ตอนที่ 13 ของสำคัญที่จากไป
ปัญจวีส์นึกสงสัยตั้งแต่แรกแล้วว่าทำไมพี่ชายของเขาถึงได้มาปรากฏตัวที่ตึกคณะของเขาได้ ถึงแม้เหตุผลที่บอกว่าจะมานัดวันไปตรวจเลือดกับเพื่อนของเขาก็พอจะรับฟังได้อยู่บ้าง แต่ก็สามารถนัดแนะกันผ่านโทรศัพท์ได้ ไม่จำเป็นจะต้องมาให้เห็นตัว และเมื่อบอกไปว่าเพื่อนของเขาไม่อยู่แล้วก็ดูเหมือนจะทำใจยอมรับสภาพได้ แต่เมื่อรู้ว่าเพื่อนของเขาไปไหนก็รีบวิ่งออกไปในทันที มันชวนให้ดูน่าสงสัยเป็นอย่างยิ่ง
ปัญจวีส์ฉุกคิดแล้วก็คว้าสิ่งของตัวเองแล้วก็รีบลุกขึ้นเดินตามพี่ชายของเขาไป ไม่ทันบอกกล่าวเพื่อนๆร่วมโต๊ะเลย ทุกคนทำได้แค่มองตามไล่หลังไปแบบงงๆว่าเกิดอะไรขึ้น
จุดหมายคือตึกคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีซึ่งเป็นคณะที่มีสาขาวิชามากที่สุดในมหาวิทยาลัย ทั้งจำนวนนักศึกษาและจำนวนอาคารก็มากตามไปด้วย ดังนั้นถึงจะรู้ว่าวีร์มาที่ตึกคณะนี้แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นส่วนไหนกันแน่ และจะให้ถามคนที่เดินผ่านไปผ่านมาก็คงจะไม่ได้อีก
ปัญจวีส์วิ่งมาถึงที่ด้านหน้าตึกคณะแล้วก็มองดูโดยรอบแต่ก็ไม่เห็นทั้งสองคน จึงวิ่งอ้อมไปด้านหลังตึกแต่ก็ไม่เห็นเช่นกันจึงเดินวนกลับมาด้านหน้าเหมือนเดิม มองซ้ายมองขวาเผื่อว่าจะเจอหน้าคนที่รู้จักบ้างก็ไม่มี เมื่อคิดไม่ออกบอกไม่ถูกก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
(ว่าพรือน้องบ่าว) เสียงตอบรับจากปลายสายกลับมาแทบจะทันทีที่โทรออกไป
“เจ้าสัวกับวีร์เขามีเรื่องอะไรกันรึเปล่า” ปัญจวีส์ถามกลับไปโดยที่ยังมองหาอยู่ตลอด
(เรื่องอะไร ถามทำไมวะ) วิธูตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงน่าสงสัย
“ไม่รู้เหมือนกัน เมื่อกี้เจ้าสัวมาหาวีร์ที่คณะแต่ไม่เจอ พอแพรบอกว่าวีร์เดินมาที่ตึกวิทยาฯ เจ้าสัวก็รีบวิ่งออกไปเลย” ปัญจวีส์เล่าให้ฟังด้วยความตื่นเต้น
(แล้วไงวะ) วิธูถามกลับแต่ว่าไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นตามไปด้วย
“ก็ไม่รู้เหมือนกัน มันรู้สึกแปลกๆ” ปัญจวีส์ยังรู้สึกคิดติดในใจไม่คลายออก
(แล้วเจ้าสัวมาหาไอ้อ้วนทำไมวะ)
“เห็นว่าจะมานัดวันไปตรวจเลือดอีกรอบ” ปัญจวีส์ป้องปากพูดกลัวว่าคนอื่นจะได้ยินเรื่องสำคัญ
(แล้วมันแปลกๆตรงไหน)
“ไม่รู้ บอกไม่ถูก” ปัญจวีส์ได้ยินเสียงถอนหายใจของวิธูดังลอดผ่านโทรศัพท์มา
(แล้วนี่มึงอยู่ไหน)
“อยู่ที่ตึกวิทยาฯ กำลังดูอยู่ว่าพวกเขาอยู่ไหนกัน เดี๋ยวปันปันจะลองเดินไปดูด้านหลังอีกรอบ” ปัญจวีส์เดินลัดเลาะตัวอาคารไปทางด้านหลัง แล้วก็เดินหาไปทั่วบริเวณแต่ก็ไม่เห็นทั้งพี่ชายและเพื่อนของเขา แต่ตอนที่กำลังจะเดินกลับไปนั้นก็หันไปเห็นทั้งสองคนพอดี จึงรีบแอบหลบมุม
