม่รู้จะเริ่มต้นจัดการกับอุปกรณ์กางเต็นท์พวกนี้ยังไงดี แต่ในขณะที่เอซยังคงเก้ ๆ กัง ๆ อยู่นั้น ก็มีเสียงหนึ่งถามเขาขึ้นมาว่า “มีอะไรให้เราช่วยมั้ย” เอซหันมาตามเสียงนั้น ก่อนที่เขาจะพยายามทำเป็นนิ่ง ๆ เข้าไว้ เมื่อไม่คิดและไม่ทันตั้งตัวมาก่อนว่า อ้าย เพื่อนร่วมชั้นปีที่สี่ในมหาวิทยาลัยเดียวกัน จะมายืนใกล้กับเขามากขนาดนี้

“คือ ไม่ แบบว่า แค่เรา ไม่ ไม่เป็นไร” อาการพูดตะกุกตะกักของเอซ ทำให้เขาตะโกนด่าตัวเองอยู่ในหัวจนเสียงดังลั่น แต่การแสดงออกที่นิ่ง ๆ พยายามไม่แสดงสีหน้าท่าทางออกมา เพื่อกลบเกลื่อนตัวเองต่อหน้าอ้าย ใครจะอยากดูเป็นเจ้างั่งในสายตาของคนที่ตัวเอซเองแอบชอบมานานหลายปี ไอ้ที่ตามมาเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน ก็เพราะจะได้มีโอกาสเห็นหน้ากันบ่อย ๆ นี่แหละ ต่อให้ไม่ได้เรียนคณะเดียวกันก็ตาม

“โอเค” อ้ายตอบกลับ พยักหน้าน้อย ๆ ก่อนจะทำท่าเดินจากไป เอซหลับตาแน่น ยู่หน้า แบบผิดหวังกับตัวเองที่ไม่เคยมีความกล้ามากพอเลย ที่จะพูดอะไรที่ดูเท่ ๆ ให้ประทับใจอ้ายได้มากกว่านี้ ไอ้ที่พอจะทำได้ดีอย่างการเป็นนักกีฬาเทควันโด ที่ได้รับทุนจากมหาวิทยาลัย ก็รู้มาว่า อีกฝ่ายนั้นไม่สนใจที่จะมาดูแต่อย่างใด ด้วยคำพูดที่ว่า อ้ายดูไม่เป็น ไม่เข้าใจว่าทำอะไรกัน

“เอามานี่ เราว่าเราช่วยดีกว่า” เอซรู้ตัวอีกที อ้ายก็ดึงเอาสมอบกไปจากมือของเขา ก่อนที่เขาจะเห็นอ้ายเริ่มจัดการกับโครงเต็นท์ สวมเข้ากับผ้าเต็นท์อย่างทะมัดทะแมง มีเพื่อน ๆ หลายคนมายืนดูอ้ายจับนั่น ตอกนี่ ด้วยความทึ่งในความสามารถ “โห อ้าย แกนี่เก่งสมกับเป็นลูกเจ้าของลานให้เช่ากางเต็นท์จริง ๆ ว่ะ” ใครคนหนึ่งเอ่ยชมอ้าย เสียงดังลั่น มีอีกหลายคนที่หันมามองดู

“เราช่วยพ่อกางเต็นท์มาตั้งแต่เด็ก ๆ น่ะ” อ้ายเงยหน้าขึ้นมาพูดกับเอซ ที่สายตาเต็มไปด้วยความชื่นชมอีกฝ่าย “เราก็เลยพอจะรู้บ้าง ว่าต้องทำยังไง” อ้ายยื่นผ้าใบคลุมด้านบนเต็นท์ข้างหนึ่งให้กับเอซ ก่อนจะช่วยกันดึงให้เท่ากันพอดีทั้งสองฝั่ง ร้อยสายเชือกเข้าที่ ผูกให้แน่น “ส่วนตรงนี้ ก็เอาตะเกียงมาแขวนเอาไว้สำหรับตอนกลางคืน” อ้ายบอกกับเอซเมื่อเอาตะเกียงแบบใหม่ที่ชาร์จไฟฟ้าได้มาห้อยเอาไว้ที่ด้านหน้าเต็นท์

“เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย” อ้ายยิ้มให้กับเอซ ที่ฝ่ายหลังกรุ้มกริ่มจนปิดไม่มิด ได้แต่ลอบมองพลางหลบสายตาสลับไปมา ด้วยอาการหน้าหูแดงอย่างที่สุด “ถ้ามีอะไรอยากให้เราช่วย ก็บอกได้เลยนะ เต็นท์เราอยู่ไม่ไกล” อ้ายหันไปชี้ให้เอซดูเต็นท์นอนของตัวเอง “อยู่ตรงนี้เอง” อันที่จริง มันก็อยู่ติดกันกับเต็นท์นอนของเอซนั่นแหละ

“ขอบคุณนะ” เอซพูดกลับไป รู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าตัวเองจงใจมากางเต็นท์ให้ใกล้กับของอ้ายมากที่สุด ต่อให้ลึก ๆ จะรู้สึกกลัว ว่าถ้าอ้ายรู้ความจริงเข้า อ้ายจะมองว่าเขาเป็นพวกโรคจิตมั้ย แต่ทำยังไงได้ ก็ในเมื่อเขารู้สึกดีกับอ้ายมาตั้งแต่ตอนอยู่มัธยมปลายแล้ว และยิ่งได้มาอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกันอีก

“อ๋อ ผมมีพี่สาวชื่อเอื้อยน่ะครับ” อ้ายตอบออกไป กับคำถามของรุ่นพี่ที่เรียกรับน้องรวมจากหลายคณะ “ส่วนผมเป็นน้อง แม่ผมเป็นคนอิสาน ก็เลยตั้งชื่อผมว่าอ้าย ที่แปลว่าลูกชายคนแรก” อ้ายพูดทำท่าเขิน ๆ เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ เอซแอบมองอีกฝ่ายด้วยแววตาชื่นชมผสมชื่นชอบ “ชื่อคล้ายความหมายของไอ้ถึกเพื่อนผมเลยครับพี่” เพื่อนของเอซตะโกนขึ้น พลางชี้นิ้วมาที่เอซที่ตอนนี้อยากจะดำดินหนีหายไป

“ไหน คนนั้นชื่ออะไรนะ ออกมานี่เลย” เสียงเพื่อนชายกลุ่มเดียวกันกับเอซร้องโห่ฮากันอย่างชอบใจ โดยที่เอซต้องลุกเดินออกไปอย่างเสียไม่ได้ รุ่นพี่เองก็บอกให้อ้ายอย่าเพิ่งเดินเข้าไป ให้ยืนอยู่ตรงนั้นก่อน “ชื่อเอซครับ” เจ้าของชื่อตอบรุ่นพี่ไป “แบบตัวเอสภาษาอังกฤษอย่างงี้หรือ” รุ่นพี่อีกคนถามขึ้น

“เปล่าครับ เอส ที่แปลว่าที่หนึ่ง หนึ่งเดียว ดีเยี่ยมน่ะครับ” เอซพูดไปก็ก้มหน้างุดไป เพราะรู้ว่าตอนนี้อ้ายนั้น ทั้งมองทั้งยิ้มมาที่เขา แล้วตัวสูงใหญ่จนเพื่อน ๆ เรียกกันว่าไอ้ถึกเนี่ย” รุ่นพี่อีกคนพูดแซวแบบเอ็นดู “มันเป็นนักกีฬาทุนมหาลัยครับ” อีกคนในกลุ่มเพื่อนของเอซตะโกนออกมา เสียงฮือฮาโดยเฉพาะจากนักศึกษาสาว ๆ ทำให้เอซหันมองไปทางอ้าย ที่ตอนนี้เอซเห็นอ้ายยืนทำหน้านิ่ง ไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ

“ผมอยู่ทีมเทควันโดของมหาวิทยาลัยครับ” นักศึกษาสาว ๆ ขยับตัวหันไปกระซิบกระซาบกันใหญ่ ทำเอาเอซเองเหวอไปเหมือนกัน ที่เห็นอ้ายเดินกลับเข้าไปในนั่งในแถว และไม่ได้มองหรือยิ้มให้เขาอีกเลย เอซดึงเอาความคิดของตัวเองกลับมาจากความทรงจำเมื่อครั้งอยู่ปีหนึ่ง ก่อนจะมองดูกล่องข้าวที่ยังร้อน ๆ ที่เขาถืออยู่ในมือ แล้วถอนหายใจออกมาเป็นพืดยาว

“ไม่ต้องคิดจะเอาข้าวไปฝากไอ้อ้ายเลย รายนั้นมีแต่คนพร้อมจะดูแล” เอซได้ยินใครบางคนพูดแบบนั้น ก่อนที่เขาจะเดินมานั่งจุ้มปุ๊กเปิดกล่องข้าวอาหารตามสั่งนั้นออก แล้วภาพในวันวานก็ย้อนกลับมาให้เขาได้จดจำอีกครั้ง ตอนที่เอซกับอ้ายได้มีโอกาสได้ใกล้ชิดกัน

“แล้วเราจะทำยังไงกันดี ติดต่อคนอื่น ๆ คนไหนไม่ได้เลย” อ้ายมองดูข้าวของอุปกรณ์เชียร์หลายถุงที่กองอยู่บนพื้น ที่อยู่ ๆ เพื่อน ๆ ปีสี่ก็หายไปกันหมด เหลือแต่เขากับเอซ ที่บังเอิญมานั่งรอเพื่อนกลุ่มเดียวกันนั้นพอดี “เหลือกันแค่สองคน” เอซพูดขึ้น อ้ายทำหน้าแหย ๆ “เดี๋ยวเราคงต้องขนใส่รถแท็กซี่กลับบ้านไปก่อน” อ้ายเสนอทางออกเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เอซเองก็เอ่ยปากจะช่วยหอบหิ้วข้าวของด้วย เพราะมันพะรุงพะรังเกินกว่าที่อ้ายจะทำคนเดียวได้

แต่จนแล้วจนรอด ทั้งสองคนก็ยังไม่สามารถเรียกรถแท็กซี่ที่จะขนข้าวของพวกนี้ไปได้ เพราะขนาดของรถที่เรียกมา ไม่สามารถขนของไปได้ทั้งหมดในคราวเดียว เอซหันไปมาเพื่อมองหารถแท็กซี่ พลันสายตาก็มองเห็นร้านอาหารที่อยู่ไม่ไกลนั่น ก่อนจะกึ่งชวนแกมบังคับให้อ้ายไปหาข้าวเย็นกินกันก่อน ในใจคิดว่า อย่างน้อยก็ยืดเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้

“นี่มันร้านเหล้าด้วยนี่นา” เอซหัวเราะเบา ๆ แก้เขิน เมื่อทั้งสองเข้ามานั่งที่โต๊ะในร้านอาหารกึ่งผับเรียบร้อยแล้ว “หวังว่าอ้ายจะพอดื่มได้นะ” เอซทำพูดหยอกอีกฝ่าย “คือจริง ๆ แล้วพ่อเรา” ยังไม่ทันที่อ้ายจะได้ทันพูดอะไรออกไป เอซที่ขอพนักงานของทางร้านชงเครื่องดื่มเอง ก็จัดแจงยื่นเครื่องดื่มชงแก้วหนึ่งให้กับอ้าย

“พ่อนี่ยังไงนะ สอนลูกให้กินเหล้าแต่เด็ก” อ้ายนั่งกรึ่ม ๆ หน้าแดง หัวเราะเบาๆ กับที่แม่ดุพ่อ เรื่องที่เรียกเขามานั่งดื่มเป็นเพื่อน “สมัยนี้ ยังไงก็ต้องรู้จักเอาตัวรอด ลูกพ่อทั้งสองคน ยัยเอื้อยด้วย ต้องปกป้องตัวเองได้ แต่ห้ามแอบไปกินเหล้ากันเอง หากยังไม่ถึงวัยอันควร ทั้งสองคน ทำตามที่พอบอกนะ” อ้ายยังจำได้ ถึงคำสอนของพ่อในครั้งนั้น

ซึ่งมาในตอนนี้ อ้ายนั่งมองอาการของเอซที่คออ่อน แต่ดื่มหนัก ด้วยอาการเขินและอยากจะสร้างความกล้าให้กับตัวเอง จะได้พูดคุยกับอ้ายได้ โดยไม่ต้องอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ให้หงุดหงิดและดูไม่เท่เอาเสียเลย อ้ายพยายามจะเตือนเอซ แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่หยุด ที่อ้ายเห็นก็คือ เอซในแบบที่อ้ายเองก็ไม่คิดว่านักกีฬาร่างสูงกำยำอย่างเอซ จะมีกับเขาด้วย

เอซนอนมองไปที่ด้านบนของเต็นท์ คิดย้อนไปถึงคืนที่ได้นั่งกินข้าวและยกแก้วดื่มกับอ้าย มันเป็นช่วงเวลาที่เขาคิดว่าตัวเองโชคดีมากแค่ไหนแล้ว แถมในตอนนี้ ยังได้มานอนเต็นท์ติดกันกับอีกฝ่ายอีก ติดเพียงแค่ว่า ในค่ำคืนวันนั้น เขาตื่นเต้นจนดื่มเข้าไปอย่างหนัก แล้วภาพมันตัด จนจำอะไรแทบไม่ได้เนี่ยสิ

“อ้าย” เอซที่คิดวนทะเลาะกับตัวเองอยู่ในหัว ตัดสินใจเรียกคนที่นอนอยู่ในเต็นท์ข้างๆ ออกไป ใจคิดว่าถ้าขนาดรวบรวมความกล้าแบบนี้ แล้วตัดสินใจเรียกอีกฝ่ายออกไป ถ้ายังไม่มีเสียงตอบกลับมาจากอ้าย เขาก็จะยอมรับสภาพ และจะเข้านอนไปเงียบ ๆ โดยที่จะไม่ตีอกชกหัวอะไรอีก ถือเสียว่า เขาได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว

“เอซ ว่ายังไง” เสียงตอบกลับมาของอ้าย ทำให้เอซที่กำลังหลับตาปี๋ ยู่หน้า รอคอยว่าอีกฝ่ายจะทำยังไง แสดงอาการลิงโลดออกมา แต่ก็เก็บเสียงเอาไว้ แม้ว่าคนตัวสูงใหญ่อย่างเขา จะกำลังเตะขาทั้งสองข้างไปมาในอากาศ ราวกับตอนเป็นเด็กที่เอซได้หุ่นยนต์ตุ๊กตุ่นโรบอทตัวแรกเป็นของขวัญ

“อ้าย” เอซพูดขึ้นอีก เขาขยับตัวนอนตะแคง หันหน้าเข้าหาเต็นท์ของอีกฝ่าย “ปิดเต็นท์ดีมั้ย” ไม่รู้รอบที่เท่าไหร่ที่เอซอยากจะเขกกะโหลกตัวเอง ที่เขาได้แต่ถามคำถามอะไรที่ฟังดูไม่ได้เท่ หรือสร้างความประทับใจอะไรให้อีกฝ่ายได้เลย “อ๋อ อืม ดีแล้ว” เสียงของอ้ายตอบกลับมา ทำให้เอซยิ้มได้

“ขอบคุณนะ” เสียงตอบกลับมาของอ้าย ทำให้เอซตะโกนเสียงดังในใจอยู่เพียงผู้เดียว ว่าอยากขออีกฝ่ายเป็นแฟน แต่ใจมันก็ไม่กล้าที่จะพูดออกไป “เราดีใจนะ ที่ได้มาด้วยกัน” เสียงใจเต้นแรงของตัวเอง ทำให้เอซอยากจะเข้าข้างตัวเอง ว่าเขามีหวัง เขากำลังเข้าใกล้ในสิ่งที่ต้องการ เพียงแต่ว่า

“ตอนเรียน ม. ปลาย ไม่ได้ทำอะไรด้วยกันแบบนี้” เป็นที่อ้าย พูดทำลายความเงียบขึ้นมา หลังจากที่ต่างฝ่ายต่างไม่ได้พูดอะไรกันต่อ เป็นระยะเวลาช่วงอึดใจใหญ่ ๆ “เสียดายนะ” เสียงอ้ายพูด “เวลาตั้งหลายปี” เสียงเอซพูด “น่าจะได้รู้จักและทำอะไรด้วยกันมากกว่านี้” ประโยคหลังนี้ เป็นที่เอซที่ทำปากขมุบขมิบพูดกับตัวเองเสียงเบา

จากตอนนั้น ผ่านมาก็หลายเดือนแล้ว เอสและอ้าย ต่างก็เรียนจบและแยกย้ายไปในทางชีวิตของตัวเอง จนมาถึงวันนี้ เอซได้กลับมาที่ร้านอาหารกึ่งผับร้านที่เคยมากับอ้ายอีกครั้ง ทุกอย่างภายในร้านยังไงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนัก สิ่งที่แตกต่างไปก็คงจะมีเพียงแค่ว่า เอซหยุดยืนดูโต๊ะตัวนั้นอยู่เพียงลำพังคนเดียว

“จังหวะเตะเฮ้ดช็อตนั่น มันเท่มากเลยนะ” ทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น เอซรีบหันกลับมามองอีกฝ่ายในทันที “ได้ดูด้วยหรือ” เอซที่ทั้งตื่นเต้นและดีใจ เอ่ยปากถามอ้ายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ “นึกว่าไม่ชอบเสียอีก” ปลายน้ำเสียงนั้น เจ้าของคำพูดแอบแฝงปนไปด้วยความน้อยใจในนั้น

“เราไม่อยากเห็นเอซเจ็บตัว” อ้ายที่เลี่ยงไม่เคยไปดูเอซลงแข่งเทควันโดเลยสักครั้ง บอกถึงเหตุผลจริง ๆ ของตัวเองให้กับเจ้าตัวได้รับรู้ เอซที่ได้ยินแบบนั้น ก็มีรอยยิ้มเปื้อนที่ริมฝีปากของตัวเองทันที “เป็นห่วงเราด้วยหรือ” เอซถามออกไปแบบนั้น เพราะไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีกแล้ว แทนคำตอบที่มีให้เอซกลับไป อ้ายเอื้อมมือไปดึงซิปเสื้อคลุมนักกีฬาแขนยาวที่เอซใส่อยู่ลงจนถึงกลางแผงอกกว้าง เผยให้เห็นถึงเหรียญทองที่คล้องอยู่ที่คอของอีกฝ่าย เอซมองตามมือของอ้ายด้วยหัวใจที่เต้นเร็วและแรง

“ก็เราไม่กล้าที่จะโทรหาหรือส่งข้อความติดต่อไป ตอนที่เอซต้องเข้าค่ายเก็บตัวทีมชาติ” เอซเองก็เข้าใจได้ในทันที เพราะเขาคงจะไม่มีสมาธิฝึกซ้อมแน่นอน เพราะคงจะมัวพะวงคิดถึงแต่ว่า เมื่อไหร่อ้ายจะโทรมาหา หรือส่งข้อความทักทายมาสักที “แต่เจ็บตัวครั้งนี้มันก็คุ้มค่านะ” เอซบอกกับอ้าย ในวินาทีนั้น ที่กำลังจะหมดเวลาแข่งขันยกสุดท้าย คะแนนยังตามหลังคู่ต่อสู้อยู่ และเขาคิดว่าอยากจะเอาเหรียญทองมาครอบครองให้ได้ จะได้ดูเท่ ๆ กับเขาเสียที จังหวะนั้นที่เอซได้จังหวะยกขาขึ้นเตะ และก็หมดเวลาแข่งขันพอดี

“เราตะโกน กรี๊ดลั่น ดังกว่าใครในบ้านเลย” ตอนนั้นพ่อ แม่และพี่สาวของอ้ายเอง ก็ยังงง ว่าลูกชายบ้านนี้ทำไมถึงเชียร์นักกีฬาชายทีมชาติ ที่กำลังแข่งอยู่ในจอโทรทัศน์ ออกนอกหน้ากว่าใคร “ดีใจจัง” เอซพูด ก่อนจะหัวเราะออกมา พร้อม ๆ กับอาการเขินที่ทั้งสองฝ่ายมีให้กัน “กลับไปฉลองกับที่บ้านก่อนเถอะ” อ้ายบอกกับเอซ ทำท่าจะร่ำลากัน แต่เอซเอื้อมมือไปคว้าข้อมือของอ้ายเอาไว้

“เราเจอที่บ้านตั้งแต่ลงเครื่องที่สนามบินแล้ว บอกเขาแล้ว ว่าจะมาที่นี่” อ้ายพยักหน้าตาม เพราะตัวเขาเองก็ได้รับข้อความจากเพื่อนที่ไปรับเอซเช่นกัน ว่าเจ้าของเหรียญทองเทควันโดชายหมาดๆ จะมาที่ร้านแห่งนี้ เพราะหวังว่าจะใช้ช่วงเวลาดังกล่าวเพื่ออะไรบางอย่าง หรือหากโชคดีกว่านั้น ก็คงจะได้เจอหน้าใครบางคนที่นี่

“ถึงขนาดนี้แล้ว พูดในสิ่งที่อยากจะพูดกับเราในคืนนั้นได้หรือยัง” เอซทำหน้างง ๆ ว่าเขาต้องการจะพูดอะไรกับอ้าย ในคืนที่เขาดื่มจนเมาคืนนั้น ก่อนจะเห็นอ้ายใช้มือโน้มต้นคอของเอซให้ก้มลงมาหา “จะให้เรารออีกนานแค่ไหน ข้าวกล่อง จะเอามาให้ก็ไม่มา ได้นอนเต็นท์ใกล้กัน ก็ไม่พูดอะไร ปล่อยให้เราค้างเติ่งไปทั้งคืน” เอซใจเต้นแรงมากเมื่ออ้ายขยับใบหน้าและริมฝีปากเข้ามาใกล้มากแบบนั้น

“เห็นว่าเมา ก็นึกว่าจะสารภาพเสียที ก็นึกว่าจะทำอะไรกันเสียที ตั้งแต่ตอนนั้น” เอซตาโตเท่าไข่ห่าน เมื่อได้ยินอ้ายพูดบอกกับเขาแบบนั้น “จะให้เรารอต่ออีกนานแค่ไหน” เอซก้มหน้าของตัวเองลงอย่างรวดเร็ว อ้ายหลับตาลง รอรับแรงกระแทกกระทั้น ที่อาจจะหนักหน่วงนั้นบนริมฝีปากของตัวเอง และเอซเองก็บอกกับตัวเองว่า นี่มันไม่ใช่ความฝัน

“นี่เรานั่งอยู่กับอ้ายจริง ๆ ด้วยนี่หว่า” เสียงพูดอ้อแอ้ ๆ ด้วยอาการของคนเมาของเอซ ทำให้อ้ายอดขำไม่ได้ “แล้วมันดีหรือไม่ดีล่ะ เอซ” อ้ายถาม ก่อนจะคว้าแก้วเหล้าออกจากมือของเอซ เอาไปวางให้ห่างออกไป “จะว่าดี มันก็ดี เพราะเรามีเรื่องอยากจะสารภาพกับอ้าย เยอะแยะมากมายไปหมดเลย” เอซส่งสายตาทั้งเว้าวอน วิงวอน ทั้งอ้อนวอน ปนเปกันไปหมดในดวงตาสีอิฐคู่นั้น อ้ายเองก็ต้องเลี่ยงสบตาตรง ๆ กับอีกฝ่าย เพราะสายตาที่อยากจะกลืนกินกันทั้งตัวแบบนั้น

“เราอยากบอกอะไรกับอ้าย เยอะแยะเลย” เอซพูด สายตาจับจ้องไปที่ริมฝีปากของอีกฝ่าย “เราอยากทำอะไรอ้ายมากมายหลายอย่าง อ้ายอยากให้เราทำมันมั้ย” คนถูกถามถึงกับนิ่งอึ้งไปเหมือนกัน กับความในใจของคนเมา ที่ไม่พูดโกหกกับความรู้สึกของตัวเอง “เรากลัวอ้ายปฏิเสธเรา กลัวอ้ายไม่รักเรา” อ้ายต้องเม้มปากแก้เขิน เมื่อเอซเอาหน้าผากมาพิงที่อกข้างซ้าย ก่อนจะเกยขึ้นไปบนบ่า

“หัวใจอ้ายเต้นแรงจัง” อ้ายได้ยินเอซพูด ก่อนที่อีกฝ่ายจะหลับไปเพราะฤทธิ์เหล้า “ก็เป็นเพราะใครล่ะ ตาบ๊องเอ๊ย” อ้ายบ่นพึมพำออกมา ไม่วายต้องหัวเราะแก้เขินอีกครั้ง “ไม่ต้องให้คิดไปเองคนเดียวแล้วได้มั้ย จะให้รออีกนานแค่ไหนกัน” คิดอยู่ในใจว่า พรุ่งนี้ตื่นขึ้นมา เอซจะจำได้มั้ย ว่าพูดอะไรกับอ้ายเอาไว้บ้าง แล้วอ้ายเองจะทำยังไงต่อ มันจะเป็นยังไงต่อ เมื่ออ้ายรู้ความในใจของเอซที่มีต่อเขาแล้วแบบนี้