“ต่าย เจอแล้ว แต่เจ้าสัวเป็นอะไรไม่รู้ วีร์กำลังพาเจ้าสัวไปนั่ง” ปัญจวีส์กระซิบด้วยความตกใจ
(ยังไงวะ) ครั้งนี้วิธูมีน้ำเสียงตกใจตามปัญจวีส์ไปด้วย
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่วีร์ลุกไปไหนไม่รู้” ปัญจวีส์ยังคงแอบดูอยู่ที่ตำแหน่งเดิม
(เอ้า มึงเข้าไปดูดิ๊ เผื่อเป็นอะไร)
“เดี๋ยวก่อน วีร์กลับมาแล้ว ถือแก้วน้ำหวานมาด้วย” ปัญจวีส์ที่กำลังจะลุกออกไปแต่ก็รีบแอบซ่อมตัวตามเดิมและคอยรายงานสถานการณ์อยู่ห่างๆ “เหมือนเจ้าสัวจะดีขึ้นนะ”
(สรุปว่าไม่เป็นอะไรแล้วใช่มั้ย)
“น่าจะมั้ง”
(นี่มึงยังไม่เข้าไปดูอีกเหรอวะ)
“เดี๋ยวก่อน เหมือนเขาจะทะเลาะกันอยู่นะ” ปัญจวีส์ยังคงเฝ้าสังเกตจากทางไกล คอยรายงานเป็นระยะ ส่วนทางด้านของวิธูก็เงียบเสียงไปคอยฟังเพียงอย่างเดียว “ใจไม่ดีเลย ไม่รู้คุยอะไรกันอยู่”
(ตอนนี้มึงอยู่ไหน) วิธูถามกลับมาหลังจากที่เงียบไปสักพักหนึ่ง
“ยังอยู่ที่ตึกคณะวิทยาฯ”
(กูหมายถึงว่ามึงอยู่ส่วนไหนของตึก) วิธูถามย้ำอีกครั้ง
“อ๋อ อยู่ด้านหลัง ตรงทางเชื่อมไปตึกแล็บ” ปัญจวีส์ยังคงมองทั้งคู่แบบไม่วางตา แล้วก็รู้สึกแปลกใจเมื่อเขาเห็นวีร์ถอดสร้อยออกมาแล้วยื่นให้กับพี่ชายของเขา ในใจก็รู้สึกลุ้นตามไปด้วยว่าจะเกิดอะไรขึ้น จนวีร์สวมสร้อยเส้นนั้นให้กับพี่ชายของเขา และภาพต่อจากนั้นก็เกือบจะทำให้เขาร้องเสียงดังออกมาถ้าไม่โดนปิดปากเสียก่อน
“เงียบๆ เดี๋ยวเขาก็รู้ตัวหรอก” วิธูปรามด้วยเสียงเบาๆ ก่อนที่จะคลายมือออกเมื่อเห็นว่าปัญจวีส์สงบจิตสงบใจตัวเองได้แล้ว
“นี่เขา... แล้วรึเปล่า” ปัญจวีส์ตบมือเบาๆโดยที่ยังถือโทรศัพท์ไว้อยู่
“มั้ง ดูท่าทางแล้วก็น่าจะใช่” วิธูมองด้วยสีหน้ากระหยิ่มยิ้ม “พี่ชายเรานี่ก็ใช่ย่อย เจ๋งจริง” วิธูมองดูพี่ชายและเพื่อนของเขากำลังหยอกล้อสนุกสนานกันเพลินๆ ก็หันมามองดูปัญจวีส์ว่าทำไมถึงได้เงียบไป “ทำอะไรวะ”
“กำลังโพสส่งข่าวนี้ไง” ปัญจวีส์ยื่นโทรศัพท์ให้วิธูสิ่งที่เขาเพิ่งจะลงข้อความไปในชื่อของ
Apollo20“เฮ้ย ลบเลยมึง เดี๋ยวไอ้อ้วนมาเห็นเดี๋ยวมึงจะโดนเตะก้านคอ เผลอๆมันบอกเลิกเจ้าสัวด้วย” น้ำเสียงของวิธูนั้นดูจริงจัง ไม่ใช่แค่ขู่เล่นๆ
ปัญจวีส์ถึงกับหน้าถอดสี แต่การแจ้งเตือนที่คนคนมากดถูกใจและตอบกลับเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆไม่หยุด
“ทำไงดี ทั้งไลค์ทั้งโควตทั้งรีพลายมาเต็มเลย”
“ลบเดี๋ยวนี้ แล้วไม่ต้องไปทำอะไรอีก” วิธูบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่นให้ปัญจวีส์ทำตามโดยทันที ปัญจวีส์ก็เชื่อฟังลบข้อความทิ้งไปแต่โดยดี ยังมีการส่งข้อความมาถามจากคนอื่นๆเข้ามาไม่หยุด
“เอาไงดีอะ” ปัญจวีส์ถามความเห็นจากวิธู
“ปล่อยมึนไปเลย ไม่ต้องไปตอบกลับอะไรทั้งนั้น” วิธูส่ายหน้าเบาๆ แล้วก็หันไปมองวีส์และวีร์ที่พากันลุกขึ้นเดินออกไปแล้ว
*****
สรุปว่าไง เราจะเปลี่ยนจาก #VVGo4Launch เป็น #VVLiftOff แน่นอนแล้วใช่มั้ย
รู้สึกเหมือนปล่อยยานชาเลนเจอร์ กำลังพุ่งขึ้นไปได้ดีแล้วก็แตกโพล๊ะกลางอากาศ เศร้าใจ
เราหลังไมค์ไปหา Apollo20 หลายรอบแล้วนะ แต่เขาไม่ตอบกลับเลย
แต่ข่าววงในจากแอคนี้เชื่อถือได้มาตลอดเลยนะ ครั้งนี้ก็น่าจะมีมูลอยู่นะ #VVLiftOff*****
ช่วงเวลาที่จะได้พบปะผู้คนเป็นเรื่องยากลำบากนอกเสียจากว่าจะเป็นเพื่อนร่วมห้องสอบก็มาถึง หลายคนจึงมุ่งความสนใจไปกับการเตรียมเนื้อหาสำหรับการสอบวัดผล แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเลยสำหรับคนที่ยังสบายอกสบายใจจนกระทั่งวันท้ายๆของการสอบ
วีร์เดินลงมาจากตัวอาคารพร้อมกับแพรวาและดวงใจ แล้วก็ไปนั่งที่โต๊ะม้าหินรวมตัวกับปัญจวีส์ที่ออกมาจากห้องสอบก่อนพวกเขา แต่ว่าปัญจวีส์เองก็ไม่ได้นั่งรออยู่คนเดียวลำพัง
“โจ๊กกับโชกุนยังไม่ออกมาเหรอ” วีร์ถามปัญจวีส์ไปถึงฐานันดรและไร้พ่ายที่สอบคนละห้องกัน
“ยังเลย” ปัญจวีส์ตอบกลับพร้อมกับขยับตัวเปิดพื้นที่ว่างให้กับเพื่อนๆ
“แล้วนี่มึงมาทำอะไรนิ สอบเสร็จแล้วเออ” วีร์ก็หันไปถามบุคคลที่สาม
“กูสอบเสร็จหมดตั้งหลายวันแล้ว นี่รออีดำอยู่” วิธูยืดแขนยืดขาบิดตัวแก้เมื่อยที่ต้องรออยู่นานแล้ว
“แล้วอีพริกยังอยู่มั้ยนิ หรือว่าหลบบ้านแล้ว”
“น่าว่านะ” วิธูขมวดคิ้วคิดเพราะเขาเองก็ไม่แน่ใจ “ตามจริงก็บอกมันแล้วว่ากลับพร้อมกันก็ได้ สงสัยผัวมันรออยู่แหงๆ”
วีร์ก็พยักหน้ารับรู้แล้วก็หันไปคุยกับแพรวาและดวงใจ นัดแนะกันสำหรับการสอบวิชาสุดท้ายในวันพรุ่งนี้ ส่วนสองพี่น้องก็หันมามองหน้าส่งสัญญาณลับกันสองคน เกี่ยงกันไปมา ในที่สุดปัญจวีส์ก็ยอมแพ้และเป็นฝ่ายเริ่มก่อน
“วีร์ ปันปันถามอะไรหน่อยสิ”
วีร์หันกลับมามองด้วยความสงสัยท่าทางที่ดูแปลกๆจากเพื่อนทั้งสองคน
“สมมติว่า...” ปัญจวีส์ลองเสี่ยงส่งสายตาโยนวิธู แต่ก็ไม่เป็นผล จึงได้เอ่ยปากเอง “ถ้าวีร์จะต้องเลือกอย่างนึง วีร์จะเลือกอะไร ระหว่าง... กิจการเรืองฤทธิ์” ปัญจวีส์ผายมือข้างหนึ่งออกไปทางวิธู
“แล้วก็... ล้ำเลิศรัตนทรัพย์” คราวนี้เป็นวิธูที่เผยตัวเลือกที่สองพร้อมกับชี้นิ้วไปที่ปัญจวีส์
“หรือว่า... เนื้อนาดี” ปัญจวีส์ปิดด้วยตัวเลือกที่สาม
วีร์มองวิธูและปัญจวีส์สลับไปมา ถึงแม้ว่าไม่พูดรายละเอียดอะไรไปมากกว่านี้ แต่จากตัวเลือกที่บอกมาก็พอจะเดาได้ว่าหมายถึงอะไร ทั้งวิธูและปัญจวีส์ต่างก็ลุ้นรอคำตอบ