*************************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

บรรยากาศ - Only Monday

https://www.youtube.com/watch?v=UWkKyK2aK5M


อยู่ท่ามกลางคนที่มีอยู่เป็นล้าน

Standing in a huge crowd

แต่ทำไมหัวใจฉันมันกลับอ้างว้าง

Yet, I have this lonely feelings in my heart

เหมือนว่ารอบตัวที่มันวุ่นวาย

The chaos is all around me

กำลังค่อยค่อยหายไป

Starting to disappear


ร้านที่ฉันเคยพาเธอไปตอนนั้น

The pub I took you there that night

ตอนนี้ไม่มีใครมีเพียงแค่ตัวฉัน

It’s now just me being all alone

กับแก้วที่มันรินบางบาง

With the fine drink I’m sipping

มันให้ฉันนั้นคิดถึงเธอ

That reminds me the fond of you


บรรยากาศเดิมเดิม

The same old ambience

ที่เดิมเดิมทำให้ฉันคิดถึงใคร

The same place makes me think of someone

อยู่ภายในใจ

Deep down my mind

อยู่ในใจ ยังจดจำทุกเรื่องราว

Within my heart, I still remember everything happened

ภาพนั้นยังคงเป็นเธอ

And that is always you, love

ที่ฉันคงไม่ได้เจอ

That I may not be able to see

ไม่มีทางอีกแล้ว

No way I’m feeling you


อยู่กับฉากเดิมเดิม

With the same old circumstance

ที่เดิมเดิมวนแบบนี้ทุกครั้งไป

The same scene runs in the loop, indefinitely

อยู่ภายในใจ

What’s on my mind

แค่ในใจ ยังไม่ลืมภาพอดีต

Deep in my heart, can’t forget our story together

รักนั้นที่เราเคยผ่าน

The love we’d think we’d had

รักนี้ที่ไม่มีทาง

This love we’d think we’d lost

ทำให้ดีกว่านี้


Should make it way bette

rนึกเรื่องดีดีที่มีในตอนนั้น

Think of all nice things we’d shared

ที่ฉันและเธอเคย เคยเป็นอย่างที่ฝัน

The way that you and I pictured as dream

ฉันนั้นโชคดีที่เคยมีเธอ

I was so lucky that I’ve had you

อยู่ในภาพความทรงจำ

Always live in my memory

โต๊ะที่มันเคยมีเธออยู่ตรงนั้น

The same table you once sat in

ตอนนี้ไม่มีใครมันเป็นแค่ความฝัน

Now nobody’s there, it felt like a dream

อยู่กับแก้วที่มันรินบางบาง

With the fine drink I’m still sipping

มันทำให้ฉันนั้นคิดถึงเธอ

That’s all it takes to get me right back to you

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ทีเซอร์ - teaser ๘. The Ambience เอซ - อ้าย 14_8_2567
« ตอบ #9 เมื่อ: 14-08-2024 16:20:52 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Mini – Series: That’ s How Love Is Made



 “ใกล้วันงานมากแล้วนะคะ” ปณตหันสายตากลับมา เมื่อได้ยินเสียงของหญิงสาวพูดขึ้น ชายหนุ่มลอบถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ ว่ารับรู้ในสิ่งที่เธอกล่าวเตือน “รีบไปทำให้เสร็จ จะได้ไม่ต้องฉุกละหุกทีหลัง ญาไม่ชอบสิ่งไม่คาดฝัน เกลียดมาก ๆ ด้วย เรื่องเซอร์ไพรส์เนี่ย” ญาดาพูดด้วยน้ำเสียงแสดงความถือดี ของลูกสาวคนเดียวของตระกูลคหบดีใหญ่ ที่ทั้งชีวิตไม่เคยถูกปฏิเสธมาก่อน



“คุณแม่ของญา ก็อยากจะเห็นว่า การเตรียมงานผ่านไปด้วยดี เพราะคุณแม่ก็ชอบแต่ความเรียบง่าย เสียเงินมากหน่อย แต่ก็สบายใจกว่า” ปณตรู้ดีว่า สิ่งที่เขาทำมาตลอด คือปล่อยให้ญาดาพูดในสิ่งที่อยากพูด โดยแค่ทำพยักหน้าไปอย่างนั้น แม้ชายหนุ่มจะไม่ได้ฟังที่หญิงสาวพูดเลยสักคำก็ตาม



“คุณพ่อของณตก็ตื่นเต้นมากสำหรับเราสองคน ท่านโทรมาหาญาบ่อย ๆว่าถ้าญาอยากได้อะไรเพิ่มเติม ก็บอกกับณตได้เลย ท่านไม่ขัดอยู่แล้ว” และนั่นก็คงจะเป็น ปณตคิดกับตัวเอง ว่ายอดบนบัตรเครดิตแบล็กการ์ดที่ไม่จำกัดวงเงินของเขา คงจะเพิ่มสูงขึ้นอีกหลายเท่าตัว



“ญาดีใจนะคะ ที่เห็นณตยิ้มได้” ปณตที่เพิ่งมีรอยยิ้มแต้มที่ริมฝีปาก แต่ตอนนี้มันได้จางหายไปแล้ว รู้สึกตัวว่า ใครบางคนที่เขาเพิ่งกระหวัดคิดถึงเพียงแว่บนั้น ญาดาสังเกตเห็นมัน ที่ทำให้ชายหนุ่มเผลอยิ้มออกมา ปณตรีบปรับท่าท่างให้ดูเป็นปกติ ก่อนจะลุกขึ้นยืนตามหญิงสาว เมื่อญาดายืนยันว่า ปณตต้องไปที่ห้องเสื้อและจัดการชุดแต่งงานให้เสร็จในบ่ายนี้



ที่ร้านตัดเสื้อ ปณตเดินเข้าไปในห้องลองชุด โดยมีญาดาเจ้ากี้เจ้าการ จัดแจงให้พนักงานของร้านเอาชุดสูทเฉพาะตัวที่แพงที่สุดของร้านมาให้ปณตลองใส่ดู เพื่อเอามาเป็นแนวทางไอเดีย เพื่อจะตัดสูทเฉพาะของปณตคนเดียวเท่านั้น โดยที่ญาดายืนสั่งการเสียงเอาแต่ใจ แต่ทางร้านก็ยอมให้เธอจู้จี้ได้ตามสบาย แถมแชมเปญราคาแพงระยับที่เสิร์ฟถึงมือหญิงสาวอย่างไม่อั้น



ปณตเอาสูทตัวนอกมาสวมทับกับเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาว ก่อนจะมองตัวเองในกระจก เพื่อพบกับความจริงว่า เขากำลังจะแต่งงานลงหลักปักฐานกับผู้หญิงที่พ่อของเขาเป็นคนเลือกให้ เพื่อให้กิจการของทั้งสองครอบครัวมีความมั่นคงก้าวหน้าด้วยกันต่อไป ก่อนที่ชายหนุ่มจะรู้สึกว่านอกจากใจของเขาที่สั่นสะท้าน ร่างกายของเขาเองก็สั่นเทิ้มไปทั้งตัว



ปณตเห็นน้ำตาของเขาไหลลงมาเป็นสาย ชายหนุ่มพยายามหักห้ามน้ำตาของตัวเอง แต่มันก็ไม่เป็นผล ปณตได้แต่กลั้นเสียงสะอึกสะอื้นจากความเสียใจ ผิดหวัง และคิดถึงใครบางคนอย่างสุดแสนเอาไว้ แต่ยิ่งห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลริน ตัวของเขายิ่งสั่นสะท้าน ยิ่งห้ามหัวใจไม่ให้คิดถึง ใบหน้าของใครคนนั้น กลับยิ่งฉายเด่นให้เขาได้เห็นในห้วงคำนึงนึก



พรรธณ์ได้แต่ยอมตกลงตามคำชวนของฝรั่งหนุ่มตาน้ำข้าว ที่ตัวเองเพิ่งยอมตกลง จะลองออกเดตด้วย เมื่อหนุ่มฝรั่งตามตื๊อเทียวไล้เทียวขื่อทั้งที่ทำงาน ทั้งที่บ้านอยู่นานเป็นปี อย่างไม่ลดละความพยายาม โดยมีบรรดาเพื่อน ๆของทั้งสองคน สนับสนุนรู้เห็นเป็นใจ และดีใจที่ถ้าสองคนจะคบกันจริงจัง



“ผมแค่อยากถามเพื่อนของผมคนนี้ คือ เพื่อนร่วมลงทุนของผมว่า เขาต้องตามตื๊อแฟนของเขานาน และลำบากอย่างที่ผมต้องมั้ย” รอนพูดพลางกลั้วหัวเราะ เมื่อทั้งสองคนลงจากรถ “พอพูดไทยได้เก่งขึ้น ชักจะเอาใหญ่แล้วนะ” พรรธณ์แกล้งพูดเสียงดุใส่หนุ่มฝรั่ง ทำให้รอนยิ่งหัวเราะอย่างอารมณ์ดี



“พวกเขาคงอยู่ด้านในร้านแล้ว เราเข้าไปกันเถอะ” พรรธณ์ที่ดูลังเลที่จะเข้าไปในห้องตัดเสื้อหรูหราแห่งนี้ พยักหน้าให้กับรอนที่ใช้มือโอบด้านหลังของพรรธณ์ ก่อนจะผายมือให้อีกฝ่ายเดินนำ ก่อนที่ชายหนุ่มตาน้ำข้าวจะเดินตามเข้าไป



“สวัสดีครับคุณญาดา ขอโทษทีครับ ผมสองคนเพิ่งมาถึง ปณตล่ะครับ” พรรธณ์สะดุดเท้ากึก เมื่อได้ยินชื่อของเพื่อร่วมลงทุนของรอนเป็นครั้งแรก เขาใจเต้นแรง และลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เมื่อมองเห็นสายตาที่เป็นมิตรของญาดาที่มองรอน เปลี่ยนไปเมื่อหันมามองเห็นพรรธณ์



“ขอโทษด้ายนะคะ เผอิญคิดว่าจะมีแต่เพื่อน ๆกันเท่านั้น อย่างมิสเตอร์รอน ไม่คิดว่าจะมีผู้ช่วยหรือคนช่วยงานอีกระดับตามมาด้วย” คำพูดของญาดาทำเอารอนขมวดคิ้วแบบคนคิดตามความหมายไม่ทัน แต่สำหรับพรรธณ์คงไม่ต้องอธิบายความอะไรให้มากความ จากการแต่งตัวหัวจรดเท้าของเขา มันไม่เข้ากับสถานที่แบบนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว



“คือ รอน คือว่า ผมลืมของเอาไว้ที่รถ” พรรธณ์รับกุญแจรถมาจากหนุ่มฝรั่ง คิดว่าเป็นโอกาสดีของเขา ที่พรรธณ์จะรีบหลบออกไปก่อน “รู้ตัวก็ดีแล้ว” ญาดาที่รับแชมเปญแก้วใหม่ราคาแพงมาถือเอาไว้ในมือ “คุณไม่ชอบใจอะไรหรือครับ” รอนถามกับญาดาไปตรง ๆรู้สึกว่าอะไรบางอย่างไม่ควรที่จะเกิดขึ้น



“เปล่า” ญาดาพูดเสียงสูง ยกแก้วแชมเปญขึ้นดื่ม “แค่ไม่ชอบเห็นอะไรที่มันเกะกะ ขวางหูขวางตา ก็แค่นั้น” ญาดาทำเอียงคอพูด รอยยิ้มหยันเยาะนั้น แม้แต่รอนเองก็ไม่ชอบใจที่ได้เห็นแบบนั้น “เดี๋ยวผมไปด้วย” พรรธณ์กำลังจะบอกให้รอนอยู่ต่อ เพราะมันไม่ใช่ชายหนุ่มตาน้ำข้าวที่เป็นปัญหา แต่ยังไม่ทันที่พรรธณ์จะทันได้เดินออกจากตรงนั้นไป



“ปณต ไอว่า ไอกับพรรธณ์จะกลับแล้ว” ปณตที่เดินออกมาจากห้องลองชุด มองพรรธณ์ที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา ด้วยอาการตาค้าง แบบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ว่าจะมีวันนี้ วันที่เขาได้กลับมาเจอกับพรรธณ์อีกครั้ง “ใครสนกัน” ญาดาที่เริ่มกรึ่มได้ที่พูดขึ้นอย่างไม่ยี่หระ ก่อนจะหันเดินกลับเข้าไปที่ห้องรับรองแขกวีวีไอพี



พรรธณ์ได้แต่หลบสายตา รับรู้ว่าปณตมองมาที่ตัวเขาอย่างไม่วางตา “เอาไว้เราค่อยคุยกัน” รอนพูดกับเพื่อนของเขา ก่อนจะหันไปทางพรรธณ์ “เราไปกันเถอะ” ปณตมองตามมือของรอนที่ยื่นส่งให้พรรธณ์จับ อย่างไม่กลัวหรือสะทกสะท้านกับสายตาใคร ๆในร้านที่จะมองเห็น 



พรรธณ์หันไปสบตากับรอน ที่พยักหน้าบอกให้เขาจับมือหนุ่มฝรั่งตาน้ำข้าว จนปณตต้องขมวดคิ้วแสดงความไม่พอใจ ที่เห็นพรรธณ์ยมอจับมือกับผู้ชายคนอื่นอย่างนั้น ว่าที่เจ้าบ่าวอย่างปณตมองดูรอนและพรรธณ์พากันเดินจับมือกันออกจากร้านไป ก่อนที่ชายหนุ่มจะรีบวิ่งตามออกไป และตะโกนดังลั่นออกไปว่า



“Don’ t take my smile away from me again.” รอนที่กำลังจะเดินกลับไปถึงรถ ต้องหยุดชะงัก รีบหันกลับมามองปณตในทันที ส่วนพรรธณ์นั้น ได้แต่ยืนหยุดนิ่งอย่างไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี 



“Please.” เสียงของปณตอ้อนวอน ขอร้องแบบคนที่ทั้งดีใจและทั้งหวาดกลัวไปพร้อม ๆกัน



*******************************************************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

รักแรก นนท์ ธนนท์

https://www.youtube.com/watch?v=wDNwnBw-kkQ



วันนี้ในปีที่เราได้ใช้ชีวิตด้วยกัน

Today, the year we spent our time together

เธอจำได้ไหมอะไรที่เราเคยผ่าน

Do you still remember what we both went through?

ยิ้มและหัวเราะด้วยกัน

We had those smile and laugh with us

ทะเลาะกันบางครั้ง แต่มันก็ดีเธอว่าไหม

Argued though sometimes, but don’t you think that’s cool?

 

จะเป็นยังไงถ้าฉันไม่ทำเหมือนเก่า

What would it be if I did everything differently?

เราจะยังรักกันหรือเปล่า

Were we still falling in love?

ถ้าไม่ปล่อยมือกัน

If we did not let go of our hands,

เธอกับฉันวันนี้จะเป็นอย่างไร

You and I, what would we turn out to be today?

 

รักแรกมันลืมยาก

First love, that’s hard to forget

ฉันคงลืมยาก แม้จะนานเท่าไร

I can’t let it go easily, doesn’t matter how long it takes

ไม่มีวันที่จะจางหาย

It will never ever go away
 

เธอสบายดีไหม

How have you been?

เป็นคำถามที่ยังคงวนอยู่ซ้ำซ้ำ

The question that runs loop in my mind

อยากรู้แค่เพียงเธออยู่ตรงนั้น ที่ไม่มีฉัน

Just wanna know how it goes over there, not having me around

ชีวิตเธอเป็นไง

How is your life out there?

คิดถึงกันบ้างไหม

Don’t you miss me, do you?



ส่วนฉันก็คิดถึงเธออยู่ซ้ำซ้ำ

For me, you’re still on my mind, dearly

ก็หวังแค่เพียงเธออยู่ตรงนั้น

Wish that you are there with all happiness

จะสุขใจกว่าฉัน

Far better than me over here

อยากให้เธอยิ้มได้เหมือนเก่า

Want you to be able to smile like the old days

เหมือนตอนเรารักกัน

Like those days we were in love



รู้บ้างไหมว่าฉันคิดอยู่เสมอ

Do you realize that this is always in my thought?

ถ้ามีโอกาสได้รักเธอใหม่

If I get one more chance to love you,

จะกอดเธอเอาไว้

Will hold you tight in my arms

ไม่ปล่อยเธอหายไปอีกเลย

Never let you go ever again



ในวันที่ไม่มีเรา 

The days where there’s no us 

ยังมีทุกความทรงจำ

All is left only this memory

แค่เพียงได้คิดถึง

To cherish and remember us by



ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ทีเซอร์ - teaser ๑๐. นวลตา; Eye Candy 28 - 12 - 2567
«ตอบ #11 เมื่อ28-12-2024 00:17:00 »

นวลตา; Eye Candy


นวลตารู้สึกประดักประเดิดเล็กน้อย กับสถานที่ที่เธอไม่คุ้นเคยเลยสักนิด ยิ่งกับยามกลางคืนแบบนี้ ที่เธอไม่ค่อยได้ออกมาจากบ้าน ยิ่งเป็นสถานบันเทิงยามค่ำคืนด้วยแล้ว ยิ่งไกลจากชีวิตประจำวันของเธออย่างยิ่ง

พนักงานที่ตรงทางเข้ามาในซอย ขอตรวจบัตรประชาชนของเธอ นวลตายื่นส่งให้เขาดู มือเธอสั่นน้อย ๆ อาจจะเป็นทั้งด้วยอาการตื่นเต้นและประหม่าปน ๆ กัน ที่เธอตัดสินใจมาที่นี่ในครั้งนี้ พนักงานเองก็คงจะเห็น กล่าวแซวเธอเล็กน้อยกลั้วหัวเราะ ก่อนจะชี้ให้นวลตาเดินตรงเข้าไปตรงโต๊ะชำระเงินค่าเข้า

หญิงสาวรับเอาตั๋วเล็ก ๆ ที่พนักงานส่งให้มาถือเอาไว้ในมือ พนักงานบอกว่ามันแลกเครื่องดื่มด้านในได้ นวลตาเองก็คิดว่า เธอคงต้องดื่มอะไรเสียหน่อย อาจจะเป็นด้วยเหตุผลที่ว่า เธอจะได้จัดการกับความคิดของตัวเองได้ดีขึ้น รวมถึงเพิ่มความกล้าให้กับตัวเธอเช่นกัน

นาฬิกาบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือบอกเวลา ว่าใกล้จะห้าทุ่มสี่สิบห้าแล้ว นวลตามองไปที่ขวดเบียร์ขวดที่สองที่วางเอาไว้บนโต๊ะ หลังจากที่เธอเพิ่งฝืนดื่มขวดแรกของชีวิตจนหมดภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว หญิงสาวบอกกับตัวเองว่า เธอมาไกลกว่าที่เธอจะถอยกลับได้แล้ว

นวลตาสังเกตเห็นว่า ลูกค้าคนอื่น ๆ ต่างทยอยเดินเข้าไปในร้านที่อยู่สุดทางด้านใน หญิงสาวตัดสินใจกระดกขวดเบียร์ขึ้นดื่ม และปล่อยให้น้ำสีเหลืองอำพันนั้นไหลลงไปรวมเป็นความกล้าให้กับเธอ ก่อนจะเดินตามนักดื่มนักเที่ยวชายกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งไป

ภายในร้านที่ไฟมืดสลัวลง มีดนตรีที่ดังอึกทึก นวลตาปรับสายตาให้เข้ากับบรรยากาศรอบ ๆ ตัว เธอแทรกตัวเดินผ่านกลุ่มผู้ชายที่เธอเดินตาม จนไปหยุดยืนอยู่เยื้องไปทางด้านหลัง ที่เบื้องหน้ามีเวทียกระดับขึ้นจากพื้น แต่ไม่สูงมากนัก มันมีช่องว่างด้านหน้าที่ไม่มีใครยืนบัง ทำให้นวลตาเห็นจอบนเวที บอกเวลาการแสดงเอาไว้ว่าเริ่มต้นตอนห้าทุ่มสี่สิบห้า

เสียงดนตรีที่เปิดอยู่ ๆ ก็ดับลง พร้อม ๆ กับแสงไฟทั่วทั้งร้าน ก่อนที่จะมีการเคลื่อนไหวบนเวที ใครคนหนึ่งเดินไปหยุดอยู่ที่กลางเวทีนั้น กลิ่นน้ำหอมจากเรือนกายฟุ้งไปทั่วบริเวณ นวลตาใจเต้นแรงเมื่อไฟสปอทไลต์ส่องไปให้เห็นคนที่ยืนอยู่บนเวที

 “เดี๋ยววันนี้ หมอจะเริ่มกระบวนการการให้ฮอร์โมนเพศหญิง” นวลตาได้ยินที่หมอพูดออกมา แต่เหมือนว่าเธอได้ยินมันจากที่อันแสนไกล หญิงสาวหันไปทางชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เธอ รอยยิ้มที่ออกมาจากแววตาของเขา ทำให้เธอต้องยิ้มให้เขาเช่นกัน ยิ้มออกไปในที่สุด

ที่นอกห้องตรวจ นวลตาเดินตามชายหนุ่มที่เดินนำหน้าเธอไปที่รถ หญิงสาวเห็นเขาวุ่นอยู่กับการโทรหาใครต่อใคร หลายชื่อที่เธอได้ยิน เธอไม่รู้จักมาก่อน มันคงเป็นกลุ่มเพื่อนใหม่ที่สามีของเธอคบหาด้วย นวลตาหยุดยืนมองเขาเดินไปที่รถ ก่อนจะเห็นท่าทางของชายหนุ่ม บอกเธอให้รีบเดินมาขึ้นรถ

 “รีบไปดีกว่า อาจจะไม่ติดพักเที่ยง แต่คนอาจจะเยอะ” ชายหนุ่มบอกกับเธอ นวลตาพยักหน้าน้อย ๆ เป็นเชิงรับรู้ ก่อนที่เขาจะขับรถมาถึงที่หมายโดยใช้เวลาไม่นานนัก “อย่างที่เราตกลงกัน ช่วงที่ให้ฮอร์โมน จะได้ไม่ต้องวุ่นวายเรื่องนี้ ทำให้เสร็จไปเลยทีเดียว” นวลตามองผ่านกระจกหน้ารถออกไป ระหว่างที่ได้ยินชายหนุ่มพูด ป้ายสถานที่ราชการบอกว่าคือที่ทำการเขต

 “อายแคนดี้” เสียงแฟน ๆ แดร็กโชว์เรียกชื่อนางโชว์เจ้าเสน่ห์ที่โค้งศีรษะค้อมตัวลงรับเสียงปรบมือและเสียงเป่าปากกรีดร้องอย่างชอบใจนั้น นวลตามองเห็นนางโชว์โปรยยิ้มสวยให้กับบรรดาแขกของทางร้าน ที่เป็นแฟนคลับของเธออย่างเหนียวแน่นด้วยเช่นกัน

นวลตาแทบไม่เชื่อสายตาของตัวเอง กับนางโชว์คนที่กำลังยืนพูดคุยกับลูกค้าของร้าน ว่าเป็นคนคนเดียวกับที่เธอรู้จักมาก่อนหน้านี้ ด้วยน้ำเสียง ท่าทาง การพูด โดยเฉพาะรูปร่างที่แตกต่างออกไปจนแทบจำไม่ได้ ในระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา จากวันนั้น วันสุดท้ายที่ได้เจอกัน

 “ใบสำคัญการหย่าของคุณสองคน ให้เก็บเอาไว้คนละชุด” นวลตารับเอกสารแผ่นนั้นมาถือเอาไว้ และตอนนั้นเอง เธอถึงได้รู้สึกว่า ทุกอย่างมันเดินมาถึงตอนสุดท้ายแล้ว และต่อจากนี้ ก็จะเป็นเรื่องจริงของชีวิต ที่มันเกิดขึ้นจากนี้ไป

 “เป็นเพื่อนสาวกันแล้ว ไปกินข้าวกลางวันกันก่อนกลับมั้ย” นวลตาพูดกลั้วหัวเราะ กลบเกลื่อนความรู้สึกของหัวใจที่กำลังสั่นสะท้าน “อย่าไปพูดอะไรแบบนี้กับใครอีกนะ มันไม่ตลกเลยสักนิด อย่างน้อยก็ไม่ใช่กับฉัน” คงจะเป็นเพราะแสงแดดในตอนนั้น ที่แผดเผาแสบร้อนแยงตา นวลตามองดูรถยนต์คันนั้นแล่นจากไป เมื่อน้ำตาที่ร้อนผะผ่าวรื้นขึ้นสู่ขอบตา แต่ทำให้เธอปวดร้าวไปทั้งใจ