“ต้องเลือกอย่างนึงนะเหรอ...” วีร์ถามกลับซึ่งทั้งสองคนก็พยักหน้าตอบกลับ และรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ “ถ้าต้องเลือกจริงๆก็... วรรัญญา”
วิธูและปัญจวีส์หันมามองหน้ากันเอง ถึงตัวเลือกทั้งสามจะถูกปัดตกไป แต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้ดูผิดหวังอะไร
“จริงๆก็ไม่ติดอะไรนะ” วิธูเริ่มพูดออกมาก่อน
“ใช่ ไม่มีปัญหาอะไรเลย เพราะว่าพี่ใช้มาสามนามสกุลแล้ว เปลี่ยนอีกทีก็ยังได้” ปัญจวีส์ก็เห็นคล้อยตามไปได้
ส่วนวีร์ก็นั่งงงเพราะว่ามันผิดไปจากที่เขาคิดเอาไว้ เพราะคิดเอาว่าสองพี่น้องจะหมายถึงตัวเขาเสียอีก
“วีส์ วรรัญญา” วิธูพึมพำซ้ำไปซ้ำมา
ถึงแม้ว่าจะออกเสียงเหมือนกัน แต่วีร์ก็รู้ว่าชื่อที่วิธูกำลังท่องอยู่นั้นไม่ใช่ชื่อของเขาแน่นอน
“วีส์ วรรัญญา กับ วีร์ วรรัญญา ก็เข้าท่าดีนะ”
“ใช่ เดี๋ยวเอาไปบอกพี่ว่าไอ้อ้วนมันชอบแบบนี้กัน”
วีร์ถอนหายใจแล้วก็ส่ายหน้าเบาๆกับความคิดของสองพี่น้อง
“อย่าสร้างเรื่องขึ้นมาหล่าวตะ แค่นี้ก็รำคาญอีตายแล้ว วันนี้ก็โดนถามไปสามหนแล้ว”
ไม่ทันขาดคำก็มีเสียงเรียกชื่อทำให้วีร์หันไปหาต้นทางของเสียง เห็นเป็นสองสาวเพื่อนร่วมคณะกำลังเดินมาหากลุ่มพวกเขา
“วีร์ เราถามอะไรหน่อยสิ วีร์กับพี่วีวิดยาคบกันแล้วเหรอ” เธอถามด้วยน้ำเสียงจริงใจอยากรู้อยากเห็น ไม่ใช่สอดรู้สอดเห็น
“เอ่อ เปล่านะ” วีร์พยายามตอบกลับไปแบบไม่ให้ดูรู้ว่ากำลังตะขิดตะขวงใจ ระหว่างตอบให้มันจบๆไปกับไม่ได้อยากจะตอบอีกแล้วจะมาถามทำไมกัน
“อ้าวเหรอ เห็นเขาลือกันอยู่ ก็นึกว่าใช่ซะอีก” เธอดูมีสีหน้าผิดหวังแต่ก็ปรับเปลี่ยนกลับมาร่าเริงในทันใด “แต่เราเชียร์วีร์กับพี่วีอยู่นะ” เธอสิ่งยิ้มให้แล้วก็หันไปดีดดิ้นกับเพื่อนของเธอพอเป็นพิธีก่อนที่จะลาจากไป
วีร์ส่งยิ้มกลับไปแล้วก็หันกลับมาวิธูและปัญจวีส์พร้อมกับริมฝีปากที่หุบลง
“วันนี้โดนถามไปสี่หนแล้ว”
สองพี่น้องก็ยิ้มเจื่อนๆไปโดยเฉพาะปัญจวีส์ ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะยืนยันเป็นกระต่ายขาเดียวมาโดยตลอดว่าไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข่าวลือที่ว่านั่น แต่วีร์ก็พอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพียงแค่ไม่อยากคาดคั้นเอาความอะไรมาก แต่ก็คอยปรามไม่ให้เปิดประเด็นเพิ่มเติมขึ้นมาใหม่อีก
“โดนถามอะไรสี่หน”
มีเสียงดังมาจากด้านหลัง วีร์จะหันหน้าไปหาต้นเสียงแต่ก็โดนมือประคองหน้าให้หันกลับ และเมื่อหันกลับมาก็โดนประทับรอยที่แก้มอีกข้างหนึ่งพร้อมกับเสียงสูดหายใจ วีร์จึงดึงตัวเองออกห่าง
ปัญจวีส์ที่รีบลุกขึ้นเพราะโดนสะกิดให้ขยับตัว กำลังอ้าปากค้างขณะที่ย้ายไปนั่งกับวิธูที่มีอาการไม่ต่างกัน แต่ที่ดูจะตกใจมากกว่าใครก็คงเป็นแพรวาและดวงใจ