 “เดี๋ยวนี้ลิปซิงค์เก่งจนคนดูอินมาก ยืนน้ำตาไหลเลยนะเจ๊” เสียงเด็กบาร์ประจำร้านทักขึ้น ขณะที่อายแคนดี้ นางโชว์ตัวดึงดูดเงินประจำร้านกำลังเตรียมตัวกลับบ้าน “พูดจริงใช่มั้ยเนี่ย ใครกัน ทำไมฉันไม่เห็น” พูดไปว่าไม่เชื่อ แต่ก็ยิ้มอย่างดีใจ

“จริงสิ ผมเดินมาเสิร์ฟเหล้าให้กับลูกค้าประจำ ผมเห็นผู้หญิง ยืนอยู่ตรงข้างหลัง ตรงเนี้ย”  เด็กบาร์พูดพลางชี้นิ้วไปทางที่ว่างที่ยืนเห็นเวทีได้ โดยไม่มีใครยืนบัง นางโชว์หันไปมองตามมือ เมื่อกำลังคิดตามว่า เป็นผู้หญิงเนี่ยนะ ที่อินไปกับการแสดงบนเวทีของเขา

“แคนดี้ กลับหรือยังคะ” พลันมีเสียงทักจากหนุ่มหล่อไฮโซ ลูกชายนักการเมืองใหญ่ของประเทศ ที่เพิ่งประกาศหมั้นหมายกับนางโชว์คนสวย ให้เป็นที่ฮือฮาและเป็นทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์ ไปทั่วบ้านทั่วเมือง แคนดี้หันไปยิ้มให้กับเจ้าของคำถาม ก่อนจะส่งกระเป๋าสะพายให้อีกฝ่ายเป็นคนถือให้ 

ชายหนุ่มจับมือเดินนำแคนดี้ออกไปทางหน้าร้าน บรรดาลูกค้าของร้าน ต่างพากันเกรียวกราวไปกับคู่รักแห่งปี ที่แสดงความหวานกันโดยไม่แคร์ว่าใครจะมอง นวลตาที่แอบยืนมองอยู่ที่มุมลับสายตา ค่อย ๆ ก้าวเท้าเดินตาม สายตาของเธอจับจ้องไปที่มือของทั้งสองคนที่เดินเกาะกุมกัน

นวลตาเร่งฝีเท้าในหัวสมอง มองเห็นภาพตัวเองกระชากมือของคนทั้งคู่ให้แยกออกจากกัน เสียงของลูกค้าคนหนึ่งดังขึ้น โดยพูดขึ้นว่า ครอบครัวของชายหนุ่มรูปงามเอง ก็ไม่ได้มีท่าทีต่อต้านอะไร ที่ลูกชายไปคว้าเอานางโชว์มาเป็นสะใภ้ นวลตาลดความเร็วฝีเท้าลง จนมาหยุดยืนนิ่งอยู่ที่ริมถนน ก่อนจะเห็นไฟท้ายของรถยนต์คันหรูราคาแพงระยับนั้น เคลื่อนตัวเลี้ยวหายจากไปจนลับสายตา

 “คุณกลับมาแล้ว อย่างนั้น หนูลาเลยนะคะ” เด็กสาวที่นวลตาจ้างมาเฝ้าบ้าน เอ่ยขึ้นทันทีที่เห็นนวลตาไขประตูเข้าห้องมา “แต่ว่า ถ้าคุณจะเรียกใช้หนูอีกครั้งหน้า หนูขอขึ้นราคานะคะ ถ้าคุณจ่ายหนูแค่นี้ มันไม่คุ้มค่ารถไปกลับ” เด็กสาวรับเงินจากมือของนวลตาเสร็จ ก็รีบเปิดประตูออกไปทันทีเช่นกัน

นวลตาไม่ทันได้ตอบโต้อะไรเด็กสาว ได้แต่หันหน้ากลับมามองประตูห้องนอน ก่อนจะเดินไปเปิดมันออก หญิงสาวมองไปที่เตียงนอน ก่อนที่เรื่องเก่าวันนั้น จะกลับมาให้ได้เห็นอีกครั้ง กับวันที่ทุกอย่างในชีวิตของหญิงสาวคนหนึ่งอย่างเธอจะเปลี่ยนไปตลอดกาล

“นวลตา ผมมีเรื่องจะบอกกับคุณ” เจ้าของชื่อยิ้มน้อย ๆ เพราะเธอเองก็มีเรื่องจะพูดกับชายหนุ่มผู้เป็นสามีเช่นกัน เมื่อเขาบอกให้เธอนั่งลงก่อน เพื่อที่จะพูดเรื่องสำคัญนั้น โดยเมื่อนวลตาได้ยินมัน เรื่องของเธอที่หญิงสาวอยากจะพูด ก็ถูกกลืนหายลงคอไป

 “คุณคงไม่ขัดขวางผมหรอกใช่มั้ย เพราะยังไงเรื่องของเราก็เป็นไปไม่ได้ การให้ฮอร์โมน มันเป็นความต้องการของผมจริง” นวลตาไม่รู้ว่าเธอจะพูดอะไรออกไปดี เมื่อโลกของเธอทั้งใบ เพิ่งพังทลายลงตรงหน้า ถ้าเธอปฏิเสธ เธอก็ขัดขวางความสุขจริง ๆ ในชีวิตของเขา เมื่อเธอยอมรับ ความสุขของเธอ จะถูกกอบกู้ขึ้นมาอย่างไร

นวลตาค่อย ๆ นั่งลงที่ข้างเตียงนอนนั้น เธอมองไปที่เด็กผู้หญิงตัวน้อยที่นอนหลับปุ๋ย นวลตาเลื่อนผ้าห่มขึ้นคลุมหน้าอกของลูกสาวของเธอ เด็กน้อยขยับตัวเล็กน้อย นวลตาส่งเสียงชู่เบาๆ กล่อมให้สุดดวงใจของเธอ กลับสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง

หญิงสาวเดินกลับเข้าไปในห้องน้ำอีกครั้ง หลังจากที่นวลตานั้น บอกกับสามีว่าเธอเข้าใจความรู้สึกของเขา ที่เหมือนติดอยู่ในร่างของผู้ชาย กับจิตใจที่รู้ตัวมาตลอดว่าเป็นผู้หญิง นวลตาน้ำตาไหลลงอาบน้ำ เมื่อเธอค่อย ๆ หยิบแท่งพลาสติกที่มีขีดสีฟ้าสองขีดนั้น หย่อนลงมันทิ้งถังขยะไป พร้อมกับหัวใจที่ร้าวร้านของเธอเช่นกัน

**********************************************************

เนื้อร้องแปลเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

ส่วนต่าง - Bokylion

https://www.youtube.com/watch?v=zch6bd3Gfng


จำได้ทุกทุกอย่าง

I remember everything

จำได้ทุกทุกการเดินทาง

Still remember the entire journey

ทุกความฝันในตอนที่ฉันยังยืนข้างเธอ แต่ก่อน

Every dream since I was beside you, back then


เปลี่ยนไปทุกทุกอย่าง 

Things have already been changed

อยู่ไกลกันคนละเส้นทาง

We’re on the different path, far away

แต่ยังเห็นสิ่งที่เธอนั้นเคยพยายาม

Though I saw what you used to try

ไม่ต้องกลัวสักนิดอย่าคิดว่ามันจะสาย

Don’t be afraid that you think it’s too late

เธอเก่งจะตาย โดยไม่ต้องมีฉันข้างเธอ

You’re great at this without the need of be being here


เห็นไหม เธอทำได้ดี

You see, you’re doing fine

โดยไม่ต้องมีฉันอยู่

Without me staying with you

ก็รู้เธอทำได้ทุกอย่าง

You know you can do anything



ดูแลตัวเองดีดี

Just take a good care of yourself

ส่งเธอได้ไกลสุดแค่นี้

This is how far I came to see you off

I know you can do it without me


ไม่จำเป็นต้องเศร้าเลย 

No need to be in grief

ยินดีที่เคยได้ร่วมทาง

Glad that we were once on the same route

ในวันนี้หากเธออ้างเธออ้างว้างก็คงไม่ต่างกัน

If today you’re lonely, so we’re not different
 

ทุกวันยังใจหาย

Though now it makes me sigh

กับเรื่องที่มันสาย

With something that’s too late to try

ยอมรับความจริงไม่ได้ว่าเราไม่มีกันและกัน

Can’t accept that you and I no longer are together


ออกไปจากตรงนี้ทั้งที่ยังใจสลาย

I’m getting out of here with my heart broken

อยากอยู่ให้ได้ ต่อให้ไม่มีเธอข้างฉัน

Though I want to go on with you not being with me


เห็นไหม เธอทำได้ดี

You see, you’re doing fine

โดยไม่ต้องมีฉันอยู่

Without me staying with you

ก็รู้เธอทำได้ทุกอย่าง

You know you can do anything


ดูแลตัวเองดีดี

Just take a good care of yourself

ส่งเธอได้ไกลสุดแค่นี้

This is how far I came to see you off

I know you can do it without me


ความทรงจำยังคงงดงามเสมอ

The memory is always beautiful

แม้ในตอนที่เธอไม่ได้อยู่ข้างฉัน

Maybe you’re not anywhere around

วันที่เดินคนละทางฉันพบส่วนต่าง 

The day we parted ways, I found that cliché part

หล่นจากความฝัน

Falling from grace

ส่วนที่ต่างกันคือฉันอยู่ไม่ไหว

Typically me, I can’t bear any of this pain


เห็นไหม เธอทำได้ดี

You see, you’re doing fine

โดยไม่ต้องมีฉันอยู่

Without me staying with you

ก็รู้เธอทำได้ทุกอย่าง


You know you can do anything

ดูแลตัวเองดีดี

Just take a good care of yourself

ส่งเธอได้ไกลสุดแค่นี้

This is how far I came to see you off

I know you can do it without me


ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

“สิงห์ ไอ้เวร นี่มึงนั่งนิ่งจนน้ำแข็งละลายจนจืดไปหลายแก้วแล้วนะ มึงแม่งเปลืองเหล้าฉิบหาย” เป้เพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย มือชงเหล้าประจำกลุ่ม เอ่ยปากด่าพลางส่ายหัว แต่ก็เริ่มชงเหล้าแก้วใหม่ให้เพื่อน “มันไม่มาหรือวะ” สิงห์ถามออกไป ใจอยากได้รับคำตอบยืนยัน

“ใคร อีมิวน่ะหรือ” สิงห์พยักหน้าแทนคำตอบ เมื่อเพื่อนอีกคนส่งเสียงมา “อ้าว ไหนมึงบอกมึงโทรชวนมันแล้วไง” ใช่ สิงห์คิดวนอยู่ในหัว เขาเป็นคนโทรชวนเพื่อนที่เรียนด้วยกัน เหมือนทุกครั้ง ทุกปีที่เพื่อนกลุ่มของเขา นัดสังสรรค์ประจำปีด้วยกัน

“นี่ค่อนคืนแล้ว มันยังไม่โผล่หัวมา” สิงห์ที่ลอบมองไปตรงทางเข้าสวนอาหารกึ่งผับ แต่ก็ยังไม่มีวี่แววของอีกฝ่าย “แม่งอาจจะยังไม่อยากเจอใครก็ได้นะมึง ตามข่าว” ใครอีกคนเสริม สิงห์พยักหน้าเบา ๆ เพราะเขาเองก็รับรู้ข่าวซุบซิบวงสังคมนั่นมาเหมือนกัน

“เมากันหรือยังคะหนุ่ม ๆ” เสียงนั้นดังขึ้น พร้อมเพื่อนทั้งกลุ่มร้องเฮขึ้น และรอยยิ้มของสิงห์ที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้า “ไอ้พวกเพื่อนชั่ว แดกไม่รอกูกันสักคน” สาวสวยหนึ่งเดียวในกลุ่ม พร้อมกลิ่นน้ำหอมจรุง นั่งลงตรงเก้าอี้ตัวเดียวที่ยังว่าง ตรงข้ามกันกับสิงห์

“ยกเว้นไอ้สิงห์ ไอ้ห่า แม่งนั่งไม่ยอมดื่ม บ่นถึงแต่กับมึง” เป้ มือชงเหล้าอันดับหนึ่งของกลุ่ม กำลังชงแก้วเหล้าแก้วใหม่ให้เพื่อนที่ทุกคนรออยู่ “สุภาพบุรุษมากค่ะคุณ” มิวรับแก้วเหล้ามาจากเป้ ก่อนจะหันไปส่งตาหวาน กล่าวขอบคุณสิงห์ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกัน โดยที่สิงห์หลุดหัวเราะออกมา กับท่าทางดัดจริตของเพื่อน

“อีมิว มึงแรดมาก แต่อย่าแรดอย่างเดียว มึงรีบดื่มและตามพวกกูให้ทัน อีนี่ มาสายแล้วอย่าลีลาเยอะ” เป้กระทุ้งให้เพื่อนรีบยกแก้วขึ้นดื่ม “หมิวค่ะ มิว อีส นาว ฮิสทอรี่” มิวประกาศชื่อใหม่ให้ทุกคนได้ยิน ก่อนจะยกแก้วเหล้ายกขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด พร้อมเสียงเฮส่งเสียงพอใจจากกลุ่มเพื่อน

“ไม่อ้ะ กูจะดื่ม ชนแก้วกับมึง มิว” สิงห์ยกแก้วขึ้นดื่ม สายตาจับจ้องกับดวงตาของอีกฝ่าย “ยังไง มึงก็คือมิวของกู” สิงห์รู้จากข่าวเช่นกัน ว่าสังคมนั้นเรียกชื่อใหม่ของเพื่อนว่าหมิว “ไม่ว่าจะมิวหรือหมิว มึงก็คือเพื่อนของพวกกูอยู่ดี แต่อีห่า ตอนเรียนแม่งหล่อ จบแล้ว สวยเช้ง” หมิวทำท่าเคอะเขิน เมื่อหนึ่งในกลุ่มเพื่อนเอ่ยปากชมกันโต้ง ๆ

“มึงก็สวยจริง” สิงห์พูดกับมิว ที่นั่งเท้าคาง พลางทำให้หน้าอกหน้าใจของเธอพูนนูนขึ้น ผ่านเดรสสั้นเกาะอกสีครีมขาวชุดนั้น มิวเห็นสายตาของสิงห์มามองมา “ซีรี่ส์ใหม่ อัพจากเดิมหลายซีซี” มิวเอานิ้วลากไปตามเนินอก ทำให้สิงห์ต้องเสหันไปหยิบแก้วเหล้าขึ้นมาจิบ

“เจ็บหรือเปล่า” สิงห์ถามออกไปเบา ๆ มิวหัวเราะออกไปเบา ๆ “ทำนมน่ะหรือ” สิงห์หน้าแดงหูแดง แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำถามนี้ของมิว หรือว่าฤทธิ์ของแอลกอฮอล์กันแน่ “ถ้านม ก็นิดหน่อย แต่ถ้าเรื่องอกหัว กูไม่แคร์เลยสักนิด” พูดจบ มิวก็ยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มรวดเดียว สิงห์ได้ยินน้ำเสียงที่เข้มแข็งจากอีกฝ่าย แต่แววตาของมิว แฝงไปด้วยร่องรอยของความเสียใจยังคงเจือเหลืออยู่

“เดี๋ยวกูไปห้องน้ำก่อน เป้ชงเหล้าให้กูด้วย” มิวกะพริบตาถี่ ๆ ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ “เออ ได้” เป้รับคำเพื่อน ทุกคนในกลุ่มต่างพากันเงียบ และบอกกันว่า จะไม่ไปสะกิดหรือถามเรื่องที่มิวเพิ่งถูกเตะโด่งออกจากบริษัท ทั้ง ๆ ที่เพิ่งทำโปรเจ็กต์ใหญ่จนสำเร็จ แต่ทางครอบครัวของลูกชายประธานบริษัท รับรู้เสียก่อน ว่ามิวคือคนที่ลูกชายของเขามีความสัมพันธ์เกินเลยด้วย

“มึงไปดูมันหน่อยมั้ย ไอ้สิงห์” เป้ที่ตอนนี้พอจะมองเพื่อนออก ว่าสิงห์รู้สึกอะไร คิดยังไงอยู่ แม้ว่าตอนเรียนด้วยกัน จะไม่เคยระแคะระคายอะไรเลยสักนิด เพราะมิวเองก็ไม่มีมีท่าจะแสดงอะไรออกมา ด้วยกลัวว่า เพื่อนทั้งกลุ่มที่เป็นผู้ชายกันทั้งนั้น จะไม่สบายใจที่มีตัวเองเป็นเพื่อนในกลุ่ม

“มึงมารอเข้าห้องน้ำหรือ” มิวเอ่ยทักสิงห์ ที่ยืนดักรออีกฝ่ายอยู่ “เปล่า” สิงห์ตอบกลับไป “กูมารอมึง” สิงห์มองสบตากับมิว “กูอยากรู้ว่ามึงโอเค” มิวทำเป็นหัวเราะออกมา ก่อนจะเม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรง เมื่อเห็นท่าทางจริงจังของสิงห์

“ก็โอเค อะไรของมึง” มิวพยายามกลบเกลื่อน “มันทำมึงเจ็บ” สิงห์พูดออกไป ในใจของเขารู้สึกแย่ไปด้วย กับสิ่งที่คนตรงหน้าเพิ่งผ่านมันมา “มึงเป็นเหี้ยอะไรเนี่ย แน่สิ กูเพิ่งถูกหักอกมา” อีกครั้ง ที่สิงห์เห็นมิวหัวเราะ เพื่อต้องการทำให้เพื่อน ๆ สบายใจ

“เต้นกันสักเพลงมั้ย” เสียงเพลงจากลำโพงเครื่องเสียงชั้นดีดังขึ้น สิงห์เอ่ยถามมิว คนถูกถามพยักหน้าตอบรับ ทั้งสองคนตอนเรียน ก็ออกสเต็ปกลางฟลอร์ด้วยกันบ่อย ๆ โดยเฉพาะตอนกรึ่มเหล้าจนได้ที่ สิงห์พามิวเดินมาที่กลางฟลอร์ ทั้งสองคนหัวเราะให้กัน พูดกันถึงเรื่องที่เคยเมากันเละเทะ แล้วก็เต้นกันจนสร่างเมา

“ตอนนี้กูสวยแล้ว อย่าให้กูทำอะไรน่าเกลียด ๆ แบบตอนนั้น” มิวพูดแบบกลั้วหัวเราะ ไม่ได้จริงจังอะไร ยอมรับว่า สมัยตอนเรียนด้วยกัน มันเป็นช่วงเวลาที่สนุก และดีที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิต แม้ว่า มันไม่ได้ราบรื่นไปเสียทั้งหมด ทุกช่วงเวลาก็ตาม

“มึงสวยมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วมั้ย” สิงห์บอกกับอีกฝ่ายไป ก่อนจะใช้นิ้วจับปอยผมข้างแก้มของมิว ขึ้นทัดหูให้เจ้าตัว สิงห์สบตากับมิว เขามีความในใจมากมายที่อยากจะระบายมันออกมา อยากจะพูดบอกให้อีกฝ่ายรับรู้ อยากให้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเขาในตอนนี้ ได้เข้าใจ

“ปกติแล้ว สิงห์ไม่เคยพาใครมาบ้าน แถมยังกระตือรือร้นเป็นพิเศษแบบนี้ ก็ต้องขออยู่ดูเสียหน่อย ว่าเป็นใครกันนะ” สิงห์ยิ้มกว้าง เมื่อได้ยินแม่ของเขาพูดแบบนั้นกับมิว “เรียนวิศวะด้วยกันกับสิงห์เขาหรือจ๊ะ” คำถามนั้นทำให้มิว รับคำออกไปเบา ๆ ว่าใช่

“มิวเรียนเก่งกว่าสิงห์อีกครับคุณแม่” ลูกชายเจ้าของบ้านรีบรายงาน “พอเลยเจ้าสิงห์ แม่อยากคุยกับมิวเขาเอง เอางี้ เราน่ะ ออกไปซื้อของให้แม่หน่อย ไป ๆ” สิงห์รับคำของแม่อย่างอิดออด แต่เมื่อเห็นว่า มิวน่าจะเข้ากับผู้ใหญ่ได้ไม่ยาก และแม่ของเขาก็ดูจะเอ็นดูมิวไม่น้อย สิงห์เลยไม่รู้สึกห่วงอะไร

“เอาล่ะ งั้นฉันขอพูดแบบไม่อ้อมค้อมนะ” เมื่อแน่ใจแล้ว ว่าลูกชายขับรถออกจากบ้านไป แม่ของสิงห์ก็พูดกับมิวด้วยเสียงที่ผิดแผกไปจากเมื่อครู่นี้ “ฉันยอมตามใจสิงห์เขา ก็เพราะฉันรักลูกชายฉัน” มิวเองรับรู้ได้ทันที ถึงบรรยากาศการพูดคุยที่เปลี่ยนไป

“เรื่องที่เขาชอบผู้ชายด้วยกันนี่ ฉันยังพอทำใจรับได้ เพราะเวลาอยู่ในสังคม อยู่ท่ามกลางคนอื่น ก็ต้องรักษาหน้ารักษาเกียรติให้ฉัน ด้วยการทำตัวเป็นผู้ชายปกติธรรมดา ไม่ทำให้ใครสังเกตเห็น ไม่ใช่” แม่ของสิงห์โยนกระดาษปึกใหญ่ลงต่อหน้าของมิว และเมื่อมิวอ่านกระดาษพวกนั้นดู ก็เป็นข้อมูลเกี่ยวกับการที่เขากำลังจะเข้ารับฮอร์โมนบำบัด ก่อนทำการผ่าตัดใหญ่

“จริง ๆ ฉันก็ไม่ได้รังเกียจรังงอนอะไรพวกเธอนักหนาหรอกนะ แต่เราต้องไม่โกหกกัน ฉันไม่สามารถยอมรับได้ หากสิงห์จะต้องบอกกับใคร ๆ ว่า คบอยู่กับคนแบบเธอ ตอนที่เธอทำทุกอย่างเปลี่ยนแปลงหมดแล้ว เธอคงเข้าใจฉันใช่มั้ย” ได้ยินทั้งหมดแบบนั้นแล้ว มิวทำได้เพียงพยักหน้ารับรู้ และเดินออกจากบ้านหลังนั้นมาเงียบ ๆ

“กูกลับก่อนนะพวกมึง” มิวพูดขึ้น เมื่อเดินกลับมาถึงที่โต๊ะ “อ้าว เฮ้ย ไอ้สิงห์ ยังไงกันวะ” เป้ร้องถามเพื่อนสนิท เมื่อเห็นมิวเดินลิ่วออกจากร้านไป “มิว” โดยมีสิงห์ตะโกนเรียกชื่ออีกฝ่าย พยายามจะรั้งให้มิวหยุดรอเขาก่อน สิงห์มองมิวเดินข้ามถนนไปอีกฝั่ง เพื่อไปที่รถสปอร์ตคันหรู ที่เจ้าตัวซื้อมาจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง

“ไม่มีใครจริงสำหรับกู มากไปกว่ามึงแล้วนะมิว” สิงห์ตะโกนออกไป เมื่อมิวกำลังจะเอื้อมมือเปิดประตูรถ “มึงจะให้กูต้องรอไปอีกหนึ่งปีจริง ๆ หรือวะ” น้ำเสียงของสิงห์เหมือนคนกำลังจะร้องไห้ แต่แล้ว สิ่งที่เห็นมิวทำก็คือ มิวเปิดประตูเข้าไปในรถ แล้วขับรถออกไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว



//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////



“ไม่มีใครจริงสำหรับกู มากไปกว่ามึงแล้วนะมิว” สิงห์ตะโกนออกไป เมื่อมิวกำลังจะเอื้อมมือเปิดประตูรถ “มึงจะให้กูต้องรอไปอีกหนึ่งปีจริง ๆ หรือวะ” น้ำเสียงของสิงห์เหมือนคนกำลังจะร้องไห้ ทำให้มิวต้องชะงัก ก่อนจะค่อย ๆ หันกลับมามองสิงห์ ที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามถนน

“ตอนนี้ มันไม่จำเป็นต้องจบแบบเดิมอีก” แววตาและน้ำเสียงของสิงห์ ทำให้มิวต้องสู้กับความรู้สึกภายในใจของตัวเองอย่างหนัก “อย่ามามั่น” มิวตอบกลับสิงห์ไป สิงห์ผุดรอยยิ้มออกมาได้ในที่สุด “แล้วถ้าหมั้นนี้ล่ะ” สิงห์ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ก่อนจะเดินข้ามถนนมาหามิว

“ฟูลเยียร์กับกูมั้ย” สิงห์ถามแบบต้องการได้รับคำตอบจากอีกฝ่าย “หนึ่งปีเต็ม ๆ เลยนะ” มิวพูดกลับไป “เปิดโอกาสให้กูบ้าง มิว” มิวมองไปที่ตลับกำมะหยี่ใส่แหวนเพชรที่สิงห์ถืออยู่ “ดีกว่าการได้มาเจอกันปีละครั้งแน่ ๆ” สิงห์ไม่อยากรอคอยอะไรนาน ๆ แบบนั้นอีก โดยเฉพาะถ้ามันเกี่ยวกับมิว

“ให้โอกาสตัวมึงเองด้วย” มิวมองเห็นสายตาของสิงห์ที่ไม่ได้กำลังล้อเล่นอยู่ “แล้วถ้ามันไม่เวิร์กล่ะ” มิวถามออกไป สิงห์ยิ้มกว้าง ก่อนตอบว่า “ก็ต่อสัญญาไปอีกปี” นั่นทำให้มิวหลุดหัวเราะออกมา “งั้นเอาแค่คืนนี้ให้รอดก่อนก็แล้วกัน” มิวบอกกับสิงห์

“มึงดื่มน้อยกว่ากู มึงขับ” มิวเปิดประตูรถด้านคนขับออก สิงห์พยักหน้ามองตามมิวที่เดินไปที่ประตูอีกด้านหนึ่ง “แต่กูยังทำไม่ครบทั้งบนทั้งล่างนะ” มิวบอกกับสิงห์ รู้สึกเขินไม่ใช่น้อย “กูแคร์ที่ไหนล่ะ ขอแค่เป็นมึง มิว” คำพูดของสิงห์ เขาหมายความตามนั้นจริง ๆ



***************************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

คืนนี้ออกไหม - KRIST

https://www.youtube.com/watch?v=pk9JN4TNs9U


ไหนเธอบอกคนนี้ดี 

You said he was so good to you

มีพร้อมแล้วที่เธอต้องการ 

With everything you needed from a man

แต่สุดท้าย เค้าก็ผ่าน 

Yet in the end, he went away

เข้ามาพบ แล้วก็ไป 

Come and gone that he had

ปล่อยเธอเอาไว้ ให้ฉันคอยปลอบใจ 

Left you alone for me to comfort you


อะ ก็หน้าที่สำคัญ คือฉันต้องคอยปลอบใจ

This is so important that I need to console your heart

เวลาที่เธอคุยกับใคร

When you’re seeing someone

สุดท้ายต้องโดนผลักไส ไล่ส่งกลับมา 

They end up leaving you and pushing you away

ที่เดิม ร้านเดิม โต๊ะเดิม 

Here, same bar at our usual table

สั่งมิกเซอร์กับแกล้มมา เธอ

All the mixtures with snacks and you


กี่คนแล้วที่เธอบอกน่ะ ว่าดี ฮะ

How many guys you told me they were saints

สุดท้ายก็มีแต่ฉัน กับแก้วนี้ ทุกที เห็นมะ 

In the end, you only got me with this drink in hand, again

ละคืนนี้จะเอางัย ต้องเป็นฉันสินะ 

Here tonight what gives? It’s me again

ที่ต้องคอยปลอบใจ

To take a good care of you

แล้วคืนนี้ยังไง ที่ชวนฉัน 

What about tonight? You’re asking me out


อยากให้ไปรับ หรือเธอจะมากับใคร 

Want me to pick you up or you’ll show up with someone?

ไม่ต้องถามว่าว่างไหม 

No need to ask if I’m there for you, of course

ไม่เคยเทถ้าเธอให้ฉันไปด้วยกัน 

I never ditch you, I’m ready to roll with you

แค่ถามมา ถามมาว่า 

Just say it, tell me then


คืนนี้ออกไหม 

What’s up, tonight?

ถ้าหากเธอเหงายังมีฉันเข้าใจ

You feel lonely, I’ve got you covered

พร้อมจะทำให้ทุกอย่าง 

Ready to do anything I can

เพื่อให้เธอได้ลืมเรื่องเค้า 

So, you’ll forget all those bad men

เธอได้ออกจากการเป็นเพื่อนกัน 

For once, you’re not in the friend zone

ฉันก็โอเค 

I am so okay

กี่คนที่เธอว่าใช่ ฮะ 

How many are they now?

ที่ฉันพูดมีอะไรผิดไหมล่ะ 

I will only say that I told you so

ที่มันคนหรือน้ำ โดนเทจนล้น 

Not sure if you’re the river, runs through all the good parts

แต่ก็ยังไม่เรียนรู้ ไม่ยอมมองคนข้างข้าง

Yet, never ever learn – no noticing who’s beside you


เอ้าชน! 

Well! Cheers!

หมดแก้วเรื่องของเธอมีฉันเข้าใจ 

Bottoms up, it’s only me understanding you

เค้าไม่รักเธอ ก็เหมือนที่เธอไม่รักฉันไง 

The ran out of love, just like you not in love with me


เวลาที่เธอโดนเฟด 

When you’re left behind

ชั้นก็หวัง อัพเกรด คำว่าเพื่อนไง 

I hope you’ll promote me up from being friend

ได้แต่คิดในใจ ไม่กล้าพูดออกไป 

That lives in my thought, yet I dare to say it

เธอไม่ต้องกังวลชนแก้วกับฉันคืนนี้ก็พอใจ 

But no worry, keep drinking with me to please me so

แม้ว่าตอนสบตา อยากพูดว่ารักออกมา 

When we look into the eye, love might come out and say Hi

แต่ ข้ามคืนนี้ไปก่อน ครั้งหน้าดีกว่า ว้า 

But let’s wait until next time then – shit!


ไม่อยากจะเสียเธอไปให้ใคร 

Don’t want to lose you to anyone

กลัวเธอจะหายไปอีกครั้ง 

I’m afraid you will be missing from my sight

มันคงจะยากเพราะเราแค่เพื่อนกัน 

So damn hard for us to stay friends

ก็เอาเป็นว่าในวันไหน ถ้าไม่มีใคร 

So that I we have no one, you and I

แค่ถามมาว่า

Just say it, spill it


ถ้าได้ออกจากการเป็นเพื่อนกัน มันดีกว่าไหม

Stop this friend zone, would you rather?

ยิ่งถ้าได้ออกจากการเป็นเพื่อนกัน ฉันก็โอเค

Best to move from being friend, I am fine with it


ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

Born Again, กำเนิดใหม่อีกครั้ง



“ค้นหาพิกัด” อารยะออกคำสั่งเครื่องมือค้นหาตำแหน่ง ที่ถูกดัดแปลงเพื่อให้สามารถค้นหาและจดจำใบหน้าของเป้าหมายได้ หน้าจอของเครื่องค้นหา ระบุว่าเป้าหมายที่เขาต้องการนั้น อยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ร้อยเมตรเท่านั้น “มันจะได้ผลหรือ” เสียงถามดังมาจากหูฟังที่ถูกฝังเข้ากับระบบประสาทการรับเสียง

“แปลกที่คราวนี้ ระบบสื่อสารดูคงที่ ราบรื่นกว่าครั้งก่อน ๆ” อารยะพูดกลับไปที่อีกฝั่ง “อาจจะเป็นไปได้ว่า เหมือนกับคำพูดของคนในภาคนี้ชอบพูดกัน” อารยะเผยยิ้มน้อย ๆ ออกมา เมื่อเป้าหมายที่ต้องการ เคลื่อนเข้ามาในระยะที่ต้องการ “ฟ้าฝนเป็นใจงั้นหรือ” ที่อีกฝั่งพูดขึ้นเหมือนกับจะให้อารยะยืนยันให้

“เปล่า” อารยะตอบกลับไป เมื่อกำลังจะเดินถึงเป้าหมาย “อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดต่างหาก” อารยะพูดขึ้นต่อหน้าชายหนุ่มอีกคน ที่ตอนนี้กำลังทำหน้าตกใจอย่างที่สุด “ฮะ” ปลายสายอีกฝั่งร้องเสียงหลง ไม่เข้าใจความหมายของอารยะ “ถึงเวลากลับไปในภาคของคุณเสียที หมดเวลาเล่นสนุกแล้ว” อารยะสวมสายรัดข้อมือให้ชายหนุ่มคนนั้น

“ไม่ใช่ว่าผมไม่หาทางกลับไปยังโลกของผม แต่สถานที่แห่งนี้ ผมหมายถึง” ชายหนุ่มทำลดเสียงลง เหมือนกับกลัวว่าจะมีอะไรหรือใครได้ยินที่เขาพูด “มาเธอร์เอิร์ธ จะไม่ยอม” อารยะได้ยินแบบนั้นก็ทำหน้าเซ็ง “ป๊ากลับไปกลัวแม่เหมือนเดิมจะดีกว่า” ชายหนุ่มคนนั้นขมวดคิ้ว “ป๊า” ร้องถามออกมา “ผมจะเป็นป๊าใครได้ ผมเพิ่งอายุสิบแปดเท่านั้นเอง” อารยะทำหน้าเอือมกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน

“เดี๋ยวก็รู้” อยู่ ๆ ท้องฟ้าที่ดูสดใสเมื่อสักครู่ กลับเริ่มมีเมฆฝนเคลื่อนมาปกคลุม “คงจะเริ่มรู้ตัวแล้ว ส่งคลื่นรบกวน” ที่ปลายสายอีกฝั่งส่งเสียงรับคำมาตามสาย “เป็นไงเป็นกัน” อารยะสวมแจ็คเก็ตสีเงินให้กับชายหนุ่ม “เผื่อวาร์ปไปแล้ว โผล่ไปที่อีกฝั่งไม่พร้อมกัน จะได้ห่อเอาไว้ให้ร่างครบ ๆ” ชายหนุ่มถึงกับทำหน้าเหวอ อารยะยักคิ้วแล้วยิ้มให้

“วิ่ง” อารยะออกคำสั่ง เมื่อฟ้าไกล ๆ มีสายฟ้าฟาดลงมาดังสนั่นกึกก้องไปหมด “วิ่งไปไหน” ปากถาม แต่ชายหนุ่มก็ออกวิ่งตามคำสั่งของอารยะอยู่ดี “เลี้ยวซ้ายที่ข้างหน้า” เสียงสั่งการผ่านมาทางหูฟัง “ไปทางซ้าย” ชายหนุ่มวิ่งไปตามคำสั่ง โดยมีอารยะวิ่งประกบข้าง “เราต้องไปที่ไหน บอกผมที” ชายหนุ่มที่อารยะเรียกว่าป๊าตะโกนถาม

“ข้ามสะพานไป” อารยะออกคำสั่ง ชายหนุ่มหน้าตั้ง วิ่งจนสุดกำลัง “ธง มองหาธงสีแดงที่ยอดตึก” อารยะเงยหน้ามองหาสิ่งที่ต้องการ และเมื่อเห็นแล้ว “ขอเวลาที่เหลือ ก่อนมาเธอร์เอิร์ธจะชัฟเฟิลเซิร์ฟเวอร์” อารยะถามกลับไปที่อีกฝั่ง “ขอเวลาคำนวณก่อน” เสียงตอบกลับมา “เราไม่มีเวลาคำนวณอะไรทั้งนั้น” อารยะมองขึ้นไปด้านบนตึกสูงเสียดฟ้านั้น ธงแดงผืนหนึ่งโบกสะบัดให้เห็น

“ขึ้นลิฟต์ใช่มั้ย” เสียงชายหนุ่มร้องถาม ก่อนจะทำหน้าบอกบุญไม่รับ เมื่อเห็นอารยะเอาเข็มขัดมารัดตัวของเขาเข้าไว้ด้วยกันกับเอวของอารยะ “นี่ถ้าแม่รู้ว่า ป๊าไม่ได้มีแต่งานในแล็บวิทยาศาสตร์ แต่ก็สามารถทำเรื่องอะไรสนุก ๆ กับคนอื่นเขาเป็นเหมือนกันนะ” อารยะยิ้มกว้าง เมื่อกดปุ่มในมือ แล้วสายไททาเนียมก็พุ่งออกไปด้วยความเร็วสูง ก่อนจะดึงให้ทั้งสองคนลอยตามขึ้นไป

“ว้าก” ชายหนุ่มตะโกนร้องดังลั่นไปด้วยความสะท้าน เมื่อในท้องของเขาเหมือนกับว่างเปล่า ไม่เหลือตับไตไส้พุงใด ๆ ทิ้งเอาไว้อีก “สองนาทีเท่านั้น” เสียงเตือนดังมาให้อารยะได้ยิน เมื่อทั้งชายหนุ่มและอารยะร่อนลงมาบนพื้นดาดฟ้า อารยะมองไปที่ธงสีแดง ที่ตอนนี้มีปากทางเข้าอะไรบางอย่าง ลอยให้เห็นอยู่ในอากาศ

“หนึ่งนาที” เสียงเตือนดังมาอีกครั้ง อารยะพาชายหนุ่มเดินมาหยุดอยู่ที่ด้านหน้าปากทางเข้า ที่มองเห็นแค่ความมืดพุ่งตัวเข้าไปด้านในเท่านั้น “เราจะไปด้วยกันใช่มั้ย” ชายหนุ่มเสียงสั่งถามอารยะ แทนคำตอบอารยะส่ายหน้า “กลับไปแล้ว ก็อย่าเพี้ยนพาตัวเองออกจากเรียล์มตัวเองอีก” อารยะดันหลังของชายหนุ่มให้ติดกับปากทางนั้น เสียงฟ้าด้านบนเกรี้ยวกราดอย่างน่ากลัว

“ฝากความคิดถึงของหนู ให้แม่ด้วยนะป๊า” อารยะได้พูดในสิ่งที่คิดมาตลอดทาง ที่มาที่ภาคนี้ “เดินทางปลอดภัย” อารยะน้ำตาคลอหน่วย “เมื่อป๊ากลับไปถึงที่ที่ป๊าจากมาแล้ว หนูในเวอร์ชันนี้ จะหายไป” อารยะผลักชายหนุ่มให้ทะลุผ่านเข้าไปในปากทางนั้น “แต่หวังว่า หนูเวอร์ชันใหม่ จะต้องดีขึ้น แน่นอน ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น” พูดจบ ปากทางแห่งนั้นก็ปิดตัวลง เสียงสายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมา แล้วภาพเบื้องหน้าของอารยะก็ค่อย ๆ ขาวโพลนขึ้น ก่อนที่สติรับรู้ของอารยะจะดับวูบลง

ภาคย์มองขึ้นไปบนเวทีในหอประชุม ที่ทุกคนกำลังจับจ้องสายตาไปที่ตรงนั้นเช่นกัน เสียงฮึมฮัมดังไปทั่วทั้งบริเวณ ต่างพากันพูดถึงการแสดงที่ถูกทางอธิการแบน ไม่ให้ขึ้นโชว์ ด้วยเหตุผลที่ว่า มันขัดกับนโยบายและความเรียบร้อยภายในสถานศึกษา แต่ทุกคนที่พากันเข้ามาในหอประชุม ต่างก็คาดหวังว่าจะได้เห็นเซอร์อะไรบางอย่าง ก่อนที่จะเริ่มมีความเคลื่อนไหวบนเวที

“การแสดงของปีนี้ หวังว่าจะดีเท่า ๆ หรือดีกว่าปีที่แล้วนะ” พ่อของภาคย์ที่เป็นสปอนเซอร์ใหญ่ในปีนี้ เอ่ยกับลูกชาย โดยมีภรรยานั่งอยู่อีกฝั่งของลูกชาย ยิ้มรับอย่างเงียบ ๆ ไม่มีปากเสียงอะไร “ดีแล้ว ที่แกไม่ได้ไปขึ้นแสดงโชว์อะไรบ้า ๆ นั่น ไม่อย่างนั้นได้ขายหน้าเขาไปทั่วแน่ ๆ” ภาคย์ได้แต่มองตรงขึ้นไปบนเวที ตรงที่เขาควรจะได้ขึ้นไปแสดงบนนั้น

“ฉันคิดว่าคุณจะลืมไปแล้ว” เสียงพูดถามขึ้น เมื่อเห็นว่าสามีของเธอ ที่ตอนนี้แยกกันอยู่ วิ่งกระหืดกระหอบมาแต่ไกล “งานนี้ผมลืมไม่ได้” แปลกที่วันนี้ เขาไปถึงที่แล็บแล้วแท้ ๆ แต่อะไรบางอย่างกลับทำให้เขารู้สึกว่า เขาคงต้องเลือกที่จะมาดูงานแสดงของลูกชาย มากกว่าที่จะหมกตัวอยู่ในแล็บ กับโปรเจ็กต์ที่เขารู้สึกสนใจและค้นคว้ามันมาตั้งแต่อายุสิบแปดปี “เราเข้าไปด้านในกันดีกว่า” ก่อนที่ทั้งสองคนจะพากันเดินเข้าไปหาที่นั่งของตัวเอง

“อธิการไม่อยู่” เสียงใครคนหนึ่งพูดขึ้น “ยังมาไม่ถึง” ผ้าม่านบนเวทีถูกดึงขึ้นไปด้านบน เสียงฮือดังขึ้นทั้งหอประชุม ก่อนที่จะมีเสียงกลองดังขึ้นเหมือนเป็นสัญญาณว่า การแสดงกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว “เฮ้ย โชว์ของไอ้แก้ว ไอแลนด์ และเร ที่ถูกอธิการสั่งห้ามไม่ให้ขึ้นโชว์นี่หว่า” ภาคย์ชะเง้อมองขึ้นไปบนเวทีในทันที ก่อนจะได้ยินเสียงกระแอมเตือนของผู้เป็นพ่อ

บนเวที ภาพบนจอด้านหลังเวที ปรากฏภาพของทั้งสามคน แก้ว ไอแลนด์ และเร ขึ้น ทำให้เสียงกรี๊ดในหอประชุมดังสนั่น แม่ของภาคย์ถึงกับต้องหันมองไปรอบ ๆ ก่อนจะมองเห็นผู้เป็นสามี ทำหน้าบอกบุญไม่รับ เพราะเป็นคนที่ออกคำสั่งไปทางอธิการ ว่าหากให้สามคนนี้ขึ้นแสดง ก็ถือว่าเงินสปอนเซอร์เป็นอันต้องถูกยกเลิก

ไฟสปอตไลท์ส่องไปบนเวที ไอแลนด์ยืนอยู่ในชุดรัดรูปสีดำ ผู้ชมด้านล่างต่างพากันส่งเสียงเชียร์ดังสนั่น เสียงกรี๊ด เสียงปรบมือ กระทืบเท้า ดังกระหึ่ม ภาคย์มองไอแลนด์ด้วยความตกตะลึง เขากลืนน้ำลายลงคอได้อย่างยากลำบาก เมื่อเห็นไอแลนด์เริ่มขยับปากร้องเพลง แล้วเคลื่อนไหวตัวไปตามท่วงทำนอง

“ลูกชายฉันไม่ได้เป็นพวกวิปริตผิดเพศแบบเธอ ก็ขอให้เข้าใจตรงกันตั้งแต่ตอนนี้ ว่าแม้แต่เป็นเพื่อนกัน ก็ไม่ได้ เพราะคนอย่างพวกเธอ มันไม่เป็นที่ยอมรับ” ภาคย์ยืนมองไอแลนด์ที่ตอนนี้ปล่อยให้น้ำตาไหลลงอาบแก้ม มันเป็นภาพที่สะเทือนใจเขาอย่างที่สุด ยิ่งคำพูดของพ่อที่พูดกับไอแลนด์ แฟนของเขาด้วยแล้ว มันยิ่งทำให้เขารู้สึกผิดต่อไอแลนด์อย่างที่สุด แม่ของภาคย์ทำได้แค่บีบมือของลูกชายของเธอเอาไว้ เพื่อให้กำลังใจ

สปอตไลท์ดับลง ก่อนจะฉายไปที่แก้ว ที่อยู่ในชุดราตรีสั้นสีทอง รูปร่างที่เพรียวบางเคลื่อนไหวท่าทางไปตามทำนองเพลงอย่างพลิ้วไหว การชม้ายชายตา บ่งบอกถึงความมั่นใจในตัวเอง ต่อให้ก่อนหน้านี้จะเกิดอะไรขึ้นกับเขาก็ตาม แต่เดอะ โชว์ มัส โก ออน แก้วบอกกับเพื่อน ๆ อีกสองคนว่า ทุกอย่างต้องดำเนินไปตามเดิมเท่านั้น

“เราคงต้องเลือกในสิ่งที่ทางบ้านเราเตรียมเอาไว้ให้” แก้วเชิดหน้าขึ้น เมื่อได้ยินตังค์แฟนหนุ่มของเขาพูดมาแบบนั้น “เราเข้าใจ” แก้วตอบออกไป ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ “เราเสียใจ เราไม่รู้ว่าจะทำยังไง” ตังค์รีบคว้าข้อมือของแก้วเอาไว้ “เราไม่ได้อยากเลิกกับแก้ว เราคบกันแบบลับ ๆ ไม่ให้ที่บ้านรู้ไม่ได้หรือ” ตังค์ถาม “ไม่ได้” แก้วหันไปตามเสียงพูดของผู้หญิงสูงวัยคนนั้น

“หลานฉันเอง เก่งมั้ยล่ะ ไอ้แก้ว เอ้าเอ็ง แร็พให้ยายฟังหน่อย” แก้วมองเห็นยายของเขา ที่มาถึงหอประชุมตั้งแต่เช้า เพื่อให้กำลังใจหลานชายคนเดียวของยาย ลุกขึ้นโยกย้ายส่ายสะโพกไปตามหลานของตัวเองอย่างมีความสุข ตังค์ที่แอบมองอยู่ที่มุมห้อง ยิ้มออกมา คิดถึงคำพูดของยายที่บอกกับเขาว่า

“ถ้าอยากจะคบกับหลานของยาย ตังค์ ลูกต้องไปเคลียร์ความรู้สึกของตัวเองมาก่อนนะ แต่ถ้าใจไม่สู้ ยายก็ไม่ยกหลานให้แน่นอน” ตังค์หยิบเอามือถือขึ้นมาดู หน้าจอบอกว่าคนขับรถของที่บ้านมารับเขาไปเรียนพิเศษ เพื่อเตรียมตัวสอบชิงทุนไปเรียนต่อแพทย์ที่ยุโรปแล้ว ตังค์เดินไปที่ทางออกจากหอประชุม กำลังสองจิตสองใจกับความรู้สึกในหัวใจที่มี

ไฟสปอตไลท์เปลี่ยนมาฉายไปที่เร หรือที่เพื่อน ๆ ในมหาวิทยาลัย ต่างพากันเรียกว่าเรยา ความอวบอัดทำให้เนินอกเด่นเด้งออกจากชุดเกาะอกนั้น บั้นท้ายที่กลมกลึง ยามเคลื่อนไหว ก็ยักย้ายไปด้วยแรงดันสุดมิเตอร์ ทะลุปรอทจนเกินห้ามใจ ความตัวแม่ที่เพื่อน ๆ ต่างเรียกขาน ไม่เกินจริงไปจากลักษณะเฉพาะตัวของเร

“ไอแค่มาแลกเปลี่ยนปีเดียว ที่เราสองคนมี ก็สนุกดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง ทำไมยูถึงต้องทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ด้วยเร” เสียงพูดภาษาไทยสำเนียงฝรั่งของมิค ถามเรที่ยืนอยู่ปลายเตียง “ทำไมอย่างนั้นหรือ” เรพูดขึ้น ก่อนจะชี้ไปที่เพื่อนผู้หญิงต่างคณะ ที่มิคลากขึ้นเตียงด้วย หลังจากที่ออกไปท่องราตรีมาเมื่อคืน

“ยูก็ยังเป็นสวีทฮาร์ทของไออยู่” มิคยักไหล่ ก่อนจะบอกกับเรออกไปแบบนั้น “เฮ้ แล้วที่พูดกับเราเมื่อคืนล่ะ” เพื่อนผู้หญิงต่างคณะ ร้องท้วงหนุ่มตาน้ำข้าว “ยู ก็เป็นมายเบบี้ก็ได้นี่นา ไม่เห็นจะมีปัญหาเลย” มิคพูดแบบที่ตัวเองรู้สึกจริง ๆ ทำให้เรยอมโยนผ้าขาว เดินออกมาจากตรงนั้น ไม่ได้ฟังเสียงเรียกของมิคให้เรเดินกลับไปหาแต่อย่างใด