“อะไรของพี่เนี่ย” วีร์หันไปมองอย่างไม่พอใจแต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นโกรธรุนแรง
“เอาคืนก็ได้นะ จะได้เจ๊ากัน” วีส์ยิ้มแป้นแล้นหยอกล้ออย่างไม่เกรงกลัว
“มาทำอะไร สอบเสร็จแล้วเหรอครับ” วีร์ถามเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเอานั่งยิ้มเฉยๆอย่างเดียว
“เอานี่มาให้” วีส์ยื่นซองยาวสีขาวให้กับวีร์ “ค่อยเปิดดูที่บ้านก็ได้ แต่พี่แอบดูแล้ว ไม่มีอะไรให้กังวล”
วีร์รับซองมาโดยที่เข้าใจได้ทันทีว่าเป็นซองอะไร แล้วก็เก็บใส่เป้ให้เรียบร้อย และเมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มกำลังจ้องมองเขาอยู่
“มีอะไรอีกรึเปล่าครับ”
“แค่มาให้เห็นหน้าเฉยๆไม่ได้เหรอ” วีส์แกล้งทำหน้าตาเหมือนจะดูน้อยใจแต่ภาพรวมที่แสดงออกมามันไม่ได้เลย เมื่อเห็นวีร์มองตอบกลับมาโดยที่ไม่ได้คล้อยตาม วีส์ก็กลับมาทำตัวตามปกติ “จะถามว่าพรุ่งสอบเสร็จแล้วว่างรึเปล่า”
“ก็ว่างนะครับ ไม่ได้คิดไว้ว่าจะไปไหน”
“งั้นดีเลย อยู่รอก่อน เดี๋ยวจะมารับ”
“ไปไหนครับ” วีร์ถามกลับด้วยความสงสัย ถ้าจะเป็นเรื่องขับรถก็คงจะเป็นไปไม่ได้เพราะรถยนต์คันสีดำของวีส์ยังอยู่ที่อู่ซ่อม
“คุณยายพี่อยากเจอ” วีส์เฉลยคำตอบ
“คุณยาย” วีร์ถามกลับให้แน่ใจว่าทำไมคุณยายของสองพี่น้องถึงอยากจะเจอเขา ทั้งๆที่ไม่เคยได้เจอหน้ากันมาก่อนเลย ไม่ใช่แค่วีร์เท่านั้นที่สงสัย ปัญจวีส์เองก็ด้วยเช่นกัน
“คุณยายอังกาบ ไม่ใช่คุณยายยี่โถ”
คำตอบของชายหนุ่มร่างสูงทำให้วีร์เข้าใจแล้วว่าหมายถึงคุณนายใหญ่แห่งล้ำเลิศรัตนทรัพย์ หรือคุณย่าใหญ่ของนพชัยและชัยทิศ แต่ที่ยังไม่เข้าใจคือทำไมอังกาบถึงอยากจะพบตัวเขา
“ไอ้ปัน มึงก็ด้วย คุณยายฝากบอกมาว่าให้เข้าไปหาคุณยายด้วยกันเลย” วีส์หันไปบอกน้องชายร่วมมารดาของเขา
“ผมด้วยเหรอ” ปัญจวีส์ชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง พี่ชายของเขาก็พยักหน้าตอบยืนยัน ปัญจวีส์ก็นึกอยู่ในใจว่าอาจจะเข้าไปหาอังกาบก่อนในวันนี้เลยเพื่อถามไถ่เหตุผล จะได้เตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆก่อนที่จะพาวีร์ไปด้วยกันในวันหลัง
“ตกลงว่าไปนะ” วีส์หันกลับมาถามวีร์เพื่อยืนยันคำตอบ
“ก็ได้ครับ” วีร์ตอบตกลงไป เพราะว่าเป็นคำเชิญจากผู้ใหญ่ที่เคารพ และเขาก็ไม่มีข้ออ้างอะไรอื่นที่จะไปไม่ได้
วีส์ก็ยิ้มตอบรับเมื่อเด็กหนุ่มตอบตกลง
“แล้วพี่มีเรื่องอะไรอีกมั้ยครับ” วีร์ถามเมื่อเห็นว่าไม่มีใครพูดอะไรต่อ วีส์ก็หันหน้ามองเงยแล้วทำท่านึกคิด จากนั้นก็ส่ายหน้าตอบกลับ แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าอยากจะลุกไปไหน วีร์จึงถามต่อ “แล้วพี่จะเดินทางเมื่อไหร่”
“ก็... เดี๋ยววันมะรืนเข้ากรุงเทพฯไปค้างคืนนึงก่อน แล้วก็เดินทางวันรุ่งขึ้นเลย”
“แล้วกลับมาตอนเปิดเทอมเลยใช่มั้ยครับ”
“รู้สึกว่าจะเปิดเทอมไปแล้วอาทิตย์นึงด้วยมั้ง” เมื่อพูดจบแล้ววีส์ก็นั่งมองดูเด็กหนุ่มอยู่เฉยๆเผื่อว่าจะมีการต่อบทสนทนาอะไรกันอีก แต่แล้วก็ไม่มีอะไรเพิ่มเติม ต่างคนก็ต่างมองกันไปมา จนวีส์เริ่มรู้สึกว่าพอเอาเข้าจริงแล้ว เขาก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน ไม่รู้ว่าจะชวนคุยเรื่องอะไรกันดี ทั้งที่เคยเหย้าแหย่อีกฝ่ายได้ตลอดเวลามาก่อน
ส่วนเพื่อนร่วมโต๊ะคนอื่นๆ ไม่ว่าจะกำลังตั้งใจมองทั้งสองคนหรือไม่มองก็ตาม ต่างก็กำลังใจจดใจจ่ออยู่กับบทสนทนาของทั้งคู่ว่าจะคุยกันเรื่องอะไรบ้าง เพราะระดับภาษาและบรรยากาศดูเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนอยู่ไม่น้อย
“เออจริงสิ น้องแพร” วีส์เอียงตัวไปเรียกแพรวา แล้วก็กวักมือเรียกเด็กสาว “มานี่หน่อย มีอะไรจะบอก”
แพรวาก็หันกลับมาแบบงงๆ แล้วก็หันไปหาวีร์เพื่อความแน่ใจว่าเธอควรจะลุกขึ้นแล้วเดินไปหาชายหนุ่มรุ่นพี่หรือไม่ วีร์ก็พยักหน้าให้เธอทำตามที่บอก เมื่อได้รับการอนุญาตแล้วแพรวาก็ลุกขึ้นเดินไปหาวีส์ แต่ชายหนุ่มร่างสูงก็ไม่ได้บอกเธอทันที แต่กวักมือให้เธอขยับเข้าไปใกล้ๆอีกและเอามือป้องปากของเขาไว้ ราวกับว่าสิ่งที่ต้องการจะบอกนั้นเป็นความลับ
แพรวาตั้งใจฟังสิ่งที่วีส์กระซิบบอกให้ยินกันแค่พวกเขา จากที่ขมวดคิ้วเข้าหากัน จนดวงตาเปิดกว้าง แล้วก็เม้มปากปิดสนิท
“นะ น้องแพร” วีส์กลับมานั่งตัวตรงอย่างเดิมพร้อมกับส่งยิ้มให้กับเด็กสาว “พี่เป็นแค่คนส่งสาร อยากรู้อะไรก็... ไปถามมันเอาเองนะ”
แพรวามีท่าทางเขินอายแต่ก็พยายามเก็บรักษาอาการตัวเองให้เป็นปกติ แล้วก็กลับไปนั่งที่เดิม
“มีอะไรกันเหรอครับ ทำไมต้องเป็นความลับกันด้วย” วีร์ถามด้วยน้ำเสียงและท่าทางปกติสำหรับเขา ส่วนคนอื่นๆอาจจะตีความแตกต่างกันไปก็เป็นเรื่องของคนอื่น
“บอกไม่ได้ ไอ้พู่สั่งไว้” วีส์กระซิบตอบกลับ
“ห๊ะ พี่ช...” ยังไม่ทันจะได้ออกชื่อก็โดนเอามือปิดปากไว้เสียก่อน
“ชู่ว์...” วีส์ส่ายนิ้วชี้ห้ามไม่ให้เด็กหนุ่มพูดออกมา เมื่อเห็นว่าวีร์ไม่ได้จะพูดอะไรจึงเอามือออก
“แล้วพี่เขามีเรื่องอะไรกับเพื่อนผม” วีร์แอบกระซิบถามไม่ให้ใครได้ยิน
“อย่ารู้เลยเรื่องของเขาสองคน ขนาดเรื่องของเราสองคนยังไม่อยากให้ใครรู้เลย”
วีร์เหมือนจะตอบสวนกลับทันทีแต่ก็ชะงักไว้แล้วก็หันมองดูรอบๆว่ามีใครสนใจพวกเขาหรือไม่ แล้วก็หันกลับมาหาตัวปัญหาอีกครั้ง ก่อนที่จะส่ายหัวเล็กๆ แต่เมื่อคิดทบทวนคำพูดของชายหนุ่มร่างสูงแล้วก็คิดได้ว่า
“งั้นพี่เขากับแพรก็...”
วีส์เอานิ้วป้องปากส่งสัญญาณให้เงียบไว้
“พี่บอกแล้วว่าที่เห็นๆกันอยู่น่ะ มันสร้างภาพทั้งนั้นแหละ ตัวจริงมันห้าวจะตาย”
วีร์ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ ในเมื่อมันเป็นความลับก็แล้วแต่เจ้าตัวว่าต้องการให้เขารู้เมื่อไหร่ ส่วนคนที่นั่งอยู่ข้างๆนั้น คิดว่าถ้าไล่ก็คงจะไม่ไปอยู่ดี ตราบใดที่ไม่ได้ทำอะไรให้วุ่นวาย อยากจะนั่งอยู่ต่อไปก็ตามใจ
*****
ช่วงบ่ายหลังจากสอบวิชาสุดท้ายเสร็จสิ้นแล้ว วีร์และปัญจวีส์ก็เดินทางไปยังบ้านตระกูลล้ำเลิศรัตนทรัพย์ด้วยรถยนต์หรูยี่ห้อดังสีขาววาววับที่มีสารถีเป็นชายหนุ่มร่างสูง ตามที่ได้นัดหมายไว้
จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าเหตุใดอังกาบถึงต้องการพบวีร์และปัญจวีส์ แม้ว่าปัญจวีส์จะแอบเข้าไปถามก่อนล่วงหน้าแล้วก็ตาม แต่ได้รับคำตอบเพียงแค่ว่าเอาไว้รู้พร้อมกันคราวเดียวกับเพื่อนของเขา
วีส์ขับรถยนต์มาจอดที่บ้านของตัวเองก่อนเพื่อแวะทักทายกับยี่โถ ซึ่งถือได้ว่าเป็นการพบปะกันครั้งแรกระหว่างหญิงสูงวัยกับวีร์ ก่อนที่ทั้งสามคนจะพากันเดินไปที่ตึกใหญ่
เมื่อไปถึงแล้ว เลขานุการส่วนตัวของนายใหญ่แห่งล้ำเลิศรัตนทรัพย์ก็ยืนรอต้อนรับและพาทุกคนเข้าไปพบกับอังกาบที่ห้องทำงาน
“คุณอังกาบคะ เด็กๆมากันแล้วคะ”
อังกาบเงยหน้าขึ้นมาจากเอกสารที่กำลังอ่านอยู่ มองดูเด็กหนุ่มทั้งสามคนทยอยเดินเข้ามาด้านใน เธอจึงบอกให้พวกเขานั่งลงก่อนที่จะเริ่มพูดคุยกัน แต่เพราะว่ามีเก้าอี้วางอยู่เพียงสองตัวเท่านั้น วีส์จึงเลือกที่จะยืนอยู่ข้างๆและให้น้องๆทั้งสองคนนั่งแทน
“คุณยายจะบอกได้แล้วยังครับว่าคุณยายเรียกปันปันกับเพื่อนมาทำไม”
อังกาบชายตามองปัญจวีส์และมีรอยยิ้มที่มุมปาก ส่วนหนึ่งก็เพราะยังไม่เคยชินกับชื่อเล่นใหม่ที่เจ้าตัวอยากให้ทุกคนเรียกตามกัน อีกส่วนหนึ่งก็คือการออกเสียงเน้นย้ำคำสองพยางค์นั้นอย่างชัดเจนเหมือนกำลังจะบอกว่าอย่าได้เรียกผิดเป็นอันขาด จึงทำให้รู้สึกขบขัน
“ก็ถ้าให้ยายเรียกเรามาคนเดียวก็คงจะไม่มานะสิ”
“ทำไมปันปันจะไม่มา คุณยายอยากเจอเมื่อไหร่ ปันปันก็มาหาคุณยายทุกทีเลยนะครับ” ปัญจวีส์รีบแก้ต่างให้กับตัวเอง
อังกาบยิ้มตอบกลับหลายชายคนเล็ก และหันไปยิ้มให้กับวีร์ด้วย วีร์เองก็ยังรู้สึกทำตัวไม่ถูกเพราะยังไม่รู้เหตุผลที่ถูกเรียกตัวมาด้วยจากคนที่เขารู้จักฐานะคุณย่าใหญ่มาก่อน
“ปิดเทอมแล้วทำอะไรรึเปล่า” อังกาบหันกลับไปถามปัญจวีส์ก่อน
“อืม ยังไม่ได้คิดไว้เลยครับคุณยาย ทำไมเหรอครับ” ปัญจวีส์ตอบกลับ
“แล้วเราละ” อังกาบไมได้ตอบปัญจวีส์แต่หันไปถามวีร์ต่อ
“ของผมมีไปซ้อมเทนนิสให้กับพี่ที่รู้จักกันครับ” วีร์ตอบกลับด้วยความสุภาพและนอบน้อม
“ไปซ้อมทุกวันรึเปล่า” อังกาบถามเพิ่มเติม
“แค่สัปดาห์ละสามวันครับ วันพุธ วันศุกร์ แล้วก็วันอาทิตย์ครับ”
“แล้วไปซ้อมทั้งวันรึเปล่า” อังกาบยังคงถามต่อเนื่อง
“ถ้าเป็นวันพุธกับวันศุกร์จะซ้อมช่วงเย็นครับ แต่วันอาทิตย์นัดไว้ตอนเช้าครับ” วีร์ก็ตอบคำถามโดยยังสงสัยอยู่ว่ามันเกี่ยวข้องอย่างไรกับเรื่องหญิงสูงวัยต้องการจะพบกับพวกเขาในวันนี้
“อืม...” อังกาบนิ่งคิดพิจารณาคนเดียวอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมามองพวกหลานๆ “ยายจะให้เรามาฝึกงานที่ล้ำเลิศรัตนทรัพย์ช่วงปิดเทอมนี้”
ปัญจวีส์มองกลับด้วยตาแป๋วและชี้นิ้วเข้าหาตัวเองเป็นการถามให้แน่ใจ
“ใช่ เรานั่นแหละ เพราะยายรู้ว่าถ้าให้มาทำคนเดียวคงจะไม่มาแน่ๆ ก็เลยให้เพื่อนเรามาด้วยอีกคน” อังกาบอธิบายสาเหตุที่ต้องเรียกวีร์มาพบด้วยกันในวันนี้ “วีร์ สนใจจะทำรึเปล่า”
วีร์รู้สึกอ้ำอึ้งเล็กน้อย เพราะไม่ได้คาดการณ์ไว้ก่อนว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เพราะถึงจะบอกว่าให้ไปฝึกงานในเครือล้ำเลิศก็คือว่าได้งานใหญ่แล้ว แต่นี่คือบริษัทแม่ของเครือล้ำเลิศจึงทำให้ยิ่งดูเป็นเรื่องใหญ่มากจริงๆ วีร์หันไปหาปัญจวีส์เพื่อปรึกษากันผ่านสายตาว่าจะทำอย่างไรดี
“ยายไม่ได้ให้ทำงานเฉยๆ ยายมีเงินเดือนให้ด้วย” อังกาบยื่นข้อเสนอเพิ่มเติมเพื่อจูงใจหลานชายตัวเอง
“แล้วคุณยายจะให้ปันปันกับวีร์ทำอะไรบ้างครับ” ปัญจวีส์ขอถามข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อการตัดสินใจ
“ก็ทำงานกับคุณเกวลิน เลขาฯของยายเอง คุณเกวลินจะดูแลเรื่องมอบหมายงานให้ทำในแต่ละวัน พอหมดช่วงปิดเทอมเดี๋ยวจะมีใบประเมินและในรับรองการทำงานให้ด้วย”
เด็กหนุ่มทั้งสองคนก็หันมามองหน้าปรึกษากันอีกครั้ง
“วีร์จะทำมั้ย ถ้าวีร์ตอบตกลง ปันปันก็จะได้ทำด้วย”
ถึงตอนนี้วีร์พอจะเข้าใจอังกาบแล้วว่าทำไมถึงต้องเรียกเขาเข้ามาด้วย เพราะถ้าบอกให้ปัญจวีส์มาฝึกงานคนเดียวก็คงจะตอบปฏิเสธเป็นแน่
“ถ้าวันพุธกับวันศุกร์มีซ้อมแค่ช่วงเย็น ตอนกลางวันก็มาทำงานได้ เลิกช่วงบ่ายๆเร็วขึ้นมาหน่อยแล้วค่อยไปซ้อม ทำงานห้าวันต่อสัปดาห์ มีอาหารมีของว่างให้พร้อม” อังกาบยังคงว่านล้อมด้วยเหตุผล
วีร์หันกลับไปหาอังกาบที่รอคำตอบจากเขาอยู่ แล้วก็หับกลับมาหาปัญจวีส์ที่โยนการตัดสินใจมาให้เขา ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองชายหนุ่มร่างสูงที่พยักหน้าสนับสนุนให้เขาตอบรับข้อเสนอ วีร์กัมหน้ากลับมาปัญจวีส์อีกครั้งก่อนตัดสินใจ
“ก็ได้ครับ” วีร์หันไปตอบคุณนายใหญ่แห่งล้ำเลิศรัตนทรัพย์
“ดีเลย เช่นนั้นแล้ว ถ้าไม่ติดงานอะไรอยู่ก่อนก็เริ่มงานพรุ่งนี้ได้เลย” ทั้งวีร์และปัญจวีส์ต่างก็อ้าปากค้างกัน “ตกใจอะไรกัน เดี๋ยวออกไปคุยกับคุณแกวลินว่าต้องทำอะไรบ้าง”
ทั้งวีร์และปัญจวีส์ต่างก็ยังรู้สึกงงกันอยู่เพราะไม่คิดจะปัจจุบันทันด่วนขนาดนี้ ต่างพากันลุกขึ้นยืนอย่างเก้ๆกังๆ แล้วก็ยกมือไหว้บอกลาอังกาบ ก่อนที่จะพากันเดินออกไป
“วีส์ เดี๋ยวอยู่คุยกับยายก่อนสิ”
ถึงจะออกเสียงเหมือนกันแต่วีร์ก็รู้ว่าอังกาบหมายถึงหลายชายของเธอ ไม่ใช่เขา วีร์จึงเดินออกจากห้องไปพร้อมปัญจวีส์
“มีอะไรเหรอครับ คุณยาย” วีส์นั่งลงที่เก้าอี้หลังจากที่เด็กหนุ่มทั้งสองคนเดินออกไปแล้ว
“เตรียมตัวพร้อมรึยัง จะเดินทางไม่กี่วันแล้ว” อังกาบถาม
“จัดกระเป๋าเสร็จแล้วครับ พาสปอร์ตเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว เงินก็แลกไปบ้างแล้ว ก็คิดว่าครบแล้วครับ” วีส์ตอบกลับ
[อ่านต่อด้านล่าง]