“ผมขอตัวไปห้องน้ำนะครับ” ภาคย์พูดจบก็ลุกขึ้นเดินไป “รีบกลับมานะ เจ้าภาคย์” พ่อบอกกับเขา แม่ของภาคย์มองตามลูกชายไป “นี่เราต้องมานั่งดูโชว์ของพวกตัวประหลาดพวกนี้หรือนี่ ใช่มั้ยคุณ” แม่ของภาคย์มองสามีของเธอด้วยความรู้สึกที่ราวกับว่า เธอไม่เคยรู้จักผู้ชายคนนี้มาก่อน ยังไงยังงั้น ก่อนที่แม่ของภาคย์จะเห็นผู้เป็นสามี ทำตาเหลือก เมื่อมองเห็นใครขึ้นไปบนเวที

ภาคย์ที่ถอดเสื้อโชว์กล้ามท้องแกร่ง มีเพียงกางเกงยีนเอวต่ำ เผยไรขนสุดเซ็กซี่ที่หายเข้าขอบกางเกงตัวนั้นไป เดินเข้าไปหาไอแลนด์ที่ตกใจเช่นกันที่เห็นภาคย์ทำแบบนี้ พ่อของภาคย์ถึงกับตะโกนแข่งกับเสียงกรี๊ดที่ดังลั่นฮอลล์ สั่งผู้เป็นภรรยาให้ลุกขึ้น เพื่อต้องการออกไปจากที่นี่ในทันที

“คุณหญิง” พ่อของภาคย์ร้องเรียกภรรยา ที่แทนจะทำตามคำสั่งของเขา แต่แม่ของภาคย์เลือกที่จะ “ถ้าคุณห่วงว่าฉันจะเอาตำแหน่งคุณหญิงไปทำให้คุณต้องแปดเปื้อนล่ะก็” คุณหญิงดึงแหวนแต่งงานออกจากนิ้วนางข้างซ้ายของเธอ “ไม่ต้องห่วงหรอกนะคะ” แม่ของภาคย์พูดเสียงนิ่ม ๆ “ฉันเลือกลูก” คุณหญิงโยนแหวนวงนั้น ที่เธอใส่ติดนิ้วไม่เคยถอดมาตั้งแต่แต่งงานคืนให้กับสามี ก่อนจะเดินไปสมทบกับยายของแก้ว ที่กำลังสนุกอยู่ที่หน้าเวที

“ถ้าป๊าไม่ออกมาจากแล็บ มาดูให้เห็นกับตา พ่อก็คงไม่เชื่อ ว่าไอแลนด์ลูกของพ่อจะเปรี้ยวเข็ดฟันได้ถึงขนาดนี้” ผู้เป็นพ่อเอ่ยปากแซวลูกชายของตัวเอง หลังจากที่การแสดงจบลง “คุณไม่ว่าอะไรลูกใช่มั้ยคะ” แม่ของไอแลนด์ถามผู้เป็นสามี ที่ก่อนหน้านี้ เธอเคยบอกกับเขาว่า ถ้าสามีรับไม่ได้เรื่องลูก เธอจะขอแยกทางไปกับลูกเอง โดยที่เขาไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบอะไรไอแลนด์อีก

“ลูกของเราเก่งขนาดนี้” ไอแลนด์เห็นแววตาของป๊าที่ภาคภูมิใจในตัวเขา “ผมก็ต้องชมลูกสิคุณ ใช่มั้ยลิลลี่” ผู้เป็นแม่ยิ้มออกมาอย่างสบายใจได้เสียที รู้สึกขอบคุณฟ้าที่ทำให้เธอมีความหวังว่า ครอบครัวของเธอคงไม่ถึงคราวต้องอับปางลง แล้วต่างต้องแยกย้าย ไม่เหลือความเป็นครอบครัวอีกต่อไป ตามที่เธอเคยแอบได้ยินไอแลนด์อธิษฐานเอาไว้ หากว่าทุกอย่างจะสามารถเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีได้จากนี้

“แล้วไง ไอ้หนุ่ม ตกลงเป็นแฟนไอแลนด์หรือเรา” ป๊าหันไปถามภาคย์ที่กลับมาใส่เสื้อเรียบร้อย ยืนทำอ้อมแอ้ม ๆ “เอ้าเฮ้ย อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อยู่นั่น” ป๊าทำเสียงดุใส่ จนผู้เป็นภรรยาต้องตีเข้าที่ไหล่ “ครับ ผมรักไอแลนด์ครับ” เจ้าของชื่อพยายามกลั้นยิ้มเอาไว้ด้วยความเขินอาย “ก็แค่เนี้ย” ไอแลนด์เห็นป๊าเอาแขนโอบไหล่ภาคย์ ก่อนจะเห็นแม่ของภาคย์เดินเข้ามาสมทบ พร้อมกันแนะนำตัวซึ่งกันและกัน ไอแลนด์รู้สึกว่า นี่มันไกลเกินฝันของเขาเสียด้วยซ้ำ

“ยาย แก้วหิว” ผู้เป็นยายได้ยินหลานพูดแบบนั้น ก็เอ่ยขึ้นว่า “เอาสิ อยากกินอะไร เดี๋ยวยายเปย์เอง” ยายพูดก่อนจะกอดหลาน หอมแก้มแก้วอย่างรักใคร่ “แต่จะมีแค่เราสองคนนะ ไหวป่ะ” แก้วถามผู้เป็นยาย หญิงสูงวัยพยักหน้าช้า ๆ เข้าใจในสิ่งที่หลานบอกมา สายสัมพันธ์ยายหลาน ไม่ต้องพูดอะไรกันมากมาย

“ตัดสินใจอะไรแล้ว ก็ไม่ต้องไปเสียใจทีหลัง ช่างมันไป แต่ต้องเข้าใจข้อจำกัดของอีกฝ่ายเขาด้วย ไม่ฟูมฟาย ไม่เพ้อเจ้อ ตอนยายเตะตูดตาเจ้าชู้ของแกออกไปจากชีวิต ยายก็ใช้วิธีนี้แหละ ได้ผลชะงัดนักในสายเลือดของเรา” แก้วกอดยายแน่น ๆ ด้วยความรักและรู้สึกขอบคุณ ข้อความของตังค์ที่ส่งมา ว่าเขาตัดสินใจจะเลือกไปเรียนต่อ ไม่กล้าที่จะขัดคำสั่งของแม่ จะไม่ใช้เป็นข้ออ้าง เพื่อฉุดรั้งกันเอาไว้

“ชื่อเรใช่มั้ยครับ” เสียงทักของหนุ่มลูกครึ่งดังขึ้น หลังจากที่เรถ่ายเซลฟี่กับเพื่อนในคณะเสร็จแล้ว เรมองเห็นหนุ่มลูกครึ่งที่ใบหน้ากระเดียดไปทางตะวันตกมากกว่าไทย ยืนหน้าแดงหูแดงอยู่ตรงนั้น “เราแบรนดอน เพื่อน ๆ คนไทยที่โน่นเรียกว่าดอน ดอนเมืองบ้าง ดอนหอยหลอดบ้าง” คำอธิบายได้ผล ทำให้เรหลุดหัวเราะออกมา

“เราเพิ่งกลับมาจากอังกฤษ ถ้าอยากรู้จัก จะได้ไหม” แบรนดอนกลั้นใจถามอีกฝ่ายออกไป “เดท อย่างนั้นหรือ” เรถามออกมา มองไปที่หน้าจอมือถือของอีกฝ่าย ที่ภาพมีภาพของเรตอนอยู่บนเวที ยังคงแสดงค้างเอาไว้อยู่ แบรนดอนที่เพิ่งรู้ตัว จะปิดหน้าจอตอนนี้ก็ไม่ทันเสียแล้ว “เราเพิ่งอกหักมา แต่อย่าหวังว่าจะได้อะไรง่าย ๆ นะ อย่าคิดไกล” เรบอกกับแบรนดอนออกไปตรง ๆ

“ไปกินข้าว ดูหนัง อะไรแค่นั้น” แบรนดอนรีบพูดออกไปในทันที ความละล่ำละลักทำให้เรอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “แต่ถ้าเป็นกู๊ดบอย ก็ไม่แน่ มันก็ไม่ได้ยาก” เรเดินไปหยิบเอาเสื้อคลุมมาถือเอาไว้ ก่อนแบรนดอนจะยื่นมือออกมา เป็นเชิงขออนุญาต เรยิ้มในใบหน้า แบรนดอนเอาเสื้อมาคลุมไหล่ให้เร ก่อนจะผายมือให้เรเดินนำหน้า เรเองก็เดินแบบยักย้ายสะโพกซ้ายขวาหนัก ๆ อย่างจงใจ เพราะรู้ดีว่า แบรนดอนมองบั้นท้ายของเขาอย่างชอบใจ ไม่ต้องเดาอะไรให้ยาก จากความโด่งนูนของเป้ากางเกงที่แบรนดอนใส่อยู่

***************************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาไทย โดย KADUMPA

Born Again - Lisa feat. Doja Cat and RAYE

https://www.youtube.com/watch?v=kbEC-AGr9n0&pp=ygUKYm9ybiBhZ2Fpbg==



If you tried just a little more times

หากว่าจะพยายามอีกสักหลายหลายครั้ง

I would've made you a believer

เธอคงจะเชื่อมั่นมากขึ้น

Would've showed you what it's like (I would've showed you)

มันคงจะได้เห็นอะไรดีดี (อดโชว์เลยทีนี้)

Every single night (Night)

ในทุกทุกค่ำคืน


In the car, top-down, black shades on uh-huh (Lookin' so good, can I add?)

กลับเข้ามาบนรถ ขับไปตามถนน พร้อมแว่นกันแสง (เฉี่ยว เปรี้ยว สวย)

And I just broke up with my man like mm-hmm (A very, very silly, silly man)

เพิ่งอกหักกันมา เลิกรากับผู้ชาย (เซ่อเซอะเสียเต็มประดา)

One ex in the passenger seat 'cause I'm done (Done, yeah, never, ever going back)

เหลือแค่แฟนเก่านั่งรอเพื่อส่งลงรถ (พอกันที ไม่กลับไปอีกแล้ว)

Down, down, rude boy, get your foot up on my dash

ลงไปได้แล้ว ไอ้หนุ่มไร้มารยาท เอาเท้าลงจากหน้ารถของฉันด้วย

Got all the receipts, I'm a businesswoman

รู้หมดแหละไปทำอะไรมายาวเหยียด ฉันมันพวกหัวไว


Little bit of h-heartbreak

อกหักมันไม่ยักกะตาย

A little bit of "How could you do that?"

แค่อยากรู้ว่า ทำกันลงได้ยังไง

A little bit of talking out your ass

คำตอบเหมือนออกมาจากช่องแคบหลืบใน

A little bit of "Look at what you had but could not hold"

สุดท้ายก็คือ รักได้แต่รักษาเอาไว้ไม่เป็น

And that's on you, baby, too bad

คนที่เสียก็คือเธอนะคนดี แย่หน่อย

I'm about to make it heard as I vroom vroom

แล้วเดี๋ยวตอนไป จะทำให้ได้ยินกันทั่ว

Ice cold how I leave you 'lone

แบบเย็นชา ตอนทิ้งมให้เธออยู่คนเดียว

But please tell your mother I'ma miss her so

ฝากลาแม่ของเธอด้วยล่ะ ว่าเหลือแค่เพียงความคิดถึง


If you tried just a little more times

หากว่าจะพยายามอีกสักหลายหลายครั้ง

I would've made you a believer

เธอคงจะเชื่อมั่นมากขึ้น

Would've showed you what it's like (I would've showed you)

มันคงจะได้เห็นอะไรดีดี

Every single night (Night)

ในทุกทุกค่ำคืน

To be born again, baby

เหมือนได้เกิดขึ้นใหม่

To be born again

ฉันเป็นคนใหม่แล้วทีนี้


If you stayed just another few nights

นี่ถ้าอยู่ต่ออีกสักสองสามคืน

I could've made you pray to Jesus

คงต้องร้องถามหาสิ่งศักด์สิทธ์เป็นแน่

Would've showed you to the light (To the light)

หรืออาจจะเดินตามแสงสว่างนั้นไป

Every single night (Every night)

ในทุกทุกค่ำคืน

To be born again, baby

ก็เหมือนเกิดใหม่นะทูนหัว

To be born again

ถือกำเนิดกันอีกที


Non-believer

พวกไม่เชื่อกัน

You've bitten from the fruit but can't give back

แต่ลิ้มชิมรสข้อต้องห้ามย้อนกลับไม่ได้แล้ว

Nice to leave ya

เหลือแค่คำร่ำลาจากนี้

But I would be a fool not to ask

แต่ฟังดูโง่หากจะไม่ถามสักหน่อย

Do your words seem gospel to ya now? (Your words seem gospel to ya now?)

คิดว่าคำพูดของตัวเองมันน่าเชื่อถือนักหรือ (มันเคยน่าเชื่อถือด้วยหรือ)

Keepin' me strong

รังแต่จะทำให้ฉันใจแข็งมากกว่าเดิม

Choosin' to carry on after one too many lies would be wrong, so wrong

โดนโกหกซ้ำซากแบบนั้น มันเกินจะรับ มันมากเกินไป


So sad, you pop tags on my shopping spree

เศร้าเลย ไปไหนซื้ออะไรก็พ่วงกันตลอด

Stayed mad when I showed him all the long receipts

เคืองแท้ ใบเสร็จจะยาวอะไรปานนั้น

They laugh at your crash out like a comedy

หัวเราะออกมั้ยเมื่อเจอมาเกาะอะไรขนาดนี้

I can't be a sugar mom, get a job for me, shit (Ah, so)

จะเปย์แต่ก็ต้องเรียกสติ

Boy, let go

ผู้ชายแบบนี้ ไปเสียเถอะ

Or let me live happily forever after more

เอ้า ปล่อยให้ฉันได้ใช้ชีวิตสงบสุขจากนี้จะดีกว่า

I hope you learned something from a lil' fiasco

หวังว่าจะคิดอะไรได้บ้างนะจากเรื่องราวในครั้งนี้

You played the game smart lettin' lil' me pass go

อย่าหัวหมอให้มาก ให้ฉันร้องอูโน่สักตาสองตาบ้างเถอะ

'Cause

เพราะว่า


Seasoned like the cinnamon

อบเชยเติมกันเพื่อความหอม

The way I'm getting rid of him

พอปล่อยให้เธอไปชีวิตก็หอมแบบนั้น

I'm only gonna make you need religion at the minimum

หวังใจว่าคุณธรรมจะนำใจเธอสักครั้ง

And I'ma do it diligent, I'm looking for a synonym

ขยันโดน จนต้องค้นหาคำไวพจน์

I'm tryna find the words to tell him I ain't even feeling him (I pray)

จะบอกว่าทำยังไงก็ไม่รู้สึก ก็เดี๋ยวจะหาว่าปากเสีย

Don't ever let me be deficient in

ขอแค่อย่าทำให้ช้ำจิตเพลียใจกันอีก

Wish that you could wake up and then take me like a vitamin

ภาวนาให้เธอลืมตาตื่น และให้ฉันบำบัดเธอให้หาย

I learned the hard way to let go now to save my soul

แม้ฉันต้องเหนื่อยยาก หาหนทางรักษาใจของฉันให้หายดี

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

“นี่คิดจริง ๆ ใช่มั้ย ว่าจะหนีพ้น” ผู้หมวดรินที่กระโดดเอาตัวพุ่งกระแทกหลังของผู้ร้ายตามหมายจับ ที่พยายามหลบหนีการจับกุม จนต้องล้มตัวลงไปทับอยู่บนตัวผู้ร้าย เพื่อตรึงร่างเอาไว้ เขาพูดด้วยอารมณ์หัวเสีย ที่ต้องมาวิ่งไล่จับกันตั้งแต่ยังไม่สายของวันนี้

“หมู่ เอากุญแจมือมาใส่ให้เจ้านี่หน่อย” ผู้หมวดริน ที่ใครต่างก็เบือนหน้าหนีไม่อยากจะร่วมทีมด้วย สั่งให้ลูกทีมรีบมาจัดการคนร้ายในคดีปล้นโดยใช้อาวุธ ก่อนที่ผู้ร้ายคนนี้ จะโดนเข่าแหลม ๆ ของผู้หมวดคนเก่ง ทั้งบดทั้งขยี้จนเดี้ยงไปเสียก่อน

“ต้องให้วิ่ง ต้องให้เหนื่อย ต้องให้มาออกแรงก็จะโดนแบบนี้แหละ” ผู้หมวดรินร้องตะโกนใส่หน้าผู้ร้าย ที่ผู้หมู่เพิ่งจับแขน ดึงตัวให้ลุกขึ้นยืน “พวกตำรวจดีแต่ทำร้ายประชาชน ผู้บริสุทธิ์” ผู้ร้ายที่เพิ่งถูกจับกุมใส่กุญแจมือ ทำเป็นร้องเสียงดังโวยวาย “บริสุทธิ์ หนอย นี่แกยังจะกล้าบอกว่าตัวเองบริสุทธิ์อีกหรือไงวะ คดียาวต่อกันเป็นหางว่าวขนาดนี้ ฉันไม่อัดแกให้น่วม ก่อนใส่กุญแจมือก็ดีเท่าไหร่แล้ว” บรรดาลูกน้องในทีมต้องรีบเข้ามาห้ามผู้หมวดเอาไว้ เพราะรู้กันดี ว่าเขาไม่เคยแค่พูดเฉย ๆ เรื่องอัดผู้ร้ายให้หลาบจำ

“ผู้หมวดริน ท่านผู้การโทรมา อยู่ในสาย” ลูกน้องในทีมอีกคน ที่ผู้หมวดรินฝากโทรศัพท์มือถือเอาไว้ ตอนที่ออกวิ่งไล่คนร้าย เอาโทรศัพท์มายื่นคืนให้ สีหน้าดูจะกลัวแทนผู้หมวดด้วยซ้ำ ที่ท่านผู้การกดเบอร์โทรหาเองแบบนี้ “ครับ ท่านผู้การ” ผู้หมวดรินกรอกเสียงลงไป ก่อนจะทำเสียงอืม ๆ อ้า ๆ “โอเคครับ ได้ครับท่าน ทันทีครับ” แล้วก็กดวางสาย ก่อนจะยัดมือถือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง

“จัดการให้เรียบร้อยนะ แล้วเขียนรายงานให้มันดี ๆ ด้วย ไม่งั้นได้เจอดีเรียงตัวแน่” คล้อยหลังผู้หมวดริน พร้อมคำขู่หากว่ามีอะไรในรายงานที่จะทำให้ผู้หมวดถูกเรียกไปสอบถามอีกล่ะก็ มีหวังได้เห็นผู้หมวดระริน อาละวาดแผนกแตกอย่างเมื่อครั้งก่อนแน่ ๆ ที่ผู้หมวดรินทำการจับกุมแก๊งค้ายาล็อตใหญ่ได้ แต่ลูกทีมที่ไม่ค่อยกินเส้นกัน กลับเขียนรายงานแบบตีสีใส่ไข่ จนคดีเกือบถูกอัยการสั่งไม่ฟ้อง นั่นทำให้ผู้หมวดรินถึงกับเลือดขึ้นหน้า

“ก็เข้าใจหมวดแกอยู่หรอกนะ แต่ไอ้อาการบ้าดีเดือดที่เป็นมาตั้งแต่อยู่โรงเรียนนายร้อยเนี่ย ยังไงก็แก้ไม่หาย” ลูกน้องในทีมที่ผู้หมวดริน สั่งคัดให้เข้ามาร่วมปฏิบัติงานทุกคน ด้วยตัวเอง พูดถึงหัวหน้าทีมที่เอาจริงเอาจังกับทุกคดีที่ทำ “ก็หมวดริน แกต้องพิสูจน์ตัวเองมากกว่าคนอื่น ๆ เลยนี่หว่า” อีกคนหนึ่งพูดขึ้น ด้วยความรู้สึกเห็นใจอีกฝ่ายอยู่เหมือนกัน

“แต่เขาก็ไม่ควรจะอัดผมจนน่วมแบบนี้นะ” ผู้ร้ายที่ถูกพาไปขึ้นรถคุมขังพูดขึ้น “ถ้างั้นต่อไปก็อย่าทำตัวชั่ว ๆ อย่าหาทำ ไอ้เรื่องเลว ๆ น่ะ” เสียงตำรวจในทีมจับกุม ว่าคนร้ายที่ตอนนี้ทำหน้าหงอ ตัวงอ เมื่อเห็นว่า ไม่มีใครจะเข้าข้างเลยสักคน “ขอน้ำแข็งประคบหัวที่ปูดหน่อยก็ยังดี” คนร้ายเอามือคลำหัวตัวเองป้อย ๆ “หัวปูดอะไรกัน เป็นมาตั้งนานแล้ว ก่อนโดนจับอีก อย่าเพิ่งมาทำสำออยตอนนี้” และยิ่งหน้าเหวอไปกันใหญ่ ที่ไม่มีตำรวจคนไหนเห็นใจ

“นี่ผมจะทำยังไงกับคุณดีนะ คุณผู้หมวดระริน” ท่านผู้การส่ายหน้า หนักใจกับลูกน้องคนสำคัญในกรม “ถ้าท่านผู้การหมายถึงคดีที่ผมจับกุมแก๊งค้ายาข้ามชาติได้ จนนำไปสู่การร่วมมือกับทางการประเทศจีน แล้วจัดการทลายองค์กรลับใต้ดินเป็นผลสำเร็จ จนทางการจีนชื่นชมท่านผู้การเป็นอย่างมาก” ผู้หมวดระรินพูดโดยยืนตรง ยืดอก มองตรงไปข้างหน้าอย่างผึ่งผาย

“ผู้การจะตกรางวัล มอบโล่เกียรติคุณให้ผมบ้าง ผมก็ยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ” สิ้นคำพูดของผู้หมวดริน ท่านผู้การก็ทำเสียงคำรามในลำคอ ให้ผู้หมวดได้ยินอย่างจงใจ “ช่างพูด ช่างเจรจา ช่างมีเหตุมีผลเสมอ” ท่านผู้การไม่น่าจะชม น่าจะพูดประชดอีกฝ่ายเสียมากกว่า

“ขอบคุณครับท่าน” ผู้หมวดระรินแอบยิ้มอยู่ในหน้า กล่าวขอบคุณท่านผู้การออกไป “จะไล่ออกก็ไม่ได้ เดี๋ยวตอบคำถามให้เหตุผลสื่อไม่ถูก จะให้ไปไกลกว่านี้ก็กลัวจะต้องมาบีบคอกันทีหลังอีก” ผู้หมวดรินทำหน้าเซ็ง “มันก็เป็นนี้แหละครับ ก็แค่ให้ท่าน ยอมให้ผมทำหน้าที่ของผมไป ผมก็พอใจแล้ว” ผู้หมวดรินรู้ตัวดีว่า กว่าจะมาถึงขั้นนี้ได้ การเป็นหมวดระรินของตัวเอง เขาต้องผลัดกัน พิสูจน์ฝีมือให้คนอื่นเห็นจนตัวเองแทบท้อ

“เอาอย่างนี้” ท่านผู้การพูดขึ้น หลังจากคิดว่าตัวเองตัดสินใจดีแล้ว “ผมเองก็ไม่ได้อะไรกับความชอบส่วนตัวของลูกน้องหรอกนะ” ท่านผู้การพยายามจะพูดกับผู้หมวดระรินเรื่องนี้มาหลายรอบแล้ว “ท่านเข้าใจ ผมก็ขอบพระคุณมาก ๆ แล้วครับ” ผู้หมวดรินพูดตอบกลับท่านผู้การไปด้วยความรู้สึกจริง ๆ จากใจ

“ผมมีคดีให้คุณทำ ถ้าคุณทำมันได้ ผมจะพิจารณาเลื่อนยศให้คุณเป็นกรณีพิเศษ” ผู้หมวดรินถึงกับต้องทำตาโต แววตาเป็นประกายขึ้นมาในทันที ที่ได้ยินท่านผู้การพูดแบบนั้น “แต่คดีนี้สำคัญมาก เพราะทางเรายังปิดคดีนี้ไม่ได้มานานเป็นปีแล้ว และมันมีความเป็นไปได้สูงมาก ที่อาจจะเป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง” ผู้หมวดรินคิดว่า เขาพอจะได้ยินคดีนี้อยู่บ้าง แต่ยังไม่มีข้อมูลหรือรายละเอียดลึก ๆ เกี่ยวกับคดี

“ด้วยความเคารพครับท่าน แต่ผมว่าผู้หมวดระริน ไม่เหมาะกับคดีนี้” เสียงคัดค้านดังขึ้น จากผู้ที่เปิดประตูห้องทำงานท่านผู้การเข้ามาใหม่ “ขอโทษด้วยครับท่าน ที่ผมต้องเสียมารยาท แต่ผมไม่เห็นด้วย” ผู้หมวดรินฟังได้ถึงเพียงแค่นั้น ก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อนว่า “ผู้กองอติ ไม่ทราบว่า คดีจับแม่ค้าขายสลากเกินราคาไปถึงไหนแล้ว คดีเล็ก ๆ แต่ใช้เวลามาเป็นเดือน ๆ” แม้แต่ท่านผู้การเอง ก็ทำเสียงสนใจเช่นกัน ว่าทำไมคดีง่าย ๆ มันถึงได้ล่าช้านัก

“นั่นไม่ใช่ประเด็น” ผู้กองอติพยายามจะอธิบายให้ท่านผู้การเปลี่ยนใจ “นั่นแหละประเด็น” ผู้หมวดรินพูดสวนกลับไปทันที “ท่านผู้การให้ผมทำคดีนี้ เพราะผมมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ แม้จะไม่ได้รับโล่อะไรกับเขาก็ตาม ทั้ง ๆ ที่ตามล่าคนร้ายไปจนทั่วเจ็ดย่านน้ำ ไม่ได้นั่งเฉย ๆ อยู่ในห้องแอร์” ท่านผู้การรู้สึกสะดุ้งไปกับคำพูดประโยคนี้ของผู้หมวดระรินคนเก่ง

“คอยสั่งการและสนับสนุนทุกอย่างอย่างเต็มที่” ผู้หมวดรินหันไปพูดพลางมองท่านผู้การ ที่พยักหน้าช้า ๆ และคิดว่าจะปล่อยกรณีนี้ให้ผ่านไปก่อน “ดังนั้น ผมจึงพร้อมและเต็มใจเข้ารับหน้าที่นี้ โดยที่ผู้กองไม่มีสิทธิ์จะมาห้าม” ผู้กองอติมาถึงตรงนี้ก็เงียบเสียงและเถียงไม่ออก

“อีกอย่างนะ” ผู้หมวดระรินที่ทำความเคารพท่านผู้การ ที่โบกไม้โบกมือไล่ทั้งสองคนให้ออกไปเถียงกันข้างนอกห้องทำงานของท่านได้แล้ว “ชื่ออติ อะ แปลว่าไม่ ส่วนติ แปลว่า ว่ามันทุกเรื่อง ขัดมันทุกอย่าง พอมารวมกันเป็นอติ มันต้องแปลว่า ไม่ว่า ไม่ขัด ไม่สอดเสือกสิ จริงมั้ย” พูดจบ ผู้หมวดรินก็เปิดประตูห้องเดินออกไปในทันที

“ท่านครับ ไม่ใช่นะครับ อติ ชื่อผมแปลว่า มากกว่าคนอื่น พิเศษกว่าใคร เลิศล้น” สีหน้าและแววตาของท่านผู้การ บอกว่าท่านไม่ได้แคร์เรื่องนี้เลยสักนิด ส่วนผู้กองอติ ได้แต่รีบวิ่งตามผู้หมวดรินออกไป พยายามจะอธิบาย แต่ก็ไม่ทันแล้ว ผู้หมวดรินขับรถออกไปเริ่มหาข้อมูลคดีใหม่ที่เพิ่งได้รับมอบหมายมาสด ๆ ร้อน ๆ เสียก่อน

ผู้หมวดระรินรวมทีมขึ้นมาโดยใช้เวลาไม่นาน เพราะได้รับคำยืนยันเพิ่มเติมจากท่านผู้การแล้วว่า ทุกคนในทีมหากว่าทำผลงานนี้ได้สำเร็จ จะได้รับการเลื่อนขั้นกันทุกคน และตอนนี้ ผู้หมวดระรินก็ได้เริ่มสืบคดีทันที และพบเบาะแสสำคัญที่ทำให้เชื่อได้ว่า เหยื่อรายต่อไปของฆาตกรต่อเนื่องคนนี้ เป็นใคร

“เดี๋ยวก่อน” นางโชว์กรีดนิ้วห้ามผู้หมวดระรินที่เข้ามาอธิบายข้อมูลและเหตุผลถึงในผับที่เธอเป็นเจ้าของอยู่ “ฆาตกรต่อเนื่องที่ฆ่ากะเทยเพื่อความสนุกสนาน คุณได้ยินถูกต้องแล้ว” นางโลว์เจ้าของผับทำหน้าเหวอ อ้าปากค้าง ไปกับสิ่งที่ผู้หมวดรินพูดออกมา “นี่พวกคุณจะบ้าแล้วหรือไง ล้อกันเล่นถูกมั้ย สมัยนี้ทุกอย่างมันต้องเป็นคอนเท้นต์ไปหมด ไหนซ่อนกล้องเอาไว้ตรงไหน” นางโชว์คนงามพยายามพูดติดตลก เพราะไม่เชื่อเรื่องที่ได้ยิน

“หรือคุณอยากที่จะเป็นรายต่อไป” ผู้กองระรินพูดจบ ก็ชูรูปของเหยื่อคนก่อน ๆ ของฆาตกรรายนี้ให้ดู นางโชว์ถึงกับหน้าถอดสี รู้แล้วว่านี่มันเรื่องจริง “เหยื่อมีเฉพาะกะเทยนางโชว์เท่านั้น และทุกคนถูกทำให้ทรมาน ก่อนจะถูกฆาตกรจัดการฆ่าจนเสียชีวิต ประหนึ่งว่าเป็นผู้ไถ่โทษให้พ้นทุกข์แบบนั้น” นี่คือข้อมูลจากนักจิตวิทยาที่ถูกถอดออกไปจากคดี แต่ผู้หมวดระรินไปควานหาเอกสารที่ไม่ได้อยู่ในสำนวนแล้ว มาจนได้

“แล้วทำไมต้องเป็นฉันด้วยล่ะ ฉันไม่เคยไปทำอะไรให้ใครเลยด้วยซ้ำ” นางโชว์เจ้าของผับเกือบจะร้องไห้ออกมา ทรุดตัวลงนั่งอย่างอ่อนแรง “เรายังหาความเชื่อมโยงในจุดนั้นของเหยื่อแต่ละคนไม่ได้ แต่จากข้อมูลที่มีอยู่ ผับนางโชว์ของคุณอยู่ในรัศมีจากสถานที่เกิดเหตุในเคสอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ที่คาดว่าฆาตกรจะเลือกลงมืออีกครั้งเป็นผับต่อไป” ผู้กองรินให้รายละเอียดกับนางโชว์เจ้าของผับ

“แล้วคุณจะให้ฉันทำยังไง” เจ้าของผับถามออกมาเสียงสั่น ผู้กองรินสบตากับนางโชว์คนดัง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “เราจะเปลี่ยนตัวกัน” นางโชว์คนสวยถึงกับต้องเลิกคิ้วขึ้นสูง เอามือทาบอก ตกอกตกใจไปกับวิธีการที่ฝ่ายตำรวจบอกกับเธอมา โดยที่ลูกทีมคนอื่น ๆ ของผู้กองระรินเอง ยังไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเหมือนกัน

“นี่อีเจ้ ค่าไฟกับค่าอินเทอร์เน็ต บิลมันมาแล้วนะ เอาไปจ่ายก่อนที่มันจะตัด” เสียงกะเทยนางโชว์ตลก พูดขึ้น ทวงเงินค่าใช้จ่ายที่มาถึงแล้วของเดือนนี้ “เอ้า ฉันพูดนี่ได้ยินมั้ย ยังจะมาทำเป็นนิ่ง ยืนเฉยอยู่อีก จ่ายมาสิ เอาเงินมา” เสียงนั้นเริ่มหงุดหงิด ที่พอพูดบอกไปแล้ว อีกฝ่ายกลับยืนเฉย มองทำตาปริบ ๆ มาแค่นั้น

“อีลูกน้องเวร กูอยู่นี่” เสียงเจ้าของผับที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ถัดไป พูดบอกกับลูกน้อง “เอ้า อีเจ้ ฉันก็นึกว่านี่แก อุ้ย ยังไง ไหงงั้นล่ะคะเนี่ย” เสียงร้องออกมาอย่างแปลกใจอย่างที่สุด เมื่อเห็นนางโชว์ในชุดขึ้นแสดงตัวเก่ง กลับกลายเป็นผู้หมวดระรินไปเสียได้ “อีเจ้ เขาสวยกว่ามึงอีก เออ มึงแต่งให้เขารอด แล้วมึงร่วงสินะคะ” เสียงนางโชว์คนอื่น ๆ ที่รู้เรื่อง พากันหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน

“อีเจ้มึง ตกงานแน่ค่ะ” ลูกน้องนางโชว์ พอได้เงินค่าจ่ายบิลรายเดือน ก็เดินจากไปพร้อมกับเสียงหัวเราะชอบใจ “สวยเกินเบอร์ไปมากเลยจริง ๆ หมวด” ลูกน้องในทีมเขินหน้าแดง เมื่อเอ่ยปากชมผู้หมวดระรินในคราบของกะเทยนางโชว์นั้น “แต่แค่นี้ มันยังไม่น่าเชื่อหรอกนะ ว่าจะเนียนนีสมจริง” นางโชว์เจ้าของผับพูดขึ้น พร้อมกับให้ชาเลนจ์เรื่องหนึ่งมากับผู้หมวดระริน

เบื้องหน้าเป็นพื้นที่ปราบเซียนของเหล่าบรรดากะเทยแต่งหญิงทั้งหลาย ที่ยังไม่มีใครทำสำเร็จในการลากเหล่าชายหนุ่มที่มาเหล่สาวสวย รู้กันดีว่า บาร์เบียร์ที่ยาวติดกันเป็นพืดนี้ ไม่ใช่แหล่งของกะเทยที่กะจะคว้าผู้ชายที่ชอบในเพศหญิง ไปลงเอยด้วย ไม่ว่าจะแค่ข้ามคืน หรือยาวนานตราบจนนิรันดร

ผู้หมวดระรินกวาดสายตาไปพบกับหนุ่มหล่อตาน้ำข้าวที่นั่งจิบเบียร์ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ รู้สึกว่า ตัวเองกำลังจะเก็ทลัคกี้ในค่ำคืนนี้ เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นดังใกล้เข้ามา รู้ตัวอีกที เสียงเดินนั้นก็หมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา ชายหนุ่มฝรั่งเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นสาวสวยคนหนึ่งมายืนเอียงคอ ส่งยิ้มมาให้อยู่ก่อนแล้ว

“โอ้ว บองชูว์” เขาทักทายออกไปตามคำพูดประเทศแม่ที่จากมา ก่อนจะมองไปที่หน้าท้องแบนราบ แต่รอยกล้ามหน้าท้องนั่น ทำให้ชายหนุ่มถึงกับอยากจะเอื้อมมือไปสัมผัส “ขอลองจับได้มั้ย” เสียงถามออกไป โดยสาวสวยจะฟังรู้เรื่องหรือเปล่า ก็ไม่ได้สนใจ พอเอื้อมมือออกไปจะแตะหน้าท้องสวยนั่น ผู้หมวดระรินก็ขยับเดินก้าวถอยหลังสองสามก้าว ก่อนจะทำท่ากวักมือเรียกหนุ่มปารีเซียง ให้เดินตามมา

“เฮ้ รอด้วย” หนุ่มตาสีเขียวลืมกลัว ทั้ง ๆ ที่บอกกับตัวเองว่า อย่าหลงเดินตามใครไปง่าย ๆ แท้ ๆ แต่พอเห็นทางที่เดินมามีแสงไฟสว่าง และมีร้านอะไรบางอย่าง เปิดไฟวิบวับ ฉูดฉาด ดูบันเทิงกว่าแถวบาร์เบียร์ที่ไปนั่งอยู่นานสองนานนั่นเสียอีก ก็ยอมเดินตามสาวสวยเอวบาง หน้าท้องแกร่งมาอย่างง่ายดาย

“เฮ้ ๆ นี่มันอะไรกันเนี่ย ริน” เสียงใครบางคน ร้องเอะอะออกอาการไม่พอใจกับภาพที่เห็น ว่ามีหนุ่มฝั่งหน้าตาดี รูปร่างสูงใหญ่ หล่อเหลา เดินตามหมวดระรินมาอย่างกับต้องมนต์สะกด เจ้าหนุ่มจากปาครีนั่น รู้ตัวอีกครั้ง ก็เดินเข้ามาด้านในผับ มาหยุดยืนอยู่กลางร้าน รายล้อมไปด้วยกะเทยนางโชว์มากมาย

“เรียบร้อย” เสียงพูดของผู้หมวดระริน ทำให้หนุ่มฝรั่งอ้าปากค้าง ก่อนจะชี้นิ้วไปที่นางโชว์เจ้าของผับ “เลดี้บอย” แล้วหันมาชี้นิ้วที่ผู้หมวดริน “พริตตี้เกิร์ล” ด้วยใบหน้าที่งุนงง ก่อนที่ผู้หมวดระรินจะเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าหนุ่มฝรั่งนั่น “เลดี้บอย” ผู้หมวดรินพูดขึ้น “แอนด์ โปลิส บิสซิเนส” ไม่พูดเปล่า ผู้หมวดรินดึงเอาก้อนซิลิโคนที่อัดเอาไว้เป็นหน้าอกปลอม เอาออกมาจากชุด แล้วชูตราตำรวจให้หนุ่มฝรั่งที่ทำหน้าเอ๋อ ให้ได้เห็น โดยที่ผู้กองอติ ที่ไปวนหาที่จอดรถอยู่นาน เปิดประตูผับเข้ามาพอดี

“จะใช้แผนอะไรล่อคนร้ายให้มาติดกับดัก ทำไมไม่ปรึกษากันก่อน” ผู้กองอติร้องถามเมื่อเห็นว่า แผนการที่ผู้หมวดระรินจะทำนั้น มันเสี่ยงมากเกินไป “เราจะเริ่มลงมือกันในคืนวันศุกร์นี้ เหลือเวลาอีกแค่สองวันในการซักซ้อม” ผู้หมวดระรินร้องสั่งลูกน้องในทีม “และเผื่อผู้กองยังไม่ทราบ งานนี้มันต้องสำเร็จลงด้วยดี ไม่ว่าผู้กองจะชื่ออติ หรือจะเปลี่ยนไปเป็นอคติก็ตาม” ผู้หมวดระรินประกาศกร้าวออกไปต่อหน้าทุกคน

***************************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาไทย โดย KADUMPA

Moonlit Floor - LISA

https://www.youtube.com/watch?v=iYWGRGiYdHU


I'ma need to hear you say it out loud

อยากได้ยินคุณพูดออกมาดังดังจังเลย

'Cause I love it when my name slips out your mouth

เพราะเวลาเห็นคุณเรียกชื่อฉันแล้วมันใจใจ

Love it when your eyes caress my body (oh-oh)

ชอบมากเวลาเห็นคุณโลมเลียหุ่นฉันด้วยสายตา

Right before you lace your kisses on me, ooh

ก่อนจะถูกคุณจุมพิตฉันด้วยความแผ่วเบา


Green-eyed French boy got me trippin'

หนุ่มฝรั่งเศสตาสีฟ้าดันทำถูกต้องยกนิ้วโป้งให้

How your skin is always soft

แถมผิวยังละเอียดนุ่มนวลไปอีก

How your kisses always hit

รอยจูบของคุณโดนตรงไหนยังไงก็จี๊ด

How you know just where to

คุณรู้ได้ยังไงว่าตรงไหนต้องทำแบบนั้น


Green-eyed French boy got me trippin'

หนุ่มฝรั่งเศสตาสีเขียวทำดีต้องชม

On that accent off your lips

กับสำเนียงการพูดที่ผ่านริมฝีปากออกมา

How your tongue do all those tricks?

แถมลิ้นของคุณยังทำสยิวได้อีกหลายกรณี

How you know just where to

รู้ได้ยังไงว่าจุดไหนต้องติ๊ดยังไง


Kiss me under the Paris twilight

จูบฉันที ภายใต้ค่ำคืนพร่างพราวของปารีส

Kiss me out on the moonlit floor

จูบฉันเลย ท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดส่อง

Kiss me under the Paris twilight

จูบฉันอีกที ภายใต้ค่ำคืนที่ระยิบระยับในปารีส

So kiss me

จูบฉันที


Cute fit in the whip to the flight to the sky

ความน่ารักนี้มันพอเหมาะที่จะทำให้รู้สึกล่องลอยไปบนท้องฟ้า

Never down, baby, check my stats

ไม่มีแผ่วเลยที่รัก ลองวัดสภาวะฉันในตอนนี้ก็ได้

Truth is, I wasn't tryna meet nobody

ความจริงก็คือ ฉันไม่ได้คิดว่าจะมาคว้าใครก็จริง

Baby, I was there to get my bag

ฉันแค่ลืมกระเป๋า แค่จะกลับมาเอา

But when I saw you I was like, "I like that"

แต่พอเห็นคุณ ก็ได้แต่พึมพำว่า ขอหนึ่งทีได้มั้ย

Wasn't tryna to break, baby, I'll fall back

ไม่ได้ตั้งใจจะว่าอะไรนะ ฉันก็กลัวจะแสดงออกมากไป

But when I heard you say, "Bonjour, bébé"

ก็คุณดันพูดออกมาว่า ไงคนสวย สบายดีมั้ย

I was like, "Damn"

ฉันได้แต่คิด เออเอาวะ ของดี

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

“อีเจ้” เสียงนางโชว์ตลก ที่ถือว่าเป็นลูกน้องมือขวามือซ้าย เผลอ ๆ จะรวมทั้งตีนขวาตีนซ้าย ที่ไม่ว่าอีเจ้ของบาร์นางโชว์แห่งนี้ จะใช้ให้ไปทำอะไร ลูกน้องคนนี้ก็ทำให้ได้หมด เพราะร่วมหัวจมท้ายกันมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่อีเจ้ยังเป็นนางโชว์คั่นเวที ที่รอว่าหากนางโชว์ตัวเมนตัวหลักไม่มาขึ้นแสดง ไม่ว่าจะทะเลาะกับผัว เมาค้างตั้งแต่เมื่อคืน หรือว่าดังแล้วขออัพค่าตัว อีเจ้ก็จะเสียบแทนแบบขอแอร์ไทม์ให้คนจำหน้าได้ จนมาถึงตอนมีทุนรอนก้อนหนึ่ง แล้วมาเปิดบาร์เหล้า ขึ้นแสดงโชว์เองอย่างในตอนนี้

“แกแน่ใจแล้วนะ ว่าจะทำแบบนี้” นอกจากจะลังเลแล้ว ลูกน้องนางโชว์ก็ยังเป็นห่วงสมทบไปด้วย “แกห่วงฉันเรื่องฆาตกรต่อเนื่องสินะ ขอบใจแกมากนะ” เสียงอีเจ้ตอบกลับไปด้วยความละมุน นึกดีใจที่อย่างน้อย ลูกน้องที่อยู่ด้วยกันมานานนม ก็ยังมีแก่ใจ นึกห่วงหากันอยู่ครามครัน

“โฮลด์ ดอน เวท อะ มินิท ค่ะเจ้” ลูกน้องคนเดิมยกมือขึ้นห้ามอีเจ้เจ้าของบาร์ ที่น้ำตารื้นขึ้นมาให้หยุดฟังก่อน “ไอ้เรื่องที่เจ้เป็นเหยื่อจะโดนสับเป็นชิ้น ๆ นั่น ก็เรื่องหนึ่ง” ลูกน้องนางโชว์ตลกเริ่มอธิบายความให้อีเจ้เข้าใจ “แต่ที่ฉันหมายถึง มันคือไอ้เรื่องที่เจ้จะให้ผู้หมวดเขามาแต่งหญิง แล้วสวยกว่า สดกว่า ใสกว่า น่าดูมากกว่านี่ต่างหาก แบบเนี่ย มันฆ่าเจ้แบบตายทั้งเป็นเลยทีเดียวนะ” อีเจ้ข้าวของบาร์นางโชว์ถึงกับสำลักน้ำที่กำลังดื่มอยู่

“อีเวร นี่มึงพวกใครกันแน่” อีเจ้เสียงแปดหลอดใส่ลูกน้อง ที่ไม่ได้แสดงอาการสลดหรือจะกลัวเกรงอะไรเจ้านายแต่อย่างใด “อีเจ้ มึงลองคิดดูนะ นี่ถ้ามึงรอดเงื้อมมือไอ้โนคจิตที่ตามฆ่าบรรดานางโชว์มาได้ แล้วมึงต้องมาเทียบรัศมีความงามกับคุณผู้หมวดเขา ถ้าบรรดาแขกของร้านรู้แล้วเปลี่ยนใจ เรียกร้องให้ผู้หมวดเขามารับจ็อบที่บาร์นี่ แล้วผู้หมวดก็บ้าจี้ เลิกวิ่งไล่จับโจรเข้าให้ อีเจ้ มึงถึงกับล้มละลายในการเป็นกะเทยนางโชว์ของมึงเลยนะ” อีเจ้เองได้ยินแบบนั้น ก็ไม่รู้จะพูดตอบโต้ออกไปยังไงดี

“แล้วมึงจะให้กูทำยังไง อีนี่ มึงได้เห็นรูปนางโชว์พวกนั้นมั้ย” อีเจ้เจ้าของบาร์นึกถึงรูปที่ผู้หมวดระรินโชว์ให้ดู แล้วก็รู้สึกขนพองสยองเกล้า “อีดอก แจนไปทาง นมไปอีกทาง นี่กูทำของกูมา ราคามันดาวน์คอนโดได้ห้องหนึ่งเลยนะ ก็จะเก็บไว้ให้ลูกกูกินนม” อีเจ้พูดไปก็เอาแขนทั้งสองข้าง กอดนมหมอทำเอาไว้อย่างหวงแหน เพราะลงทุนไปกับมันอยู่หลายรอบ แต่ละรอบด้วยอัตราที่มากโข

“ไหนจะรูโมะที่กูขอให้หมอบรรจงทำให้ซะลึกเลย กะว่า ผัวติดใจแน่ ๆ ของหาแดกฝรั่งดูกะเทยไม่ออกของกูเลย เนี่ย กูวางแผนเอาไว้หมดแล้วกับชีวิต ทำไมต้องมาเกิดเรื่องอะไรแบบนี้กับกูด้วย ให้กูมีผัวได้ใช้ของฉ่ำ ๆ จุก ๆ ก่อนก็ไม่ได้ ไอ้ฆาตกรใจโหด” อีเจ้เองก็ร้องครวญคร่ำถึงความบัดซบที่มันมารอจ่ออยู่ตรงหน้า

“อีห่าเจ้เอ๊ย เป็นกะเทยปลาหมึกแถวบน ๆ มาตลอด มาโดนตำรวจคนสวยปาดขึ้นไปถูกไม้หนีบชะแว้บเป็นแถวบนสุดแทน เนี่ย มันเคยมีที่ไหน ที่นางโชว์จะไปดูดเอาชายแท้จากบาร์เบียร์ ให้เดินตามมาถึงร้านฝั่งนี้ได้ ขนาดอีพวกอยู่โค้งถัดจากบาร์เบียร์ไป ทั้งงับปิงปอง ปาลูกดอก เป่าบอลลูน มันยังไม่ได้ขนาดนี้เลย” อีเจ้ยิ่งฟังก็ยิ่งรันทดกับชีวิตของตัวเอง

“ยังไง มึงเซ็นชื่อกูในพินัยกรรมมึงให้ถูกนะ เนี่ย ชื่อนามสกุลกูสะกดแบบนี้ ทำเอาไว้ก่อน เดี๋ยวเผื่อฆาตกรต่อเนื่องมันเข้ามาถึงตัวมึงได้ก่อนตำรวจ กูจะได้สบาย เอ๊ย มึงจะได้ไม่มีห่วง” อีเจ้ได้แต่คิดในใจว่า ถ้าหากตัวเองรอดจากเรื่องนี้ไปได้อย่างปลอดภัย ตำรวจจัดการกับคนร้ายได้เรียบร้อย ใครกันที่จะถูกไล่ออกเป็นคนแรก

“ด้านหลังชั้นวางเครื่องดื่มนั่นเป็นกระจกแบบส่องเห็นออกมาได้จากทางด้านใน ที่ทางร้านทำเอาไว้เป็นห้องเก็บของ” หมวดระรินสั่งการลูกน้องที่มาร่วมทีมจับฆาตกรต่อเนื่อง “จัดเครื่องไม้เครื่องมือสื่อสารด้านใน อย่าให้มีพิรุธ จ่ากับหมู่ทั้งสามคน นั่งมอนิเตอร์ภาพจากกล้องวงจรปิด ที่จะถูกยิงส่งไปจากทุกมุมของร้าน” หมวดระรินเพิ่งตรวจสอบกล้องหลายตัวที่เพิ่งติดเข้ากับระบบเดิมของทางร้าน ที่มองดูเผิน ๆ แล้ว แทบสังเกตไม่เห็นเลยด้วยซ้ำ เพื่อทำให้ฆาตกรมองเห็นได้ยาก ไม่เป็นการทำให้คนร้ายไหวตัวทันเสียก่อน

“ผมว่าแผนนี้มันยังมีช่องโหว่อีกเยอะ ผมว่าหมวดรินยกเลิกแผนการนี้ แล้วเลื่อนปฏิบัติการนี้ออกไปก่อนดีกว่า” ผู้กองอติยังคงไม่เห็นด้วยที่ผู้หมวดระรินจะให้ทีมลงมือในคืนนี้ “ผมว่าเราคุยเรื่องนี้กันเข้าใจแล้วนะครับผู้กอง” หมวดระรินกล่าวตอบกลับไป เมื่อผู้กองอติดูท่าว่าจะไม่ยอมรับฟังผลการสรุปวางแผนแต่อย่างใด

“ไม่ต้องเอาผู้การมาอ้าง” ผู้กองหนุ่มรีบพูดดักคอผู้หมวดระรินเอาไว้ก่อน ซึ่งผู้หมวดคนเก่งก็ได้เอาโทรศัพท์มือถือของตัวเอง ที่กดอัดเสียงการสนทนาระหว่างตัวผู้หมวดเองกับท่านผู้การ ที่โทรมายืนยันด้วยตัวท่านเองว่า “ให้ผู้กองอติเป็นฝ่ายสนับสนุนการปฏิบัติงานนี้ โดยไม่ว่าผู้กองระรินต้องการเครื่องไม้หรือเครื่องมืออะไร ให้ผู้กองอติเป็นคนอนุมัติได้เลยทางวาจา แล้วค่อยทำเอกสารตามมาทีหลัง ถือเป็นกรณีพิเศษ” ผู้หมวดระรินกดปิดหน้าจอมือถือ โดยยกมือห้ามไม่ให้ผู้กองอติพูดอะไรอีก

“เรารู้อะไรเกี่ยวกับพฤติกรรมของฆาตกรบ้าง” ผู้กองระรินทวนข้อมูลของคนร้ายกับทีมอีกครั้ง “ฆาตกรเลือกเหยื่อเอาไว้ล่วงหน้า และไม่เปลี่ยนเป้าหมายเด็ดขาด” หนึ่งในลูกทีมของผู้หมวดระรินพูดขึ้น “มีความเป็นไปได้ว่าฆาตกรรู้ว่าจะหลอกล่อเหยื่อที่เป็นนางโชว์ให้ติดกันยังไง” อีกคนในทีมเสริมขึ้น “เดาให้ครอบคุลมคือ หล่อ หน้าตาดี บุคลิกมีเสน่ห์ น่าจะพูดจาดีสุภาพ จนเหยื่อหลงตายใจ” ผู้กองระรินพูด ก่อนจะใช่สายตาสแกนไปรอบทั้งห้อง

“ซึ่งในที่นี้ แม้แต่ในทีมคืนนี้ ก็มีคนที่เข้าข่ายดังกล่าว” ผู้หมวดระรินพูดจบก็หันมามองทางผู้กองอติ “แต่ที่ทำให้ตัดออกจากลิสต์ผู้ต้องสงสัยได้ในวินาทีสุดท้าย ก็คงเป็นเรื่องปาก ที่พูดจาด็อก ไม่ อี้ท” ทำให้ลูกทีมทุกคนพากันอมยิ้มในหน้า ยังไม่กล้าหัวเราะออกมา แต่ก็เป็นอันรู้กันว่าหัวหน้าทีมอย่างผู้หมวดระรินหมายความว่าอย่างไร

“แล้วอย่าหาว่าผมไม่เตือนนะ” ผู้กองอติพูดด้วยอาการโกรธจนหน้าแดง ก่อนจะผลุนผลันเดินไปเปิดประตูออกจากบาร์ไป “เอาล่ะ ไปเตรียมเอาอุปกรณ์ต่อพ่วงมาจากรถตู้ได้แล้ว ร้านจะเปิดปกติ เราจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพียงแต่ลูกค้าจริงจะไม่มาในวันนี้ เพราะทางร้านประกาศแจ้งว่า คืนนี้มีไพรเวทปาร์ตี้ มีเพียงฆาตกรเท่านั้นที่ไม่รู้เรื่องนี้ เพราะจากรายงานของทางนิติเวช ระบุว่าคนร้ายน่าจะไม่ได้ใช้อุปกรณ์อิเลคโทรนิค” ผู้หมวดระรินสั่งการต่อในทันที

ลูกทีมทั้งหมดพากันเดินออกไปที่รถตู้ ส่วนผู้หมวดระรินเดินเข้าไปในห้องเก็บของ ที่ตอนนี้กลายเป็นห้องบัญชาการ ผู้หมวดระรินยืนอยู่มุมด้านในสุดของห้อง โดยหันหลังให้ประตูห้องเก็บของห้องนั้นที่เปิดค้างเอาไว้ ผู้หมวดระรินได้เสียงฝีเท้าดังขึ้นทางด้านหลัง พูดทักออกไปโดยยังไม่เงยหน้าขึ้นจากเอกสารที่กำลังอ่านอยู่ ว่าทำไมลูกทีมที่ออกไปเอาอุปกรณ์ต่อพ่วงถึงกลับกันมาเร็วจัง เพราะทางทีมตัดสินใจจอดรถตู้เอาไว้ให้ห่างจากบาร์ออกไป เพื่อไม่ให้คนร้ายเกิดความสงสัย

เสียงเดินนั้นเงียบไป ผู้หมวดระรินที่สายตายังคงจ้องอยู่ที่เอกสาร แต่ในความคิดของเขาตอนนี้ เริ่มนึกแปลกใจที่ไม่มีเสียงตอบกลับมาหา หากว่านั่น คือเสียงฝีเท้าของคนในทีมที่เดินกลับมาจริง และในขณะนั้นเอง ไฟทั้งหมดก็ดับวูบลง ไวเท่าความคิดและเป็นสิ่งที่ผู้หมวดระรินได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ตั้งแต่อยู่ในอคาเดมี่ คือการที่ผู้หมวดคว้าไฟฉายที่วางอยู่บนโต๊ะมาเปิดส่องไปด้านหน้า พร้อมทั้งคว้าปืนที่แนบกับเอวขึ้นมาประทับ ส่องปากกระบอกปืนไปทางประตูห้อง

แสงไฟฉายสาดออกไปด้านนอกห้อง มองเห็นแต่เพียงโต๊ะและเก้าอี้ที่ตั้งเอาไว้รองรับลูกค้าของทางบาร์ เสียงฝีเท้าเหมือนกับจะก้าวเดินถอยหลังไปไม่กี่ก้าว แล้วเสียงนั้นก็หยุดเงียบลง อยู่ ๆ ไฟก็ติดขึ้นมาอีกครั้ง และตอนนี้ผู้หมวดระรินตะโกนเรียกทีมของตัวเองออกไป ว่ามีใครบ้างที่อยู่ที่ด้านนอกนั่น

“ตอบกลับมา ถ้าไม่อย่างนั้น จะยิงก่อนแล้วค่อยถาม” ผู้หมวดระรินตะโกนออกไป ก่อนจะรีบสาวเท้ามาหยุดยืนอยู่หน้าประตู แล้วตัดสินใจ ย่อตัวลง ก่อนจะม้วนตัวด้วยความรวดเร็วออกไปด้านนอก แล้วรีบลุกขึ้นนั่งชันเข่าข้างหนึ่ง หันกระบอกปืนส่องไปทั้งซ้ายและขวา แต่ยังไม่ทันได้สังเกตจนทั่วทั้งบาร์ มือข้างที่ถือปืนอยู่ ก็ถูกเท้าของใครคนหนึ่ง ถีบเข้าให้จนปืนนั้นหลุดกระเด็นจนหลุดมือ

“เฮ้ย” เสียงของผู้หมวดระรินร้องดังลั่น พอหันกลับมา ก็เห็นผู้ชายร่างสูงใหญ่ใส่สูทยาวสีเท่าคลุมทั้งร่าง โดยมีหน้ากากแบบสวมหัว ปกปิดใบหน้าเอาไว้อีกด้วย ผู้หมวดระรินใช้ด้ามของกระบอกไฟฉาย ฟาดเข้าให้ที่เท้าของชายร่างสูงใหญ่นั่น ที่ยกเท้าทำท่าจะยันเข้าให้ที่ใบหน้าของผู้หมวดระริน เสียงตีนั้นค่อนข้างแรง แต่ดูเหมือนกับว่าคนร้ายจะไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรมากนัก

“อะไรกันวะเนี่ย” ผู้หมวดระรินรีบยันกายลุกขึ้นยืน โดยมีชายร่างใหญ่คนดังกล่าว ยืนจังก้ามองมาทางผู้หมวดรินด้วยท่าทีที่ไม่สะทกสะท้าน ตอนนี้ในสมองของผู้หมวดรินกำลังประมวลผลเพื่อสั่งการ หากว่าจะไม่มีลูกน้องในทีมหรือใครก็ตามโผล่เข้ามาช่วยเหลือเขาในตอนนี้ ผู้หมวดระรินมองหาทางหนีทีไล่ นึกขึ้นได้เรื่องมือถือ ก็ได้ยินเสียงเรียกเข้าดังขึ้นมา แต่นั่นมันดังมาจากในห้องปฏิบัติการ ที่ผู้หมวดระรินเอาไปวางเอาไว้ก่อนจะหยิบเอกสารพวกนั้นขึ้นมาอ่าน

คนร้ายเอียงคอมองมาทางผู้หมวดระริน เมื่อเสียงเรียกเข้าของมือถือนั้นเงียบลง เหมือนกับว่าจะถามผู้หมวดคนเก่งว่า จะเอายังไงต่อดี ผู้หมวดระรินทำทีจะขยับไปทางซ้ายทีขวาทีแบบหลอกล่อคนร้าย แต่ดูเหมือนว่าคนร้ายจะไม่หลงกลแต่อย่างใด คราวนี้กลับเดินย่างสามขุมเข้ามาหาผู้หมวดระริน ผู้หมวดมองเห็นในมือของคนร้าย หยิบเอามีดยาวปลายแหลมออกมาจากเสื้อคลุม

“แม่งเอ๊ย” ผู้หมวดระรินร้องออกไปอย่างหัวเสีย เมื่อปลายมีดเฉี่ยวชุดนางโชว์แสนสวยนั้นไปเพียงแค่นิดเดียว “เขาแค่ให้ฉันยืมใส่เท่านั้นนะโว้ย ถ้าเสียหายไป ฉันไม่มีปัญญานั่งเย็บชุดคืนให้เขานะ” ผู้หมวดระรินตะโกนออกไปด้วยความโมโห ก่อนจะตัดสินใจลื่นตัวลงกับพื้น แล้วไถลตัวให้ขาของตัวเองนั้น ปัดเข้ากับขาของคนร้าย เพื่อตัดแรงให้คนร้ายนั้นล้มลงกับพื้น “โอ๊ย” แม้จะได้ผล แต่ผู้หมวดระรินก็ต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บเช่นกัน

“ประกันสุขภาพเอกชนหมดหรือยังวะเนี่ย” พูดไปก็คลำข้อเท้าตัวเองป้อย ๆ มองดูชายร่างใหญ่ที่ล้มลงบนพื้น พยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืน จังหวะนี้แหละ ผู้หมวดระรินบอกกับตัวเอง ก่อนจะยันตัวขึ้นพร้อมพุ่งตัวออกไปแล้วทิ่มศอกลงไปที่ท้องของคนร้ายตัวใหญ่นั่นอย่างจัง เสียงร้องดังอุ้กดังออกมาจากปากของคนร้าย เสียงนั่นทำให้ผู้หมวดระรินรู้สึกว่า มันน่าจะเป็นชาวต่างชาติที่เป็นคนผิวขาวมากกว่า

ยังไม่ทันที่ผู้หมวดระรินจะซ้ำศอกลงไปเป็นครั้งที่สอง ก็เหมือนกับว่าชายร่างใหญ่คนนั้น โบกไม้โบกมือขึ้น เหมือนเป็นสัญญาณให้ใครสักคนที่กำลังมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่นั้น ทำอะไรสักอย่างได้แล้ว และอีกครั้ง ไฟในร้านได้ดับลง ผู้หมวดระรินไม่รอช้า รีบม้วนตัวไปทางที่ปืนตกอยู่ ก่อนจะรีบลุกขึ้นยืน ส่องปากกระบอกไปทางชายร่างใหญ่นั้นทันที ก่อนจะคำรามสั่งเสียงดังออกไปว่า

“หยุด นี่ปืน นั่งลง อย่าขยับ” ผู้หมวดระรินสั่งย้ำ ๆ อยู่หลายรอบ เสียงขึ้นไกปืน ทำให้ชายร่างใหญ่นั้นดูลังเล ไม่กล้าขยับตัวเข้าหาเหมือนครั้งแรก “ร้านเปิดมั้ยครับ ทำไมร้านมืดแบบนี้” เสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นที่ด้านหน้าประตู “หยุด อย่าขยับ นี่ตำรวจ ยกมือขึ้น คุณด้วย” เสียงของผู้หมวดระรินสั่งดังลั่น ก่อนที่ไฟในร้านจะติดขึ้นมาอีกครั้ง เผยให้เห็นว่าชายร่างใหญ่นั้นถอดหมวกคลุมหน้านั้นออก พร้อมแสดงสีหน้าตื่นตระหนกอย่างชัดเจน

“แก อย่าขยับ” ผู้หมวดระรินสั่งผู้ชายฝรั่งตัวใหญ่นั้น โดยยังไม่ลดปากกระบอกลง “แล้วคุณเป็นใคร” ก่อนจะตะโกนข้ามไปถามชายหนุ่มใส่แว่น ที่คุกเข่าลงกับพื้นชูมือทั้งสองข้างขึ้นจนสุด แล้วละล่ำละลักตอบกลับผู้หมวดระรินด้วยอาการปากคอสั่นว่า “ผมแค่มาเที่ยวครับ แค่มาหาเหล้าดื่ม” ชายหนุ่มตัวสั่นไปกับเหตุการณ์รอบข้างที่เพิ่งเกิดขึ้น

“เห็นมั้ย ผมบอกคุณแล้ว ว่าแผนการของคุณถูกล้มและทำลายได้ง่ายมาก” ผู้กองอติเดินเข้ามาในบาร์ ก่อนจะมาพยุงผู้ชายร่างใหญ่ชาวต่างชาตินั้นให้ลุกขึ้น “นี่คนของผมจ้างมาเอง ช่องโหว่รูเบ้อเริ่ม แผนปฏิบัติการของคุณไม่มีทางสำเร็จ นี่ผมทำให้เห็นแล้ว” ผู้กองอติพูด ก่อนจะให้ลูกน้องของทีมตัวเอง รีบพาชายชาวตะวันตก ที่เพิ่งมารับบทคนร้ายให้ออกไปได้แล้ว

“แล้วผมล่ะ ผมยืนขึ้นได้หรือยัง” ชายหนุ่มใส่แว่นที่ดูงงงงกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น ถามเสียงสั่น ก่อนที่ลูกน้องในทีมของผู้หมวดระรินจะเข้ามาช่วยดึงตัวชายหนุ่มใส่แว่นคนนั้นให้ลุกขึ้นยืน “ผู้กองอติสั่งไม่ให้พวกเราเข้ามาครับ เพราะบอกว่าเป็นดริล การซ้อมเสมือนจริง ที่ขออนุญาตกับทางผู้การเอาไว้แล้ว เพื่อระงับเหตุไม่ให้เจ้าหน้าที่เกิดความสูญเสียชีวิต” มาถึงตอนนี้ พอรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ผู้หมวดระรินก็เดินเข้าไปหาผู้กองอติ แล้วชกเปรี้ยงเข้าที่ปลายคางของผู้กองอติอย่างแรง

*************************************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาไทย โดย KADUMPA

Abracadabra - Lady Gaga

https://www.youtube.com/watch?v=_rP3flBjaSU


Abracadabra, abracadabra

โอมเพี้ยง, โอมเพี้ยง

Abracadabra, abracadabra

มะลึกกึ๊กกึ๋ย, มะลึกกึ๊กกึ๋ย


Pay the toll to the angels

จ่ายค่าผ่านทางให้เหล่านางฟ้าเทวดา

Drawin' circles in the clouds

แล้วขีดเส้นวาดวิมานบนเมฆปุยนุ่มนั่น

Keep your mind on the distance

กำหนดจิตให้วางไว้บนหนทางข้างหน้า

When the devil turns around

เผื่อวันใดซาตานย้อนคืนกลับมา


Hold me in your heart tonight

ฝังฉันเอาไว้ในจิตใจเธอกับค่ำคืนนี้

In the magic of the dark moonlight

กับมนต์มายาแห่งค่ำคืนที่ฉายเพียงแต่แสงจันทร์

Save me from this empty fight

รักษาตัวฉันให้พ้นจากการโรมรันที่มีแต่ความพ่ายแพ้

In the game of life

ในเกมแห่งชีวิตและโชคชะตา


Like a poem said by a lady in red

ดั่งบทกวีได้กล่าวเอาไว้ถึงหญิงชุดแดง

You hear the last few words of your life

ที่ทำให้เธอได้ยินแค่เพียงสองสามถ้อยคำสุดท้ายของชีวิต

With a haunting dance, now you're both in a trance

กับท่าร่ายรำที่หลอกหลอนวิญญาณ และครั้งนี้เหมือนตกอยู่ในภวังค์

It's time to cast your spell on the night

ถึงเวลาแล้วที่จะต้องท่องเวทย์กับค่ำคืนครานี้


"Abracadabra, amor-oo-na-na

โอมเพี้ยง รักเอยรักข้า

Abracadabra, morta-oo-ga-ga

โอมเพี้ยง มรณาเอยอันตัวข้า

Abracadabra, abra-oo-na-na"

มะลึกกึ๊กกึ๋ย ดั่งเช่นฉะนี้เอง

In her tongue she said, "Death or love tonight"

ด้วยเสียงพูดของเธอเองว่า ค่ำคืนนี้จะเลือกความตายฤารักนิรันดร์


Abracadabra, abracadabra

โอมเพี้ยง, โอมเพี้ยง

Abracadabra, abracadabra

มะลึกกึ๊กกึ๋ย, มะลึกกึ๊กกึ๋ย

Feel the beat under your feet, the floor's on firе

รับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนด้านล่างเท้านั้น พื้นระอุไปทั้งผืน

Abracadabra, abracadabra

โอมเพี้ยง, โอมเพี้ยง


Choose the road on the wеst side

เลือกทางเดินไปด้านรกร้าง

As the dust flies, watch it burn

ฝุ่นปลิวกระจาย พร้อมทั้งความร้อนแรงแผดเผา

Don't waste time on a feelin'

อย่าเพียรสูญเสียเวลาไปกับความรู้สึกเปล่าเปล่า

Use your passion, no return

เติมความหลงใหลนั้น แบบไม่ต้องคิดให้หวนย้อนคืนมา


Hold me in your heart tonight

ฝังฉันเอาไว้ในจิตใจเธอกับค่ำคืนนี้

In the magic of the dark moonlight

กับมนต์มายาแห่งค่ำคืนที่ฉายเพียงแต่แสงจันทร์

Save me from this empty fight

รักษาตัวฉันให้พ้นจากการโรมรันที่มีแต่ความพ่ายแพ้

In the game of life

ในเกมแห่งชีวิตและโชคชะตา


Like a poem said by a lady in red

ดั่งบทกวีได้กล่าวเอาไว้ถึงหญิงชุดแดง

You hear the last few words of your life

ที่ทำให้เธอได้ยินแค่เพียงสองสามถ้อยคำสุดท้ายของชีวิต

With a haunting dance, now you're both in a trance

กับท่าร่ายรำที่หลอกหลอนวิญญาณ และครั้งนี้เหมือนตกอยู่ในภวังค์

It's time to cast your spell on the night

ถึงเวลาแล้วที่จะต้องท่องเวทย์กับค่ำคืนครานี้


"Abracadabra, amor-oo-na-na

โอมเพี้ยง รักเอยรักข้า

Abracadabra, morta-oo-ga-ga

โอมเพี้ยง มรณาเอยอันตัวข้า

Abracadabra, abra-oo-na-na"

มะลึกกึ๊กกึ๋ย ดั่งเช่นฉะนี้เอง

In her tongue she said, "Death or love tonight"

ด้วยเสียงพูดของเธอเองว่า ค่ำคืนนี้จะเลือกความตายฤารักนิรันดร์


Abracadabra, abracadabra

โอมเพี้ยง, โอมเพี้ยง

Abracadabra, abracadabra

มะลึกกึ๊กกึ๋ย, มะลึกกึ๊กกึ๋ย

Feel the beat under your feet, the floor's on firе

รับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนด้านล่างเท้านั้น พื้นระอุไปทั้งผืน

Abracadabra, abracadabra

โอมเพี้ยง, โอมเพี้ยง


Phantom of the dance floor, come to me

บนลานเต้นรำที่มีเป็นของปิศาจ จงเดินมาหาฉัน

Sing for me a sinful melody

แล้วส่งเสียงร้องท่วงทำนองที่มันฟังดูเปื้อนมลทิน


"Abracadabra, amor-oo-na-na

โอมเพี้ยง รักเอยรักข้า

Abracadabra, morta-oo-ga-ga

โอมเพี้ยง มรณาเอยอันตัวข้า

Abracadabra, abra-oo-na-na"

มะลึกกึ๊กกึ๋ย ดั่งเช่นฉะนี้เอง

In her tongue she said, "Death or love tonight"

ด้วยเสียงพูดของเธอเองว่า ค่ำคืนนี้จะเลือกความตายฤารักนิรันดร์

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0


“หมวดระริน งั้นพวกผม” เจ้าของชื่อหันไปมองทางด้านเสียง ที่กลุ่มของลูกทีมของผู้นำทีมอย่างหมวดรินเอง “ขอกลับกันก่อนนะครับ” ทำท่าทีลังเลที่จะเข้ามาพูดกับผู้หมวดต่อหน้า จากการที่ทั้งหมดทุกคนในทีม ต้องทำตามที่ผู้กองอติออกคำสั่ง ไม่ยอมให้ทีมเข้ามาช่วยเฉลยให้ผู้หมวดระรินรู้ว่า ทั้งหมดนี้ เป็นแผนที่ผู้กองอติวางไว้ แล้วให้เหตุผลว่า เพื่อต้องการให้ผู้หมวดระรินรู้ถึงความอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น ด้วยความที่แผนนี้มีแต่ช่องโหว่ ไม่ได้เป็นผลมาจากที่ผู้กองอติ ต้องการให้มันล้มเหลวแต่อย่างใด

“ไปเหอะ” ผู้กองระรินตอบกลับลูกทีมไป ทำท่าโบกมือให้ทั้งหมดกลับไปได้เลย โดยที่ก่อนหน้านี้ ลูกทีมของผู้หมวดระรินต้องเข้ามาช่วยกัน ดึงตัวผู้หมวดที่กำลังโกรธเกรี้ยวถึงขั้นสุดเลยก็ว่าได้ ให้อยู่ห่างจากผู้กองอติ ที่เพิ่งหงายหลังล้มลงไปกองอยู่บนพื้นเสียงดังโครมใหญ่ เมื่อคนตัวเล็กกว่าอย่างผู้หมวดระริน ลอยตัวประเคนหมัดเข้าให้ที่ปลายคางของฝ่ายผู้กอง เพราะถ้าไม่ช่วยกันลากตัวผู้หมวดระรินออกมาสงบสติอารมณ์ มีหวังฝ่ายผู้กองอติน่าจะมากกว่าได้เห็นดาวลอยอยู่เต็มท้องฟ้า ในคืนเดือนมืดแบบนี้

ตอนแรกผู้หมวดระรินก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ โวยวายใส่ลูกทีมจนหัวฟัดหัวเหวี่ยง ที่สถานการณ์กลับกลายออกมาเป็นแบบนี้ แต่พออาการหัวร้อนนั้นเย็นลง และค่อย ๆ กลับสู่ตัวตนจริง ๆ ของผู้หมวดระรินจริง ๆ ได้เห็นสีหน้าของลูกทีมที่จำเป็นต้องทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาที่มียศสูงกว่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อความปลอดภัยและอยู่รอดต่อไปของเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้น้อย ผู้หมวดรินก็พอจะเข้าใจว่าอะไรมันเป็นอะไร

“หมวดริน ไม่เป็นอะไรนะครับ” หนึ่งในลูกทีมพูดกับเจ้าของชื่อ ก่อนจะพากันเดินออกไปจากบาร์นางโชว์ “เออ” เมื่อได้ยินผู้หมวดรินพูดกลับมาเพียงสั้น ๆ คำเดียว ด้วยตอนที่ผู้กองอติหายมึนงงจากการโดนหมัดลุ่น ๆ ซัดเข้าปลายคางเข้าให้แบบนั้น ก็ดูจะฉุนเฉียวอยู่ไม่น้อย ที่ถูกผู้หมวดระรินไม่ไว้หน้าแบบนั้น จนสั่งการเสียงดังลั่น ยกเลิกภารกิจนี้โดยไม่มีกำหนด และประกาศจะเอาเรื่องผู้หมวดระรินอย่างถึงที่สุด ก่อนจะเกณฑ์บรรดานางโชว์ที่กลับที่บาร์แล้วเห็นเหตุการณ์เข้าพอดี รวบรวมไปเป็นพยานที่สำนักงานสืบสวนด้วย

ผู้หมวดระรินนั่งอยู่ที่หน้าบาร์ มองไปรอบ ๆ เห็นว่าเครื่องไม้เครื่องมือเกือบทั้งหมด ถูกเคลียร์ออกและขนย้ายไปจากบาร์จนเกือบหมดแล้ว ตามคำสั่งของผู้กองอติ ผู้หมวดรินชะโงกหน้าข้ามบาร์ชงเหล้าข้างหน้านั้นไป ก่อนจะคว้าเอาเหล้าติดมือมาขวดหนึ่ง มันยังไม่ได้ถูกเปิดฝา หมวดระรินเอื้อมไปทางขวามือจนสุดแขน ก่อนจะใช้นิ้วเกี่ยวเอาแก้วเปล่า ลากมาจนหยุดอยู่ที่ด้านหน้าตัวเอง

“ผมนั่งด้วยได้มั้ยครับ” หนุ่มตี๋หน้าตาดีสวมแว่นดูแล้วออกแนวเนิร์ด ๆ ที่ก่อนหน้านี้ โผล่มาเห็นเหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวาย ถามผู้หมวดระรินที่หันมามอง ก่อนจะหันกลับไปเปิดฝาขวดเหล้า แล้วรินมันใส่ลงไปเกือบครึ่งแก้ว “ทำไมยังอยู่ที่นี่อีก” ผู้หมวดระรินถามออกไป เมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินมานั่งที่เก้าอี้ตัวข้าง ๆ กัน ที่หน้าบาร์เหล้านั้น ก่อนจะหันมาจ้องหน้าหนุ่มแว่นคนนั้น ที่ส่งยิ้มกว้างมาให้

“ผมบอกแล้วว่าผมมาหาเหล้ากิน” หนุ่มแว่นหน้าตี๋ยื่นแก้วที่ถืออยู่ในมือไปให้ผู้หมวดระริน ที่มองหนุ่มตี๋แว่นอยู่ก่อนแล้ว ทำหน้าเหนื่อยหน่ายออกไปให้เห็น แต่ก็ยกขวดเหล้ารินใส่แก้วในมือหนุ่มตี๋แว่นนั่นให้ “เพียว ๆ นะ ไม่มีน้ำแข็ง” แทนคำตอบ หนุ่มตี๋แว่นยิ้มกว้างรับ มองไปที่น้ำสีอำพันสวยในแก้วนั้น “กำลังคอแห้งเลย” ไม่ต้องคะยั้นคะยอ หนุ่มตี๋แว่นยกแก้วเหล้านั้นขึ้นดื่มอึกใหญ่

“โอเคขึ้นแล้วใช่มั้ยครับ” หนุ่มตี๋แว่นถาม ก่อนทำท่าเหวี่ยงหมัดตรงไปข้างหน้า พร้อมทำเสียงหมัดลุ่น ๆ ปลิวไปในอากาศ ก่อนจะทำหน้าตาเหยเก เหมือนกับว่าตัวเองโดยชกเข้าที่ใบหน้านั่นเสียเอง “กระโดดปล่อยหมัดกลางอากาศ อย่างโหด” หนุ่มตี๋แว่นพูดด้วยอาการกลั้วหัวเราะ พลางลูบแขนไปมา แสดงอาการหวาดหวั่นอีกฝ่ายแบบทีเล่นทีจริง ผู้หมวดระรินไม่ได้ตอบอะไรออกไป แค่ยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มลงคอไปอึกใหญ่

“คิดว่าเขาคนนั้นสมควรโดนแล้ว ผมเดาถูกมั้ย” หนุ่มตี๋แว่นพูดยิ้ม ๆ ผู้หมวดระรินดื่มเหล้าอีกอึกใหญ่ ก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ “แล้วนี่หาบาร์นี้เจอได้ยังไง” หมวดรินถามกลับอีกฝ่ายไป “ผมแค่อยากหาที่กินเหล้า” หนุ่มแว่นตี๋หน้าตาดีพูด หมวดรินหรี่ตามองอีกฝ่าย ที่ท่าทางตอนนี้มีพิรุธ “โอเคครับ โอเค” หนุ่มตี๋แว่นวางแก้วลง ก่อนทำท่ายกมือยอมจำนนต่อหลักฐาน “เรื่องอยากหาที่นั่งดื่มก็เรื่องหนึ่ง” หมวดรินสบตากับหนุ่มคนนี้

“ใจจริงผมอยากจะมาบาร์นี้ตั้งนานแล้ว” ราวกับว่าเป็นคำสารภาพออกมาจากปากของหนุ่มตี๋แว่น ที่ตอนนี้สีหน้าเหมือนเด็กน้อยที่ถูกจับได้ว่าแอบกินขนม “บาร์นี้เด่นที่สุด ตอบโจทย์ที่สุดแล้ว ถ้าจะพูดถึงฝั่งถนนด้านนี้นะ” หนุ่มตี๋แว่นทำแก้เขินด้วยการยกแก้วเหล้าขึ้นจิบ “แต่ก็เป็นบาร์ที่ต้องอาศัยความใจกล้าเป็นอย่างมาก ที่จะเดินมาจนถึง แล้วก็พาตัวเองเข้ามาสั่งเหล้านั่งดื่มในนี้” ผู้หมวดระรินฟังสิ่งที่อีกฝ่ายอธิบายมา

“แล้วคิดยังไงถึงตัดสินใจมาคืนนี้” ผู้หมวดระรินถามออกไป “ถ้าผมไม่มาคืนนี้ ก็ไม่น่าจะโชคดี ได้เห็นอะไรดี ๆ แบบนี้” หนุ่มตี๋แว่นชี้นิ้วไปที่ชุดนางโชว์ที่หมวดระรินใส่ แต่ไม่ได้สวมวิกอย่างที่ควรจะเป็นตั้งแต่แรก “ตำรวจต้องทุ่มเทกันขนาดนี้เลย ผมก็เพิ่งได้มาเห็นด้วยตัวเอง ถือเป็นบุญตาที่สุด” เสียงพูดกลั้วหัวเราะ อย่างจงใจกระเซ้าเย้าแหย่ผู้หมวดออกมาตรง ๆ โดยที่ผู้หมวดระรินได้แต่ยักไหล่ให้เท่านั้น

“อยากถามว่ามันเรื่องอะไรกัน แต่น่าจะถามไม่ได้ หรือว่าได้ครับ” หนุ่มหน้าตี๋ทำตาแบบอยากรู้มาก ว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่นี่ในคืนนี้ แต่ผู้หมวดระรินก็ทำส่ายหน้า ไม่ได้พูดอะไรที่เป็นเรื่องของทางราชการออกไป “ที่บอกว่าตั้งใจจะมาหาเหล้ากินที่บาร์นี่” หมวดระรินถามด้วยอาการไม่ได้ปิดบังอะไร “จะบอกว่าไม่ชอบบาร์เบียร์ฝั่งโน้นใช่มั้ย” หนุ่มตี๋ยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มพอดี ที่ได้ยินคำถามนั้น

“คือผม” ท่าทางลังเลที่จะตอบออกมาจากปาก “ก็ถ้าไม่ชอบบาร์เบียร์ฝั่งโน้น ถ้าอย่างนั้น” หมวดระรินยื่นหน้าเข้าใกล้กับหนุ่มตี๋แว่น อีกเพียงนิดเดียว ริมฝีปากของทั้งสองคน ก็จะสัมผัสกันแล้ว “ใช่ครับ” หนุ่มตี๋แว่นตอบกลับ หลังจากที่ยื่นหน้าเข้าหาผู้หมวดแล้วแนบริมฝีปากจนแนบชิดในทันที “เคยมีเซ็กส์เพราะต้องการระบายอารมณ์โกรธมั้ย” ผู้หมวดระรินถามออกไป ยื่นมือไปวางที่หว่างขาของอีกฝ่าย

“มันมีครั้งแรกสำหรับทุกสิ่ง” คำตอบดังกลับมาจากชายหนุ่มตี๋ใส่แว่นหน้าหล่อ ก่อนที่ทั้งสองคนจะตรงเข้าหากัน เริ่มจูบกันอย่างดูดดื่ม “ไม่มีใครจะมาเจอเราใช่มั้ยครับ” หนุ่มตี๋แว่นถามขึ้น ตอนเห็นหมวดระรินรีบแกะกระดุมเสื้อเชิ้ตของอีกฝ่ายออก “เอ่อ คือว่า” ก่อนจะมองไปรอบ ๆ ตัว เพื่อหาคำตอบให้กับคำถามนั้น

“ในห้องเก็บของนั่นแล้วกัน” ทั้งสองคนรีบเดินเข้าไปด้านในห้องนั้น ผู้หมวดระรินเดินไปยืนพิงโต๊ะตัวใหญ่ที่อยู่ตรงกลางห้อง ส่วนหนุ่มตี๋แว่นที่ยืนอยู่ที่ประตู ใช้นิ้วกดล็อกให้แน่ใจว่า จะไม่มีใครเปิดประตูพรวดพราดเข้ามาเจอว่า พวกเขาสองคนกำลังทำอะไรสนุก ๆ กันอยู่ ก่อนที่หนุ่มตี๋แว่นจะเดินไปหาหมวดระริน

“ผมยังไม่ได้บอกชื่อให้คุณตำรวจรู้เลย” หนุ่มตี๋แว่นพูดขึ้น เมื่อมองเห็นเข็มขัด ตามด้วยกางเกงของตัวเอง หลุดออกจากตัวแล้วลงไปกองอยู่ที่พื้นด้านล่าง “จำเป็นด้วยหรือ” ผู้หมวดระรินถาม แบบไม่ได้ต้องการคำตอบอยู่แล้ว หนุ่มตี๋แว่นยิ้มเมื่อได้ยินผู้หมวดรินพูดมาแบบนั้น “ถ้างั้น” ผู้หมวดระรินมองหนุ่มตี๋แว่นดึงกางเกงชั้นในสีดำของตัวเองลงไปค้างอยู่แค่หัวเข่า เผยให้เห็นความยาวแท่งทวนที่ตั้งชี้มาทางอีกฝ่าย

ชายหนุ่มหน้าตี๋ใส่แว่นส่งเสียงร้องออกมาอย่างสุขสม เมื่อความยาวทั้งหมดที่เขามี หายเข้าไปในช่องทางของอีกฝ่ายจนตัวเขาเองก็ต้องขบกรามจนแน่น ผู้หมวดระรินเกร็งตัวรับความเจ็บผสมความคับแน่นเต็มช่องทางไปหมดนั้นเอาไว้ มือข้างหนึ่งบีบเอาแขนที่มีรอยสักยาวของอีกฝ่ายเอาไว้ เป็นสัญญาณว่าตัวเองยังไม่พร้อม ทางฝ่ายหนุ่มตี๋แว่นก็อย่าเพิ่งขยับตัว รออยู่อึดใจหนึ่ง เมื่อความเจ็บหนึบนั้นคลายลง

หนุ่มตี๋แว่นขยับเอวใส่ผู้หมวดระรินแบบไม่ยั้ง เมื่อตอนนี้รู้สึกได้ว่า อีกฝ่ายนั้นไม่ได้เกร็งร่องแห่งความสุข เพื่อต่อต้านความแข็งแน่นที่รุกล้ำเข้ามาอีกต่อไป แต่หนุ่มตี๋แว่นกลับเห็นอีกฝ่ายหน้าตาเหยเก กัดฟันกรอดก็จริง แต่ก็เร่งเร้าให้หนุ่มตี๋แว่น เพิ่มความเร็วและความแรงกระแทกกระทั้นให้เพิ่มมากขึ้น โดยที่หนุ่มตี๋แว่นเองก็ทำตามความต้องการนั้นของอีกฝ่ายอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

รู้ตัวอีกที ทั้งหนุ่มตี๋แว่นและผู้หมวดระรินก็เหนื่อยหอบ เมื่อทั้งสองคนถึงจุดแห่งความหฤหรรษ์ แล้วปล่อยให้น้ำขาวข้นเคลื่อนตัวออกมากันทั้งคู่ ผู้หมวดระรินบอกให้หนุ่มตี๋แว่นถอนเอาแท่งทวนนั้นออก ก่อนจะดึงชั้นในของตัวเองขึ้นมาใส่ หนุ่มตี๋แว่นก้มลงหยิบเอากางเกงของตัวเองขึ้นมาใส่เช่นกัน ก่อนที่อะไรบางอย่างจะหล่นลงมาบนพื้นห้อง แล้วกลิ้งหลุน ๆ มาหยุดอยู่ที่ด้านหน้าของหมวดระริน ที่ยืนหันหลังให้กับชายหนุ่มอยู่

“อีกอย่างนะหมวด” เสียงหัวหน้าฝ่ายนิติเวชพูดขึ้น “พี่ว่ามันเป็นหลักฐานสำคัญอย่างหนึ่ง แต่มันถูกเอาออกจากสำนวนการสืบสวน” ผู้หมวดระรินไล่สายตาอ่านบนกระดาษเอกสารของทางนิติวิทยาศาสตร์ “ที่เกิดเหตุของเคสฆาตกรรมนางโชว์ ในทุกเคส พบลูกอมตกอยู่” ผู้หมวดรินเงยหน้าขึ้นสบตากับหัวหน้าทีมนิติเวช “พี่เคยทำหนังสือแย้งไปแล้ว แต่ก็ไม่เป็นผล ทางทีมนั้น เขาบอกว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ ไม่มีอะไรสำคัญเกี่ยวกับคดี” ผู้หมวดระรินนึกถึงสิ่งที่หัวหน้าทีมนิติเวชได้บอกเอาไว้

“ว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาดแล้วเชียว” น้ำเสียงของหนุ่มตี๋แว่นที่ยืนอยู่ด้านหลังของผู้หมวดระริน ฟังดูเปลี่ยนไป ผู้หมวดระรินนึกถึงปืนสำรองที่ต้นขาของตัวเอง แต่ก็ต้องนึกอยากจะเขกหัวตัวเอง “เวลาคนเอากัน ก็ต้องถอดปืนวางเอาไว้ให้ปลอดภัยก่อน” ผู้หมวดระรินเมื่อหันกลับมาทางหนุ่มตี๋แว่น ก็รู้สึกถึงความเย็นของปากกระบอกปืน แนบเข้าที่กลางหว่างคิ้วของตัวเองอย่างพอดิบพอดี

“ชู่” หนุ่มตี๋แว่นทำเสียงออกมาเบา ๆ ห้ามผู้หมวดรินไม่ให้ส่งเสียงดัง เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนเดินอยู่ในบาร์ด้านนอกห้องเก็บของ ผู้หมวดระรินต้องยอมเดินถอยหลัง เมื่อหนุ่มตี๋แว่นเอาปลายกระบอกปืน ดันหน้าผากของอีกฝ่ายให้เดินจนหลังไปแนบกับกระจกของห้องเก็บของนั้น ที่ทำเอาไว้เป็นกระจกที่สามารถมองออกไปเห็นภาพด้านนอกได้ แต่คนที่อยู่ด้านนอกจะมองเห็นเป็นแค่เพียงกระจกเงาธรรมดาเท่านั้น

“ริน คุณอยู่ในห้องเก็บของใช่มั้ย” เสียงผู้กองอติดังมาจากด้านนอก ภาพที่มองจากด้านในห้อง มองเห็นผู้กองอติใช้มือเขย่าที่เปิดประตู แต่ก็เปิดไม่ออก เพราะถูกล็อกจากด้านใน “ไม่เอาน่า รินก็รู้ว่าผมคิดยังไงกับริน” ผู้หมวดระรินทำหน้านิ่ง เมื่อเห็นหนุ่มตี๋แว่น ทำหน้าเศร้าแทน จากที่ทั้งสองคน ผู้กองอติและผู้หมวดระรินมีปัญหาขัดแย้งกัน “ตอนอยู่ที่โรงเรียนนายร้อย รินก็น่าจะรู้แล้วนี่นา ว่ารินต้องการผม รินต้องมีผม รินถึงจะก้าวหน้าได้” เสียงพูดของผู้กองอติ ทำให้หนุ่มตี๋แว่นส่ายหน้าด้วยความเอือมระอา

“ส่วนเรื่องวันนี้ ถ้ารินยอมพูดขอโทษผมต่อหน้าลูกทีมของริน ผมรับรองเลยว่าผมจะไม่เอาเรื่องริน” ผู้กองอติเอง พูดด้วยความที่ตัวเองรู้ดีว่า กำลังถือไพ่เหนือกว่าอีกฝ่ายอยู่ “ผมจะไม่รายงานรินกับท่านผู้การ แต่นั่นมันก็ต้องมาด้วยของแลกเปลี่ยน” ผู้กองอติพูดด้วยใบหน้าสะใจ “รินต้องอยู่ใต้ผมไปก่อน รอให้ผมได้เลื่อนขั้นไปเป็นสารวัตร แล้วตอนนั้นผมจะพิจารณาเลื่อนให้ริน ได้เป็นผู้กอง” ระรินมองเห็นหนุ่มตี๋แว่น ทำอ้าปากค้างแบบไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน

“รินอย่าเลือกทางที่มันทำให้รินเดินต่อไปลำบาก หรือไม่เช่นนั้น ก็เดินต่อไปไม่ได้ เลยนะ” ระรินมองหนุ่มตี๋แว่นเลื่อนปากกระบอกปืนออกจากหว่างคิ้วของผู้หมวด ก่อนจะย้ายไปจ่ออยู่ที่ใบหน้าของผู้กองอติ ที่กำลังแนบหน้าของตัวเองกับกระจกด้านนอก เหมือนพยายามมองเข้ามาด้านในห้องเก็บของ ทั้ง ๆ ที่ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ “เลือก” ชายหนุ่มตี๋ใส่แว่นหน้าตาดีกระซิบบอกกับผู้หมวดระริน กับปืนที่สามารถระเบิดสมองผู้กองอติได้ไม่ยาก กับลูกอมที่ถูกเอามาจ่ออยู่ที่ริมฝีปากของผู้หมวดระรินเอง

********************************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาไทย โดย KADUMPA

CANDYMAN - Christina Aguilera

https://www.youtube.com/watch?v=8vfY1Y369OE


Tarzan and Jane were swingin' on a vine

ทาร์ซานกับเจนสุดเหวี่ยงกันบนเถาวัลย์

Candyman, Candyman

ผู้ชายรสหวาน ผู้ชายวาบหวาม

Sippin' from a bottle of vodka double wine

ยกกระดกดื่มจากขวดผสมกันวอดก้าและไวน์

Sweet sugar, Candyman

หวานล้ำ หนุ่มรสลูกกวาด


I met him out for dinner on a Friday night

ฉันออกไปทานดินเนอร์กับเขาในคืนวันศุกร์

He really had me workin' up an appetite

เขาเพิ่มความอยากอาหารให้ฉันเป็นอย่างมาก

He had tattoos up and down his arm

ดูรอยสักที่พาดไปตามวงแขนของเขานั่นสิ

There's nothin' more dangerous than a boy with charm

ไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยเสน่ห์แล้วล่ะ


He's a one-stop shop, makes the panties drop

ทุกอย่างมารวมอยู่ที่ตัวเขา และทำให้ชั้นในร่วงหล่น

He's a sweet-talkin', sugar-coated Candyman

เขาทั้งพูดจาดี ฟังแล้วรื่นหู ผู้ชายน้ำตาลเชื่อม

A sweet-talkin', sugar-coated Candyman

เขาพูดอีกก็ถูกอีก ผู้ชายน้ำอ้อยคั้นสด


He took me to the Spider Club at Hollywood and Vine

เขาพาฉันไปคลับเต้นรำที่ฮิปที่สุดในตอนนี้

We drank champagne and we danced all night

แชมเปญสั่งมาดื่มกันไม่อั้น กับการโยกย้ายส่ายสะโพกทั้งคืน

We shook the paparazzi for a big surprise (for a big surprise)

พวกแอบตามถ่ายรูปคงตะลึงงงงันกันใหญ่

The gossip tonight will be tomorrow's headline

คงนินทาซุบซิบกันคืนนี้ แล้วพาดหัวใหญ่ในตอนเช้า


He's a one-stop shop, makes my cherry pop

เขาคนเดียวรับจบทุกอย่าง ทำให้ฉันยอมขึ้นเตียงด้วย

He's a sweet-talkin', sugar-coated Candyman

เขาทั้งพูดจาดี ฟังแล้วรื่นหู ผู้ชายน้ำตาลเชื่อม

A sweet-talkin', sugar-coated Candyman

เขาพูดอีกก็ถูกอีก ผู้ชายน้ำอ้อยคั้นสด


He's a one-stop shop, makes my cherry pop

เขาคนเดียวรับจบทุกอย่าง ทำให้ฉันยอมขึ้นเตียงด้วย

He's a sweet-talkin', sugar-coated Candyman

เขาทั้งพูดจาดี ฟังแล้วรื่นหู ผู้ชายน้ำตาลเชื่อม

A sweet-talkin', sugar-coated Candyman

เขาพูดอีกก็ถูกอีก ผู้ชายน้ำอ้อยคั้นสด


Well, by now I'm getting all bothered and hot

มาถึงตอนนี้ฉันก็เริ่มทนไม่ไหวและต้องการเขาอย่างมาก

When he kissed my mouth, he really hit the spot

ตอนที่เขาจูบปากฉัน เขาเหมือนกดปุ่มเปิดสวิทช์ให้

He had lips like sugar cane

รสจูบของเขาก็ช่างหวานล้ำดั่งอ้อยควั่น

Good things come for boys who wait

ของดีดีมันมาหาหนุ่มหนุ่มที่คอยเป็นเสมอ


Tarzan and Jane were swingin' on a vine

ทาร์ซานกับเจนสุดเหวี่ยงกันบนเถาวัลย์

Candyman, Candyman

ผู้ชายรสหวาน ผู้ชายวาบหวาม

Sippin' from a bottle of vodka double wine

ยกกระดกดื่มจากขวดผสมกันวอดก้าและไวน์

Candyman, Candyman

หนุ่มลูกอด พ่อหนุ่มลูกกวาด


(Sweet sugar, Candyman)

หวานล้ำ พ่อหนุ่มแสนหวาน

He's a one-stop, gotcha hot, makin' all the panties drop

เขาคือหนึ่งเดียว ทำให้เร่าร้อน แล้วก็ร้อนรนถอดชั้นในรอ

(Sweet sugar, Candyman)

หวานล้น พ่อหนุ่มแสนหวาน

He's a one-stop, got me hot, making my (uh) pop

เขาคือคนนั้น ทำให้ฉ่ำแฉะ แล้วทำให้นั่นน่ะ อ้าออก

(Sweet sugar, Candyman)

หวานรัก พ่อหนุ่มแสนหวาน

He's a one-stop, get it while it's hot, baby, don't stop

เขารับงานเอ็น ตีเหล็กตอนยังร้อน เอาเลยมาเลย อย่าหยุด

(Sweet sugar)

หอมอร่อย


He got those lips like sugar cane

รสจูบของเขาก็ช่างหวานล้ำดั่งอ้อยควั่น

Good things come for boys who wait

ของดีดีมันมาหาหนุ่มหนุ่มที่คอยเป็นเสมอ


He's a one-stop shop with a real big

มาหาเขาที่เดียวแล้วได้ครบจบที่ของอวบใหญ่

He's a sweet-talkin', sugar-coated Candyman (say what?)

พูดจาดี ฟังไพเราะ หวานเสนาะ จริงมั้ย

A sweet-talkin', sugar-coated Candyman (say!)

พูดจาฟังดูดี ฟังแล้วเพลินใจ

Sweet-talkin', sugar-coated Candyman (woo!)

พูดจาฟังแล้วเพลิดเพลิน ฟังแล้วจำเริญใจ

Sweet-talkin', sugar-coated Candyman (hey!)

พูดจาฟังแล้วเคลิบเคลิ้ม ฟังแล้วยอมให้


Tarzan and Jane were swingin' on a vine

ทาร์ซานกับเจนสุดเหวี่ยงกันบนเถาวัลย์

Sippin' from a bottle of vodka double wine

ยกกระดกดื่มจากขวดผสมกันวอดก้าและไวน์

Jane lost her grip and a-down she fell

เจนนั้นพลาดหลุดมือจับเถาวัลย์ดันตกลงไป

Squared herself away as she let out a yell

พยายามคว้าเอาไว้จัดการตัวเองขณะที่ส่งเสียงร้องดังลั่นออกไป

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด