ReLove3 : Reinterpreted Love - รัก...ความหมายใหม่ (ตอนที่ 15 - 15 พ.ย. 67)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ReLove3 : Reinterpreted Love - รัก...ความหมายใหม่ (ตอนที่ 15 - 15 พ.ย. 67)  (อ่าน 9423 ครั้ง)

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
รถยนต์สีดำเลี้ยวเข้ามาเทียบจอดริมถนนตรงหน้าที่วีร์กำลังนั่งอยู่ ฟิล์มกรองแสงไม่ได้สีเข้มมากจึงทำให้มองเห็นคนข้างในว่าเป็นใคร ถึงรูปทรงรถยนต์จะเป็นรุ่นเก่าแต่ความมันเงานั้นไม่แพ้รถยนต์ที่เพิ่งจะขับออกมาจากโชว์รูมใหม่ๆเลย

วีร์ลุกขึ้นยืนแล้วรีบเดินไปขึ้นรถยนต์ ถึงแม้ว่าจะไม่มีคนรู้จักที่ป้ายรถประจำทางอยู่เลย แต่ก็ไม่อยากเสี่ยงโดยไม่จำเป็น เมื่อเข้าไปนั่งในรถยนต์แล้ววีร์ก็คาดเข็มขัดนิรภัย แล้วเขาก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นภายในรถยนต์ที่ดูจะเปลี่ยนไปจากครั้งก่อนที่เขาเคยนั่ง กลิ่นหอมอ่อนๆที่เขานึกไม่ออกว่าเป็นกลิ่นของอะไร

“เราจะไปกันที่ไหนเหรอครับ” วีร์ถามเมื่อชายหนุ่มร่างสูงบังคับรถยนต์ออกไปตามทางถนน

“มันเป็นโกดังเก่า ไม่ได้ใช้งานนานแล้ว มันมีลานกว้างอยู่พอให้ฝึกขับรถได้” วีส์อ้าปากหาวคำใหญ่แล้วก็หันหน้าไปมองเด็กหนุ่มที่กำลังมองดูเขาแบบแปลกๆ “ไม่ต้องห่วง มันเป็นโกดังเก่าของเครือล้ำเลิศ ดีกว่าไปฝึกขับตามท้องถนน แล้วมันก็มีแรมบ์ไว้ฝึกขับรถขึ้นเนินได้”

วีร์พยักหน้ารับแล้วก็นั่งมองดูรอบๆทางที่รถยนต์วิ่งจากหน้าหมู่บ้านของเขาผ่านตัวเมืองออกไปอีกด้านหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พ้นออกไปไกลมากนัก คนขับก็เลี้ยวลอดผ่านซุ้มประตูโค้งเข้าไปด้านในกลุ่มอาคารโรงงานขนาดใหญ่ที่สร้างติดๆกันจำนวนมาก และตลอดทางมาวีร์ก็ไม่ลืมสังเกตวิธีการขับรถยนต์ของชายหนุ่มร่างสูงไปด้วย รวมถึงที่ชายหนุ่มร่างสูงอ้าปากหาวอยู่เป็นระยะ

รถยนต์เข้ามาจอดตรงหัวมุมด้านหนึ่งของลานปูนซีเมนต์ที่มีอาคารโกดังล้อมรอบ แล้วคนขับก็ลุกออกไปจากรถยนต์โดยที่ยังติดเครื่องยนต์ไว้อยู่ เขาเดินอ้อมมาที่อีกฝั่งแล้วก็เปิดประตูออก

“มึงไปนั่งโน้น” วีส์บอกให้เด็กหนุ่มย้ายไปนั่งที่คนขับรถยนต์

“เอาเลยเหรอครับ” วีร์ลุกออกมายืนนอกรถยนต์อย่างงงๆ

“เอาเลยสิ จะฝึกขับรถแต่ไม่ลองขับเองแล้วจะขับเป็นได้ยังไง”

วีร์นึกไปว่าชายหนุ่มร่างสูงอาจจะมีการอธิบายเกริ่นนำอะไรก่อน ไม่คิดว่าจะให้ลงมือปฏิบัติเลยในทันที แต่วีร์ก็เดินอ้อมไปนั่งที่เก้าอี้ฝั่งคนขับแต่โดยดี

“ไม่ต้องดับเครื่องก่อนเหรอครับ” วีร์คาดเข็มขัดนิรภัยแล้วก็ตั้งท่าจับพวงมาลัยเตรียมพร้อมแบบฝึกฝนอักแรก

“ไม่ต้อง เดี๋ยวมึงก็จะได้สตาร์ทใหม่แน่ๆ” วีส์บอกปัดแล้วก็หันตัวไปทางฝั่งคนขับ “เอาละ การขับรถเกียร์กระปุกมันก็ไม่ได้ต่างอะไรกันมากกับรถเกียร์ออโต้ ก็แค่มึงต้องควบคุมคลัทช์เองเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างนึงเท่านั้น เท้าขวาไว้เหยียบคันเร่งกับเบรก ส่วนเท้าซ้ายก็ไว้เหยียบคลัทช์ เข้าใจใช่มั้ย”

วีร์พยักหน้าและก้มหน้าลงมองพื้นรถยนต์ เขาวางตำแหน่งเท้าทั้งสองข้างไปที่แป้นเหยียบทั้งสาม ลองขยับแตะเบาๆ

“คลัทช์จะเหยียบเมื่อเปลี่ยนเกียร์เท่านั้น ถ้าไม่ได้จะเปลี่ยนเกียร์ก็ไม่ต้องไปเหยียบมัน”

วีร์ได้ยินแล้วก็ยกเท้าซ้ายของเขาออกจากคันบังคับแล้ววางลงที่พื้นรถ

“ทีนี้สำหรับคนที่ไม่เคยขับเกียร์กระปุกมาก่อน ก็จะไม่ชินกับจังหวะการถอดคลัทต์กับเหยียบคันเร่ง โดยเฉพาะเวลาต้องออกรถบนทางลาดขึ้น นอกนั้นมันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับรถเกียร์ออโต้”

“มันต้องถอดคลัทช์ออกหมดก่อนแล้วค่อยเหยียบคนเร่ง หรือว่าทำไปพร้อมกันๆครับ” วีร์ถามด้วยความสงสัย

“ก็ทำไปพร้อมกัน แต่จังหวะถอดจังหวะเหยียบจะรู้ได้ก็ต้องลองทำจริงดูก่อนถึงจะเข้าใจ” วีส์เอียงคอมองเด็กหนุ่มว่ายังมีข้อสงสัยอะไรอีกหรือไม่ “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว งั้นก็ลองเข้าเกียร์หนึ่งแล้วออกรถดู”

วีร์ก้มศีรษะลงมองดูเท้าของเขาอีกครั้งว่าวางตำแหน่งถูกต้องแล้วหรือไม่ มือขวาจับพวงมาลัย มือซ้ายจับคันบังคับเกียร์ เท้าซ้ายเหยียบคลัทช์ลงไป เท้าขวาวางลงบนแป้นคันเร่ง แล้ววีร์ก็ขยับคันบังคับเกียร์ไปที่เกียร์หนึ่ง สายตามองขึ้นไปข้างหน้าพร้อมกับถอดคลัทช์ออก เสียงเครื่องยนต์กระตุกดังในขณะที่ตัวรถยนต์เคลื่อนออกไปได้เพียงเล็กน้อย แล้วเครื่องยนต์ก็ดับลง

“เดี๋ยวลองใหม่” วีส์บอกด้วยน้ำเสียงปกติ ไม่ได้มีท่าทีจะซ้ำเติมว่าเขาพูดไว้ไม่ผิดคำว่าเดี๋ยวเด็กหนุ่มจะต้องติดเครื่องยนต์ใหม่แน่ๆ

วีร์กำลังจะบิดกุญแจเพื่อติดเครื่องยนต์ แต่ก็โดนร้องห้ามเสียก่อน

“เดี๋ยวสิ ยังใส่เกียร์หนึ่งอยู่เลย เดี๋ยวรถก็พุ่งไปข้างหน้าหรอก”

ข้อนี้วีร์ยอมรับผิดแต่โดยดี เพราะกำลังรู้สึกตื่นเต้นกับการได้ลองขับรถยนต์ระบบเกียร์ธรรมดาจึงมองข้ามจุดสำคัญไป ซึ่งไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ระบบเกียร์แบบไหน ก่อนจะจุดติดเครื่องยนต์ต้องตรวจดูให้แน่ใจว่าตำแหน่งเกียร์อยู่ที่เกียร์ว่างเสมอ

“เดี๋ยว” เสียงร้องห้ามจากชายหนุ่มร่างสูงอีกครั้ง พร้อมกับยื่นมือไปกุมทับมือของคนฝึกขับรถ “จะเปลี่ยนเกียร์ก็เหยียบคลัทช์ก่อน”

วีร์ใช้เท้าซ้ายเหยียบแป้นลงไปมิดแล้วก็ขยับคันบังคับเกียร์ให้ลงมาอยู่ตรงกลางแล้วขยับซ้ายขวาให้แน่ใจอีกครั้ง

“ลองสตาร์ทดูใหม่” วีส์พูดให้เด็กหนุ่มรุ่นน้องลองฝึกอีกครั้ง

วีร์กำลังจะเริ่มฝึกตามขั้นตอนอีกรอบแต่ติดตรงที่มือข้างซ้ายของเขายังถูกกุมทับไว้อยู่ วีร์จึงหันไปมองคนข้างๆแล้วก็ย้ายสายตาลงไปที่คันบังคับเกียร์ แล้วก็เงยหน้ากลับไปหาชายหนุ่มอีกครั้ง และเหมือนว่าเขาเพิ่งจะรู้ตัวจึงได้ถอนมือของเขาออกไป แล้ววีร์ก็เริ่มกระบวนการต่อไป

ครั้งนี้เครื่องยนต์ยังกระตุกอยู่บ้าง ตัวรถเคลื่อนออกไปได้ไกลว่าเดิมเล็กน้อย แต่ว่าท้ายที่สุดเครื่องยนต์ก็ดับลงอีกครั้ง ฝ่ายครูฝึกก็บอกให้ลูกศิษย์ลงพยายามใหม่จนกว่าจะหาจังหวะเท้าทั้งสองข้างได้พอดี


*****


รถยนต์คันสีดำเคลื่อนตัวออกไปไม่เร็วมากนักไปตามความยาวของลานปูนซีเมนต์ เมื่อไปจนเกือบสุดทางก็เลี้ยวกลับรถแล้วก็ขับกลับมาจนสุดอีกทางหนึ่ง หมุนวนไปเรื่อยๆ ผู้ฝึกขับกำลังปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ชินกับการต้องบังคับรถยนต์ด้วยเท้าทั้งสองข้าง เวลาที่ต้องเปลี่ยนเกียร์ให้เหมาะสมเมื่อรถยนต์เปลี่ยนแปลงความเร็ว

หรือบางครั้งก็ถูกสั่งให้จอดรถยนต์แบบกระทันหันตรงตำแหน่งเป้าหมายที่สุ่มบอกโดยที่เครื่องยนต์ไม่ได้ดับลงไปเอง หรือไม่ก็บอกให้เข้าเกียร์ถอยหลัง ไม่ว่าจะเป็นการถอยรถยนต์ไปแบบตรงๆหรือถอยหลังเข้าซอง

วีร์เริ่มคุ้นเคยกับระบบเกียร์ธรรมดามากขึ้นหลังจากที่ขับรถยนต์วนไปมาอยู่หลายรอบแล้ว แต่เพราะพื้นที่ลานปูซีเมนต์ไม่ได้กว้างยาวมากขนาดสุดลูกหูลูกตา ถึงจะมีระยะทางยาวพอสมควรแต่ก็ไม่ได้มากพอจะให้ทำความเร็วได้มากไปกว่านี้ ดังนั้นวีร์จึงขับที่อยู่เกียร์สองเป็นอย่างมากที่สุด

เมื่อได้ลองทำซ้ำไปซ้ำมาอยู่ครั้งก็เริ่มจะชำนาญมากขึ้น วีร์จึงจะหันไปถามว่าเขาควรจะทำอะไรต่อไปอีก แต่กลับพบว่าชายหนุ่มร่างสูงกำลังนั่งหลับตาก้มหน้าอยู่ ถึงไม่ต้องพิสูจน์ก็บอกได้แน่ชัดว่ากำลังหลับอยู่

วีร์จึงชะลอรถยนต์ลงจนหยุดสนิท แล้วเปลี่ยนเป็นเกียร์ว่างและดึงเบรกมือขึ้น

“คุณ” วีร์เรียกพร้อมกับเขย่าแขนไปด้วย และเรียกซ้ำอีกครั้งเมื่อเห็นว่าไม่ได้ผลในครั้งแรก

“หือ” วีส์สะดุ้งลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วมองดูรอบๆ

“เมื่อคืนไม่ได้นอนเหรอครับ ถึงได้ง่วงขนาดนี้” วีร์ถาม

“อืม มีงานต้องรีบทำให้เสร็จ ก็เลยนอนดึกไปหน่อย” วีส์ลูบหน้าลูบตาเพื่อให้รู้สึกตื่นตัวขึ้น

“งั้น วันนี้เอาแค่นี้ก่อนก็ได้มั้งครับ ค่อยมาลองอีกทีวันหลังก็ได้” วีร์รู้สึกเกรงใจขึ้นมาที่ชายหนุ่มฝืนร่างกายมาสอบขับรถให้ อันที่จริงหากอีกฝ่ายโทรศัพท์มาขอเลื่อนนัดออกไปก่อน เขาก็เข้าใจและไม่ได้ติดขัดอะไร

“จะเอางั้นเหรอ นี่ก็...” วีส์ดูเวลาจากแผงควบคุมหน้ารถยนต์ “...ยังไม่ทันจะเที่ยงเลย” แต่เขาก็ยังอดอ้าปากหาววอดๆไม่ได้

“ไม่เป็นไรครับ เอาไว้มาลองฝึกต่อรอบหน้าก็ได้ คุณจะได้กลับไปพักผ่อนด้วย” วีร์ยังคงยืนยันความคิดของเขา โดยเฉพาะอาการเพลียของอีกฝ่ายที่เป็นปัจจัยสำคัญ

“งั้นก็... กลับกันเลยก็ได้” วีส์เห็นตามในที่สุด ถึงแม้เขาจะคิดว่าเขาก็ยังทนต่อความง่วงของเขาต่อไปได้อีกระยะหนึ่งก็ตาม

วีร์มองดูชายหนุ่มรุ่นพี่นั่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้ขยับตัวลุกออกจากที่นั่งข้างคนขับ ในขณะที่เขากำลังจะเปิดประตูออกไปแล้ว ทำให้เขาชะงักไปเสียก่อน

“ไม่เปลี่ยนมาขับเหรอครับ” วีร์ถามอีกฝ่ายที่ยังนั่งแบบสบายใจ

“เปลี่ยนทำไม มึงขับกลับเลย ถือว่าฝึกไปในตัว” วีส์ตอบเหมือนว่าทุกอย่างเป็นเรื่องปกติ ส่วนคนที่เพิ่งจะฝึกขับรถระบบเกียร์ธรรมดาครั้งแรกในชีวิตกำลังประมวลความคิดอยู่ในสมอง “ขับไปช้าๆ ไม่ต้องรีบ ส่วนคนอื่นเดี๋ยวเขาก็เขาขับแซงไปเอง”

วีร์รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาที่จะต้องขับรถคันนี้ออกถนนจริง ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาขับรถยนต์ออกไปข้างนอก แต่เป็นเพราะว่ามันไม่ใช่รถของเขาเอง เกรงว่าจะเกิดอุบัติเหตุสร้างความเสียหายให้กับรถ และเขาเพิ่งจะได้ลองสัมผัสการขับรถยนต์ระบบเกียร์ธรรมดามาไม่ถึงครึ่งวันจากตลอดชั่วชีวิตที่ผ่านมา ความกังวลจึงมีอยู่ไม่น้อย

“ออกรถเลยไม่ต้องกลัว ถ้าเครื่องดับก็แค่สตาร์ทใหม่ ไม่เห็นจะยากอะไร” วีส์พูดให้ความมั่นใจแก่เด็กหนุ่ม

วีร์จับพวงมาลัยไว้แน่น ตามองไปข้างหน้าที่ประตูทางออกจากบริเวณโกดังเก็บของเก่าเหล่านี้ เขาสูดหายใจลึก แล้วก็เหยียบคลัทช์และขยับเข้าเกียร์หนึ่ง รถยนต์คันสีดำมันวาวก็เริ่มขยับตัวโดยที่ไม่มีอาการกระตุกเลย

เมื่อเลี้ยวรถยนต์เข้าสู่ถนนใหญ่ วีร์ก็ค่อยๆประคองรถอยู่เลนกลาง เพราะเลนขวาสุดนั้นปล่อยให้รถที่ต้องการทำความเร็วแซงไปได้ ส่วนเลนทางซ้ายก็มีรถยนต์จอดอยู่เป็นระยะ เขามองดูรอบคันอย่างระมัดระวัง

หลังจากที่ขับรถยนต์ไปได้ระยะหนึ่งแล้ว ก็เริ่มคุ้นชินกับจังหวะของรถยนต์ จะหยุดรถ จะออกตัว จะชะลอความเร็ว หรือแม้กระทั่งจะเพิ่มความเร็วจนขยับไปที่เกียร์สามก็ตาม วีร์เริ่มมั่นใจในการขับรถมากขึ้น จะบอกว่าอุ่นใจที่มีคนนั่งอยู่ข้างๆด้วยก็ไม่ผิดนัก ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่แล้วจะนั่งพิงศีรษะหลับตาอยู่ก็ตาม จะมีส่งเสียงบอกให้เปลี่ยนเกียร์บ้างเป็นครั้งคราว


*****


จนวีร์เลี้ยวรถเข้าไปในถนนหมู่บ้านของเขา จากเดิมที่คิดว่าจะลงแค่หน้าหมู่บ้านเท่านั้นแล้วค่อยเดินเข้ามาเอง แค่เมื่อคิดทบทวนแล้วก็ไม่เห็นถึงความต่างอะไร คงจะไม่มีใครในหมู่บ้านมาสนใจว่าเขาจะมากับใครเหมือนอย่างคนในโลกสื่อสังคมออนไลน์ ดังนั้นวีร์จึงขับรถมาจอดที่หน้าประตูรั้วบ้านของเขาเอง

ต้าวและเติบต่างก็มาเกาะกำแพงรั้วสอดส่องและส่งเสียงใส่รถยนต์แปลกหน้าแปลกตาที่มาจอดขวางทางด้านหน้าอาณาเขตของพวกมัน วีร์ต้องลดกระจกหน้าต่างรถลงแล้วออกคำสั่งให้พวกมันเงียบและนั่งรอ ส่วนเจ้าของรถยนต์นั้นกำลังนั่งก้มหน้าหลับตาอยู่ ไม่ได้รับรู้กับเสียงเห่าของสุนัขทั้งสองตัวเลย ดูท่าทางจะอ่อนเพลียมากกว่าที่วีร์คิดไว้ เขาจึงคิดว่าการตัดสินใจยุติการฝึกในวันนี้ไว้ก่อนน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีแล้ว

“คุณ ถึงบ้านผมแล้ว” วีร์ส่งเสียงเรียกชายหนุ่ม พลางคิดในใจว่าหรือเขาควรจะขับรถไปที่อพาร์ทเมนต์ของอีกฝ่ายแล้วค่อยหาทางกลับบ้านเอง ชายหนุ่มรุ่นพี่จะได้มีเวลาพักผ่อนได้เร็วขึ้น

“คุณ” วีร์จับที่บ่าของชายหนุ่มแล้วเขย่าเบาๆ ก็ยังไม่มีทีท่าว่าอีกฝ่ายจะตื่นขึ้นมา วีร์จึงเขย่าแรงขึ้นพร้อมกับส่งเสียงเรียก ในใจก็นึกว่ากำลังโดนแกล้งอยู่หรือเปล่า “คุณๆ”

เมื่อเรียกอยู่หลายครั้งแต่ก็ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับมา วีร์ก็เริ่มรู้สึกผิดสังเกต เขาปลดเข็มขัดนิรภัยของตัวเอง แล้วก็รีบตรวจดูอาการของชายหนุ่มร่างสูง วีร์จับตามมือ แขน ใบหน้า และซอกคอ ก็ไม่ได้รู้สึกว่าจะมีความร้อนผิดปกติ วีร์จึงแนบหูลงไปที่กลางออกของชายหนุ่ม เขายังรู้สึกได้ว่ามีการกระเพื่อมตามการหายใจอยู่

“คุณๆ”

ในตอนนี้วีร์เริ่มรู้สึกเย็นวาบไปทั่วทั้งตัว เขาพยายามเขย่าตัวชายหนุ่ม พยายามตบใบหน้าหวังว่าจะเรียกสติของอีกฝ่ายได้ และยังหวังว่าชายหนุ่มรุ่นพี่ยังคงพยายามแกล้งเขาอยู่

“พี่ ได้ยินมั้ย พี่ๆ ได้ยินวีร์รึเปล่า”

ไม่ว่าจะทำอย่างไรชายหนุ่มร่างสูงก็ยังคงหลับตาอยู่เหมือนเดิม วีร์จึงกดแตรรถดังลั่นอยู่หลายครั้ง แล้วยื่นหน้าออกไปที่นอกหน้าต่าง

“พี่ธีร์ๆ มาเร็วๆ พี่ธีร์” วีร์ตะโกนเรียกสุดเสียง

ธีร์รีบเปิดประตูรั้วออกมา โดยมีสุนัขสีน้ำตาลและสีดำหลุดตามออกมาด้วย ธีร์วิ่งไปที่ประตูคนขับรถก็เห็นลูกชายคนโตของเขามีอาการตกใจ

“วีร์เป็นอะไร” ธีร์ถามด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก

“พี่เขาเป็นอะไรไม่รู้ วีร์เรียกหลายครั้งแล้ว พี่เขาไม่ยอมตื่น”

ธีร์มองเลยไปที่อีกคนที่นั่งอยู่ในรถด้วยกัน แล้วเขาก็วิ่งอ้อมรถยนต์และเปิดประตูรถออก เพื่อดูอาการของชายหนุ่มร่างสูง

“ไปโรงพยาบาลดีกว่า” ธีร์ตัดสินใจเพราะตัวเขาเองก็ทำอะไรไม่ได้มาก ต้องรีบส่งต่อไปให้ผู้เชี่ยวชาญดูแลโดยเร็วที่สุดจะดีกว่า

“ได้ๆ โอเค” วีร์เห็นด้วยกับธีร์ เขาหันไปดึงสายเข็มขัดนิรภัยมาคาดไว้ เตรียมตัวจะออกรถในทันที

“วีร์” ธีร์ร้องเรียก “ลงจากรถ เดี๋ยวพี่ขับเอง” ธีร์ประเมินจากท่าทางของวีร์ในตอนนี้แล้ว หากปล่อยให้ไปเองคงจะได้นอนโรงพยาบาลกันทั้งสอง หรือเลวร้ายว่านั้นอาจจะได้ไปนอนที่วัดกันทั้งสองคน “วีร์ พี่ไปบอกวาก่อน แล้วเดี๋ยวพี่พาไป”

ธีร์ย้ำอีกครั้งก่อนที่จะรีบวิ่งเข้าไปข้างบ้าน ชั่วพริบตาเดียวก็รีบวิ่งออกมาและมีวนกรที่จับตัวธรไว้เดินตามไล่หลังมาติดๆ ธีร์เปิดประตูคนขับรถแล้วบอกให้วีร์ลุกออกไปนั่งด้านหลัง เมื่อประตูรถทุกบานปิดเรียบร้อยแล้ว ธีร์ก็รีบขับรถยนต์คันสีดำไปที่โรงพยาบาลในทันที


*****


หญิงสาวรุ่นใหญ่ในชุดราตรียาวกำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามความเร็วเท่าที่รองเท้าส้นสูงจะทำให้ได้ไปตามทางเดินของชั้นห้องพักรับรองพิเศษของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย ที่ตามมาติดๆกันคือเด็กหนุ่มร่างสูงที่อยู่ในชุดอย่างเป็นทางการขาดก็เพียงเสื้อตัวนอกเท่านั้น

ชื่นฤทัยผลักประตูเปิดเข้าไปในห้องโดยที่ไม่จำเป็นจะต้องตรวจรายชื่อของผู้ป่วยเลย เพราะในตอนนี้ทั้งชั้นนี้มีผู้ป่วยพักอยู่เพียงห้องเดียวเท่านั้น เมื่อเดินผ่านส่วนที่พักสำรองสำหรับผู้เฝ้าไข้แล้ว ก็จะสามารถเข้าไปด้านในส่วนของที่พักผู้ป่วยในห้องพักพิเศษนี้ได้

ชื่นฤทัยรับไหว้จากเด็กหนุ่มสาวทั้งสาม วิธู แพรไหม และวีร์ แล้วก็รีบเดินไปดูคนที่ยังนอนหลังอยู่บนเตียง

“เจ้าสัวเป็นไงบ้าง” ปัญจวีส์ถามอาการพี่ชายคนรองจากพี่ชายคนเล็กของเขา

“ก็ไม่มีอะไรน่าห่วงแล้ว หมอบอกว่าน่าจะเป็นเพราะพักผ่อนน้อย ร่างกายเลยอ่อนเพลียมาก เลยทำให้วูบไป” วิธูพยายามอธิบายอาการของวีส์ให้ผู้มาใหม่ฟังโดยไม่ให้รู้สึกน่าหวาดวิตกอะไรมากนัก “เดี๋ยวต้องรอให้ตื่นก่อนถึงจะตรวจให้ละเอียดอีกที”

“เฮ้อ ดีแล้วที่ไม่เป็นอะไรมาก” ปัญจวีส์เดินไปหาที่นั่งว่างข้างๆวิธูและแพรไหม แล้วเขาก็เอียงตัวไปแอบส่งเสียงกระซิบกับวิธู “วีร์มาได้ยังไงอะ”

“มันเป็นคนพาเจ้าสัวมาส่งที่โรง’บาล” วิธูก็แอบกระซิบเบาๆกลับ ไม่ให้เสียงดังไปถึงที่นั่งอีกฝั่งของเตียงผู้ป่วย

“แล้วเขาไปเจอกันได้ยังไง” ปัญจวีส์ถามต่อด้วยความสงสัยปนความดีใจ

“ไม่รู้” วิธูตอบสั้นๆ เพราะเขาก็ยังไม่รู้ว่าเพื่อนและพี่ชายของเขาไปเจอกันได้อย่างไรในวันนี้

“สงสัยจะนัดกันไปไหนแน่ๆ แผนของต่ายนี่ได้ผลเกินคาด”

วิธูไม่ได้ตอบกลับอะไรแต่สะกิดให้ปัญจวีส์รู้ตัวว่ากำลังถูกจ้องมองมากจากอีกฝั่งอยู่ ปัญจวีส์หันไปเห็นแล้วก็ยกตัวกลับมานั่งหลังตรงตามเดิม

“แล้วนี่ได้ไปงานมั้ย ถึงกลับมาเร็วขนาดนี้” วิธูถามไปถึงงานเลี้ยงที่ชื่นฤทัยจะต้องไปร่วมงานด้วยระดับความดังของเสียงปกติ

“ได้ไปแต่พิธีเช้า กำลังจะกลับไปนอนพักที่โรงแรม รอไปงานพิธีเย็นอีกทีแต่ก็มีโทรศัพท์มาซะก่อน แล้วก็รีบดิ่งกลับมาเลย” ปัญจวีส์ตอบ

“มึงขับเหยียบมิดพื้นกลับมาเลยละสิ” วิธูถามต่อเนื่อง

“ใช่ที่ไหนละ เมื่อก่อนเคยได้ยินพี่อัฐเล่าให้ฟังว่าแม่นี่คือนักซิ่งตีนผีดีๆนี่เอง วันนี้ถึงได้รู้ว่าจริง” ปัญจวีส์เปิดเรื่องเล่าสู่กันฟังแบบบุคคลในหัวข้อสนทนาก็อยู่ใกล้ๆกัน

“ทำไมอะ” แพรไหมก้มตัวไปข้างหน้าเพื่อมองข้ามผ่านแฟนหนุ่มของเธอไปถาม

“โห ก็ยังกะนั่งรถเหาะ ไม่รู้ว่าโดนจับความเร็วไปกี่ด่าน”

ชื่นฤทัยเหลือบตาขึ้นมองลูกชายคนเล็กของเธอ เธอไม่ได้ต้องการจะเอาความอะไร แค่อยากให้รู้ว่าได้ยินว่าพูดถึงอยู่

“แต่ไม่เป็นไร แค่นี้เรื่องจิบๆสบายมาก ขนหน้าแข้งยังไม่ทันจะร่วง” ปัญจวีส์ยักคิ้วหลิ่วตาให้กับแม่ของเขา “แล้วของต่ายอะ ได้ไปไหนบ้าง”

“ได้ไปไม่กี่ที่ กำลังจะจ่ายเงินค่าข้าวเที่ยงก็โดนโทรตามซะก่อน” วิธูเอียงไปป้องปากกระซิบบอกปัญจวีส์ “ตอนรับสายไอ้อ้วนแล้วมันบอกว่าพี่เป็นอะไรไม่รู้ แล้วก็มาอยู่ที่โรง’บาลแล้ว เหมือนโดนเดจาวูเลยว่ะ”

ปัญจวีส์สะบัดหันมาหาวิธูซึ่งวิธูก็พยักหน้าย้ำคำพูดของเขาว่าเป็นไปตามนั้นจริงๆ

“ไหนๆก็มาพร้อมหน้ากันแล้ว จะได้แบ่งกันว่าวันนี้ใครจะนอนเฝ้า” แพรไหมถามสองคนพี่น้องว่าจะตัดสินใจอย่างไรในฐานะน้องชายที่ดี

ทั้งวิธูและปัญจวีส์กลับมานั่งตัวตรงปกติแล้วก็มองหน้าปรึกษากันว่าจะเอาอย่างไรกันดี

“ปันปันอยู่เฝ้าได้ ยังไงพรุ่งนี้ก็วันหยุด จริงๆต่ออีกวันก็ได้เพราะปันปันไม่มีเรียนวันจันทร์” ปัญจวีส์เสนอตัวเอง

“งั้นเดี๋ยวกูกับอีดำมาอยู่พรุ่งนี้เช้า มึงจะได้กลับไปพักผ่อน แล้วค่อยรอดูว่าหมอจะว่ายังไง” วิธูรอฟังความเห็นจากน้องชายคนเล็ก ซึ่งปัญจวีส์ก็หันไปหาแม่ของเขาเพื่อถามความเห็น

“งั้นเดี๋ยวลูกขับรถกลับบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดก่อน แล้วค่อยกลับมาทีหลัง ทางนี้แม่อยู่ให้เอง” ชื่นฤทัยบอกปัญจวีส์แล้วก็หันไปมองดูทุกคนก่อนที่จะถามต่อไป “นี่ยังไม่ได้บอกคุณยายใช่มั้ย”

“ยังครับ ก็ว่าจะมาดูอาการของพี่ก่อน แม่จะให้ปันปันบอกคุณยายเลยมั้ยครับ” ปัญจวีส์ถามชื่นฤทัยกลับ

“ยังไม่ต้องจะดีกว่า คงจะไม่เป็นอะไรมาก เดี๋ยวจะเป็นห่วงไปเปล่าๆ”

“โอเคครับ” ปัญจวีส์ตอบแล้วก็หันไปถามคนรุ่นเดียวกัน “งั้น... เดี๋ยวคนอื่นๆจะกลับกันยังไง”

“กูนั่งรถเครื่องมากับอีดำ เดี๋ยวก็กลับกันเองได้” วิธูตอบแทนแพรไหมไปพร้อมกัน

“แล้ววีร์ละ” ปัญจวีส์มองข้ามเตียงผู้ป่วยไปถามเพื่อนของเขา

“รถพี่เขาจอดอยู่ที่อาคารจอดรถ จะเอายังไง” วีร์ถามไปถึงรถยนต์คันสีดำที่ธีร์เป็นคนขับพาพวกเขามาส่งที่โรงพยาบาล แต่ละคนต่างก็มองหน้าถามกันไปมาว่าจะทำอย่างไรดี

“อืม... จริงๆก็เอาไปจอดไว้ที่อพาร์ทเมนต์พี่ก็ได้นะ แต่ว่า...” ปัญจวีส์หันไปหาวิธูกำลังจะถามว่าใครจะเป็นคนขับไป เพราะเป็นที่รู้กันว่ารถยนต์ของพี่ชายของเขานั้นเป็นระบบเกียร์ธรรมดา

“เดี๋ยวเราขับกลับไปให้ก็ได้” วีร์เสนอตัว ทำให้ทุกคนหันมามองเขาเป็นตาเดียว “ถ้า... ไม่ติดปัญหาอะไร”

“อ๋อ ได้สิ” ปัญจวีส์ตอบแบบลังเลว่าคนอื่นๆจะเห็นด้วยหรือไม่ แต่ก็ไม่มีใครแย้งขึ้นมาแม้แต่ชื่นฤทัยก็ตาม “งั้น เดี๋ยวปันปันขับนำทางวีร์ไปให้เอง แล้วพอเอารถพี่ไปจอดเสร็จเดี๋ยวปันปันไปส่งวีร์ที่บ้านต่อเลย”

“งั้นก็เอาตามนี้” วิธูสรุปปิดท้ายเมื่อไม่มีใครเสนออะไรเพิ่มเติม

เด็กหนุ่มสาวแต่ละก็บอกลาชื่นฤทัยที่ยังอยู่ในชุดราตรียาว แล้วพากันเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยไปและแยกย้ายกันกลับไปที่พักของแต่ละคน ก่อนที่จะกลับมาทำหน้าที่เฝ้าผู้ป่วยตามที่ได้ตกลงกันไว้ภายหลัง วีร์หันไปมองดูชายหนุ่มที่ยังนอนหลับตาบนเตียงผู้ป่วยอีกครั้ง แล้วก็เดินออกไปเป็นคนสุดท้าย

ชื่นฤทัยเดินจากส่วนที่พักผู้ป่วยออกไปที่ส่วนที่พักสำรอง ตรวจดูความพร้อมภายในห้องว่าต้องการอะไรเพิ่มเติมอีกหรือไม่ ทั้งสำหรับผู้ป่วยและคนเฝ้า จะได้จัดเตรียมมาให้ได้ครบถ้วน แล้วจึงเดินกลับมาดูอาการลูกชายคนโตของเธออีกครั้ง

ชื่นฤทัยวางมือลงที่แขนข้างหนึ่งของวีส์ และมองดูใบหน้าที่มีสีปกติดีแล้ว

“ลืมตาได้แล้วลูก น้องๆเขาไปกันหมดแล้ว”

ชื่นฤทัยรออย่างใจเย็น จนเห็นเปลือกตาของคนที่นอนอยู่กระพริบสองสามครั้งก่อนที่จะค่อยๆเปิดกว้างเต็มที่ วีส์พยายามหันมองดูรอบห้องให้แน่ใจว่าตอนนี้มีแค่เขาและแม่ของเขาแค่สองคนเท่านั้น

“มา เล่าให้แม่ฟังสิว่าอาการเป็นยังไงบ้าง” ชื่นฤทัยยิ้มให้กับลูกชาย เธอสังเกตเห็นตั้งแต่ตอนที่เธอมาถึงแล้วว่าลูกชายของเธอไม่น่าจะนอนหลับสนิทอยู่ แต่เธอไม่แน่ใจในเหตุผลว่าทำไมวีส์ถึงยังไม่อยากให้ทุกคนรู้ว่าเขาตื่นแล้ว

วีส์หายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะหันไปหาแม่ของเขา


*****


หลังจากที่ปัญจวีส์ขับรถยนต์มาส่งวีร์ที่บ้านแล้ว วีร์ก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดเดิมที่ใส่ไปนั่งอยู่ในโรงพยาบาลมาค่อนวันเป็นอย่างแรก หลังจากนั้นก็ลงมาให้อาหารสุนัขพันธุ์ไทยขนสั้นทั้งสองตัว ช่วงเวลาหลังจากนั้นตลอดระหว่างมื้ออาหารเย็นเรื่อยไปจนแยกย้ายเข้าห้องนอน ธีร์และวนกรไม่ได้ถามอะไรมากมายเกี่ยวกับคนป่วย

รวมถึงไม่ได้ถามด้วยว่าวีร์ไปไหนมากับชายหนุ่มรุ่นพี่ก่อนหน้านี้

วีร์นั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือภายในห้องนอนของเขา ถึงแม้ว่าจะมีหนังสือและสมุดเปิดวางไว้อยู่ มีเครื่องเขียนครบชุดเตรียมพร้อมไว้แล้ว แต่ยังความคิดยังไม่พร้อมที่จะเริ่มลงมือทำงานให้เสร็จในตอนนี้ได้

ในขณะที่สายตาของเขามองไปที่โต๊ะ แต่ภาพที่เขากำลังเห็นอยู่นั้นเป็นเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อน ตอนที่วีรดนย์ชวนเขาไปทดลองกล้องถ่ายรูปตัวใหม่ที่เพิ่งจะซื้อมา พวกเขาตระเวนไปตามสถานที่ต่างๆตั้งแต่เช้าเรื่อยไปจนถึงยามคล้อยบ่าย

วีร์กำลังยืนอยู่ข้างรูปปั้นในสวนสาธารณะ เป็นแบบถ่ายรูปให้กับวีรดนย์ ในตอนนั้นวีร์สังเกตเห็นรอบเปื้อนสีแดงลากจากจมูกยาวไปจนเกือบครึ่งแก้มข้างหนึ่งของวีรดนย์ วีร์จึงร้องทักวีรดนย์ไป

วีร์ดนย์ก้มลงดูมือของเขาก็เห็นเป็นคราบสีแดงติดอยู่ จากเดิมที่เขาคิดว่าเป็นเพียงน้ำมูกปกติที่ไหลออกมา หลังจากนั้นเขาก็เริ่มรู้สึกจะยืนไว้ไม่อยู่ โชคดีที่วีร์รีบวิ่งเข้ามาประคองตัวไว้ได้ทัน

หากเป็นแค่เลือดกำเดาไหลคงจะไม่ตกอกตกใจกันสักไหร่ เพราะว่าอากาศในช่วงวันนั้นค่อนข้างร้อนติดต่อกันมาหลายวันแล้ว แต่เพราะวีรดนย์หมดสติไปหลังจากนั้นด้วย จึงต้องรีบนำตัววีรดนย์ส่งไปที่โรงพยาบาล และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่นของวีรดนย์ จนท้ายที่สุดที่เขาต้องใช้ชีวิตอยู่แค่เพียงในโรงพยาบาลนานร่วมปีก่อนที่จะจากไป

วีร์ยังไม่อยากจะคิดว่าประวัติศาสตร์กำลังจะซ้ำรอยเก่า เขาจะเชื่อตามคำพูดของแพทย์ที่บอกว่าน่าจะเป็นเพราะการพักผ่อนน้อยในช่วงนี้ของวีส์เองที่ทำให้วูบหมดสติไป และไม่นานก็คงจะกลับมาเป็นปกติตามเดิม เพียงแต่ต้องใส่ใจหาเวลานอนหลับให้เพียงพอเท่านั้นเอง

หลายปีที่ผ่านมา วีร์บอกกับตัวเองอยู่เสมอว่าเขาไม่เชื่อเรื่องอาถรรพ์ที่ใครต่อใครพูดถึงเขากัน ไม่ว่าจะไปได้ยินมาโดยอ้อมหรือว่าจะมาถามกันตรงๆซึ่งหน้าก็ตาม เขาไม่มีคำอธิบายใดๆให้กับคนที่ปักใจเชื่อไปในแนวทางนั้น เขาไม่อยากเสียเวลาไปกับผลลัพธ์ที่รู้อยู่แล้ว

อย่างน้อยเรื่องราวในครั้งนี้ก็ไม่ได้ถูกแพร่งพรายไปสู่คนภายนอก จึงยังไม่มีใครหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาในโลกสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งทั้งวิธูและปัญจวีส์ยังคงรักษาคำพูดของตัวเอง ทำให้เขามีเวลามานั่งคิดทบทวนกับตัวเองโดยไม่มีสิ่งรบกวนจากภายนอกมาให้ไขว้เขวรำคาญใจ

แสงสีขาวส่องสว่างจากโคมไฟที่โต๊ะเขียนหนังสือ กระจายแสงส่องพอจะไปให้ถึงทั่วทั้งห้อง เว้นก็เพียงบางส่วนที่ร่างของเด็กหนุ่มบดบังไว้ให้เกิดเป็นเงาใหญ่พาดไป ถุงที่ใส่กีตาร์ไว้ยังคงวางอยู่บนขาตั้งข้างเตียงนอนได้ถูกหยิบจับมาฝึกหัดเล่นตามวิดีโอบันทึการสอนเป็นครั้งคราว

เสียงเห่าดังของสุนัขทั้งสองตัวยามเมื่อภัยคุกคามเดินผ่านอาณาเขตของพวกมัน

วีร์สูดหายใจลึกแล้วก็พ่นลมออกมา  ตอนนี้เขาต้องรวบรวมสมาธิมาจัดการงานตรงหน้าให้เสร็จเสียก่อน เรื่องอื่นๆยังพอจะรอไว้สะสางทีหลังได้

แต่บางทีเขาควรจะลงไปจัดการกับสุนัขตัวใหญ่ทั้งสองตัวเสียก่อนจะดีกว่า ก่อนที่พวกมันจะไปส่งเสียงสร้างความรำคาญให้กับเพื่อนบ้าน


*****

#VVGo4Launch

[โปรดติดตามตอนต่อไป]

ออฟไลน์ evanescence_69

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-3
จะมายังเอ่ยยย

ออฟไลน์ evanescence_69

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-3
จะมายังอ่ะ ครึ่งเดือนละน้าาา :katai5: :katai5: :katai5:

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ตอนที่ 10 ปัง ปัง ปัง


เช้าวันนี้อากาศก็ยังคงร้อนไม่ต่างไปจากวันก่อนหน้า และจะยิ่งร้อนมากขึ้นเมื่อยิ่งเข้าใกล้ฤดูแล้งที่มาถึงในอีกไม่ช้า แต่ก็ไม่อาจจะเป็นเหตุผลให้ใครลาหยุดงานได้ คู่สามีภรรยาต่างกุลีกุจอยกข้าวของเครื่องใช้ของเด็กน้อยใส่เข้าไปในรถยนต์ เตรียมพร้อมสำหรับกิจกรรมที่ศูนย์รับเลี้ยงเด็กของบริษัทที่พวกเขาทำงานอยู่

วีร์กำลังช่วยเก็บหนังสือใส่กระเป๋าเป้นักเรียนตามที่เจ้าตัวยืนยันจะให้เรียกเช่นนั้น เพราะตอนนี้เขาไม่ใช่เด็กเล็กอีกต่อไป แถมยังมน้องสาวคนเล็กอีกหนึ่งคนด้วยต่างหาก และเมื่อโตแล้วก็ต้องไปเรียนหนังสือเหมือนกับพ่อและแม่ที่ต้องไปทำงานทุกวัน วีร์จึงต้องเล่นตามน้ำช่วยเด็กโตเตรียมพร้อมเดินทางไปโรงเรียน

เมื่อเด็กทั้งสองคนประจำที่นั่งเด็กเล็กในรถยนต์เรียบร้อยแล้ว ธีร์และวนกรก็ได้เวลาออกเดินทางไปทำงานเสียที คงเหลือแต่วีร์ที่ไม่ต้องรีบออกจากบ้านไปแต่เช้าเหมือนคนอื่นๆ ยังมีเวลาเหลืออีกสักหนึ่งชั่วโมงพอจะให้ทำอะไรได้หลายอย่าง

ต้าวและเติบ สุนัขพันธุ์ขนสั้นตัวใหญ่ทั้งสองตัวออกวิ่งเล่นรอบบ้านหลังจากที่ถูกปล่อยให้เป็นอิสระเมื่อธีร์และวนกรเดินทางออกไปแล้ว ไม่นานนักมันก็มานั่งรอที่หน้าประตูบ้านเมื่อเห็นวีร์กำลังปิดประตูเตรียมออกเดินทางเช่นกัน โดยหวังว่าจะได้รับขนมไข่ของโปรดอีกสักชิ้นสองชิ้นสำหรับเช้าวันนี้

แต่ทว่าสัตว์หน้าขนทั้งสองตัวกลับเปลี่ยนใจในตอนที่วีร์กำลังล็อกประตูบ้าน เมื่อพวกมันได้ยินเสียงรถยนต์มาจอดอยู่ที่หน้าประตูรั้ว ต้าวและเติบวิ่งไปเกาะที่ประตูรั้วพร้อมกับส่งเสียงเห่าและกระดิกหางไปด้วย ราวกับจะบอกว่ามาทำไมและทำไมเพิ่งจะมาไปพร้อมๆกัน

วีร์เดินตามมาดูด้วยความสงสัย แต่เมื่อเห็นว่าเป็นรถยนต์สีดำคันเดิมแล้วความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าใยยามเช้าก็หายไปในพริบตา วีร์พยายามเดินผ่านประตูรั้วออกมาโดยระวังไม่ให้สุนัขทั้งสองตัวหลุดออกมาด้วย ตอนที่หันตัวกลับก็เจอกับชายหนุ่มร่างสูงยืนรออยู่แล้ว

“จะไปเรียนใช่มั้ย ขึ้นรถ เดี๋ยวกูพาไปส่ง” วีส์ยิ้มทักทายตามปกติ ผิดกับอีกคนที่มองดูเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย แถมยังยืนอยู่นิ่งๆไม่ขยับตัวไปไหน “ขึ้นรถเถอะน่า ไหนๆกูก็ขับมาถึงบ้านมึงแล้ว อีกอย่างกูมีเรื่องจะคุยด้วย”

วีร์พิจารณาลักษณะท่าทางของชายหนุ่มรุ่นพี่ที่ดูไม่เหมือนคนที่เพิ่งจะสลบหมดสติไปไม่กี่วันก่อนเลย การพูดจาเป็นปกติ การเดินการทรงตัวก็เป็นปกติดี ดูจะไม่มีอาการอะไรเลยแต่ก็ไม่ได้น่าไว้วางใจได้สักเท่าไหร่ อย่างหลังนี่ไม่ได้หมายถึงอาการป่วยแต่หมายถึงจุดประสงค์ที่เขามาในวันนี้

“ขึ้นรถ” วีส์บอกย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มยังไม่ยอมขยับตัว ทั้งๆที่เขาเดินไปเปิดตูเตรียมก้าวขาเข้าไปข้างในอยู่แล้ว

ถึงจะลังเลแต่วีร์ก็เดินอ้อมไปขึ้นรถแต่โดยดี กระนั้นก็ยังคอยสังเกตว่าชายหนุ่มร่างสูงอยู่เรื่อยๆ หากเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆก็จะได้คิดแก้ไขได้ทันท่วงที

“กูขอโทษนะที่ทำมึงตกใจเมื่อวันก่อน” วีส์เริ่มเปิดบนสนทนาเมื่อเขาขับออกจากปากหมู่บ้านมุ่งสู่ถนนใหญ่แล้ว “ตอนแรกกูก็ว่าจะเลื่อนนัดเพราะว่ามีงานด่วนเพิ่มขึ้นมาต้องรีบทำให้เสร็จ แต่มึงก็อุตส่าห์นัดวันมาแล้วกูก็รับปากไปแล้วด้วย ก็เลย...” วีส์มองกระจกข้างก่อนที่จะตบไฟเลี้ยวแล้วหักรถยนต์ออกเลนขวาแซงรถยนต์คันข้างหน้าไป

วีร์ไม่ได้ตอบกลับอะไร แต่ก็นึกอยู่ในใจว่าถ้าขอเลื่อนมาตั้งแต่แรกเขาก็ไม่มีปัญหาเลย มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรที่ถึงขั้นว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้สักหน่อย

“แต่ครั้งหน้าอาจจะต้องรอไปอีกสักนิดนึงนะ อย่างน้อยก็ไม่ใช่อาทิตย์นี้” วีส์กล่าวเสริม

“อันที่จริง...” วีร์กำลังจะร้องค้านแต่ก็โดนตัดคำพูดเสียก่อน

“เอาน่ะ จริงๆมึงก็พอจะจับจังหวะเข้าเกียร์ได้แล้ว เหลือแค่ลองฝึกออกตัวรถตอนที่หยุดอยู่บนทางลาดเท่านั้นเอง ไม่ให้เครื่องยนต์ดับไม่ให้รถไหลลง นอกนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว” วีส์ยังคงเข้าใจว่าเด็กหนุ่มรุ่นน้องเกรงใจที่เขาเบียดบังเวลามาช่วยสอนขับรถยนต์ให้

“คือว่า...”

“เดี๋ยวกูดูวันว่างอีกที ยังไงช่วงนี้กูก็ไม่ต้องไปซ้อมเทนนิสแล้ว แล้วก็นะ... มึงไม่ต้องเป็นห่วง คราวหน้ากูจะนอนพักไปให้เต็มที่จะได้ไม่ต้องไปหาววอดๆให้มึงดูอีก”

วีส์บรรยายเสร็จสรรพจนวีร์หาช่องจะพูดแทรกไม่ได้เลย จากเดิมที่คิดจะล้มเลิกการฝึกขับรถยนต์ระเกียร์ธรรมดา แต่ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะหาข้ออ้างอะไรมาปฏิเสธได้อีก

“แล้ว... ทำไมถึงไม่ได้ไปซ้อมเทนนิสแล้วละครับ” วีร์เปลี่ยนไปใจถามเรื่องอื่นแทน

“กูลาออกจากทีมแล้ว” วีร์หันมามองเขาด้วยความแปลกใจ วีส์จึงต้องอธิบายเพิ่มเติม “เดิมทีโค้ชก็เก็บกูไว้เป็นแค่ยันต์กันหมาอยู่แล้ว แต่เดี๋ยวนี้ในทีมมีทั้งไอ้เพชรแล้วก็มีไอ้ต่ายมาเสริมอีก ไม่จำเป็นต้องใช้ชื่อกูไปขู่ใครแล้วมั้ง”

วีร์ยังคงมองคนขับรถอยู่อย่างเดิม แต่ตอนนี้กลับมามองด้วยสายตากวาดขึ้นกวาดลงดูคนที่เคยแข่งแพ้เขามาก่อน แต่ยังกล้ามาโอ้อวดตังเองให้เขาฟัง

“ทำไม มองกูแบบนี้หมายความว่ายังไง” วีส์หันมองสลับไปมาระหว่างถนนข้างหน้ากับผู้โดยสารที่มาด้วยกัน “กูได้แชมป์เยาวชนแห่งชาติสองสมัยติด ได้แชมป์ชาเลนเจอร์มาสี่รายการ แล้วก็เกือบจะได้ไปแข่งเอทีพีทัวร์แล้วด้วย”

“แล้วทำไมไม่ไปละครับ”

“หมดอารมณ์ที่จะไปแข่ง” วีส์ยักไหล่ตอบ “กูไม่ได้อยากไปแข่งตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แค่เบื่อจะได้ยินว่ามันทำอย่างโน้นได้มันทำอย่างนี้ได้ แล้วยังไง... กูก็ทำได้เหมือนกัน” วีส์เน้นย้ำประโยคสุดท้าย

วีร์เบนหน้าไปมองข้างทางที่รถวิ่งผ่านไป เขาก็พอจะเข้าใจเหตุผล ไม่ว่าใครก็ไม่อยากโดนถูกเอาไปเปรียบเทียบ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถูกเปรียบให้ดูด้อยค่ากว่า ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม

“เอาเป็นว่า เดี๋ยวกูค่อยนักวันอีกที” วีส์ชำเลืองมองอยู่หลายครั้งก่อนตัดสินใจพูด เขาก็ไม่ได้วางแผนนำหัวข้อสนทนามาในทิศทางนี้ มันแค่หลุดปากออกไปเอง

“ก็ได้ครับ คุณว่างเมื่อไหร่ก็บอกมาก็แล้วกัน”

วีส์รู้สึกหายใจโล่งขึ้นเมื่อวีร์ยังตอบตกลงกลับมา เขานึกว่าตัวเองก็ทำโอกาสหลุดมือไปเสียแล้ว

“เออ ชมพู่ฝากมาบอกว่าอย่าลืมงานสัปดาห์บริจาคเลือดอาทิตย์หน้าด้วย”

“อ๋อ ได้ครับ” วีร์ตอบกลับสั้นๆ เพราะตัวเขาเองก็ตั้งใจจะไปร่วมกิจกรรมอยู่แล้ว เพราะก็ได้รับปากคำเชิญชวนของสองเพื่อนสนิทที่เรียนอยู่ที่คณะแพทยศาสตร์อยู่ก่อนแล้วด้วย

เมื่อได้คุยธุระที่คิดไว้จนหมดแล้ว วีส์ก็ไม่รู้ว่าจะชวนเด็กหนุ่มคุยอะไรต่ออีก เขาจึงมุ่งขับรถยนต์ไปยังจุดหมายปรายทางเพียงอย่างเดียว จึงไม่ทันได้สังเกตเห็นว่ามีคนคอยแอบมองแอบเรียนรู้การขับรถยนต์ระบบเกียร์ธรรมดาอยู่ จนกระทั้งรถเลี้ยวผ่านประตูมหาวิทยาลัย

“เอ่อ เดี๋ยวช่วยไปส่งผมที่ด้านหลังตึกคณะให้หน่อยได้มั้ยครับ” วีร์รีบบอกทันทีเมื่อรถยนต์เข้ามาในเขตของมหาวิทยาลัยแล้ว

“ได้สิ แต่ลงข้างหน้ามันสะดวกกว่าไม่ใช่เหรอ” ถึงจะตอบตกลงแต่วีส์ก็ถามต่อด้วยความสงสัย

วีร์ไม่ได้อยากจะตอบว่าถ้าหากให้ชายหนุ่มรุ่นพี่ไปส่งที่ด้านหน้าตึกคณะ ใครต่อใครก็จะเห็นกันหมดว่าเขามากับใคร และคงจะกลายเป็นหัวข้อสนทนาไปอีกหลายวัน และถึงแม้ว่าที่จอดด้านหลังตึกคณะจะไม่ใช่ที่เปลี่ยวลับสายตาคน แต่ก็มีน้อยคนที่จะเดินผ่านไปทางนั้น

“เอ่อ ถ้าเข้าด้านหลัง มันใกล้กับลิฟต์ขึ้นตึกพอดีครับ” ถึงแม้ว่าที่วีร์ตอบออกไปจะไม่ใช่เหตุผลหลักแต่ก็ฟังดูสมเหตุสมผลอยู่ไม่น้อย ทำให้ดูน่าเชื่อถือได้ไม่ยาก

“อ๋อ โอเค” วีส์ไม่ได้เอะใจอะไร ยอมทำตามแต่โดยดี เขาเบี่ยงออกจากเส้นทางหลักภายในมหาวิทยาลัยแล้ววนอ้อมไปเส้นทางรองเพื่อไปยังที่จอดรถด้านหลังตึกคณะเศรษฐศาสตร์


*****


วีร์ยืนดูจนรถยนต์คันสีดำขับพ้นไปจากสายตาแล้ว จึงหันตัวกลับเดินเข้าไปที่ตึกคณะแต่ก็ชะงักไปเสียก่อนเมื่อเห็นชายหนุ่มร่างสูงขาวหน้าตี๋กำลังยืนกอดอกจ้องมองเขาอยู่ สีหน้าท่าทางดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจแต่ก็ไม่ได้แสดงออกอะไรมากมาย วีร์จึงเดินเข้าไปทักทายใกล้ๆ

“มึงมาทำอะไรแถวนี้วะไอ้ตี๋เล็ก” วีร์ถามเมื่อเดินไปถึง

“กูจะไปเรียนที่ตึกบัญชีแต่ที่จอดรถมันเต็ม เลยนึกขึ้นได้ว่าที่คณะมึงน่าจะมีที่ว่างอยู่ตลอด ก็เลยเอารถมาจอดนี่แล้วค่อยเดินไป” ศศิทัศน์ตอบด้วยน้ำเสียงปกติ ไม่ได้มีความขุ่นเคืองอะไร “แล้วมีงอะ... มาไงวะ”

วีร์ยู่หน้าเล็กน้อยคิด ถึงจะเป็นคำถามทั่วไป แต่ความหมายมันค่อนข้างชัดเจนว่า เห็นนะว่ามากับใคร จะยอมรับดีๆหรือว่าจะให้ต้องคาดคั้น

“กูเจอพี่เขาพอดี พี่เขาก็เลยอาสามาส่งแล้วก็ฝากส่งข่าวจากพี่ชมพู่เรื่องสัปดาห์บริจาคโลหิตอาทิตย์หน้ามาด้วย” วีร์ตอบไปตามความเป็นจริง แค่ไม่ทั้งหมดเท่านั้นเอง

“อ๋อ มึงจะไปใช่มั้ย” ศศิทัศน์รู้สึกเอะใจอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่แน่ชัดนัก จึงไม่ได้สืบสาวต่อ

“ไปสิ ก็รับปากมึงไปแล้วด้วยไง”

“แหงละ โครงการนี้เฮียเป็นคนต้นคิดแล้วก็ทำจนเป็นรูปเป็นร่างขนาดนี้ มึงห้ามลืมโดยเด็ดขาด” ศศิทัศน์พูดจาหนักแน่น

“กูรู้หรอกน่า กูไม่ลืมหรอก”

“จะไปรู้เหรอ อะไรๆมันก็แน่ไม่นอน ใจคนเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา” ศศิทัศน์พูดเหมือนบ่นพึมพำกับตัวเอง แต่ก็อยากจะให้ดังไปกระทบหูของคนฟังด้วยเช่นกัน

“เป็นอะไรของมึงเนี่ย ไอ้ตี๋เล็ก” วีร์อมยิ้มเล็กๆ เพราะไม่รู้ว่าเพื่อนของเขาไปทำอะไรมาถึงได้มาแสดงอาการงอนแบบเด็กๆกับเขาแบบนี้

“เปล่า” ตอบเสียงสูงที่ไม่ได้หมายความตามที่พูด

“ถามจริง พี่ฝ้ายชินกับอาการนี้ของมึงแล้วยัง” วีร์ทำสีหน้าล้อเลียนส่งยั่วโมโหกลับไป ซึ่งก็พอจะได้ผลอยู่บ้าง

“ก็กูเรียนหนัก พี่เขาก็ต้องทำงาน กว่าจะได้เจอได้คุยกันมันก็ต้องมีบ้างเป็นธรรมดา นานๆจะได้อยู่ด้วยกันแค่สองต่อสองสักที มันก็...”

ศศิทัศน์ยั้งคำพูดของตัวเขาเองไว้เมื่อเห็นว่าวีร์กำลังจ้องเขาแบบไม่วางตา

“เอ่อ.. คือ.. กู..”

“กูก็ยังไม่ว่าอะไรนิ” วีร์ยักไหล่ตอบยืนยันว่าเขาหมายความว่าเช่นนั้นจริงๆ แล้วก็พูดต่อด้วยสีหน้าที่จริงจัง “มึงก็โตขนาดนี้แล้วแถมยังอุตส่าห์เรียนหมออีก ก็ควรจะรู้ใช่มั้ยว่าควรจะต้องป้องกันอะไรบ้าง ไอ้ตี๋เล็ก”

“กูรู้หรอกน่า ก็เห็นไอ้ต่ายมันเคยเล่าให้ฟัง... แบบว่ามึงว่าเรื่องของมันกับแพร...” ศศิทัศน์รีบตอบกลับเหมือนไม่พอใจที่ถูกจับได้ไล่ทันแต่ก็เผยรอยยิ้มออกมาให้เห็นภายหลัง

“แล้วนี่เป็นอะไรอีก ต้องให้โดนด่าก่อนแล้วมึงถึงจะยิ้มออกรึไง” วีร์ยิ้มตามเพื่อนของเขาที่ดูเหมือนจะอารมณ์ดีขึ้นกว่าเมื่อสักครู่ “หรือว่ามีอาการทางจิต เรียนหมอนี่เขามีตรวจจิตเวชอยู่แล้วใช่มั้ย”

“กูปกติดี” ศศิทัศน์ตอบกลับ “ก็แค่พอเฮียไม่อยู่ ก็ไม่มีใครบ่นใส่หูให้ฟังเหมือนเมื่อก่อน”

วีร์ยิ้มแล้วส่ายหน้าเบาๆก่อนที่จะเอื้อมมือขึ้นไปขยี้ผมของศศิทัศน์

“เดี๋ยวกูจะบ่นให้มึงฟังจนหูชาไปเลย ไอ้ตี๋เล็ก แล้วกูก็จะบอกพี่ฝ้ายช่วยด้วยอีกคน”

“มึง... จะไม่ลืมเฮียใช่มั้ย” ศศิทัศน์ถามแล้วก็ลุ้นรอฟังคำตอบ ถึงจะคาดเดาได้แต่ก็ยังรู้สึกตื่นเต้นอยู่ดี

“กูไม่ลืมหรอกน่า” วีร์ให้คำมั่น แม้ว่าระยะเวลาที่เขาได้รู้จักกับวีรมาตุจะเป็นช่วงเวลาแค่ไม่กี่ปี แต่ความประทับใจที่มีก็ยังคงตรึงอยู่ในหัวใจ

“กูกลัวว่าถ้ามึงไปมีแฟนคนใหม่ แล้วมึงจะลืมเฮีย” ความรู้สึกที่เก็บไว้ในใจของศศิทัศน์ในที่สุดก็ถูกปลดปล่อยออกมาเสียที

“มึงคิดมากแล้ว ไอ้ตี๋เล็ก” วีร์ก็พอจะเข้าใจความคิดของศศิทัศน์ คนที่เคยพยายามทุกวิถีทางเพื่อจับคู่ให้กับเขาและพี่ชายของตัวเองให้จงได้ “มึงไปได้แล้วไป เดี๋ยวจะเข้าเรียนไม่ทัน”

“เออ แล้วก็อย่าลืมวันเชงเม้งสิ้นเดือนนี้นะมึง”

“มึงก็อย่าลืมมารับกูไปด้วยก็แล้วกัน”

“แล้วก็...” ศศิทัศน์เม้มปากเหมือนคนลังเลที่จะพูด แต่อันที่จริงคือไม่อยากจะฉีกปากยิ้มกว้าง “กูดีใจนะที่มึงยังเรียกกูเหมือนเฮียว่าไอ้ตี๋เล็ก”

สองเพื่อนสนิทต่างก็ยิ้มให้กันด้วยความเข้าใจ แล้วก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง


*****


ช่วงยามบ่ายที่อากาศร้อนจัดจนแทบจะทนไม่ไหว การนั่งเล่นพูดคุยกันใต้ร่มไม้ในตอนนี้กลับไม่สุนทรีย์เหมือนเมื่อก่อน ต้องเปลี่ยนถิ่นฐานไปนั่งอยู่ภายในร้านคาเฟ่ขนมที่มีเครื่องปรับอากาศเย็นๆด้วยเท่านั้นถึงจะเอาอยู่

ชายหนุ่มร่างสูงไม่แพ้กันสองคนกำลังนั่งสนทนาอย่างออกรสออกชาติอยู่ที่มุมด้านในสุดของร้าน คนที่ไม่รู้จักหรือแค่พอจะคุ้นเคยกันก็คงจะเห็นว่าเป็นเพื่อนสนิทมานั่งสังสรรค์กัน แต่คนที่สนิทสนมเป็นอย่างด๊ก็คงจะรู้ว่าเป็นการพูดคุยของคนในครอบครัว

“เห็นพ่อถามถึงอยู่เหมือนกันว่าว่างมั้ย” ปัญจวีส์ตอบกลับในขณะที่นั่งคนแก้วกาแฟของเขาไปด้วย

“ยังไงก็วันหยุดยาวอยู่แล้วไม่ใช่เออ เจ้าสัวน่าจะว่างมั้ง” วิธูนั่งพิงหลังไปที่พนักเก้าอี้ ในมือถือแก้วน้ำที่มีหลอดขนาดใหญ่เสียบอยู่

“ไม่แน่ ช่วงนี้ก็เห็นยุ่งๆอยู่ แล้วยังต้องเตรียมตัวไปจีนตอนปิดเทอมนี้อีก” ปัญจวีส์ยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ

“ไปทำไมวะ” วิธูถามด้วยความสงสัย เขานึกว่าทุนที่พี่ชายของเขาได้รับคือให้ไปเรียนต่อหลังจากสำเร็จการศึกษาจากที่นี่ก่อนเสียอีก

“ก็อารมณ์ประมาณไปฝึกงานมั้ง เห็นว่าเขาให้ไปเรียนรู้คร่าวๆว่าต้องทำอะไรบ้างก่อน แล้วเวลาอีกหนึ่งปีที่เหลือจะได้รู้ว่าต้องเตรียมตัวอะไรเพิ่มเติมอีก”

“นี่เขาให้ไปเรียน หรือว่าให้ไปทำงานกันแน่วะ” วิธูขมวดคิ้วสงสัย เขารู้สึกตัวเองโชคดีที่สมองทางวิชาการไม่โลดแล่นเหมือนพี่ชายทั้งสองคนของเขา เลยไม่ต้องมีชีวิตยุ่งวุ่นวายอะไรแบบนั้น

“ปันปันว่าจริงๆเขาก็คงอยากจะหาคนไปทำงานกับเขาด้วยนั่นแหละ ถึงขนาดส่งทีมมาคัดคนจากทั่วภูมิภาคแบบนี้ แล้วได้ตัวตึงไปแบบเน้นๆอีกต่างหาก ต้องมีเลือกคนเข้าไปทำงานต่อด้วยอยู่แล้ว”

“แล้วถ้าเจ้าสัวได้งานที่จีนจริงๆ ก็ยังไม่รู้ว่าไอ้อ้วนจะเอายังไง”

“อืม... นั่นสินะ แค่ไปเรียนก็ปาเข้าไปสามปีแล้ว ถ้าถูกเลือกให้ทำงานอีก จะมีเวลาได้อยู่ด้วยกันแค่ไหนเชียว” ปัญจวีส์แอบบ่นเสียดาย

“จริงๆก็ย้ายไปอยู่ด้วยกันก็ได้ แต่ไม่รู้ว่าไอ้อ้วนอยากจะไปมั้ย” วิธูเขี่ยน้ำเข็งใส่ปากแล้วก็วางแก้วน้ำลงบนโต๊ะ “แต่ปัญหาใหญ่กว่าในตอนนี้คือ ไอ้อ้วนจะเปิดใจรับเจ้าสัวมั้ยก่อนรึเปล่าเหอะ”

“อ้าว ก็ไหนต่ายเคยบอกว่าตอนนี้มีแนวโน้มสูงแล้วไง” ปัญจวีส์ขมวดคิ้วมองตอบพี่ชายรุ่นเดียวกันของเขา

“ก่อนหน้านี้น่ะใช่ แต่หลังจากที่เจ้าสัวเข้าโรง’บาลไป กูละเริ่มไม่แน่ใจแล้ว” วิธูถอนหายใจ จากที่เขาคอยสังเกตุท่าทางของเพื่อนสนิทของเขาระหว่างที่ไปเฝ้าดูอาการของวีส์ที่โรงพยาบาลแล้ว เขาเริ่มเดาทางไม่ถูกแล้วว่าจะออกมาในรูปแบบไหน

“ทำไมอะ” ปัญจวีส์ถามกลับในทันที “ก็เห็นบอกว่าวีร์ไม่เชื่อเรื่องนั้นไม่ใช่เหรอ งั้นก็ไม่น่า...”

“ไม่มีใครเชื่อเรื่องนั้นเท่ามึงแล้ว” วิธูมองปัญจวีส์ด้วยหางตา

“อะไร ปันปันไม่คิดอะไรแบบนั้นสักหน่อย” ปัญจวีส์รีบออกตัวปฏิเสธ

“เหรอครับ ถ้างั้นแล้วคุณบันนี่จะเปลี่ยนชื่อทำไมละครับ ถ้าคุณบันนี่ไม่เชื่อเรื่องนั้นจริงๆ” วิธูมองตอบอย่างท้าทาย

“ก็คิโนะโกะจังชอบเรียกปันปันแบบนี้ ปันปันก็ว่ามันก็โอเคดีก็เลยบอกให้ทุกคนเรียกตาม ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกันเลย” ปัญจวีส์ยังคงแก้ตัวอย่างต่อเนื่อง ยังไม่ยอมรับข้อกล่าวหาใดๆทั้งสิ้น

“เหรอ...” วิธูถามย้ำอีกครั้งแต่ปัญจวีส์ก็ยังคงตีสีหน้าไม่รู้ไม่เห็นอย่างเดิม “แล้วเมื่อไหร่จะพาคิโนะโกะมาเจอกับเจ้าสัวแล้วก็ไอ้อ้วนสักทีวะ”

“ก็รอจังหวะเหมาะสมก่อนไง แล้วค่อยพามาเจอกัน” ปัญจวีส์จัดท่านั่งของตัวเองให้หลังยืดตรงดูสง่าผ่าเผย

“เขาก็อุตส่าห์เปลี่ยนแผนย้ายมาเรียนต่อที่ไทยเน๊อะ อยู่เรียนที่ญี่ปุ่นตามแผนเดิมก็ดีอยู่แล้ว”

“ก็...”

ปัญจวีส์กำลังจะตอบกลับแต่ก็ชะงักไปเสียก่อน เพราะมีชายหนุ่มร่างสูงมายืนอยู่ข้างโต๊ะที่พวกเขานั่งกันอยู่ ปัญจวีส์และวิธูต่าง็หันมามองหน้าถามกันว่าจะทำอย่างไรกันต่อดี ต่างฝ่ายก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเดินเข้ามาหาพวกเขาเอง

“กูนั่งได้ใช่มั้ย” ศศิทัศน์ชี้ไปที่เก้าอี้ว่างอีกตัวที่เหลืออยู่แล้วถามทั้งสองคน

“นั่งสิ” วิธูเป็นคนตอบในฐานะที่รู้จักมักคุ้นกับหนุ่มตี๋มากกว่าน้องชายรุ่นราวคราวเดียวกันของเขา

ปัญจวีส์ยังคงส่งสัญญาณผ่านสายตาไปหาวิธูให้เป็นคนเริ่มบทสนทนา เพราะเขายังรู้สึกเพื่อนตี๋คนสนิทของวีร์ยังคงตั้งแง่กับเขาอยู่

“เอ่อ... มีงมีอะไรรึเปล่าวะ” วิธูเอ่ยปากถาม

“เปล่า พอดีเดินผ่านแล้วเห็นพวกมึงนั่งกันอยู่ ก็เลยแวะเข้ามาทักทายเฉยๆ” ศศิทัศน์ตอบพร้อมกับยกมือเรียกบริกรมาเพื่อสั่งเครื่องดื่ม

บรรยากาศครึกครื้นกันเองก่อนหน้านี้ถูกแทนที่ด้วยความอึมครึมกระอักกระอ่วน ไม่รู้ว่าจะเริ่มหรือจะต่อบทสนทนาอย่างไรกันดี ว่าที่คุณหมอส่ายตามองดูซ้ายทีขวาที ผู้ร่วมโต๊ะของเขาเอาแต่ยกแก้วน้ำของตัวเองขึ้นมาชิม ไม่มีทีท่าว่าใครจะชวนพูดคุยเหมือนก่อนหน้าที่เขาเดินมาร่วมโต๊ะเลย

“กูรู้เรื่องพวกมึงแล้ว” ศศิทัศน์ตัดสินใจเปิดหัวเรื่องเอง

ทั้งวิธูและปัญจวีส์ต่างมองตากัน เพราะต่างก็ไม่รู้ว่าความลับเรื่องไหนของพวกเขาที่ถูกเปิดเผยออกไป เมื่อหันไปหาศศิทัศน์ซึ่งก็กำลังมองพวกเขาสลับไปมาอยู่ ชวนให้น่าสงสัยว่าอาจจะเป็นหลุมพรางหลอกถามก็เป็นได้ สองพี่น้องจึงไม่ได้พูดอะไรออกไป

“ไอ้ใหญ่เล่าให้กูฟังแล้ว” ศศิทัศน์เฉลยแต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ข้อมูลอะไรมากนัก เมื่อเห็นท่าทางที่ยังสงสัยของทั้งสองคนอยู่ ศศิทัศน์จึงขยายความต่อ “มันรู้มาจากแพร แล้วเห็นว่าแฟนมึงเป็นคนเล่าให้ฟัง” ศศิทัศน์หันไปหาวิธูเพื่อให้รู้เขาหมายถึงแพรไหม

“เรื่องอะไรวะ” วิธูถามกลับให้แน่ใจ

“เรื่องที่พวกมึงสองตัวเป็นพี่น้องกัน” ศศิทัศน์ถอนหายใจก่อนที่จะตอบ

“อ๋อ” วิธูร้องออกมาด้วยความโล่งใจ เขาคิดไปถึงเรื่องใหญ่โตกว่านี้ หรืออย่างน้อยเรื่องนี้ก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรสำหรับเขา และปัญจวีส์เองก็คิดไม่ต่างกันมากนัก

ศศิทัศน์เองก็รอดูว่าทั้งสองคนจะมีปฏิกิริยาอะไรมากไปกว่านี้หรือไม่ แต่ก็ดูเหมือนกันทั้งสองคนก็รอการแสดงออกของเขาอยู่เหมือนกัน

“กูหมายถึง กูรู้แล้วว่าพี่เขาเป็นพี่ของพวกมึงด้วย”

“อ๋อ” คราวนี้ทั้งวิธูและปัญจวีส์ร้องออกมาพร้อมกัน แล้ววิธูก็แกล้งทำหน้าซื่อถามกลับไป “คนไหนวะ”

“ก็มีอยู่คนเดียวตอนนี้ที่มาก้อร้อก้อติกไอ้วีร์” ศศิทัศน์เหล่ตามองวิธูว่าเขารู้ทันที่วิธูก็เข้าใจว่าเขาพูดถึงใครตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ทั้งวิธูและปัญจวีส์ต่างก็พยักหน้าว่าเข้าใจ

“แล้วมึง... มี...” วิธูเองก็ไม่แน่ใจว่าจะถามอะไร เพราะยังไม่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของศศิทัศน์ว่าต้องการอะไรถึงได้มาพูดคุยกับพวกเขาในเรื่องนี้

“กูแค่อยากรู้เฉยๆว่าตอนนี้เป็นยังไง” ศศิทัศน์ถามสองพี่น้อง

“ก็... ยังไม่มีอะไรคืบหน้าเท่าไหร่ ตอนแรกก็เหมือนจะดี แต่ตอนนี้กูไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่ะ” วิธูตอบ

“ทำไมวะ” ศศิทัศน์ถามต่อด้วยความอยากรู้อยากเห็นจริงๆ แต่ก็พยายามเก็บอาการของตัวเองไว้

“คือพวกูกยังไม่รู้ว่าวันก่อนพวกเขาแอบนัดกันไปทำอะไรมาสองคน แต่วันนั้นพี่กูเกิดป่วยต้องรีบสั่งโรงพยาบาลด่วน หลังจากนั้นไอ้วีร์มันก็... ไม่รู้สิ แบบแปลกๆ” วิธูพยายามอธิบายความคิดของเขา

“แต่กูเพิ่งเห็นพี่เขาขับรถมาส่งไอ้วีร์ที่ตึกคณะเมื่อเช้านี้เอง”

“ห๊ะ” ทั้งวิธูและปัญจวีส์ต่างก็ร้องเสียงดังขึ้นมาพร้อมกัน จนคนในร้านหลายคนหันมามองพวกเขากัน ทั้งสองคนต่างก็ขยับเก้าอี้เข้าไปใกล้ศศิทัศน์มากขึ้น

“หมอต่ายแน่ใจใช่มั้ยว่าเป็นพี่กับวีร์จริงๆ” ปัญจวีส์ถามพร้อมกับเขย่าแขนศศิทัศน์ไปด้วย

“ใช่” ศศิทัศน์พยักหน้ายืนยันคำตอบ “กูเห็นชัดๆกับตากูเลย”

วิธูกับปัญจวีส์หันมาส่งสัญญาณผ่านสายตากันอีกครั้ง ศศิทัศน์อยากจะเข้าร่วมด้วยแต่ว่าจะหันไปทางซ้ายหรือทางขวาก็ไม่มีใครหันมามองเขาสักคน

“ทำไมวะ” ศศิทัศน์ถาม

“ตอนแรกกูก็คิดไปว่าไอ้วีร์จะกลัวเรื่องอาถรรพ์ที่เขาเม้าท์ๆถึงมันอยู่” วิธูยกตัวกลับไปนั่งหลังตรงตามเดิม

“อาถรรพ์...” ศศิทัศน์ย้อนคำพูดเอามาถามซ้ำ

“ก็ที่เขาพูดกันว่ามันมีดวงกินผัว คบกับใครก็เดดซะมอเร่ย์หมดไง” วิธูไขความให้ฟัง

“อ๋อ ที่บอกว่าโดยเฉพาะแฟนชื่อวี แถมยังน้องเป็นเพื่อนสนิทมันแล้วยังชื่อต่ายเหมือนกันใช่มั้ย” ศศิทัศน์มองสลับระหว่างสองพี่น้องที่ก็พยักหน้ารับกันทั้งคู่ “แล้วไง คราวนี้ก็ไม่เห็นเหมือนกันนี่นา ก็มันชื่อ...” ศศิทัศน์ชี้นิ้วไปทางด้านปัญจวีส์ กำลังจะพูดอะไรบางอย่างแต่เขาก็นึกขึ้นได้ว่าทั้งสองคนต่างก็เป็นน้องชายของชายหนุ่มรุ่นพี่ในหัวข้อสนทนาของพวกเขา จึงเบนนิ้วไปทางด้านวิธู “อ๋อ... แต่มึงก็เป็นน้องพี่เขาแล้วก็เป็นเพื่อนไอ้วีร์อยู่แล้วนี่นะ กูก็ลืมไป”

สองพี่น้องต่างก็ยิ้มแห้งหัวเราะแหะๆ เพราะอย่างน้อยสิ่งที่ศศิทัศน์พูดมาก็ถูกต้องแล้ว... ประมาณครึ่งหนึ่ง

“ทำไมวะ” ศศิทัศน์ถามทั้งสองคน

“อ่า...” วิธูมีท่าทางลังเลที่จะตอบ ส่วนปัญจวีส์ก็ยกการตัดสินใจในเรื่องนี้ให้วิธูรับไปเต็มๆ “เอางี้... กูอยากถามมึงก่อน ว่ามึงคิดยังไงกับเรื่องนี้”

“เรื่อง...” ศศิทัศน์ถามกลับ

“ก็เรื่องของพี่วีกับวีร์ไง” ปัญจวีส์เริ่มกล้าพูดคุยกับศศิทัศน์มากขึ้น

“ก็ไม่ยังไง ถ้าไอ้วีร์มันชอบพี่เขาจริงๆ กูจะไปทำอะไรได้” ศศิทัศน์นั่งพิงหลังไปแล้วยกมือขึ้นกอดอก “เพราะต่อให้ไอ้วีร์ไม่ชอบพี่เขา ก็ใช่ว่าเฮียจะฟื้นขึ้นมาได้ซะเมื่อไหร่”

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
วิธูพยายามอ่านความคิดของศศิทัศน์ผ่านท่าทาง คำพูด และน้ำเสียง ซึ่งดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะคิดตามที่พูดออกมา

“งั้น... มึงรู้อยู่แล้วใช่มั้ยว่ากูเกิดวันเพ็ญเดือนสอง” วิธูเริ่มเท้าความ

“ใช่ ก็ที่กูเคยบอกมึงไปแล้วไงว่ากูเกิดวันเพ็ญเหมือนกันแต่เดือนเจ็ดไง” ศศิทัศน์มองตอบกลับอย่างไม่เข้าใจวิธูจะยกเรื่องนี้ขึ้นมาทำไม แล้วมันมาเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่พวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่

“อ้าวจริงเหรอ ปันปันก็เกิดวันพระจันทร์เต็มดวงแต่ว่าเดือนสิบเอ็ด งั้นแสดงว่าปันปันก็ยังเป็นน้องเล็กสุดละสิ เย้!” ปัญจวีส์กำมือชึ้นทั้งสองข้างอย่างดีใจ ส่วนวิธูก็ส่งสายตาปรามไปหาเจ้าตัวที่ดีใจไม่รู้จักเวลา

“มึงเก็ตมั้ย พ่อแม่ตั้งชื่อให้กูว่ากระต่ายเพราะว่ากูเกิดวันเพ็ญ เหมือนกับมึงที่อาม่ารียกมึงว่ากระต่าย” วิธูต่อเรื่องราวให้ศศิทัศน์เข้าใจ “ส่วนมัน...”

“ทุกวันนี้คุณยายยังเรียกปันปันว่าลูกกระต่ายอยู่เลย” ปัญจวีส์แย่งวิธูตอบเอง

“หมายความว่ามึงไม่ได้ชื่อปันปันแต่แรก” ศศิทัศน์ถามย้ำ

“ใช่” ปัญจวีส์ยิ้มตอบสั้นๆได้ใจความ

“แล้วทำไมมึงถึงเปลี่ยนไปเป็นปันปันวะ หรือว่ามึงเชื่อตามที่เขาพูดกัน” ศศิทัศน์ถามต่อ

“เปล่า” ปัญจวีส์รีบตอบปฏิเสธทันที แบบเสียงสูงขึ้นมานิดหน่อย “มันก็... ไม่เชิงหรอก มันมีเรื่องอื่นปะปนมาด้วย แต่มันลงตัวพอดี”

ศศิทัศน์ยกตัวขึ้นวางแขนทั้งสองข้างทับซ้อนกันลงบนโต๊ะ แล้วก็จ้องมองปัญจวีส์แบบไม่ต้องส่งเสียงแต่เข้าใจได้ชัดเจนได้ทันทีว่าควรจะอธิบายออกมาให้หมด

“ก็... เวลาคิโนโกะจังเรียกชื่อกระต่ายแล้วเขาออกเสียงไม่ชัด ฟังดูเหมือน กะตาย กะตาย พอบอกให้เขาเข้าใจความหมายเขาก็ตกใจ แล้วก็บอกว่าเขาขอเรียกว่าปันปันแทนได้มั้ย ปันปันเองก็ว่าโอเคดี ก็เลยบอกให้ทุกคนเรียกตามชื่อใหม่ไปเลย”

“คิโนะโกะจัง นี่ใครวะ” ศศิทัศน์ถาม แล้วก็ยกตัวขึ้นนั่งตามปกติ

“แฟนมัน เจอกันตอนมันไปเรียนซัมเมอร์ที่ญี่ปุ่น ตอนนี้มาเรียนอยู่วิท’ลัยนานาชาติที่กรุงเทพฯ” วิธูเป็นคนชิงตอบแทน

“อ๋อ” ศศิทัศน์พยักหน้ารับรู้ แล้วก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “งั้น ก็กลับมาลงล็อคเหมือนเดิมละสิ คนพี่ชื่อวีมีน้องชื่อกระต่ายมาเป็นเพื่อนสนิทไอ้วีร์ แต่ โอ้...” ศศิทัศน์มองสลับไปมาระหว่างสองพี่น้อง “... แถมรอบนี้มาแบบคูณสองอีกต่างหาก”

“ก็ถ้ามึงเชื่ออะนะ” วิธูยักไหล่ตอบ “แต่ก็นะ พอดีว่าไม่ค่อยมีคนรู้เรื่องนี้สักเท่าไหร่ ขนาดเพื่อนกูบางคนที่ไม่ได้สนิทกันจริง ยังไม่รู้เลยว่ากูมีพี่น้องอีกสองคน เพื่อนมันบางคนก็เหมือนกัน”

“ใช่ ของปันปันก็มีแต่โจ๊กกับโชกุนที่รู้เพราะว่าพวกนั้นก็สนิทกับพี่วีด้วย ส่วนคนอื่นๆก็ไม่ค่อยรู้กันหรอก อาจจะเป็นเพราะว่าใช้นามสกุลไม่เหมือนกันด้วยมั้ง”

“หึ นี่ถ้าข่าวเรื่องที่พี่เข้าโรง’บาลเมื่อวันก่อนแพร่ออกไปนะ ได้ลือกันกระหึ่มอีกรอบแน่” วิธูทั้งส่ายหน้าทั้งถอนหายใจ

“เดี๋ยวปันปันไปบอกให้คุณยายส่งคุณทนายมาช่วยอีกรอบก็ได้ เรื่องเงียบทันตาเห็น” ปัญจวีส์เสนอทางแก้

“ปล่อยคุณทนายทำไปคดีของเฮียให้เสร็จก่อนดีกว่ามั้ง” เมื่อพาเรื่องราววนไปทิศทางนั้นแล้ว วิธูก็อดที่จะถามศศิทัศน์ต่อไม่ได้ “ว่าแต่เรื่องคดีไปถึงไหนแล้ววะมึง”

ศศิทัศน์ชักสีหน้าและตอบอย่างมีอารมณ์ขึ้นมาในทันที

“กูไม่ได้ใส่ใจจะตาม เท่าที่รู้ทนายฝั่งโน้นก็ช่วยให้รอดคุกได้แล้วแน่ๆ หึ ก็เล่นยอมรับสารภาพซะหมดเปลือกตามแผนตั้งแต่แรกขนาดนั้น ตอนนี้ก็เหลือแค่รอลงอาญา ส่วนคดีแพ่งก็แล้วแต่ทนายเครือล้ำเลิศจัดการให้ ยังไงป๊ากับม้ากูก็ไม่ได้สนใจเรื่องเงิน ได้มาเท่าไหร่ก็จะบริจาคให้โรงพยาบาลทั้งหมดอยู่แล้ว”

“ก็... โอเค” วิธูพยายามจะไม่กวนน้ำให้ขุ่นไปมากกว่านี้และดึงหัวข้อสนทนาวนกลับมาเรื่องเดิม “งั้น สรุปว่าเรื่องพี่กับไอ้อ้วน มึงไม่ติดใจอะไรแล้วใช่มั้ย”

“ไม่” ศศิทัศน์ยกมือขึ้นกอดอกและพิงหลังไป “แล้วพวกมึงจะให้กูช่วยอะไรมั้ย”

สองพี่น้องรู้สึกแปลกใจ เพราะอารมณ์ที่เปลี่ยนกะทันหันของศศิทัศน์ และเรื่องที่เขาออกตัวว่าจะช่วยด้วยอีกแรง ทั้งๆที่เคยมีความคิดต่อต้านมาก่อน

“อ่า... ตอนนี้ยังก่อน” วิธูลังเลที่จะตอบเพราะอันที่จริงเขาก็ยังไม่มีแผนอะไรในตอนนี้

“ต่ายบอกว่าช่วงนี้อย่างเพิ่งทำอะไรมาก ไม่งั้นเดี๋ยววีร์จะมีปฏิกิริยาต่อต้านไปคนละทาง” ปัญจวีส์อธิบายเพิ่มเติม

“อืม โอเค มีอะไรให้ช่วยก็บอกละกัน” ศศิทัศน์พยักหน้าให้กับสองพี่น้อง ก็คงจะมีปัญจวีส์ที่ยิ้มหน้าบานตอบกลับ เพราะความรู้สึกบึ้งตึงของศศิทัศน์ที่มีต่อเขามานานหลายเดือน ดูเหมือนจะหมดไปแล้ว


*****


(แนบรูปภาพแอบถ่ายจากด้านนอกร้าน) ต่าย วิดกีฬา หมอต่าย แล้วก็ปันปัน เสดสาด แต่งฟิคเรื่องอะไรดี ช่วยกันคิดหน่อย
รุมมาตุ้มรุมรักคุณหมอสุดคิ้วตี้ ใช้ได้มั้ย

ฐานันดร มุ่งทางธรรม: มีแฟนกันหมดแล้วทั้งสามคนเลยนะนั้น
เรื่องจริงกับเรื่องแต่งไม่เอามาปนกันสิคะ #อย่าขวางทางจิ้น

VNND: ?


*****


ด้านหน้าอาคารอเนกประสงค์ที่ถูกจัดเป็นสถานที่จัดกิจกรรมสัปดาห์บริจาคโลหิตครั้งที่สามของปีการศึกษา มีป้ายขนาดใหญ่ติดประดับตกแต่งไว้ ทั้งป้ายชื่องาน ป้ายแสดงคุณสมบัติของที่สามารถบริจาคได้ ป้ายแสดงขั้นตอนการบริจาค

รวมไปถึงป้ายที่มีขนาดใหญ่มากกว่าป้ายอื่นๆเพื่อประชาสัมพันธ์คลินิกนิรนาม โดยเฉพาะคิวอาร์โค้ดที่เชื่อมโยงไปถึงเว็บไซต์ของคลินิกนิรนามที่สามารถยกโทรศัพท์ขึ้นมาแสกนได้จากระยะไกลจากป้ายหลายสิบเมตร รวมถึงข้อความขนาดใหญ่แจ้งว่า โปรดอย่าใช้การบริจาคโลหิตเพื่อตรวจโรค คลินิกนิรนามมีบริการฟรี

วีร์และเพื่อนๆที่เคยมาร่วมกิจกรรมในครั้งก่อนหน้านั้นก็เดินทางมาถึงบริเวณจัดงาน แต่ละคนก็ค่อยๆทยอยกันไปกรอกใบสมัครร่วมกิจกรรมในวันนี้ ยกเว้นก็เพียงดวงใจที่ขอนั่งรออยู่ด้านหน้าอาคารก็พอ

วีร์ขอแยกตัวจากเพื่อนร่วมคณะเพื่อไปทักทายกับเพื่อนร่วมโรงเรียนเก่าที่กำลังศึกษาอยู่คณะแพทยศาสตร์ในฐานะเจ้าถิ่นที่ร่วมจัดงาน และเพื่อนเก่าที่เรียนคณะอื่นๆด้วยเช่นกัน

“ไม่คิดว่าคนอย่างมึงจะมาด้วยนะเนี่ย” “ใช่ๆ งานบุญงานกุศลไม่น่าจะได้เห็นมึงอยู่ด้วยนะเนี่ย”

“อื้อหือ พ่อพระพ่อมหาจำเริญ อย่าให้กูเห็นพวกมึงเหยียบไปที่ร้านพี่กูอีกนะ เดี๋ยวกูบอกให้พี่กูชาร์ตพวกมึงหนักๆ ในฐานะลูกหลานเครือล้ำเลิศ เอาขนหน้าแข้งร่วงซะให้หมด” ข้าวฟ่างสวนกลับนพชัยและชัยทิศ

“เอาเลย พวกกูไม่กลัว” “เพราะพวกกูไม่ไป”

ข้าวฟ่างกำลังจะพุ่งตัวเข้าหาคู่แฝดแต่ก็โดนยั้งตัวไว้เลียก่อน

“วีร์” ชายหนุ่มลูกครึ่งยิ้มทักทายคนที่เดินมารวมกลุ่มกับพวกเขา   

“พวกมึงมากันเร็วดีนะ” วีร์ก็ยิ้มกลับและทักทายคนอื่นๆด้วย

“หึ เพื่อนกลุ่มอื่นเขานัดกันไปกินเลี้ยง มีแต่กลุ่มพวกเรานัดกันมาเสียเลือด” ข้าวฟ่างยืนกอดอก สายตายังคงจ้องคู่แฝดไม่ลดละ

“เอาน่ะ เขาเรียกว่าร่วมทำบุญทำกุศล แล้วงานนี้เฮียวีเป็นคนเริ่มทำไว้ เอาเป็นว่ามาช่วยๆกันสานต่องานให้สำเร็จ” วีร์ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นที่ทำให้เพื่อนของเขามีอาการแบบนั้นไปได้ แต่เมื่อเห็นว่าคู่กรณีของข้าวฟ่างคือนพชัยและชัยทิศ เขาก็พอจะเดาเรื่องราวออก

“กูก็ไม่ได้ว่าอะไร ยังไงกูก็ต้องมาอยู่แล้ว” ข้าวฟ่างหันไปพยักหน้าให้กับศศิทัศน์ “แล้วนี่มึงเพิ่งมาถึงเออ พวกกูกำลังรอเรียกคิวเตียงว่างอยู่เนี่ย” ข้าวฟ่างหันมาถามวีร์ต่อ

“ใช่ เพิ่งเลิกเรียน กูเดินมากับพวกเพื่อนที่คณะ” วีร์ชี้นิ้วไปด้านหลังทิศทางที่เพื่อนเขารวมกลุ่มกันอยู่

ข้าวฟ่างก็หันมองตาม ก็เห็นคนกลุ่มใหญ่พอสมควรกำลังกรอกเอกสารกันอยู่ รวมถึงชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งที่กำลังเดินตรงมาหาพวกเขา ข้าวฟ่างก็สะกิดชายหนุ่มลูกครึ่งที่เป็นเพื่อนสนิทกันให้รู้ตัว

“วีร์ ปันปันเอานี่มาให้กรอก” ปัญจวีส์ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้กับวีร์ แล้วก็โบกมือทักทายศศิทัศน์ รวมถึงลูกพี่ลูกน้องของเขาเองอย่างนพชัยและชัยทิศด้วย

“อ๋อ ขอบคุณมาก” วีร์รับใบสมัครดู แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเขาไม่ได้หยิบปากกาติดตัวมาด้วย ในขณะที่กำลังมองซ้ายมองขวาว่าจะทำอย่างไรดีก็มีคนยื่นปากกามากให้... สามแท่ง จากสามคน ปัญจวีส์ ศศิทัศน์ และเดวิด

เนื่องจากว่าพวกเขายื่นปากกามาพร้อมกันแบบนี้ทำให้วีร์เลือกไม่ถูกว่าจะรับปากกาจากใครดี แต่ความเป็นจริงแล้วต้องบอกว่าวีร์ยังไม่มีเวลาได้ทันคิดว่าเขาควรจะรับปากกามาจากใคร ควรจะรักษาน้ำใจของใคร หรือควรจะคิดอะไรมากไปกว่านี้ เพราะว่าตัวเขาถูกลากออกไปจากวงสนทนาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว

วีร์มองหน้าเพื่อนๆแต่คนที่กำลังมองดูเขาอยู่ด้วยอาการที่แตกต่างกันไป ส่วนใหญ่จะมองด้วยความแปลกใจ ศศิทัศน์มีสีหน้าเรียบเฉยเป็นปกติ นพชัยและชัยทิศแสดงความอยากรู้อยากเห็น ปัญจวีส์ยิ้มหน้าบานก่อนที่จะหันมาลาทุกคนแล้วก็เดินตามออกไปด้วย เดวิดก็คิดจะเดินตามไปแต่ถูกข้าวฟ่างรั้งไว้เสียก่อน

วีร์หันมาเห็นคนที่กำลังจับต้นแขนของเขาและออกแรงลากให้เขาเดินตามไป ในสถานการณ์อื่นๆเขาก็ไม่ได้รู้สึกยินยอมพร้อมใจอยู่แล้ว และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลานี้ที่ถูกจับจ้องจากสายตานับร้อยคู่ วีร์พยายามขืนตัวแต่ก็ไม่เป็นผลมากนัก

“ชมพู่” วีส์ร้องเรียกหญิงสาวที่กำลังทำหน้าที่เป็นแม่งานคอยจัดการงานทุกอย่างให้ดำเนินไปอย่างราบรื่น

“อ้าว มาแล้วเหรอคะ” หญิงสาวอดีตดาวคณะแพทยศาสตร์หันมายิ้มตอบรับ แล้วก็มองเลยไปหาคนที่เดินตามหลังมาติดๆ “น้องวีร์ มาพอดีเลย”

วีร์ยิ้มทักทายกลับ แต่ภายในใจยังไม่เข้าใจเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ที่แน่ๆคือ ปล่อยแขนเขาได้หรือยัง

“น้องวีร์น้องปันปันสนใจบริจาคโลหิตเฉพาะส่วนมั้ยคะ” หญิงสาวถามเด็กหนุ่มทั้งสองคน

“เอ่อ... ยังไงเหรอครับ” วีร์ถามกลับไป

“การบริจาคโลหิตเฉพาะก็ไม่ต่างจากการบริจาคปกติทั่วไปเท่าไหร่ เพียงแต่ว่าจะใช้เวลานานกว่าประมาณสองถึงสามชั่วโมง เพราะว่ามันมีกระบวนการนำเลือดไปปั่นแยกส่วนผ่านเครื่องแล้วดึงส่วนที่ต้องการออกมา จากนั้นก็ส่งส่วนประกอบอื่นๆที่เหลือกลับเข้าร่างกายผู้บริจาค มันเลยใช้เวลานาน น้องวีร์สนใจมั้ยคะ”

วีร์ยังไม่แน่ใจมากนัก เขาลังเลที่จะตอบตกลงแต่ก็ไม่อยากจะปฏิเสธ ส่วนปัญจวีส์ก็รอให้วีร์เป็นคนตัดสินใจก่อนแล้วเขาค่อยทำตาม

“คืออย่างนี้ ตามปกติเลือดที่เรารับบริจาคมาแล้วจะต้องเอาไปปั่นแยกส่วนประกอบอยู่แล้ว เม็ดเลือดแดง เกร็ดเลือด แล้วก็พลาสม่า แล้วก็ไปผ่านกระบวกการทำให้ปลอดภัยแล้วค่อยเอามาผสมกันอีกที” หญิงสาวอธิบายเพิ่มเติมเพราะคิดว่าวีร์อาจจะไม่เข้าใจวิธีการจึงไม่สามารถตัดสินใจได้ เธอจึงพยายามให้ข้อมูลให้ได้มากที่สุด

“คนไข้ที่ต้องการเม็ดเลือดแดง เราก็จะรวมเม็ดเลือดแดงจากของผู้บริจาคหลายคนรวมกันให้พอแล้วส่งต่อไปให้ผู้ป่วย คนใช้ที่ผ่าตัดก็อาจจะต้องให้เกร็ดเลือดมากสักหน่อย เกร็ดเลือดที่รับมาจากผู้บริจาคโลหิตแบบรวมส่วนคนเดียวจะไม่พอ ก็เลยต้องเอาจากหลายๆคนรวมกัน ฉะนั้นถ้าได้รับเกร็ดเลือดจากคนเดียวกัน ความเสี่ยงที่จะมีอาการต่อต้านไม่พึงประสงค์ก็จะน้อยลงไปด้วย”

วีร์ยังคงลังเลอยู่ ไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่อยากลองบริจาคโลหิตเฉพาะส่วนแต่เพราะว่าต้องใช้เวลานาน ถึงแม้ว่าช่วงบ่ายหลังจากนี้เขาจะไม่มีเรียนแต่ก็ได้นัดไปทำงานกลุ่มกับเพื่อนๆไว้แล้ว วีร์หันไปหาปัญจวีส์เพื่อจะถามความเห็น

“อ้าว นุ้ย มากันเออ” เสียงทุ้มดังแทรกขึ้นมาระหว่างที่วีร์กำลังจะตัดสินใจ

“อ้าว พี่ภูมิ บริจาคเสร็จแล้วเออ” วีร์ทักทายกลับ เขามองดูชายหนุ่มร่างสูงผิวเข้มที่เพิ่งจาะเดินออกมาจากพื้นที่ด้านใจและมีสำลีปิดตรงที่ข้อพับแขน

“ใช่ เขาส่งหนังสือเวียนเชิญไปทุกคณะ พอดีว่าว่างอยู่ก็เลยมา” ภูมิยกแขนให้วีร์ได้เห็นชัดๆ “แล้วนี่...” ภูมิมองดูหลานชายของเขา แล้วก็ย้ายสายตาไปหานักศึกษาในที่ปรึกษาของเขา ก่อนที่จะส่ายตาลงมองต้นของเด็กหนุ่มแล้วก็กลับไปมองชายหนุ่มคนเดิม

เหมือนว่าวีส์เพิ่งรู้ตัวว่ายังจับแขนของเด็กหนุ่มนับตั้งแต่ที่เขาลากตัวออกมาจากกลุ่มเพื่อนจนถึงตอนนี้ ปัญจวีส์แสร้งทำเป็นกระแอมเสียงไม่ดังมากนัก เอาแค่พอให้ได้ยิน วีส์จึงปล่อยมือออกแต่โดยดี โดยที่ไม่ต้องบอกกล่าวอะไรเพิ่มเติม

“นุ้ยกำลังคุยกับพี่เขาอยู่ พี่เขาชวนบริจาคเฉพาะส่วน” วีร์อธิบายให้ภูมิฟัง แม้ว่าจะไม่ใช่คำตอบของคำถามที่ภูมิตั้งใจจจะถามก็ตาม

“อ๋อ เอาสิ มันไม่อันตราย แค่ใช้เวลานานกว่าสักฮิดเท่านั้นเอง”

“ใช่คะ มันไม่มีอันตราย ปลอดภัยทุกขั้นตอนและได้ช่วยคนป่วยด้วยค่ะ” หญิงสาวย้ำคำอีกครั้ง “แล้วก็วันนี้คนลงทะเบียนบริจาคเฉพาะส่วนมีไม่มาก มีเตียงว่างอยู่หลายเตียงเลยค่ะ”

“เอ่อ... งั้นก็ได้ครับ” ในที่สุดวีร์ก็ตอบตกลงเมื่อได้รับคำยืนยันจากหลายคน

“งั้น เดี๋ยวน้องวีร์น้องปันปันไปกรอกใบสมัครให้เรียบร้อย แล้วเอามาให้พี่นะคะ เดี๋ยวจะได้เข้าไปพร้อมกันเลย” ไม่ต้องมีใครบอกก็สามารถรับรู้ได้เลยว่าจะต้องเข้าไปพร้อมกันกับใคร “อาจารย์คะ เดี๋ยวอาจารย์ไปรับของว่างแล้วนั่งพักสักสิบห้านาทีก่อนนะคะ”

ภูมิพยักหน้ารับแล้วก็เดินออกไปยังจุดที่แจกอาหารว่างให้แก่ผู้ที่บริจาคโลหิตเสร็จแล้ว ส่วนวีร์ก็แอบชำเลืองมองชายหนุ่มร่างสูงก่อนที่จะเดินตามภูมิไป

“อันนี้ไปตามน้องเขามาดีๆ หรือว่าไปบังคับมากันแน่” หญิงสาวเอียงไปกระซิบล้อเล่นถามเพื่อนเก่าเพื่อนแก่กันมาหลายปี

“ก็ไปตามมาให้แล้วไง เห็นบอกว่าอยากเจอไม่ใช่รึ” วีส์ย้อนกลับหญิงสาว

“จ้า... แล้วนี่จะเข้าไปเลยมั้ย หรือว่าจะรอ” หญิงสาวถามต่อ แต่เมื่อเห็นสายตาที่มองตอบกลับมาก็รู้คำตอบได้ในทันที “โอเค... แล้วน้องปันปันกรอกใบสมัครเสร็จรึยังคะ”

“ของผมเสร็จแล้วครับ” ปัญจวีส์ยกแผ่นกระดาษขึ้นมาให้หญิงสาวเห็น

“งั้นเดี๋ยวไปซักประวัติแล้วเจาะตัวอย่างเลือดเลยนะคะ เดี๋ยวจะได้เข้าไปพร้อมกันเลย”

แล้วหญิงสาวเดินนำพาปัญจวีส์ออกไป แต่ไม่ลืมหันมายิ้มอย่างมีเลศนัยให้กับวีส์ วีส์ส่ายหน้ากรอกตามองบน แล้วก็หันไปดูเด็กหนุ่มที่กำลังนั่งกรอกรายละเอียดในใบสมัครอยู่ข้างชายหนุ่มร่างสูงผิวเข้มที่กำลังมองกลับมาหาเขาอยู่ วีส์รีบหันไปมองทางอื่นแต่ก็แอบชำเลืองดูอยู่เรื่อยๆ


*****


(แนบรูป) มาช้ามีอดนะบอกไว้ก่อน ยิ่งช่วงนี้นานๆจะได้เห็นเขาอยู่ด้วยกันสักที #VVGo4Launch #GiveBloodGiveLifeครั้งที่3 #ชมพู่น่ารักมาก
ทำไม ทำม๊าย จะต้องเป็นวันที่ฉันไม่ได้ไปมหาลัยด้วย ฮือๆ
เห็นเขาเดินจูงมือกันผ่ากลางฮอลล์แบบโนสนโนแคร์ใดๆ เราก็ชื่นใจเป็นที่ซู้ดดดด

Apollo20: (แนบรูปเตียงผู้บริจาคโลหิตเฉพาะส่วนสองเตียงติดกัน)
VNND: จะลบรูปเองดีๆ หรือจะลบทั้งน้ำตา


*****


บรรยากาศสวนหลังบ้านล้ำเลิศรัตนทรัพย์ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ก็คึกคักตามปกติ ผู้คนมากหน้าหลายตามาจับจ่ายใช้สอย หรือมาหาความบันเทิงตามที่ตนต้องการ วีร์และเหล่าพองเพื่อนก็เช่นกัน

วันนี้เป็นวันรวมตัวของเพื่อนโรงเรียนเก่าที่เริ่มจะมีเวลาอยู่ด้วยพร้อมหน้าน้อยลงเรื่อยๆตามภาระและหน้าที่ของแต่ละคนที่ต้องรับผิดชอบ ถือฤกษ์งามยามดีที่ทุกคนว่างพร้อมกัน จังได้นัดมาพบปะสังสรรค์กันที่ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้

“อยู่กันครบทุกคนแบบนี้ เห็นแล้วอยากทำปิ้งย่างแล้วนั่งกินรอบกองไฟจังเลย” “ช่าย รอบที่แล้วงานล่มไม่เป็นท่า รอบหน้าต้องทำสำเร็จให้ได้”

“พวกมึงจะบอกว่าเป็นความผิดของกู” วีร์เอียงหน้ามองนพชัยและชัยทิศด้วยหางตา

“ไม่ใช่เลยเพื่อนวีร์ พวกกูไม่เคยโทษมึงเลย” “ใช่ๆ ความผิดทั้งหมดเป็นของพวกกูเอง มึงไม่เกี่ยวเลย”

วีร์พยักหน้าแล้วก็หันไปมองทางอื่นๆ นพชัยและชัยทิศก็ถอนหายใจโล่งออกมาพร้อมกัน

“แล้วนี่รออะไรอยู่วะ” พระยศถามแล้วก้หันมองรอคำตอบจากเพื่อนๆ

“ก็รอไอ้ต่ายไง มันเพิ่งไลน์มาว่าอาบน้ำเปลี่ยนชุดเสร็จแล้ว กำลังออกมา” วีร์ตอบ

“มันไปไหนมาวะ” สุรศักดิ์ที่ยุ่งอยู่กับที่ร้านอาหารอยู่ทุกวัน แต่วันนี้ขอหยุดงานเป็นกรณีพิเศษเพื่อมาเจอกับเพื่อนๆ

“ไปซ้อมเทนนิส เห็นว่าเดือนหน้ามีแข่งสองรายการ”

“อ๋อ” สุรศักดิ์พยักหน้ารับ แล้วก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออก ในเมื่อลูกหลานเครือล้ำเลิศที่เป็นเพื่อนพวกเขามาอยู่กันที่นี่สองคนแล้ว ดังนั้น... “แล้วไอ้ปันเพื่อนมึง บ้านมันก็อยู่แถวนี้ จะโทรตามมันมาด้วยมั้ยวะ”

“มันไม่อยู่ มันไปกรุงเทพฯกับแม่มัน” คนที่ตอบนั้นไม่ใช่วีร์แต่ว่าเป็นศศิทัศน์ ทุกคนจึงหันมามองเป็นตามเดียว ต่างพากันสงสัยว่าทำไมคนที่ไม่ถูกชะตากันถึงได้รู้เรื่องกันได้ “ไอ้ต่ายบอกกูมา”

“งั้นก็ ไปหาร้านกันเลยมั้ยละ กว่าไอ้ต่ายมาถึงจะได้ไม่ต้องรอนานอีก” สุรศักดิ์เสนอความเห็น ซึ่งคนอื่นๆก็เห็นตามด้วย จึงชวนกันออกเดินไปหาร้านอาหารที่ต้องการ


*****

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
อีกฝากหนึ่งภายในห้างสรรพสินค้าเดียวกัน ชายหนุ่มสามคนกำลังเดินไปเรื่อยเปื่อยไม่ได้มีจุดหมายแน่นอน ระหว่างที่ชวนพูดคุยกันก็เดินจากแผนกสินค้าหนึ่งต่อไปอีกแผนกสินค้าหนึ่ง นานเข้าก็เริ่มรู้สึกหิวจึงชวนกันเดินไปบริเวณร้านอาหาร

“แดกอะไรกันดีวะ” พุทธชาติถามเพื่อนทั้งสองคน

“แล้วแต่พวกมึงดิ กูยังไงก็ได้” วีส์ตอบแล้วมองดูรอบๆแบบไม่ได้ใส่ใจอะไรเป็นพิเศษ

“คือ... มึงกินครบทุกร้านจนเบื่อแล้ว ก็เลยให้พวกกูเป็นคนเลือกเองว่างั้น” พุทธชาติถามกลับ

“มันแทบจะนับร้านที่มันเคยเข้าไปกินได้ไม่เกินนิ้วมือมั้ง” กฤษณะตอบกลับให้แทน

“ไรวะ ของบ้านตัวเองแท้ๆ ถ้าเป็นกูนะ จะเดินทุกวันให้ทั่วทุกซอกเหลือบมุมตึกเลย” พุทธชาติมองดูวีส์ที่ยังคงมีท่าทางไม่ค่อยสนใจอะไร

“บ้านกูทำเรียลเอสเตทไม่ได้บริหารห้างเว้ย แล้วกูก็ไม่ค่อยได้กลับบ้าน ห้างนี่ถ้าไม่ได้มีธุระจำเป็นจริงๆก็แทบจะไม่ได้มาเดินเลยด้วยซ้ำ”

“ตอนที่พวกมึงอยู่ประจำกันกูก็พอจะเข้าใจว่าทำไมไม่ค่อยได้กลับ แต่ตอนที่มึงย้ายมาแล้วเนี่ย กูก็ยังงงอยู่ว่าทำไมมึงไม่ค่อยกลับบ้านบ้างวะ” พุทธชาติถาม

“ก็อยู่ที่อพาร์ทเมนต์มันสะดวกดี ใกล้สนามซ้อม เลิกสามสี่ทุ่มเสร็จแล้วก็เดินขึ้นห้องได้เลย”

“แถมยังไม่เคยชวนกูขึ้นห้องเลยสักครั้งเดียว” พุทธชาติส่ายหน้าเบาๆกับเรื่องความหลัง “แต่เสียดายว่ะที่มึงไม่แข่งต่อ แต่ก็นะ...กูก็เลยขี้เกียจแข่งไปด้วย” พุทธชาติไม่ใช่บ่นเพราะเสียดายโอกาส แต่เพราะไม่มีเพื่อนชวนกันฝึกซ้อมก็เลยไม่ได้คิดจะลงแข่งขันต่อไปอีก “เออๆ ไอ้คนที่มึงบอกว่ายังเอาชนะไม่ได้ มึงยังได้เจอกันอีกมั้ยวะ กูอยากรู้ว่าผลเป็นไง”

วีส์วางสีหน้าเรียบเฉย เรื่องราวเก่าๆที่ฝังลงไปลึกมากแล้วกลับถูกดึงกลับขึ้นมาบนพื้นผิวอีกครั้ง เขาไม่ได้โกรธอะไรพุทธชาติ เพราะรู้จักกันดีว่าไม่ได้คิดอะไรในแง่ร้าย

“เปล่า ไม่ได้เจอกันแล้ว” วีส์ตอบสั้น

“วะ เสียดายว่ะ เห็นมึงเคยซ้อมเอาจริงเอาจังขนาดนั้น ยังสู้ไม่ได้อีกเหรอวะ”

“ถึงเขาจะยังแข่งอยู่ กูก็คงไม่มีทางชนะอยู่ดี”

“เอาเหอะมึง ไปหาอะไรกันกันดีกว่า” กฤษณะที่รู้เรื่องราวเบื้องลึกพยายามดึงบรรยากาศไม่ให้อึมครึมไปมากกว่านี้ และเขาก็เริ่มรู้สึกหิวจริงจังขึ้นมาแล้วด้วย

ทั้งสามหนุ่มเดินเลือกร้านอาหารจนกว่าจะได้ตามที่ต้องการ คือรอคิวไม่นานหรือมีโต๊ะว่างที่สามารถเข้าไปนั่งไปเลยทันทีก็ยิ่งดี แต่ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้ก็ยากที่จะได้ร้านแบบนั้น จำต้องรอต่อคิวยาวไปเสียหมด นอกเสียจากว่าจะได้เจอคนรู้จักที่มีโต๊ะนั่งอยู่ภายในร้านแล้ว

“มึงๆ ดูในร้าน” พุทธชาติรั้งตัววีส์และกฤษณะไว้ก่อนที่จะเดินผ่านไป

วีส์และกฤษณะมองตามสายตาพุทธชาติเข้าไปด้านในของร้าน ก็เห็นเด็กหนุ่มกลุ่มใหญ่พอสมควรกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสานาน บนโต๊ะมีเพียงแก้วน้ำและจามพร้อมช้อนส้อมวางอยู่ตรงหน้าแต่ละคน

“ไปหาร้านอื่นกินเอาก็ได้” วีส์เสนอพร้อมเตรียมตัวจะออกเดินแล้ว

“ไม่ทันแล้วมึง น้องมึงเห็นแล้ว” กฤษณะแอบกระซิบบอก แล้วก็บุ้ยหน้าไปทางด้านในของร้านอาหารที่วิธูกำลังโบกไม้โบกมือมาให้พวกเขา แล้วก็ลุกเดินออกมาหา

“สวัสดีครับพี่ๆ” วิธูทักทายรุ่นพี่ทุกคน “มาทำอะไรกัน”

“พวกกูกำลังเดินหาร้านอยู่ แต่คนเยอะชิบหาย แน่นไปทุกร้านเลย” พุทธชาติออกปากแทนเพื่อนๆ

“เหรอ... งั้นมากินด้วยกันเลยมั้ย พอมีที่ว่างอยู่” วิธูชี้นิ้วเข้าด้านในของร้านอาหารที่เขาเพิ่งจะเดินออกมา

“มีที่ว่างเหรอ งั้น...” พุทธชาติกำลังจะตอบรับแต่ก็โดนขัดเสียก่อน

“ไม่ต้อง เดี๋ยวพวกกูไปหาร้านอื่นเอาเอง” วีส์บอกปัดขณะกำลังชำเลืองมองอาการของคนที่นั่งอยู่ด้านในไปด้วย วิธูเองก็หันมองตามกลับเข้าไปข้างในร้าน ถึงแม้ว่าวีร์จะไม่ได้หันมาสนใจอะไรพวกเขาที่ยืนอยู่ด้านนอก ที่บรรยากาศรอบตัวเหมือนแสงมัวๆส่องออกมา

“งั้นก็... ผมกลับเข้าไปข้างในก่อนนะ” วิธูบอกลาแล้วก็หันกลับไป

“ทำไมวะ โอกาสทองเลยไม่ใช่เหรอวะ” พุทธชาติไม่เข้าใจว่าทำไมเพื่อนของเขาถึงไม่อยากร่วมโต๊ะอาหารด้วย

“มันคงกลัวว่าน้องยังโกรธที่มันเผลอไปจูงมือเดินลากข้ามห้องเมื่อวันก่อน รูปเต็มฟีดไปหมด” กฤษณะอธิบายให้ฟัง

“เรื่องแค่นั้นเองเนี่ยอะนะ” พุทธชาติยังคงตามไม่ทัน

“ก็เรื่องแค่นั้นทำเพื่อนมึงไม่สมหวังสักทีไง”

วีส์ไม่ได้โต้ตอบอะไร เขามองเข้าไปข้างในร้านอาหารอีกครั้งก่อนที่จะเดินนำเพื่อนๆไปหาร้านอื่น


*****


เวลายามบ่ายแก่ๆผู้คนภายในห้างสรรพสินค้ายิ่งหนาตามากขึ้นเรื่อยๆ แต่ละคนหวังก็พึ่งอากาศเย็นๆเพื่อคลายความร้อนจากสภาพแวดล้อมด้านนอก และเข้ามาหากิจกรรมเพื่อความบันเทิงในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ไม่ว่าจะเป็นโรงภาพยนตร์ ห้องคาราโอเกะ ลานโบว์ลิ่ง ร้านตู้เกมส์

ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นทั้งสามหนุ่มไม่ได้แวะเข้าไปที่ไหนเลย ได้แต่เดินวนไปเรื่อยๆหลังจากที่รับประทานอาหารกันเสร็จแล้ว เดินไปด้วยพูดคุยเรื่องสัพเพเหระไปด้วย

“มึงยังจำไอ้ฟีฟ่าได้มั้ยวะ” พุทธชาติถามเปลี่ยนเรื่องคุย

วีส์ขมวดคิ้วคิดอยู่ในใจ แต่ก็ไม่ปรากฏภาพใดเข้ามาในความคิดของเขาเลย

“ก็ไอ้น้องที่เคยพยายามมาตีซี้กับมึงไง” กฤษณะก็ช่วยไขความ แต่ก็ไม่ทำให้วีส์นึกอะไรออก

“มึงต้องบอกว่าไอ้น้องที่เคยพยายามตามจีบมัน แต่มันไม่สนใจ”

“ก็นึกไม่ออกอยู่ดี” วีส์ยังไม่สามารถรื้อฟื้นความทรงจำขึ้นมาได้ และเขาก็ไม่ได้ใส่ใจที่อยากจะนึกออกด้วยอยู่แล้ว

“ทำไมวะ” กฤษณะหันไปถามคนที่หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา

“กูได้ข่าวว่าตอนนี้มันได้เป็นเดือนคณะวิศวะ” พุทธชาติเล่าออกอาการ

“แล้วยังไงวะ หรือมึงจะบอกว่า น้องมันได้ตำแหน่งแล้วมันคงคิดจะเอามาใช้เรียกร้องความสนจากมันรึยังไง” กษฤณะถามต่อ

“มึงคร๊าบ เห็นเขาพูดกันว่ามันพูดกลางเวทีเลยว่ามีพี่วีส์ เนื้อนาดี เป็นไอดอลตั้งแต่ตอนอยู่โรงเรียน ทั้งเรียนดีกีฬาเด่น น่าชื่นชมม๊ากมาก มีคนจับจิ้นกันเต็มไปหมด”

วีส์ยังคงเงียบอยู่เหมือนเดิมไม่ได้แสดงความเห็นอะไร ทำเหมือนไม่ใช่เรื่องสาระสำคัญอะไรในชีวิตที่จะต้องไปรับรู้ ส่วนกฤษณะก็มองเพื่อนของเขาอย่างสงสัยขึ้น

“เดี๋ยวนะ...” พุทธชาติก็เหมือนจะฉุกคิดขึ้นมาได้ “ไอ้วันก่อนที่มึงไปจูงมือลากน้องเขาเดินผ่ากลางลานท่ามกลางผู้คนเป็นร้อยๆ นี่คือมึงจงใจทำเพื่อสยบข่าวลือใช่มั้ย”

วีส์ยังคงตีหน้าตาย เขาไม่ได้ยอมรับและก็ไม่ได้ปฏิเสธใดๆทั้งสิ้น

“แต่... ถ้าจะสยบข่าว แล้วมึงจะไปฟาดงวงฟาดงาให้ลบรูปทำไมวะ” กฤษณะถามด้วยความสงสัยไปถึงข้อความที่เพื่อนของเขาลงไว้ในสื่อสังคมออนไลน์

“กูแค่จะบอกให้ลบรูปที่ถ่ายตอนนอนอยู่บนเตียงบริจาค แต่มันดันหายไปทั้งยวงเอง” วีส์ยักไหล่แบบมันช่วยอะไรไม่ได้ มันนอกเหนือไปจากที่เขาต้องการ

“แต่ก็ทำให้คนในด้อมมึงใจฟูขึ้นตาเห็น” พุทธชาติกล่าวสรุปปิดท้าย

“มึงคิดว่าน้องเขาจะทันเห็นมั้ยวะ” กฤษณะนึกสงสัย ด้วยรู้อยู่แล้วว่าปกติวีร์จะไม่ค่อยเล่นแอพลิเคชั่นสื่อสังคมออนไลน์สักเท่าไหร่

“เดี๋ยงก็ลองถามดูสิวะ โน้น... เดินมาแล้ว” พุทธชาติบุ้ยหน้าส่งสัญญาณให้เพื่อนๆของเขารับรู้ว่ามีกลุ่มเด็กหนุ่มหลายคนกำลังเดินผ่านมาทางพวกเขา

กลุ่มของเด็กหนุ่มที่กำลังพูดคุยกันสนุกสนานก็กลับเบาเสียงลงเมื่อเห็นว่ามีใครกำลังอยู่ตรงหน้าพวกเขา ถึงจะไม่คุ้นเคยกันแม้ว่าจะเป็นญาติกันอย่างนพชัยและชัยทิศก็ตาม แต่ทุกคนล้วนรับรู้ความสัมพันธ์พี่น้องระหว่างวีส์และวิธู เลยมีก็แต่วิธูเท่านั้นที่คุ้นเคยกับกลุ่มชายหนุ่มรุ่นพี่

“อ้าว ยังอยู่กันเหรอครับ นึกว่าจะกลับกันไปแล้ว” วิธูร้องทัก ส่วนวีส์แค่พยักหน้าตอบกลับ

แต่ละคนเหมือนจะร่วมมือร่วมใจเข้ายืนในตำแหน่งที่ทำให้วีร์ไปยืนอยู่ข้างๆวีส์แบบไม่ได้ตั้งใจ แต่แค่มองเห็นชัดๆว่าเป็นการจงใจ

“ก็อยู่รอถามน้องวีร์นี่แหละ” พุทธชาติเริ่มเปิดประเด็นขึ้นมา อย่างน้อยก็เรียกความสนใจได้จากทั้งสองคน คนน้องมองเขาด้วยความแปลกใจ ส่วนคนพี่สังสายตาดุดันกลับมา “ว่า... น้องวีร์... เป็นน้องแท้ๆอาจารย์ภูมิเลยใช่มั้ย”

คนที่รอลุ้นอยู่ก็หายใจคล่องขึ้นมาในทันที

“ก็... ประมาณนั้นมั้งครับ” วีร์ตอบโดยที่ยังสงสัยอยู่ว่าพุทธชาติจะถามเขาทำไม

“คือไม่ยังไง พี่แค่อยากรู้ว่าปกติอาจารย์ภูมิเป็นคนยังไง ดุมั้ยหรือว่าใจดี แบบเข้มงวดหน่อยหรือว่าสบายๆ”

“ถามทำไมเหรอครับ” วีร์อยากรู้ให้แน่ใจที่จุดประสงค์ที่แท้จริงก่อนที่จะตอบ

“ก็เอาไว้ตัดสินใจไงว่าจะลงวิชาของอาจารย์ดีมั้ย เคยได้ยินมาว่าตอนอาจารย์เกื้อเป็นคนสอนได้คะแนนยากมาก ก็เผื่อว่าอาจารย์ภูมิจะไม่เคี่ยวเท่า พี่ก็อาจจะวางแผนไปลงเรียน”

“อืม... ถ้าเรื่องสอนผมว่าพี่ภูมิน่าจะง่ายๆสบายๆ แต่เรื่องสอบนี่ผมไม่แน่ใจเหมือนกัน” วีร์ตอบไปตามความเป็นจริง เพราะเขาก็ไม่เคยอยู่ในฐานะลูกศิษย์ของภูมิ จึงบอกอะไรไม่ได้มากนัก

“อ๋อ โอเค ไม่เป็นไร” พุทธชาติหัวเราะแหะเพราะว่าตัวเขาแถจนมาสุดทางแล้ว ไม่รู้ว่าจะไปต่ออย่างไรดี รวมถึงคนอื่นๆด้วยเช่นกันที่ไม่รู้จะต่อเรื่องราวอย่างไรดีและไม่รู้จะเริ่มชวนคุยเรื่องไหนกันดี

ปัง

มีเสียงดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงหวีดร้องมาจากที่ไกลๆ เริ่มมีผู้คนขยับตัวบางคนเริ่มวิ่ง บางคนก็ยังยืนชะโงกมองดูว่าเกิดอะไรขึ้น จากทิศทางที่แต่ละคนวิ่งหนีออกไปทำให้พอจะคาดการณ์จุดที่เกิดเหตุได้

ปัง

ผู้คนเริ่มแตกตื่นมากขึ้น เสียงร้องดังขึ้นมาเป็นระยะและคนจำนวนมากก็วิ่งผ่านพวกเขาไป สวนทางกับกลุ่มผู้รักษาความปลอดภัยที่วิ่งไปยังที่เกิดเหตุอย่างระมัดระวังตัว เมื่อเห็นคนต่างพากันวิ่งหนี วีส์จึงบอกให้เพื่อนๆและน้องๆรีบออกไปจากบริเวณนี้

ปัง

กระจกหน้าร้านที่อยู่ห่างไปไม่ไกลพวกเขามากนักแตกกระจาย เสียงกรี๊ดร้องดังตามมาติดๆ ความอลม่านเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ วีส์รีบคว้าตัววีร์มากอดไว้เลี่ยงแนววิถีกระสุน แล้วก็พากันวิ่งหลบหนีโดยเอาตัวของเขาบังด้านหลังไว้ ส่วนคนอื่นๆนั้นเขาไม่รู้ว่าวิ่งหลบไปทางไหนบ้าง

ปัง

เสียงกระสุนดังใกล้กับพวกเขามาก พร้อมกันนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งล้มลงนอนห่างจากพวกเขาไม่ไกลนัก น้ำสีแดงเข้มไหลออกมาจากใต้ลำตัวนองไปบนพื้น วีส์รีบดึงตัววีร์ก้มลงมาหลบข้างเสาต้นใหญ่ และคอยลอบมองมือปืนว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน

ปัง

เสียงดังอีกครั้งและมีผู้ชายอีกคนล้มลงใกล้ๆปลายเท้า วีส์หันกลับไปมองก็คนชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเล็งปืนไปที่ผู้ชายที่ล้มลงนอน วีส์จ้องไปที่นัยน์ตาของมือปืนก็เห็นความอาฆาต ความโกรธ และความกลัว มือที่กำลังถือปืนถือมีอาการสั่น นิ้วมือยังคงสอดอยู่ที่ไกปืนอยู่ ปลายกระบอกปืนค่อยๆเลื่อนมาที่พวกเขา

วีส์รู้สึกชาวาบไปทั้งตัว เรื่องร้อยแปดพันประการที่อยากจะทำผุดขึ้นมาในหัวสมอง ใจเริ่มคิดไปต่างๆนานาว่าอาจจะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง เขากอดเด็กหนุ่มไว้แน่นและพยายามเอาตัวบังไว้ให้มิด ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็ขอให้โดนแต่ตัวเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น

นิ้วมือเหนี่ยวไกปืนครั้งที่หนึ่ง ไม่เกิดอะไรขึ้น ครั้งที่สอง ก็ไม่เกิดอะไรขึ้น มือปืนเริ่มเหนี่ยวไกปืนถี่ๆจนแน่ชัดแล้วว่าไม่มีกระสุนอีกแล้ว หน่วยรักษาความปลอดภัยเห็นดังนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปใกล้เพื่อจะจับตัว แต่มือปืนรีบวิ่งหนีไป และเมื่อเห็นคงจะไม่มีทางหนีพ้นแล้ว ก็ตัดสินใจกระโดดข้ามกำแพงระเบียงนำพาเอาร่างของตัวเขาเองร่วงลงไปชั้นล่าง

เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย มีหน่วยรักษาความปลอดภัยเข้าไปตรวจดูร่างที่นอนอยู่ เมื่อเห็นว่าไม่พบสัญญาณชีพแล้วทั้งสองคนก็เริ่มกันคนออกจากบริเวณที่เกิดเหตุ รอจนกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้ามาดำเนินการ และเริ่มตรวจตรวจบริเวณโดยรอบเพื่อเข้าช่วยเหลือผู้บาดเจ็บคนอื่นๆ

“เป็นอะไรมั้ยครับ” มีเจ้าหน้าที่เข้ามาถามวีส์ที่ยังกอดวีร์ไว้แน่น

“ไม่เป็นไรครับ” วีส์ตอบด้วยน้ำเสียงสั่นไม่ต่างไปจากร่างกายของเขา

“แต่เลือดนี่...” เจ้าหน้าที่เข้าตรวจดูใกล้ๆหากเกิดว่ามีบาดแผล

วีร์ได้ยินดังนั้นก็รีบขยับตัวดูก็เห็นว่าที่แขนเสื้อข้างหนึ่งนั้นเปื้อนรอยสีแดงเข้ม

“พี่โดนยิงเหรอ” วีร์จะตรวจดูแผลแต่ก็โดยชายหนุ่มรุ่นพี่คว้ามือเขาไว้เสียก่อน

“พี่ไม่เป็นอะไร นี่เลือดคนตายกระเด็นมาโดน” วีส์รู้สึกโล่งใจขึ้นหน่อยที่ยั้งมือของเด็กหนุ่มไว้ได้ทัน เพราะไม่รู้ว่าคนที่เสียชีวิตไปแล้วนั้นจะมีโรคติดต่ออะไรอยู่บ้าง ถ้าจะเกิดอะไรขึ้นก็ขอให้เขาเป็นคนเดียวก็พอแล้ว

“โอเค ถ้าไม่เป็นอะไรทั้งคู่ เดี๋ยวช่วยขยับไปที่จุดปฐมพยาบาลก่อนนะครับ จะมีเจ้าหน้าที่อำนวยการคอยให้ความช่วยเหลืออยู่ ตรงนี้จะได้กันเป็นพื้นที่ควบคุมรอเจ้าหน้าที่ตำรวจมาดำเนินการต่อนะครับ”

“ได้ครับ” วีส์ตอบรับแล้วก็ช่วยเด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วรวมตัวกับคนอื่นๆ

ตรงจุดบริการที่ตั้งขึ้นเป็นการเฉพาะมีเจ้าหน้าที่กำลังปฐมพยาบาลให้กับคนที่ได้รับบาดเจ็บ เจ้าหน้าที่บางคนก็สอบถามข้อมูลเพื่อติดต่อสำหรับการชดเชยภายหลัง เจ้าหน้าที่คนอื่นๆที่เหลือก็กันบริเวณโดยรอบตั้งแต่จุดเริ่มเกิดเหตุไปจนถึงบริเวณที่คนร้ายกระโดดจาดระเบียงลงไป รวมถึงพื้นที่รอบศพคนร้ายที่ชั้นล่างด้วย

“ได้รับบาดเจ็บตรงไหนมั้ยคะ” เจ้าหน้าที่หญิงสอบถามเมื่อทั้งสองคนเดินมาถึง

“ไม่มีครับ” วีส์เป็นคนตอบคนแรก

เจ้าหน้าที่จึงหันไปหาวีร์ ซึ่งวีร์ก็ส่ายหน้าตอบว่าไม่เป็นอะไร อย่างน้อยก็ไม่ได้เกิดจากเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้น เขาแค่รู้สึกเจ็บที่หน้าอกเพราะอ้อมแขนของชายหนุ่มร่างสูงที่กอดเข้าไว้แน่น ไปกดทับแหวนหยกสีแดงที่เขาใส่คล้องคอไว้ หากเปิดเสื้อดูตอนนี้ก็คงจะเห็นเป็นรอยรูปวงกลมอยู่เป็นแน่

“งั้น เดี๋ยวช่วยกรอกข้อมูลให้หน่อยนะคะ ทางห้างของเราจะได้ดำเนินการติดต่อไปในภายหลัง” เจ้าหน้าที่หญิงยื่นแผ่นกระดาษและปากกาให้ทั้งสองคน

“ไม่ต้องครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง” วีส์บอกปฏิเสธทั้งของตัวเขาและของเด็กหนุ่มด้วย

“ไม่ได้คะ ทางผู้บริหารมีคำสั่งให้เข้าช่วยเหลือผู้ประสบเหตุทุกคนคะ” เจ้าหน้าที่หญิงยังคงยืนยัน

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง” วีส์ยังคงยืนยัน ด้วยฐานะของเขาการชดเชยจากผู้บริหารห้างสรรพสินค้าแห่งนี้กับการช่วยเหลือจากครอบครัวก็ไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ “ผมขอเสื้อมาเปลี่ยนก็พอแล้วครับ”

เจ้าหน้าที่หญิงไม่แน่ใจว่าจะตัดสินใจจากกรณีนี้อย่างไรดี แต่ก็ไปหาเสื้อตัวใหม่มาให้เปลี่ยนตามคำขอแล้วเธอก็ไปปรึกษาหัวหน้างานของเธอ

วีร์เห็นว่ามีรอบเลือดเปื้อนไปที่ท่อนแขนตอนที่วีส์ถอดเสื้อออก เขาจึงไปขออุปกรณ์จากเจ้าที่ปฐมพยาบาลเพื่อมาเช็ดเลือดออกให้ แต่เพราะว่าไม่ได้สวมถุงมือ วีส์จึงห้ามไว้และให้เจ้าหน้าที่เป็นคนจัดการแทน แล้ววีส์ก็สวมเสื้อใหม่ที่ได้รับมา


*****


หลังจากที่รอจนเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึงและได้ให้ข้อมูลไปครบถ้วนแล้ว วีส์ก็มองหาเพื่อนๆและน้องๆว่าอยู่ที่ไหนกัน จนไปเห็นวิธูที่โบกไม้โบกมืออยู่ด้านนอกบริเวณที่ถูกกันเป็นพื้นที่ควบคุมไว้ วีส์จึงชวนวีร์เดินออกไปหาทุกคน

“พี่เป็นอะไรมั้ย ไอ้อ้วนมึงยังอยู่ดีนะ” วิธูถามทั้งสองคน

“กูไม่เป็นอะไร” วีส์ตอบน้องชายของเขา

“เฮ้อ โล่งอก ก็ตอนแรกเห็นติดอยู่ข้างในนึกว่าจะเป็นอะไรกัน” วิธูรู้สึกสบายใจมากขึ้น

“ตำรวจเขาขอให้อยู่เพื่อถามข้อมูลเพื่อว่าเป็นจะพยานอะไรได้บ้าง พอไม่มีอะไรแล้วเขาก็ปล่อย” วีร์อธิบายเพิ่มเติมให้เพื่อนเข้าฟัง

“กูน่ะใจหายวาบตอนหันไปเห็นพี่กับมึงนอนอยู่บนพื้น ไอ้เหี้ย กูคิดอะไรไม่ออกเลย ไม่รู้จะโทรหาใครก่อนดี” วิธูยังคงมีอาการตื่นตระหนกอยู่บ้าง

วีร์นั้นไม่ได้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ตัวเขาถูกชายหนุ่มร่างสูงคล่อมบังไว้แนบกับตัวเสา ได้ยินแต่เสียงดัง แกร๊ก อยู่สองสามครั้ง ก่อนที่จะได้ยินเสียงหน่วยรักษาความปลอดภัยวิ่งไล่คนร้ายไป

“กูไม่เป็นอะไรแล้ว” วีร์ยืนยันคำตอบกับเพื่อนของเขา

“ดีแล้ว” วิธูหายใจลึกอีกครั้ง “เนี่ยไอ้ปันก็โทรมา เห็นว่าออกข่าวไปทั่วประเทศแล้ว มันรู้ว่าพวกเรามาห้างกันมันก็เลยรีบโทรมาถามว่ามีใครเป็นอะไรมั้ย”

“แล้วมึงตอบไว้ว่ายังไง” วีส์ถามน้องชายของเขา

“จำไม่ได้แล้วว่าพูดอะไรไปบ้าง แต่มันเพิ่งโทรมาอีกรอบว่าตอนนี้แม่พี่กำลังซิ่งรถกลับมา อีกสักสองชั่วโมงคงจะมาถึง”

วีส์ถอนหายใจแล้วก็ส่ายหน้า ตัวเขาก็พอจะรู้ระดับความเร็วของรถยนต์ที่แม่ของเขาเป็นคนขับ เดินทางไกลข้ามจังหวัดปกติก็รวดเร็วอยู่แล้ว คิดว่ากรณีนี้ก็คงจะยิ่งเร็วมากขึ้นไปอีก

“แล้วนี่คนอื่นๆไปไหนกันหมด” วีส์ถามแล้วก็มองดูรอบๆ

ส่วนวีร์ก็ถูกกระชากจนตัวหมุนไปตามแรง ศศิทัศน์จับตัววีร์หันซ้ายขวา จับแขนแต่ละข้างขึ้นดู แล้วเอามือลูบตั้งหัวลงไปตลอดลำตัว

“ไอ้ตี๋เล็ก กูไม่เป็นอะไร” วีร์บอกให้เพื่อนได้สบายใจ

“ไอ้เหี้ย กูนึกว่ามึงจะเป็นอะไรไปแล้ว ถ้าพวกนี้ไม่ดึงกูไว้ กูคงวิ่งไปหามึงแล้วตอนที่มือปืนเล็งปืนมาที่มึง” ศศิทัศน์พูดด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกอยู่ ซึ่งก็ทำให้วีร์ได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นและพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงถูกบังตัวไว้แบบนั้น แล้วศศิทัศน์ก็โผเข้ากอดวีร์ไว้แน่น

“ไอ้กิ่งไอ้ก้านมันใช้เส้นสายไปคุยกับเจ้าหน้าที่มา เห็นเขาบอกว่าปืนที่คนร้ายใช้น่ะ ว่าจริงๆแล้วยังเหลือลูกกระสุนคิดติดอยู่ในซองลูกนึง” สุรศักดิ์อธิบายเพิ่มเติมว่าทำไมพวกเขาถึงรู้สึกตกใจกลัวกัน

วีร์ไปหาคู่แฝดนพชัยและชัยทิศซึ่งต่างก็พยักหน้ายืนยันว่าเป็นความจริง แล้ววีร์ก็หันมองชายหนุ่มรุ่นพี่ คิดถึงสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ว่าวันนี้พวกเขาอาจจะไม่มีชีวิตอยู่รอดแล้วก็เป็นไปได้

เป็นเพราะตัวเขาเองหรือเปล่า


*****


#VVGo4Launch


[โปรดติดตามตอนต่อไป]


ออฟไลน์ Innocent.m

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ evanescence_69

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-3
จะมายังรออ่านๆๆๆๆ

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ตอนที่ 11 อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด


...ข่าวต่อไปเป็นเหตุการณ์บุกยิงกลางห้างดังแห่งหนึ่งเมื่อวันก่อน เมื่อช่วงบ่ายของวันนี้มีการแถลงข่าวจากผู้กำกับการ พล.ต.ต.พระนาย อาชา ร่วมกันกับกรรมการบริหารเครือล้ำเลิศ คุณเกศินีนารถ มังคลานุภาพ ว่าได้สืบความเบื้องต้นแล้วพบว่า มือปืนและหนึ่งในผู้ตายนั้นคบหาดูใจกันมาหลายปีแล้ว แต่เริ่มระหองระแหงกันมาช่วงสามสี่เดือนหลังมานี้

ฝ่ายมือปืนเกิดความระแวงว่าแฟนหนุ่มของตัวเองนั้นไปมีสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานที่ทำงานอยู่ในห้างสรรพสินค้าเดียวกัน ทั้งๆที่ทั้งคู่นั้นได้วางแผนจะแต่งงานจดทะเบียนสมรสกันหลังจากกฎหมายฉบับใหม่บังคับใช้ บรรดาเพื่อนสนิทของทั้งสองคนต่างก็บอกว่าทั้งคู่เพิ่งจะมีปากเสียงกันรุนแรงไปประมาณสองสามวันก่อนหน้า ก่อนที่ฝ่ายมือปืนจะบุกห้างดังเพื่อปลิดชีวิตทั้งแฟนหนุ่มและมือที่สาม รวมถึงตัวเองด้วยเมื่อวานนี้

จากเหตุการณ์เมื่อวานนี้มีเพียงมือปืน แฟนหนุ่มและคนที่คาดว่าจะเป็นมือที่สามที่เสียชีวิตไปเท่านั้น นอกเหนือไปจากนั้นแล้วก็มีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บอีกสี่คนที่ยังคงรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ส่วนคนอื่นๆที่บาดเจ็บเพียงเล็กน้อยนั้นได้รับการปฐมพยาบาลไปตั้งแต่วันที่เกิดเหตุ

ทางด้านเครือล้ำเลิศได้กล่าวว่าจะรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาของผู้ที่ประสบเหตุเมื่อวานทุกกรณี ร่วมถึงช่วยค่าจัดการงานศพของพนักงานของห้างสรรพสินค้าทั้งสองคนด้วย นอกจากนี้ทางเครือล้ำเลิศยังย้ำว่าจะเพิ่มมาตรการในการรักษาความปลอดภัยให้เข้มข้นขึ้น เพื่อให้ลูกค้าทุกท่านมาใช้บริการภายในห้างสรรพสินค้าด้วยความสบายใจ...



*****


หลังจากเหตุกาณ์ระทึกขวัญผ่านไปไม่กี่วัน บรรยากาศรอบตัวเริ่มกลับมาเป็นปกติ อาจจะเป็นเพราะว่าผู้ก่อเหตุได้เสียชีวิตไปแล้ว ในทางกฎหมายจึงถือว่าสิ้นสุดคดี เหลือไว้แต่ความโศกเศร้าของบรรดาญาติๆ คนทั่วไปที่ติดตามข่าวก็อาจจะมีพูดถึงอยู่บ้างแต่ก็เริ่มซาไปในที่สุด

ทั้งนี้เพราะไม่มีการนำเสนอชื่อของผู้ประสบเหตุ รวมถึงภาพเหตุการณ์ก็มาจากการบันทึกของคนทั่วไปเท่าที่บันทึกได้ทันเท่านั้น ส่วนภาพจากกล่องวงจรปิดภายในห้างสรรพสินค้าได้ส่งมอบให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้เป็นหลักฐานประกอบสำนวน ไม่ได้นำเผื่อแพร่ออกสู่ภายนอกแต่อย่างใด

คนทั่วไปจึงไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นผู้ประสบเหตุบ้าง

“ถือว่าโชคดีใช่มั้ยวะ ที่ไม่มีใครพูดถึงในโลกโซเชียล” กฤษณะแอบกระซิบถามเพื่อนของเขาขณะที่กำลังนั่งเรียนอยู่ ในโลกสื่อสังคมออนไลน์ ไม่มีใครเชื่อมโยงเหตุการณ์บุกยิงกลางห้างกับวีส์และวีร์เลย

“อืม ก็ดีแล้ว” วีส์ตอบสั้นก่อนที่จะขยับแว่นสายตาเพื่อมองกระดานหน้าห้องให้เห็นชัด   

“แล้วนี่หมอนัดมึงอีกทีวันไหนวะ” กฤษณะถามต่อ

“เดือนหน้า” วีส์พยายามมุ่งความสนใจไปที่เนื้อหาที่อาจารย์กำลังสอน

“ก็ดี ไปตรวจซะให้แน่ใจ จะได้ไม่มีปัญหาภายหลัง” กฤษณะพยักหน้าไปด้วยก่อนที่จะเอียงตัวไปถามต่อ “แล้วของน้องละ ต้องไปตรวจด้วยมั้ยวะ”

“ที่จริงก็ไม่ต้องก็ได้ เพราะว่าไม่ได้โดนอะไร แต่แม่กูว่าตรวจให้แน่นอนไปเลยจะดีกว่า” วีส์นึกไปถึงตอนที่เขายั้งมือของเด็กหนุ่มไว้ทันก่อนที่จะมาจับตัวเขา ว่าเขาตัดสินใจถูกแล้ว

“แต่ก็นะ...” ก่อนที่กฤษณะจะได้พูดต่อ วีส์ก็รีบสะกิดให้เขารู้ตัวว่ากำลังถูกจับจ้องอยู่

“คุณกฤษณะมีอะไรสงสัยรึเปล่าครับ” เสียงทุ้มนุ้มลึกดังมากจากชายหนุ่มร่างสูงผิวเข้ม ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มดูไม่มีพิษมีภัย แต่สามารถทำให้รู้สึกเสียววาบไปทั้งตัวได้

“เปล่าครับ ไม่มีอะไรครับ” กฤษณะขยับมานั่งตัวตรงแล้วตอบกลับไป

“ถ้ามีอะไรก็ไว้ถามเพื่อนคุณก็แล้วกันนะครับ สำหรับวันนี้พอแค่นี้ก่อน เชิญครับ” ภูมิเริ่มจัดการเก็บเอกสาร ปิดจอโปรเจคเตอร์และเครื่องคอมพิวเตอร์ของเขา เตรียมตัวพร้อมออกไปจากห้องเรียน “คุณวีส์ครับ เดี๋ยวผมขอคุยด้วยหน่อย”

วีส์เงยหน้าขึ้นมามองอาจารย์ด้านหน้าห้องแล้วก็พยักหน้ารับ เขานึกสงสัยหัวข้อเรื่องที่ภูมิต้องการจะพูดกับเขา เขาก็พอจะเดาได้อยู่สองสามเรื่อง แต่ไม่แน่ใจว่าจะเป็นเรื่องไหนกันแน่

ภูมิรอให้นักศึกษาคนอื่นๆเดินออกจากห้องไปจนหมดเสียก่อน โดยเฉพาะกฤษณะที่ก็อยู่รอรั้งท้าย แต่ก็เดินออกไปหลังจากที่โดนสายตาสองคู่จ้องมอง

“มีอะไรที่ผมควรจะต้องรู้จากเหตการณ์เมื่อวันก่อนบ้างมั้ยครับ” ภูมิเปิดคำถามอย่างกว้างที่ต้องการคำตอบอย่างแคบ

“เอ่อ คือ...” ไม่ใช่เพราะว่าวีส์ไม่อยากตอบ แต่เขาไม่รู้ว่าจะลำดับความสำคัญเรื่องไหนมาก่อนดี

“เอาเป็นว่า ทำไมหลานผมต้องไปตรวจเลือดด้วย เกิดอะไรขึ้น” ภูมิถามเจาะประเด็นที่เขาอยากจะรู้ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูมีความลังเล ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม

“เรื่องนี้ไม่ได้เปิดข่าวออกไปครับ” วีส์ตัดสินใจเล่าเรื่องให้ภูมิโดยละเอียด “ผลการสอบถามคนใกล้ชิดของคนตาย พบว่าสาเหตุที่คนยิงสงสัยว่าแฟนของเขามีคนอื่นเพราะเขาเพิ่งจะรู้ว่าตัวเองติดเชื้อเอชไอวี ทั้งๆที่ตัวเขาเองไม่มีอะไรกับใครอื่นอีก ก็เลยสงสัยแฟนเขาเอง แล้วเขาก็ตามสืบเองจนพบมือที่สาม แล้วมือที่สามคนนั้นก็ติดเชื้อเอชไอวี”

“แล้วทำไมคุณกับหลานผมถึงต้องไปตรวจเลือด” ภูมิถามต่อด้วยควาสงสัยและเป็นกังวลอยู่ไม่น้อย

“ตอนที่มือปืนยิงคนสุดท้าย เขาล้มลงข้างๆพวกผมพอดีครับ แล้วก็มีเลือดของคนตายกระเด็นมาโดนตัวผมด้วย”

“หลานผมโดนไปด้วยรึเปล่า” ภูมิรีบถามแทรกในทันที

“คิดว่าไม่ครับ ผมเอาตัวผมบังไว้ เพราะตอนนั้นผมคิดว่ามือปืนอาจจะยิงพวกผมด้วยก็ได้ ก็เลย...”

“โอเค ผมเข้าใจ แล้วก็ขอบคุณมากที่ช่วยพยายามปกป้องหลานผม” ภูมิรู้สึกโล่งใจขึ้นมาหน่อย แต่ก็ยังไม่คลายกังวลไปหมดซะทีเดียว

“ไม่เป็นไรครับ ผมเต็มใจ” วีส์พูดอย่างเต็มภาคภูมิในสิ่งที่เขาได้ทำลงไป

ภูมิก็พยักหน้ารับรู้ และค่อนข้างพอใจกับคำตอบที่ได้ยิน

“ถ้านุ้ยเป็นอะไรขึ้นมาจะลำบาก”

“ครับผมทราบ น้องยิ่งมีหมู่เลือดหายากด้วย”

ภูมิมองหน้าลูกศิษย์ของเขาแล้วก็หรี่ตามองพร้อมกับกระหยิ่มยิ้ม เขาเริ่มสังเกตเห็นมาตั้งแต่เขาเรียกวีร์ว่าหลาน ซึ่งเป็นความสัมพันธ์เฉพาะคนใกล้ตัวเท่านั้นที่จะรู้แต่เจ้าตัวกลับไม่ได้มีท่าทางแปลกใจอะไร จนมาถึงตอนที่เจ้าตัวรู้ถึงเรื่องหมู่เลือดของวีร์ด้วย ภูมิก็สรุปได้ว่าชายหนุ่มตรงหน้าเขาไม่ธรรมดาแล้ว

“ดูเหมือนว่าคุณจะรู้เรื่องของหลานผมเยอะเหมือนกันนะ” คำพูดของภูมิทำเอาวีส์รู้สึกอ้ำๆอึ้งๆไปไม่น้อย ภูมิเห็นอาการแล้วก็รู้สึกเอ็นดูอยู่ไม่น้อย “ผมไม่ได้ว่าอะไร ผมคิดว่าถ้าคุณไม่รู้มาจากน้องคุณ ก็คงรู้มาจากพี่ของคุณ”

ในตอนนี้เป็นวีส์ที่รู้สึกว่าภูมิก็รู้เรื่องของเขาอยู่ไม่น้อยเช่นกัน

“ผมเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาคุณนะ ผมมีสิทธิ์เปิดดูประวัติของคุณ แค่เห็นว่าพ่อคุณเป็นใครผมก็พอจะเดาเรื่องออก ถึงจะไม่ได้รู้รายละเอียดก็เถอะ”

วีส์เข้าใจแล้วว่าทำไมภูมิถึงรู้เรื่องของเขาได้

“ผมเสียดายพี่ของคุณนะ เป็นคนที่น่าจะมีอนาคตที่ดีแท้ๆ ไม่น่าอายุสั้นเลย” ภูมิถอนหายใจเมื่อนึกถึงการจากไปก่อนวัยอันควรของวีรดนย์ ส่วนวีส์ก็ได้แต่ยิ้มตอบรับ “ก็แล้วแต่โชคชะตาของใครที่พระพรหมจะลิขิตไว้ยังไง... หมายถึงถ้าคุณเชื่อเรื่องพรหมลิขิตนะ พรหมลิขิตขีดเขียนไว้ทุกอย่าง แม้กระทั้งเขียนไว้ว่าให้คุณรู้สึกอยากจะฝืนโชคชะตา หารู้ไม้ว่าพระพรหมกำหนดไว้ทุกอย่างแล้ว... แต่ก็หมายถึงว่าคุณเชื่อเรื่องนั้นนะ”

วีส์ไม่ได้ตอบกลับอะไรไป

“อ้อ อีกเรื่องนึง” ภูมิหันไปหยิบชุดกระดาษที่สอดอยู่ในแฟ้มเอกสารของเขาออกมาแล้วยื่นให้กับวีส์ “งานเสวนาของสมาคมดาราศาสตร์ เผื่อว่าคุณจะสนใจไปร่วมงาน”

วีส์รับเอกสารจากภูมิมาอ่านดูคร่าวๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นหัวข้อที่น่าสนใจ แต่เขาไม่แน่ใจว่าจะมีเวลาไปร่วมงานหรือไม่

“อืม เดี๋ยวต้องดูอีกทีครับอาจารย์ อาจจะไปไม่ได้”

“ไม่เป็นไร ดูเหมือนว่าเขาจะมีถ่ายทอดออนไลน์ด้วย ก็เลือกเอาแล้วแต่ความสะดวก” ภูมิบอกทางเลือกให้ใช้ประกอบการตัดสินใจ

“ครับอาจารย์”


*****


ช่วงเวลาว่างยามบ่ายโต๊ะม้านั่งใต้อาคารเรียนเป็นที่จับจองสำหรับนักศึกษา บางกลุ่มก็แค่มานั่งพูดคุยกัน บางคนก็นั่งรอเวลาเข้าเรียน จะมีบ้างที่ใช้อาศัยเอนตัวนอนเอกเขนกพักผ่อนระหว่างวัน หรือรวมตัวกันทำงานส่งอาจารย์

“รู้สึกดีใจจังที่คราวนี้อาจารย์ให้แบ่งกลุ่มหกคนได้” ปัญจวีส์หันมองดูเพื่อนๆรอบโต๊ะด้วยรอยยิ้ม ทั้งวีร์ แพรวา ดวงใจ ฐานันดร และไร้พ่ายต่างก็พยักหน้าให้กับปัญจวีส์พอที่จะรักษาน้ำใจแล้วก็ก้มหน้าลงตั้งใจทำงานต่อ

“แล้วพอถึงวันพรีเซนต์ ปันปันก็ช่วยออกไปพูดหน้าห้องด้วยนะ” วีร์ส่งมอบหน้าที่อันสำคัญให้กับบุคคลสำคัญไปดำเนินการ

“ได้เลย ไม่มีปัญหา” ปัญจวีส์ก็ยืดอกรับคำด้วยความเต็มใจ “งั้นเดี๋ยวปันปันไปซื้อเครบก่อนนะ มีใครจะเอาอะไรมั้ย จะได้ซื้อมาทีเดียวเลย” ในเมื่อมีแต่คนส่ายหน้า ปัญจวีส์จึงเดินออกมาและคิดว่าควรจะซื้อน้ำเปล่าขวดเล็กมาสักหนึ่งแพ็คมาเผื่อเพื่อนๆ

หลังจากที่ส่งคำสั่งซื้อขนมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ปัญจวีส์ก็หยิบโทรศัพท์ของเขาออกมาเลื่อนๆกดๆปัดๆ แล้วก็ยกขึ้นแนบใบหูรอเสียงสัญญารณตอบรับจากปลายสาย

(ว่าพรือน้องบ่าว)

“วันนี้ตั้งแต่เช้ามาตั้งแต่ที่ตึกคณะ ที่ห้องเรียน ที่โรงอาหาร ไม่มีพูดถึงเรื่องเมื่อสัปดาห์ก่อนให้ได้ยินเลย” ปัญจวีส์แอบพูดเสียงเบาเหมือนกลัวใครจะได้ยิน

(ก็ดีแล้วไม่ใช่เออ จะได้ไม่มีใครมาจับโยงมั่วหล่าว)

“แต่วีร์ก็ไม่พูดถึงเหมือนกันนะ” ปัญจวีส์เห็นแย้งความเห็นพี่ชายของเขา

(ฮาย ถ้ามันพูดแหละแปลก อย่างมันนะ ต่อให้เอาเหล็กไปง้างปาก มันก็ไม่พูด)

“แล้วจะทำยังไงต่อ” ปัญจวีส์ถามความเห็นในฐานะที่วิธูนั้นรู้จักกับวีร์มานานกว่าเขา

(ตอนนี้อยู่เฉยๆไปก่อนตะ อย่าเพิ่งเชียร์ออกนอกหน้า แต่คอยสังเกตอาการมันด้วยก็พอแล้ว)

“เหรอ...” ปัญจวีส์ยังรู้สึกว่าควรจะอะไรมากกว่า แต่พี่ๆกลับบอกให้เขาอย่าเพิ่งทำอะไร ทำให้เขารู้สึกขัดใจอยู่ไม่น้อย แล้วปัญจวีส์ก็ดึงโทรศัพท์กลับมาดูเมื่อได้ยินสัญญาณดังขึ้นมา “เฮ้ย ต้องวางแล้ว เจ้าสัวคอลมา แค่นี้นะ”

ปัญจวีส์กดยกเลิกการติดต่อกับวิธูโดยไม่ทันรอคำตอบจากอีกฝ่าย แล้วรีบกดรับสายจากวีส์ทันที

“ว่าไงครับพี่”

(ตอนนี้มึงอยู่ไหน) เสียงเรียบเฉยถามกลับมา

“อยู่ที่ตึกคณะครับ กำลังทำงานกลุ่มกันอยู่” ปัญจวีส์กำลังตั้งใจรอว่าพี่ชายของเขาต้องการอะไร แต่ก็ถูกตัดสายไปแบบงงๆว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงได้โทรมาถาม และเมื่อโทรกลับไปก็ไม่รับสายซะอีก ปัญจวีส์ก็ทำได้แค่ล้มเลิกไปเองโดยที่ไม่รู้เรื่องราวอะไร แล้วเขาก็เดินกลับไปที่โต๊ะแต่ทว่าต้องรีบเดินกลับมาหลังจากที่เดินไปแล้วครึ่งทางเพราะว่านึกขึ้นได้ว่าได้สั่งซื้อขนมไว้

เมื่อปัญจวีส์เดินกลับมาถึงและก็แจกจ่ายน้ำดื่มที่ซื้อมาด้วยให้กับเพื่อนๆ แล้วเขาก็นั่งทำงานไปด้วยกินขนมเครบไปด้วยแบบสบายใจ แต่นั่งอยู่ได้ไม่นานก็รู้สึกว่ามีคนมองมา จึงเงยหน้าดูรอบๆก็เห็นสายตาของเพื่อนๆดูเขาอยู่ มือข้างที่ถือขนมชะงักค้างขณะที่กำลังจะเอาเข้าปาก และมืออีกข้างที่กำลังเลื่อนๆกดๆหน้าจอก็เช่นกัน

“ปันปันถามทุกคนแล้วนะว่าจะเอาอะไรมั้ย”

“ที่เขามองกันน่ะ...” ดวงใจชี้ไปที่จมูกของเขาเองเพื่อบอกปัญจวีส์ว่าเกิดอะไรขึ้น ปัญจวีส์เองก็เอานิ้วมือป้ายจมูกดูก็เห็นเนื้อครีมติดออกมาด้วย เขาจึงเลียครีมที่ติดนิ้วมือมาแล้วก็หากระดาษมาเช็ดคราบที่เหลือออกให้หมด

“กินให้เสร็จก่อนแล้วค่อยเช็ดทีเดียวก็ได้ เดี๋ยวก็เลอะอีกอยู่ดี” วีร์บอกแล้วก็หันกลับมาสนใจข้อมูลที่เขากำลังดูอยู่บนเครื่องคอมพิวเตอร์ ไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัวว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น

“จะสั่งอาหารเหรอวะ”

เสียงดังมาจากด้านหลังทำเอาวีร์สะดุ้ง แล้วเขาก็หันไปเจอกันชายหนุ่มร่างสูงกำลังยืนก้มตัวลงดูหน้าจอเครื่องคอมพิวเตอร์ของเขาอยู่ จากที่รู้สึกเหมือนหยุดหายใจไปชั่วขณะก็รู้สึกโล่งใจแอบพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ หลังจากเหตุการณ์ระทึกขวัญครั้งนั้น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นหน้าชายหนุ่มรุ่นพี่

“ไหนว่ากำลังทำงานกลุ่มอยู่ไม่เหรอวะ” วีส์พูดต่อเพราะคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าไม่ได้ทักทายอะไร

“กำลังหาข้อมูลกันอยู่ค่ะ” แพรวาเป็นคนอธิบายแทนเพื่อนๆคนอื่นๆ “จะทำรายงานเปรียบเทียบค่าครองชีพของแต่ละประเทศส่งอาจารย์ แต่ว่าอาหารแต่ละที่มันแตกต่างทั้งราคาและปริมาณ ถ้าจะเอามาเปรียบเทียบกันทันทีมันยังไม่ได้ ก็เลยกำลังช่วยกันหาว่าถ้าอาหารจานนึงที่ให้คุณค่าทางโภชนาการในแต่ละมื้อเท่ากัน จะต้องจ่ายเท่าไหร่ แล้วค่อยเอาข้อมูลมาเปรียบเทียบกันอีกทีค่ะ”

“ดูยุ่งยากดีนะ เพิ่งเทอมสองปีหนึ่งเองไม่ใช่รึไง” วีส์รู้สึกหนักใจแทนรุ่นน้องแต่ละคน

“ถามคนกินเครบดูสิ คนต้นคิด คิดหัวข้อเองเอาไปเสนออาจารย์เอง แล้วดันผ่านอีก” วีร์พเยิดหน้าไปทางปัญจวีส์ที่กำลังยิ้มแป้นแล้นอยู่

“แล้วนี่ทำไมมึงนั่งกินแรงเพื่อน ไม่ช่วยเพื่อนทำงาน” วีส์หันไปมองตาม

“เปล่าสักหน่อย ปันปันแค่พักชั่วคราวเฉยๆเท่านั้นเอง” ปัญจวีส์รีบแก้ตัว “แล้วนี่พี่มาทำอะไร”

“มาหาเพื่อนมึงไง โทรมาแล้วก็ไม่รับ ก็เลยต้องเดินมาถึงที่เนี่ย” วีส์ตอบกลับอย่างเปิดเผยโจ่งแจ้งถึงวัตถุประสงค์ที่เขาโผล่มาถึงตึกคณะเศรษฐศาสตร์

“โทรมาทำไมครับ” วีร์รีบหันควับมาถามแบบเบาๆ โดยที่ไม่ทันได้สนใจสายตาหลายคู่ที่มองมาที่พวกเขาอยู่

“จะให้กูพูดตรงนี้เลยเหรอ” สีหน้าท่าทางของวีส์ไม่ได้ดูเหมือนว่ากำลังแหย่เล่น แต่ก็ไม่ได้ดูจริงจังมากมายเช่นกัน “จริงๆกูก็ไม่ติดอะไรนะ แต่มึงเป็นคนบอกเองว่าให้เก็บเป็นความลับของเราสองคน แต่ถ้ามึงไม่อะไรแล้ว งั้นกู...”

“เดี๋ยว” วีร์รีบร้องห้ามไว้ก่อนทั้งๆที่เขาเองก็ยังนึกไม่ออกว่าอีกฝ่ายจะพูดเรื่องอะไรกันแน่ แล้วก็รีบลุกขึ้นยืนแล้วรีบคว้าแขนชายหนุ่มร่างสูงเดินออกไปในทันที จนกระทั่งเดินออกห่างจากผู้คนแต่ก็ไม่ได้อยู่ในที่ลับสายตา “คุณมีเรื่องอะไร”

“ก็ที่นัดกันจะไปฝึกขับรถไง”

วีร์มีสีหน้าโล่งใจขึ้นมาหลังจากที่ได้รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร ถึงแม้ว่าเรื่องการฝึกขับรถยนต์ระบบเกียร์ปกติจะไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นจะต้องปิดบังอะไร แต่เขาไม่อยากจะให้เป็นเรื่องที่ใครคนอื่นมารับรู้และพูดถึงไม่ว่าจะในแง่ไหนก็ตามโดยไม่จำเป็น

“อ๋อ... เอ่อ...”

“อย่าบอกนะว่ามึงไม่อยากฝึกแล้ว” วีส์มองอย่างสงสัยปนความเสียดายหากเด็กหนุ่มต้องการยุติการนักหมายจริงๆ

“เปล่าครับ เพียงแต่เห็นว่าช่วงนี้คุณกำลังยุ่งๆอยู่” วีร์รีบอ้างข้อแก้ตัวแก้ขัดไปก่อน

“ก่อนหน้านี้น่ะใช่ แต่ก็จะมีว่างๆช่วงนี้แหละไปจนก่อนช่วงสงกรานต์ ถ้าหลังสงกรานต์ไปแล้วจะเริ่มไม่ว่างแล้ว ไหนจะเรื่องสอบ ไหนจะเรื่องงาน ไหนจะต้องเตรียมตัวไปจีนอีก” วีส์อธิบายให้ฟัง “วันจันทร์มึงไม่มีเรียนนิ จันทร์หน้ามึงว่างมั้ยละ”

วีร์นึกถึงตารางเวลาของเขาว่าช่วงนี้จะต้องทำอะไรบ้าง ถึงจะไม่อยากตอบรับแต่ก็คงจะปฏิเสธไม่ได้แล้ว

“ก็คงได้มั้งครับ”

“สรุปว่าได้หรือไม่ได้” วีส์ถามให้แน่ใจอีกครั้ง

“ก็ได้ครับ” วีร์ตอบด้วยน้ำเสียงไม่เต็มใจแต่พยายามให้เหมือนว่าเต็มใจตกลง

“โอเค” เมื่อได้คำตอบที่พอใจแล้ววีส์ก็ยิ้มออกมาได้ “แล้วก็เรื่องนัดตรวจเลือด แม่กูจัดการให้เรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวค่อยไปโรงพยาบาลพร้อมกัน ตรวจรอบนี้ก่อนแล้วรออีกหนึ่งเดือนค่อยตรวจอีกทีนึง”

วีร์พยักหน้ารับ ถึงแม้ว่าท่าทางที่แสดงออกมาเป็นปกติ แต่ภายในใจก็รู้สึกกังวลอยู่ไม่น้อย แค่เรื่องที่เกือบจะถูกปลิดชีวิตด้วยลูกกระสุนก็น่ากลัวอยู่แล้ว ยังจะต้องมาเสี่ยงกับโรคติดต่อที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าอาจจะได้รับมาแบบนี้ ใครมันจะซวยซ้ำซวยซ้อนได้เท่าพวกเขาอีก

“เป็นอะไรรึเปล่า” วีส์ถามเพราะว่าเด็กหนุ่มเงียบไป

“เปล่าครับ” วีร์ตอบปฏิเสธในทันที “แล้ว... มีอะไรอีกมั้ยครับ”

“มันก็มีอยู่นะ” วีส์มีสีหน้าสึกคิดเหมือนว่ากำลังตัดสินใจอยู่ว่าจะพูดดีหรือไม่ “อืม... ไอ้พู่มันฝากมาถามว่ามึงว่าถ้าจะให้ไปช่วยทำโปรโมทวันบริจาคโลหิตโลก มึงสนใจมั้ย”

“พู่ไหนครับ” วีร์ถามกลับด้วยความสงสัย

“ไอ้ชมพู่ไง” วีส์ตอบกลับแปลกใจว่ามันมีอะไรให้สงสัย

“พี่ชมพู่ คณะแพทยฯ...” วีร์ถามกลับซึ่งวีส์ก็พยักหน้ารับ “แล้วไปเรียกพี่เขาว่าไอ้”

“ก็เรียกตามสันดานมันไง”

“พี่เขาออกจะดูเรียบร้อยอ่อนหวาน”

“โหย สร้างภาพทั้งนั้นแหละ นิสัยมันเหมือนหน้าตาซะที่ไหน” วีส์กรอกตาแบะปากทั้งครั้งที่ใครต่อใครเข้าใจเอาว่าอดีตดาวคณะแพทยศาสตร์เป็นคนสายหวานหยดย้อย

“แล้วยังไงครับ”

“ก็ถ้ามึงสนใจ กูก็จะได้ไปบอกมัน เดี๋ยวมันหาวันนัดอีกทีเอง”

“แต่วันบริจาคโลหิตโลกมันอีกตั้งหลายเดือนไม่ใช่เหรอครับ”

“ก็อย่างที่กูบอก ว่ากูว่างแค่ช่วงนี้ หลังจากสงกรานต์ไปคิวกูแน่เอี๊ยด”

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณเหรอครับ”

“ก็ ไอ้พู่มันอยากได้เราสองคนถ่ายด้วยกันไง” วีส์เห็นท่าทางที่ดูลำบากใจที่จะตอบตกลงแต่ก็พยายามไม่แสดงออกมาก ก็พอจะเข้าใจได้อยู่บ้าง “อันนี้แล้วแต่มึงนะ ไอ้พู่มันก็แค่ขอความร่วมมือเฉยๆ อยากช่วยก็ช่วย ไม่อยากทำมันก็ไม่ได้ว่าอะไร อีกอย่างช่วงนั้นกูก็ไม่อยู่ไทยซะด้วย กว่าจะกลับมาก็เกือบเปิดเทอมแล้ว”

“ไปนานเหมือนกันนะครับ” วีร์ถามตามมารยาทที่อยากจะรู้รายละเอียดไปในตัว

“ก็เขาอยากให้ไปลองดูว่าตัวเองยังขาดเหลืออะไร ฟังภาษาทันมั้ย อาหารการกินเป็นยังไงจะใช้ชีวิตยังไง แล้วก็ไปเจอเพื่อนร่วมทุนอีกหลายชาติ ต้องเจอกันอีกตั้งสามปี”

วีร์พยักหน้ารับรู้แล้วก็กลับมาคิดทบทวนว่าจะทำตามคำขอของดาวคณะแพทยศาสตร์ดีหรือไม่ เขาเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องงานการกุศล แต่มันติดปัญหาอยู่ตรงที่ต้องทำร่วมคนตรงหน้าแบบออกสื่อสารมวลชนซึ่งเขาไม่ต้องการ เขาต้องการจะคบหากันแบบเงียบๆมากกว่า

เอ๊ะ คิดอะไรอยู่เนี่ย

“ตกลงมึงว่าไง” วีส์ถามเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มใช้เวลาคิดอยู่นานแล้ว

“ครับ...” วีร์ตอบกลับอย่างงงๆ เพราะถูกเรียกกลับมาจากภวังค์

“งานของไอ้พู่ มึงจะทำรึเปล่า” วีส์ถามย้ำอีกครั้ง

“ถ้าผมไม่อยากทำละครับ” วีร์ถามกลับให้แน่ใจก่อนจะตัดสินใจขั้นสุดท้าย

“ก็ไม่ต้องทำ เดี๋ยวกูไปบอกไอ้พู่ให้เอง มันไม่ว่าอะไรหรอก เดี๋ยวมันก็ไปหาคนอื่นเอง” วีส์ให้ความมั่นใจว่าถึงแม้จะปฏิเสธไปก็ไม่มีปัญหาอะไรเลย

วีร์ครุ่นคิดก่อนที่จะบอกปฏิเสธไปว่าไม่อยากทำ ซึ่งวีส์ก็พยักหน้าตอบกลับว่าเข้าใจ

“มึงมีงานกลุ่มต้องทำใช่มั้ย งั้นก็กลับไปทำต่อเถอะ... คนมองกันเต็มแล้ว”

ประโยคสุดท้ายของวีส์ทำเอาวีร์แปลกใจ แล้วเขาก็นึกขึ้นได้ว่าพวกเขาไม่ได้เดินออกมาไกลเท่าไหร่ คนที่นั่งอยู่ใต้ตึกคณะและคนที่เดินผ่านไปมาก็ยังมองเห็นพวกเขายืนคุยกันอยู่ชัดเจน แล้วที่สำคัญกว่านั่นก็คือตั้งแต่ที่เขาลากชายหนุ่มรุ่นพี่เดินออกมาด้วยกันนั้น เขายังจับแขนของคนตรงหน้าอยู่จนถึงตอนนี้

วีร์รีบดึงมือตัวเองกลับออกมาทันทีที่รู้ตัว แล้วเขาก็เดินกลับไปรวมกลุ่มกับเพื่อนที่โต๊ะโดยไม่ได้พูดอะไรอีก


*****


(แนบรูป) คนพี่งานยุ่งแต่ก็มีเวลามาหาคนน้องได้เสมอ #VVGo4Launch
ช่วงนี้มีโมเมนต์สาดรัวๆเหมือนบุญกุศลที่ทำมาจากชาติที่แล้วกำลังจะหมดเลย
เห็นเขาอยู่ด้วยกัน เราก็มีความสุข แต่ก็อยากรู้ว่าเขาคุยอะไรกัน



[อ่านต่อด้านล่าง]

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ยามเย็นแดดร่มลมตกช่วงเวลาดีๆของประเทศเมืองร้อนสำหรับการฝึกซ้อมกีฬา โดยเฉพาะกีฬาที่มีสนามซ้อมอยู่กลางแจ้ง จะให้ไปขยันซ้อมเวลาเที่ยงๆบ่ายๆในฤดูร้อนตับแตกแบบนี้ก็คงจะไม่ไหว คำว่าเหงื่อโทรมกายก็ดูจะไม่เกินจริง

วีร์เดินดูโทรศัพท์ไปด้วย สะพายกระเป๋าใบใหญ่ที่ใส่แร็กเก็ตไปด้วย มุ่งหน้าสู่สนามซ้อมตามที่ได้นัดหมายกันไว้กับวิธูว่าจะไปเป็นคู่ซ้อมให้ ถึงแม้ว่าจะมีแอบชำเลืองมองทางข้างหน้าบ้างเป็นครั้งคราว แต่สายตามุ่งความสนใจไปที่โทรศัพท์เสียมากกว่า มากเสียจนมองไม่เห็นว่ามีใครกำลังอยู่ในเส้นทางเดินของเขา

วีร์ก้าวหลบไปทางขวา จังหวะเดียวกับที่อีกฝ่ายก็ไปทางเดียวกันกับเขา วีร์จึงก้าวเท้ากลับไปที่เดิม อีกคนก็ก้าวตามมาพอดีกันอีก ภาพความทรงจำย้อนหลังผุดขึ้นมาในความคิดว่าเคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน วีร์จึงเงยหน้าขึ้นมองแต่ก็ผิดคาดไป เพราะคนตรงหน้าไม่ใช่คนที่เขาคิดไว้

รูปร่างหน้าตาจัดว่าดีมาก ถึงความสูงจะไม่ต่างกันมากแต่ความขาวของสีผิวนั้นต่างกันลิบลับ ถ้าจะบอกไม่เคยรู้จักกันเลยก็พูดได้ไม่เต็มปาก แต่ก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าเป็นใครมาจากไหน ทั้งๆที่รู้สึกว่าคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่ไม่น้อยไม่ว่าจะเป็นแววตาหรือรอยยิ้ม แต่วีร์ก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดี

“อ้าว ไม่เจอกันนานเลยนะวีร์”

วีร์ขยับแว่นสายตาแล้วมองตอบกลับด้วยความฉงน ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะคุ้นเคยกับเขาอยู่พอสมควรแต่เป็นเขาที่ไม่รู้สึกว่าจะมีความสนิทนสนมอะไรกันขนาดนั้น

“จำเราไม่ได้เหรอ” ชายหนุ่มมีท่าทางแปลกใจปนความผิดหวัง

วีร์ไม่อยากจะโกหกเพราะจำไม่ได้จริงๆ จึงส่ายหน้าตอบกลับไป

“แต่ก็ไม่แปลกนะ ก็วีร์เพิ่งจะย้ายมาตอน ม.สี่ แล้วเราก็ไม่เคยได้เรียนห้องเดียวกันด้วย จะจำกันไม่ได้ก็ไม่แปลก แต่เราจำวีร์ได้นะ วีร์ดังจะตาย ยิ่งตอนกีฬาประเพณีมีเพื่อนเราพูดถึงวีร์เยอะมาก แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปหาวีร์เลยสักคน” ประโยคหลังสุดนั้น ชายหนุ่มเอียงตัวแล้วเอามือป้องปากราวกับกลัวว่าใครจะมาได้ยินพวกเขาคุยกัน

วีร์ยิ้มให้เล็กน้อยตอบกลับไป ทั้งจากเรื่องที่ได้ยินและเรื่องที่ยังไม่รู้ว่าคนตรงหน้านี่เป็นใครกันแน่ แต่ที่แน่นอนแล้วว่าจบการศึกษาจากโรงเรียนเดียวกัน

“ก็แหงละ ท่านเทพเคยออกตัวแรงไว้ซะขนาดนั้น ใครจะไปกล้าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบ จริงมั้ย”

คู่สนทนาของวีร์ยังคงชวนคุยต่อเนื่อง ไม่เปิดช่องว่างให้ได้ถาม ปล่อยให้วีร์สงสัยต่อไปว่าเขากำลังคุยกับใครอยู่

“แต่ใครจะไปคิดว่าพอเข้ามหาวิทยาลัย วีร์จะโดนประกาศจองตัวตั้งแต่วันปฐมนิเทศอีก มีแต่คนอิจฉาวีร์กันทั้งนั้นเลย”

จนถึงตอนนี้ วีร์เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรจากเขา จากเดิมที่พยายามรักษามารยาทก็เริ่มก่อกำแพงเตรียมพร้อมรับสถานการณ์

“ขอโทษนะ เราจำไม่ได้จริงๆว่านายเป็นใคร”

“เราฟีฟ่าไง ที่อยู่ห้องแปดตอนม.หก ฟีฟ่า พิภพ อริยนครา

วีร์ทำสีหน้านึกคิดแล้วก็ส่ายหน้าเพราะว่าไม่มีเรื่องราวส่วนไหนของชีวิตที่ไหลเข้ามาให้เห็นภาพเลย

“อ๊ะ ไม่เป็นไร ยังไงตอนนี้เราก็รู้จักกันแล้ว เจอกันเมื่อไหร่ทักได้เลยนะ”

วีร์ก็ยิ้มตอบกลับโดยพยายามให้ดูเป็นมิตรมากที่สุด

“เออ จริงสิ ขอถามอะไรหน่อยได้มั้ย” พิภพเอ่ยปากจะถามแต่ยังไม่ทันได้รอฟังคำตอบก็พูดต่อในทันที “วีร์กำลังคบกับพี่วีอยู่รึเปล่า”

วีร์ชะงักไปเล็กน้อย ท่าทางที่พยายามให้ดูเป็นมิตรก่อนหน้านี้ก็พยายามฝืนรักษาไว้ เพราะต้องมาเจอคนที่อยากจะรู้เรื่องส่วนตัวของเขาโดยที่ไม่ได้สนิทสนมกัน แล้วยังรวมไปถึงข้อสงสัยของอีกฝ่ายว่าต้องการถามถึงคนไหนกันแน่ คิ้วทั้งสองข้างจึงขยับเข้าหากันโดยไม่ได้ตั้งใจ

“พี่วีไง ที่เป็นรุ่นพี่โรงเรียนเรา แล้วก็เป็นเดือนคณะวิทยาศาสตร์ แถมยังได้ทุนไปเรียนจีนด้วยอะ” พิภพขยายความให้เข้าใจตรงกันว่าเขาหมายถึงคนไหน

“อ๋อ เปล่า” วีร์ตอบปฏิเสธไป

“เหรอ วีร์ไม่ได้กำลังคบกับพี่เขาใช่มั้ย” พิภพถามย้ำอีกครั้ง

“ใช่” วีร์ตอบสั้นๆพร้อมกันพยักหน้า

“งั้นก็ดีเลย” พิภพเผยรอยยิ้มกว้างในทันที “เราจะได้...”

“มีอะไรกันวะ”

เสียงดังแทรกขึ้นมาพร้อมกับการปรากฏตัวของชายหนุ่มร่างสูง มาพร้อมกับชุดลำลองกีฬา แว่นสายตาที่สอดสายรัดที่ขาแว่นมาเรียบร้อยแล้ว และสะพายกระเป๋าใบใหญ่มาด้วย เขาหันมองคู่สนทนาสลับไปมาแต่ก็ไม่มีใครตอบคำถามของเขาสักคน

“สวัสดีครับพี่วี พี่จะไปซ้อมเทนนิสเหรอครับ ฟ่านึกว่าพี่วีออกจากทีมมหาวิทยาลัยแล้วซะอีก” พิภพถามอย่าต่อเนื่องแบบไม่รอคำตอบเช่นเดิมตามแบบฉบับของเขา

“ถึงกูจะไม่ได้อยู่ในทีม ก็ไม่ได้หมายความกูต้องเลิกเล่น” วีส์ตอบพร้อมกับขยับสายสะพายกระเป๋าให้เข้าที่เข้าทางใหม่

“ฟ่าก็แค่สงสัยไง วันหลังพี่วีชวนฟ่ามาตีด้วยบ้างสิ ฟ่าอยากเล่นด้วย”

อ้อร้ออิตาย เป็นสิ่งที่วีร์คิดอยู่ในใจจากกิริยาที่เห็นจากคนตรงหน้า เขาไม่ได้เปล่าวาจาหรือแสดงท่าทางอะไรออกไป

“มึงไปฝึกออกแรงตีกลูกให้ข้ามเน็ตให้ได้ก่อนจะดีกว่ามั้ง” น้ำเสียงของวีส์ไม่ได้แสดงความดูถูกและก็ไม่ได้แสดงความเอ็นดู แค่บอกเล่ากันเฉยๆ

“โหพี่วี เดี๋ยวนี้ฟ่าเล่นเก่งขึ้นแล้วนะ” พิภพยังคงฉอเลาะอย่างต่อเนื่อง

“เอ่อ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว เราไปก่อนนะ” วีร์ออกตัวลาทั้งสองคนที่อยู่ในวงสนทนาที่ไม่จำเป็นต้องมีเขาแล้วก็ได้ แล้วเขาก็เบี่ยงตัวเดินอ้อมไปแต่ก็ถูกรั้งแขนไว้เสียก่อน

“เดี๋ยวมึงจะไปไหน ไปซ้อมกับไอ้เพชรเหรอวะ” วีส์ถาม

“เปล่าครับ พี่เพชรยังไม่กลับมาเลยนิ นี่ไอ้ต่ายจะให้ช่วยไปเป็นคู่ซ้อมให้”

“อ้าว มันก็บอกให้กูมาช่วยซ้อมให้มัน”

วีร์และวีส์ก็มองหน้ากัน แล้วก็เหมือนจะเข้าใจตรงกันว่าเกิดอะไรขึ้น

“ช่างมันเถอะครับ ไหนๆก็อุตส่าห์แบกกระเป๋าออกจากบ้านมาแล้ว” วีร์ยักไหล่ตอบ เขาก็ลืมคิดไปว่านอกจากศศิทัศน์แล้ว วิธูก็คือเจ้าวางแผนชั้นดีคนหนึ่งมาก่อน

“งั้นก็ ไปกันเลยมั้ย มันคงรออยู่ที่คอร์ทแล้วมั้ง” วีส์ตั้งท่าพร้อมจะเดินออกไปแล้ว

“ก็... ครับ” วีร์ขยับสายสะพายกระเป๋าอีกครั้งแล้วก็หมุนตัวไปยังทิศทางเป้าหมาย

“เดี๋ยวครับ”

เสียงเรียกดึงทั้งสองให้หันกลับมาหาบุคคลที่สาม ในตอนนั้นเองที่พิภพสังเกตเห็นว่าสายสะพายกระเป๋าของวีร์และวีส์นั้น ถึงแม้ว่าจะมีสีต่างกันแต่ก็มีลวดลายเดียวกัน และมันก็ไม่ได้มีลักษณะที่เกี่ยวเนื่องไปกับตราสินค้าที่ปิดอยู่ข้างกระเป๋าอีกด้วย

“ขอตามไปด้วยได้มั้ยครับ” พิภพเอ่ยถามพร้อมกับรอยยิ้ม

ชายหนุ่มทั้งสองคนหันมามองหน้ากันเหมือนต้องการถามความเห็น วีร์เป็นแรกที่ยักไหล่ตอบแล้วก็เดินออกไปในทันที ปล่อยให้วีส์เป็นคนตัดสินใจ ด้วยอาศัยที่ว่าวีส์ดูจะรู้จักกับพิภพมากกว่าเขา

“ก็แล้วแต่สิ” วีส์ตอบสั้นๆแล้วก็ออกเดินตามวีร์ไป

พิภพเดินตามทั้งสองไปและคอยสังเกตท่าทางของทั้งสองคนว่าเป็นไปอย่างที่โลกสื่อสารสังคมออนไลน์ลือกันไว้อย่างหนาหูหรือไม่ ถึงแม้ว่าทั้งค่ะไม่ได้มีอาการกระหนุ่งกระหนิงอะไรเลย ต่างคนต่างก็เดินไปตามจังหวะของตัวเอง เสื้อผ้าหน้าผมหรือรองเท้าก็เป็นไปตามแบบฉบับของแต่ละคน จะขัดหูขัดใจเขาก็ตรงสายสะพายกระเป๋าที่เป็นลายเดียวกันเท่านั้น

แต่ในเมื่อเจ้าตัวยังยืนยันว่าไม่ ก็ถือว่ายังไม่ใช่ก็แล้วกัน


*****


บรรยากาศที่สนามซ้อมเทนนิสค่อนข้างเงียบเหงา อาจจะเป็นเพราะอากาศที่ค่อนข้างร้อนมากในช่วงนี้แม้ว่าจะเป็นยามเย็นแล้วก็ตาม หนึ่งในไม่กี่สนามที่มีคนมาจับจองไว้มีชายหนุ่มสองคนกำลังตีลูกสักกะหลาดโต้ตอบกันไปมา คนหนึ่งคือคนที่ออกปากนัดวีร์และวีส์มา ส่วนอีกคนหนึ่งก็พอจะเข้าใจได้ว่าทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ เพราะอย่างน้อยก็มีมือในการเล่น

ส่วนคนสุดท้ายคงเป็นเพราะว่าสนามซ้อมแห่งนี้อยู่ใกล้กับหอพักนักศึกษาคณะแพทยศาสตร์ และก็คงจะว่างจากการอ่านหนังสือจึงสามารถปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้

วิธูและปัญจวีส์กำลังฝึกเล่นลูกใกล้ตาข่าย ต่างฝ่ายต่างก็ตีลูกกลับไปอย่างรวดเร็ว มีผิดพลาดบ้างเป็นครั้งคราวแล้วก็เริ่มใหม่อีกครั้ง แต่ละคนกำลังมีสมาธิจดจ่ออยู่กับฝึกจนไม่ทันได้สังเกตผู้มาใหม่ ก็จะมีศศิทัศน์ที่ยืนดูอยู่ข้างสนามที่มองเห็นก่อนคนแรก จากที่ยิ้มทักทายให้จนริมฝีปากเริ่มหุบลง สายตาก็จ้องมองอย่างไม่เป็นมิตร

ปัญจวีส์เอื้อมมือสุดแขนเพื่อไปรับลูกจนตัวโยนไปด้านข้างแต่ก็พลาดไป ทำให้จังหวะการเล่นหยุดลง เขาจึงหันไปเห็นเพื่อนและพี่ชายของเขาเดินเข้ามาข้างในสนามพอดี

“มากันแล้วเหรอ” ปัญจวีส์โบกมือทักทาย

“แล้วนี่ใครบอกว่าไม่มีคนช่วยซ้อมให้วะ” วีร์พยักหน้าทักทายปัญจวีส์แล้วก็เดินตรงไปหาวิธูในทันที

“ก็ได้มาเท่านี้ไงวะ และมึงจะต้องมาช่วยกู” วิธูเน้นย้ำประโยคหลังก่อนที่จะทำท่าอ่อนระโหยโรงแรง “ก็กูต้องได้แชมป์รายการนี้ ไม่งั้นเดี๋ยวกูหลุดทุนง่า...”

“ต้องแชมป์รายการนี้” วีร์ถามย้ำอีกครั้ง วิธูก็พยักหน้าหงึกๆ “แน่นะมึง”

“ก็... จริงๆแค่รอบสี่คนสุดท้ายก็พอได้มั้ง แต่ถ้าได้แชมป์เลย ก็จะดีกว่าไง”

วีร์พ่นลมหายใจด้วยรู้สึกรำคาญใจ และไม่รู้ว่าจะเชื่อใจได้หรือไม่ เพื่อนของเขาอาจจะพูดเรื่องจริงก็เป็นได้หรือเป็นแค่แผนการหนึ่งเท่านั้น เนื่องจากทั้งสามคน วิธู ปัญจวีส์ และศศิทัศน์มาอยู่กันพร้อมหน้ากันแบบนี้ มันก็ชวนให้ดูน่าสงสัยอยู่ไม่น้อย แต่อาการกระเง้ากระงอดที่ดูน่าหมั่นไส้ก็ชวนให้เห็นใจอยู่เหมือนกัน

“เอาตะ โผล่มาถึงที่แล้วนิ มึงซ้อมกับปันปันไปก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยเปลี่ยนตัว” วีร์พูดแล้วก็เดินออกไปจากสนามไปหาศศิทัศน์ที่ตอนนี้กำลังยืนหน้าตึงเหมือนโดนบังคับมา วีร์วางกระเป๋าลงบนเก้าอี้แล้วก็เริ่มออกกำลังอบอุ่นร่างกายด้วยท่าพื้นฐาน “ไอ้ตี๋เล็ก มึงมาได้ไงวะ”

“ไอ้ต่ายมันโทรมาถามว่ากูอยู่ที่หอพักมั้ย มันก็เลยชวนกูว่ามันนัดมึงมาช่วยซ้อมให้มัน เผื่อกูว่างอยู่ กูก็เลยมา” ศศิทัศน์ยังคงมีแววตาขุ่นเคืองอยู่

“แล้วนี่เป็นอะไร หรือมันบังคับมึงมา” วีร์ถามด้วยความสงสัยว่าเพื่อนของเขาเป็นอะไร

“เปล่า” ศศิทัศน์ตอบเสียงห้วน

“เปล่าอะไรวะ หน้าตาออกซะขนาดนั้น” วีร์ยังคงกายบริหารต่อเนื่อง เขาหันไปมองวิธูและปัญจวีส์ในสนามโดยมีวีส์คอยกำกับการซ้อมอยู่ไม่ห่าง และใกล้ๆกันนั้นก็มีพิภพยืนดูอยู่ด้วย

“มันมากับมึงได้ไงวะ” ศศิทัศน์พเยิดไปทางสนาม

“บังเอิญเจอกันเมื่อกี้ เห็นบอกว่าไอ้ต่ายนัดพี่เขามาด้วย”

“ไม่ใช่ กูหมายถึงอีกคน” ศศิทัศน์ยังมีอารมณ์ขุ่นมัวอยู่

“อ๋อ เขาเข้ามาทักกูระหว่างทางก่อนมาถึงนี่ เห็นบอกว่าตอน ม.หก อยู่ห้องแปด แต่กูจำเขาไม่ได้” วีร์ตอบไปตามปกติแต่ก็สงสัยว่าทำไมศศิทัศน์ถึงดูไม่พอใจขนาดนี้

ศศิทัศน์พ่นลมหายใจออกมาแรงๆ

“นั่นมันไอ้ฟีฟ่า” ทั้งสีหน้าและแววตาของศศิทัศน์เต็มไปด้วยความอาฆาต แต่ก็พยายามพูดให้ยินกันแค่เฉพาะพวกเขาสองคนเท่านั้น

“ใช่ มันเพิ่งบอกกูเอง แต่กูก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดี”

“ไอ้ฟีฟ่ามันเป็นน้องไอ้เหี้ยซีซ่าร์”

ถึงตอนนี้วีร์เข้าใจแล้วว่าทำไมศศิทัศน์ถึงแสดงอาการไม่พอใจพิภพเป็นอย่างมาก เขาเองก็ไม่ทันฉุกคิดตอนที่พิภพแนะนำตัวเองว่าเจ้าตัวมีนามสกุลเหมือนกับศิริน คู่กรณีที่ทำให้วีรมาตุถึงแก่ชีวิตไป

“พี่น้องแท้ๆเลยเหอรวะ”

“เออ” ศศิทัศน์กระแทกคำตอบด้วยเสียงห้วนๆ

วีร์หันไปมองพิภพอีกครั้งก่อนที่จะหันกลับมาหาศศิทัศน์

“โทษทีว่ะ กูไม่รู้จริงๆว่าเขาเป็นใคร”

“ช่างเหอะ มึงเพิ่งย้ายมาตอนม.สี่ แถมหลังจากเกิดเรื่องกลุ่มพวกมันก็ไม่ได้เข้ามายุ่งกับกลุ่มพวกเราเท่าไหร่ มึงจะไม่รู้จักก็ไม่แปลก” ศศิทัศน์มีท่าทีอ่อนลง ไม่ได้บึ้งตึงเหมือนก่อนหน้านี้

“แล้ว มึงจะเอาไง จะอยู่ต่อมั้ยวะ” วีร์ก้มลงไปหยิบสายรัดมาสวมขาแว่นตา แล้วก็หยิบแร็กเก็ตออกมาจากกระเป๋า

“ก็ถ้าต่างคนต่างอยู่ กูก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่อย่ามายุ่งกับกูก็แล้วกัน”

วีร์ตบบ่าให้กำลังใจศศิทัศน์ไม่อยากให้มีอารมณ์ขุ่นมัว อย่างน้อยเขาก็เป็นคนละคน สิ่งที่คนพี่ทำอะไรที่เราไม่พอใจไว้ เราก็ไม่จำเป็นต้องเอาไปลงที่คนน้อง

“มึงมานี่มา”

เสียงเรียกดังขึ้นมา เมื่อวีร์หันไปก็เห็นคนส่งเสียงเดินเข้ามาใกล้เขาแล้วและจับแขนลากเขาเข้าไปในสนาม

“เฮ้ย จะจับคู่กันจริงดิ” วิธูร้องโวยวาย “แล้วจะสู้ได้มั้ยถ้าสองคนนั้นจับคู่กัน ห๊ะไอ้ปัน”

“แล้วมึงจะซ้อมให้เก่งหรือว่าจะซ้อมให้อ่อนด๋อยลงกันแน่ จะเอายังไงก็ว่ามา” วีส์ชักทั้งสีหน้าและน้ำเสียงใส่ แม้จะแอบดีใจที่โดนวางแผนให้มาเจอกกัน แต่ก็แอบเคืองที่น้องชายทั้งสองคนไม่บอกกันล่วงหน้าแบบนี้ ไม่เช่นนั้นจะได้เตรียมเสื้อผ้าหน้าผมมาให้ดีกว่านี้

“ก็ได้ครับ” วิธูพูดเสียงอ่อนยอมรับชะตากรรม

“โอเค งั้นวอร์มก่อน แล้วเดี๋ยวลองแข่งกัน” วีส์หันไปเก็บลูกมาใส่กระเป๋ากางเกงของเขาและไปเตรียมพร้อมอยู่ที่เส้นท้ายคอร์ท แล้วก็เขาตีลูกไปให้วิธู ส่วนวีร์นั้นซ้อมตีลูกคู่กับปัญจวีส์

ลูกสักหลาดถูกตีโต้กลับไปกลับมาในจังหวะที่แตกต่างกันจากทั้งสองคู่ ลูกหน้ามือบ้างลูกหลังมือบ้างสลับปรับเปลี่ยนกันไปจนเริ่มเข้ามือของแต่ละคน ผู้อาวุโสสูงสุดในที่นี้ก็สั่งให้เริ่มการแข่งขัน

วีส์เป็นคนเสิร์ฟลูกและให้วิธูเป็นคนรับ เริ่มเล่นกันไปได้ไม่นานเกมแรกก็จบลงอย่างรวดเร็วโดยที่ยังไม่ได้ออกแรงอะไรมากนัก เกมที่สองวิธูจะเป็นฝ่ายเสิร์ฟลูกกลับมา แต่ไม่ว่าจะให้ใครเป็นคนรับก็ยังไม่สามารถทำคะแนนได้มากนัก ทำให้คู่วิธูและปัญจวีส์เสียเกมเสิร์ฟไป

“ไหวมั้ยมึง” วีส์ตะโกนถามน้องชายของเขา

“เพิ่งเริ่มเกมเองพี่ ผมเป็นพวกเครื่องติดช้าอยู่แล้ว” วิธูตะโกนแก้ตัวกลับมา

“ให้มันจริงเหอะ”

เกมต่อไปวีร์เป็นคนเสิร์ฟลูก นอกจากจะแม่นจุดตกเหมือนจับวางเป็นเครื่องการันตี ความเร็วและแรงก็ไม่ด้อยไปกว่ากันเลย และเกมนี้ก็จบลงอย่างรวดเร็ว ทั้งสองทีมก็เดินเปลี่ยนฝั่งสนามเพื่อเล่นเกมต่อไป

“เครื่องติดแล้วยังมึง” วีส์สอบถามตอนที่พวกเดินสลับฝั่งกัน

“อีกนิดนึงพี่” วิธูพยายามตอบอย่างมั่นใจ

“ของจริงมึงตามอยู่ 0-3 คิดว่ามึงจะเบรกเกมเสิร์ฟกลับมาได้ทันมั้ย”

“ของจริงก็ไม่ได้แข่งกับไอ้อ้วนนี่ จะกลัวอะไร” วิธูก็ยังคงมั่นหน้าอยู่เหมือนเดิมแม้ว่าในใจจะตุ้มๆต่อมๆอยู่ก็ตาม แล้วก็ได้รับสีหน้าระเหี่ยใจจากวีส์กลับมา ทำให้เขาต้องรีบแก้ตัวในทันที “ไม่ต้องห่วงพี่ ตั้งแต่ไปแข่งมา ถ้าเทียบกับไอ้อ้วนแล้วยังไม่เคยเจอใครสู้ได้ แค่พอจะรับเสิร์ฟจากไอ้อ้วนได้ ของคนอื่นก็ขี้เล็บตีน”

“เหรอ” วีส์ถามกลับ ส่วนวิธูก็พยักหน้ารับ วีส์จึงหันไปหาคู่เล่นของเขา “เดี๋ยวเอาจริงเลยมั้ย ดูมันมั่นใจมาก”

วีร์ยักไหล่ตอบว่าเขายังไงก็ได้

“เดี๋ยว อย่าเพิ่ง ขอปันปันทำใจก่อน” ปัญจวีส์รีบเห็นแย้ง ถ้าสามเกมที่ผ่านมายังไม่เอาจริงกันแล้วพวกเขาก็แทบจะเอาตัวไม่รอด ถ้าทั้งสองคนเล่นจริงจังขึ้นมาจะขนาดไหน

“งั้นก็ทำใจซะ” วีส์ใช้แร็กเก็ตตบบั้นท้ายปัญจวีส์เบาๆก่อนที่จะเดินออกไปเส้นท้าย รอเริ่มเล่นเกมต่อไป

แน่นอนว่าเกมต่อๆมาคู่ของวิธูและปัญจวีส์ก็ยังคงรักษามาตรฐานเดิมได้อย่างต่อเนื่อง คือแทบจะทำคะแนนไม่ค่อยจะได้ และยิ่งเล่นยิ่งสู้กับการเล่นที่เข้าขากันดีอย่างน่าหมั่นไส้ไม่ได้เลย

“ดูเหมือนเขาเล่นด้วยกันบ่อยนะ ดูสนิทกันดี”

ศศิทัศน์มองหน้าตรงไปยังสนาม ไม่ได้หันหน้าไปมอง ไม่ได้เหล่ตามอง ไม่ได้แสดงความสนใจที่จะพูดคุยกับอีกคนเลนสักนิด ไม่ได้คิดที่จะตอบกลับเพราะถือว่าต่างคนต่างอยู่ อย่ามามีปฏิสัมพันธ์กันจะดีกว่า

พิภพเองก็พอจะจับความรู้สึกของอดีตเพื่อนร่วมโรงเรียนได้แต่ก็ยังพยายามทำใจดีสู้เสือ

“เสียดายตอนกีฬาประเพณี เราไม่ได้ไปดูวีร์แข่ง แต่ได้ยินมาว่าวีร์เล่นเก่งมาก ไม่คิดว่าจะเก่งขนาดนี้”

ศศิทัศน์ยังคงนิ่งเงียบไม่ได้ตอบกลับใดๆ

“เห็นมีคนพูดกันว่าแฟนเก่าวีร์ก็เล่นเก่งเหมือนกัน ต่ายเคยเจอมั้ย”

ศศิทัศน์พยายามรักษาความสงบที่แสดงออกมาให้คงที่ แม้ว่าข้างในใจจะเริ่มคุกรุ่นขึ้นมาแล้ว ถึงจะรู้ว่าพิภพหมายถึงใคร แต่อย่างน้อยหนึ่งในแฟนเก่าของวีร์ก็คือพี่ชายของเขาเอง

“ไม่เคยเหรอ เห็นเขาพูดกันบ่อยจนอยากรู้เลยว่าเป็นยังไง”

“อยากรู้เหรอว่าแฟนเก่าไอ้วีร์เป็นยังไง” ศศิทัศน์ปรายตามองพิภพที่แสดงสีหน้าอยากรู้อยากเห็นตอบกลับมา “มองหน้าพี่เขาไว้ นั่นแหละหน้าแบบเดียวกับแฟนเก่าไอ้วีร์เลย” เมื่อพูดเสร็จแล้วศศิทัศน์ก็กระหยิ่มยิ้มแล้วหันไปดูการแข่งต่อ เขาไม่ได้สนใจคนข้างๆอีกเลยว่าจะเป็นอย่างไร


[อ่านต่อด้านล่าง]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
จบการแข่งเซ็ตแรกไปแล้ว คู่ของวีร์และวีส์ชนะไปอย่างไม่น่าสงสัย ทั้งสี่คนเดินออกมารวมตัวข้างสนาม พักดื่มน้ำ เช็ดเหงื่อตามตัวและที่ด้ามจับแร็กเก็ต

“เพื่อนมึงไปไหนแล้ววะ” วิธูมองดูรอบๆว่าไม่เห็นใครอื่นอีกนอกจากศศิทัศน์

“เพื่อนกูก็ยังครบทุกคน” ศศิทัศน์ตอบแบบไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่

“กูหมายถึงอีกคน” วิธูแปลกใจกับอาการของศศิทัศน์

“จะไปรู้เหรอ ไม่ได้ตัวติดกัน”

วิธูกำลังจะถามว่าศศิทัศน์เป็นอะไร แต่ก็โดนวีร์ส่งสัญญาห้ามไว้เสียก่อน

“นี่ สรุปว่ามึงพร้อมจะไปแข่งแล้วยัง” วีส์เปลี่ยนหัวข้อสนทนาให้หันมาสนใจประเด็นหลักที่พวกเขามาพบกันในวันนี้

“มันก็ต้องพร้อมแล้วละพี่ เนี่ย เครื่องเริ่มติดแล้ว เซ็ตสองมาแน่นอน” วิธูพูดอย่างมั่นใจ

“ให้มันจริงอย่างที่ปากมึงว่า” วีส์เก็บขวดน้ำแล้วก็หยินผ้ามาเช็ดอีกครั้ง เตรียมพร้อมจะลงสนามต่อแล้ว

“รับรอง เดี๋ยวพี่คอยดูเลย”

เสียงประตูเหล็กเปิดออกเรียกความสนใจของทุกคนไป พิภพเดินกลับเข้ามาพร้อมกับน้ำดื่มยกแพ็คและซองผ้าเย็น

“น้ำมั้ยครับ ฟ่าไปซื้อมาให้ ผ้าเย็นก็มีนะครับ” พิภพวางของที่ซื้อมาลงที่เก้าอี้ยาว

“วางไว้ก่อนก็ได้ เดี๋ยวเราจะแข่งต่อแล้ว” ปัญจวีส์อาสาเป็นคนตอบเพราะคนอื่นๆที่เหลือต่างก็นิ่งเงียบไป

ศศิทัศน์เดินไปนั่งที่เก้าอี้ยาวที่มีกระเป๋าวางเรียงกันอยู่จนเหลือที่ว่างให้นั่งแค่คนเดียว แล้วก็มองดูการแข่งขันที่ปัญจวีส์จะเป็นคนเสิร์ฟลูกเปิดเซ็ตที่สอง ไม่ได้สนใจว่าอีกคนที่เหลือจะทำอย่างไร

ส่วนพิภพเลือกจะยืนติดขอบสนามตามเดิม

รูปแบบการแข่งเริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ วิธูพยายามทำให้ได้อย่างที่โอ้อวดไว้ ทั้งเปิดเกมรุกหรือว่าจะเป็นฝ่ายตั้งรับก็ทำได้ดีขึ้นจากเซ็ตแรก แต่กระนั้นก็ยังไม่สามารถทำคะแนนนำคู่แข่งที่รวมตัวเฉพาะกิจ ทำได้แค่เพียงตามแบบสูสี อย่างน้อยก็ทำให้คู่ของวีร์และวีส์ต้องออกแรงมากกว่าเดิม


*****


ทางด้านของพิภพที่ยืนดูการฝึกซ้อมอยู่นั้น  ภายในความคิดของเขาก็มีเรื่องราวต่างๆนานา เขาพอจะเข้าใจว่าศศิทัศน์คงไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวอะไรกับเขาเนื่องมาจากคดีความของศิรินพี่ชายของเขา หลังจากที่ลองพยายามชวนคุยแต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับที่ดีกลับมา เขาก็ไม่อยากจะฝืนต่อไปเพราะเขาก็ไม่ได้ต้องการจะเป็นเป็นมิตรกับคู่กรณีอยู่แล้ว

ส่วนในกลุ่มที่กำลังเล่นเทนนิสอยู่ตอนนี้ก็คงจะมีแต่ชายหนุ่มรุ่นพี่ที่เขาเคยพูดคุยด้วย ตัวเขาเองก็ไม่ได้ปิดบังอะไรว่ารู้สึกชื่นชมในตัววีส์ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมศึกษาแล้ว ทั้งในเรื่องรูปลักษณ์และเรื่องความสามารถ จะคอยสืบหาช่องทางเพื่อเข้าไปทำความรู้จักอยู่เสมอ ทั้งทำความรู้จักเขาและให้เขารู้จักเรา แต่ก็ยังไม่เคยได้โอกาสนั้นเสียที

จนถึงวันปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ ตัวพิภพที่พยายามอย่างแข็งขันเพื่อจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกับวีส์ให้ได้ เส้นแห่งคามหวังที่กำลังพุ่งทะยานขึ้นกลับถูกปัดตกลงไปอย่างไร้เยื่อใย เขาไม่เคยคิดว่าคนที่เคยเป็นอุปสรรคของพี่ชายของเชาจะมาเป็นอุปสรรคสำหรับตัวเขาเอง

ส่วนอีกสองคนที่เหลือนั้นพิภพรู้จักแค่ผิวเผิน มีแค่ชื่อและคณะที่เรียนเท่านั้น เขาไม่มีข้อมูลใดๆอื่นอีกนอกเสียจากว่าหนึ่งในนั้นคือลูกหลานของเครือล้ำเลิศ พิภพรู้ว่าวีร์และศศิทัศน์นั้นสนิทสนมกับคู่แฝดนพชัยและชัยทิศแห่งล้ำเลิศรัตนทรัพย์ แต่การที่พวกเขาได้ทนายเบอร์หนึ่งของเครือล้ำเลิศมาทำคดีความให้ มันต้องมีอะไรมากกว่านั้นเป็นแน่ ซึ่งปัญจวีส์อาจจะเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่ทำให้เกิดขึ้น

แต่กระนั้นพิภพก็ยังหาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไมรุ่นพี่ในดวงใจของเขาถึงได้มาช่วยซ้อมเทนนิสให้ ทั้งที่แคยปฏิเสธเขามาโดยตลอด จะเป็นเพราะว่าคนที่เล่นคู่ด้วยกันอยู่ตอนนี้ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะจากที่เขาได้ยินมาก่อนหน้าว่าวันนี้ทั้งคู่ไม่ได้นัดมาเจอกัน แต่เป็นคนอื่นซึ่งหมายถึงหนึ่งในสองคนฝั่งตรงข้ามนั้น

หรืออาจจะเป็นทั้งสองคนเลยก็เป็นได้


*****


จบการแข่งในเซ็ตที่สองคู่ของวีร์และวีส์ยังคงเป็นผู้ชนะด้วยคะแนนที่ไม่ต่างกันมากเหมือนในเซ็ตแรก วิธูก็รู้สึกมีความมั่นใจที่จะไปแข่งขันมากขึ้น จึงเดินมาข้างสนามด้วยท่าทางกระปรี้กระเปร่ากว่าคนอื่นๆ

“อ้าว แล้วเพื่อนมึงไปไหนแล้ววะ” วิธูถามเมื่อเห็นว่าเหลือศศิทัศน์อยู่เพียงลำพัง

“เพื่อนกูยังอยู่ครบ” ศศิทัศน์ตอบแบบติดรำคาญนิดหน่อย “ส่วนมัน ไปไหนก็ไม่รู้ เห็นมีโทรศัพท์เข้ามาแล้วก็เดินออกไป”

“ก็ถามดูเฉยๆ” วิธูมองหาขวดนั้นของเขาว่าอาไปวางไว้ที่ไหน จะหยิบขวดใหม่ก็นึกขึ้นได้ว่าเป็นขวดน้ำดื่มที่พิภพเป็นคนซื้อมา กำลังสองจิตสองใจว่าจะเอามาดื่มดีหรือไม่

“เอานี้” ศศิทัศน์ยื่นถุงใบใหญ่ให้วิธู “กูเพิ่งไปซื้อมาใหม่ เผื่อว่ามึงไม่สบายใจจะเอาของที่มันซื้อมา เพราะกูก็ไม่กล้าเหมือนกัน ไม่รู้ไปทำเสน่ห์ยาแฝดอะไรมามั้ย”

“ไร้สาระว่ะพวกมึง” วีร์หยิบขวดน้ำที่พิภพซื้อมา กำลังจะเปิดฝาขวดแต่ก็โดนดึงออกไปเสียก่อน แล้ววีส์แย้งขวดน้ำที่วิธูหยิบออกมจากถุงที่ศศิทัศน์ยื่นให้ส่งต่อให้วีร์ หรือจะพูดให้ถูกต้องคือยัดใส่มือ

เหตุการณ์เหล่านั้นอยู่ในสายตาของทั้งสามคนที่เหลือและต่างก็พร้อมใจไม่พูดอะไรออกมา แต่ละคนทำเป็นเหมือนมองไม่เห็น หรือไม่ก็เห็นเป็นเรื่องปกติที่ไม่ได้แปลกประหลาดอะไร

“จะต่ออีกเซ็ตมั้ย” วีร์ถามคนที่ตัวหลักของการพบปะกันในวันนี้

“ก็ได้นะ แรงกำลังมาเลย” วิธูกระโดดหยองๆให้ทุกคนเห็นว่าเขายังมีกำลังเหลืออยู่

“งั้นก็อีกเซ็ต แล้วก็พอ” วีร์วางขวดน้ำดื่มเตรียมพร้อมลงสนาม

“พวกมึงต่อกันเองเลย กูนั่งรออยู่นี่แหละ” วีส์หยิบผ้าขนหนูออกมาเช็คตัวแล้วก็นั่งลงเก้าอี้ยาว

“อ้าว พี่ไม่เล่นต่อเหรอ” ปัญจวีส์ถามด้วยความแปลกใจ วีส์ก็ยักไหล่ตอบกลับ “งั้นปันปันพอด้วยดีกว่า ต่ายกับวีร์ซ้อมกันต่อเลย เดี๋ยวปันปันเดินเก็บลูกให้” ว่าแล้วปัญจวีส์ก็ไปหยิบเอาอุปกรณ์เก็บลูกสักหลาดของสนามซ้อมมาแล้วเดินไปรอบสนาม

วิธูหันมาถามความเห็นจากวีร์ว่าจะเอาอย่างไรในเมื่อสองคนนั้นขอซ้อมเพียงเท่านี้ วีร์ก็ไม่มีปัญหาอะไรที่จะเป็นคู่ซ้อมให้วิธูต่อ แต่ก็นึกเอะใจว่าทำไมชายหนุ่มรุ่นพี่ถึงได้เปลี่ยนใจไปนั่งพักแทน

“คุณเป็นอะไรรึเปล่า” วีร์เดินเข้าไปถามด้วยความสงสัยปนความเป็นห่วงไปด้วย

“เปล่านิ” วีส์ตอบกลับสั้นๆแล้วก็มองตอบกลับอย่างงงๆ

“แน่นะครับ” วีร์ถามย้ำอีกครั้ง

“อือหึ” วีส์ยืนยันกลับไป

วีร์พยักหน้ารับรู้แล้วก็เดินออกไปแต่ก็หันกลับมาดูอีกครั้ง แล้ววีร์ก็เดินไปหาศศิทัศน์ที่กำลังก้มๆเงยๆเก็บลูกสักหลาดเพราะไม่มีเครื่องมืออย่างที่ปัญจวีส์ใช้

“ไอ้ตี๋เล็ก”

ศศิทัศน์เงยหน้าขึ้นมาตามเสียงเรียก

“มึงช่วยดูพี่เขาไว้หน่อยนะ เผื่อว่าเป็นอะไร” วีร์แอบกระซิบบอก

“พี่เขาเป็นอะไรวะ” ศศิทัศน์ก็กระซิบถามกลับ

“ตอนนี้ยัง แต่ดูๆไว้ก่อน เผื่อเป็นอะไรจะได้ช่วยทัน”

“มึง... กูนักศึกษาแพทย์ปีหนึ่งนะเว้ย ไม่ใช่เรสซิเดนท์ปีหนึ่ง กูจะไปช่วยอะไรได้”

“เอาน่ะ คอยดูไว้ก่อน” วีร์ฝากฝั่งเป็นมั่นเป็นเหมาะก่อนที่จะไปฝึกซ้อมให้วิธูเป็นเซ็ตสุดท้ายของวันนี้

ศศิทัศน์ก็รับปากมาแบบงงๆว่าจะต้องให้เขาช่วยอะไรกันแน่ แต่ในเมื่อตกลงไปแล้วก็จะคอยสังเกตุให้ว่ามีอาการผิดปกติอะไร ถึงจะช่วยเองไม่ได้ก็รีบพาตัวส่งไปที่โรงพยาบาลได้ทันท่วงทีแน่นอน

ทางด้านของวีร์ที่เหมือนจะต้องแยกประสาทออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกมุ่งมั่นอยู่กับการเป็นคู่ซ้อมเทนนิสให้กับวิธู อีกส่วนหนึ่งก็คอยลอบสังเกตว่าชายหนุ่มรุ่นพี่จะมีอาการอะไรหรือไม่ ยิ่งเห็นว่ากำลังนั่งพิงหลังและหลับตาอยู่ก็ยิ่งดูน่าสงสัยมากขึ้นไปอีก

จนใกล้หมดเวลาที่ได้จองไว้การฝึกซ้อมก็สิ้นสุดลง วีร์และวิธูเดินมาเก็บอุปกรณ์ของพวกเขาลงกระเป๋า เตรียมตัวออกจากพื้นที่เพื่อให้คนอื่นได้มาใช้บริการต่อ

“เป็นไงบ้างวะมึง” วีร์เดินไปใกล้ศศิทัศน์แล้วก็แอบกระซิบถามกันสองคน

“ก็ดูปกตินะ จังหวะการหายใจดูปกติ อาจจะดูอ่อนเพลียเท่านั้นเอง มันก็ปกติหลังจากเล่นกีฬารึเปล่าวะ”

“ไม่มีอะไรแปลกใช่มั้ยวะ” วีร์ถามย้ำอีกครั้ง

“ไม่มี” ศศิทัศน์มองวีร์อย่างสงสัยว่าเขากำลังกังวลเรื่องอะไร แต่ก็ไม่คิดที่จะถามเพราะก็พอจะเดาคำตอบได้อยู่แล้วว่าไม่มีอะไร

“คุยอะไรกันอยู่วะ” วิธูที่สะพายกระเป๋าและเก็บขวดน้ำใส่ถุงเตรียมเอาไปทิ้งเดินเข้ามาหาทั้งสองคน

“เอ่อ... กำลังถามมันอยู่ว่าจะไปเชงเม้งวันไหน” วีร์ตอบไปตามความเป็นจริง เพียงแค่เขาเพิ่งจะถามไปเท่านั้นเอง

“เออเนอะ ใกล้ช่วงเชงเม้งแล้วนิ” วิธูไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร “แล้วนี่ไอ้บิ๊กไปไหนวะ นึกว่าจะอยู่หอซะอีก”

“มันไปหาน้องเฟิร์น เมื่อก่อนมีแต่น้องที่ตามมัน เดี๋ยวนี้นะว่างเมื่อไหร่เป็นต้องได้แวะไป” ศศิทัศน์ตอบ

“มึงก็อยากไปเหมือนกันนั่นแหละ แต่พี่ฝ้ายเขาติดงานใช่มั้ยละ” วิธูยักคิ้วหลิ่วตาล้อเลียนไปด้วย

“ใครจะเหมือนมึง อยู่ด้วยกันฉ่ำๆทุกวันทุกคืน” ศศิทัศน์ก็ตอบโต้กลับไป

“อ๊ะ แน่นอน...” วิธูกำลังจะพูดต่อแต่ก็ต้องชะงักไปเสียก่อนเพราะสายตาของญาติผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าสาวกำลังจ้องมองมา “ด้วยเกียรติของลูกเสือ กูป้องกันอย่างดี ไม่มีพลาดแน่นอน”

วีร์กวาดตามองวิธูตั้งแต่ปลายผมจรดปลายเท้า แล้วก็หันมองไปทางอื่นโดยที่ไม่ได้แสดงความเห็นอะไร

“แล้วเดี๋ยวมึงกลับไง ให้กูไปส่งมั้ย” ศศิทัศน์ถามวีร์เพื่อเปลี่ยนเรื่องคุยและบรรยากาศรอบตัว

“เดี๋ยวให้พี่ไปส่งก็ได้ ยังไงก็ต้องไปส่งต่ายอยู่แล้ว ขับไปส่งวีร์ก่อนแล้วค่อยวนกลับมาทีเดียวเลย” ปัญจวีส์เดินมาถึงทันได้ยินคำถามของศศิทัศน์พอดี แล้วปัญจวีส์ก็หันไปถามคนที่เดินตามเข้ามา “ได้ใช่มั้ยพี่”

“ไปได้ ไม่ได้มีปัญหาอะไร”

ท่าทางการตอบของชายหนุ่มร่นพี่ที่ดูเป็นปกติ ไม่ได้มีท่าทีที่ดูแปลกอะไร วีร์จึงนึกอยู่ในใจว่าเขาคงจะคิดฟุ้งซ่านมากไปเองเท่านั้น

“งั้นก็เอาตามนี้” ปัญจวีส์เป็นผู้สรุปเมื่อไม่มีใครมีความเห็นเป็นอื่นๆ

ในเมื่อตัดสินใจได้แล้ว แต่ละคนก็หยิบจับข้าวของของตัวเอง สิ่งไหนที่หยิบยืมมาก็ต้องเอาไปคืนที่สำนักงาน ขยะที่รวบรวมแล้วก็เตรียมเอาออกไปทิ้งที่ถังขยะด้านนอก ส่วนแพ็คน้ำดื่นที่พิภพซื้อมาและไม่มีใครเอามาดื่มเลยสักคน ทุกคนเห็นพ้องร่วมกันว่าให้เอาไปให้ที่สำนักงานแทน

เมื่อจัดแจงกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งสี่คนก็บอกลาศศิทัศน์ที่เดินกลับไปยังหอพักนักศึกษาคณะแพทยศาสตร์เองคนเดียว แล้วก็พาเดินไปหารถยนต์คันสีดำที่จอดอยู่ที่ลานจอดรถใกล้ๆกับสนามซ้อม


*****


หลังจากที่วีร์เดินทางมาถึงบ้านแล้ว ถึงแม้ว่าจะเหนื่อยแค่ไหนก็ตามก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ครบถ้วน วีร์วางกระเป๋าใบใหญ่ไว้ที่หน้าบ้าน ก่อนที่จะเดินนำสุนัขตัวใหญ่ทั้งสองตัวไปที่ด้านข้างของตัวบ้าน เขาหยิบถาดใส่อาหารสองใบออกมาวาง เตรียมเทอาหารเม็ดลงไป ระหว่างนั้นสุนัขตัวใหญ่ทั้งสีน้ำตาลและสีดำต่างก็นั่งรอตามคำสั่งอย่างสงบนิ่ง

จนเมื่อจะมีคำสั่งให้เริ่มกินได้ สุนัขทั้งสองตัวถึงจะลุกขึ้นแล้วเดินมาที่ถาดอาหารของพวกมัน

ระหว่างนั้นวีร์ก็เก็บกวาดกรงนอนของสุนัขทั้งสองตัวให้สะอาดเรียบร้อย รวมไปถึงทั้งกวาดทั้งฉีดน้ำล้างพื้นที่โดยรอบด้วยเช่นกัน วีร์ไม่ได้อยู่รอจนสุนัขทั้งสองตัวกินเสร็จ เขาก็เดินกลับไปที่หน้าบ้านเพื่อจะได้เอากระเป๋าไปเก็บไว้บนห้องและจะได้อาบน้ำล้างคราบเหงื่อไคลและเปลี่ยนชุดใหม่ให้สดชื่น

แต่กระนั้น ก็ไม่ลืมทักทายน้องน้อยทั้งสองคนก่อนขึ้นห้องนอน คนหนึ่งก็กำลังเจื้อยแจ้วเจรจา ส่วนอีกคนก็เพิ่งเริ่มคลานเตาะแตะ บอกน้องๆว่าจะรีบลงมาเล่นด้วยแต่ขอไปอาบน้ำให้ตัวหอมเสียก่อน

เมื่อวีร์เข้าไปในห้องนอนแล้ว เขาก็เก็บกระเป๋าให้เรียบร้อย ชาร์ตไฟโทรศัพท์ ล้วงดูกระเป๋ากางเกงว่ามีอะไรหลงเหลืออยู่หรือไม่ แล้วก็เตรียมตัวอาบน้ำ

เมื่อถอดเสื้อออกแล้ว วีร์ก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าสร้อยคอที่คล้องแหวนหยกสีแดงหายไป วีร์หันมองดูรอบๆตัวเผื่อมันอาจจะตกหล่น เมื่อไม่เจอ วีร์ก็พยายามนึกให้ออกว่าครั้งสุดท้ายที่เขาจำได้ว่าสร้อยยังอยู่ที่คอของเขานั้นเป็นตอนไหน เริ่มจากตอนที่ให้อาหารสุนัขย้อนไปจนถึงตอนที่นั่งรถยนต์มาก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรพิเศษที่ทำให้รู้สึกถึงสร้อยคล้องแหวน แต่ถ้าหากว่ามันหายที่สนามซ้อมจริง ด้วยลักษณะแหวนหยกสีแดงแล้วไม่น่าจะหลุดลอดดวงตาทั้งสิบข้างไปได้

วีร์พยามยามนึกถึงความน่าจะเป็นที่อาจเกิดขึ้นได้ พยายามเรียงลำดับเหตุการณ์ในวันนี้ทั้งหมดอีกครั้ง สถานที่ที่น่าจะเป็นไปได้ รวมถึงทำใจยอมรับถ้าหากว่ามันจะหายไปจริงๆ และถ้าหากว่าหาเจออีกครั้งเขาก็คิดจะเปลี่ยนสายสร้อยใหม่จะดีกว่า

แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือหากว่าหาไม่เจอ เขาก็ยังไม่รู้ว่าจะไปบอกแม่เฒ่าของเขาอย่างไรว่าเขาทำของสำคัญที่ได้รับมาหายไป

ในระหว่างนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น วีร์เดินไปหยิบโทรศัพท์ที่ยังเสียบสายชาร์ตไฟอยู่ ชื่อของวิธูปรากฏอยู่กลางหน้าจอโทรศัพท์ วีร์จึงกดเลื่อนจอโทรศัพท์เพื่อรับสาย

“โทรมาไซหล่าว กูอีอาบน้ำแล้วนิ”

“ไอ้อ้วน มึงทำใจดีๆนะ” น้ำเสียงของวิธูมีอาการหอบเหมือนว่ากำลังวิ่งไปด้วยขณะที่โทรศัพท์มาหา และได้ยินเสียงของแพรไหมบอกทางดังลอดเข้ามาด้วย

“ทำใจเรื่องไรหล่าว” วีร์ถามกลับไปด้วยความสงสัย

“พี่ขับรถชน ไม่รู้เป็นไงบ้าง กูเพิ่งถึงโรง’บาล” วิธูยังมีอาการตื่นตระหนกอยู่

“เดี๋ยว รถชนได้ไง” วีร์ถามกลับไปด้วยน้ำเสียงไม่ต่างกัน

“มึงๆ เดี๋ยวกูโทรกลับนะ พ่อโทรมา”

แล้วสัญญาณก็ขาดหายไปเหลือไว้แต่ความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เวลาเพิ่งจะผ่านไปไม่ถึงชั่วโมงทำไมถึงเกิดเรื่องขึ้นได้ และรถยนต์ชนกันทำไมต้องไปโรงพยาบาลด้วย วีร์ยืนค้างนิ่งอยู่กลางห้อง ภายในหัวสมองแทบจะไม่มีความคิดใดๆโผล่เข้ามาเลย เขาควรจะทำอะไรก่อนดี

เมื่อตั้งสติได้ วีร์ก็รีบหยิบเสื้อตัวใหม่มาสวม หยิบโทรศัพท์และกระเป๋าเงิน แล้วรีบวิ่งออกไปจากห้องนอนทันที


*****


#VVGo4Launch


[โปรดติดตามตอนต่อไป]

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ตอนที่ 12   5.. 4.. 3.. 2.. 1..


ความคิดและสติที่พอจะรวบรวมได้กำลังเผาผลาญพลังงานของร่างกายให้หมดไปเรื่อยๆ นับตั้งแต่วีร์ได้รับข่าวสาร แล้วก็รีบคว้ากุญแจรถยนต์ของธีร์ขับออกมาโดยที่ยังไม่ได้บอกล่าวอะไร ภายในใจคิดกังวลไปตลอดทาง แม้ว่าดวงตามองดูอยู่แต่กลับไม่ได้รับรู้ว่ามีอะไรบ้าง โชคดีแค่ไหนที่สามารถมาถึงโรงพยาบาลได้อย่างปลอดภัย

วีร์รีบวิ่งจากลานจอดรถยนต์ที่เหลือที่ว่างเยอะมาก ผิดกับช่วงเวลาทำการที่ต้องวนหาอยู่หลายรอบกว่าจะเจอที่จอดได้ ขึ้นไปที่ตึกอุบัติเหตุแล้วมองหาใบหน้าของคนที่รู้จัก ห่างออกไม่ไกลนักวิธู แพรไหม ปัญจวีส์ รวมถึงชื่นฤทัยกำลังนั่งรอที่อยู่พักคอยของญาติคนป่วย

ในขณะที่วีร์กำลังเดินเข้าไปหาทุกคนก็มีสัญญาณโทรศัพท์ดังขึ้นมา มองเห็นว่าเป็นวิธู วีร์จึงรีบก้าวเดินไปหาแทนการกดรับสาย

“อ้าว มาแล้วเออ” วิธูเงยหน้าขึ้นมองด้วยท่าทางปกติ ดูไม่ได้ทุกข์ร้อนใจอะไร จนวีร์สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่อย่างน้อยก็น่าจะเป็นเรื่องใหญ่พอสมควรเพราะเห็นชื่นฤทัยมาด้วย

“แล้วยังไงนิ” วีร์ยกมือไหว้ชื่นฤทัยแล้วก็ถามเพื่อนๆของเขา ส่วนแพรไหมก็ดึงมือวีร์ให้มานั่งลงข้างๆกัน

“พี่ทำแผลอยู่ข้างใน เดี๋ยวก็ออกมาแล้ว” ปัญจวีส์เป็นคนตอบ

“แล้วไหนว่ารถชน” วีร์ถามต่อด้วยความกังวลปนความแปลกใจกับการแสดงออกที่ดูเป็นปกติของสองพี่น้อง

“ใช่ ฝั่งคนขับเห็นว่าโดนตั้งแต่ไฟเลี้ยวยันถึงประตูหลังโด้ รถบรรทุกอัดยับเลย” วิธูอธิบายให้ฟัง

“มึงไปดูรถมาแล้วเออ” วีร์ถามให้แน่ใจ เพราะนับจากเวลาที่วิธูโทรมาบอกเขาจนถึงตอนนี้เพิ่งจะผ่านไปไม่นาน ไม่มีใครน่าจะได้เห็นสภาพรถยนต์คันสีดำได้

“ม้าย ประกันเขาถ่ายรูปรถส่งมาให้ดู ก็เลยรู้ มึงจะดูมั้ย” ถามโดยที่ไม่ต้องการคำตอบ วิธูหันไปบอกให้ปัญจวีส์ส่งโทรศัพท์มาให้เขา และเมื่อรับมาเปิดหน้าจอแล้วก็ต้องหันกลับไปถาม “รหัสอะไรวะ”

“วันเกิดพี่ไง สอง ศูนย์ ศูนย์ เจ็ด” ปัญวีส์ตอบกลับมา

วีร์นึกสงสัยตั้งแต่ตอนที่เห็นปัญวีส์ส่งโทรศัพท์ให้วิธู เพราะว่าไม่ใช่เครื่องที่ปัญจวีส์ใช้อยู่เป็นปกติ จนตอนที่ปัญจวีส์บอกรหัสผ่าน เขาถึงได้รู้ว่าเป็นโทรศัพท์ของใครและก็สะกิดอยู่ในใจถึงตัวเลขรหัสทั้งสี่ตัวนั้น

“อะ มึงดู”

วีร์ยังไม่ทันได้คิดอะไรอื่น วิธูก็ยื่นโทรศัพท์ให้เขาดูภาพถ่ายของรถยนต์ว่าเสียหายมากขนาดไหน ยิ่งเห็นสภาพรถยนต์เขาก็ยิ่งแปลกใจมากไปกว่าเดิมว่าทำไมสองพี่น้องถึงไม่ได้ดูเป็นห่วงอะไรมากนัก

วีร์หันไปมองประตูห้องฉุกเฉินที่ปิดสนิทอยู่ เขาไม่คิดว่าจะต้องมาอยู่ที่หน้าห้องอุบัติเหตุฉุกเฉินนี่อีก แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าจะต้องไปนั่งรอนับวันถอยหลังอยู่ที่หอผู้ป่วยวิกฤติ

“ไม่ต้องห่วง เอ็กซเรย์แล้วไม่มีอะไรหัก มีโดนกระจกบาดที่แขนนิดหน่อยเท่านั้นเอง ทำแผลเสร็จแล้วก็กลับบ้านได้” ปัญจวีส์พูดให้เพื่อนของเขาคลายกังวล

ในระหว่างนั้นก็มีแสงวาบสีแดงสีน้ำเงินสาดส่องเข้ามาเป็นระยะ รถฉุกเฉินขับเข้ามาเทียบจอดเพื่อส่งผู้ป่วยเพื่อมารักษาแม้จะเป็นเวลาค่ำมืดแล้วก็ตาม จะเจ็บเล็กเจ็บน้อยเจ็บใหญ่ ห้องฉุกเฉินเป็นสถานที่ที่ต้องรับหน้าอยู่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงไม่มีหยุดพัก

เวลาผ่านไปไม่นานนักประตูห้องฉุกเฉินก็เปิดออกพร้อมกับรถเข็นนั่งที่มีชายหนุ่มร่างสูงนั่งอยู่ แขนข้างขวาถูกพันไว้ตั้งแต่ข้อศอกยาวลงมาถึงกลางแขนท่อนล่าง ข้อเท้าข้างขวาก็ใส่เฝือกอ่อนหุ้มเอาไว้

ทั้งห้าคนจึงลุกขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

“นี่ใบนัดครับ เดี๋ยวรอรับยาก่อนกลับนะครับ” บุรุษพยาบาลยื่นใบนัดให้กับชื่นฤทัยก่อนที่จะผละตัวออกไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ

“เป็นเยอะเหมือนกันนะเนี่ย นึกว่าไม่เป็นอะไรมากซะอีก” ปัญจวีส์มองดูแขนที่ต้องพันแผลไว้และเฝือกอ่อนที่ข้อเท้าด้วย

“จริงๆก็ไม่ต้องใส่ก็ได้” วีส์ยกขาขึ้นมาแล้วตบลงไปที่เฝือกอ่อนเบาๆ “หมอให้ใส่ไปงั้นๆแหละ ลุกยืนให้ดูเลยก็ได้”

เมื่อเห็นวีส์จะลุกขึ้นยืนจริงๆ ทุกคนก็พร้อมใจกันร้องห้ามไว้

“อย่าดื้อกับหมอ ถ้ามันไม่เป็นอะไรจริงๆ หมอก็คงจะไม่ใส่ให้หรอก” ชื่นฤทัยบอกด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงแต่ก็แอบเป็นคำสั่งกลายๆ บอกให้เชื่อฟังและทำตามแต่โดยดี

“แล้วนี่เดี๋ยวพี่จะกลับยังไง จะกลับบ้านหรือว่าจะกลับอพาร์ตเมนต์” ปัญจวีส์ถามพี่ชายของเขา

“กลับห้องสิวะ มีงานค้างอยู่ต้องไปทำต่อให้เสร็จ ก็ถ้าไม่โดนเรียกออกมาซะก่อน ป่านนี้ก็คงทำเสร็จแล้ว” วีส์ไม่ต้องการจะกล่าวโทษใคร โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นสีหน้าของวิธู “เอาเป็นว่าเดี๋ยวกลับห้องจะดีกว่า”

“แล้วลูกจะอยู่คนเดียวได้เหรอ ทั้งแขนทั้งขาแบบนี้” ชื่นฤทัยยังคงถามด้วยความเป็นห่วงตามประสาคนเป็นแม่

“ได้แม่ สบายมาก บอกแล้วว่าลุกขึ้นยืนให้ดูตอนนี้เลยก็ยังได้” วีส์ก็ให้คำยืนยันอย่างหนักแน่นตอบกลับไปว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรมากจริงๆ

“แต่ไม่น่าเชื่อนะ ตอนเห็นสภาพรถที่ประกันถ่ายส่งมาให้ดู นึกว่ากระดูกจะหักโน้นหักนี่เยอะแยะซะอีก” ปัญจวีส์ยืนกอดอกมองสำรวจพี่ชายของเขาตลอดทั้งตัว

“ขนาดพ่อเห็นรภแล้วก็บอกว่าขายเป็นซากไปเหอะ รถสิบปีเหลือแล้วนิ ไม่ต้องซ่อมแล้ว” วิธูก็พูดเสริมไปในทางเดียวกันว่าจากสภาพรถที่เห็นแล้วไม่น่าจะบาดเจ็บแค่เล็กน้อยแบบนี้ได้

วีร์เห็นสภาพรถยนต์แล้วก็คิดแบบเดียวกับวิธู ว่าไม่น่าจะบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ประตูรถฝั่งคนขับยุบเข้าไปทั้งบาน หน้าต่างทั้งด้านข้างและด้านหน้าแตก ไฟสัญญาณที่มุมด้านขวาก็แตกพังไม่มีชิ้นดี แต่คนขับกลับมีแผลแค่ที่แขนกับบาดเจ็บที่ข้อเท้าเท่านั้นเอง

“มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น ซ่อมเสร็จเดี๋ยวก็ขับต่อได้” วีส์ยังคงเสียดายรถยนต์ของเขาอยู่

“พี่จะซ่อมเหรอ” ปัญจวีส์ถามอย่างตกใจ

“ก็แล้วแต่ประกันเขาไปจัดการให้ ยังไงฝ่ายโน้นก็ต้องจ่ายค่าเสียหายอยู่แล้วใช่มั้ยละ”

“แล้วพี่แน่ใจนะว่าตอนนั้นไฟยังเขียวอยู่” ปัญจวีส์ถามเพื่อความมั่นใจว่าฝ่ายพี่ชายของเขาไม่ได้ฝ่ายกระทำผิด จะได้เรียกค่าซ่อมแซมได้เต็มที่

“ก็เขียวสิ ยังไม่ทันกระพริบเหลืองด้วย ไอ้คันโน้นมาจากไหนก็ไม่รู้ เห็นอีกทีก็ประชิดตัวแล้ว”

“โคตรโชคดีเลย โดนขนาดนี้แล้วเจ็บแค่นี้” วิธูยังรู้สึกไม่เชื่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

“ก็ดีแล้วไงที่ไม่เป็นอะไรมาก” ปัญจวีส์หยิบโทรศัพท์ของเขาขึ้นมา “เดี๋ยวปันปันต้องโทรบอกพ่อก่อน ว่าจะกลับบ้านกันแล้ว”

ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่ก็ประกาศเรียกชื่อให้ไปรับยา ชื่นฤทัยก็เป็นคนไปจัดการให้เสร็จเรียบร้อย ก็ได้เวลาเดินทางกลับไปพักผ่อนของแต่ละคน

“มึงมาไงวะ” วิธูถามวีร์

“เอารถพี่ธีร์มา”

“จอดที่ลาดจอดใช่มั้ยวะ” วีร์ก็พยักหน้าตอบวิธู “งั้นเดี๋ยวก็เดินไปพร้อมกัน กูเอารถเครื่องมากับอีดำ”

“ไปพร้อมกันนี่แหละ” ปัญจวีส์ว่าแล้วก็แบมือยื่นให้ชื่นฤทัย “แม่ กุญแจรถ เดี๋ยวปันปันไปเอารถมารับเอง”

ชื่นฤทัยก็ส่งกุญแจรถยนต์ให้กับปัญจวีส์และไม่ลืมกำชับให้ขับด้วยความระมัดระวัง ทั้งการขับของตัวเองและระวังการขับของคนอื่นด้วย วีร์ วิธูและแพรไหมก็ถือโอกาสยกมือไหว้บอกลาชื่นฤทัยไปเลยก่อนที่จะพากันเดินออกไป

“เดี๋ยวมึง”

เสียงร้องเรียกของวีส์ทำให้ทุกคนหยุดแล้วหันกลับมามองด้วยความสงสัย เพราะเห็นวีส์กำลังเอามือตบกระเป๋าเสื้อกระเป๋ากางเกงไปทั่ว ก่อนที่ละล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบของบางอย่างออกมา วีส์ยื่นมือออกไปให้วีร์

“เอานี่ ตกอยู่ในรถกู กูว่ามึงเปลี่ยนสายสร้อยจะดีกว่า มันเปื่อยหมดแล้ว”

ของที่อยู่ในมือของวีส์ก็คือแหวนหยกสีแดงที่วีร์คิดว่าจะไม่ได้กลับคืนมาแล้ว วีร์ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าไปทำตกไว้ตอนไหนอย่างไร จนเมื่อตอนที่กลับถึงบ้านเตรียมตัวจะอาบน้ำแล้วถึงได้สังเกตเห็นว่าสร้อยคล้องแหวนหายไปแล้ว

วีร์รับแหวนหยกแดงคืนมาท่ามกลางสายตาของคนอื่นๆ นับได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่คนอื่นๆได้เห็นแหวนวงนี้เต็มๆตานอกจากเขาสองคน

“เฮ แหว้นไรวะ” วิธูเดินกลับมาถามพร้อมกับแพรไหม

“แหว้นข่องแหมเฒ้า แหมเฒ้าห้ายมาแหรกก๋อนปี๋ไหม้โด้” วีร์ใส่สร้อยคล้องคอไว้ตามเดิมแล้วเก็บแหวนใส่เข้าไปข้างในเสื้อ

“ถึ้งหวาม้ายช้ายเคยเห้น”

“ไป๋ หลบด้ายแล่ว” แพรไหมเรียกแฟนหนุ่มและเพื่อนของเธอให้เดินไปที่ลานจอดรถกันได้แล้ว จะได้แยกย้ายกลับไปพักผ่อนกัน โดยเฉพาะผู้ที่เพิ่งจะประสบอุบัติเหตุมาหมาดๆ


*****


ทำไมช่วงนี้ถึงเงียบจัง ไม่มีข่าวอะไรเลย ยานอวกาศของเรายังอยู่ดีอีกมั้ย #VVGo4Launch
เติมเชื้อเพลิงรอนานแล้วนะ เมื่อไหร่จะได้เริ่มนับถอยหลังซะที
เบื่อทางนี้ก็อลองไปดูที่บ้าน #วีส์ฟ่า ก่อนก็ได้ มีเรื่องทุกวัน
โอ้ย มีแต่เรื่องมโนฝ่ายเดียวละไม่ว่า ของจริงมันไม่มีอะไรถึงต้องสร้างเรื่องขึ้นมาเอง เพ้อเจ้อบ



*****


หลังจากวันที่เกิดเหตุ วีส์ทนใส่เฝือกอ่อนที่ข้อเท้าอยู่สองวันก็ขอถอดออก เพราะรู้สึกรำคาญทำอะไรก็ไม่สะดวกทั้งๆที่ไม่ได้เป็นอะไรมากตามความคิดของเขา แต่ก็ยอมโอนอ่อนใช้การพันผ้ายืดแทนไปอีกสักระยะ นั้นทำให้เขาสามารถแต่งตัวไปมหาวิทยาลัยได้ตามปกติ กางเกงขายาวรองเท้าหุ้มส้นรวมไปถึงเสื้อแขนยาว แม้ว่าอากาศจะร้อนมากก็ตาม

กฤษณะมองดูเพื่อนด้วยความรู้สึกเห็นใจ แม้ว่าจะเข้าใจแต่ก็อยากถามอยู่เหมือนกันว่าจะทำไปเพื่ออะไร แต่กระนั้นก็เดาคำตอบได้ไม่ยาก เป็นเพราะไม่อยากจะให้เกิดข่าวลือในทางที่ไม่ดีโดยไม่จำเป็น เขาจึงชวนเพื่อนมาหลบอากาศร้อนที่ห้องสมุด อย่างน้อยก็มีเครื่องปรับอากาศช่วยเหลือไว้ได้บ้าง

“มึงยังใช้แขนได้อยู่นะเว้ย” กฤษณะถามด้วยความเป็นห่วง

“ได้ แค่อย่าออกแรงเยอะ” วีส์ค่อยๆเปิดหน้าหนังสือ พยายามไม่ขยับแขนด้วยความรวดเร็วตามปกติที่เคยทำ เวลาที่ต้องการจะเขียนอะไรก็เขียนช้าลง

“อีกคันก็ไม่น่าเลย แถมยังเป็นรถใหญ่อีก”

“เห็นว่าหลับใน จำได้ลางๆว่ายังเห็นเป็นไฟเขียวอยู่แล้วภาพก็หายไป รู้ตัวอีกทีก็ตอนกระแทกใส่รถกูไปแล้ว”

“แล้วมึงก็รอดมาได้นะ ไม่น่าเชื่อ” กฤษณะมองสำรวจดูเพื่อนของเขา “มึงห้อยพระอะไรวะ ดูท่าทางจะศักดิ์สิทธิ์จริง”

“มึงรู้จักกูมากี่ปี เคยเห็นกูใส่อะไรมั้ยละวะ” วีส์ยังคงไม่ละสายตาไปจากหนังสือ “อย่างมากก็หลวงปู่ทวดของพ่อที่ติดมากับรถเท่านั้นแหละ”

“ตอนมึงส่งรูปรถมาให้ดู กูนี้ร้องเฮ้ย ไอ้ปั๋งมันก็รีบจะลากกูมาเยี่ยมมึงให้ได้ ก็นึกว่าต้องไปเฝ้าที่โรง’บาล ที่ไหนได้กลับไปนอนอยู่ห้องแล้ว”

“กูก็บอกพวกมึงแล้วว่าไม่เป็นอะไร แค่บอกไว้ก่อน เดี๋ยวพวกมึงจะตกใจ” วีส์ยังคงสนใจหนังสือของเขาอยู่

“แล้วนี่... น้องเขารู้รึยังวะ ว่ามึงโดนรถชน” ถึงจะไม่ออกชื่อแต่กฤษณะรู้ว่าเพื่อนของเขาเข้าใจว่าเขาถามถึงใคร

“รู้” วีส์ตอบกลับสั้นๆ

“รู้ได้ไงวะ” กฤษณะถามต่อด้วยความสนใจ

“เพื่อนมันโทรไปตามให้มาที่โรงพยาบาล”

กฤษณะทำหน้านึกคิดประมวลเรื่องราว พอจะรับรู้เหตุการณ์ต่างๆมาบ้างเท่าที่เพื่อนของเขามาเล่าให้ฟัง และก็เข้าใจได้โดยทันทีว่าเพื่อนคนที่โทรตามก็คงจะเป็นบรรดาน้องชายของเพื่อนของเขานั่นเอง

“มาที่โรง’บาลเลยเหรอวะ... แบบนี้มันน่าจะมีใจให้แล้วมั้ง”

“กูก็ไม่รู้ว่ายังไงกันแน่ บางทีก็ดูเหมือนใช่ บางทีมันก็ดูเหมือนไม่ใช่”

“แล้วมึงจะเอายังไงต่อ”

คำถามที่เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคำตอบคืออะไร วีส์ชำเลืองมองกฤษณะที่กำลังจ้องหน้าเขาอยู่ ก่อนที่จะหันกลับมาถอนหายใจ

“จริงๆ แค่ตอนนี้กูไปหาแล้วไม่ปฏิเสธที่จะเจอ กูก็โอเคแล้ว”

“มักน้อยนะมึง”

“กูเกือบเลิกหวังตั้งแต่ตอนที่น้องบอกให้ต่างคนต่างอยู่แล้ว แต่ก็ดันถูกดึงกลับไปหาเฉย แต่กูก็ไม่อยากตั้งความหวังไว้มาก”

“แต่ถ้าได้...” กฤษณะมองอย่างรู้มัน

“ถ้าได้ก็ดี” วีส์ก็ยอมรับตรงๆ

“รักแรกก็แบบนี้แหละนะ ลืมยาก”

วีส์หันไปมองตอบกลับโดยที่ไม่ได้ปฏิเสธอะไร แล้วก็หันกลับมาสนใจหนังสือตรงหน้าต่อ แต่ว่าในความคิดของเขากลับมองเห็นสายตาของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีแต่ความเป็นห่วงเป็นกังวลกำลังมองเขาอยู่ตอนที่เขาถูกเข็นออกมาจากห้องฉุกเฉิน ที่เขาเองก็ตกใจอยู่ไม่น้อยเพราะไม่ได้เตรียมใจไว้ก่อนว่าจะได้เจอกัน


*****


เช้าวันเสาร์ที่สภาพอากาศเข้าสู่ฤดูร้อนเต็มพิกัด ความระอุของพื้นผิวโลกเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณนับตั้งแต่วินาทีที่โลกหมุนเข้าหาดวงอาทิตย์ พลังงานมหาศาลถูกส่งมาทั่วทุกซอกทุกมุม แม้ว่าจะอยู่ในที่ร่มก็ไม่ได้รู้สึกบรรเทาความร้อนลงไปได้เลย ขนาดคนยังอยู่ยาก สัตว์หน้าขนที่ระบายความร้อนออกจากร่างกายด้วยการหอบจะทนอยู่ได้อย่างไร

วีร์จึงจับสุนัขทั้งสองตัวเรียงคิวอาบน้ำ นอกจากจะช่วยเรื่องความร้อนแล้วก็ยังทำเพื่อความสะอาดและเพื่อกำจัดกลิ่นไปในตัวด้วย

ตามปกติเมื่อวีร์จะอาบน้ำให้กับต้าวและเติบ วีร์จะต้องล่ามโซ่อีกตัวไว้เสียก่อน เพราะทุกครั้งที่อีกตัวเห็นว่าเพื่อนของมันกำลังโดนจับอาบน้ำให้ก็มักจะแอบหนีไปหลบซ่อน แม้ว่าจะไม่เคยหนีได้พ้นก็ตาม

ขณะที่กำลังฟอกน้ำยาไปทั่วตัวสุนัขตัวหนึ่ง ก็มีเสียงรถยนต์มาจอดที่หน้าบ้าน หลังจากนั้นไม่นานก็เป็นเสียงเปิดประตูรั้ว สุนัขทั้งสองตัวก็ยืนหูตั้งมองไปทางหน้าบ้าน ท่าทางเตรียมพร้อมกระโจนใส่ทันทีที่เป้าหมายปรากฏตัว ตัวที่ถูกล่ามโซ่ไว้ก็เดินไปจนโซ่ตึงไปต่อไม่ได้ แต่ก็พร้อมจะกระชากตัวสุดแรง

แต่ทว่าท่าทางที่ดูน่าเกรงขามก็ถูกบั่นทอนลงด้วยหางที่กระดิกไปมาเบาๆ เสียงเห่าเปลี่ยนเป็นเสียงคราง และอาการหนักขึ้นเมื่อชายหนุ่มร่างสูงผิวเข้มโผล่หน้ามาให้เห็น

“เอ้า ก็นึกว่าไม่มีใครอยู่บ้าน เห็นรถไม่อยู่แต่ประตูรั้วก็ไม่ล๊อก” ภูมิเดินมาทักทายสัตว์หน้าขนที่พยายามกระโดดทักทายเขา แต่ติดตรงโซ่ที่ล่ามไว้

“พี่ธีร์พี่วาเขาไปทำงานชดเชยช่วงหยุดยาวสงกรานต์” วีร์ตอบกลับและออกแรงดึงสุนัขอีกตัวไว้ไม่ให้พุ่งออกไป

“ถึงว่า... แล้วนี่ไปกันหมดเลยเออ” ภูมิถามต่อและนั่งลงเล่นหยอกล้อกับสัตว์หน้าขนไปด้วย

“ใช่ เห็นว่าเดย์แคร์เขาก็เปิดเหมือนกัน ก็เลยพาน้องไปด้วยทั้งสองคน” วีร์พยายามรีบล้างตัวสุนัขให้เสร็จจะได้เปลี่ยนไปอาบน้ำให้อีกตัว “แล้วพี่ภูมิมีอะไรมั้ยนิ”

“ม้าย ว่างก็เลยแวะมาเยี่ยมเฉยๆ”

“อยู่ถึงเย็นมั้ยอะ นุ้ยจะได้บอกพี่ธีร์พี่วา”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่บอกเอง” ภูมิลุกขึ้นยืนแล้วหยิบโทรศัพท์ของเขาออกมาส่งข่าวให้กับพี่ชายและพี่สะใภ้ เป็นจังหวะเดียวกับที่วีร์ปล่อยสุนัขออกมาหลังจากที่ล้างตัวให้เสร็จ มันก็สะบัดขนสั้นๆให้น้ำกระเด็นออกก่อนที่จะเดินมาทักทายเขา

“แล้วสงกรานต์พี่ภูมิกลับบ้านมั้ยอะ” วีร์ลุกขึ้นเดินไปจับสุนัขอีกตัวมาเข้าที่ เตรียมพร้อมสายยางและขวดแชมพู

“ก็อาจจะตามไปทีหลังมั้ง เดี๋ยวดูอีกทีก่อนว่างานเสร็จมั้ย” ภูมิเก็บโทรศัพท์แล้วนั่งลงเล่นกับสุนัขตัวเปียกหมาดๆ

“เอ้า ป่านนี้แล้วยังไม่มีตั๋วที จะตามไปยังไงหล่าว”

“ก็เอารถลงไปเองก็ได้” ภูมิยังไม่แน่ใจในกำหนดเวลาที่แน่นอนของเขาเอง

“ถ้าจะเอารถลงไป ก็ไปด้วยกันดีกว่ามั้ยอะ พี่ธีร์จะเช่ารถลงไปเพราะว่าต้องขนทั้งเด็กทั้งหมาลงไปกันหมด แล้วก็มีของอีกเยอะแยะเต็มไปหมด”

“จะเอาไอ้สองตัวนี้ลงไปด้วยเออ” ภูมิถามอย่างสงสัย

“ก็ไปตั้งหลายวันนิเบ๋อ จะทิ้งไว้ได้ไงหล่าว ใช่ยังใครอยู่ให้อาหาร”

ภูมิพยักหน้าเห็นตามด้วย แต่สำหรับตัวเขาเองก็ยังมองหาทางเลือกอื่นเอาไว้บ้าง หากไม่ได้จริงก็ค่อยตกลงกับทางเลือกนี้

“ไว้ค่อยคุยกับพี่ธีร์เอาตะ”

ในระหว่างที่สุนัขตัวหนึ่งกำลังออดอ้อนออเซาะตัวเขาอยู่ ภูมิก็มองดูวีร์จัดการอาบน้ำให้กับสุนัขอีกตัวไปด้วย แล้วก็เกิดข้อสงสัยอยู่ในใจที่ยังไม่แน่ใจว่าจะถามดีหรือไม่

“นี่...” ภูมิเรียกความสนใจจากหลานชายของเขาจนวีร์เงยหน้ามามอง “นุ้ยไปตรวจเลือดแล้วยัง”

วีร์เลิกคิ้วขึ้นเพราะสงสัยว่าภูมิไปรู้เรื่องนี้มาได้อย่างไร แต่ก็คิดไปคิดมาว่าถ้าไม่ใช่ไปรู้มาจากธีร์ก็คงจะเป็นอีกคน ที่บางครั้งเขาก็ลืมไปว่าภูมิรับเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาให้กับใคร

“ไปมาแล้ว” วีร์ตอบสั้นๆแล้วก็รีบอาบน้ำสุนัขให้เสร็จ

“แล้วรู้ผลรึยัง” ภูมิถามต่อ

“เห็นว่าได้วันจันทร์นี้”

“อืม” ภูมิพยักหน้าตอบ “ไม่ต้องกังวลนะ ถ้ามันมีอะไรขึ้นมาก็ค่อยแก้ไปทีจะจุด”

“นุ้ยไม่ใช่คิดไรนิ เพราะจริงๆนุ้ยก็ไม่ใช่โดนอะไรเลย แต่แม่พี่เขามาคุยกับพี่ธีร์พี่วาบอกให้ตรวจไปด้วยกัน จะได้สบายใจกัน นุ้ยก็ไม่ว่าอะไร”

“ตรวจก็ดีแล้ว จะได้แน่ๆรู้ว่าเป็นอะไรมั้ย”

วีร์นั่นมั่นใจว่าเขาไม่เป็นอะไรแน่นอน เขาไม่ได้สัมผัสส่วนใดๆจากผู้ตายเลย แต่เป็นอีกคนต่างหากที่ดูน่ากังวลมากกว่าเพราะเปื้อนรอยเลือดของผู้ตาย ตัวเราของเราอยู่ดีๆกลับจะต้องมาเจออะไรแบบนี้ นี่ขนาดว่ายังไม่นับเรื่องอุบัติเหตุที่เพิ่งจะเกิดขึ้นไม่นานผสมเข้าไปอีก

“นุ้ย”

เสียงเรียกทำให้วีร์หันไปมองต้นทางของเสียง

“เสร็จยัง หมาตัวเปื่อยหมดแล้ว”

วีร์หันกลับมาดูสุนัขที่กำลังแล่บลิ้นกินน้ำจากปลายสายยางที่กำลังจ่อใส่ตัวมันอยู่ วีร์จึงหันไปปิดก๊อกน้ำ แล้วก็เอามือรีดน้ำออกจากตัวสุนัขแล้วจึงปล่อยให้มันไปสะบัดตัวเองอีกครั้ง หลังจากนั้นวีร์ก็เก็บขวดแชมพูแล้วก็เอาไม้กวาดทางมะพร้าวมากวาดไล่น้ำออกจากพื้น

“แล้วเดี๋ยวนุ้ยจะกินอะไร ให้พี่ทำให้กินหรือว่าจะกดสั่งเอา” ภูมิถามเพราะว่าตอนนี้ก็ใกล้เวลาเที่ยงเข้าไปแล้ว และอยู่บ้านกันแค่สองเหมือนเมื่อตอนสมันปิดภาคเรียนตอนเด็กๆ

“แล้วแต่เลย นุ้ยยังไงก็ได้”

แล้ววีร์ก็เดินนำภูมิเข้าไปข้างในบ้าน ปล่อยให้สุนัขทั้งสองตัววิ่งเล่นสะบัดตัวสะบัดขนจนกว่าตัวมันจะแห้ง แล้วก็มานั่งรอนอนรออยู่หน้าประตูบ้าน เผื่อว่าผู้มาใหม่จะออกมาเล่นกับพวกมันอีก


[อ่านต่อด้านล่าง]

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
โรงอาหารหลักของมหาวิทยาลัยยังคงเป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับบุคลากรภายในอยู่เสมอโดยเฉพาะยามเที่ยง แม้ว่าจะมีโรงอาหารอื่นแยกย่อยที่บางคณะ เพื่อเฉลี่ยคนออกไปไม่ให้มากระจุกตัวอยู่ที่เดียวกัน แต่เป้าหมายหลักก็ยังคงเป็นโรงอาหารแห่งนี้

หากใครหลงเข้ามาเพียงคนเดียว ก็อย่าได้หวังว่าจะสามารถต่อคิวซื้ออาหารเสร็จจะหาที่นั่งว่างนั่งกินได้ อาจจะต้องระเห็จออกไปกินข้างนอกโรงอาหารแทน ดังนั้นวิธีการที่ได้ผลสำฤทธิ์มากที่สุดคือต้องสลับกันกับเพื่อนเพื่อจองที่นั่งแล้วไปซื้ออาหารมากิน

กลุ่มชายหนุ่มร่างสูงเดินเข้ามาในโรงอาหาร สิ่งแรกที่ต้องทำเหมือนกับคนอื่นๆคือมองซ้ายมองขวา แต่ทว่าหนึ่งคนในนั้นไม่ได้มองหาที่นั่งว่างแต่มองหาคนที่กำลังนั่งอยู่ เมื่อไม่เห็นคนที่ตั้งใจจะหาแต่เห็นน้องชายตัวเองก็พอจะแทนกันได้อยู่

“เพื่อนมึงไปไหนวะ” สิ่งแรกที่วีส์ทักทายปัญจวีส์ตอนที่เดินไปถึงที่โต๊ะอาหาร

“อ้าวพี่” ปัญจวีส์สะดุ้งหันตัวมา แล้วก็หันไปมองหาทั่วโรงอาหารจนเจอ แม้ว่าจะไม่ออกชื่อแต่เขาก็รู้ว่าพี่ชายของเขาหมายถึงใคร “โน้น ซื้อข้าวอยู่”

วีส์มองตามที่ปัญจวีส์ชี้ไป แล้วเขาก็ตบบ่าขอบคุณปัญจวีส์ก่อนที่จะเดินออกไป ทิ้งเพื่อนๆที่มองอย่างงงๆเพราะนึกว่าชวนกันเดินมาหาที่นั่งกัน

ส่วนวีร์ที่กำลังยืนต่อแถวรออย่างใจเย็นเพราะอีกไม่กี่คนก็จะถึงคิวของเขาแล้ว ก็กำลังจะหันไปมองแรงคนที่มาดึงตัวเข้าออกไปจากแถว แต่เมื่อเห็นว่าเป็นมือของใครก็ปรับสีหน้ามาเป็นปกติ แต่ถึงอย่างไรภายในใจก็รู้สึกขุ่นมัว เพราะอุตส่าห์ยืนต่อแถวมาตั้งนานและกำลังจะใกล้ถึงคิวแล้วด้วย

วีร์ยอมเดินตามแรงดึงของชายหนุ่มรุ่นพี่อย่างไม่เต็มใจมากนัก เพราะแม้ว่าสีผมจะไม่ใช่สีเทาประกายน้ำเงินอย่างแต่ก่อนแต่ยังคงเรียกความสนใจจากคนรอบข้างได้อยู่เสมอ การจะไปยื้อยุดฉุดกระชากท่ามกลางสายตาผู้คนมากมายจึงไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่สำหรับที่ไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาใครๆ ยอมเดินออกมาก่อนแล้วค่อยว่ากันจะดีกว่า

ทั้งสองคนเดินออกประตูด้านข้างของโรงอาหาร เป็นทางเดินรองเชื่อมพื้นที่ระหว่างอาคาร ถึงจะไม่ใช่ที่เปลี่ยวแต่ก็ไม่ใช่ทางผ่านที่มีคนพลุกพล่าน วีส์มองซ้ายมองขวาดูว่ามีใครกำลังเดินมาใกล้พวกเขาหรือไม่ ก่อนที่จะยื่นซองจดหมายยาวสีขาวให้กับวีร์

วีร์ก็รับซองมาอย่างสงสัยว่าเหตุใดชายหนุ่มรุ่นพี่ต้องทำท่าทางเหมือนกำลังแอบส่งของผิดกฎหมายกัน

“ผลเลือด” วีส์ตอบคำถามจากสายตาของเด็กหนุ่ม “ของกูเป็นปกติดี ไม่เจอเชื้ออะไร ของมึงก็น่าจะเหมือนกัน”

วีร์เปิดซองจดหมายแล้วดึงเอกสารข้างในออกมาเปิดดู รายละเอียดด้านใจเป็นรายงานผลการตรวจเลือดแยกเป็นชื่อเชื้อไวรัสชนิดต่างๆที่สามารถติดต่อกันได้ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน นอกเหนือไปจากเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง

ในขณะที่วีร์กำลังอ่านผลการตรวจ สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นขาข้างขวาของชายหนุ่ม ถึงแม้ว่าเขาจะใส่เป็นกางเกงขายาวแต่รูปทรงของมันดูเข้ารูปเป็นปกติมากเกินไป เหมือนคนทั่วๆไปใส่กันทั้งๆที่ควรจะมีลักษณะพองตัวหนา แล้วยังมีรองเท้าที่เป็นรองเท้าหุ้มส้นปกติ

วีร์แอบช้อนตาขึ้นมองชายหนุ่มก่อนที่จะหลุบตาลงมองขาข้างขวาของเขาอีกครั้ง แล้วก็เงยหน้าขึ้นมองตามปกติ แต่แววตานั้นไม่ปกติ

“มีอะไรรึเปล่า หรือว่าผลเลือดมีปัญหา” วีส์ถามด้วยความเป็นห่วง แต่ถ้าหากมี เขาก็ไม่คิดว่ามันจะมีปัญหาอะไรร้ายแรง เพราะในวันเกิดเหตุนั้น วีส์มั่นใจว่าเขาเอาตัวเองบังเด็กหนุ่มไว้มิดชิดดีแน่นอน

“ผลเลือดไม่มีปัญหาหรอกครับ” วีร์ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “แต่ขาคุณน่ะ...” วีร์ก้มหน้าลงมองส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายรับรู้

“ขากูทำไมวะ” วีส์ก็ก้มหน้าลงมองตาม แล้วก็ขยับขาทั้งข้างขวาและข้างซ้ายซึ่งเขาก็ไม่เห็นว่ามีความผิดปกติอะไร “ไม่เห็นมีอะไรเลย”

วีร์พ่มลมหายใจก่อนที่จะตอบกลับไป

“ทำไมไม่ใส่เฝือก หมอให้ถอดออกแล้วเหรอครับ”

“อ๋อ...” วีส์ร้องทันทีเมื่อรู้ว่าเด็กหนุ่มหมายถึงอะไร “มันก็... ไม่ได้เป็นอะไร ก็เดินได้ปกติ”

วีร์ทั้งพ่นลมหายใจทั้งกรอกตามอง

“ถ้ามันไม่เป็นอะไรจริงๆ แล้วหมอเขาจะให้ใส่ทำไมละครับ” วีร์มองด้วยสายตาว่าอย่าได้มาท้าทายกับระบบเป็นอันขาด

“เอาน่ะ ไม่เป็นอะไรหรอก กูก็เดินได้ปกติเนี่ย” วีส์ย้ำเท้าอยู่กับที่เพื่อยืนยันคำพูดของตัวเองว่าขาของเขาเป็นปกติจริงๆ

“ไม่รู้จักห่วงตัวเองซะบ้าง” วีร์บ่นพึมพำเบาๆแล้วก็ไม่รู้สึกอยากจะต่อความอีก เขาอยากจะกลับเข้าไปในโรงอาหารแล้ว “มีอะไรอีกมั้ยครับ”

“ก็... เรื่องฝึกขับรถ คงจะต้องรอเปิดเทอมหน้าโน้นเลย เห็นที่อู่บอกว่าอาจจะต้องใช้เวลาสักสองเดือน รอคิวคันอื่นด้วยรออะไหล่ด้วย คงจะเสร็จตอนที่กูไปจีน ก็เลย.. รอตอนเปิดเทอมก็แล้วกัน”

วีร์นึกอยากจะปฏิเสธไปก็เพราะอุบัติเหตุครั้งล่าสุดทำให้เกิดความรู้สึกไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่ แต่ก็ติดตรงที่ได้รับคำมั่นไปก่อนหน้านี้แล้วไม่อยากจะเสียคำพูดของตัวเอง จึงได้แต่พยักหน้าตอบตกลงกลับไป

“โอเค เดี๋ยวเราค่อยนัดวันกันอีกที” วีส์ยิ้มหน้าบานที่เด็กหนุ่มยังคงตอบรับเหมือนเดิม “แล้วนี่ เดี๋ยวมึงกลับเข้าไปกินข้าวมั้ย”

คนกำลังหิว แล้วก็นึกเรื่องที่ทำให้โมโหขึ้นมาได้ วีร์มองตอบกลับแบบว่าคนถามก็ไม่น่าจะถามคำถามนี้เลย เป็นเพราะใครกันเล่าที่ดึงเขาออกมาจากแถวรอซื้ออาหาร ไม่เช่นป่านนี้เขาจะได้ไปนั่งกินข้าวแล้ว

“อะๆ อย่าเพิ่งมูหู เดี๋ยวกูพาไปทางลัด ไม่ต้องต่อคิวใหม่” วีส์พูดแล้วก็คว้าแขนของเด็กหนุ่มแล้วก็เดินนำไปทางด้านหลังของโรงอาหาร มีช่องทางเข้าออกสำหรับร้านค้า เป็นพื้นที่ประกอบอาหารก่อนที่จะยกออกไปหน้าร้านและเป็นพื้นที่ล้างทำความสะอาด ทำให้พื้นบริเวณนี้เปียกน้ำตลอดเวลา “ไม่ต้องห่วง กูเคยมาติดต่อสั่งข้าวอยู่บ่อยๆ ไว้ตอนทำกิจกรรมคณะบ้างซ้อมแข่งบ้าง ก็เดินเข้ามาคุยทางนี้แหละ”

วีส์เดินนำไปจนเกือบถึงด้านหลังของร้านเป้าหมายที่วีร์ไปยืนต่อแถวก่อนหน้านี้ กำลังจะหันตัวมาบอกเด็กหนุ่ม เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เท้าขวาของเขาก้าวออกไปและลื่นไถลทันทีที่แตะลงพื้นเปียกๆ ตัวของเขาก็เซตามไป โชคดีที่ปฏิกิริยาของวีร์ว่องไว เกร็งแขนของตัวเองที่ชายหนุ่มรุ่นพี่จับไว้อยู่ ดึงรั้งไว้ให้เป็นหลักยึดไว้ได้ทัน

“คุณเป็นอะไรมั้ย” วีร์ถามด้วยความตกใจ

“ไม่เป็นไร” แต่ไม่ทันขาดคำ วีส์พยายามขยับเท้ากลับมายืนปกติแต่ก็รู้สึกเสียวแปลบตั้งแต่ส้นเท้าขึ้นมาจนถึงน่อง เขายังพยายามข่มใจไม่ให้ส่งเสียงร้อง และพยายามยืนให้เป็นปกติมากที่สุดเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกเป็นกังวล แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว

“สีหน้าไม่ได้บ่งบอกว่าโอเคเลยนะครับ” วีร์ก็ไม่ได้อยากจะซ้ำเติม แต่เพราะท่าทางที่แสดงออกมามันชัดเจน

“กูไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ” ถึงปากจะบอกว่าไปเช่นนั้น แต่วีส์ก็ต้องกัดฟัดเมื่อพยายามจะลงน้ำหนักลงที่ขาข้างขวา

“เฮ้อ” วีร์ถอนหายใจแรง แล้วก็เดินไปอยู่ที่ข้างขวาของชายหนุ่ม แล้วก็ยกแขนข้างขวาของวีส์พาดบ่าของเขา ถึงตัวเขาจะไม่ได้สูงพอที่จะให้ชายหนุ่มรุ่นพี่ค้ำไหล่ แต่ก็พอจะให้ใช้พยุงเดินไปได้บ้าง

“ยังเจ็บแผลอยู่มั้ย” วีร์ถามถึงแผลที่แขนของชายหนุ่ม วีส์ก็ส่ายหน้าตอบ “งั้นก็เดินไป”

“ไปไหน” วีส์ถามกลับ

“โรงพยาบาลสิครับ จะปล่อยกะเผลกไปเฉยๆรึยังไง เดิมหมอก็ให้ใส่เฝือกอยู่ก็ไปถอดออกเองซะอีก นี่ก็ไม่รู้จะเป็นหนักกว่าเก่ารึเปล่า”

“ไม่ต้องก็ได้มั้ง” วีส์ยังไม่ให้ความร่วมมือดีสักเท่าไหร่ ตัวเขาคิดว่าคงจะไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่เจ็บชั่วคราวพักสักหน่อยเดี๋ยวก็หาย แต่ดวงตาคมตวัดหันมามองเขานั้น ทำให้เขาต้องยอมทำตามแต่โดยดี


*****


(แนบรูป) คุณวีวิดยาอวกาศเจ็บขา แต่คงจะหายในเร็ววันเพราะมีคนดูแลดี #VVGo4Launch
เห็นเหมือนกันที่โรงอาหาร เห็นเขาช่วยกันเดินไปสองคน น่าร๊อกกกอะ
สงสัยดวงกำลังเริ่มทำงาน ระวังชีวิตไว้ด้วยเน้อ
ห่วงชีวิตมึ_ก่อนเถอะ ยุ่งอะไรกับเขา



*****


ช่วงหยุดยาวครั้งสุดท้ายก่อนถึงวันสอบวัดผลปลายภาคเรียนก็คือช่วงวันสงกรานต์ ถึงทางมหาวิทยาลัยจะไม่ได้ประกาศวันหยุดเพิ่มเติมในวันทำการที่เป็นรอยแหว่งอยู่ แต่ก็มักจะเป็นการตกลงกันเองระหว่างผู้บรรยากาศกับนักศึกษาของแต่ละวิชา ได้บ้างไม่ได้บ้างแตกต่างกันไป

สำหรับนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์การกีฬาเลือกใช้ช่วงวันหยุดยาวนี้เก็บตัวฝึกฝนก่อนสอบปฏิบัติเก็บคะแนนครั้งสุดท้ายที่มีความสำคัญมาก เพราะมีสัดส่วนคะแนนเยอะกว่าครั้งอื่นๆ ทำให้วิธูไม่ได้กลับไปปเยี่ยมบ้านเหมือนนักศึกษาคณะอื่นๆ

วิรัชและจิรัสย์จึงเดินทางขึ้นมาหาแทน

“หนูแพรเขาไม่อยู่เออ” จิรัสย์ถามถึงว่าที่ลูกสะใภ้จากลูกชายคนเล็กของเธอระหว่างที่กำลังเดินไปร้านอาหารภายในห้างสรรพสินค้าที่นัดกันไว้กับชื่นฤทัย

“ลงไปกับไอ้อ้วน พี่ธีร์เขาเช่ารถตู้เอาทั้งเด็กทั้งหมาลงไปกันหมดบ้าน อีดำมันก็เลยตามลงไปกัน” วิธูเดินมองหาร้านที่นัดกันไว้ และก็มองหาพี่และน้องของเขาไปด้วย

“รอบนี้ก็เลยคลาดกันเลยสิ”

“ฮาย ยังมีโอกาสได้เจอกันอีกยาว” วิธูยกมือขึ้นโบกเมื่อเขาเห็นปัญจวีส์อยู่ไกลๆ “พวกโน้นเขายืนรออยู่หน้าร้านแล้ว”

เมื่อเดินไปถึง ผู้ใหญ่ทั้งสามคนก็ทักทายกันตามประสาพ่อแม่ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันไป ส่วนพี่น้องสามคนก็รวมตัวกันอีกกลุ่มหนึ่งพูดคุยหยอกล้อกันตามประสาเด็กๆ เพราะโอกาสที่จะได้มาเจอกันแบบตัวเป็นๆมีไม่บ่อยมากนัก แม้แต่กับวีส์และปัญจวีส์เองก็ตาม มักจะเจอกันผ่านโทรศัพท์เสียมากกว่า

“นี่ยังใส่เฝือกอยู่อีกเหรอ” วิรัชหันไปเห็นลูกชายคนรองที่เปลี่ยนสถานะเป็นพี่คนโตแล้ว

“ก็ถ้าพี่ยังใส่ไว้ตั้งแต่ตอนโน้น ป่านนี้ก็คงได้ถอดออกแล้ว” ปัญจวีส์ชิงตอบคำถามแทน

“ไปเดินเท้าพลิก เจ็บหนักกว่าเดิมหล่าว รอบนี้ไม่อยากใส่ก็ต้องใส่” วิธูก็อธิบายเพิ่มเติม

“แล้วจะได้ถอดออกเมื่อไหร่” วิรัชถามต่อ

“หมอนัดดูอีกสองอาทิตย์ ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็ถอดออกได้” วีส์ตอบแบบไม่อยากบอก เพราะถ้าไม่ได้จำเป็นจริงๆ เชาก็ไม่ได้อยากจะใส่เฝือกไว้อย่างนี้

“จะทันก่อนไปจีนใช่มั้ย” วิรัชถามเพิ่มเติม

“น่าจะทันนะ ก็บอกหมอไปแล้วด้วยว่าสอบเสร็จแล้วก็ต้องบินไปเลย”

“คราวนี้ก็อย่าไปถอดออกเองอีกละ รอฟังหมอก่อน ไม่งั้นเดี๋ยวได้ใส่เฝือกไปที่โน้นด้วย” ชื่นฤทัยมองลูกชายของเธออย่างรู้ทัน

“คงจะไม่แล้วละครับ เพราะว่าโดนดุมา” วิธูถือวิสาสะตอบ

“หือ โดนใครดุ” วิรัชถามด้วยความสงสัยว่าหมายถึงใคร

วิธูตอบแบบไม่มีเสียงแต่รูปปากของเขาอ่านออกได้ชัดเจนว่า ‘ไอ้อ้วน

วิรัชและจิรัสย์หันมามองหน้ากันเองเหมือนกันถามกันให้แน่ใจว่าเข้าใจเหมือนกันหรือไม่ ก่อนที่จะหันไปหาชื่นฤทัยที่แค่ยิ้มอ่อนตอบรับเฉยๆ เธอคิดว่าพ่อแม่แต่ละคนต่างก็เข้าใจตรงกันว่าวิธูหมายถึงใคร ส่วนวีส์ก็ทำหน้าซังกะตายหันมองไปทางอื่น

“แล้วเราน่ะ เตรียมตัวพร้อมรึยัง จะสอบอีกเมื่อไหร่” วิรัชเปลี่ยนหัวข้อสนทนามาหาวิธู

“ก็เหลือสอบสมรรถนะร่างกายอีกสองชุดก็หมดแล้ว มัดมือชกอีกพริกเป็นคู่สอบด้วยกันได้ก็หมดห่วงไปหลายห่วง เหลือแต่สอบข้อเขียนปลายภาค” วิธูยืดอกแสดงความภาคภูมิใจที่เขาสามารถรอดอยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้

“อย่าให้หลุดทุนก็แล้วกัน” ถึงจะรู้สึกเป็นห่วงแต่วิรัชก็แสดงออกไม่เก่งทำให้ดูเหมือนจะหยามเหยียดอยู่เนืองๆ

“ฮาย รุ่นนี้แล้ว สบมยห”

“ให้มันจริง” วิรัชส่ายหน้าเบาๆ “ที่จริงก็เรียนแถวบ้านก็ได้ ไม่เห็นจะต้องดันทุรังมาที่นี่”

“ก็เพื่อนมาอยู่แถวนี้กันหมดนิเบ๋อ เรื่องไรนั่งท่าอยู่คนดียว”

“อ้อร้อ ทำยังกะม่ายเพื่อนคนอื่นแล้ว” จิรัสย์แอบหมั่นไส้ลูกชายตัวเอง

“ที่จริงอยากมากตั้งแต่ตอนม.สี่เลย แต่ไอ้อ้วนมันแอบมาคนเดียวไม่ใช่บอกใคร ไม่งั้นก็ตามมาด้วยแล้ว”

“แล้วคิดว่าจะไปเรียนกับเขาได้มั้ยละ” จิรัสย์ไม่ได้ต้องการจะดูแคลนลูกชายคนเล็กของเธอ แต่เข้าใจระดับความสามารถของเขาเป็นอย่างดี

“ก็ถ้าขนาดไอ้ใหญ่ยังเรียนไหว นี่ก็สบายแน่นอน แล้วก็มีพี่ช่วยได้อีก” วิธูบุ้ยหน้าไปทางวีส์ที่มองตอบกลับมาว่าเขาไปตกลงกันไว้ตอนไหน

“แล้วตอนนี้ใหญ่เขาเป็นยังไงบ้าง” เมื่อถูกเอ่ยถึงวิรัชก็ถามไปถึงสุรศักดิ์ด้วย

“เดี๋ยวนี้ก็ยึดร้านมาทำเองหมด แล้วพ่อกับแม่มันก็ไปนั่งเก็บเงินค่าเช่าห้องพักอย่างเดียว ขนาดหนูเล็กยังเปิดร้านขนมแล้วเลย” วิธูก็ถือโอกาสโอ้อวดสรรพคุณครอบครัวเพื่อนไปในตัว “เดี๋ยวแวะไปอุดหนุนก่อนกลับห้องก็ได้”

“อ้าว เขาไม่หยุดสงกรานต์กันเหรอ เหมือนวีร์จะบอกไว้นะ” ปัญจวีสรีบแย้งขึ้นมา

วิธูก็ฉุกคิดขึ้นมาได้

“เออใช่ ลืมไปเลย” วิธูหัวเราะกลบเกลื่อนความจำผิดของตัวเอง

“ไม่เป็นไร ไว้ไปหนหลังก็ได้” จิรัสย์ก็ตบบ่าปลอบใจลูกชายคนเล็กของเธอ

ในตอนนั้นพนักงานร้านอาหารก็เรียกชื่อชื่นฤทัยว่าถึงโต๊ะอาหารของพวกเขาแล้ว ทั้งหกคนก็พากันเดินเข้าไปข้างในร้านอาหารกัน


*****


เมื่อเวลาพักช่วงวันสงกรานต์ผ่านไป ความเข้มข้นเรื่องการเรียนก็เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ เพราะว่าเป็นโค้งสุดท้ายก่อนสอบวัดผลปลายภาคเรียน ทำให้ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็จะเห็นนักศึกษาจับกลุ่มทบทวนเนื้อหาวิชาเรียนกันมากขึ้น แต่มันก็จะมีบ้างเป็นบางคนรู้สึกผ่อนคลายไม่ได้รู้สึกกังวลใดๆ เพราะได้ปล่อยวางชีวิตไปจนหมดสิ้นแล้ว

กรรมใดใครก่อไว้ ก็ต้องเป็นไปตามนั้น

แต่กระนั้นก็มีบางคนที่ไม่ได้วิตกกังวลในเรื่องเรียน เพราะได้ใส่ใจเนื้อหาวิชาเรียนโดยสม่ำเสมอ ไม่ต้องรอให้ไฟมารนก้นหรือหวังพึ่งค่ำคืนแห่งปาฏิหาริย์เพื่อเอาตัวรอดในแต่ละภาคเรียน  สิ่งที่เขาคิดอยู่ในใจคือ ทำไมโทรไปไม่รับ ส่งข้อความไปไม่ตอบและไม่อ่าน ตามไปหาถึงที่คณะก็ไม่เจอ

หรือว่าจะหลับหน้ากัน

ในวันนี้วีส์ก็ดั้นด้นมาถึงที่ตึกคณะเศรษฐศาสตร์ทันเวลาหมดชั่วโมงเรียนพอดี มาถึงแล้วก็ยืนรอในจุดที่มองเห็นทางขึ้นลงที่นักศึกษาเดินเข้าออก เขาก็มองดูไปเรื่อยๆว่าจะคนหน้าคุ้นตาโผล่มาบ้างหรือไม่ และเพราะว่าเป็นคนที่มีคนรู้จักมากพอสมควร ในระหว่างที่ยืนรออยู่ก็มีคนมองเขากลับมาด้วยเช่นกัน มองด้วยความสงสัยบ้าง มองดูเฉยๆแล้วก็ไม่สนใจบ้าง มองเห็นแล้วก็หันไปหัวเราะคิกคักกับกลุ่มเพื่อนๆบ้าง มองแล้วก็โบกมือทักทายและเดินมาหาบ้าง

“พี่มาทำอะไร” ปัญจวีส์ถามด้วยความแปลกใจที่เห็นพี่ชายของเขามายืนอยู่ที่นี่

“แล้วเพื่อนมึงไปไหน” วีส์มองเลยปัญจวีส์ไปก็เห็นทั้งไร้พ่าย ฐานันดร แพรวา หรือแม้แต่ดวงใจ แต่กลับไม่เห็นคนสำคัญ

“วีร์กลับไปแล้ว ไม่รู้ว่าจะไปไหน เห็นคลาสเลิกแล้วก็รีบออกไปเลย” ปัญจวีส์ตอบคำถาม

“อ้าวเหรอ” วีส์รู้สึกเสียดายที่ไม่ได้เจอ

“พี่มีอะไรรึเปล่า” ปัญจวีส์ถามต่อ

“เปล่า แค่จะมาถามวันนัดไปตรวจเลือดอีกรอบว่าจะเอาก่อนหรือหลังวันสอบ” วีส์บอกเบาๆให้ได้ยินกันแค่สองคนพี่น้องเท่านั้น

“อ๋อ เดี๋ยวปันปันถามให้ แล้วให้วีร์ไปบอกพี่อีกทีนึงก็แล้วกัน” ปัญจวีส์อาสาช่วยเหลือ

“อืม ก็คงต้องแบบนั้น” วีส์เหมือนจะยอมรับสภาพแต่ก็ยังสงสัยอยู่ “เดี๋ยวนี้เพื่อนมึงรีบกลับบ่อยมั้ย”

“อืม ไม่แน่ใจอะ บางวันปันปันก็ไม่ได้เรียนกับวีร์เลย แต่ว่าตั้งแต่หลังสงกรานต์มาวีร์ก็ไม่ได้อยู่นั่งเล่นด้วยกันหลังเลิกเรียนเท่าไหร่นะ” ปัญจวีส์เอามือกอดอกคิดนึกย้อนเวลาช่วงที่ผ่านมา

“พี่วี ถอดเฝือกแล้วเหรอครับ” ไร้พ่ายและเพื่อนๆเดินเข้ามารวมกลุ่มกับสองพี่น้อง

“ใช่ หมอบอกว่าไม่เป็นอะไรแล้ว” วีส์ถกขากางเกงขึ้นให้พวกรุ่นน้องเห็นว่าถึงแม้จะถอดเฝือกอ่อนออกไปแล้ว แต่ก็ยังพันผ้ายืดที่ข้อเท้าไว้อยู่

“แล้วทำไมยังพันผ้าไว้อีกละพี่” ไร้พ่ายถามต่อ

“ไม่มีอะไร แค่เผื่อไว้เฉยๆ”

“ดีแล้วพี่ กันไว้ดีกว่าแก้” ไร้พ่ายเห็นไปในทางเดียวกัน “แล้วนี่พี่มาทำอะไร”

“มาหาเพื่อนมึงอะ” วีส์ตอบกลับแบบเซ็งๆเพราะได้รับเฉลยคำตอบไปแล้ว

“วีร์เหรอคะ” แพรวาถามแทรกขึ้น ซึ่งวีส์ก็พยักหน้ารับ “เห็นวีร์บอกว่าจะแวะไปที่ตึกคณะวิทยาฯก่อนกลับนะคะ”

“ไปตึกคณะวิทยาฯ” วีส์ถามกลับให้แน่ใจ

“ใช่คะ” แพรวาตอบกลับอย่างหนักแน่น

สายตาหลายคู่ก็พร้อมใจกันหันไปมองวีส์ที่มีอาการนิ่งค้าง ก่อนที่จะรีบวิ่งออกกลับไปที่ตึกคณะเรียนของตัวเอง คนอื่นๆก็มองตามอย่างสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น


[อ่านต่อด้านล่าง]

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
วีส์ออกกำลังวิ่งมาอย่างรีบร้อนจนมาถึงที่ตึกคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เขายืนหายใจหอบมองดูรอบบริเวณรอบๆอาคารที่มีโต๊ะหินวางเรียงราย แต่ก็ไม่เจอกับบุคคลเป้าหมาย ภายในใจเขาก็เริ่มคิดว่าจะมีธุระจำเป็นอะไรที่จะต้องมาที่ตึกคณะเขา นอกเสียจากเรื่องเรียนแล้วก็...

อาจารย์ภูมิ

วีส์รีบออกตัวก้าวเท้าเข้าตึกเรียนอย่างรวดเร็ว แล้วรีบพุ่งไปยังชั้นห้องพักอาจารย์ในทันที ไม่นานนักเขาก็มาอยู่ที่หน้าห้องพักอาจารย์ที่ป้ายชื่อของภูมิติดอยู่ด้วยอาการเหนื่อยหอบมากกว่าเดิม เพราะว่าไม่อยากจะรอลิฟท์โดยสารจึงวิ่งขึ้นบันไดมาแทน

วีส์พยายามปรับจังหวะการหายใจให้กลับมาเป็นปกติก่อนที่จะเคาะประตูห้องและรอสัญญาณตอบรับจากคนข้างใน

เมื่อวีส์เปิดประตูเข้าไปก็พบว่าภายในห้องนั้นมีแค่ภูมิที่นั่งทำงานอยู่คนเดียว เขามองดูรอบๆห้องให้แน่ใจว่าไม่มีใครคนอื่นอีก

“คุณมีอะไรรึเปล่า” ภูมิเงยหน้าขึ้นมาถามนักศึกษาในที่ปรึกษาของเขา

“เอ่อ... น้องไม่ได้มาที่นี่เหรอครับอาจารย์” วีส์ถามโดยที่ยังหันมองรอบห้อง

“นุ้ยเหรอ ก็เพิ่งออกไปเมื่อกี้นี้เอง ไม่ได้เจอกันเหรอ”

คำตอบของภูมิทำเอาวีส์ชะงักค้างครู่หนึ่ง

“ออกไปเมื่อกี้เหรอครับ” วีส์ย้ำอีกครั้ง

“ใช่” ภูมิตอบกลับอย่างงงๆ และยิ่งงงงวยมากขึ้นไปเมื่อลูกศิษย์ของเขารีบปิดประตูไปในทันที

ส่วนวีส์ที่รีบวิ่งกลับมาที่หน้าประตูลิฟต์โดยสาร แล้วก็คิดว่าถ้ารอลิฟต์มาก็คงจะไม่ทันการอีกจึงวิ่งลงทางบันไดตามเดิม พลางนึกอยู่ในใจว่าถ้าหากเขารอลิฟต์โดยสารตั้งแต่ตอนแรกก็คงจะเจอกันไปแล้ว ตอนนี้ก็ได้แต่รีบวิ่งลงไปชั้นล่างและหวังว่าเด็กหนุ่มจะยังไม่ได้ไหนไกล

เมื่อลงมาถึงข้างล่างแล้ววีส์เดินมองหาไปทั่วบริเวณ จนไปเห็นเด็กหนุ่มเดินออกไปจากบริเวณคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแล้ว วีส์ก็รีบวิ่งตามไปในทันที

วีส์คว้าข้อมือของเด็กหนุ่มไว้ทันทีที่วิ่งไปถึงตัว ทำเอาวีร์สะดุ้งตกใจอยู่ไม่น้อย เพราะอยู่ๆก็มีคนมาจับแขนของเขาและเมื่อหันมาเห็นว่าเป็นใครก็ยิ่งตกใจมากขึ้นไปอีก

“อยู่...นี่เอง...มึง กู...หาตั้ง...นาน” วีส์พูดกระท่อนกระแท่นเพราะหายใจหอบ แล้วเขาก็รู้สึกเหมือนภาพรอบๆตัวมันถูกปรับโทนสีให้มืดมัวลง จากนั้นก็เริ่มรู้สึกเหมือนจะยืนทรงตัวไม่อยู่ โชคดีที่ถูกประคองตัวไว้ได้ทันก่อนที่จะล้มลงไป

วีร์เริ่มสังเกตเห็นอาการแปลกตั้งแต่ที่ชายหนุ่มรุ่นพี่หายใจเหนื่อยหอบ พูดจาติดขัด เปลือกตาปิดลง และกำลังจะทรุดตัวลงไป เขาจึงคว้าตัวเอาไว้และมองหาที่นั่งใกล้ๆแล้วพาชายหนุ่มไปนั่งพัก

วีร์พยายามเรียกสติชายหนุ่ม เมื่อเห็นว่าเขาพยายามลืมตาขึ้นมองและพยักหน้าตอบรับก็รู้สึกเบาใจไปได้เปราะหนึ่ง วีร์ปลดสัมภาระของตัวเองวางไว้ที่เก้าอี้แล้วก็รีบออกไปหาซื้อน้ำดื่มมาให้

ไม่นานนักแก้วน้ำหวานพร้อมหลอดดูดก็ถูกนำมาจ่อให้ถึงปากพร้อมกับออกคำสั่งให้ดื่มน้ำเยอะๆ คนป่วยก็ทำตามแต่โดยดี จนรู้สึกร่างกายเริ่มกลับมาเป็นปกติ ไม่มีอาการวิงเวียนแล้ว และมองเห็นภาพรอบตัวมีสีสันชัดเจนดังเดิม การหายใจก็กลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม

“คุณโอเคแล้วรึเปล่า” วีร์ถามให้แน่ใจ

“อืม” วีส์พยักหน้าตอบรับพร้อมกับสูดหายใจลึกช้าๆ

วีร์มองดูด้วยความเป็นห่วง คอยสังเกตว่ามีความผิดปกติอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ แต่ก็กลับมาทำตัวตามปกติเหมือนไม่ได้ใส่ใจเมื่อชายหนุ่มลืมตาขึ้นมา ส่วนวีส์ก็ดื่มน้ำหวานที่เหลือจนหมดทำให้รู้สึกสบายตัวมากขึ้น จึงยกตัวขึ้นนั่งหลังตรงแล้วสูดหายใจลึกๆให้เต็มปอดเพื่อสร้างกำลังให้กับตัวเอง

“แล้วคุณตามหาผม มีอะไรรึเปล่าครับ” วีร์ถามหลังจากที่นั่งเงียบกันทั้งสอง ขืนปล่อยไว้แบบนี้คงจะได้นั่งยาวไปจนพระอาทิตย์ตกกดิน

“กูจะถามเรื่องนัดตรวจเลือดรอบสอง ว่ามึงสะดวกก่อนช่วงสอบหรือว่าจะรอหลังช่วงสอบ” วีส์หันหน้ามาพูดกับเด็กหนุ่ม

“แล้วแต่คุณสะดวกเลยครับ ผมยังไงก็ได้” วีร์ยังคงลอบดูอาการอย่างต่อเนื่อง

“จริงๆก่อนสอบก็ดีนะ เผื่อว่าผลแล็บจะออกมาก่อนกูไปจีน จะได้ไม่ต้องเป็นกังวลอยู่” วีส์หันหน้ากลับมานึกคิดตารางเวลาที่เขาต้องทำในช่วงสองสามเดือนต่อจากนี้

“ก็ได้ครับ” วีร์ตอบตกลงสั้นๆ “จริงๆ เรื่องแค่นี้โทรมาบอกก็ได้มั้งครับ”

วีส์เหล่ตาหันมาแล้วขมวดคิ้วมองเหมือนอยากจะให้แน่ใจว่าเพิ่งจะๆได้ยินอะไรมา

“กูทั้งโทรทั้งไลน์หามึงตั้งหลายรอบ มึงไม่ตอบกูเลยสักทาง”

วีร์อ้ำอึ้งไปเล็กน้อยเพราะเขาเองก็ทำเช่นนั้นจริงๆในช่วงที่ผ่านมา จะพูดแก้ตัวไปตอนนี้ก็เกรงว่าจะเห็นแต่น้ำขุ่นๆฟังไม่ขึ้น จึงเลือกวางเฉยไปแทน

“กูถามจริงๆนะ หรือว่ามึงหลบหน้ากูอยู่”

“ทำไมผมต้องทำแบบนั้นด้วย” วีร์ตอบกลับในทันทีเหมือนคนร้อนตัว

“นั่นสินะ เพราะกูเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามึงจะมีเหตุผลอะไรที่จำเป็นต้องหลบหน้าไม่เจอกูด้วย” วีส์ทำท่าทางนึกคิด “จะบอกว่าคนพูดกันเยอะในโลกโซเชียลว่าอย่างนั้นอย่างนี้ มึงก็เลยทำตัวหลบฉากเผื่อว่าเรื่องจะเงียบ แต่เอ... มึงไม่เล่นเฟชไม่เล่นทวิตนิ”

คำพูดทั้งหมดนั้นเปรียบเสมือนลูกดอกทิ่มแทงเข้าใส่ตัวซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่หยุด ถึงแม้ว่าวีร์จะไม่มีบัญชีแอพลิเคชั่นสื่อสังคงออนไลน์ทั้งหลายนอกจากไลน์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าวีร์จะไม่เข้าไปติดตามดูเลย และแน่นอนว่าเมื่อได้เห็นแล้วก็เอากลับมาคิดมากเอง

วีส์ถอนหายใจเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับมา

“เรื่องมันไม่จริงจะเก็บมาคิดทำไมวะ” วีส์หมายถึงเรื่องราวที่พูดถึงกันในโลกสื่อสังคมและล่าสุดที่มีภาพเด็กหนุ่มช่วยพยุงตัวเขาที่เดินขากะเผลกออกไปจากโรงอาหาร

“แต่มันอาจจะจริงก็ได้” ในที่สุดวีร์ก็ยอมพูดออกมา

“เรื่องอะไร... เรื่องที่มึงเป็นตัวซวย คบใครก็ไม่รอดสักรายน่ะเหรอวะ” วีส์หันตัวไปหาเด็กหนุ่มที่หันไปมองทางอื่น “กูยังไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรเกี่ยวกันตรงไหน คนเอาไปโยงมั่วกันเอง”

“แต่ทุกครั้งที่คุณเกิดเรื่องก็เพราะมีผมอยู่ด้วย” วีร์หันกลับมาด้วยสายตาจริงจัง

วีส์ถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนหน้านี้ที่เด็กหนุ่มคอยบอกเสมอว่าเขาไม่เชื่อในเรื่องอาถรรพ์พวกนี้ แต่วีส์ก็รู้สึกได้มันมีความคิดแอบแฝงอยู่ในใจแค่ไม่ได้แสดงออกมา แต่ครั้งนี้เป็นคำยืนยันอย่างดีว่าวีร์นั้นคิดมากเรื่องนี้จริงๆ

“ต่อให้ไม่มีมึงมันก็เกิดขึ้นได้ ขับรถยังไงก็มีโอกาสชนกันได้ โจรบุกห้างต่อให้ไม่เจอมึงวันนั้นก็อาจจะยังโดนเหมือนเดิมก็ได้ แล้วก็นะยังไงกูก็ลูกพ่อเหมือนกัน กูจะมีความเสี่ยงเป็นกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรงเหมือนมันก็ไม่แปลก”

วีร์สะบัดหน้าหันมาในทันทีที่ได้ยิน

“คุณมีอาการเหมือนพี่วีเหรอ”

“เปล่า แค่มีความเสี่ยงว่าอาจจะเป็นก็ได้ หมอแค่เตือนไว้เฉยๆ แต่ยังไม่มีอาการอะไรเลยที่แน่ชัดว่าเป็น” วีส์รีบตอบและอธิบายในทันที

วีร์ยังคงมองอย่างสงสัยว่าอีกฝ่ายพูดความจริงหรือไม่

“กูยังปกติดี” วีส์ยืนยันคำตอบของเขา “ที่ผ่านมากูทำตัวเองทั้งนั้นแหละ จนถึงเมื่อกี้ด้วย วันนี้กูแค่ยุ่งทั้งวันจนยังไม่ได้กินอะไรเลยก็เท่านั้นเอง มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับมึงเลย”

วีร์ยังลังเลที่จะเชื่อตามคำพูดของชายหนุ่มรุ่นพี่ เพราะหลายเหตุการณ์ที่ผ่านมานั้นก็เกิดขึ้นจริง ไม่ได้มีใครมาจัดฉากสร้างเรื่องขึ้นมา วีร์รู้สึกว่าเขายังไม่อยากเสี่ยงจนเกิดการซ้ำรอยขึ้นมาอีก ส่วนวีส์เองก็เห็นว่าเด็กหนุ่มยังไม่เปลี่ยนความคิดไปซะทีเดียว

“เอาอย่างนี้ มึงบอกกูมาตรงๆเลยนะ...” วีส์รอจนวีร์หันมามองเขาแล้วจึงพูดต่อ “ที่มึงกลัวว่ากูจะเป็นอะไรไปก็เพราะมึงเนี่ย... คือมึงชอบกูแล้วใช่มั้ย”

“ใช่ที่ไหนกัน” แต่เพราะว่าวีร์ชะงักและติดๆขัดๆก่อนที่จะตอบออกมา ทำให้ดูไม่น่าเชื่อถือสักเท่าไหร่ “ผมจะชอบคุณมั้ย มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกันสักหน่อย”

“ใช่ มันไม่ได้เกี่ยวกันเลย มึงจะชอบกูหรือไม่ชอบกูก็ไม่ได้เกี่ยวกับที่ว่ากูจะเป็นอะไรรึเปล่า และถึงกูเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ ก็ช่างหัวมันสิ” วีส์ยกไหล่ขึ้นด้วยท่าทางที่ไม่แยแสอะไร

“ช่างหัวมันเออ...” วีร์ถามย้ำกลับไปด้วยสีหน้าที่บอกว่าอีกฝ่ายพูดแบบนั้นออกมาได้อย่างไร “ง่ายดีนะ ช่างหัวมัน”

“ใช่ จะทำให้มันยากทำไม สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะยังไงทุกคนก็ต้องตายอยู่ดี มีใครที่ไหนหนีพ้นบ้าง” จริงอยู่ที่ทุกคำพูดของวีส์เป็นความจริง แค่ความจริงไม่ได้อ่อนโยนกับเราตลอดเวลาเท่านั้นเอง

“ง่ายดีนะ ช่างหัวมัน” วีร์ย้ำคำเดิมอีกครั้งก่อนที่จะหันหน้าไปทางอื่น “ใช่สิ ก็คนตายไปแล้วจะไปรับรู้อะไรอีก ก็ช่างหัวมันได้สิ แล้วคิดมั้ย...” วีร์หันกลับมาหาชายหนุ่มอีกครั้งด้วยแววตาที่เริ่มเป็นประกายแก้ว “...คนที่ต้องอยู่ต่อจะทำยังไง ผมเจอมาสองครั้งแล้วมันมากพอแล้ว ผมไม่อยากรู้สึกแบบนั้นอีก คุณเข้าใจมั้ย”

“กูเข้าใจ” ถึงแม้ว่าจะโดนอารมณ์พุ่งใส่มาแต่วีส์ก็พยายามพูดเป็นปกติกลับไป “คนนึงก็พี่กู อีกคนก็เพื่อนกู ทำไมกูจะไม่เข้าใจ”

ถึงวีร์จะรู้ว่าระหว่างวีรมาตุกับวีส์จะรู้จักกันมากน้อยแค่ไหน แต่บางครั้งวีร์ก็ลืมเรื่องสายสัมพันธ์พี่น้องของวีรดนย์และวีส์ไป จนเมื่ออีกฝ่ายพูดขึ้นมาอีกครั้งว่าเขาก็เป็นคนที่สูญเสียเหมือนกัน นั้นทำให้วีร์พอจะควบคุมอารมณ์และความคิดของตัวเองให้กลับมาเป็นปกติได้บ้าง

“สมมติถ้าเราคบกันแล้วกูจากมึงไปเร็วทำให้มึงเสียใจ แล้วถ้าเราอยู่ด้วยนานกว่านั้นมันจะทำให้มึงเสียใจน้อยลงมั้ย หรือถ้าเราอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่าแล้วกูไปก่อน ถึงตอนนั้นมึงจะไม่เสียใจเลยรึไง เพราะยังไงสุดท้ายแล้วก็ต้องจากไปกันทุกคน In the long run, we all die มึงไม่เคยได้ยินรึไง”

วีร์ไม่ได้ตอบกลับ เขาแค่สูดหายใจลึกแล้วก็ผ่อนออกมา ไม่ใช่ว่าเขาไม่ได้คิดตามคำพูดของชายหนุ่ม เพียงแต่คำถามเหล่านั้นเขาไม่สามารถหาคำตอบให้ได้ในตอนนี้ ถึงแม้ว่าเรื่องราวจะผ่านมาหลายปีแต่ความรู้สึกก็ยังเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นไปไม่นาน

“มึงไม่เสียดายโอกาสที่จะได้อยู่ด้วยกันบ้างเหรอวะ โอกาสที่จะได้ทำอะไรหลายๆอย่างด้วยกันอีกตั้งมากมาย มันก็มีค่าให้จดจำเหมือนกัน มึงยังจำได้เลยว่าหมาสองตัวมึงได้มายังไง มึงยังจำได้เลยว่ากล้องถ่ายรูปมึงเอามาจากไหน มึงยังจำได้เลยว่ามึงเล่นเทนนิสเก่งได้ยังไง มึงยังจำได้เลยว่ามึงฝึกเล่นกีตาร์ได้เพราะใคร”

ราวกับว่าภาพความทรงเก่าค่อยปรากฏออกมาให้เห็นจากช่วงเวลาหนึ่งไปสู่ช่วงเวลาหนึ่งต่อๆกันมาเรื่อยๆ มันเป็นภาพแห่งความสุขเป็นความทรงจำที่ดีที่จะไม่มีวันลืมเลือนไปเป็นอันขาด

“เรื่องราวพวกนั้นเป็นของมึง ใครก็มาเอาไปจากมึงไม่ได้และไม่มีใครมาทำแทนได้ ส่วนกูก็จะเป็นเรื่องราวใหม่ที่จะเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตมึง ไม่ว่ากูจะมีเติมให้ได้นานแค่ไหนก็ตาม เพราะกูให้สัญญาไม่ได้ว่ากูจะอยู่กับมึงตลอดไป แต่ถ้ากูยังอยู่กูจะไม่ยอมให้มึงเป็นอะไร”

วีร์ก้มหน้าลงมองมือที่ประสานกันอยู่บนหน้าตกของเขา เขาซึมซับทุกคำพูดที่ชายหนุ่มเอ่ยออกมา แต่ตัวเขายังไม่แน่ใจว่าเขาจะสามารถรับมือการความสูญเสียได้อีกหรือไม่

“มึงมีดวงอาทิตย์คอยเฝ้าดูมึงอยู่แล้ว มึงพระจันทร์อยู่สามดวงรายล้อมตัวมึงอยู่ ส่วนกูจะเป็นดาวพฤหัสให้มึงเอง ไม่ต้องอยู่ด้วยกันก็ได้ กูดูอยู่ห่างๆก็ได้ แค่รู้ว่ามึงอยู่สบายดีกูก็โอเคแล้ว ที่เหลือก็แล้วแต่มึงตัดสินใจเลย”

วีร์เงยหน้าหันไปมองชายหนุ่ม แววตาที่บ่งบอกความมั่นคงในคำพูดของตัวเองกำลังจ้องมองเขาอยู่ เขาก็อยากจะเชื่อคำพูดเหล่านั้นแล้วลืมความกลัวของตัวเองไปให้หมด เพียงแต่เขายังไม่แน่ใจว่าเขาจะสามารถทำได้ในตอนนี้

ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ตอบปฏิเสธตัดเยื่อใย แต่วีส์ก็เห็นถึงแววตาที่ยังเป็นกังวลของเด็กหนุ่มซึ่งเขาก็พอจะเข้าใจ เพราะนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาทั้งสองคนพูดคุยเรื่องพวกนี้กัน เหมือนไปสะกิดแผลเก่าให้เลือดไหลออกมาใหม่ อาจจะต้องใช้เวลาคิดทวทวนให้แน่ใจก่อนตัดสินใจ

“เอาอย่างนี้ เดี๋ยวปิดเทอมกูต้องไปจีน” วีส์จึงยื่นข้อเสนอเผื่อวีร์จะยอมรับฟังบ้าง “มีเวลาให้มึงคิดทบทวนว่ามึงอยากทำอะไรไม่อยากทำอะไร พอกูกลับมาแล้วค่อยให้คำตอบกู ไม่ว่าคำตอบจะเป็นแบบไหนกูรับได้หมด ตกลงมั้ย”

วีร์มองดูชายหนุ่มด้วยความรู้สึกเยอะแยะมากมายปะดังกันเข้ามาในความคิด แต่อย่างน้อยก็รู้สึกโล่งใจอยู่บ้างที่ว่าเขายังไม่จำเป็นต้องเลือกในเวลานี้ เพราะความกังวลในใจยากที่จะทำให้ดับมอดในทันที วีร์ยืดตัวขึ้นนั่งหลังตรงแล้วยกมือขึ้นล้วงเข้าไปในคอเสื้อ มือทั้งสองข้างขยุกขยิกอยู่ที่ท้ายทอย

ส่วนวีส์ก็มองดูด้วยความสงสัยว่าเด็กหนุ่มจะทำอะไร แต่ความสงสัยก็ไม่ได้คลายไปซะทีเดียวเมื่อวีร์ดึงสร้อยคล้องแหวนหยกสีแดงออกจากคอของเขา และยิ่งเพิ่มความงงงวยไปใหญ่เมื่อวีร์ยื่นสร้อยคอเส้นนั้นให้กับเขา

วีส์ไม่ได้รับสร้อยคล้องแหวนไปในทันที เอาแต่มองดูเท่านั้น วีร์จึงเอื้อมไปคว้ามือข้างหนึ่งของวีส์แล้ววางสร้อยลงไป วีส์ก็รับสร้อยมาดูทั้งๆที่ยังสงสัยเพราะรู้ว่าสร้อยเส้นนี้มีความสำคัญกับเด็กหนุ่มอยู่ไม่น้อย

“ใส่ติดตัวไว้ แล้วอย่าถอดออกเป็นอันขาด”

วีส์ยกสร้อยขึ้นชูให้เห็นห้อยลงมา ส่วนมืออีกข้างก็ขี้นิ้วเข้าหาตัวเขา

“ให้กูเหรอ”

“ใช่ ใส่ติดตัวไว้ สร้อยเส้นนี้แม่เฒ่าให้วีร์มา แม่เฒ่าบอกว่าเป็นของติดตัวพ่อเฒ่า ไปไหนมาไหนพ่อเฒ่าจะใส่ติดตัวไว้ตลอด มีครั้งเดียวที่พ่อเฒ่าไม่ได้ใส่คือตอนที่พ่อเฒ่าออกทะเลไปครั้งสุดท้ายแล้วไม่ได้กลับมาอีกเลย”

เมื่อได้ฟัง วีส์ก็ยิ่งรู้สึกลำบากใจที่จะรับของที่มีประวัติสำคัญของคนในครอบครัวขนาดนี้ อยากจะส่งคืนที่แววตาที่มองเขามาห้ามไว้เสียก่อน

“วีร์ไม่รู้หรอกว่ามันจะช่วยอะไรได้จริงมั้ย แต่ไม่ว่าเรือจะเกิดอะไรขึ้นพ่อเฒ่าไม่เคยเป็นอะไรกลับมาเลย ยกเว้นครั้งสุดท้ายนั่นแหละ หลายๆคนเขาเลยบอกว่ามันเป็นของขลังมีอาคมช่วยปัดเป่าอันตรายได้”

วีส์เองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันทั้งเรื่องราวเบื้องหลังของของสำคัญชิ้นนี้ และเรื่องที่ว่าเขาสมควรจะได้รับมันหรือไม่

“พี่ใส่ติดตัวไว้ แล้วหลังจากกลับมาจากจีนเมื่อไหร่ เราค่อยมาว่ากันอีกที”

วีส์ขมวดคิ้วเข้าหากันคิดทบทวนความหมายของคำพูดที่เพิ่งจะได้ยิน มันจะมีอะไรแอบแฝงโดยนัยอยู่หรือไม่ เขาจะต้องตีความอะไรเพิ่มเติมหรือเปล่า หรือว่าเขาเข้าใจถูกต้องแล้ว

เพราะมัวแต่คิดจนไม่ได้ทำอะไร วีร์เลยตัดสินใจหยิบสร้อยกลับมา แล้วคล้องใส่คอของชายหนุ่มรุ่นพี่ให้เอง

“เดี๋ยวนะ ที่บอกว่า ค่อยมาว่ากันอีกที นี่หมายความว่า...”

“ก็ถ้าหลังจากวันนี้ไปจนถึงตอนที่พี่กลับมาจากจีนแล้วพี่ไม่เป็นอะไรอีก ก็ค่อยมาว่ากัน... แบบนั้นแหละ” วีร์ขยายความให้ฟัง

สีหน้าของวีส์จากที่คิ้วขมวดกันก็เริ่มคลายออก ดวงตาเริ่มเบิกกว้างขึ้นเช่นเดียวกับริมฝีปาก พร้อมกับมุมปากทั้งสองข้างที่ยกขึ้น แล้ววีส์ก็โน้มตัวเข้าไปหาเด็กหนุ่มแล้วเอามือทองสองข้างประคองใบหน้า กำลังจะขยับใบหน้าเข้าไปใกล้ แต่ก็โดนมือยันไว้เสียก่อน

“ยังไม่ใช่ตอนนี้ครับ อย่ามาฉวยโอกาส” วีร์ผลักวีส์ไปออกห่างจากตัวเขา ให้ไปนั่งอยู่ตามเดิม

“เอาให้แน่นะว่าใครฉวยโอกาส อยู่ก็เดินเมามา พูดจาไม่รู้เรื่องแล้วก็ประกบปากเราเฉยเลย” วีส์แสร้งทำเป็นงอนพร้อมกับหยิบยกเรื่องเก่าขึ้นมา

“ก็บอกคีย์เวิร์ดมาเองไงครับ ว่าเมา” วีร์ก็ไม่คิดที่จะง้อกลับคืน “แล้วพี่ก็เอาคืนวีร์แล้วด้วย ก็เจ๊ากันไปแล้ว”

“อืม...” วีส์ทำท่านึกคิดแล้วก็ปรับเปลี่ยนเข้าสู่โหมดเบิกบาน “งั้นเราก็มาเริ่มนับกันใหม่ได้”

“เดี๋ยว” วีร์ร้อมห้ามพร้อมกับยันตัวชายหนุมร่างสูงไว้ “รอพี่กลับจากจีนก่อน แล้วค่อยว่ากัน”

ถึงไม่อยากยอมแต่วีส์ก็ถอยกลับนั่งตรงตามเดิม ถึงไม่อยากจะแสดงออกอะไรมากแต่ก็เผลออมยิ้มไม่ได้ พยายามเก็บอาการตัวเองไว้แม้ว่าอยากจะปลดปล่อยให้มันพุ่งทะยานสู่ฟากฟ้าก็ตาม อาการเหนื่อยหอบอ่อนล้าก่อนหน้านี้ ตอนนี้หายเป็นปลิดทิ้งไปหมดแล้ว


*****


Apollo20: ไม่อยากบอกว่ามัน ดฟกว่เบ้บะพพสาเนหพ มากๆๆๆๆ
5
4
3
2
1
#VVGo4Launch #VVLiftOff
จุดพลุสิ รออะไร



*****


#VVLiftOff


[โปรดติดตามตอนต่อไป]

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ทำไมมันไม่ขีดเส้นทับ VVGo4Launch ให้
หรือว่าโค้ด strike ใช้ไม่ได้

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ตอนที่ 13 ของสำคัญที่จากไป


ปัญจวีส์นึกสงสัยตั้งแต่แรกแล้วว่าทำไมพี่ชายของเขาถึงได้มาปรากฏตัวที่ตึกคณะของเขาได้ ถึงแม้เหตุผลที่บอกว่าจะมานัดวันไปตรวจเลือดกับเพื่อนของเขาก็พอจะรับฟังได้อยู่บ้าง แต่ก็สามารถนัดแนะกันผ่านโทรศัพท์ได้ ไม่จำเป็นจะต้องมาให้เห็นตัว และเมื่อบอกไปว่าเพื่อนของเขาไม่อยู่แล้วก็ดูเหมือนจะทำใจยอมรับสภาพได้ แต่เมื่อรู้ว่าเพื่อนของเขาไปไหนก็รีบวิ่งออกไปในทันที มันชวนให้ดูน่าสงสัยเป็นอย่างยิ่ง

ปัญจวีส์ฉุกคิดแล้วก็คว้าสิ่งของตัวเองแล้วก็รีบลุกขึ้นเดินตามพี่ชายของเขาไป ไม่ทันบอกกล่าวเพื่อนๆร่วมโต๊ะเลย ทุกคนทำได้แค่มองตามไล่หลังไปแบบงงๆว่าเกิดอะไรขึ้น

จุดหมายคือตึกคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีซึ่งเป็นคณะที่มีสาขาวิชามากที่สุดในมหาวิทยาลัย ทั้งจำนวนนักศึกษาและจำนวนอาคารก็มากตามไปด้วย ดังนั้นถึงจะรู้ว่าวีร์มาที่ตึกคณะนี้แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นส่วนไหนกันแน่ และจะให้ถามคนที่เดินผ่านไปผ่านมาก็คงจะไม่ได้อีก

ปัญจวีส์วิ่งมาถึงที่ด้านหน้าตึกคณะแล้วก็มองดูโดยรอบแต่ก็ไม่เห็นทั้งสองคน จึงวิ่งอ้อมไปด้านหลังตึกแต่ก็ไม่เห็นเช่นกันจึงเดินวนกลับมาด้านหน้าเหมือนเดิม มองซ้ายมองขวาเผื่อว่าจะเจอหน้าคนที่รู้จักบ้างก็ไม่มี เมื่อคิดไม่ออกบอกไม่ถูกก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา

(ว่าพรือน้องบ่าว) เสียงตอบรับจากปลายสายกลับมาแทบจะทันทีที่โทรออกไป

“เจ้าสัวกับวีร์เขามีเรื่องอะไรกันรึเปล่า” ปัญจวีส์ถามกลับไปโดยที่ยังมองหาอยู่ตลอด

(เรื่องอะไร ถามทำไมวะ) วิธูตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงน่าสงสัย

“ไม่รู้เหมือนกัน เมื่อกี้เจ้าสัวมาหาวีร์ที่คณะแต่ไม่เจอ พอแพรบอกว่าวีร์เดินมาที่ตึกวิทยาฯ เจ้าสัวก็รีบวิ่งออกไปเลย” ปัญจวีส์เล่าให้ฟังด้วยความตื่นเต้น

(แล้วไงวะ) วิธูถามกลับแต่ว่าไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นตามไปด้วย

“ก็ไม่รู้เหมือนกัน มันรู้สึกแปลกๆ” ปัญจวีส์ยังรู้สึกคิดติดในใจไม่คลายออก

(แล้วเจ้าสัวมาหาไอ้อ้วนทำไมวะ)

“เห็นว่าจะมานัดวันไปตรวจเลือดอีกรอบ” ปัญจวีส์ป้องปากพูดกลัวว่าคนอื่นจะได้ยินเรื่องสำคัญ

(แล้วมันแปลกๆตรงไหน)

“ไม่รู้ บอกไม่ถูก” ปัญจวีส์ได้ยินเสียงถอนหายใจของวิธูดังลอดผ่านโทรศัพท์มา

(แล้วนี่มึงอยู่ไหน)

“อยู่ที่ตึกวิทยาฯ กำลังดูอยู่ว่าพวกเขาอยู่ไหนกัน เดี๋ยวปันปันจะลองเดินไปดูด้านหลังอีกรอบ” ปัญจวีส์เดินลัดเลาะตัวอาคารไปทางด้านหลัง แล้วก็เดินหาไปทั่วบริเวณแต่ก็ไม่เห็นทั้งพี่ชายและเพื่อนของเขา แต่ตอนที่กำลังจะเดินกลับไปนั้นก็หันไปเห็นทั้งสองคนพอดี จึงรีบแอบหลบมุม

“ต่าย เจอแล้ว แต่เจ้าสัวเป็นอะไรไม่รู้ วีร์กำลังพาเจ้าสัวไปนั่ง” ปัญจวีส์กระซิบด้วยความตกใจ

(ยังไงวะ) ครั้งนี้วิธูมีน้ำเสียงตกใจตามปัญจวีส์ไปด้วย

“ไม่รู้เหมือนกัน แต่วีร์ลุกไปไหนไม่รู้” ปัญจวีส์ยังคงแอบดูอยู่ที่ตำแหน่งเดิม

(เอ้า มึงเข้าไปดูดิ๊ เผื่อเป็นอะไร)

“เดี๋ยวก่อน วีร์กลับมาแล้ว ถือแก้วน้ำหวานมาด้วย” ปัญจวีส์ที่กำลังจะลุกออกไปแต่ก็รีบแอบซ่อมตัวตามเดิมและคอยรายงานสถานการณ์อยู่ห่างๆ “เหมือนเจ้าสัวจะดีขึ้นนะ”

(สรุปว่าไม่เป็นอะไรแล้วใช่มั้ย)

“น่าจะมั้ง”

(นี่มึงยังไม่เข้าไปดูอีกเหรอวะ)

“เดี๋ยวก่อน เหมือนเขาจะทะเลาะกันอยู่นะ” ปัญจวีส์ยังคงเฝ้าสังเกตจากทางไกล คอยรายงานเป็นระยะ ส่วนทางด้านของวิธูก็เงียบเสียงไปคอยฟังเพียงอย่างเดียว “ใจไม่ดีเลย ไม่รู้คุยอะไรกันอยู่”

(ตอนนี้มึงอยู่ไหน) วิธูถามกลับมาหลังจากที่เงียบไปสักพักหนึ่ง

“ยังอยู่ที่ตึกคณะวิทยาฯ”

(กูหมายถึงว่ามึงอยู่ส่วนไหนของตึก) วิธูถามย้ำอีกครั้ง

“อ๋อ อยู่ด้านหลัง ตรงทางเชื่อมไปตึกแล็บ” ปัญจวีส์ยังคงมองทั้งคู่แบบไม่วางตา แล้วก็รู้สึกแปลกใจเมื่อเขาเห็นวีร์ถอดสร้อยออกมาแล้วยื่นให้กับพี่ชายของเขา ในใจก็รู้สึกลุ้นตามไปด้วยว่าจะเกิดอะไรขึ้น จนวีร์สวมสร้อยเส้นนั้นให้กับพี่ชายของเขา และภาพต่อจากนั้นก็เกือบจะทำให้เขาร้องเสียงดังออกมาถ้าไม่โดนปิดปากเสียก่อน

“เงียบๆ เดี๋ยวเขาก็รู้ตัวหรอก” วิธูปรามด้วยเสียงเบาๆ ก่อนที่จะคลายมือออกเมื่อเห็นว่าปัญจวีส์สงบจิตสงบใจตัวเองได้แล้ว

“นี่เขา... แล้วรึเปล่า” ปัญจวีส์ตบมือเบาๆโดยที่ยังถือโทรศัพท์ไว้อยู่

“มั้ง ดูท่าทางแล้วก็น่าจะใช่” วิธูมองด้วยสีหน้ากระหยิ่มยิ้ม “พี่ชายเรานี่ก็ใช่ย่อย เจ๋งจริง” วิธูมองดูพี่ชายและเพื่อนของเขากำลังหยอกล้อสนุกสนานกันเพลินๆ ก็หันมามองดูปัญจวีส์ว่าทำไมถึงได้เงียบไป “ทำอะไรวะ”

“กำลังโพสส่งข่าวนี้ไง” ปัญจวีส์ยื่นโทรศัพท์ให้วิธูสิ่งที่เขาเพิ่งจะลงข้อความไปในชื่อของ Apollo20

“เฮ้ย ลบเลยมึง เดี๋ยวไอ้อ้วนมาเห็นเดี๋ยวมึงจะโดนเตะก้านคอ เผลอๆมันบอกเลิกเจ้าสัวด้วย” น้ำเสียงของวิธูนั้นดูจริงจัง ไม่ใช่แค่ขู่เล่นๆ

ปัญจวีส์ถึงกับหน้าถอดสี แต่การแจ้งเตือนที่คนคนมากดถูกใจและตอบกลับเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆไม่หยุด

“ทำไงดี ทั้งไลค์ทั้งโควตทั้งรีพลายมาเต็มเลย”

“ลบเดี๋ยวนี้ แล้วไม่ต้องไปทำอะไรอีก” วิธูบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่นให้ปัญจวีส์ทำตามโดยทันที ปัญจวีส์ก็เชื่อฟังลบข้อความทิ้งไปแต่โดยดี ยังมีการส่งข้อความมาถามจากคนอื่นๆเข้ามาไม่หยุด

“เอาไงดีอะ” ปัญจวีส์ถามความเห็นจากวิธู

“ปล่อยมึนไปเลย ไม่ต้องไปตอบกลับอะไรทั้งนั้น” วิธูส่ายหน้าเบาๆ แล้วก็หันไปมองวีส์และวีร์ที่พากันลุกขึ้นเดินออกไปแล้ว


*****


สรุปว่าไง เราจะเปลี่ยนจาก #VVGo4Launch เป็น #VVLiftOff แน่นอนแล้วใช่มั้ย
รู้สึกเหมือนปล่อยยานชาเลนเจอร์ กำลังพุ่งขึ้นไปได้ดีแล้วก็แตกโพล๊ะกลางอากาศ เศร้าใจ
เราหลังไมค์ไปหา Apollo20  หลายรอบแล้วนะ แต่เขาไม่ตอบกลับเลย
แต่ข่าววงในจากแอคนี้เชื่อถือได้มาตลอดเลยนะ ครั้งนี้ก็น่าจะมีมูลอยู่นะ #VVLiftOff



*****


ช่วงเวลาที่จะได้พบปะผู้คนเป็นเรื่องยากลำบากนอกเสียจากว่าจะเป็นเพื่อนร่วมห้องสอบก็มาถึง หลายคนจึงมุ่งความสนใจไปกับการเตรียมเนื้อหาสำหรับการสอบวัดผล แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเลยสำหรับคนที่ยังสบายอกสบายใจจนกระทั่งวันท้ายๆของการสอบ

วีร์เดินลงมาจากตัวอาคารพร้อมกับแพรวาและดวงใจ แล้วก็ไปนั่งที่โต๊ะม้าหินรวมตัวกับปัญจวีส์ที่ออกมาจากห้องสอบก่อนพวกเขา แต่ว่าปัญจวีส์เองก็ไม่ได้นั่งรออยู่คนเดียวลำพัง

“โจ๊กกับโชกุนยังไม่ออกมาเหรอ” วีร์ถามปัญจวีส์ไปถึงฐานันดรและไร้พ่ายที่สอบคนละห้องกัน

“ยังเลย” ปัญจวีส์ตอบกลับพร้อมกับขยับตัวเปิดพื้นที่ว่างให้กับเพื่อนๆ

“แล้วนี่มึงมาทำอะไรนิ สอบเสร็จแล้วเออ” วีร์ก็หันไปถามบุคคลที่สาม

“กูสอบเสร็จหมดตั้งหลายวันแล้ว นี่รออีดำอยู่” วิธูยืดแขนยืดขาบิดตัวแก้เมื่อยที่ต้องรออยู่นานแล้ว

“แล้วอีพริกยังอยู่มั้ยนิ หรือว่าหลบบ้านแล้ว”

“น่าว่านะ” วิธูขมวดคิ้วคิดเพราะเขาเองก็ไม่แน่ใจ “ตามจริงก็บอกมันแล้วว่ากลับพร้อมกันก็ได้ สงสัยผัวมันรออยู่แหงๆ”

วีร์ก็พยักหน้ารับรู้แล้วก็หันไปคุยกับแพรวาและดวงใจ นัดแนะกันสำหรับการสอบวิชาสุดท้ายในวันพรุ่งนี้ ส่วนสองพี่น้องก็หันมามองหน้าส่งสัญญาณลับกันสองคน เกี่ยงกันไปมา ในที่สุดปัญจวีส์ก็ยอมแพ้และเป็นฝ่ายเริ่มก่อน

“วีร์ ปันปันถามอะไรหน่อยสิ”

วีร์หันกลับมามองด้วยความสงสัยท่าทางที่ดูแปลกๆจากเพื่อนทั้งสองคน

“สมมติว่า...” ปัญจวีส์ลองเสี่ยงส่งสายตาโยนวิธู แต่ก็ไม่เป็นผล จึงได้เอ่ยปากเอง “ถ้าวีร์จะต้องเลือกอย่างนึง วีร์จะเลือกอะไร ระหว่าง... กิจการเรืองฤทธิ์” ปัญจวีส์ผายมือข้างหนึ่งออกไปทางวิธู

“แล้วก็... ล้ำเลิศรัตนทรัพย์” คราวนี้เป็นวิธูที่เผยตัวเลือกที่สองพร้อมกับชี้นิ้วไปที่ปัญจวีส์

“หรือว่า... เนื้อนาดี” ปัญจวีส์ปิดด้วยตัวเลือกที่สาม

วีร์มองวิธูและปัญจวีส์สลับไปมา ถึงแม้ว่าไม่พูดรายละเอียดอะไรไปมากกว่านี้ แต่จากตัวเลือกที่บอกมาก็พอจะเดาได้ว่าหมายถึงอะไร ทั้งวิธูและปัญจวีส์ต่างก็ลุ้นรอคำตอบ

“ต้องเลือกอย่างนึงนะเหรอ...” วีร์ถามกลับซึ่งทั้งสองคนก็พยักหน้าตอบกลับ และรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ “ถ้าต้องเลือกจริงๆก็... วรรัญญา”

วิธูและปัญจวีส์หันมามองหน้ากันเอง ถึงตัวเลือกทั้งสามจะถูกปัดตกไป แต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้ดูผิดหวังอะไร

“จริงๆก็ไม่ติดอะไรนะ” วิธูเริ่มพูดออกมาก่อน

“ใช่ ไม่มีปัญหาอะไรเลย เพราะว่าพี่ใช้มาสามนามสกุลแล้ว เปลี่ยนอีกทีก็ยังได้” ปัญจวีส์ก็เห็นคล้อยตามไปได้

ส่วนวีร์ก็นั่งงงเพราะว่ามันผิดไปจากที่เขาคิดเอาไว้ เพราะคิดเอาว่าสองพี่น้องจะหมายถึงตัวเขาเสียอีก

“วีส์ วรรัญญา” วิธูพึมพำซ้ำไปซ้ำมา

ถึงแม้ว่าจะออกเสียงเหมือนกัน แต่วีร์ก็รู้ว่าชื่อที่วิธูกำลังท่องอยู่นั้นไม่ใช่ชื่อของเขาแน่นอน

“วีส์ วรรัญญา กับ วีร์ วรรัญญา ก็เข้าท่าดีนะ”

“ใช่ เดี๋ยวเอาไปบอกพี่ว่าไอ้อ้วนมันชอบแบบนี้กัน”

วีร์ถอนหายใจแล้วก็ส่ายหน้าเบาๆกับความคิดของสองพี่น้อง

“อย่าสร้างเรื่องขึ้นมาหล่าวตะ แค่นี้ก็รำคาญอีตายแล้ว วันนี้ก็โดนถามไปสามหนแล้ว”

ไม่ทันขาดคำก็มีเสียงเรียกชื่อทำให้วีร์หันไปหาต้นทางของเสียง เห็นเป็นสองสาวเพื่อนร่วมคณะกำลังเดินมาหากลุ่มพวกเขา

“วีร์ เราถามอะไรหน่อยสิ วีร์กับพี่วีวิดยาคบกันแล้วเหรอ” เธอถามด้วยน้ำเสียงจริงใจอยากรู้อยากเห็น ไม่ใช่สอดรู้สอดเห็น

“เอ่อ เปล่านะ” วีร์พยายามตอบกลับไปแบบไม่ให้ดูรู้ว่ากำลังตะขิดตะขวงใจ ระหว่างตอบให้มันจบๆไปกับไม่ได้อยากจะตอบอีกแล้วจะมาถามทำไมกัน

“อ้าวเหรอ เห็นเขาลือกันอยู่ ก็นึกว่าใช่ซะอีก” เธอดูมีสีหน้าผิดหวังแต่ก็ปรับเปลี่ยนกลับมาร่าเริงในทันใด “แต่เราเชียร์วีร์กับพี่วีอยู่นะ” เธอสิ่งยิ้มให้แล้วก็หันไปดีดดิ้นกับเพื่อนของเธอพอเป็นพิธีก่อนที่จะลาจากไป

วีร์ส่งยิ้มกลับไปแล้วก็หันกลับมาวิธูและปัญจวีส์พร้อมกับริมฝีปากที่หุบลง

“วันนี้โดนถามไปสี่หนแล้ว”

สองพี่น้องก็ยิ้มเจื่อนๆไปโดยเฉพาะปัญจวีส์ ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะยืนยันเป็นกระต่ายขาเดียวมาโดยตลอดว่าไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข่าวลือที่ว่านั่น แต่วีร์ก็พอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพียงแค่ไม่อยากคาดคั้นเอาความอะไรมาก แต่ก็คอยปรามไม่ให้เปิดประเด็นเพิ่มเติมขึ้นมาใหม่อีก

“โดนถามอะไรสี่หน”

มีเสียงดังมาจากด้านหลัง วีร์จะหันหน้าไปหาต้นเสียงแต่ก็โดนมือประคองหน้าให้หันกลับ และเมื่อหันกลับมาก็โดนประทับรอยที่แก้มอีกข้างหนึ่งพร้อมกับเสียงสูดหายใจ วีร์จึงดึงตัวเองออกห่าง

ปัญจวีส์ที่รีบลุกขึ้นเพราะโดนสะกิดให้ขยับตัว กำลังอ้าปากค้างขณะที่ย้ายไปนั่งกับวิธูที่มีอาการไม่ต่างกัน แต่ที่ดูจะตกใจมากกว่าใครก็คงเป็นแพรวาและดวงใจ

“อะไรของพี่เนี่ย” วีร์หันไปมองอย่างไม่พอใจแต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นโกรธรุนแรง

“เอาคืนก็ได้นะ จะได้เจ๊ากัน” วีส์ยิ้มแป้นแล้นหยอกล้ออย่างไม่เกรงกลัว

“มาทำอะไร สอบเสร็จแล้วเหรอครับ” วีร์ถามเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเอานั่งยิ้มเฉยๆอย่างเดียว

“เอานี่มาให้” วีส์ยื่นซองยาวสีขาวให้กับวีร์ “ค่อยเปิดดูที่บ้านก็ได้ แต่พี่แอบดูแล้ว ไม่มีอะไรให้กังวล”

วีร์รับซองมาโดยที่เข้าใจได้ทันทีว่าเป็นซองอะไร แล้วก็เก็บใส่เป้ให้เรียบร้อย และเมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มกำลังจ้องมองเขาอยู่

“มีอะไรอีกรึเปล่าครับ”

“แค่มาให้เห็นหน้าเฉยๆไม่ได้เหรอ” วีส์แกล้งทำหน้าตาเหมือนจะดูน้อยใจแต่ภาพรวมที่แสดงออกมามันไม่ได้เลย เมื่อเห็นวีร์มองตอบกลับมาโดยที่ไม่ได้คล้อยตาม วีส์ก็กลับมาทำตัวตามปกติ “จะถามว่าพรุ่งสอบเสร็จแล้วว่างรึเปล่า”

“ก็ว่างนะครับ ไม่ได้คิดไว้ว่าจะไปไหน”

“งั้นดีเลย อยู่รอก่อน เดี๋ยวจะมารับ”

“ไปไหนครับ” วีร์ถามกลับด้วยความสงสัย ถ้าจะเป็นเรื่องขับรถก็คงจะเป็นไปไม่ได้เพราะรถยนต์คันสีดำของวีส์ยังอยู่ที่อู่ซ่อม

“คุณยายพี่อยากเจอ” วีส์เฉลยคำตอบ

“คุณยาย” วีร์ถามกลับให้แน่ใจว่าทำไมคุณยายของสองพี่น้องถึงอยากจะเจอเขา ทั้งๆที่ไม่เคยได้เจอหน้ากันมาก่อนเลย ไม่ใช่แค่วีร์เท่านั้นที่สงสัย ปัญจวีส์เองก็ด้วยเช่นกัน

“คุณยายอังกาบ ไม่ใช่คุณยายยี่โถ”

คำตอบของชายหนุ่มร่างสูงทำให้วีร์เข้าใจแล้วว่าหมายถึงคุณนายใหญ่แห่งล้ำเลิศรัตนทรัพย์ หรือคุณย่าใหญ่ของนพชัยและชัยทิศ แต่ที่ยังไม่เข้าใจคือทำไมอังกาบถึงอยากจะพบตัวเขา

“ไอ้ปัน มึงก็ด้วย คุณยายฝากบอกมาว่าให้เข้าไปหาคุณยายด้วยกันเลย” วีส์หันไปบอกน้องชายร่วมมารดาของเขา

“ผมด้วยเหรอ” ปัญจวีส์ชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง พี่ชายของเขาก็พยักหน้าตอบยืนยัน ปัญจวีส์ก็นึกอยู่ในใจว่าอาจจะเข้าไปหาอังกาบก่อนในวันนี้เลยเพื่อถามไถ่เหตุผล จะได้เตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆก่อนที่จะพาวีร์ไปด้วยกันในวันหลัง

“ตกลงว่าไปนะ” วีส์หันกลับมาถามวีร์เพื่อยืนยันคำตอบ

“ก็ได้ครับ” วีร์ตอบตกลงไป เพราะว่าเป็นคำเชิญจากผู้ใหญ่ที่เคารพ และเขาก็ไม่มีข้ออ้างอะไรอื่นที่จะไปไม่ได้

วีส์ก็ยิ้มตอบรับเมื่อเด็กหนุ่มตอบตกลง

“แล้วพี่มีเรื่องอะไรอีกมั้ยครับ” วีร์ถามเมื่อเห็นว่าไม่มีใครพูดอะไรต่อ วีส์ก็หันหน้ามองเงยแล้วทำท่านึกคิด จากนั้นก็ส่ายหน้าตอบกลับ แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าอยากจะลุกไปไหน วีร์จึงถามต่อ “แล้วพี่จะเดินทางเมื่อไหร่”

“ก็... เดี๋ยววันมะรืนเข้ากรุงเทพฯไปค้างคืนนึงก่อน แล้วก็เดินทางวันรุ่งขึ้นเลย”

“แล้วกลับมาตอนเปิดเทอมเลยใช่มั้ยครับ”

“รู้สึกว่าจะเปิดเทอมไปแล้วอาทิตย์นึงด้วยมั้ง” เมื่อพูดจบแล้ววีส์ก็นั่งมองดูเด็กหนุ่มอยู่เฉยๆเผื่อว่าจะมีการต่อบทสนทนาอะไรกันอีก แต่แล้วก็ไม่มีอะไรเพิ่มเติม ต่างคนก็ต่างมองกันไปมา จนวีส์เริ่มรู้สึกว่าพอเอาเข้าจริงแล้ว เขาก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน ไม่รู้ว่าจะชวนคุยเรื่องอะไรกันดี ทั้งที่เคยเหย้าแหย่อีกฝ่ายได้ตลอดเวลามาก่อน

ส่วนเพื่อนร่วมโต๊ะคนอื่นๆ ไม่ว่าจะกำลังตั้งใจมองทั้งสองคนหรือไม่มองก็ตาม ต่างก็กำลังใจจดใจจ่ออยู่กับบทสนทนาของทั้งคู่ว่าจะคุยกันเรื่องอะไรบ้าง เพราะระดับภาษาและบรรยากาศดูเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนอยู่ไม่น้อย

“เออจริงสิ น้องแพร” วีส์เอียงตัวไปเรียกแพรวา แล้วก็กวักมือเรียกเด็กสาว “มานี่หน่อย มีอะไรจะบอก”

แพรวาก็หันกลับมาแบบงงๆ แล้วก็หันไปหาวีร์เพื่อความแน่ใจว่าเธอควรจะลุกขึ้นแล้วเดินไปหาชายหนุ่มรุ่นพี่หรือไม่ วีร์ก็พยักหน้าให้เธอทำตามที่บอก เมื่อได้รับการอนุญาตแล้วแพรวาก็ลุกขึ้นเดินไปหาวีส์ แต่ชายหนุ่มร่างสูงก็ไม่ได้บอกเธอทันที แต่กวักมือให้เธอขยับเข้าไปใกล้ๆอีกและเอามือป้องปากของเขาไว้ ราวกับว่าสิ่งที่ต้องการจะบอกนั้นเป็นความลับ

แพรวาตั้งใจฟังสิ่งที่วีส์กระซิบบอกให้ยินกันแค่พวกเขา จากที่ขมวดคิ้วเข้าหากัน จนดวงตาเปิดกว้าง แล้วก็เม้มปากปิดสนิท

“นะ น้องแพร” วีส์กลับมานั่งตัวตรงอย่างเดิมพร้อมกับส่งยิ้มให้กับเด็กสาว “พี่เป็นแค่คนส่งสาร อยากรู้อะไรก็... ไปถามมันเอาเองนะ”

แพรวามีท่าทางเขินอายแต่ก็พยายามเก็บรักษาอาการตัวเองให้เป็นปกติ แล้วก็กลับไปนั่งที่เดิม

“มีอะไรกันเหรอครับ ทำไมต้องเป็นความลับกันด้วย” วีร์ถามด้วยน้ำเสียงและท่าทางปกติสำหรับเขา ส่วนคนอื่นๆอาจจะตีความแตกต่างกันไปก็เป็นเรื่องของคนอื่น

“บอกไม่ได้ ไอ้พู่สั่งไว้” วีส์กระซิบตอบกลับ

“ห๊ะ พี่ช...” ยังไม่ทันจะได้ออกชื่อก็โดนเอามือปิดปากไว้เสียก่อน

“ชู่ว์...” วีส์ส่ายนิ้วชี้ห้ามไม่ให้เด็กหนุ่มพูดออกมา เมื่อเห็นว่าวีร์ไม่ได้จะพูดอะไรจึงเอามือออก

“แล้วพี่เขามีเรื่องอะไรกับเพื่อนผม” วีร์แอบกระซิบถามไม่ให้ใครได้ยิน

“อย่ารู้เลยเรื่องของเขาสองคน ขนาดเรื่องของเราสองคนยังไม่อยากให้ใครรู้เลย”

วีร์เหมือนจะตอบสวนกลับทันทีแต่ก็ชะงักไว้แล้วก็หันมองดูรอบๆว่ามีใครสนใจพวกเขาหรือไม่ แล้วก็หันกลับมาหาตัวปัญหาอีกครั้ง ก่อนที่จะส่ายหัวเล็กๆ แต่เมื่อคิดทบทวนคำพูดของชายหนุ่มร่างสูงแล้วก็คิดได้ว่า

“งั้นพี่เขากับแพรก็...”

วีส์เอานิ้วป้องปากส่งสัญญาณให้เงียบไว้

“พี่บอกแล้วว่าที่เห็นๆกันอยู่น่ะ มันสร้างภาพทั้งนั้นแหละ ตัวจริงมันห้าวจะตาย”

วีร์ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ ในเมื่อมันเป็นความลับก็แล้วแต่เจ้าตัวว่าต้องการให้เขารู้เมื่อไหร่ ส่วนคนที่นั่งอยู่ข้างๆนั้น คิดว่าถ้าไล่ก็คงจะไม่ไปอยู่ดี ตราบใดที่ไม่ได้ทำอะไรให้วุ่นวาย อยากจะนั่งอยู่ต่อไปก็ตามใจ


*****


ช่วงบ่ายหลังจากสอบวิชาสุดท้ายเสร็จสิ้นแล้ว วีร์และปัญจวีส์ก็เดินทางไปยังบ้านตระกูลล้ำเลิศรัตนทรัพย์ด้วยรถยนต์หรูยี่ห้อดังสีขาววาววับที่มีสารถีเป็นชายหนุ่มร่างสูง ตามที่ได้นัดหมายไว้

จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าเหตุใดอังกาบถึงต้องการพบวีร์และปัญจวีส์ แม้ว่าปัญจวีส์จะแอบเข้าไปถามก่อนล่วงหน้าแล้วก็ตาม แต่ได้รับคำตอบเพียงแค่ว่าเอาไว้รู้พร้อมกันคราวเดียวกับเพื่อนของเขา

วีส์ขับรถยนต์มาจอดที่บ้านของตัวเองก่อนเพื่อแวะทักทายกับยี่โถ ซึ่งถือได้ว่าเป็นการพบปะกันครั้งแรกระหว่างหญิงสูงวัยกับวีร์ ก่อนที่ทั้งสามคนจะพากันเดินไปที่ตึกใหญ่

เมื่อไปถึงแล้ว เลขานุการส่วนตัวของนายใหญ่แห่งล้ำเลิศรัตนทรัพย์ก็ยืนรอต้อนรับและพาทุกคนเข้าไปพบกับอังกาบที่ห้องทำงาน

“คุณอังกาบคะ เด็กๆมากันแล้วคะ”

อังกาบเงยหน้าขึ้นมาจากเอกสารที่กำลังอ่านอยู่ มองดูเด็กหนุ่มทั้งสามคนทยอยเดินเข้ามาด้านใน เธอจึงบอกให้พวกเขานั่งลงก่อนที่จะเริ่มพูดคุยกัน แต่เพราะว่ามีเก้าอี้วางอยู่เพียงสองตัวเท่านั้น วีส์จึงเลือกที่จะยืนอยู่ข้างๆและให้น้องๆทั้งสองคนนั่งแทน

“คุณยายจะบอกได้แล้วยังครับว่าคุณยายเรียกปันปันกับเพื่อนมาทำไม”

อังกาบชายตามองปัญจวีส์และมีรอยยิ้มที่มุมปาก ส่วนหนึ่งก็เพราะยังไม่เคยชินกับชื่อเล่นใหม่ที่เจ้าตัวอยากให้ทุกคนเรียกตามกัน อีกส่วนหนึ่งก็คือการออกเสียงเน้นย้ำคำสองพยางค์นั้นอย่างชัดเจนเหมือนกำลังจะบอกว่าอย่าได้เรียกผิดเป็นอันขาด จึงทำให้รู้สึกขบขัน

“ก็ถ้าให้ยายเรียกเรามาคนเดียวก็คงจะไม่มานะสิ”

“ทำไมปันปันจะไม่มา คุณยายอยากเจอเมื่อไหร่ ปันปันก็มาหาคุณยายทุกทีเลยนะครับ” ปัญจวีส์รีบแก้ต่างให้กับตัวเอง

อังกาบยิ้มตอบกลับหลายชายคนเล็ก และหันไปยิ้มให้กับวีร์ด้วย วีร์เองก็ยังรู้สึกทำตัวไม่ถูกเพราะยังไม่รู้เหตุผลที่ถูกเรียกตัวมาด้วยจากคนที่เขารู้จักฐานะคุณย่าใหญ่มาก่อน

“ปิดเทอมแล้วทำอะไรรึเปล่า” อังกาบหันกลับไปถามปัญจวีส์ก่อน

“อืม ยังไม่ได้คิดไว้เลยครับคุณยาย ทำไมเหรอครับ” ปัญจวีส์ตอบกลับ

“แล้วเราละ” อังกาบไมได้ตอบปัญจวีส์แต่หันไปถามวีร์ต่อ

“ของผมมีไปซ้อมเทนนิสให้กับพี่ที่รู้จักกันครับ” วีร์ตอบกลับด้วยความสุภาพและนอบน้อม

“ไปซ้อมทุกวันรึเปล่า” อังกาบถามเพิ่มเติม

“แค่สัปดาห์ละสามวันครับ วันพุธ วันศุกร์ แล้วก็วันอาทิตย์ครับ”

“แล้วไปซ้อมทั้งวันรึเปล่า” อังกาบยังคงถามต่อเนื่อง

“ถ้าเป็นวันพุธกับวันศุกร์จะซ้อมช่วงเย็นครับ แต่วันอาทิตย์นัดไว้ตอนเช้าครับ” วีร์ก็ตอบคำถามโดยยังสงสัยอยู่ว่ามันเกี่ยวข้องอย่างไรกับเรื่องหญิงสูงวัยต้องการจะพบกับพวกเขาในวันนี้

“อืม...” อังกาบนิ่งคิดพิจารณาคนเดียวอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมามองพวกหลานๆ “ยายจะให้เรามาฝึกงานที่ล้ำเลิศรัตนทรัพย์ช่วงปิดเทอมนี้”

ปัญจวีส์มองกลับด้วยตาแป๋วและชี้นิ้วเข้าหาตัวเองเป็นการถามให้แน่ใจ

“ใช่ เรานั่นแหละ เพราะยายรู้ว่าถ้าให้มาทำคนเดียวคงจะไม่มาแน่ๆ ก็เลยให้เพื่อนเรามาด้วยอีกคน” อังกาบอธิบายสาเหตุที่ต้องเรียกวีร์มาพบด้วยกันในวันนี้ “วีร์ สนใจจะทำรึเปล่า”

วีร์รู้สึกอ้ำอึ้งเล็กน้อย เพราะไม่ได้คาดการณ์ไว้ก่อนว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เพราะถึงจะบอกว่าให้ไปฝึกงานในเครือล้ำเลิศก็คือว่าได้งานใหญ่แล้ว แต่นี่คือบริษัทแม่ของเครือล้ำเลิศจึงทำให้ยิ่งดูเป็นเรื่องใหญ่มากจริงๆ วีร์หันไปหาปัญจวีส์เพื่อปรึกษากันผ่านสายตาว่าจะทำอย่างไรดี

“ยายไม่ได้ให้ทำงานเฉยๆ ยายมีเงินเดือนให้ด้วย” อังกาบยื่นข้อเสนอเพิ่มเติมเพื่อจูงใจหลานชายตัวเอง

“แล้วคุณยายจะให้ปันปันกับวีร์ทำอะไรบ้างครับ” ปัญจวีส์ขอถามข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อการตัดสินใจ

“ก็ทำงานกับคุณเกวลิน เลขาฯของยายเอง คุณเกวลินจะดูแลเรื่องมอบหมายงานให้ทำในแต่ละวัน พอหมดช่วงปิดเทอมเดี๋ยวจะมีใบประเมินและในรับรองการทำงานให้ด้วย”

เด็กหนุ่มทั้งสองคนก็หันมามองหน้าปรึกษากันอีกครั้ง

“วีร์จะทำมั้ย ถ้าวีร์ตอบตกลง ปันปันก็จะได้ทำด้วย”

ถึงตอนนี้วีร์พอจะเข้าใจอังกาบแล้วว่าทำไมถึงต้องเรียกเขาเข้ามาด้วย เพราะถ้าบอกให้ปัญจวีส์มาฝึกงานคนเดียวก็คงจะตอบปฏิเสธเป็นแน่

“ถ้าวันพุธกับวันศุกร์มีซ้อมแค่ช่วงเย็น ตอนกลางวันก็มาทำงานได้ เลิกช่วงบ่ายๆเร็วขึ้นมาหน่อยแล้วค่อยไปซ้อม ทำงานห้าวันต่อสัปดาห์ มีอาหารมีของว่างให้พร้อม” อังกาบยังคงว่านล้อมด้วยเหตุผล

วีร์หันกลับไปหาอังกาบที่รอคำตอบจากเขาอยู่ แล้วก็หับกลับมาหาปัญจวีส์ที่โยนการตัดสินใจมาให้เขา ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองชายหนุ่มร่างสูงที่พยักหน้าสนับสนุนให้เขาตอบรับข้อเสนอ วีร์กัมหน้ากลับมาปัญจวีส์อีกครั้งก่อนตัดสินใจ

“ก็ได้ครับ” วีร์หันไปตอบคุณนายใหญ่แห่งล้ำเลิศรัตนทรัพย์

“ดีเลย เช่นนั้นแล้ว ถ้าไม่ติดงานอะไรอยู่ก่อนก็เริ่มงานพรุ่งนี้ได้เลย” ทั้งวีร์และปัญจวีส์ต่างก็อ้าปากค้างกัน “ตกใจอะไรกัน เดี๋ยวออกไปคุยกับคุณแกวลินว่าต้องทำอะไรบ้าง”

ทั้งวีร์และปัญจวีส์ต่างก็ยังรู้สึกงงกันอยู่เพราะไม่คิดจะปัจจุบันทันด่วนขนาดนี้ ต่างพากันลุกขึ้นยืนอย่างเก้ๆกังๆ แล้วก็ยกมือไหว้บอกลาอังกาบ ก่อนที่จะพากันเดินออกไป

“วีส์ เดี๋ยวอยู่คุยกับยายก่อนสิ”

ถึงจะออกเสียงเหมือนกันแต่วีร์ก็รู้ว่าอังกาบหมายถึงหลายชายของเธอ ไม่ใช่เขา วีร์จึงเดินออกจากห้องไปพร้อมปัญจวีส์

“มีอะไรเหรอครับ คุณยาย” วีส์นั่งลงที่เก้าอี้หลังจากที่เด็กหนุ่มทั้งสองคนเดินออกไปแล้ว

“เตรียมตัวพร้อมรึยัง จะเดินทางไม่กี่วันแล้ว” อังกาบถาม

“จัดกระเป๋าเสร็จแล้วครับ พาสปอร์ตเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว เงินก็แลกไปบ้างแล้ว ก็คิดว่าครบแล้วครับ” วีส์ตอบกลับ


[อ่านต่อด้านล่าง]

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
“ไปอยู่โน้นก็ดูแลตัวเองดีๆนะ แม่เขาเป็นห่วง”

“ไม่ต้องห่วงครับคุณยาย วีส์ดูแลตัวเองได้” วีส์ให้คำตอบอย่างหนักแน่น เพราะเขาดูแลตัวเองมาโดยตลอดตั้งแต่ย้ายออกไปอยู่อพาร์ตเมนต์ที่ใกล้กับสนามซ้อมเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน และก็ไม่เคยมีปัญหาอะไร “แต่คุณยายจะให้น้องมาฝึกงานที่กงสีจริงเหรอครับ”

“อัฐเขาก็เคยมาฝึกอยู่ที่นี่เหมือนกัน ให้มาเรียนรู้ว่าบ้านเราทำอะไรกันบ้าง ส่วนโสฬส ลุงชาญเขาอยากให้ฝึกที่บริษัทเขาเอง ยายก็ไม่ได้ว่าอะไร”

“แล้วพวกหลานๆคุณยายแก้วละครับ” วีส์ถามไปถึงนพชัยและชัยทิศที่ก็กำลังเรียนในระดับอุดมศึกษาด้วยเช่นกัน

“ยายเรียกมาถามแล้ว สองคนนั้นบอกว่ายังไม่อยากทำ เห็นว่าไว้รอเรียนปีสามปีสี่ก่อนค่อยลองฝึกงาน แต่เขาก็คงจะไปฝึกงานกับพ่อเขานั่นแหละ”

“งั้น... ก็เหลือแค่วีส์ที่คุณยายไม่เคยเรียกมาฝึกงานละสิครับ ใช่มั้ย” วีส์ไม่ได้พูดในเชิงน้อยใจ แค่ต้องการเย้าแหย่เท่านั้นเอง

“ก็เราน่ะเลือกเรียกเอกฟิสิกส์ จะให้มาทำอะไรละ โสฬสเขาเรียนบัญชี ส่วนอัฐเขาก็เรียนเศรษฐศาสตร์เหมือนกระต่าย... ไม่สิ เดี๋ยวนี้ต้องเรียกว่าปันปันสินะ” อังกาบหัวเราะเบาๆตามที่รู้เรื่องสาวของแฟนสาวชาวญี่ปุ่นของปัญจวีส์มาบ้างพอสมควร

“ตามใจเขาเถอะครับ เพื่อนๆเขาก็เรียกตามกันหมดแล้ว แต่ว่าจนถึงตอนนี้คุณยายยี่โถยังเรียกลูกกระต่ายอยู่เหมือนเดิมเลย” วีส์อมยิ้มตามหญิงสูงวัย แล้วก็ยกมือขึ้นเกาที่ท้ายทอยไล่ลงมาถึงที่บ่าของเขาเอง

“เอ๋...” อังกาบหันไปเห็นสร้อยที่คอของหลานชายพอดี “เดี๋ยวนี้ใส่สร้อยแล้วเหรอ ยายเคยจะให้สร้อยพระตั้งหลายครั้งก็บอกไม่เอาไม่อยากใส่”

“อ๋อ...” วีส์ล้วงไปในคอเสื้อแล้วดึงสร้อยออกมาให้อังกาบเห็นได้ชัดว่าเป็นสร้อยอะไร “ไม่ใช่สร้อยพระครับ”

อังกาบมองเห็นแหวนหยกหนาสีแดงสวยก็รู้สึกแปลกใจขึ้นมา

“ขอยายดูหน่อยสิ”

ถึงแม้ว่าจะเคยให้คำสัญญาไว้ว่าจะใส่ติดตัวตลอดเวลา แต่ก็คิดว่าถ้าถอดออกแค่ชั่วประเดี๋ยวเดียวคงจะไม่เป็นอะไร วีส์จึงถอดสร้อยคล้องแหวนออกแล้วส่งให้อังกาบดู

“วีส์ไปเอามาจากไหนเหรอ” อังกาบถามพร้อมกับพลิกหมุนแหวนหยกดู

“น้องให้มาครับ”

อังกาบเงยหน้าขึ้นมองอย่างสงสัย ถึงจะรู้ว่าน้องที่ว่านั้นจะเป็นใคร แต่ก็อยากให้แน่ใจ

“วีร์เขาให้มา บอกให้ใส่ติดตัวไว้ตลอดเวลา เห็นน้องบอกว่าเป็นของเก่าแก่ของแม่เฒ่าเขานะครับ”

อังกาบพิจารณาแหวนหยกแดงอีกครั้งก่อนที่จะส่งคืนให้กับวีส์

“ถ้าน้องให้ของสำคัญแบบนี้มา ก็เก็บไว้ให้ดีๆ อย่าให้หายซะละ”

“ไม่หายอยู่แล้วครับคุณยาย” วีส์รับแหวนคืนมาและรับปากอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ ก่อนที่จะคล้องสร้อยใส่คอกลับคืนดังเดิม และมองดูแหวนด้วยรอยยิ้มก่อนที่เก็บใส่เข้าในข้างในเสื้อ ซึ่งอาการเหล่านั้นก็ไม่พ้นสายตาของคุณนายใหญ่แห่งล้ำเลิศรัตนทรัพย์ไปได้

“เดี๋ยวยายจะให้คนรถขับไปส่งที่กรุงเทพฯ”

“ไม่ต้องครับคุณยาย พอดีว่ามีเพื่อนจะเข้ากรุงเทพฯพอดี ก็เลยขอติดรถไปด้วย แชร์ค่าน้ำมันกัน” วีส์ตอบปฏิเสธ

“อ้าวเหรอ ยายก็นึกว่าแม่เขาจะไปส่งเอง ก็เลยคิดว่าให้คนขับไปให้จะดีกว่า”

“เพราะงั้นวีส์ก็เลยคิดว่าติดรถเพื่อนไปจะดีกว่า ช่วงนี้เริ่มมีฝนมาแล้วด้วย แม่ก็ชอบซิ่งรถเป็นปกติอยู่แล้ว อันตรายเปล่าๆ”

“นั่นแหละที่ยายเป็นห่วง” ทั้งอังกาบและวีส์ต่างก็เข้าใจนิสัยการขับรถของชื่นฤทัยเป็นอย่างดี “เอาเถอะ เดินทางปลอดภัยนะ แล้วก็ดูแลตัวเองด้วย”

“ขอบคุณครับคุณยาย” วีส์ยกมือขึ้นไหว้รับพรแล้วก็บอกขอลากลับ “งั้นเดี๋ยววีส์ออกไปดูน้องๆก่อนนะครับ”

“ไปเถอะ”

อังกาบมองดูหลานชายเดินออกไปจากห้องทำงานด้วยความชื่นชม ลูกหลานของล้ำเลิศรัตนทรัพย์มีคนเก่งอยู่หลายคน วีส์ก็เป็นหนึ่งในนั้นที่มีความโดดเด่นไม่แพ้ใคร


*****


ปิดภาคเรียนแล้ว นักศึกษาหลายคนใช้เวลาช่วงไปกับการพักสมองจากการเรียนที่คร่ำเคร่งมาตลอดทั้งปี แต่มีจำนวนไม่น้อยที่เลือกลงวิชาเรียนภาคฤดูร้อนต่ออีก ไม่ว่าจะเพื่อเก็บวิชาให้ครบจบเร็วหรือต้องการที่จะแบ่งเบาวิชาที่ต้องลงในภาคเรียนปกติก็ตาม

นอกจากนี้ก็ยังมีคนที่ใช้โอกาสนี้ในการหาประสบการณ์ให้กับชีวิตในรูปแบบต่างๆ เพื่อค้นหาว่าความชอบความถนัดของตัวเองจะสามารถทำให้ใช้ชีวิตอยู่ได้ในโลกแห่งความเป็นจริงได้หรือไม่

หลังจากที่ได้ตกปากรับคำไว้แล้ว วีร์และปัญจวีส์ก็มาเริ่มฝึกงานกับเกวลิน เลขานุการส่วนตัวของคุณนายใหญ่แห่งล้ำเลิศรัตนทรัพย์ สถานที่ทำงานนั้นเป็นอาคารหลังเล็กต่อขยายออกมาจากบ้านใหญ่ในที่ดินของครอบครัว สามารถเข้าออกได้สะดวกโดยที่ไม่ต้องผ่านตัวบ้าน

งานที่ต้องทำส่วนใหญ่จะเป็นงานธุรการทั่วไปตามที่ได้รับมอบหมาย การจัดเตรียมข้อมูลสำหรับการประชุมของบริษัทต่างๆที่กงสีเข้าไปถือหุ้นอยู่ หากมีการประชุมใดที่อังกาบเดินทางไปประชุมด้วยตัวเอง ทั้งวีร์และปัญจวีส์ก็ต้องติดตามไปด้วยในฐานะผู้ช่วยของเกวลิน

หลังจากที่ได้เข้าไปคลุกคลีอยู่มาสักระยะหนึ่งแล้ว วีร์ก็ได้เรียนรู้ว่ากงสีของตระกูลล้ำเลิศรัตนทรัพย์ที่สมาชิกทุกคนในครอบครัวถือหุ้นอยู่คนละเท่าๆกัน ยกเว้นเพียงของอังกาบที่เป็นผู้ถือหุ้นหลักมากกว่าใครนั้น ทำหน้าที่เสมือนเป็นแหล่งเงินทุนของเครือล้ำเลิศทั้งหมด

หากใครต้องการเปิดบริษัทหรือต้องการขยายกิจการเพิ่มเติม ก็สามารถขอเงินลงทุนจากกงสีเพื่อไปดำเนินการ โดยแลกเป็นหุ้นของบริษัทให้แก่กงสีถือไว้ จนกระทั้งมีผลประกอบการดีจึงซื้อหุ้นคืนจากกงสีภายหลัง ทำให้แทบจะไม่มีความจำเป็นต้องไปกู้เงินจากแหล่งทุนภายนอกเลย

นอกจากนี้กงสียังมีการลงทุนที่อื่นๆอีกทั้งในและนอกประเทศ เพื่อหารายได้มาเสริมความมั่งคั่งและมั่นคงของเครือล้ำเลิศ ตามความคิดฝันอันยิ่งใหญ่ที่ได้วางแผนงานไว้ของเจ้าสัวผู้ล่วงลับไปแล้ว อีกทั้งกงสียังมีการบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือหน่วยงานหรือองค์กรการกุศลต่างๆอีกมากมาย

เมื่อถึงวันบริจาคโลหิตโลก คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยขอใช้พื้นที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อจัดงาน เครือล้ำเลิศก็อนุญาตให้จัดโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ อีกทั้งยังช่วยตกแต่งสถานที่ให้พร้อม และอังกาบก็เดินทางมาร่วมงานเองด้วย แน่นอนว่าวีร์และปัญจวีส์ก็ต้องติดตามเกวลินมาร่วมงานด้วยเช่นกัน

ส่วนเรื่องการฝึกซ้อมเทนนิสให้กับพีรพัชร์นั้นก็เป็นไปตามปกติที่นัดหมายไว้ ดังนั้นในวันพุธและวันศุกร์ วีร์จึงต้องสะพายกระเป๋าใบใหญ่ที่ใส่แร็กเก็ตและในกรณีนี้ที่ต้องเตรียมชุดและรองเท้ากีฬาไว้เปลี่ยนติดตัวมาทำงานด้วยทุกครั้งไป ในบางวันปัญจวีส์ก็ขอติดตามไปฝึกซ้อมด้วย โดยอาสาขับรถไปส่งถึงสนามซ้อม

พีรพัชร์ที่ตั้งเป้าหมายว่าอยากจะเข้าร่วมแข่งรายการแกรนด์แสลมให้ได้ จึงมุ่งมั่นฝึกซ้อมตามแผนการที่โค้ชวางไว้อย่างเคร่งครัด โค้ชของพีรพัชร์ก็คุ้นเคยการเล่นและฝีมือของวีร์เป็นอย่างดี จากการที่ร่วมฝึกซ้อมมาเป็นเวลาพอสมควร ทำให้สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการฝึกได้ดั่งใจนึก ถึงแม้ว่าโค้ชไม่ได้มาดูการฝึกทุกครั้งไปแต่สามารถฝากวีร์เอาไว้แทน ก็ยังได้ผลของการฝึกตามที่โค้ชต้องการ

เนื่องจากมีภารกิจติดพันทั้งเรื่องฝึกงานกับกงสีล้ำเลิศรัตนทรัพย์และการฝึกซ้อมเทนนิส ทำให้วีร์ไม่ได้เข้าไปช่วยเพื่อนจัดงานรับนักศึกษาใหม่ร่วมเพื่อนร่วมชั้นปีมากนัก แต่ก็พยายามไปช่วยทุกงานที่เขาจะแบ่งเวลาไปได้

ถึงจะใช้เวลาอยู่นอกบ้านซะเยอะ แต่วีร์ก็ไม่ลืมแบ่งมาเล่นสนุกสนานกับน้องตัวน้อยทั้งสองคน ธรที่เริ่มเข้าเรียนชั้นอนุบาลแล้ว แต่ก็มักจะบอกกับทุกคนว่าเขาไปทำงานทุกวันเหมือนกับพี่ชายของเขา ส่วนธาราที่เข้าสู่วัยกำลังเจื้อแจ้วเจรจามีกิจกรรมให้ทำที่ศูนย์รับเลี้ยงเด็กอยู่ทุกวัน โอกาสที่จะได้ใช้เวลาร่วมกันมีน้อยยิ่งกว่าตอนเปิดภาคเรียนเสียอีก จึงใช้เวลาให้คุ้มค่ามากที่สุด

ส่วนข่าวคราวจากคนที่ไปอยู่แดนไกลนั้นถูกส่งผ่านช่องทางอันจำกัดตามกฎระเบียบที่แตกต่างกัน โดยมากแล้ววีร์จะรับรู้ผ่านปัญจวีส์ที่ได้เจอกันตลอดทั้งสัปดาห์ที่ฝึกงานด้วยกัน ปัญจวีส์มักจะมาเล่าเรื่องราวให้อังกาบฟังว่าพี่ชายของเขาไปทำอะไรบ้าง ทำให้วีร์ได้พลอยฟังไปด้วย

และข่าวที่น่ายินดีสำหรับหลายคนก็คือกำหนดการเดินทางกลับของวีส์นั้นเลื่อนขึ้นมาเร็วขึ้น เนื่องจากมีกิจกรรมที่ถูกยกเลิกไป จึงไม่มีจำเป็นจะต้องอยู่ต่อและสามาถเดินทางกลับได้ทันที ซึ่งอังกาบก็ได้ส่งรถไปรับกลับมาจากสนามบิน

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาระหว่างที่วีร์กำลังเล่นอยู่กับน้องๆหลังมื้ออาหารเย็น เมื่อเอื้อมตัวไปหยิบมาดูก็เห็นชื่อของปัญจวีส์ปรากฏอยู่กลางหน้าจอ วีร์จึงปัดหน้าจอเพื่อรับสาย

“มีอะไรรึเปล่า” วีร์ถามกลับไปเผื่อว่าปัญจวีส์อาจจะโทรมานัดแนะอะไรสำหรับการฝึกงานในวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นแรกของสัปดาห์สุดท้ายของการฝึกงานแล้ว

(วีร์กำลังทำอะไรอยู่)

“กำลังเล่นกับน้องอยู่ ทำไมเหรอ” วีร์เหลือมือที่ว่างอีกหนึ่งข้างคอยสู้บบกับน้องๆที่กำลังหัวเราะชอบใจ

(วีร์เปิดทีวีดูอยู่รึเปล่า)

“ก็เปิดอยู่นะ ทำไมอะ มีอะไรเหรอ” วีร์ถามกลับอีกครั้ง ประสาทหูก็เริ่มสนใจเสียงที่ดังมาจากโทรทัศน์มากขึ้น

(วีร์กำลังดูช่องไหน...)

...มีรายงานข่าวจากสำนักข่าวจีนว่าศูนย์บังคับการบินของจีนแจ้งว่ามีเครื่องบินพาณิชย์จากเมืองไห่โข่ว มณฑลไห่หนานหรือที่คนไทยจะคุ้นชื่อว่าไห่หลำ ที่มุ่งหน้าสู่กรุงเทพมหานครหายไปจากจอเรดาร์ จุดที่พบสัญญาณครั้งสุดท้ายอยู่ใกล้ชายฝั่งประเทศเวียดนาม ขณะนี้ทางการจีนกำลังตรวจสอบข้อมูลและเร่งค้นหาเครื่องบินลำนี้อยู่ หากมีรายงานเพิ่มติมจะแจ้งให้ทราบต่อไป...

“ปันปัน พี่วีส์จะกลับมาเที่ยวบินไหน” วีร์รีบถามปัญจวีส์ทันทีที่ได้ยินข่าวจากโทรทัศน์ เขาพยายามเกร็งมืออีกข้างไม่ให้มันสั่น

(อ่า จริงๆพี่ก็จะมาเที่ยวบินนั้นแหละ)

วีร์กระเด้งตัวลุกขึ้นยืนกะทันหันจนน้องทั้งสองคนตกใจ ในตอนนี้ความคิดของวีร์มุ่งไปหาคนที่กำลังเดินทางกลับมาเท่านั้นแล้ว ไม่ว่าธีร์หรือวนกรที่ตกใจเสียงร้องของธาราและรีบวิ่งเข้ามาดูจะถามอะไรกับเขา วีร์ก็เหมือนจะไม่ได้ยินเสียงเหล่านั้นเลย

“แล้วพี่วีส์...” วีร์พูดอะไรไม่ออกเพราะสมองของเขาตื้อไปเสียหมด พยายามจับต้นชนปลาย พยายามอยู่กับเหตุและผล พยายามครองสติให้อยู่กับความเป็นจริง

สองครั้งพอแล้ว อย่ามีครั้งที่สามเลย

(วีร์ วีร์ อย่าเพิ่งคิดไปไกลนะ...)

วีร์เดินออกมายืนคนเดียวที่นอกบ้านห่างจากเสียงรบกวนที่เขาไม่ต้องการในตอนนี้ อันที่จริงแล้วแม้แต่เสียงของปัญจวีส์ที่ดังลอดมาเขาก็จับใจความอะไรไม่ได้ กำลังสับสนความคิดวุ่นวายไปหมดจนทำอะไรไม่ถูก

แม้แต่สุนัขขนสั้นตัวใหญ่ทั้งสองตัวที่ผุดลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งไปกระโดดเกาะที่ประตูรั้ว วีร์ก็แค่มองตามไปเฉยๆ สมองไม่ได้สั่งให้ร้องห้ามอะไรพวกมัน จนเขามองไปเห็นที่ประตูรั้วนั้น

ภาพเก่าในอดีตก็ทับซ้อนขึ้นมาเมื่อตอนที่เขากำลังวิ่งอยู่ในโรงพยาบาล เพื่อไปให้ทันลมหายใจสุดท้ายของวีรมาตุ พลันสายตาเหลือบไปเห็นคนที่ไม่ควรจะอยู่ที่นั่นในตอนนั้น จนได้แต่ภาวนาในใจว่า อย่านะ อย่าเพิ่งมาเอาตัวไป

(วีร์ ได้ยินรึเปล่า วีร์)

เสียงของปัญจวีส์ดังลอดมาเรียกสติของวีร์ให้กลับคืนมาบ้าง แต่ภาพตรงหน้าที่กำลังมองเห็นอยู่ทำให้วีร์ไม่แน่ใจว่ามันเป็นความฝันหรือความจริงกันแน่

(วีร์ พี่ไปถึงที่บ้านวีร์แล้วยัง)

“อะไรนะ” วีร์ถามกลับไปให้แน่ใจ

(พี่ไปถึงที่บ้านวีร์แล้วยัง เห็นพี่บอกว่าจะแวะไปที่บ้านวีร์ก่อน)

วีร์ได้ยินดังนั้นแล้วก็มองไปที่ประตูรั้วให้แน่ใจว่าเขากำลังมองเห็นอะไร ชายหนุ่มร่างสูงกำลังสอดมือผ่านช่องเหล็กดัดเข้ามาลูบหัวสุนัขทั้งสองตัว

“อ่า... มาถึงแล้ว” วีร์ตอบไปทั้งๆที่ยังไม่รู้แน่ชัด

(โอเค งั้นเดี๋ยวให้พี่เล่าให้วีร์ฟังเองก็แล้วกันนะ)

หลังจากนั้นปัญจวีส์ก็บอกลาและตัดสัญญาณไป วีร์จึงเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงของเขาแล้วก็เดินไปที่ประตูรั้ว สายตายังมองไปที่ชายหนุ่มร่างสูงที่อยู่อีกฝากหนึ่งของประตู วีร์จับปลอกคอสุนัขทั้งสองตัวแล้วดึงพวกมันให้ห่างออกจากประตูรั้ว เพื่อให้คนด้านนอกเปิดประตูเข้ามาได้

วีส์เห็นว่าเด็กหนุ่มจับสุนัขทั้งสองไว้มั่นคงแล้วจึงยกกลอนประตูขึ้นแล้วแง้มประตูพอให้เขาสอดตัวเข้าไปได้ แล้วก็ปิดประตูให้เรียบร้อย เมื่อหันตัวกลับมาก็เจอกับแรงปะทะโถมเข้าใส่ตัวเขาในทันที

วีร์กอดชายหนุ่มร่างสูงไว้แน่นเต็มอ้อมแขน เอาให้แน่ใจว่านี่คือคนเป็นๆ มีเนื้อหนังมังสา มีอุณหภูมิมีความร้อนจากร่างกาย มีเสียงหัวใจกำลังเต้นเป็นจังหวะ

วีร์ผละตัวออกมาแล้วมองดูชายหนุ่มตรงหน้าให้เต็มๆตา มือทั้งสองข้างจับสำรวจไปทั่วว่านี้คือของจริง ไม่ใช่ภาพวิญญาณหลอน

“เป็นอะไร” วีส์มีเห็นอาการตระหนกของเด็กหนุ่ม

“พี่ตัวเป็นๆใช่มั้ย” ถึงความสัมผัสที่ได้จะบอกเขาว่าใช่ แต่วีร์ก็อยากได้ยินคำพูดให้แน่ใจ

“ตัวเป็นๆสิ” วีส์กางแขนออกทั้งสองข้างแล้วก็หมุนตัวเองให้เห็นรอบทิศทาง

“ก็ข่าว...”

“ข่าวเครื่องบินหายไปใช่มั้ย” วีส์ถามแทรกในทันทีไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายพูดจบ วีร์ก็พยักหน้าตอบกลับมา “ตอนแรกพี่ต้องขึ้นลำนั้นกลับมานั่นแหละ แต่ว่าเกิดเหตุขัดข้องนิดหน่อยพี่เลยไปถึงสนามบินช้าไม่ทันขึ้นเครื่อง ก็เลยต้องหาตั๋วใหม่ ก็เกือบจะต้องอยู่ต่อแล้ว” วีส์จับมือทั้งสองข้างของวีร์ไว้แน่น

“แต่พอดีว่ามันมีอีกเที่ยวบินนึงคนละสายการบิน เลยลองเสี่ยงไปถามที่เคาท์เตอร์ดู โชคดีที่มีที่ว่างเหลืออยู่แต่แพงหน่อย ก็เลยเอาวะ ดีกว่าต้องอยู่ต่ออีกวัน”

วีร์รู้สึกหายใจคล่องคอมากขึ้นหลังจากที่ได้ยินเรื่องราว

“แล้วที่ตลกก็คือ ตอนที่พี่ขึ้นเครื่อง ยังเห็นเครื่องบินลำนั้นยังจอดอยู่ที่เกตอยู่เลย เพิ่งมารู้นี่แหละว่าเครื่องบินหายไปจากจอเรดาห์ ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นยังไง” ถึงจะหัวเราะในช่วงแรก แต่วีส์ก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังในช่วงท้าย เพราะยังไม่รู้ชะตากรรมของเครื่องบินลำที่เกือบจะมีเขาอยู่บนเครื่องแล้ว

“พี่ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” วีร์บีบมือของวีส์แน่นๆให้แน่ใจอีกครั้งว่าเป็นของจริง

“พี่ไม่เป็นไร แล้วก็นี่...” วีส์ผละมือปล่อยออกข้างหนึ่งจากมือของเด็กหนุ่มแล้วก็ล้วงเข้าไปข้างในปกเสื้อ จากนั้นเขาก็ดึงสร้อยคล้องแหวนหยกสีแดงออกมาอวดให้เห็น “...พี่ใส่ติดตัวตลอดเลยนะ”

วีร์ยิ้มให้เล็กๆด้วยที่ยังรู้สึกตระหนกอยู่ แต่ก็สบายใจขึ้นมากและก็รู้สึกดีใจที่ชายหนุ่มร่างสูงทำตามที่เขาขอไว้

“นี่พี่ก็ใส่ติดตัวตลอดเวลา แล้วพี่ก็กลับมาปลอดภัยดีไม่เป็นอะไร ดังนั้นก็...” วีส์ทำเป็นพูดลอยๆไม่ได้จริงจัง แต่ก็ตั้งความหวังไว้สูงลิ่วว่าจะต้องได้อย่างที่หวังไว้แน่นอน

วีร์หายใจเข้าลึกแล้วก็ผ่อนออกมาเบาๆก่อนที่จะมองกลับอย่างรู้ทัน

“ก็บอกแล้วไงครับว่า ค่อยว่ากันอีกที วีร์ไม่เคยบอกว่าจะตอบตกลงอะไรสักหน่อย”

วีส์รู้สึกได้ว่าโดนเล่นเข้าให้เสียแล้วแต่ก็ยังทำใจดีสู้เสือ และสุนัขตัวใหญ่ขนสั้นทั้งสองตัวที่ยืนจ้องอยู่ข้างๆและคิดว่ากำลังจะได้ขนมอร่อยกิน เสียงเห่าของพวกมันทำให้วีส์หันสนใจสิ่งรอบตัวและมองไปเห็นว่าธีร์ที่กำลังอุ้มเด็หญิงตัวน้อย และวนกรที่กำลังจับบ่าธรไม่ให้วิ่งมาหาพวกเขา กำลังยืนมองพวกเขาอยู่

วีส์จึงยกมือขึ้นไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองคน

“กลับมาถึงเมื่อไหร่ครับ” ธีร์ถามหลังจากที่พยักหน้ารับไหว้

“เพิ่งมาถึงเลยครับ” วีส์ตอบกลับด้วยความนอบน้อม

“คุณวีส์จะเข้าข้างในบ้านก่อนมั้ยคะ หิวรึเปล่า กินอะไรมารึยัง” วนกรถามในฐานะพนักงานบริษัทกับลูกชายของเจ้านายที่เคยพบปะกันมาบ้าง

“ไม่เป็นไรครับ ผมยังไม่ได้กลับบ้านเลย แวะมาที่นี่ซะก่อน” วีส์ตอบกลับด้วยความสุภาพ

ทั้งธีร์และวนกรก็พยักหน้ารับ พอจะเดาบรรยากาศรอบตัวออกถึงระดับความสำคัญของชายหนุ่มที่มีให้กับลูกชายคนโตของพวกเขา เพียงแค่ไม่ได้พูดอะไรออกไป

“อ๋อ ผมเกือบลืม...” วีส์รีบพูดเหมือนกลัวใครจะมาแย้งเขาพูด “เดี๋ยวพี่มานะ” วีส์บอกกับเด็กหนุ่มแล้วก็รีบเปิดประตูรั้วออกไป เขาวิ่งไปที่รถหรูสีดำสนิทแล้วบอกให้คนขับเปิดฝากระโปรงท้าย ก่อนที่จะมุดเข้าไปหาอะไรบางอย่าง

ไม่นานนักวีส์ก็เดินกลับเข้ามาข้างในรั้วบ้านอีกครั้งพร้อมกับกล่องอะไรบางอย่างและตุ๊กตาหมีแพนด้า

“ของขวัญวันเกิดย้อนหลังของน้องธรกับน้องธารา”

ธรได้ยินตัวเองและเห็นกล่องของเล่น ก็สลัดตัวเองออกจากมือของวนกรแล้วก็วิ่งออกมายืนข้างๆพี่ชายของเขา ธรยื่นหน้ามองดูกล่องสี่เหลี่ยมในมือของพี่ชายตัวสูงให้รู้ว่าเป็นอะไร แต่ที่แน่นอนว่ามันเป็นของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย

“น้องธรครับ พี่ซื้อยานเทียงกงจำลองมาให้เป็นของขวัญวันเกิดย้อนหลังนะครับ”

วีส์กำลังจะยื่นกล่องแบบจำลองสถานีอวกาศเทียนกงให้และธรก็กำลังจะยื่นมืออกไปรับ แต่ทั้งคู่ก็ต้องชะงักไปเสียก่อน

“ธร ขอบคุณครับพี่เขาก่อน”

ถึงจะไม่ใช่เสียงแข็งดุดัน แต่ธรก็ทำตามคำบอกของพี่ชายเป็นอย่างดีก่อนที่จะรับของขวัญมาพร้อมกับทำตาโตและอ้าปากกว้าง และหันไปอวดให้สุนัขทั้งสองตัวดู

“จริงๆไม่ต้องก็ได้นะครับ” ธีร์ที่เดินตามเด็กน้อยมาพร้อมกับวนกรบอกด้วยความเกรงใจ

“ไม่เป็นไร ผมมีของน้องธาราด้วย” วีส์ยื่นตุ๊กตาหมีแพนด้าให้กับธาราที่อยู่ในอ้อมแขนของธีร์

ธาราไม่แน่ใจที่จะรับของจากคนแปลกหน้าสำหรับเธอ ทั้งธีร์และวนกรต่างก็ช่วยกันบอกให้เด็กตัวน้อยรับรู้ว่าสามารถรับตุ๊กตาตัวนั้นมาได้ ส่วนวีร์ก็ไม่ลืมบอกให้ธารายกมือไหว้ขอบคุณเสียก่อน

“งั้นเดี๋ยวผมกลับเลยนะครับ ยังไม่ได้เข้าบ้านเลย” วีส์ออกตัวของลากลับและยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองคน

ธีร์และวนกรก็รับไหว้ก่อนที่จะพาเด็กน้อยที่กำลังเห่อของเล่นชิ้นใหม่กลับเข้าไปข้างในบ้าน โดยไม่ลืมหันกลับมาโบกมือลาพี่ชายตัวโตก่อนกลับเข้าไป

วีส์หันกลับมาหาเด็กหนุ่มที่กำลังยืนมองเขาอยู่โดยที่ไม่มีใครพูดอะไร

“กลับได้แล้วครับ” วีร์เป็นคนทำลายความเงียบ

“วีร์ไม่ให้คำตอบพี่ก่อนเหรอ” วีส์ทำสีหน้าอ้อนวอนรอคำตอบ

“ไว้ค่อยคุยกันวันหลังครับ” วีร์เอามือดันตัวชายหนุ่มร่างสูงให้เดินถอยไปทางประตูรั้ว

“แต่พี่ไม่เป็นอะไรเลยนะ”

ไม่ทันขาดคำ วีส์ก็เหมือนจะหงายหลังเพราะเดินถอยไปชนกันสุนัขตัวหนึ่งที่อยากเล่นสนุกกับพวกมนุษย์ วีร์ก็ตกใจรีบขว้าแขนของชายหนุ่มร่างสูงไว้

“พี่ไม่เป็นอะไร” วีส์รีบออกตัวไว้ก่อนว่ายังไม่เกิดอะไรขึ้น เขายังเป็นปกติดี

“ครับ แต่กลับไปก่อนเถอะครับ” วีร์ไม่ได้รู้สึกติดใจอะไรมากแต่ก็ยังยืนยันคำตอบเดิม “พี่เพิ่งเดินทางกลับมาถึง กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะครับ แม่พี่คุณยายพี่คงอยากจะเจอหน้าแล้ว”

“โอเค” วีส์เดินถอยจนมาถึงที่ประตูรั้วแล้ว “งั้น เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่มารับนะ”

“รับไปไหนครับ” วีร์ถามกลับด้วยความสงสัย

“ก็ฝึกงานอาทิตย์สุดท้ายไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวพี่มารับ”

“ไม่เป็นไรครับ วีร์ไปเองได้ พี่จะได้ไม่ต้องขับรถวนไปวนมา”

“เอาหน่า เดี๋ยวพี่มารับ โอเค๊” วีส์เปิดประตู่รั้วเตรียมตัวออกไปโดยไม่ให้สุนัขทั้งสองตัวหลุดออกไปด้วย แต่กระนั้นก็แอบฉวยโอกาสสูดลมหายใจที่แก้มของเจ้าบ้านก่อนที่จะรีบมุดตัวออกไป “ปิดประตูเร็ว เดี๋ยวหมามันออกมา”

วีส์ไม่เปิดโอกาสให้วีร์ได้ทำอะไรคืนกับเขา ยิ่งได้เห็นสีหน้าไม่พอใจของเด็กหนุ่ม วีส์ก็ยิ่งรู้สึกชอบใจ แล้วเขาก็โบกมือลาก่อนที่จะกลับขึ้นรถยนต์ไป

วีร์มองดูไฟท้ายรถยนต์หรูค่อยเคลื่อนห่างออกไป สีหน้าของเขายังเปื้อนรอยยิ้มแม้ว่าจะเพิ่งโดนแกล้งมา เขารู้สึกโล่งใจขึ้นมากที่เห็นว่าวีส์ยังอยู่รอดปลอดภัยดี เขาไม่รู้ว่าที่ผ่านมามันเกิดอะไรขึ้น มันจะเป็นจริงอย่างที่ใครๆพูดกันหรือไม่ เขาไม่รู้ว่าแหวนหยกสีแดงนั้นจะมีคาถาอาคมช่วยไว้จริงหรือเปล่า แค่ตอนนี้ไม่เกิดอะไรขึ้น เขาก็สบายใจแล้ว


*****


ณ บ้านสวนท่ามกลางพุ่มไม้ที่บรรยากาศรอบบ้านเงียบสงบ จะมีก็เพียงเสียงอึ่งอ่างส่งเสียงมาจากที่ไกลๆ ยังคงมีดวงไฟในห้องครัวที่ส่องสว่างอยู่ หม้อและกะละมังใส่วัตถุดิบสำหรับทำขนมในวันรุ่งขึ้นถูกจัดแจงเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว อุปกรณ์อื่นๆก็เช่นกันที่พร้อมหยิบใช้ได้ทุกเวลา เหลือแค่ทำความสะอาดถ้วยชามรามไหอื่นๆจนหมดก็จะได้เวลาพักผ่อนเสียที

อนงค์ตรวจดูภายในห้องครัวโดยทั่วว่าเรียบร้อยดีแล้ว ฟืนไฟทั้งหลายดับสนิทดี แล้วจึงปิดไฟปิดประตูกลับเข้าไปข้างในบ้านเพื่อเตรียมตัวเข้านอน แต่เธอก็ไม่ลืมแวะไปดูแม่ที่แก่ชราว่าเป็นอย่างไรบ้างเหมือนที่ทำอยู่เป็นประจำทุกวัน ยิ่งช่วงนี้อากาศเริ่มเย็นเพราะเริ่มมีฝนตกมาบ้างแล้ว คนอายุเยอะยิ่งต้องระวังสุขภาพไม่ให้ตัวเย็นจนเกินไป

เมื่ออนงค์โผล่หน้าเข้าไปดูก็เห็นหญิงชรากำลังนั่งก้มหน้าตัวงออยู่บนเตียงนอน อนงค์จึงเดินเข้าไปดูใกล้ๆว่าทำไมแม่ของเธอถึงไม่นอนพักผ่อนให้ดีๆ

“แหม” อนงค์จับแขนเรียกหญิงชราเบาๆ มีการขยับตัวตอบรับเล็กน้อยด้วยการปรือตาขึ้นมองแล้วก็หลับตาลงอย่างเดิม “หลุกขึ้นนั้งไซนิ ม้ายเหนื่อยเออ”

หญิงชราปรือตาขึ้นมองอีกครั้งแล้วก็หลับตาลงไปอย่างเดิม

“เนือยม้าย น้ามม้าย”

หญิงชราก็ส่ายหน้าเบาๆ

“งั้นนอนตะนะ ตอเช้าทำน้มคอมห้ายกิ๋น เอ๋าม้าย”

หญิงชราสูดหายใจลึกจนตัวยกแล้วก็ผ่อนลมออก

“บายใจ” เสียงพึมพำดังออกมาเบาๆ

“หวาพรือนะ” อนงค์ถามย้ำให้แน่ใจ

“บายใจแล่ว” หญิงชราพูดเสียงเบาๆ

“บายใจแล่วก็นอนตะ” อนงค์ช่วยประคองแม่ของเธอให้เอนตัวลงนอน “นอนนะ”

“หนุ่ย..”

“หนุ่ยติดเรียน” อนงค์ดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มตัวให้กับหญิงชรา

“ห้าหนุ่ย...”

“ด้าย ตอเช้าห้ายหนุ่ยโทรห้านะ”

มีเสียงผ่อนลมหายใจดังออกมาเบาๆก่อนที่หญิงชราจะนอนหลับไป อนงค์จับผ้าห่มให้คลุมตัวหญิงชราอีกครั้ง แล้วจึงเดินไปดูที่หน้าต่างว่ามีลมเย็นพัดเข้ามามากหรือไม่ จนแน่ใจว่าในห้องนอนยังคงมีอากาศถ่ายเทสะดวกแต่ก็ไม่ทำให้หนาวสั่นจนเกินไป แล้วอนงค์ก็เดินกลับมาดูแม่ของเธออีกครั้งก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป

แปดสิบกว่าปีที่ผ่านมามีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายสำหรับคนๆหนึ่ง ทั้งดีและร้าย ทั้งเต็มใจและฝืนใจ จากครอบครัวที่อยู่กันพร้อมหน้าจนต้องมาเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ฝ่าฟันทุกอุปสรรคเพื่อนำพาทุกชีวิตให้อยู่รอด มีความสุขบ้างมีความทุกข์บ้าง มีความเข้าใจกันและมีความขัดแย้งกัน แต่สุดท้ายแล้วก็คือครอบครัวเดียวกัน

วันเดือนหมุนเวียนผ่านมาแล้วก็ผ่านไปตามทางของมัน ไม่มีใครบังคับได้ หญิงชราคนหนึ่งนอนหลับไปโดยที่ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าว่าคืนนี้จะเป็นค่ำคืนยาวนานอันเป็นนิรันดร์ของเธอ


*****


#VVLiftOff


[โปรดติดตามตอนต่อไป]

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ตอนที่ 14 The Last Boss


เช้าวันจันทร์ของสัปดาห์สุดท้ายของการฝึกงานกับกงสีล้ำเลิศรัตนทรัพย์ เนื่องจากได้นัดหมายเวลากันไว้ก่อนว่าจะมารับแต่เช้า วันนี้วีร์จึงออกจากบ้านเป็นคนแรกต่างวันอื่นๆที่มักจะช่วยน้องทั้งสองคนขึ้นรถให้เสร็จก่อน และคอยระวังไม่ให้สุนัขทั้งสองตัวหลุดออกไปได้ตอนเอารถยนต์ออก แล้วก็เป็นคนปิดบ้านให้เรียบร้อยก่อนจะออกเดินทางเป็นคนสุดท้าย

วันนี้รถยนต์คันสีดำมันวาววับที่ดูไม่ออกเลยว่าเคยประสบอุบัติเหตุมาเมื่อหลายเดือนมาจอดเทียบถึงหน้าประตูรั้วแต่เช้า เนื่องจากหลานชายเพิ่งกลับมาจากจีน คุณยายก็เลยอยากจัดเลี้ยงอาหารเช้า ส่วนหลานชายก็อยากจะพาคนอื่นมาร่วมโต๊ะด้วย จึงเป็นที่มาของการนัดหมายในครั้งนี้

เส้นทางถนนที่ขับไปมุ่งหน้าสู่ห้างสรรพสินค้า เพราะจุดหมายปลายทางคือกลุ่มบ้านที่อยู่ด้านหลังของห้างสรรพสินค้าที่มีสวนสาธารณะคั้นไว้ตรงกลาง

ในตอนที่วีส์กำลังจะเลี้ยวรถยนต์เข้าสู่ประตูใหญ่ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา

“ว่าไงพี่ธีร์” วีร์หยิบโทรศัพท์ออกมากดรับ

(พี่ว่าจะลงไปวันพุธ เดี๋ยววันนี้พี่กับวาจะเข้าไปลางานกันก่อน อาจจะอยู่ถึงวันจันทร์ด้วย เดี๋ยวดูอีกที)

“ลางานไปไหน” วีร์ถามกลับด้วยความสงสัยว่าทั้งธีร์และวนกรจะไปไหนกัน

(นี่ยังไม่ได้อ่านไลน์เหรอ) ธีร์ถามกลับมาด้วยความสงสัยไม่แพ้กัน และก็พอจะเข้าใจได้ในทันทีว่าทำไมวีร์ถึงออกจากบ้านมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ยังเลย พี่วีส์บอกจะรีบมารับ ก็เลยยังไม่ได้เปิดอ่านอะไรเลย”

วีส์หันมามองเมื่อชื่อของตัวเองถูกเอ่ยขึ้นมา และสงสัยว่าเด็กหนุ่มและธีร์กำลังพูดคุยเรื่องอะไรกันอยู่

(โอเค) เสียงของธีร์เงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดต่อ (แม่ไลน์บอกในกลุ่มว่าแม่เฒ่าเสียแล้วนะ เมื่อหัวรุ่ง)

วีร์นั่งนิ่งทำอะไรไม่ถูก พยายามเข้าใจสิ่งที่ได้ยินมาว่าเกิดอะไรขึ้น

“พี่ธีร์ว่าอะไรนะ”

เสียงถอนลมหายใจดังผ่านสัญญาณโทรศัพท์นำมาก่อนที่จะมีคำอธิบายตามมาภายหลัง

(แม่เฒ่าเสียแล้ว)

“เมื่อไหร่”

น้ำเสียงที่เปลี่ยนไปของวีร์ดึงความสนใจจากคนขับรถให้หันมามองอีกครั้งขณะที่กำลังนำรถยนต์เข้าจอด

(น้านงค์บอกว่าตอนหัวรุ่ง น้านงค์เข้าไปดูแม่เฒ่าว่าเป็นยังไง เห็นแกนอนนิ่งๆก็เลยจะปลุกแก แต่ว่าแม่เฒ่าก็ไปแล้ว)

“แล้ว...” วีร์อยู่ในภาวะที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก เขาไม่คิดว่าหญิงชราจะจากไปในเวลาอันใกล้ขนาดนี้

(พี่ก็เลยจะโทรมาจะถามว่าวีร์จะเอายังไง พี่คงลาวันพุธ วันพฤหัสฯ แล้วก็วันศุกร์ เห็นแม่บอกว่าจะตั้งสวดห้าวันแล้วปลงวันเสาร์ ส่วนวันอาทิตย์ที่ไปลอยอังคารเดี๋ยวต้องดูก่อนว่าจะลาวันจันทร์ด้วยมั้ย ไม่งั้นก็อาจจะไม่ได้ไป)

วีร์ยังคงนั่งนิ่ง เขาพยายามทำใจยอมรับการสูญเสียญาติผู้ใหญ่แบบกะทันหัน และต้องมาตัดสินใจการเดินทางแบบทันด่วนอีก

(เอางี้ เดี๋ยววีร์ไปถามที่ฝึกงานนะว่าจะลาได้มั้ย แล้ววีร์ค่อยโทรมาบอกพี่นะ เดี๋ยวพี่จะออกจากบ้านแล้ว) ธีร์สรุปความให้เมื่อเห็นว่าวีร์คงจะยังตัดสินใจไม่ได้

“ได้ครับ” วีร์ตอบกลับไปสั้นๆ แล้วก็เก็บโทรศัพท์ไว้ที่เดิม

เห็นวีร์นั่งเงียบไปและมีท่าทางเศร้าสร้อย วีส์ก็สองจิตสองใจว่าจะถามดีหรือไม่ ด้วยยังไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร

“เป็นอะไรรึเปล่า”

วีร์สูดลมหายใจก่อนที่จะผ่อนออกมา ร่างกายของเขาต้องการออกซิเจนเข้าไปใช้งาน ส่วนจิตใจของเขาก็ต้องการการเยียวยา

“พี่ธีร์โทรมาบอกว่าแม่เฒ่าเสียแล้ว”

“เอ๋... เอ่อ... พี่เสียใจด้วยนะครับ” วีส์ไม่ได้คิดว่าจะเป็นเรื่องนี้ และก็รู้สึกสงสารและเห็นใจเด็กหนุ่มเพราะรู้ว่าวีร์รักย่าทวดของเขามาก “แล้ว... วีร์จะลงไปมั้ย”

“ยังไงก็ต้องลงไปอยู่แล้วครับ แต่ไม่รู้จะไปวันไหน พี่ธีร์บอกว่าจะลงไปวันพุธ” พูดเสร็จแล้ววีร์ก็ถอนหายใจอีกครั้ง

“แล้ววีร์อยากจะลงไปวันไหนเหรอ” วีส์ถามแล้วก็รอฟังคำตอบโดยที่ยังนั่งกันอยู่ในรถไม่ขยับไปไหน

“ถ้าไปวันนี้ได้เลยก็คงจะดี แต่กว่าจะถึงยังไงก็ลงไปไม่ทันรดน้ำศพอยู่แล้ว”   

วีส์คิดหาหนทางว่าจะทำอะไรได้บ้าง มองดูรอบตัวไปพลางก็เห็นว่าชื่นฤทัยกำลังยืนรอพวกเขาอยู่ที่ประตูบ้าน

“เดี๋ยวไปบอกคุณยายก่อนก็แล้วกัน เรื่องฝึกงาน ถ้าลาได้เลย เดี๋ยวพี่ขับรถพาวีร์ลงไปเองวันนี้เลย”

วีร์เงยหน้าขึ้นมามองคนนนั่งข้างในทันทีเมื่อจะถามให้แน่ว่าเป็นจริงตามที่บอกหรือไม่ แต่ก็รู้สึกเกรงใจอยู่ไม่น้อย เพราะการขับรถทางไกลใช้พลังงานร่างกายไปมากพอสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ชายหนุ่มร่างสูงก็เพิ่งจะเดินทางไกลกลับมาเมื่อวานก่อนเอง

“ไป ลงจากรถกันก่อน แม่พี่ยืนรออยู่แล้ว”

ในตอนนั้นวีร์จึงหันไปเห็นชื่นฤทัยที่ยืนมองดูอย่างสงสัยว่าเหตุใดพวกเขาถึงยังนั่งอยู่ในรถยนต์กัน จึงตัดสินใจทำตามที่วีส์บอก แล้วก็พากันลงจากรถยนต์ไป

“นึกว่าจะไม่ลงจากรถซะแล้ว ไป คุณยายรออยู่” ชื่นฤทัยยิ้มรับไหว้จากวีร์แล้วก็ชวนทั้งสองคนเข้าไปข้างในบ้านกัน

“แม่ครับ” วีส์เรียกชื่นฤทัยไว้ก่อน “คือว่าที่บ้านน้องเพิ่งโทรมาบอกว่าย่าทวดของน้องเพิ่งเสียไปครับ วีส์กำลังคิดอยู่ว่าจะพาน้องลงไปวันนี้เลยถ้าไม่ติดปัญหาอะไร”

“ลงไปวันนี้เลยเหรอ” ชื่นฤทัยเปลี่ยนอารมณ์ในทันทีและถามย้ำ

“ครับ” วีส์ตอบกลับสั้นๆ

ชื่นฤทัยหันไปมองวีร์ที่ดูจะซึมผิดปกติไป เมื่อรู้เหตุผลแล้วเธอก็เข้าใจ

“งั้นวีส์พาน้องไปคุยกับคุณยายก่อน แจ้งให้คุณยายทราบ คุณยายไม่ว่าอะไรหรอก”

“งั้น เดี๋ยววีส์พาน้องไปที่บ้านใหญ่ก่อนนะครับ”

“อืม เดี๋ยวแม่เข้าไปบอกคุณยายเอง เดี๋ยวคุณยายจะรอนาน” ชื่นฤทัยหมายถึงแม่แท้ของตัวเองที่กำลังเตรียมอาหารเช้าอยู่ “เสร็จแล้วก็ลับมากินอะไรให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยว่ากัน”

“ครับแม่”

วีส์จึงเดินนำพาวีร์เดินไปที่บ้านหลังใหญ่เพื่อไปหาอังกาบ จะได้แจ้งข่าวให้ทราบ ส่วนชื่นฤทัยก็มองตามทั้งสองคนที่เดินออกไปด้วยความรู้สึกเห็นใจเด็กหนุ่มที่ต้องเสียญาติผู้ใหญ่ แล้วชื่นฤทัยก็หยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาโทรหาหัวหน้าฝ่ายบุคคลในบริษัทของเธอ

“สวัสดีค่ะคุณเพลินพิศ ขอโทษที่โทรมาแต่เช้านะคะ พอดีดิฉันเพิ่งจะทราบข่าวว่าคุณธีร์เพิ่งจะสูญเสียญาติผู้ใหญ่ไป เดี๋ยวคุณธีร์กับคุณวนกรคงจะเข้าไปลางาน ก็อนุมัติให้ตามที่พวกเขาขอเลยนะคะ แล้วก็ช่วยจัดการเรื่องพวงหรีดให้ด้วยนะคะ ไม่เอาเป็นดอกไม้นะคะ เอาเป็นอะไรก็ได้ที่ใช้ประโยชน์ต่อได้ ขอบคุณค่ะ”

ชื่นฤทัยกดวางโทรศัพท์แล้วก็หันไปตามทางที่เด็กหนุ่มทั้งสองคนเดินลับสายตาไปแล้ว ก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปในบ้านเพื่อบอกข่าวให้กับแม่และลูกชายคนเล็กของเธอ


*****


หลังจากที่เดินทางไกลมาค่อนวันแล้วก็ได้แวะพักเติมน้ำมันให้รถยนต์และเติมอาหารให้คนเดินทางด้วยที่สถานีบริการน้ำมันแห่งหนึ่ง ทั้งสองคนเลือกสั่งอาหารง่ายๆจะได้รวดเร็วไม่เสียเวลานาน แต่วีส์คนพี่ก็นั่งดูวีร์คนน้องเอาแค่เขี่ยอาหารไปมา เลยต้องรับบทจำเป็นคอยเชิญชวนให้ตักอาหารกินอยู่เรื่อยๆ

เมื่อตอนที่ได้เข้าไปบอกข่าวให้กับคุณนายใหญ่แห่งล้ำเลิศรัตนทรัพย์ให้ทราบแล้ว ก็ได้รับอนุมัติเรื่องการลาได้ทันที โดยถือว่าให้สิ้นสุดการฝึกงานในครั้งนี้ไปเลย ส่วนค่าจ้างงานและหนังสือรับรองการฝึกงานจะให้เกวลินจัดการส่งมอบให้ในภายหลัง

อังกาบยังสอบถามอาการและสาเหตุคร่าวๆ แต่วีร์ก็ตอบได้ไม่มากนัก นอกเหนือไปจากที่ย่าทวดของเขาเคยป่วยและไปพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเมื่อปีก่อนหน้านั้นแล้ว แต่อาการก็ดีขึ้นมากจนกลับมาอยู่บ้านได้ แต่การเข้าไปนอนที่โรงพยาบาลครั้งนั้นทำให้รับรู้ว่าย่าทวดมีโรคประจำที่ไม่เคยตรวจและรักษามาก่อน ส่วนสาเหตุที่แท้จริงคงจะต้องลงไปสอบถามเพิ่มเติม

ส่วนปัญจวีส์ที่กำลังดีใจที่การฝึกงานยุติลงและกำลังจะคิดขอตามเพื่อนและพี่ชายลงไปด้วย แต่ก็โดนอังกาบดับฝันไว้เสียก่อน โดยบอกว่าเป็นกรณีพิเศษให้กับวีร์เท่านั้น ส่วนปัญจวีส์จะต้องอยู่ทำงานให้ครบตามกำหนดเดิม ทำให้ปัญจวีส์กลับมานั่งหน้าหุบในทันที

เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง รถยนต์คันสีดำก็เลี้ยวไปในบริเวณบ้านสวนที่พื้นที่ด้านข้างถูกจัดวางเต็นท์จนเกือบเต็มพื้นที่ เห็นโลงศพแบบปรับอากาศตั้งวางไว้เรียบร้อยแล้วและมีคนงานกำลังช่วยกันตกแต่งดอกไม้บริเวณโดยรอบ แสดงว่าการรดน้ำศพนั้นเสร็จสิ้นไปนานแล้ว

หลายคนหันมองดูรถยนต์ที่ไม่คุ้นตาว่าเป็นใครเดินทางมาก่อนเวลาพระสวดคืนแรกเร็วขนาดนี้ ญาติๆของผู้วายชมน์คอยมองดูว่าผู้มาใหม่จะเป็นคนรู้จักของใคร มีเพียงยุทธและนุชเท่านั้นที่ลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปหาเพราะข่าวสารที่ส่งมาล่วงหน้าผ่านแอพลิเคชั่นสื่อสาร

คนแรกที่ออกจากรถมาทำให้หลายๆคนหันกลับไปทำงานของตนเพราะว่าเป็นหลานชายที่คุ้นหน้าตากันดี ในเมื่อทั้งคนเป็นพ่อและแม่เดินไปรับแล้ว ดังนั้นคนอื่นก็ไม่จำเป็น แต่ทว่าเมื่ออีกคนออกมาจากรถก็ทำให้หลายคนตกใจอยู่ไม่น้อย คิดอยู่ว่ากำลังอยู่ในงานศพถ้าหากจะเห็นวิญญาณอื่นด้วยก็คงจะพอเป็นไปได้อยู่บ้าง

ยุทธและนุชก็คงจะมีอาการเช่นเดียวกันกับคนอื่นๆ ถ้าหากไม่ได้รับคำเตือนจากธีร์มาก่อนว่าเขาจะมีรูปลักษณ์ภายนอกคล้ายกันบ้างตามประสาพี่น้องร่วมบิดา แต่แว่บแรกที่เห็นกับตาตัวเอง ทั้งยุทธและนุชต่างก็คิดตรงกันว่าหน้าตาเหมือนกันอยู่ไม่น้อย อย่างไรเสียก็ถือว่าเป็นการพบปะกันครั้งแรก

“ว่าไง เหยียบกันมาเท่าไหร่ ถึงได้มาถึงเร็วแบบนี้” ยุทธรับไหว้จากทั้งสองคน

“มาตามปกตินั่นแหละ” วีร์เดินเข้าไปสวดกอดนุชก็ได้รับการเอ็นดูทั้งแก้มซ้ายแก้มขวา รวมที่โดนขยี้ผมจนหัวสั่นหัวคลอนจากยุทธด้วย

ส่วนคนขับรถได้แต่ยืนดูอยู่ไม่ไกล ถึงผู้ใหญ่ตั้งสองคนจะยิ้มต้อนรับเป็นอย่างดีแต่ก็ยังรู้สึกประหม่า

“ไป เข้าไปไหว้ศพกันก่อน” นุชออกปากชวนทั้งคู่ก่อนที่จะจับตัววีร์หมุนไปทางเต็นท์ที่ตั้งศพอยู่ “หิวมั้ย เขาทำแกงเสร็จไปหลายหม้อแล้ว”

“ยังก่อน เดี๋ยวนุ้ยว่าจะพาพี่วีส์ไปเข้าที่พักก่อน แล้วก็แวะเอาของไปเก็บที่บ้าน แล้วค่อยกลับมางานอีกที” วีร์เดินจูงมือไปกับนุช โดยมีวีส์และยุทธเดินตามไปไม่ห่าง

“อ้าว พี่เขาไม่นอนบ้านพ่อเขาเออ” นุชหันหน้ามาถาม

“พี่วีส์บอกว่าไม่อยากไปกวนบ้านพ่อเขา แล้วนุ้ยก็โทรไปจองรีสอร์ตของป้าติ๊กไว้แล้วด้วย” วีร์ตอบกลับโดยที่ไม่ทันได้เอะใจว่านุชรู้จักชายหนุ่มรุ่นพี่หรือย่างไรถึงได้ไปล่วงรู้ว่าวีส์เป็นลูกชายของวิรัช

“อ๋อเออ ช่วงนี้หน้าโลว์ น่าจะมีห้องว่างอยู่” นุชก็พอจะเข้าใจเมื่อได้ยินคำตอบ ที่พักนั้นเป็นของญาติใกล้ชิดกันและอยู่ไม่ห่างจากบ้านของย่าทวดมากนัก

“ใช่ ก็เดี๋ยวพาพี่ไปเก็บของก่อน แล้วก็แวะไปที่บ้าน อ้อ กุญแจ” วีร์แบมือขอกุญแจบ้านจากนุชตอนที่กำลังเดินเข้าไปข้างในเต็นท์ที่ตั้งศพ

“ไม่ต้อง อรอยู่ที่บ้าน” นุชตบลงที่ฝ่ามือของวีร์เบาๆ ก่อนที่จะเดินไปหยิบธูปสองดอกมา

“วันนี้ไม่ทำงานกันเออ” วีร์ถามและเตรียมตัวนั่งคุกเขาลงเพื่อเคารพศพ

“อรกับเอกเขาลาครึ่งวันมารดน้ำศพกัน นี่ก็พาน้องอิ่มกลับไปนอนที่บ้านกัน แล้วค่อยมาตอนเย็น” นุชจุดธูปเสร็จแล้วก็ส่งให้กับวีร์

“น้องอิ่มกี่เดือนล้วนิ” วีร์รับธูปมาแล้วก็ส่งต่อให้กับชายหนุ่มรุ่นพี่

“น้องอิ่มก็เกิดหลังธาราสี่เดือน ก็แปดเดือนจะเก้าเดือนแล้ว”

วีร์พยักหน้ารับรู้แล้วก็ยกมือขึ้นพนม เงยหน้าขึ้นมองรูปที่วางอยู่ข้างโลงศพ ก่อนที่จะลอบถอนหายใจ ถึงจะทำใจได้แต่ก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่าญาติผู้ใหญ่ที่สนิทสนมกันจะจากไปแล้ว นั่งมองอยู่ครู่หนึ่งก็ยกมือขึ้นก้มหน้าลงไหว้หนึ่งครั้ง แล้วก็ปักธูปลงไปในกระถาง

นุชตบบ่าให้กำลังใจวีร์ ไม่อยากให้คิดมากเพราะรู้ว่าวีร์รักและเคารพแม่ของเธอมาก วีร์ก็เงยหน้าขึ้นยิ้มให้หนึ่งครั้งก่อนที่จะลุกขึ้นยืน

“ไม่กินก่อนเออ” นุชถามอีกครั้ง

“เดี๋ยวตะ ค่อยกลับมากินก็ได้” วีร์ดึงแขนนุชมากอดไว้แล้วพากันเดินออกมา แล้ววีร์ก็ทักทายคนรู้จักเสียงดัง “น้านงค์ สวัสดีครับ”

“เอ้า มาถึงแล้วเออ เร็วนา” อนงค์รับไหว้หลานชายตัวเอง กับชายหนุ่มอีกคนที่เธอมองอย่างสงสัยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

“รู้ข่าวแล้วก็ขับรถลงมาเลย”

“งั้นไปๆนั่งโต๊ะ กินอะไรมาแล้วม้าย” อนงค์จะกวักมือเรียกให้คนยกอาหารแต่ก็ถูกห้ามไว้เสียก่อน

“เดี๋ยว! เดี๋ยวนุ้ยพาพี่เขาไปรีสอร์ตป้าติ๊กก่อน แล้วค่อยกลับมาหล่าว”

“เอางั้นเออ” อนงค์ถามพร้อมกับสังเกตชายหนุ่มอีกคนไปด้วย ส่วนวีร์ก็พยักหน้าและยิ้มตอบกลับ “ก็แล้วแต่”

“งั้นเดี๋ยวนุ้ยไปเลยนะ จะได้แวะเข้าไปที่บ้านหล่าว” วีร์หันไปบอกนุชและยุทธ

“ก็เดี๋ยวออกมาพร้อมกับอรเลยก็ได้ จะได้ไม่ต้องเอารถมาหลายคัน ที่จอดรถเต็มแน่ๆ” ยุทธบอกและมองดูรอบบริเวณ กะเกณฑ์พื้นที่ที่ต้องใช้และจำนวนคนที่จะมาในวันนี้

“แต่ตอนกลับก็กลับกันคนละทางนิเบ๋อ” วีร์มีสีหน้านึกคิดว่าจะทำอย่างไร แล้วเขาก็หันไปบอกกับชายหนุ่มร่างสูง “เดี๋ยวแวะไปที่บ้านก่อนดีกว่า เอาของวีร์ไปเก็บแล้วเดี๋ยววีร์ขี่รถเครื่องนำรถพี่ไปที่พัก แล้วค่อยเอารถเครื่องขี่มานี่ ขากลับวีร์ก็แวะไปส่งพี่ก่อนแล้วค่อยกลับบ้าน”

“จะอันตรายรึเปล่า กลับดึกๆดื่นๆ” วีส์ถามด้วยความเป็นห่วง

“สบายมาก วีร์ขี่จนชิน แต่พี่น่ะ เดี๋ยวจะหลงทางเปล่าๆ”

วีส์ยังรู้สึกไม่แน่ใจจะเห็นแย้งกลับไป แต่เมื่อเห็นสีหน้าของผู้ใหญ่ทั้งสองคนแล้วก็พอจะเข้าใจได้ว่าอย่าไปเสียเวลาเถียงอยู่เลยเพราะว่ายากที่จะชนะ จึงต้องยอมทำตาม

สองหนุ่มจึงบอกลายุทธและนุช รวมถึงอนงค์ แล้วจึงเดินไปที่รถยนต์คันสีดำก่อนที่จะขับออกไป

“เฮ ก็เห็นว่าเขาจัดงานเผาไปแล้วไม่ใช่เออ แล้วทำไม...” อนงค์แอบถามนุชเสียงเบาๆกลัวใครจะได้ยิน ถึงแม้ว่ารอบตัวทั้งสามคนจะไม่มีใครเลยก็ตาม

“คนละคนกัน” นุชเฉลยข้อสงสัย แต่เมื่อหันมาเห็นสีหน้าน้องสาวตัวเองที่ยังคงสงสัยก็พอจะเข้าใจได้ “เอาตะ เอาเป็นว่าไม่ใช่คนเดียวกัน”

“เหรอ นุ้ยมันคงชอบคนหน้าตาประมาณนี้ละมั้ง” อนงค์พยายามสรุปความที่ไม่ทำให้ตัวเองสับสน แม้ว่าจะยังรู้สึกว่ามีอะไรติดอยู่ในใจก็ตาม แต่ในเมื่อพี่สาวตัวเองยืนยันก็คงต้องเป็นเช่นนั้น


*****


ช่วงเย็นเริ่มมีผู้คนเดินทางมาร่วมงานมากมาย ส่วนมากมักจะเป็นญาติใกล้ชิดกัน เนื่องจากเป็นวันแรกของการสวดอภิธรรมกุศลส่งศพ คณะเจ้าภาพได้จัดเตรียมอาหารไว้ต้อนรับผู้มางานตามธรรมเนียม ส่วนแม่ครัวหลักก็หนีไม่พ้นสองพี่น้องนุชและอนงค์

วีร์ขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาจอดบริเวณใกล้กับบ้านโดยมีชายหนุ่มรุ่นพี่นั่งซ้อนท้ายมา และมีรถจักรยานยนต์ที่ตามมาจอดข้างกันก็คือวิธูกับแพรไหมที่ขี่ตามกันมาตั้งแต่ที่บ้านของวีร์ จนไปถึงที่พักของวีส์ แล้วก็วนกลับมาที่งานศพ

“เดี๋ยวพ่อกับแม่ว่าอีมากัน” วิธูบอกหลังจากที่เขาหยิบโทรศัพท์ออกมา ตั้งใจจะดูเวลาแต่ก็เห็นข้อความแจ้งเตือนผ่านแอพลิเคชั่นสื่อสาร “ส่วนน้องบ่าวกู บ่นทุกห้านาทีว่าอยากมางานด้วย”

“บอกมันว่าให้ลงมาวันสุดท้ายก็ได้ คุณยายคงไม่ว่าอะไรมั้ง” วีส์เปิดโทรศัพท์ของเขาอ่านเช่นกัน

“ก็เห็นมันบอกอยู่ว่ากำลังขอ แต่ยังไม่ได้” วิธูเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงแล้วก็มองดูรอบๆที่ฟ้าฝนเริ่มตั้งเค้า แต่ยังไม่รู้ว่าจะตกลงมาหรือไม่ แล้ววิธูก็สะกิดเพื่อนสนิทของเขา “โด่นุ ไอ้โจ้ ไม่นึกว่ามันจะมากัน”

วีร์หันไปทางที่วิธูบุ้ยหน้าไป ก็เห็นญาติวัยเดียวกันกำลังเดินตามผู้ใหญ่ไหว้คนรู้จักคนนั้นทีคนโน้นที

“กูกับมันก็ญาติทั้งฝั่งพ่อฝั่งแม่ เดี๋ยวชวนมันมานั่งด้วยกันก็ได้”

ว่าแล้ววีร์ก็ออกเดินนำทุกคนไปชักชวนกลุ่มญาติๆวัยเดียวกันมานั่งโต๊ะด้วยกัน เมื่อเดินไปถึงตัววีร์ก็สะกิดเรียก

“ไอ้โจ้”

“เอ้า ลงมาตอนไหนหล่าวนิ” ชายหนุ่มหันมาทักทาย แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อคนที่เดินตามมาด้วย “เห้ย!”

“ไรหล่าว ทำหน้าเหมือนเห็นผี” วีร์ถามด้วยความแปลกใจว่าทำไมลูกพี่ลูกน้องเขาถึงมีอาการตกใจแบบนั้น

“มึงไม่เห็นเออ” ชายหนุ่มดึงตัววีร์ไปยืนข้างๆเขา แล้วก็มองไปที่ชายหนุ่มร่างสูงด้วยความตระหนก

“เห็นไรวะ” วีร์ก็ยังคงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรชึ้น หรือว่าวิญญาณยายน้อยจะโผล่มาให้เห็น

“นั่นอะ” ชายหนุ่มชี้ไปที่คนที่เขาคิดว่าไม่ควรจะมาอยู่ที่นี่อีกแล้ว

“นี้เออ” วิธูจับแขนพี่ชายของเขายกขึ้นแล้วก็โบกไปมาให้เห็นชัดๆว่าเป็นคนไม่ใช่วิญญาณ

ชายหนุ่มมองด้วยความสงสัย ถึงจะคลายกังวลไปเรื่องหนึ่งว่าเป็นคนไม่ใช่ผีวิญญาณ  แต่เมื่อได้ยินวิธูแนะนำว่าเป็นพี่ชายของเขาก็กลับมาตกใจอีกครั้ง

“พี่คนละแม่” วิธูจึงอธิบายเพิ่มเติมแต่สายตาของความสงสัยยังคงไม่หายไป

“ไปหาโต๊ะนั่งกัน เดี๋ยวเล่าให้ฟัง” วีร์ออกปากชวนทุกคน

ถึงแม้ว่าจะได้รับคำยืนยันไปแล้วเป็นคนที่จับต้องได้ แต่ก็ยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่ไม่น้อย ยังคงคอยลอบสังเกตอยู่เรื่อยๆ

“แล้วนิมึงลงมาถึงตอนไหน” ถึงจะถามญาติคนสนิทแต่สายตายังคงมองไปทางอื่น

“เพิ่งถึง แวะเอาของไปเก็บที่บ้านแล้วก็มาเลย” วีร์ตอบแล้วก็หันมองรอบๆ แล้วก็หันกลับมาเรียกแพรไหม “อีดำ ไปยกกับข้าวกัน”

วีร์กับแพรไหมก็ลุกขึ้นแล้วพากันเดินไปที่โต๊ะวางหม้ออาหาร เปิดฝาหม้อแต่ละใบดูว่าวันนี้มีกับข้าวอะไรบ้าง มีญาติที่ยืนคุมอยู่ก็ช่วยหยิบถ้วยหยิบจานส่งให้ ส่วนวิธูที่กำลังมองดูอยู่ก็ต้องหันกลับมาเพราะว่ารู้สึกโดนสะกิดที่แขน

“เฮ ถามหน่อย พี่มึงโดนเรื่องอะไรแปลกๆม้ายวะ” เสียงกระซิบถามเบาๆกลัวบุคคลที่สามจะได้ยิน

“แปลกพรือหล่าว” วิธูถามกลับไป

“ก็แบบที่พี่มึงเป็นนั้นแล เห็นว่าแฟนไอ้อ้วนอีกคนก็โดนเหมือนกันไม่ใช่เออ”

“ก็ไม่เห็นมีไร อยู่ปกติดี” วิธูตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงปกติ

“เหรอ” ถึงแม้ว่าจะไม่เชื่อไปซะทีเดียว แต่ก็ไม่ได้รบเร้าอะไรในเรื่องนี้ต่อ บทสนทนาก็เปลี่ยนไปเป็นเรื่องอื่น

ส่วนคนที่ถูกพูดถึงก็นั่งทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไรทั้งๆที่ก็ได้ยินเต็มสองรูหู ถ้าเรื่องแปลกๆที่ผ่านมามันก็มีอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่เคยเอามาเชื่อมโยงกัน อย่างเช่นเหตุการณ์ล่าสุด เขาก็คิดว่ามันเป็นเหตุสุดวิสัย เขาเดินทางไปถึงสนามบินล่าช้าเองทำให้ขึ้นเครื่องบินไม่ทัน และสาเหตุที่เครื่องบินหายไปจากจอเรดาห์ก็มาจากอุปกรณ์วิทยุสื่อสารขัดข้องตามที่มีข่าวแจ้งมาภายหลัง ดังนั้นถึงแม้ว่าเขาจะอยู่บนเครื่องบินลำนั้น มันก็ไม่ได้มีอะไรที่ทำให้ถึงขั้นสูญเสียชีวิตไปได้


[อ่านต่อด้านล่าง]

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
งานศพดำเนินไปราบรื่นดีถึงแม้จะมีอุปสรรคเรื่องฝนบ้างแต่ก็ไม่ได้ตกหนักมากมายอะไร ช่วงกลางวันมักจะไม่ค่อยมีใครมา ส่วนใหญ่จะเป็นญาติสนิทใกล้ชิดมานั่งพูดคุยกับบรรดาเจ้าภาพ หรือเป็นคนที่ไม่สะดวกจะมาช่วงเย็น จึงมีคนเฝ้างานอยู่ไม่เยอะมาก

วีร์ใช้เวลาช่วงเช้าจัดการต้นไม้รอบบ้านไม่ให้รก พอช่วงสายก็กลับเข้าบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดรอวิธูส่งข่าวว่าจะไปรับวีส์มาจากที่พัก ส่วนเขาจะได้ขี่รถจักรยานยนต์ไปกับแพรไหม แล้วไปเจอกันที่บ้านยายน้อย เมื่อไปถึงแล้วก็คอยดูว่าจะพอให้ช่วยหยิบจับหรือว่าช่วยออกไปซื้อหามาให้ได้บ้าง นอกเหนือไปจากนั้นก็จับกลุ่มนั่งคุยกันเรื่อยเปื่อย รอจนถึงช่วงเย็นที่จะมีคนมาร่วมงานมากมาย

อาการตกใจของหลายคนที่เคยรู้จักวีรดนย์ก็หายไปบ้างแล้ว เมื่อรับรู้ว่าวีส์เป็นใครมาจากไหนด้วยการบอกเล่าจากปากของวิธูช่วยยืนยัน อีกทั้งวีส์ยังคอยช่วยงานอย่างขยันขันแข็ง ทำให้ได้มีโอกาสพูดคุยกันบ้าง ก็พอจะเห็นถึงความแตกต่างระหว่างสองคน

“ไงวะมึง” วิธูถามเมื่อเห็นวีร์เดินกลับมานั่งที่โต๊ะหลังจากที่ลุกออกไปคุยโทรศัพท์

“พี่ธ๊ร์ถึงบ้านแล้ว เห็นว่านั่งพักแป๊บนึงก่อนแล้วค่อยมา กำลังจับคู่ธารากับอิ่มให้เป็นเพื่อนเล่นกันอยู่”

“อุ้ย มากันหมดใช่มั้ย” แพรไหมรู้สึกตื่นเต้นดีใจเพราะไม่ได้เจอน้องๆตัวน้อยร่วมเดือนกว่าแล้ว

“ใช่ ทั้งธรทั้งธารา”

“อ้าว มากันหมดแล้วใครดูไอ้ต้าวได้เติบ” วิธูถามถึงสุนัขทั้งสองตัว เพราะไม่มีคนอยู่บ้านติดต่อกันหลายวัน

“ฝากแพรไว้แล้วว่าให้ช่วยแวะเข้าไปให้อาหารกับเติมน้ำให้ด้วย”

“แล้วพี่ธีร์อยู่ถึงวันไหน” วิธูถามต่อ

“ก็กลับวันอาทิตย์เหมือนกันนั้น แต่ว่าพี่ธีร์คงออกแต่เช้า ไม่ได้อยู่ลอยอังคารก่อน” วีร์หันไปมองรถยนต์ที่เพิ่งจะเลี้ยวเข้ามา แต่เมื่อเห็นว่าไม่ใช่คนที่เขารู้จักจึงหันกลับมาคุยกับเพื่อนๆตามเดิม “แล้วมึงจะกลับวันไหน”

“ก็กลับพร้อมกันแล รถพี่ยังว่างไม่ใช่เออ”

วีส์ก็พยักหน้าตอบน้องชายว่ายังมีที่ว่างพอสำหรับตัวเขาและแฟนสาวสามารถเดินทางกลับพร้อมกันได้

“ไม่ใช่ว่าจองตั๋วกลับแล้วเออ”

“ม้าย ก็เกือบจะไปจองแล้วนิแต่ว่า” วิธูส่ายหน้าตอบไปด้วย พลางแกะถั่วลิวสงที่เตรียมไว้เป็นของกินเล่นในงานกินไปด้วย “เออ เห็นอีพริกบอกว่าจะแวะมาเย็นนี้ เพราะว่ามันจะกลับไปต่อรือแล้ว”

“อือ มันบอกกูแล้ว” วีร์หันไปมองรถยนต์ที่กำลังเลี้ยวเข้ามาอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นรถยนต์ที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี “พี่ธีร์มาแล้ว”

วีร์ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปรอรับ โดยมีชายหนุ่มร่างสูงเดินตามไปด้วย เมื่อรถยนต์เข้าจอดสนิทดีแล้ว ประตูรถก็ค่อยๆเปิดออกแต่ละบานครบทั้งสี่ด้าน ชายหนุ่มออกมาจากประตูหน้า หญิงสาวที่ต่างก็อุ้มเด็กเล็กออกมาจากประตูหลัง แล้วก็มีเด็กชายตัวน้อยลงจากรถเป็นคนสุดท้าย และเมื่อเห็นพี่ชายคนโตยืนรอรับอยู่ก็รีบวิ่งไปหาในทันที

“สวัสดีครับคุณวนกรคุณธีร์” วีส์ทักทายหนุ่มสาวที่เขารู้จัก

“สวัสดีค่ะ” วนกรผงกศีรษะทักทายกลับด้วยมือทั้งสองข้างยังไม่ว่าง “เดินทางมาเป็นยังไงบ้าง เจอฝนบ้างมั้ย”

“เจอนิดหน่อยครับ” วีส์มองดูเด็กหญิงตัวน้อยที่ยังเขินอายตัวเขาอยู่แม้ว่ากำลังกอดตุ๊กตาหมีแพนด้าที่เขาซื้อให้ก็ตาม

“ดีแล้วค่ะ เดินทางปลอดภัย อ้อ นี่พี่อรกับพี่เอกแล้วก็น้องอิ่ม คงไม่เคยเจอกัน” วนกรถือโอกาสแนะนำสมาชิกในครอบครัวให้รู้จักแทนวีร์ที่ถูกธรจูงมือลากไปหาคุณปู่คุณย่าเสียแล้ว

วีส์ก็ยกมือไหว้ทักทายหนุ่มสาวทั้งสองคน

“อ๋อ คนนี้เองเหรอ เห็นภูมิพูดถึงอยู่ ก็คล้ายกันอยู่นะ” อรส่งตัวลูกสาวให้กับคนเป็นพ่อรับช่วงอุ้มต่อ

ถึงอรจะละไว้ไม่ได้เอ่ยชื่อแต่วีส์ก็รู้ว่าอรหมายถึงพี่ชายของเขา และเขาก็เริ่มชินกับปฏิกิริยาเช่นนี้บ้างแล้วหลังจากที่ต้องตอบคำถามติดกันมาแล้วสามวัน ซึ่งพอจะเข้าใจได้ว่าหน้าตาของเขาและวีรดนย์มีส่วนเหมือนกันอยู่ตามประสาพี่น้องร่วมบิดา

“แต่ก็นะ ไอ้คนส่งข่าวมาก็คงคอนเซ็ปต์เดิม ร้อยวันพันปีจะได้เจอหน้ากันสักที” อรกรอกตามองบนกับนิสัยอันเลื่องชื่อของน้องชายคนเล็ก

“แต่เดี๋ยวใครจะไปรับภูมิเหรอคะ” วนกรหันไปถามอร

“เห็นว่าบอกจะหารถนั่งมาเอง ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมายังไง” อรเอามือกอดอกส่งเสียงจิ๊จ๊ะ แล้วสายตาก็หันไปเห็นรถจักรยานยนต์รับจ้างเลี้ยวเข้ามา ส่วนคนซ้อนท้ายก็ไม่ใช่ใครอื่น “นั่นไง คนตายยาก พูดถึงปุ๊บก็มาปั๊บ”

ภูมิจ่ายค่าโดยสารเสร็จแล้วก็สะพายกระเป๋าเป้เดินมาหาคนคุ้นตา

“ไง มาไงนิ” อรรับไหว้จากน้องชายคนสุดท้อง

“นั่งรถตู้มาลงที่ตลาดแล้วก็นั่งรถเครื่องมา” ภูมิพยายามจับมือทักทายหลานสาวที่อดีตเพื่อนร่วมชั้นเรียนพ่วงตำแหน่งพี่สะใภ้กำลังหลอกล้อให้หันไปทำความรู้จักกับคุณอาอยู่ และรับไหว้จากนักศึกษาในที่ปรึกษาของเขา

“ตามจริงก็อยู่รอรับก่อนก็ได้ บอกไม่เอา”

“ก็มันยังไม่แน่ว่าประชุมเสร็จทันมั้ย ไม่งั้นก็ต้องมาต่อเช้าเลย”

“เออ เอาตะ แล้วแต่” อรตัดบทเพราะถึงอย่างไรทุกคนก็เดินทางมาถึงแล้ว

“โน้น พ่อกับแม่กวักมือเรียกอยู่ สงสัยจะให้ไปถ่ายรูปกัน” วนกรบอกทั้งอรและภูมิให้หันไปดูยุทธและนุชที่กำลังยืนอยู่กับวีร์และเด็กชายตัวน้อย ส่วนเอกที่กำลังอุ้มลูกสาวเดินไปใกล้ถึงแล้ว

“ก็นานๆจะได้อยู่ครบหน้ากัน”

สองแม่ลูกอ่อนก็พากันเดินไปรวมกลุ่มกับคนอื่นๆที่กำลังจัดเตรียมลำดับการนั่งเพื่อจะเก็บภาพครอบครัวหน้าโลงศพผู้วายชนม์ไว้ มีเก้าอี้สองตัววางอยู่ตรงกลางสำหรับผู้สูงวัย ส่วนคนที่ข้อเข่ายังพอมีแรงก็นั่งคุกเข่าเรียงกันด้านข้าง หลานชายคนโตนั้นนั่งขัดสมาธิด้านหน้าสุดรออยู่แล้วและมีเด็กชายตัวน้อยรีบลงไปนั่งตักทันที

เอกส่งตัวอิ่มให้กับยุทธอุ้มไว้ ก่อนที่จะนั่งคุกเข่าลงข้างๆ เมื่ออรเดินมาถึงก็เข้าไปประจำตำแหน่งติดกัน วนกรเห็นว่าพ่อสามีกำลังอุ้มเด็กสาวตัวน้อยอยู่ จึงส่งตัวธาราให้กับนุชจะได้เหมือนกัน แล้วก็ไปนั่งข้างธีร์ ตามมาด้วยภูมินั่งปิดฝั่งด้านนี้

ส่วนวีส์ก็เดินเลี่ยงออกมาที่โต๊ะเดิมที่น้องๆนั่งกันอยู่เพราะถึงอย่างไรเสียเขาก็ยังมีสถานะเป็นคนนอก แต่ว่ายังไม่ทันเดินไปถึงที่โต๊ะยุทธก็กวักมือเรียกเสียก่อน วีส์ก็คิดเอาว่าก็คงจะให้ช่วยถ่ายรูปให้ จึงเดินไปหาอย่างกระตือรือร้น

เมื่อเดินไปถึงแล้ววีส์ก็ยื่นมือออกไปหมายจะรับโทรศัพท์ของยุทธมาช่วยถ่ายรูปให้ แต่ยุทธกลับส่ายมือบอกปัด

“ไม่ใช่...” ยุทธยกมือขึ้นกวักเรียกอีกครั้ง “ต่าย มาช่วยถ่ายรูปให้พ่อหน่อย”

วิธูได้ยินแล้วก็รีบวิ่งมาหาและรับโทรศัพท์ของยุทธไป ส่วนวีส์ก็รู้สึกหน้าเสียเล็กน้อยที่เข้าใจผิดคิดว่ายุทธจะเรียกเขาให้มาช่วย

“เดี๋ยวสิ เราน่ะ นั่งลง”

เมื่อเห็นชายหนุ่มร่างสูงกำลังเดินถอยเพื่อไม่ให้ตัวเองบังมุมกล้อง ยุทธก็รีบออกคำสั่งใหม่ชี้นิ้วบอกให้วีส์นั่งลงด้านหน้าข้างวีร์ที่กำลังนั่งขัดสมาธิและกอดธรที่นั่งลงบนขาของเขาอยู่ วีส์ไม่แน่ใจว่าเขาควรจะเข้าไปอยู่ในรูปของครอบครัวหรือไม่ แต่เมื่อเห็นวีร์ขยับตัวเพื่อให้มีที่ว่างพอสำหรับจัดองค์ประกอบของรูปใหม่ วีส์จึงเข้าไปนั่งลง

วิธูกดบันทึกหลายครั้งไว้เผื่อเลือกรูปที่ดีที่สุด ก่อนที่จะส่งโทรศัพท์คืนให้กับยุทธ

“ไปนั่งโต๊ะ กินซะให้เรียบร้อยก่อนที่คนจะมากันเยอะ” นุชลุกขึ้นยืนและส่งธารคืนให้กับวนกรก่อนที่จะเดินไปบอกให้คนยกอาหารมาได้เลย

แต่ละคนก็ทยอยเดินไปนั่งที่โต๊ะใกล้กับโต๊ะที่พวกเด็กๆนั่งกัน ระหว่างทางก็คอยแวะทักทาย แนะนำ และโอ้อวด บรรดาลูกๆหลานๆกับญาติๆคนอื่นๆไปด้วย กว่าจะเดินทางถึงที่โต๊ะได้ อาหารก็ถูกนำมาวางรอไว้จนเสร็จหมดแล้ว กลุ่มผู้ใหญ่นั่งรวมกันอยู่โต๊ะหนึ่ง ยกเว้นภูมิที่มานั่งร่วมโต๊ะกับเด็กๆเพราะว่ามีสนิทสนมคุ้นเคยกับทุกคน และถือโอกาสถามไถ่การไปจีนของวีส์ด้วย


*****


วันก่อนวันสุดท้ายของงานศพก็ดำเนินไปตามปกติ ไม่ได้ยุ่งวุ่นวายเหมือนวันแรกๆ การเตรียมงานสำหรับวันฌาปนกิจและการลอยอังคารก็เสร็จสิ้นหมดแล้ว ในวันนี้แต่ละคนจึงนั่งพักผ่อนรอต้อนรับแขกผู้มาไว้อาลัยเท่านั้น

วีร์และเพื่อนๆยังคงเลือกมางานตั้งแต่ช่วงเที่ยงเหมือนเดิม เผื่อว่าจะอยู่ให้โดนไหว้วานให้ช่วยทำอะไรบ้าง ไม่เช่นนั้นแล้วก็นั่งคุยสัพเพเหระไปเรื่อยจนถึงตอนเย็น

บรรดาลูกๆของยายน้อยที่เคยบาดหมางกันก็เหมือนจะพักรบชั่วคราว ถึงจะไม่ได้หันมาลูบหน้าจูบปากแต่ก็ไม่ได้ขัดแย้งอะไรมากมาย เนื่องจากมีอนงค์คอยเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยเพื่อให้งานศพดำเนินไปแบบเป็นที่พอใจของทุกฝ่าย

“สรุปว่าจะเอาไปลอยทะเลทั้งหมดเลยใช่มั้ย” นุชถามน้องสาวคนเล็กในขณะที่เตรียมวัตถุดิบสำหรับอาหารเลี้ยงวันนี้

“หมัน ก็พ่อไปอยู่ทะเลตั้งหลายปีแล้ว แม่ก็คงอยากจะไปอยู่ด้วยกันนั้นแหละ” อนงค์หั่นผักอย่างคล่องแคล้วและว่องไว ทำเสร็จชิ้นหนึ่งก็หยิบชิ้นอื่นมาทำต่อเนื่องได้ทันที “ถึงเก็บไว้ก็ไม่รู้ว่าจะมีแรงไปทำบุญกันสักกี่ปี รุ่นเด็กๆก็ไม่ใช่มีใครทำต่อกันแล้วนิ”

“อืม แยกย้ายกันไปหมด จะได้กลับมากันทีก็แค่ปีใหม่กับสงกรานต์” นุชก็พอจะเข้าใจว่าสภาพสังคมมันเปลี่ยนไป วัฒนธรรมประเพณีเก่าๆก็เริ่มเลือนหายไป

“ก็ยังลูกสาวเหลือติดบ้านไม่ใช่เออ แล้วเดี๋ยวก็ได้ออกมาเลี้ยงหลานแล้ว”

“ก็ช่วยเท่าที่ต้องช่วยแค่นั้นแหละ เขาบอกว่าจะเลี้ยงกันเองดูก่อน ก็ดีเหมือนกัน จะได้รู้ว่ากว่าจะเลี้ยงแต่ละตัวให้โตมาได้มันเหนื่อยขนาดไหน โดยเฉพาะไอ้ตอนที่เราบอกแล้วพวกมันไม่ฟังกันนั้น ปวดหัว”

“แต่ก็เห็นได้ดั่งใจกันทุกคนใช่เออ”

นุชทำสีหน้าไม่อยากจะยอมรับ เพราถึงแม้ว่าลูกๆทั้งสามคนของเธอจะสามารถรับผิดชอบชีวิตของตัวเองได้กันหมดแล้ว แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ก็ต้องผ่านเรื่องมามากมายโดยเฉพาะเรื่องของลูกชายคนกลาง แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เขาเปลี่ยนจากเด็กเกเรไม่สนใจการเรียนมาเป็นคนขยันและรับผิดชอบสูงอย่างทุกวันนี้ได้

เสียงฝีเท้าเล็กๆและเสียงหัวเราะใสๆดังใกล้เข้ามา เรียกความสนใจจากหญิงสูงวัยให้หันไปหาเด็กชายตัวน้อยที่วิ่งมาหาพวกเธอ

“พี่ธรจะเอาอะไรมั้ยครับ” นุชถามหลานชายตัวน้อยด้วยสรรพนามว่าพี่ เพราะตอนนี้เขามีน้องแล้ว

“เอาขนม” ธรชี้ไปที่ถาดขนมต้มที่อนงค์ทำไว้เสร็จแล้ว

“มาเลย เดี๋ยวย่าหยิบให้” อนงค์กวักมือเรียกเด็กน้อยแล้วก็หยิบจานมาตักขนมต้มให้จนเต็ม “ถือไหวมั้ย”

ธรห่อปากพร้อมกับทำตาโตที่เห็นขนมต้มเต็มจาน แล้วก็ยกมือไหว้ขอบคุณก่อนที่จะรับจานขนมไป

“ถือไหวมั้ย” อนงค์ถามให้แน่ใจ ธรก็พยักหน้ารับแล้วก็หันเดินจากไป “เวลาธรยิ้มแล้วก็อยู่เหมือนไอ้นุ้ย”

“แต่ดีนะว่าดวงตาไม่ดุเหมือนคุณตาเขา” นุชหันไปมองดูธรวิ่งกลับไปที่โต๊ะที่บรรดาพี่ๆตัวโตนั่งกันอยู่

“ก็ไม่คิดนะว่าจะได้กลับมาเจอกันอีก ก็คนบ้านโน้นแรงอีตาย” อนงค์ยังพอจำบรรยากาศความหลังตอนที่ข่าวของธีร์และวนกรเริ่มแพร่สะพัดได้

“เดี๋ยวนี้ก็เบาลงเยอะตั้งแต่ธรเกิดมา เสียงว่าก็มาที่บ้านอยู่บ่อยๆ”

“แล้วไอ้นุ้ยยังแง่งๆใส่เขาอยู่มั้ย” อนงค์ถามไปถึงวีร์ที่ยังไม่ค่อยลงรอยกับฤทธิกรสักเท่าไหร่จนถึงทุกวันนี้

“ก็วันไหนเขามากัน นุ้ยก็ออกไปหาอะไรทำที่อื่นบ้าง ไปซ้อมเทนนิสให้เพชรลูกร้านขายของฝากบ้าง ตอนปิดเทอมนี่ก็ไปฝึกงานที่บริษัทบ้านเพื่อนเขา”

“อัยยะ ฝึกงานตั้งแต่ปีหนึ่งเลยเออ”

“ก็เห็นว่า...” นุชยังไม่ทันจะพูดอะไรต่อก็รู้สึกได้มีบุคคลที่สามเดินเข้ามาใกล้ๆพวกเธอ เมื่อหันไปก็เห็นพี่ชายคนโตของพวกเธอยืนอยู่ “มาเอาหนมเออ นงค์ทำหนมต้มเสร็จแล้วนิ หนมชั้นยังอยู่ในลังถึงแต่ว่า”

“ม้าย จะมาถามว่าของชำร่วยวันปลงได้แล้วยัง” ชวลิตถามน้องสาวทั้งสองคนโดยพาะอนงค์ที่เป็นตัวหลักในการจัดงาน

“อ๋อ ได้วันนี้มั้ง หน่อยมันเป็นคนไปสั่ง” อนงค์หันซ้ายหันขวามองหาพี่สาวอีกคนว่าอยู่ที่ไหนก่อนที่จะตะโกนเรียก “เฮ พี่หน่อย มานี่ก่อน”

อัญฑิตาเดินมาหาน้องๆตามเสียงเรียก แต่เมื่อเห็นว่าชวลิตยืนอยู่ด้วยก็พยายามเดินเลี่ยงไปทางอื่น
   
“ว่าพรือ”

“ของแจกแขกวันปลงได้แล้วยัง”

“ได้พรุ่งนี้ไง บอกไปแล้ว” อัญฑิตาตอบคำถามของอนงค์และเผื่อแผ่ไปถึงคนอื่นด้วย

“แล้วต้องเอามาติดสติกเกอร์มั้ย” เป็นชวลิตที่ถามต่อ

“ม้าย เขาติดมาให้เรียบร้อยเลย เดี๋ยวพรุ่งนี้สายๆแวะไปเอา” อัญฑิตาตอบกลับแต่สายตามองอยู่ที่อนงค์ “เอ้า หนมเสร็จแล้วเออ”

“เอามั้ยอะ หนมชั้นก็มี แต่ยังไม่ยกออกจากเตาที”

“ยังไม่อยาก เดี๋ยวค่อยกิน” อัญฑิตายืนเท้าสะเอวมองดูน้องสาวตั้งสองกำลังเตรียมของสดสำหรับทำอาหารกัน ก่อนที่จะถูกเรียกให้ไปต้อนรับแขก “เดี๋ยวไปก่อน เพื่อนมา”

อัญฑิตาเดินจากไปต้อนรับเพื่อนๆของเธอแล้ว แต่ชวลิตยังคงยืนอยู่ที่เดิม นุชและอนงค์ก็หันมามองหน้าปรึกษากันทางจิตว่าจะต้องทำอะไรหรือไม่

“พี่เชา เอาหนมมั้ยอะ” อนงค์ตัดสินใจเป็นคนถาม

“ยังก่อน รอพวกเด็กเลิกเรียนมาก่อนค่อยมาเอา” ชวลิตพูดไปถึงหลานๆของตัวเองที่ติดภาระกิจการเรียน

อนงค์ก็พยักหน้ารับแล้วก็หันมาตั้งใจหั่นผักตามเดิม ไม่ได้ชวนพูดคุยอะไรกันต่อ ไม่นานนักชวลิตก็เดินออกไปรวมกลุ่มกับพรรคพวกของเขาเอง


*****


วีร์และเพื่อนๆที่พลอยกินขนมที่ธรถือมาให้ไปพลาง พูดคุยเรื่องทั่วๆไปพลาง แต่เพราะเด็กชายตัวน้อยนั่งอยู่ด้วยกันจึงพยายามเลี่ยงคำผรุสวาทออกมา เพราะยังไม่ถึงเวลาสำหรับเด็กในวัยที่กำลังเรียนรู้และเลียนแบบการกระทำของผู้ใหญ่ต้องมาจดจำข้อมูลที่ไม่จำเป็นเหล่านั้นก่อนถึงเวลาอันสมควร

“เปิดเทอมนี้พี่ภูมิก็เริ่มเรียนป.เอกเลยใช่มั้ย” แพรไหมถามเพื่อนสนิทตั้งแต่แบเบาะของเธอ

“หมัน ก็เห็นว่าเรียนไปด้วย สอนไปด้วย ทำวิจัยไปด้วย” วีร์คอยสังเกตดูว่าน้องชายตัวน้อยจะกินขนมหกเลอะเทอะหรือไม่

“พี่ แล้วปีนี้พี่ภูมิยังเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาพี่อยู่มั้ยอะ” วิธูถามพี่ชายของเขา

“ก็เป็นอยู่เหมือนเดิม ยังไม่มีใครส่งใบแจ้งเปลี่ยนอาจารย์ที่ปรึกษามาให้” วีส์ตอบกลับโดยที่สนใจอยู่กับเด็กชายตัวน้อยเช่นกัน

“โห งานเยอะแบบนั้นพี่ภูมิจะไหวเออ” วิธูทำสีหน้าบูดเบี้ยวเมื่อถึงว่าถ้าตัวเองก็ไปทำอะไรแบบนั้น

“มันก็ไม่ได้เยอะขนาดนั้นมั้ง อาจารย์ภูมิเป็นที่ปรึกษากูแค่คนเดียว คนอื่นที่เคยอยู่กับลุงเกื้อก็ย้ายไปอยู่กับอาจารย์คนอื่น”

“อ๋อ ก็นึกว่ารับโอนมาทั้งยวง แค่เรียนกับสอนก็ยุ่งจะตายอยู่แล้ว” วิธูพยักหน้ารับว่าเช้าใจ

“ดูเหมือนปีนี้อาจารย์ภูมิจะสอนแค่วิชาเดียวมั้ง แล้วก็สอนแค่พวกป.โทด้วย พวกป.ตรีมีอาจารย์คนใหม่เข้ามาสอนเทอมหน้านี่แหละ” วีส์หยิบกระดาษทิชชู่ส่งให้กับวีร์ที่กำลังปัดเศษมะพร้าวขูดที่หกเปื้อนชุดสีดำของธร

“พี่ธรเอาขนมอีกมั้ยคะ เดี๋ยวพี่แพรไปเอามาให้” แพรไหมถามเด็กชายตัวน้อยที่กำลังเคี้ยวขนมอยู่เต็มปาก

“พอแล้วตะ เดี๋ยวอิ่มเกินจนไม่กินข้าวหล่าว”

แพรไหมอยากจะเอาใจเด็กน้อยแต่ก็ไม่อยากจะขัดใจเพื่อน จึงไม่ได้ไปหยิบขนมมาเพิ่ม

“แล้วปีหน้าพี่ไปจีนต้องไปอยู่หอพักเดิมมั้ย” วิธูหันมาถามพี่ชายของเขาต่อ

“ไม่อะ” วีส์ส่ายหน้าตอบไปด้วย “คุยกับคนอื่นไว้แล้วว่าจะไปหาห้องเช่าใกล้ๆเอาดีกว่า ไม่อยากไปใช้ห้องอาบน้ำรวมห้องส้วมรวม”

“ก็นะ จะเข้าส้วมแต่ละทีต้องไปนั่งมองหน้าคนอื่นไปด้วย” วิธูคิดภาพตามแล้วรู้สึกแปลกๆถ้าเป็นตัวเขาเองที่ต้องไปเจอสภาพแบบนั้น ด้วยธรรมเนียมที่แตกต่างกันของแต่ละประเทศ

“มันก็เหมือนไปญี่ปุ่นแล้วไปแช่ออนเซ็นนั่นแหละ ถามไอ้ปันดูสิ เอาเข้าจริงเขาไม่ได้มานั่งสนใจอะไรมึงหรอก มันเป็นเรื่องปกติของเขา ตอนวันแรกๆมันก็... อยู่เหมือนกันนั่นแหละ พอวันหลังๆก็เริ่มชิน” วีส์ละคำพูดไว้ในฐานที่เข้าใจตรงกันว่ามันมีความเขินอายอยู่บ้าง

“เอ้า ถ้าชินแล้วพี่จะไปหาที่อยู่ทำไม” วิธูถามด้วยความสงสัยจริงๆ

“คนมันเยอะแย่งกันใช้ ออกไปอยู่แบบสบายๆดีกว่า แพงกว่าสักหน่อยแต่กูก็ไม่ได้ลำบากอะไรอยู่แล้ว”

“อืม ใช่” วิธูพยักหน้าเข้าใจถึงสถานะทางการเงินของพี่น้องร่วมบิดา เขาไม่ได้รู้สึกอิจฉาที่ตัวเองไม่ได้มีทุนเบื้องหลังสนับสนุนในแบบนั้น เพราะเท่าที่พ่อกับแม่ให้เขามาก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกคขาดแคลนอะไร

“พวกนี้ทุนจ่ายครอบคลุมให้หมดนั่นแหละ” วีส์เห็นท่าทางของน้องชายแล้วก็จึงขยายความเพิ่มเติม

“ค่าที่พักด้วยเหรอพี่” วิธูถามต่อ

“เปล่า เขาให้มารวมๆแล้วบริหารจัดการเอาเอง” วีส์ตอบไปแล้วก็เห็นคิ้วที่ขมวดกันของน้องชายร่วมบิดา ส่วนน้องชายคนสนิทถึงจะสนใจอยู่กับเด็กตัวน้อยก็มีอาการไม่ต่างกันแค่ไม่ได้เอ่ยปากถามเอง วีส์จึงอธิบายเพิ่มเติม “เรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเรียนทั้งหลายแหล่ หนังสือ อุปกรณ์ ลงวิชาเรียน ทางโน้นเขาจัดให้หมด แต่ก็ได้ทุนจากมหาวิทยาลัยด้วยไว้เป็นค่าใช้จ่าย ของเด็กม.อื่นก็ไม่รู้นะ”

“เขาให้เปล่าหรือว่าพี่ต้องกลับมาใช้ทุนอีกอะ อย่างของพี่ภูมินี่ต้องอยู่ทำวิจัยกับสอนใช้ทุนใช่มั้ย” วิธูหันมาถามเพื่อนสนิทของเขา ซึ่งวีร์ก็พยักหน้าตอบ

“ต้องกลับมาใช้ทุนสิ” วีส์ตอบกลับ

“อ้าว แล้วถ้าที่จีนเข้าเสนองานให้ทำต่อเลยจะทำไง”

“ก็ต้องจ่ายคืนสิวะ” วีส์ยักไหล่ตอบกลับ

วิธูพยักหน้าเข้าใจ ส่วนตัวเขาเองก็รู้สึกสองจิตสองใจว่าอยากให้พี่ชายของเขาได้งานทำต่อที่ประเทศจีนเลยหรือไม่ ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีเพราะความก้าวหน้าทางด้านดาราศาสตร์ของจีนก็รุดหน้าไปอย่างมากในทุกๆปี แต่ก็ต้องแลกกับการอยู่ห่างจากคนในครอบครัว

“ส่วนมึงก็คิดไว้บ้างนะเรียนจบแล้วจะทำอะไร” วีส์ลอบสังเกตเด็กหนุ่มที่กำลังเช็ดมือเด็กน้อยที่เพิ่งจะกินขนมหมดจานโดยที่ไม่ได้มีอาการแปลกๆอะไรให้เห็น แต่ก็คอยฟังบทสนทนาอยู่ตลอด

ถึงจะไม่ได้มีการยืนยันอย่างชัดเจนว่าสถานะของพวกเขาในตอนนี้คืออะไร แต่เรื่องที่เขาจะต้องไปศึกษาต่อที่จีนเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนอยู่แล้ว และมันก็อาจจะเป็นส่วนสำคัญสำหรับการตัดสินใจด้วยก็ได้

“ไม่ต้องห่วง มีอะไรให้ทำตั้งเยอะ ไปเป็นโค้ชก็ได้ เป็นนักกายภาพก็ได้ หรือไม่ก็ไปอยู่ทีมของพี่เพชรก็ได้”

“ก็ถ้าเพชรเทิร์นโปรแล้วไปต่อได้เรื่อยๆนะ” วีส์อยากจะดึงความคิดของน้องชายลงมาให้คิดเผื่อล่วงหน้าไว้บ้าง

“พี่เพชรไปได้อยู่แล้ว ถามไอ้อ้วนดูสิ มันไปซ้อมให้พี่เพชรอยู่บ่อยๆ”

วีร์ไม่ได้ตอบกลับอะไร แค่ขยับจานที่ตอนนี้มีแต่เศษกระดาษทิชชู่ที่ใช้แล้วออกห่างไป แล้วหยิบแก้วน้ำมาให้น้องชายตัวน้อยดื่ม

“มา เดี๋ยวพี่เอาจานไปเก็บ” วีส์ขยับตัวลุกขึ้นยืนแล้วรวบรวมจานที่ไม่ใช้แล้วเข้าด้วยกัน แล้วก็เดินออกไปส่งที่ด้านหลังโรงครัว

“เฮ” วิธูสะกิดเรียกวีร์เมื่อพี่ชายของเดินห่างออกไปแล้ว “ถ้าพี่ไปอยู่จีนยาวเลย มึงจะเอาไง”

วีร์รับฟังคำถามแล้วก็ทำท่าทางเหมือนจะนึกคิด แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร จนวิธูจ้องตาเขม็งเค้นรอคำตอบ

“ฮาย ก็ให้มันตามไปอยู่กับพี่เขาก็ได้ เหมือนที่เธอเคยบอกนั่นแล” เป็นแพรไหมที่ช่วยเสนอแนวทางให้แทน

“ก็นี่แหละ ถามมันอยู่ว่ามันจะไปอยู่ด้วยมั้ย” วิธูหันไปแอบเถียงแฟนสาวของเขา

“ก็แล้วแต่มันแหละ ตามไปอยู่ด้วยกันก็ได้ แยกกันอยู่แบบสัมพันธ์ทางไกลก็ได้ ได้ทั้งเพแล้วแต่สะดวกใจ”

วิธูกำลังจะอ้าปากถามเพื่อนของเขาให้แน่ใจว่าเมื่อถึงตอนนั้นแล้วเพื่อนสนิทของเขาจะติดสินใจอย่างไร แต่ก็โดนแฟนสาวของเขาดึงแขนเรียกไว้เสียก่อน

“โด่นุ พี่เขาเป็นอะไร” แพรไหมบอกให้วิธูและวีร์หันไปมอง

ชายหนุ่มร่างสูงกำลังก้มๆเงยๆทำอะไรบางอย่างอยู่หลังจากที่เดินเอาจานไปเก็บออกมาแล้ว เขารู้สึกว่ากำลังถูกจ้องมองจึงหันมาเจอกับสายตาของน้องๆมองมาอยู่ เขาจึงก้มลงไปหยิบรองเท้าแตะขึ้นมาให้เห็นว่าหูรองเท้ามันขาด ทำให้สวมใส่เดินได้ลำบาก คงจะต้องออกไปซื้อคู่ใหม่มาใส่แทน

เปร๊าะ

เสียงดังขึ้นจนทุกคนในบริเวณนั้นหันมองกันว่าต้นทางมาจากไหน แต่ก็หาที่มาของเสียงไม่เจอ บางคนจึงกลับไปทำสิ่งที่ตัวเองทำไว้ก่อนหน้า บางคนก็ยังมองหาอยู่ให้แน่ใจ

แคร๊ก

ส่วนวีส์ก็พยายามฝืนใส่รองเท้าโดนใช้นิ้วเท้าหนีบหูรองเท้าไปพลางก่อน ให้พอลากไปกับพื้นได้ ดีกว่าจะย่ำเท้าลงไปที่พื้นโดยตรง แต่แล้วก็รู้สึกแปลกใจเพราะเมื่อเงยหน้าขึ้นมาแล้วเห็นมีแต่คนร้องเรียกเขา ในเสี้ยววินาทีที่ไม่ทันได้ตัดสินใจทำอะไร ก็โดนอะไรบางอย่างกระแทกใส่ตัวเขาและกดทับให้ตัวเขาล้มลงไปนอนที่พื้น

วีร์กับวิธูรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งไปทันทีที่เห็น ปล่อยให้แพรไหมคอยดูธรไว้ที่โต๊ะ พวกเขารีบไปช่วยคนอื่นๆที่กรูกันเข้ามาช่วยยกฝาบ้านชั้นบนที่เป็นไม้ที่ล้มลงมาทั้งแถบขึ้นสูงพอให้คนเจ็บที่นอนอยู่ออกมาได้ วีร์กับวิธูรีบพยุงตัวชายหนุ่มร่างสูงให้ลุกขึ้นยืน แล้วก็พบว่าเท้าข้างขวามีอาการบาดเจ็บไม่สามารถลงน้ำหนักได้ ซ้ำที่เก่าที่เคยเจ็บจากอุบัติเหตุรถยนต์มาก่อน

เมื่อสามารถขยับตัวออกมาพ้นจากฝาไม้ได้แล้ว คนอื่นๆก็ค่อยวางฝาไม้ลงตามเดิม เพราะถึงอย่างไรเสียก็ยากที่จะเอาไปประกอบกลับเข้าที่เดิมได้ในตอนนี้ แล้วก็เริ่มตรวจดูโครงบ้านส่วนอื่นๆว่ายังแข็งแรงอยู่หรือไม่

ในขณะที่วิธูยังช่วยพยุงตัววีส์อยู่นั้น วีร์ก็เริ่มสำรวจร่างกายส่วนอื่นๆว่ามีบาดแผลอะไรอีกหรือไม่ แต่ก็ไม่พบอะไรนอกจากอาการบาดเจ็บที่เท้าและเจ้าตัวก็ยืนยันว่าไม่เป็นอะไรมากไปกว่านั้น แล้ววีร์ก็เอามือแปะไปทั่วที่หน้าอกของชายหนุ่มจนเจอสิ่งที่ต้องการหา แล้วเขาก็ล้วงสร้อยที่คล้องแหวนหยกแดงออกมาดู

เมื่อเห็นกับตาแล้ว วีร์ก็หายใจโล่งได้ทันที

“วีร์บอกให้พี่ใส่ติดตัวตลอดเวลา พี่ก็ไม่เคยถอดออกเลยนะ” วีส์ให้คำยืนยันอย่างหนักแน่นต่อคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับเด็กหนุ่ม

วีร์สูดหายใจลึกเพื่อคลายความตระหนกก่อนหน้านี้ แล้วเขากับวิธูก็ช่วยกันพยุงตัววีส์พากันเดินไปนั่งที่โต๊ะ

เหตุการณ์ทั้งหมดนั้นก็อยู่ในสายตาของทั้งชวลิตและอัญฑิตา สิ่งของที่เคยพ่อของพวกเขาเคยพกติดตัวไว้ตลอดเวลา สิ่งที่พวกเขาเคยเห็นมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก และเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้พี่น้องเริ่มผิดใจกันจนถึงทุกวันนี้ บัดนี้ได้ถูกส่งต่อให้กับคนอื่นไปแล้ว

ชวลิตและอัญฑิตาบังเอิญหันมาสบตากันโดยไม่ได้นัดหมาย ต่างฝ่ายต่างก็พยายามไม่แสดงอะไรออกมา แล้วก็ต่างพากันเบนสายตาไปทางอื่น ชวลิตนั้นเงยหน้าขึ้นไปมองตัวบ้านชั้นบนที่ตอนนี้เปิดโล่งมองเห็นด้านใน เตียงนอนไม้หลังเก่าที่วางอยู่ตำแหน่งเดิมที่แม่ของเขานอนอยู่เป็นประจำจนวันสุดท้ายของชีวิต

ชวลิตถอนหายใจเหมือนคนปลงตก แล้วก็หันไปมองหลานชายของเขาที่กำลังประคบน้ำแข็งที่ข้อเท้าของชายหนุ่มร่างสูงอยู่ พลางนึกอยู่ในใจว่านี่อาจจะเป็นความต้องการของแม่ของเขาก็เป็นได้ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ เขาก็ไม่คิดว่ามันจำเป็นจะต้องทำถึงขนาดนี้เลยก็ได้ แล้วชวลิตก็หันกลับไปมองชั้นบนของบ้านอีกครั้ง


[อ่านต่อด้านล่าง]

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ถึงแม้ว่าอาการบาดเจ็บจะไม่ได้รุนแรงมากในความคิดของเขา แต่หลายเสียงก็บอกว่าให้วีส์กลับไปพักผ่อนก่อนจะดีกว่า เพราะถึงอยู่ต่อก็ไม่สามารถช่วยงานอะไรได้มากนัก ท้ายที่สุดจึงต้องยอมใจกลับไปที่ห้องพักแต่โดยดี

วีร์ขี่รถจักรยานยนต์พาชายหนุ่มร่างสูงมาส่งที่รีสอร์ต แล้วก็ช่วยพยุงตัวเข้าห้องพัก เขานำน้ำแข็งที่ใส่ถุงติดมาด้วยจากที่งานศพห่อด้วยผ้าขนหนูแล้วประคบที่ข้อเท้าชองวีส์ ระหว่างรอวิธูที่กลับไปที่บ้านเพื่อไปเอาแผ่นเจลประคบที่แช่แข็งไว้และยาทาคลายกล้ามเนื้อมาให้ ส่วนผ้ายืดนั้นต้องไปซื้อหามาใหม่

รออยู่ครู่หนึ่งรถจักรยานของวิธูก็เลี้ยวเข้ามาจอดที่หน้าห้อง แล้วก็ขนอุปกรณ์ทั้งหมดเข้าไปข้างใน

“เป็นไงบ้างวะ” วิธูถามด้วยความเป็นห่วง

“ดูไม่ค่อยบวมนะ แต่ต้องประคบไว้ก่อน” วีร์เอาแผ่นเจลประคบเข้าแช่ช่องแช่แข็งไว้หนึ่งชิ้น ส่วนอีกชิ้นก็เอามาเปลี่ยนกับน้ำแข็งที่ใกล้ละลายหมดแล้ว “เย็นเกินไปมั้ยพี่”

“อันนี้น่ะดีแล้ว เมื่อกี้ไม่ค่อยรู้สึกเย็นเท่าไหร่ สงสัยผ้าขนหนูมันหนาไปหน่อย”

“แล้วพี่ยังเจ็บข้อเท้าอยู่มั้ย” วีร์สอบถามอาการต่อและพันผ้าขนหนูทับลงไปอีกกชั้นหนึ่งเผื่อให้เจลเย็นแนบติดอยู่กับข้อเท้า

“ถ้าขยับก็ยังเจ็บอยู่นิดหน่อย แต่ไม่มากแล้ว”

“มันที่เดิมตอนที่พี่ขับรถชนมั้ยอะ” วิธูยืนก้มตัวลงดูใกล้ๆ

“อันนั้นมันเอ็นส้นเท้า อันนี้แค่ข้อเท้าพลิก หูรองเท้ามันขาด พอกูจะทีบตัวออกแล้วมันก็พลิก”

“ก็นึกว่าต้องกลับไปใส่เฝือกหล่าว” วิธูรู้สึกเบาใจได้ขึ้นมาหน่อย “แต่... ถ้าพี่เท้าเจ็บแบบนี้ จะขับรถกลับยังไงอะ”

นี่อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนถึงผลกระทบต่อเนื่องจากอุบัติเหตุ การขับรถยนต์ทางไกลมันไม่ใช่แค่การนั่งอยู่เฉยๆ คนเท้าปกติทั่วไปขับรถยนต์ทางไกลด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติก็อาจจะมีการเมื่อยล้าอยู่บ้าง แต่นี่คือคนเท้าเจ็บแถมยังเป็นรถยนต์ระบบเกียร์ธรรมดาที่ต้องขยับเท้าสลับไปมาตามจำหวะช้าเร็วของรถยนต์ มันดูจะเป็นปัญหาอยู่ไม่น้อย

“ให้กูเป็นคนขับก็ได้” วีร์ตอบเพื่อนของเขาท่ามกลางสายตาที่มองมาของสองพี่น้อง “แต่ก็อาจจะต้องแวะพักค้างกลางทางสักคืนนึง”

“ก็... ได้มั้ง” วิธูนึกคิดวางแผนล่วงหน้า “กูเริ่มเรียนวันพุธ อีดำเริ่มวันอังคาร พี่เริ่มเรียนวันไหน” วิธูถามพี่ชายของเขา

“ของกูเริ่มเรียนอังคาร”

“ไอ้อ้วน มึงเริ่มเรียนวันไหน” วิธุหันไปถามคนสุดท้ายที่กำลังลุกขึ้นยืน

“ที่จริงกูมีวิชาเรียนวันจันทร์เลย แต่บอกกับแพรวาแล้วก็ดวงใจไปแล้วว่าอาจจะไปไม่ทัน” วีร์ยักไหล่ตอบ เพราะในตอนแรกเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าจะกลับวันไหน จะลอยอังคารให้เสร็จเรียบร้อยก่อนแล้วค่อยกลับ หรือว่าอยู่จนถึงแค่วันปลงศพเท่านั้น ตอนนี้อาจจะต้องกลับมาคิดใหม่อีกรอบ

“งั้นก็แล้วแต่มึงก็แล้วกัน” วิธูโยนการตัดสินใจให้เพื่อนของเขาไปเต็มๆ “แล้วมึงจะเอาอะไรเพิ่มมั้ย เดี๋ยวกูกลับไปรับอีดำพาไปส่งบ้าน”

“ไม่มี มึงไปตะ พี่ธีร์คงไปถึงที่งานแล้ว” วีร์ตอบปฏิเสธและบอกให้เพื่อนไปรับแพรไหมกลับได้เลย เพราะธีร์และวนกรคงจะไปถึงที่งานศพและรับช่วงดูแลเด็กชายธรต่อ และวันนี้พวกเขาคงจะไม่กลับเข้าไปในงานแล้ว ให้วิธูกลับไปรับแพรไหมกลับเลยจะดีกว่า

วิธูจึงบอกลาเพื่อนและพี่ชายก่อนที่จะขี่รถจักรยานยนต์ออกไป


*****


หลังจากที่วิธูจากไปได้ไม่นานก็วนกลับอีกครั้งพร้อมกับแพรไหมที่หิ้วถุงใส่อาหารมาด้วย บอกว่านุชได้จัดแจงตักข้าวและกับข้าวใส่ถุงมาให้ จะได้ไม่ต้องออกไปไหนอีกด้วยขาเจ็บๆแบบนั้น ให้พักผ่อนได้เต็มที่

วีร์จึงต้องเดินไปขอจานขอถ้วยมาใส่อาหารจากญาติที่เป็นเจ้าของรีสอร์ต เพราะไม่มีอุปกรณ์ใดๆในห้องที่ใช้ได้เลย และคนเจ็บข้อเท้ามีกินยาหลังอาหารที่ต้องกิน

โต๊ะวางของเล็กๆในห้องถูกใช้เป็นโต๊ะอาหารชั่วคราว กับข้าวที่ได้มาก็มากจนวางล้นโต๊ะ นุชคงจะตักมาเผื่อกินสี่คนด้วยกันแต่วิธูและแพรไหมเดินทางกลับบ้านไปเสียแล้ว มันจึงดูมากไปสำหรับสองคน วีส์จึงเสนอให้แกะเฉพาะถุงกับข้าวที่ต้องการจะกินจริงๆก็พอ

ระหว่างที่รับประทานอาหารก็ไม่ได้มีการพูดคุยอะไรกันมากนัก ต่างคนต่างก็จอจ่ออยู่กับอาหารในจานของตัวเอง ถึงแม้ว่าจะเปิดโทรทัศน์ไว้แต่ก็ไม่ได้มีใครสนใจว่าเป็นรายการอะไร

เมื่อทั้งสองคนกินอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว วีร์ก็เก็บกวาดเศษอาหารใส่ถุงและมัดปากถุงไว้มิดชิด จากนั้นก็รวบรวมช้อมส้อมถ้วยจานเพื่อเอาไปล้างน้ำก่อนที่จะเอาไปส่งคืน แต่ก่อนหน้านั้นเขาก็ช่วยพยุงตัวชายหนุ่งร่างสูงที่ดูเหมือนว่าอาการเจ็บจะเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะเวลาลงน้ำหนักเมื่อต้องการลุกขึ้นจากโต๊ะและเดินไปที่เตียง จะได้ยกขาพาดพักไว้

ไม่นานนักวีร์ก็กลับมาที่ห้องพัก เห็นวีส์กำลังนั่งหลับตาพิงพนักหัวเตียงนอน ก็นึกไปว่าชายหนุ่มรุ่นพี่จะหลับไป แต่เมื่อเสียงปิดประตูดังขึ้นมาเขาก็ลืมตาหันมามอง

“พี่ยังเจ็บอยู่อีกมั้ย”

“นิดหน่อย ไม่ได้อะไรมากมาย” วีส์ยิ้มเล็กๆตอบกลับเพื่อยืนยัน

“เดี๋ยวดึกๆกินยาแก้ปวดอีกสักเม็ดก็ได้ ถ้ายังเจ็บอยู่” วีร์เดินอ้อมไปนั่งอีกฝั่งของเตียงนอน เขาจับดูว่าแผ่นเจอที่ประคบอยู่นั้นยังเย็นอยู่อีกหรือไม่ แล้วสายตาของเขาก็หันไปมองที่ช่วงระหว่างกลางหน้าอกของชายหนุ่ม

แหวนหยกแดงที่วีร์ให้ชายหนุ่มไว้ยังคงคล้องคอติดตัวอยู่เป็นอย่างดี วีร์ไม่เคยคิดเลยว่าตัวแหวนจะมีอำนาจลี้ลับช่วยให้แคล้วคลาดปลอดภัยแฝงอยู่จริง แต่ไม่ว่าอย่างไรอุบัติเหตุในวันนี้ก็ไม่ได้ร้ายแรงถึงกับเลือดตกยางออกหรือถึงแก่ชีวิต

“งั้นพี่ไปอาบน้ำเปลี่ยนก่อนดีกว่า เดี๋ยวจะได้ถายาแล้วก็พันข้อเท้าไว้” วีร์ลุกขึ้นไปรื้อดูของที่วิธูหามาให้ แล้วก็หยิบยาคลายกล้ามเนื้อและผ้ายืดพันแผลออกมาวางเตรียมไว้

เมื่อหันกลับไปก็เห็นคนเจ็บกำลังดันตัวลุกขึ้นยืน วีร์ก็รีบเข้าไปช่วยพยุงจนแน่ชัดว่ายืนมั่นคงดีแล้วและสามารถเกาะตามฝาผนังตามโต๊ะตามตู้เดินไปเพื่อให้ลงน้ำหนักขาข้างที่เจ็บอยู่น้อยที่สุด รอดูจนเห็นว่าชายหนุ่มร่างสูงหยอบผ้าเช็ดตัวและเดินเข้าไปในห้องน้ำได้ปลอดภัยดี

วีร์กลับมาจัดเตียงนอนใหม่ให้เรียบร้อย ตบๆปัดๆแล้วก็วางหมอนหนุนกลับเข้าที่เดิมและเตรียมหมอนอีกใบไว้สำหรับรองยกเท้าเวลานอนด้วย เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว วีร์หยิบโทรศัพท์ออกมาดูว่ามีใครส่งข้อความมาหาบ้างหรือไม่

ในแอพลิเคชั่นสื่อสารทั้งในกลุ่มของครอบครัว กลุ่มเพื่อนสนิทเก่าและกลุ่มเพื่อนสนิทใหม่ก็มีสอบถามอาการของชายหนุ่มรุ่นพี่ วีร์ก็ตอบไปว่าไม่มีอะไรน่าห่วงแล้ว ให้ทุกคนสบายใจได้ ส่วนธีร์ก็ถามว่าวีร์จะกลับถึงบ้านเวลาเท่าไหร่  วีร์ก็ตอบกลับไปว่าจะกลับช้าสักหน่อยเพราะจะช่วยทายาและพันข้อเท้าคนเจ็บให้ก่อน ให้ปิดบ้านได้เลยไม่ต้องรอเพราะเขามีกุญแจบ้านอยู่แล้ว รวมถึงส่งข่าวให้กับแพรวาและดวงใจว่าเขากลับไปไม่ทันวันเปิดเรียนแน่ๆแล้ว

เมื่อไม่มีอะไรทำแล้ว วีร์ก็นั่งดูโทรทัศน์รอไปพลางจนกว่าชายหนุ่มร่างสูงจะอาบน้ำเสร็จ มือก็ถือรีโมทเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆว่าจะมีอะไรน่าสนใจหรือไม่ รอยู่พักใหญ่เสียงฝักบัวในห้องน้ำก็เงียบลง และหลังจากนั้นไม่นานชายหนุ่มที่นุ่งแต่ผ้าเช็ดตัวเดินกะเผลกถือเสื้อผ้าเก่าออกมา

วีส์วางพาดเสื้อผ้ารวมไปกับชุดที่ใช้แล้ววันก่อนหน้า รอพับใส่กระเป๋าวันเดินทางกลับ เขาหยิบเสื้อยืดตัวหนึ่งมาสวมใส่แล้วก็หยิบกางเกงขายาวเดินเกาะตามที่ต่างๆกลับมานั่งที่เตียงนอน จะได้สอดขาใส่กางเกงได้โดยที่ไม่ลงน้ำหน้าเท้าข้างที่เจ็บ หลังจากแต่งตัวเสร็จแล้วก็คิดจะเดินกลับเอาผ้าเช็ดตัวไปพึ่งไว้ และก็โดนเด็กหนุ่มชิงตัดหน้าทำให้เสียก่อน วีส์จึงนั่งลงบนเตียงตามเดิม

วีร์เดินไปหยิบยามาคลายกล้ามเนื้อและผ้ายืดพันแผลแล้วเดินกลับมาที่เตียงนอน

“เดี๋ยววีร์พันข้อเท้าให้พี่ก่อน ไอ้ต่ายเอามาแต่ผ้ายืดไม่มีเทปพยุงกล้ามเนื้อ ที่บ้านที่นี่ก็ไม่มีแล้วเพราะไม่มีใครใช้ ไม่งั้นจะได้ใช้ยึดให้แน่นเลย”

วีร์ลงบนเตียงข้างๆชายหนุ่มแล้วค่อยๆยกขาข้างขวาของชายหนุ่มขึ้นเพื่อสอดหมอนเข้าไปข้างใต้ แล้วก็วางขาพาดลงไปบนหมอนเบาๆ จากนั้นจึงเริ่มทายาคลายกล้ามเนื้อก่อนให้ทั่ว

“เจ็บมั้ย” วีร์เงยหน้าขึ้นถามเพราะได้ยินเสียงร้องดังเบาๆ

“นิดหน่อย” วีส์ยิ้มตอบกลับเพื่อไม่ให้เด็กหนุ่มกังวลว่าจะทำอะไรรุนแรงเกินไป

หลังจากที่ทายาเสร็จแล้ว วีร์ก็เริ่มใช้ผ้ายืดพันรอบๆข้อเท้าอย่างชำนาญและเบามือให้มากที่สุด

“พรุ่งนี้คงจะต้องพันไว้ทั้งวัน ที่จริงถ้าพี่มีเฝือกอ่อนติดมาด้วยก็ดีนะ อันนั้นแน่นอนกว่า”

วีส์นั่งมองดูเด็กหนุ่มช่วยพันข้อเท้าให้ สีหน้าท่าทางมุ่งมั่นเอาจริงเอาจังและทำด้วยความคล่องแคล้ว ทำให้เขาก็อดเผลอยิ้มออกมาไม่ได้ ในความคิดของเขาอยากจะให้ผ้ายืดมีความยาวสักสิบกิโลเมตร จะได้ใช้เวลาในการพันนานๆ แต่ในความเป็นจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น ปลายผ้ายืดก็ถูกตะขอเกี่ยวและยึดเอาไว้จนแน่นหนา ช่วยพยุงข้อเท้าของเขาไว้ไม่ให้เคลื่อนไหวมากมาย

ดวงตาคมที่ใครต่อใครก็บอกว่าเป็นสายตาดุดัน แต่สำหรับเขามองว่าเป็นสายตาที่เด็ดขาด ตัดสินใจอะไรแล้วไม่มีถอยกลับมีแต่มุ่งหน้าทำต่อไปอย่างเดียว กำลังถูกช้อมขึ้นมาเจอกับสายตาของเขาและมองมาอย่างสงสัยว่ามีอะไรหรือไม่

วีส์ไม่รู้ว่าต่อจากนี้ไปจะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับพวกเขา จะมีบททดสอบอะไรที่พวกเขาต้องเผชิญอีกมากมายแค่ไหน เขาก็คิดว่าเขายินดีจะลองเสี่ยงเลือกเส้นทางนี้ต่อไป ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นรูปแบบไหนก็ตาม หรืออาจจะถึงขั้นต้องใช้ชีวิตของเขาเป็นเดิมพันก็ตาม เขาก็ยินดีแลกเพื่อจะได้จ้องมองสายตาคู่นี้ตลอดไป

“พี่มีอะไรรึเปล่า”

วีส์ไม่ได้ตอบคำถาม เขาแค่ส่งยิ้มให้และค่อยโน้มตัวเข้าไปใกล้ๆเด็กหนุ่ม ระยะห่างที่สั้นขึ้นเรื่อยๆและอีกฝ่ายก็ไม่ได้ขืนตัวถอยออกไป วีส์จึงขยับเข้าไปใกล้อีกและหยุดค้างไว้

ดวงตาสองคู่ที่จ้องมองกันกำลังส่งสารสื่อความหมายตามความรู้สึกในใจ

ในเมื่อไม่ได้ถอยหนีห่างออกไป วีส์จึงถือวิสาสะว่าได้รับการอนุญาตขยับเข้าใกล้ ริมฝีปากของเขาประทับลงไปที่ริมฝีปากของอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ เมื่อครั้งแรกนั้นเกิดขึ้นโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว ครั้งที่สองเกิดเพราะอารมณ์ชั่ววูบหงุดหงิดรำคาญใจ แต่ครั้งนี้จะเป็นความประทับที่ไม่อาจลืมเลือน

วีส์ถอนริมฝีปากของเขาออกมาและมองจ้องเข้าไปในดวงตาคมคู่เดิม เขาไม่เห็นแววตาแข็งกร้าวแสดงอาการต่อต้านกลับมา ในเสี้ยววินาทีนั้นเขาคิดชั่งใจว่าอยากจะลองเสี่ยงหรือไม่แต่ก็ไวทันความคิด วีส์โน้มตัวเข้าไปจูบอีกครั้ง และผลลัพธ์ก็ไม่ต่างกัน เขาจึงมั่นใจประทับรอยจูบครั้งที่สาม

และมันก็เนิ่นนาน จากหนึ่งไปสอง ไปสาม ไปสี่...


*****


#VVLiftOff


[โปรดติดตามตอนจบเป็นตอนต่อไป]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ myadam

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อ้าว  จะจบแล้วเหรอ  :sad4:

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ตอนที่ 15 สู่การเดินทางอีกยาวไกล


วันสุดท้ายของการสวดอภิธรรมศพมักจะเป็นวันที่มีคนมาร่วมมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นคนที่ตั้งใจมาในวันสุดท้ายจริงๆ หรือว่าจะเป็นคนที่ผัดวันมาจนถึงวันสุดท้ายและหากไม่ได้มาอีกก็จะหมดโอกาสแล้วก็ตาม อีกทั้งยังเป็นวันศุกร์ก่อนจะหยุดสุดสัปดาห์ด้วย บรรดาลูกหลานที่เป็นเจ้าภาพก็ต้องเตรียมการต้อนรับมากเป็นพิเศษ

วีร์ขี่รถจักรยานยนต์กลับมาที่บ้านช่วงสาย โดยมีหนุ่มรุ่นพี่นั่งซ้อนท้ายมาด้วย เมื่อจอดรถที่หน้าประตูรั้วแล้วก็ตั้งใจจะลงไปเปิดประตูด้วยตัวเอง แต่คนเจ็บเท้าก็อาสาเดินกะเผลกไปเปิดให้ ยังดีที่ว่าในตอนนี้สุนัขตัวใหญ่ทั้งสองตัวไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว ไม่เช่นนั้นคงจะยุ่งวุ่นวายกันไม่น้อย

วีร์นำรถจักรยานยนต์เข้าจอดแล้วก็รีบเดินไปช่วยพยุงตัววีส์ที่ปิดประตูรั้วเรียบร้อยแล้ว ข้อเท้าข้างขวาที่พันด้วยผ้ายืดพันแผลไว้แน่นหนาเพื่อลดการเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็นไว้ก่อนจนกว่าอาการจะดีขึ้น

“อ้าว ยังเจ็บเท้าอยู่อีกเหรอ” ธีร์เดินออกมาที่หน้าบ้านเมื่อได้ยินเสียงรถ

“เผลอลืมตัวว่ายังเจ็บเท้าอยู่ ลงน้ำหนักไปเต็มๆ ต้องประคบใหม่อีกรอบ” วีร์ช่วยชายหนุ่มร่างสูงพยุงตัวเดิน

“มิน่าละ เมื่อคืนถึงไม่กลับบ้าน” ธีร์ก็อยากจะเข้าไปช่วยแต่ติดตรงที่ต้องจับตัวเด็กชายตัวน้อยไม่ให้วิ่งทะเล่อทะล่าออกไป “แล้วนี่กินอะไรกันมารึยัง”

“ยังเลย เนี่ยเดี๋ยวพี่วีส์ต้องกินยาหลังอาหารด้วย”

“งั้นเข้าไปเลย มีข้าวต้ม มีข้าวหมก มีซาลาเปา พ่อกับแม่ออกไปซื้อมาเมื่อเช้า”

วีร์คอยช่วยให้ชายหนุ่มรุ่นพี่ค่อยเดินเข้าไปข้างในบ้าน และพาไปนั่งที่โต๊ะอาหารที่มีของกินให้เลือกวางเต็มไปหมด วีร์มองดูรอบๆก็เห็นวนกรกำลังป้อนข้าวเด็กหญิงตัวน้อยทั้งสองคนอยู่ที่โต๊ะตัวเล็ก ส่วนธีร์ก็พาธรกลับไปนั่งที่เดิมที่มีจานอาหารที่ยังกินไม่เสร็จวางอยู่

“พี่อรไม่อยู่เหรอ” วีร์ถามไปด้วยจัดหาจานและช้อนส้อมไปด้วย

“อรและเอกไปทำงาน ไม่ได้ลาหยุด” ธีร์คอยหลอกล่อให้ธรกินอาหารให้หมด ชี้ให้เห็นว่าพี่ชายสองคนก็กำลังกินอาหารด้วยเช่นกัน

วีร์เลือกหยิบซาลาเปาแล้วก็นั่งลงข้างๆวีส์ที่กำลังแกะห่อข้าว ในตอนนั้นเด็กหญิงก็วิ่งมาหาเขาพร้อมยกมือทั้งสองข้างขึ้นชู วีร์ก็อุ้มขึ้นนั่งตักของเขา

“ธารากินอะไรมั้ย”

เด็กหญิงตัวน้อยก็ส่ายหน้าแล้วก็แอบมองพี่ชายตัวสูงที่นั่งอยู่ข้างๆไปด้วย

“กินไปเยอะแล้ว เดี๋ยวค่อยไปที่งาน” วนกรอุ้มเด็กหญิงอิ่มมารวมตัวที่โต๊ะกินข้าว

“พี่ภูมิไปที่งานแล้วเหรอ” วีร์ถามเมื่อมองดูรอบๆบ้านแล้วก็เห็นพวกเขาเท่านั้น

“ใช่ ขับรถพาพ่อกับแม่ไปที่งานแต่เช้า” ธีร์เป็นคนตอบและก็ตัดสินใจป้อนข้าวธรไปด้วยเสียเลยจะได้ไม่เสียเวลา จนวีร์มองดูด้วยสายตาที่ไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่

“แล้วนั้นกินข้าวเองไม่เป็นแล้วรึไง”

ถึงน้ำเสียงจะเป็นปกติแต่สายตาที่มองมาทำให้ดูแข็งกร้าวไปสักหน่อย แม้ว่าจะไม่มากนักแต่ก็ทำให้ทุกคนหยุดชะงักได้ ธีร์นั้นเข้าใจลักษณะนิสัยของวีร์อยู่ก่อนแล้ว ส่วนวนกรก็ปรับตัวให้ชินมาสักพักใหญ่ แต่สำหรับวีส์นั้นถึงจะเคยเห็นมาบ้าง แต่คงต้องใช้เวลาไปอีกบ้างจนกว่าคุ้นเคย

“เอาน่ะ เดี๋ยวกลับบ้านแล้วค่อยว่ากัน” ธีร์พยายามบอกปัดทีเล่นทีจริง แล้วก็จับช้อนใส่มือของธรตามเดิม “ตอนนี้กินให้เสร็จก่อน จะได้ไปเปลี่ยนชุดแล้วไปบ้านยายน้อยกัน”

วีร์ส่ายหน้าเบาและไม่ได้พูดอะไรก่อน แล้วก็ย้ายความสนใจไปที่ซาลาเปาในมือของตัวเอง วีส์ก็หันมามองพอดีแล้วมองต่อด้วยความสงสัยว่าเด็กหนุ่มกำลังทำอะไร จนวีร์กัดซาลาเปาเข้าปาก

“พี่มีอะไรรึเปล่า” วีร์ถามเมื่อหันไปเห็นว่าชายหนุ่มรุ่นพี่กำลังมองอยู่โดยที่เนื้อขนมยังอยู่ในปาก

“มันต้องลอกผิวซาลาเปาด้วยเหรอ”

“พี่ไม่ดึงหนังมันออกก่อนเหรอ” วีรถามกลับไป

“ไม่อะ” วีส์ส่ายหน้าตอบไปด้วย “ปกติก็กินเลย ไม่ต้องทำอะไร”

“ไม่ต้องแปลกใจ บ้านนี้เขากินกันแบบนี้แหละ” ธีร์อธิบายให้ฟัง วีส์ก็พยักหน้ารับแบบที่ยังไม่เข้าใจแน่ชัดแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อแล้วหันไปจัดการข้าวห่อที่ตัวเองแกะไว้

“งั้นเดี๋ยวพี่เอาน้องอิ่มไปเปลี่ยนชุดก่อนนะ” วนกรลุกขึ้นยืนแล้วอุ้มเด็กตัวน้อยขึ้นไปด้านบนบ้าน ปล่อยให้หนุ่มๆกินอาหารเช้าให้เสร็จ จะได้ทยอยเตรียมตัวไปงานกัน


*****


เวลาก่อนเที่ยงเล็กน้อย วีร์ก็ขี่รถจักรยานยนต์มาถึงบ้านของย่าทวดล่วงหน้าธีร์ที่ขับรถยนต์ตามมาทีหลัง ถึงแม้ว่าวีร์จะอยู่รั้งท้ายเพื่อปิดบ้านให้เรียบร้อยก็ตาม เมื่อมาถึงแล้วก็นำรถเข้าจอดใต้ร่มเงาที่เดิมที่เคยทำอยู่ทุกวัน แต่วันนี้จะต้องช่วยพยุงคนเจ็บขาเดินเข้าไปข้างในด้วย

“นุ้ย” นุชยืนส่งเสียงและกวักมือเรียกอยู่หน้าประตูบ้าน “มาทั้งสองคนเลย พาพี่เขามาด้วย”

วีส์ที่กำลังจะผละตัวออกและตั้งใจจะเดินไปหาที่นั่งเองก็ต้องเดินไปด้วยกันกับวีร์ ภายในใจก็นึกไปต่างๆนานาว่าอาจจะโดนผู้ใหญ่ตำหนิหรือเปล่าที่ทำให้เด็กหนุ่มรุ่นน้องไม่ได้กลับบ้านเมื่อคืน ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ๆหัวใจก็เริ่มเต้นถี่ขึ้นเรื่อยๆ

“ไปเข้าข้างในก่อน ลุงเชาก็ป้าหน่อยมีเรื่องจะถาม” นุชช่วยพยุงตัวชายหนุ่มร่างสูงที่กำลังโล่งใจไปได้เปราะหนึ่งให้เดินเข้าไปข้างในบ้าน

“มีเรื่องอะไรอะแม่ หรือว่าเรื่องฝาบ้านเมื่อวาน” วีร์พยายามสอบถามข้อมูลเพื่อเตรียมตัวเตรียมใจไว้ก่อนว่าจะต้องเจออะไร

“ม้าย ฝาบ้านมันเก่าสร้างมานาน ก็ต้องมีผุบ้างเป็นธรรมดา” นุชตอบให้ทั้งสองคนได้สบายใจ

ห้องด้านในที่เป็นห้องรับแขกมีเก้าอี้ไม้เก่าๆวางเรียงชิดพนังรอบตัวห้อง ชวลิตและอัญฑิตานั่งกันคนละฝั่ง ส่วนอนงค์ก็นั่งอยู่อีกมุมหนึ่ง นุชและวีร์ช่วยกันพาชายหนุ่มร่างสูงเข้าไปนั่งใกล้ๆกับอนงค์

เพราะข้อเท้าที่ยังเจ็บอยู่ ยังไม่สามารถลงน้ำหนักได้เต็มที่นัก ต้องอาศัยกันกระโดดขาเดียวช่วยในบางครั้ง จังหวะที่กระโดดนั้นไม่ได้ทำให้เฉพาะตัวเขาเท่านั้นที่ลอยตัวขึ้น แหวนหยกสีแดงที่คล้องคออยู่ก็กระเด้งลอยลอยขึ้นตามไปด้วย จนชายหนุ่มนั่งลงได้เรียบร้อยแล้ว

ทั้งชวลิตและอัญฑิตาต่างก็มองดูแหวนหยกวงนั้นไม่วางตา สิ่งที่เคยเป็นของติดตัวพ่อของพวกเขาอยู่ตลอดเวลาที่พวกเขาต่างก็อยากได้มานานแล้ว ตอนนี้อยู่ในมือของคนอื่น แต่ทั้งคู่ต่างก็ไม่ได้แสดงออกให้เห็นชัดว่าอยากได้มาครอบครอง

“อะ สองคนนี้มาแล้ว สรุปว่าจะเอายังไง” อนงค์ถามบรรดาพี่ๆของเธอ

วีร์ยังไม่แน่มากนักว่าพวกผู้ใหญ่ต้องการจะพูดคุยอะไรกับพวกเขา เรื่องที่คาดการณ์ไว้ก็พอจะมีอยู่บ้าง แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะใช่หรือไม่ จึงรอให้ฝ่ายผู้ใหญ่เป็นคนเปิดเรื่องก่อน

“ไอ้นุ้ย” ชวลิตเป็นคนถามก่อน “เรากับพี่เขา ตอนนี้เป็นอะไรกัน”

วีร์หันไปหานุชเป็นคนแรกส่งสายตาถามมีเรื่องอะไรกัน ทำไมถึงได้อยากมารู้เรื่องส่วนตัวของเขา แล้วก็หันไปหาชายหนุ่มร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างๆที่กำลังรู้สึกประหม่าอยู่ไม่น้อย ก่อนที่จะหันกลับไปหาชวลิต

“ก็... ดูๆกันอยู่”

“คบกันนานรึยัง” คราวนี้เป็นอัญฑิตาที่เป็นคนถาม

“ยังไม่ได้คบกันที” วีร์ตอยกลับไปตามปกติ

“แล้วที่ดูๆกันน่ะ นานรึยัง” อัญฑิตาถามซ้ำ

“ก็... สามสี่เดือนได้มั้ง” วีร์ยังคงอยู่ในความรู้สึกที่ว่าแต่ละคนจะถามเรื่องพวกนี้กับเขาทำไม

ทั้งชวลิตและอัญฑิตาเหมือนจะใช้ความคิดประมวลผลจากข้อมูลที่ได้ยิน ก่อนที่จะตัดสินใจอะไรต่อไป

“นุ้ยเป็นคนให้แหวนหยกแดงไปใช่มั้ย” ชวลิตเอ่ยถามต่อ

วีร์หันไปมองดูแหวนหยกแดงที่วีส์กำลังคล้องคออยู่ตามสายตาของชวลิต ก่อนที่จะหันกลับไปตอบ

“ใช่ นุ้ยให้พี่เขาเอง”

“แล้วนุ้ยเอามาจากไหน” อัญฑิตาถามด้วยน้ำเสียงปกติ ยังไม่ได้แสดงอาการคาดคั้นแต่อย่างใด

“แม่เฒ่าให้นุ้ยตอนก่อนปีใหม่ ตอนหลังจากออกจากโรงพยาบาล” วีร์ตอบไปตามความเป็นจริงว่าหญิงชราผู้วายชนม์ได้ให้เขาไว้นานมาแล้ว

“แล้วนุ้ยรู้ใช่มั้ยว่าแหวนนี้เคยเป็นของพ่อเฒ่ามาก่อน” อัญฑิตามถามต่อเนื่อง

“ใช่ แม่เฒ่าบอกตอนให้ว่าพ่อเฒ่าเคยใส่ติดตัวไว้ตลอด แล้วพ่อเฒ่าก็ไม่เคยเป็นอะไรเลย จนตอนที่พ่อเฒ่าออกทะเลไปแล้วลืมแหวนไว้ที่บ้าน แล้วก็ไม่ได้กลับมาอีก”

ทั้งชวลิตและอัญฑิตารวมไปถึงนุชและอนงค์ต่างก็เข้าใจแล้วว่าวีร์พอจะรู้เรื่องราวอยู่บ้างพอสมควร

“แล้วนุ้ยให้แหวนพี่เขาไปตอนไหน” คราวนี้เป็นนุชที่ถามบ้าง

“ก่อนช่วงสอบปลายภาค” วีร์ตอบกลับ

“แล้วทำไมถึงให้พี่เขาไป ในเมื่อแหวนนี้แม่เฒ่าเป็นคนให้ไว้” อัญฑิตาเริ่มถามแบบคาดคั้นมากขึ้น

“ก็...” วีร์พยายามนึกเหตุผลเพื่ออธิบายให้คนอื่นๆเข้าใจ “ก่อนหน้านี้พี่เขาโดนรถชน เจ็บขาข้างเดิมนี้แหละ นุ้ยก็เลย... ให้พี่เขาใส่เผื่อไว้”

“พอใส่ติดตัวไว้แล้วเป็นไง” อัญฑิตาถามต่อ

“ก็ไม่เห็นเป็นอะไรนะ” วีร์หันไปถามชายหนุ่มเพื่อความแน่ใจ “จนเมื่อวานนี้แหละ”

ชวลิตและอัญฑิตาหันมามองตากันโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ไม่ต่างอะไรกับเหตุการณ์เมื่อวานนี้ พี่น้องที่ไม่สามารถพูดคุยกันดีๆได้มานานบังเอิญมาสบตากันในรอบหลายสิบปี

“แล้วก่อนหน้านี้มีอะไรเกิดขึ้นบ้างมั้ย” ชวลิตเป็นคนถาม

วีร์นึกทบทวนเหตุการณ์ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างที่เขาและชายหนุ่มร่างสูงมีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยกัน

“วีร์” เสียงของคนนั่งข้างดึงความคิดของเด็กหนุ่มกลับมา “ตอนอุบัติเหตุที่ห้าง วีร์สวมสร้อยอยู่รึเปล่า”

“ก็สวมอยู่ตลอดตั้งแต่แม่เฒ่าให้แหวนวีร์มา ทำไมเหรอครับ”

“ก็ตอนนั้นที่มือปืนมันเล็งปืนมาที่พวกเราแล้วมันยิงไม่ออกทั้งๆยังมีลูกกระสุนเหลืออยู่อีกไง”

“อ๋อใช่ ตอนนั้นพี่กอดวีร์ไว้แน่นจนเป็นรอยแหวนกดที่อกวีร์เลย”

“เดี๋ยวนะ!” นุชผุดลุกขึ้นยืนและร้องเสียงดังถามทั้งสองคน “ทำไมนุ้ยไม่เคยเล่าเรื่องมือปืนให้แม่ฟัง”

วีร์หันมามองนุชรู้สึกหน้าเสีย เขาไม่แน่ใจว่าเคยเล่าเหตุการณ์ในตอนนั้นให้นุชฟังละเอียดแค่ไหน แต่อย่างน้อยทุกคนก็รู้เรื่องที่พวกเขาต้องไปตรวจเลือด

“คือว่าตอนนั้นมือปืนไล่ตามคนที่เขายิงมาล้มลงข้างๆพวกผม” วีส์อาสาเป็นคนตอบเอง “แล้วเขาก็เล็งปืนมาที่พวกผม ผลเลยเอาตัวบังน้องไว้ ผมได้ยินเสียงไกปืนดังแต่ว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วมือปืนก็กระโดดระเบียงหนีตาย”

นุชรู้สึกชาวาบไปทั้งตัว เมื่อคิดเธออาจจะต้องเสียหลานชายคนโตไปแล้วก็เป็นได้ เธอไม่แน่ใจว่าถ้าหากมันเกิดขึ้นจริงแล้วเธอจะทำใจยอมรับได้

“แม่ นุ้ยไม่ใช่เป็นไรนิ ยังอยู่ปกติดี” วีร์บีบมือนุชไว้แน่นให้ความมั่นใจและดึงตัวนุชให้นั่งลงตามเดิม

“แล้วมีอะไรอีกมั้ย” ชวลิตถามต่อ

วีร์พยายามนึกย้อมเหตุการณ์ แต่ก็นึกไม่ออกว่ามันจะมีอะไรที่เกี่ยวข้องกันอีก เขากำลังจะส่ายหน้าตอบกลับแต่ก็โดนขัดจังหวะเสียก่อน

“ตอนที่ผมโดนรถชน” วีส์ตอบกลับชวลิต “บังเอิญว่าน้องทำสร้อยตกในรถผม แล้วผมเห็นพอดีตอนติดไฟแดงก็เลยก้มไปเก็บขึ้นมา พอไฟเขียวก็ขับรถผ่านแยกแล้วก็มีรถบรรทุกพุ่งเข้ามาชน”

“แล้วเป็นอะไรมั้ย” นุชถามด้วยความเป็นห่วง

“เจ็บแค่ที่เอ็นส้นเท้าครับ” วีส์ตอบกลับ

“แต่รถฝั่งคนขับพังไปทั้งแถบ เอาไปซ่อมอยู่ตั้งหลายเดือน” วีร์ตอบเพิ่มเติม

“คันที่ขับลงมานี่เหรอ” นุชถามหลานชายคนโต

“ใช่ คันนั้นแหละ”

นุชรู้สึกหายใจหายคอไม่ค่อยสะดวกสักเท่าไหร่ ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องราวมากมายขนาดนี้ แล้วไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกในอนาคต แต่อย่างไรเสียเธอกคงจะห้ามอะไรไม่ได้เพราะต่างก็เติบโตจนสามารถตัดสินใจกันเองได้แล้ว คงได้แต่ต้องยอมรับหากว่ามีอะไรเกิดขึ้นจริง

ชวลิตและอัญฑิตาที่ต่างก็เชื่อคำบอกเล่าว่าของที่พ่อของพวกเขาเคยพกติดตัวไว้ตลอดเวลาสามารถช่วยปัดเท่าอันตรายได้จริง ยิ่งเมื่อได้ฟังเรื่องราวของหลานชายแล้วก็ยิ่งเชื่ออย่างสนิทใจโดยที่ไม่ต้องถามความเห็นกันเลย

“แล้วนุ้ยรู้มั้ยว่าจริงๆแล้วมันไม่ได้มีแค่แหวนหยกแดง” ชวลิตถามวีร์ วีร์ก็มองตอบกลับอย่างสงสัยเพราะเขารู้มาแค่ว่ามีแหวนหยกแดงเท่านั้น ชวลิตจึงขยายความให้ฟังต่อ “จริงๆมันมีแหวนหยกเขียวด้วย”

ชวลิตดึงสร้อยที่เขาใส่อยู่ออกมาให้เห็นแหวนหยกสีเขียวสดมีความหนาไม่ต่างจากแหวนหยกสีแดง แต่ว่าขนาดของวงนั้นใหญ่กว่าแหวนหยกแดง

“แล้วมันก็มีลูกปัดหยกขาวด้วย” อัญฑิตาหยิบลูกปัดที่ทำจากหยกสีขาวนวลกลมมีรูสอดเชือกตรงกลาง ใส่อยู่ในกรอบพลาสติกที่มีตะขอไว้คล้องได้

“เดิมมันเคยอยู่ด้วยกัน มีเชือกถักร้อยติดกันไว้ แต่ว่าเชือกมันขาดไปนานแล้ว” ชวลิตพูดต่อและลุกขึ้นเดินไปยื่นแหวนหยกเขียวให้กับวีร์ ก่อนที่จะกลับไปนั่งที่เดิม

“พ่อเฒ่าใส่ติดตัวตลอดเวลา ไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่เคยถอดออก เขาก็เลยพูดๆกันว่ามันเป็นเครื่องรางกันภัย” อัญฑิตาก็ส่งต่อลูกปัดหยกขาวให้กับวีร์เช่นกัน

“ลุงว่าแม่เฒ่าคงอยากจะให้วีร์เก็บไว้ทั้งหมด” ถึงชวลิตจะพูดถึงวีร์แต่สายตาของเขากลับมองไปที่ชายหนุ่มอีกคน แม้ว่าจะไม่มีอะไรยืนยันได้แต่เขาก็เชื่อว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้เป็นความตั้งใจของแม่ของเขา เพราะถ้าหากแค่เอ่ยปากขอธรรมดา เขาก็คงจะตอบปฏิเสธกลับไปเป็นแน่ ไม่คิดว่าทุกอย่างจะต้องดำเนินมาถึงขั้นนี้เลย “เผื่อว่ามันจะช่วยกันภัยอันตรายได้”

วีร์มองดูแหวนหยกเขียวและลูกปัดหยกขาวที่เพิ่งจะได้รับมา ถึงตอนนี้เขายังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งว่าของพวกนี้จะมีฤทธานุภาพแบบนั้นจริง แต่อะไรหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นก็ทำให้คิดไปแบบนั้นได้

“ถ้าฟังจากที่เล่ามา แหวนหยกของพ่อเฒ่าก็คงจะช่วยคุ้มครองให้ปลอดภัยได้จริงๆ” อัญฑิตาเห็นด้วยกับพี่ชายของเธอ

“เปล่าค่ะ มันก็แค่แหวนหยกธรรมดา ไม่ได้มีสรรพคุณอะไรแบบนั้นหรอกค่ะ”

ทุกคนในห้องต่างก็พร้อมใจกันหันหน้าไปทางประตู หญิงสูงวัยกำลังเดินเข้ามาข้างในบ้านโดยมีเด็กหนุ่มร่างสูงช่วยประคองให้เดินได้มั่นคง เขาส่งยิ้มและโบกมือทักทายสองหนุ่มที่นั่งอยู่และกำลังมองตอบกลับด้วยความแปลกใจ เพราะยังมีเด็กหนุ่มอีกสองคนที่หน้าตาละม้ายคล้ายกันเดินตามมาด้วย

“คุณยาย มาได้ยังไงครับ” วีส์ลุกขึ้นยืนแล้วพยายามจะก้าวเท้าไปหาอังกาบและเชิญหญิงสูงวัยให้มานั่งที่เก้าอี้ แต่ก็ลืมไปว่าตัวเองยังเจ็บข้อเท้าอยู่

ชวลิต อัญฑิตา และนุชต่างก็ลุกขึ้นยืนต้อนรับผู้มาใหม่ที่เป็นหญิงสูงวัยที่น่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับแม่ของพวกเขา

“ก็นั่งเครื่องลงมาตั้งแต่เช้ามืด แล้วก็มาเช่ารถต่อที่นี่ กิ่งกับก้านก็มาด้วย” ปัญจวีส์ตอบด้วยสีหน้าเบิกบานเพราะได้ลงมาร่วมงานสมความตั้งใจ ก่อนที่จะทำหน้าจริงถามกลับ “แล้วขาพี่เป็นอะไร”

“อุบัติเหตุนิดหน่อย” วีส์ตอบกลับกว้างๆ ไม่อยากให้ญาติผู้ใหญ่ต้องเป็นกังวล

ระหว่างที่พวกเด็กๆสนทนาทักทายกันอยู่ บรรดาพวกผู้ใหญ่ก็คอยสังเกตุการณ์อยู่ห่างๆว่าหญิงสูงวัยคนนี้เป็นใครมากจากไหนกัน ส่วนอังกาบที่นั่งลงแล้วก็มองดูแหวนหยกแดงที่หลานของเธอใส่ห้อยคอไว้กับแหวนหยกเขียวและลูกปัดหยกขาวในมือของวีร์ด้วยความรู้สึกสบายใจที่ของทุกอย่างยังอยู่ครบดี แม้ว่าจะถูกแยกชิ้นส่วนก็ตาม

“ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าคุณรู้ได้ยังไงว่ามันเป็นแค่แหวนหยกธรรมดา” ชวลิตเอ่ยปากถามตามความสงสัยแทนน้องๆของเขา

“เพราะว่ามันเป็นแค่แหวนหยกธรรมดา” อังกาบตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและรอยยิ้ม “เป็นของดูต่างหน้าของคนสองคนที่สัญญาว่าจะใช้ชีวิตต่อไปให้ดีที่สุด”

สี่คนพี่น้องหันมามองหน้ากันไปมา คำถามที่ไม่ได้เปล่งเสียงออกมา คำตอบที่ยังยืนยันไม่ได้ เรื่องราวที่เคยรับรู้มาตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็กที่ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ก็เริ่มคลี่คลายมากขึ้น

“อันนี้เราจะให้พี่เขาไว้ใช่มั้ย” อังกาบหันไปถามวีร์ถึงแหวนและลูกปัดในมือ

“ใช่ครับ” วีร์พยักหน้าตอบกลับ เพราะว่าได้ให้แหวนหยกแดงไปแล้ว ก็คงจะไม่มีเหตุผลอื่นใดที่จะไม่ให้หยกอีกสองชิ้นไปอีก

“ถ้าเช่นนั้นแล้ว...” อังกาบเปิดกระเป๋าถือแล้วล้วงมือลงไปหยิบของออกมา สิ่งของที่ทำให้ทุกคนแปลกใจ

แหวนหยกสีเขียว แหวนหยกสีแดงและลูกปัดหยกสีขาววางสอดคล้องซ้อนกัน มีเชือกสีน้ำตาลเข้มถักร้อยหยกทั้งสามชิ้นเช้าด้วยกัน เป็นดังสภาพเดิมที่ผู้ใหญ่ทั้งสี่คนพี่น้องเคยเห็นตั้งแต่ยังเยาว์วัย

“อันนี้ยายให้วีร์เก็บไว้นะ” อังกาบส่งมอบป้ายหยกชิ้นสมบูรณ์ให้กับวีร์ แล้วก็แบมือยื่นไปรอรับ “ส่วนพวกนั้น เดี๋ยวยายถักให้ใหม่ แล้วค่อยให้พี่เขาเก็บไว้”

อังกาบรับแหวนหยกสีเขียวและลูกปัดหยกสีขาวมาจากวีร์ที่ยังพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวอยู่ แล้วก็ยื่นออกไปขอแหวนหยกสีแดงจากหลานชายตัวเองด้วย วีส์ก็ถอดสร้อยที่คล้องแหวนหยกออกแล้วส่งให้กับอังกาบ

“คุณเป็นคนรักเก่าของคุณพ่อเหรอคะ เคยได้ยินแม่เล่าให้ฟังว่าพ่อเคยมีคนรักมาก่อนแต่ว่ามีเหตุให้ต้องเลิกกัน แล้วพ่อก็มาเจอกับแม่ทีหลัง” นุชถามแทนความความสงสัยของทุกคน

“เรื่องมันนานมาแล้ว อย่าไปพูดถึงดีกว่าค่ะ” อังกาบยิ้มตอบกลับและเตรียมตัวลุกขึ้นยืน คนอื่นๆก็ลุกขึ้นตามๆกัน “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ขอตัวไปเคารพศพก่อนนะคะ”

อังกาบส่งยิ้มลาสี่พี่น้อง แล้วก็เกาะแขนของปัญจวีส์เดินออกไปจากบ้าน โดยมีนพชัยและชัยทิศเดินตามไปติดๆ แต่ก็ไม่ลืมกวักมือเรียกวีร์ให้ออกไปด้วยกัน ซึ่งวีร์ก็ต้องช่วยพยุงวีส์เดินเพราะยังไม่สามารถลงน้ำหนักเท้าขวาได้

ชวลิตและอัญฑิตาหันมามองหน้ากันแล้วก็พร้อมใจกันถอนหายใจ สมบัติชิ้นสุดท้ายที่พวกเขาแก่งแย่งกันมาหลายสิบปี บัดนี้เจ้าของตัวจริงได้มาแสดงตัวแล้ว อาจจะเป็นนิมิตรหมายอันดีที่พวกเขาควรยุติความบาดหมางระหว่างพี่น้องกันเสียที แต่มันคงจะต้องใช้เวลาปรับเปลี่ยนอยู่สักพักใหญ่เพื่อซ่อมรอยร้าวที่มีมากนาน


*****


อังกาบยืนดูรูปภาพของผู้วายชนม์ที่ลูกหลานนำมาตั้งไว้ที่หน้าโลงศพ เธอไม่เคยพบเจอกับบุคคลในภาพมาก่อน ไม่เคยได้ยินหรือรับรู้เรื่องราวอะไรเลย นับตั้งแต่วันที่เธอเดินจากมา ด้วยภาระและหน้าที่ที่เธอต้องทำและด้วยคำสัญญาว่าจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปให้คุ้มค่ามากที่สุด

อังกาบรับธูปมาจากวีร์ที่ส่งต่อให้กับคนอื่นๆด้วยแล้วก็ยกมือขึ้นไว้เคารพผู้ที่จากไป ก่อนที่จะส่งกลับให้กับเด็กหนุ่มไปปักไว้ที่กระถางบนโต๊ะวางของบูชา

“เชิญคุณย่าใหญ่ที่โต๊ะเลยครับ เดี๋ยววีร์ไปยกกับข้าวมาให้” วีร์เชื่อเชิญหญิงสูงวัยในฐานะเจ้าภาพที่ดี แต่ก็ได้รับหางตาปรายมองมาจากปัญจวีส์ที่ลำดับญาติไม่ตรงกับตัวเขา

“เรียกอะไรก็เหมือนกันนั่นแหละ” อังกาบปลอบใจหลานชายอย่างรู้ทันและเกาะแขนของปัญจวีส์เดินตามวีร์ไปที่โต๊ะที่มีวีส์นั่งรออยู่ก่อนแล้ว

จากนั้นวีร์ก็เดินไปที่โต๊ะตั้งหม้อแกงเพื่อยกกับข้าวมาให้อังกาบและคนอื่นๆ มีนพชัยและชัยทิศเดินตามไปช่วยยก ส่วนปัญจวีส์ที่พาอังกาบไปนั่งเรียบร้อยแล้วก็รีบตามเพื่อนและลูกพี่ลูกน้องทั้งสองไปด้วยอีกคน เหลือแค่วีส์นั่งอยู่กับอังกาบเพียงสองคน

“ไม่คิดว่าคุณยายจะลงมาด้วยนะครับ” วีส์หยิบกระดาษทิชชู่มาเช็ดจาน ช้อน และแก้วน้ำ รอพวกน้องๆไปยกน้ำและอาหารมาให้

“ปันปันเขารบเร้าอยู่ทุกวันว่าจะมาให้ได้ แต่ยายเองก็อยากจะมาดูให้แน่ใจอยู่เหมือนกัน”

“คุณยายกับปู่ทวดของน้องวีร์เคยรู้จักกันมาก่อนเหรอครับ” วีส์ถามเพื่อคลายความสงสัยของตัวเอง

อังกาบไม่ได้ตอบเพื่อยืนยัน เธอแค่ยิ้มตอบกลับเท่านั้น

“วีส์รู้แค่ว่าการแต่งงานของคุณตากับคุณยายเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่จัดการให้ทั้งหมด แต่ไม่รู้ว่ามันมีอะไรมากกว่านั้นแค่ไหน”

“คนสมัยก่อน คำของพ่อแม่ พวกลูกขัดได้ซะที่ไหนกัน ท่านสั่งอะไรเราต้องทำตาม ไม่เหมือนเด็กสมัยนี้หรอก”

“แล้วคุณยายรักคุณตารึเปล่าครับ” วีส์ถามต่อในระหว่างที่พวกน้องๆยังไม่กลับมา

“เราต่างก็เข้าใจและให้เกียรติซึ่งกันและกัน” อังกาบตอบกลับสั้นๆแต่เห็นสีหน้าของหลานชายจึงได้เอ่ยถาม “ทำไมรึ หรือว่ายังโกรธคุณตาที่จับพ่อกับแม่เราแต่งงานกันอยู่อีก”

“เปล่าหรอกครับ วีส์ไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นแล้ว” วีส์ตอบปฏิเสธไปก่อน แม้ว่าส่วนลึกๆภายในใจก็ยังคงมีความรู้สึกติดค้างอยู่บ้าง

“เรื่องของพ่อกับแม่เราน่ะ ทั้งตาและยายไม่ได้ไปบังคับเขา เดิมทีคุณตาจะให้พ่อเราแต่งกันลูกสาวบ้านยายแก้วด้วยซ้ำไป แต่รายนั้นเขาก็ไปชอบพอกับคนอื่นๆตั้งแต่ตอนไปเรียนเมืองนอกแล้ว ก็เหลือแม่เรานี่แหละ แต่ก็นั่นแหละถึงจะบอกว่าไม่ได้บังคับแต่ก็เหมือนบังคับกลายๆ เพราะคุณตาเขาอยากจะดองกับครอบครัวเพื่อนของเขามาก”

วีส์พยักหน้ารับรู้ไปตามเรื่องราวที่ได้ฟัง

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
“ยายก็ถามความสมัครใจชื่นก่อนแล้วนะ เขาก็ตอบตกลง วิรัชเขาก็ให้เกียรติชื่นดีอยู่หรอก แค่ไม่มีใครรู้ว่าจริงๆแล้วเขาก็มีคนรักของเขาเองอยู่แล้ว ยายไม่รู้หรอกนะว่าฝั่งโน้นเขาว่ายังไงกัน”

วีส์นั่งก้มหน้ามองพื้นโต๊ะ เรื่องราวเมื่อครั้งที่พ่อและแม่ของเขามาบอกข่าวว่าครอบครัวเขาอาจจะต้องแยกกันอยู่ถูกฉายซ้ำผ่านความทรงจำวัยเด็ก

“ยายก็เรียกทั้งสองสองมาถามว่าจะเอาอย่างไร เขาก็สรุปกันได้ว่าเหลือเอาไว้แค่หน้าที่พ่อกับแม่ก็พอ แล้วต่างคนก็แยกย้ายไปทำสิ่งที่ตัวเองต้องการ”

“เห็นน้องบอกว่าพ่อกับป้าจิก็ไม่เคยจดทะเบียนสมรสกัน แค่อยู่ด้วยกันเฉยๆ”

“เขาอาจจจะมีเหตุผลของเขา เพราะถึงเขาจดทะเบียนกัน แม่เราเขาก็ไม่ได้คิดติดใจอะไรหรอก”

“ก็เห็นว่าบ้านปู่กับบ้านตาไม่ค่อยกินเส้นกัน นี่ถ้าหลานคนโตไม่ได้เลิศเพอร์เฟ็กซะขนาดนั้น ก็คงยังแง่งๆใส่กันอยู่เหมือนเดิม”

อังกาบอมยิ้มกับสีหน้าและน้ำเสียงของวีส์เมื่อพูดถึงวีรดนย์ เธอยังคงจำภาพวัยเด็กของหลานชายที่ตั้งกำแพงสูงตระหง่านกับพี่น้องต่างมารดามาโดยตลอด จนเมื่อข่าวการป่วยของวีรดนย์ส่งมา ถึงทำให้มีท่าทีอ่อนลงบ้าง อังกาบหันไปมองดูบรรดาหลานๆของตัวเองที่กำลังยืนล้อมรอบเพื่อนของพวกเขาที่กำลังชี้มือชี้ไม่ทำอะไรบางอย่างอยู่

“แล้วคนนี้ จริงจังแล้วเหรอ”

วีส์เงยหน้าขึ้นมาจะถามว่าอังกาบหมายถึงอะไร แต่เมื่อมองไปตามสายตาที่อังกาบกำลังมองอยู่ก็เข้าใจได้ทันที

“เมื่อก่อนยายเคยถามตั้งหลายครั้ง ก็บอกทุกครั้งว่ายังไม่มีใครน่าสนใจ”

“ก็...” วีส์ไม่แน่ใจว่าจะตอบอย่างไรดี

“นี่หรือว่าแอบชอบแฟนพี่เขามาตลอด”

“คุณยาย” วีส์รีบร้องเสียงหลงขึ้นมาในทันที

แต่ก่อนที่จะมีใครได้พูดอะไรกันต่อ บรรดาน้องๆก็ยกอาหารมากันพอดี ทั้งปัญจวีส์ นพชัยและชัยทิศต่างก็กุลีกุจอช่วยกันดูแลอังกาบไม่ขาดมือทั้งน้ำและอาหารจนครบครัน เมื่อจบจากอาหารคาวก็ต่อด้วยของวานและผลไม้ จากเดิมที่ตั้งใจว่าจะแวะมาไม่นานก็อยู่ในพื้นที่งานร่วมชั่วโมง

นอกจากนี้อังกาบยังถูกชวลิตและอัญฑิตาเชิญให้เป็นเจ้าภาพสวดอภิธรรมศพในตอนเย็น ซึ่งอังกาบเองก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร แต่ต้องขอกลับไปพักผ่อนที่โรงแรมก่อน แล้วค่อยกลับมางานในช่วงเย็นภายหลัง


*****


งานช่วงตอนเย็นวันสุดท้ายมีคนมาร่วมงานจำนวนมากเป็นไปตามที่คาดไว้ ทุกคนต่างช่วยกันจนหัวหมุนทั้งหน้าฉากและหลังฉาก เว้นก็เพียงคนขาเจ็บที่ให้อยู่นั่งเฝ้าเด็กน้อยทั้งสามคนไว้ คอยชวนคุยชวนเล่นที่ไม่ต้องขยับตัวไปไหนมากนัก

อังกาบมาร่วมพิธีสวดอภิธรรมตามที่ได้ตกลงรับปากไว้ แต่ก็ไม่ได้อยู่ต่อหลังจากนั้นนานนัก ปล่อยหลานชายทั้งสามคนที่มาด้วยกันไว้ในงานต่อไปและค่อยให้ติดต่อคนรถมารับกลับที่พักภายหลัง โดยทั้งหมดจะต้องเดินทางกลับในวันรุ่งขึ้น ไม่ได้อยู่ร่วมพิธีปลงศพ

วันสุดท้ายกว่าคนจะกลับไปจนเกือบหมดก็เป็นเวลาดึกมากแล้ว ข้าวของต่างๆที่ไม่จำเป็นต้องใช้แล้วก็ทยอยเก็บ รวมถึงเตรียมสถานที่บางส่วนไว้ให้พร้อมสำหรับทำพิธีปลงศพในวันถัดไป ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับบ้านของแต่ละคน เหลือคนเฝ้าศพไว้เท่าที่จำเป็น

เพราะว่าเป็นเวลาดึกมากแล้ว วีร์จึงอยู่ค้างกับชายหนุ่มร่างสูงที่รีสอร์ตของญาติอีกหนึ่งคืน เพราะถึงอย่างไรเสียก็ต้องทายานวดเท้าและพันผ้ายืดให้ใหม่หลังจากที่อาบน้ำเปลี่ยนชุดแล้ว ซึ่งก็เข้าทางคนเจ็บข้อเท้ามากแต่ก็ไม่อยากแสดงออกให้คนอื่นเห็น

งานวันฌาปนกิจผ่านไปอย่างเรียบง่าย มีผู้สนิทชิดเชื้อกันจริงๆที่มาร่วมงาน เมื่อพิธีกรรมเสร็จสิ้นแล้ว บรรดาชายหนุ่มก็ช่วยกันยกโลงศพขึ้นรถเพื่อเคลื่อนย้ายไปยังเมรุที่วัดสำหรับขั้นตอนต่อไป

ที่บอกกันว่าลูกหลานที่คอยเลี้ยงดูแลใกล้ชิด ป้อนข้าวป้อนน้ำ ตัดเล็บตัดผม อาบน้ำล้างตัวให้อยู่ตลอด มักจะเป็นคนที่ทำใจได้เมื่อถึงเวลาที่ต้องจากกันมากกว่าลูกหลานที่แวะมาเยี่ยมเยือนเป็นครั้งคราว เพราะมีโอกาสได้ใช้เวลาทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ไม่มีติดค้างใดๆอีก เห็นจะเป็นจริงตามนั้น

นุชและอนงค์ต้องคอยช่วยปลอบใจอัญฑิตาเมื่อควันสีดำลอยพวยพุ่งออกจากปล่องควัน ส่วนชวลิตก็พยายามฮึดสู้กับอารมณ์ของตัวเองด้วยถือว่าตนเป็นลูกผู้ชายที่ต้องเข้มแข็งไว้

หลังจากนี้ก็เหลือแค่การมารับเถ้ากระดูกที่เหลือเพื่อนำไปลอยที่ทะเลตามที่ตกลงกันไว้ ในเมื่อผู้เป็นพ่อนั้นได้ไปอยู่บ้านหลังใหม่ที่ล้อมไปด้วยน้ำมานานแล้ว ก็คาดว่าผู้เป็นแม่ก็อยากจะไปอยู่ด้วยกันเสียที

ธีร์และวนกรต้องเดินทางกลับก่อนไม่ได้ไปลอยอังคาร เพราะมีหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบในวันทำการถัดไป เดือดร้อนแพรไหมที่ต้องเดินทางกลับไปด้วย เพราะเด็กน้อยทั้งสองคนร้องกระจองอแงที่พี่ชายคนโตไม่กลับไปด้วยกัน

ส่วนวีร์ที่ตั้งใจจะไปลอยอังคารด้วยนั้นก็คิดจะเปลี่ยนแผนใหม่เพราะอุบัติเหตุที่ทำให้วีส์บาดเจ็บที่ข้อเท้าทำให้ขับรถลำบาก จึงอยากจะเลื่อนเวลากลับตั้งแต่เช้าเลยเช่นกัน แต่ภูมิเสนอเป็นจะคนขับรถให้เพราะอย่างไรเสียก็ต้องกลับไปด้วยกันทั้งหมดอยู่แล้ว ทำให้ยังคงกำหนดการเดิม เว้นก็เพียงวีส์ที่ต้องนั่งคอยอยู่บนฝั่งในระหว่างที่คนอื่นๆลงเรือออกไปกลางทะเล


*****


ภาคการศึกษาใหม่ของปีการศึกษาใหม่ วีร์เริ่มต้นด้วยการขอโทษเพื่อนๆที่ไม่ได้มาช่วยเรื่องงานต้อนรับนักศึกษาใหม่ในช่วงวันท้ายๆ แต่เพื่อนๆก็เข้าใจเมื่อรู้ว่าวีร์เพิ่งจะไปช่วยจัดงานศพญาติผู้ใหญ่ วีร์ก็พยายามชดเชยด้วยการช่วยงานอื่นๆอย่างขยันขันแข็ง

วีร์และเพื่อนยังคงมีวิชาเรียนร่วมกันอยู่หลายวิชา โดยส่วนมากจะเป็นวิชาของคณะเศรษฐศาสตร์ ส่วนวิชาอื่นๆนั้นก็แตกต่างกันไปบ้างแล้วว่าใครจะเลือกลงวิชาไหนไปตามความสนใจของแต่ละคน

เริ่มปีการศึกษาใหม่แล้วก็เริ่มปรับตัวให้เข้ากับการเรียนที่นี่ได้มากขึ้น สามารถผ่อนปรนทำตัวทำใจได้สบายมากขึ้นแม้ว่าเนื้อหาวิชาเรียนจะเข้มข้นขึ้นตามชั้นปีที่เรียนก็ตาม เมื่อเป็นนักศึกษาปีสูงขึ้นก็ต้องไปทำหน้าที่คอยให้คำแนะนำนักศึกษาเข้าใหม่ วีร์รู้สึกสบายใจที่นักศึกษาคณะเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่จะเป็นนักเรียนมัธยมศึกษาจบใหม่ ไม่เหมือนกับบางคณะที่มีคนที่ออกไปทำงานก่อนแล้วจึงหาโอกาสมาสมัครเรียนภายหลัง

กิจกรรมนอกหลักสูตรทั้งทางด้านวิชาการและสันทนาการก็มีมาอยู่เรื่อยไม่ขาดให้นักศึกษาได้เลือกทำตามความสมัครใจ และเนื่องจากอยู่คนละชั้นปีและเรียนคนละคณะกันทำให้วีร์และวีส์ไม่มีกิจกรรรมใดๆของมหาวิทยาลัยที่ได้ทำร่วมกันเลย

ยกเว้นก็เพียงสัปดาห์รับบริจาคโลหิตของคณะแพทยศาสตร์ที่เริ่มโครงการจากความคิดของวีรมาตุและยังคงจัดต่อเนื่องเรื่อยมา เพราะทุกคนต่างก็เห็นถึงความสำคัญของการช่วยเหลือชีวิตด้วยยาที่ยังไม่สามารถสังเคราะห์เพื่อทดแทนได้ ต้องรับจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเท่านั้น

ในฐานะอดีตดาวคณะแพทยศาสตร์คนแรกและคนเดียวก็ยังคงมาช่วยถือไมโครโฟนส่งเสียงประกาศเชิญชวนผู้สนใจให้เข้ามาร่วมงานอยู่ด้านหน้าสถานที่จัดงานอยู่ทุกครั้งและทุกวันที่จัดงาน

สองหนุ่มเดินเข้ามาภายในอาคารเอนกประสงค์พร้อมกัน ภาพที่ใครหลายคนบอกว่าหาดูยากเพราะทั้งคู่ไปไหนมาไหนด้วยกันให้คนอื่นเห็นน้อยมาก บรรดาผู้ติดตามทั้งในที่แจ้งและในที่ลับก็พากันยกโทรศัพท์ขึ้นมาเก็บภาพนาทีสำคัญไว้

วีร์มองดูรอบๆที่จัดงาน มีป้ายประชาสัมพันธ์ที่เป็นภาพของนักศึกษาที่เป็นที่พูดถึงในสื่อสังคมออนไลน์วางเรียงตลอดทางเข้าสถานที่จัดงาน วีร์ที่เคยถูกทาบทามให้มาช่วยเป็นแบบมาก่อนก็มองด้วยความรู้สึกยินดีที่มีคนมาช่วยกันมากมาย ยกเว้นแค่เขาที่ขอปฏิเสธเพราะคงจะรู้สึกแปลกๆถ้ามาเห็นหน้าของตัวเองวางแสดงอยู่แบบนี้

วีร์กำลังตามชายหนุ่มร่างสูงเข้าไปข้างในแตะก็ต้องชะงักแล้วเดินถอยกลับมาสองสามก้าวเพื่อดูให้เห็นชัดๆอีกครั้งว่าเขามองผิดหรือไม่ หนึ่งในป้ายเหล่านั้นมีรูปของอดีตดาวคณะแพทยศาสตร์ถ่ายคู่กับแพรวาเพื่อนของเขาเอง วีส์ที่เดินย้อนกลับมาเพราะว่าเด็กหนุ่มไม่ได้เดินตามไปด้วยกันเพื่อจะมาดูว่ามีอะไรดึงความสนใจไว้

“เหอะ ใช้อำนาจหน้าที่หาผลประโยชน์ให้ตัวเอง” วีส์พูดข้ามไหล่มาจากด้านหลังของวีร์

“ก็เหมือนที่พี่ให้วีร์ไปช่วยถ่ายรูปนิทรรศการนั่นแหละ”

“ไม่เหมือนกันสักหน่อย อันนั้นเป็นงานจ้างจริงๆ” วีส์รีบแก้ตัวทันที

วีร์ไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงอะไรกลับไป เพราะเขาเองก็ไม่ได้ติดอะไรในเรื่องนั้นอยู่แล้ว

“ว่าแต่เราจะมาทำอะไรกันเหรอครับ”

“ไม่รู้เหมือนกัน ต้องรอถามไอ้พู่ดูก่อน” วีส์ว่าแล้วก็มองหาต้นเสียงที่กำลังประกาศเชิญชวนผ่านลำโพงในตอนนี้ว่าอยู่ที่ไหน เมื่อเจอแล้วเขาก็ชวนเด็กหนุ่มให้เดินไปหาด้วยกัน

“มานานแล้วยัง” หญิงสาวทักทายผ่านที่ไมโครโฟนยังจ่ออยู่ที่ปากของเธอ ก่อนที่ลดระดับลงเพื่อพูดคุยกัน “บริจาคกันเสร็จแล้วเหรอ”

“เปล่า” วีส์ตอบกลับสั้นๆ

“อ้าวเหรอ งั้นเข้าไปเลย ลงทะเบียนไว้แล้วใช่มั้ย” หญิงสาวหันไปมองว่าใครที่พอจะว่างมาช่วยพาทั้งสองคนเข้าไปข้างในได้บ้าง

“เปล่าอีกเหมือนกัน”

หญิงสาวสวยหันกลับมามองอย่างสงสัย เพราะเพื่อนของเธอมาร่วมกิจกรรมทุกครั้งไม่เคยขาดเลย เหตุใดจึงงดเว้นไปในคราวนี้

“ทำไมอะ ถ้าลงทะเบียนไม่ทันก็ยังพอจะเพิ่มได้ เขาเตรียมของมาเผื่ออยู่แล้ว”

“ก็มันบริจาคไม่ได้ มันผิดกฎ”

“กฎอะไรวะ” อดีตดาวเริ่มพูดอย่างมีอารมณ์ด้วยสงสัยว่าวีส์อาจจะแค่หาข้ออ้างหลบเลี่ยง

“ก็... มันผิดกฎ...” วีส์พยายามนึกคำพูดอธิบายให้หญิงสาวเข้าใจแบบไม่ให้ดูประเจิดประเจ้อ แต่จนแล้วจนรอดก็ติดสินใจเดินเข้าไปใกล้แล้วกระซิบที่ข้างหูแทน

หญิงสาวเปลี่ยนสีหน้าจากคิ้วขมวดกันเป็นดวงตาและปากเบิกกว้าง จากนั้นก็เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์มองมาที่เด็กหนุ่มที่เดินมาด้วยกันกับเพื่อนของเธอ

“อ๋อ โอเค เข้าใจแล้ว ถึงจะเสียดายแต่ก็นะ กฎระเบียบเขาบอกมาแบบนั้น ทำไงได้”

วีส์ก็ยักไหล่ตอบกลับ เพราะเขาไม่ใช่คนที่ออกระเบียบมาบังคับใช้และก็ไม่ได้อยู่ในอำนาจที่จะไปเปลี่ยนแปลงได้

“แต่จริงๆ ให้เราไปถามอาจารย์หมอดูก่อนมั้ย เผื่อว่ายังบริจาคได้อยู่”

“ไม่ต้องๆ” วีส์ร้องห้ามรั้งเพื่อนของเขาไว้ก่อนที่จะเดินออกไป “ช่างเหอะ อย่าไปสร้างช่องทางพิเศษ”

“เสียดายน้องวีร์ ยิ่งมีหมู่เลือดหายากซะด้วย” ถึงจะยังรู้สึกเสียดายแต่ก็คงจะต้องปล่อยให้เป็นไปตามนั้น

“แล้ว... ที่เรียกมานี่จะให้ช่วยอะไร”

“ก็ถ่ายรูปลงเพจไง ลงรูปวีส์กับน้องที่ลงไปคราวนู้น ยอดไลก์มาเพียบ คนจะได้เห็นกันเยอะๆจะได้มางานกันเยอะๆ โอเคปะ”

“แล้วแต่น้องสิ” วีส์โยนการตัดสินใจให้เด็กหนุ่ม   

“เอ่อ...” สายตาสองคู่จ้องมองมาที่เขา และนี่ก็เป็นงานการกุศลที่วีรมาตุเริ่มต้นไว้เสียด้วย ถึงอยากจะปฏิเสธแต่ก็รู้สึกลำบากใจ

“ทำอะไรกันวะ ทำไมไม่เข้าไปข้างใน”

วีร์ยกมือไหว้ทักทายไมตรีจิตที่เดินมาหาพวกเขาแล้วก็ยกมือขึ้นโอบไหล่เขาไปด้วย

“รอบนี้บริจาคไม่ได้ว่ะ ไอ้พู่ให้มาช่วยโปรโมทงานเฉยๆ” วีส์ไม่ได้พูดเปล่า เขาจับข้อมือของไมตรีจิตแล้วก็ยกออกไปจากไหล่ของวีร์

“ทำไมจะไม่ได้วะหรือมึงไปทำอะไรมา ไปตรวจโรคมั้ย เดี๋ยวกูพาไปคลินิกนิรนาม” ไมตรีจิตชี้ไปทางป้ายประสัมพันธ์ที่ขอร้องแกมบังคับไม่ให้ใช้การบริจาคเลือดเพื่อการตรวจโรค

“อันนั้นต้องคุณมึงแล้วละครับ ตรวจครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่วะ เดือนที่แล้วหรือว่าเมื่อวาน”

“โถ ไอ้สัด”

“แล้วไอ้ชัชอยู่ไหนวะ เห็นพวกมึงไปไหนมาไหนเป็นแก็งค์อยู่ตลอด” วีส์เปลี่ยนเรื่องพูดคุยก่อนที่ไมตรีจิตจะลุยเข้ามาหาเขาเสียก่อน

“ช่วยงานอยู่ข้างในโน้น” ไมตรีจิตบุ้ยหน้าไปทางพื้นที่กั้นฉากสำหรับเตียงผู้บริจาคโลหิต “สรุปว่าไม่ได้จริงๆ”

“เออ” วีส์ตอบกลับสั้นๆ

“งั้นวีร์ ยังไม่ได้บริจาคใช่มั้ย ไปกับเฮีย” ไมตรีจิตจับแขนวีร์เตรียมจะลากเข้าไปแต่ก็โดนมือที่สามมากระชากออกไปทันที

“ไม่ต้อง น้องก็ไม่ได้เหมือนกัน”

“อะไรวะ” ไมตรีจิตมองด้วยความหงุดหงิดและสงสัย

“เออน่ะ... ไอ้พู่ จะให้ทำอะไรก็ว่ามา” วีส์รีบบอกปัดและดันตัวหญิงสาวให้ออกห่างจากบริเวณนี้ เพราะหากยังอยู่ต่อไปอาจจะต้องตั้งโต๊ะแถลงข่าวเป็นแน่ ซึ่งจะไม่เป็นผลดีสำหรับเขาที่ต้องรับมือกับคนที่ห่วงแหนความเป็นส่วนตัวมากที่สุด ส่วนวีร์ก็ทำได้แค่โบกมือลาไมตรีจิตที่ยังคงขมวดคิ้วมองพวกเขาอยู่


*****


เมื่อเอารูปคู่ลงสื่อสังคมออนไลน์ไปก็สร้างกระแสความสนใจได้ดังที่คาดไว้ นักศึกษาชั้นปีสูงนั้นคุ้นเคยกับกิจกรรมบริจาคโลหิตทุกสามเดือนของคณะแพทยศาสตร์อยู่แล้ว ส่วนนักศึกษาเข้าใหม่ที่อาจจะคุ้นหูหรือผ่านตาเรื่องราวของวีร์และวีส์มาบ้าง ก็จะได้รับข้อมูลกิจกรรมนี้ไปด้วย

แต่ทว่าหลักจากนั้น เรื่องราวในโลกสื่อสังคมของวีร์และวีส์ก็ไม่ค่อยจะมีเรื่องอะไรใหม่ๆเข้ามาเป็นเวลานาน ถ้าหากใครได้พบเจอก็มักจะเจอแค่คนเดียวกับหมู่เพื่อนของแต่ละคน แถบจะไม่มีใครได้เห็นวีร์และวีส์อยู่ด้วยกันเลย เพราะต่างคนต่างก็มีภาระกิจที่ต้องทำ

สำหรับนักศึกษาชั้นปีสุดท้ายที่ได้ลงวิชาเรียนในปีก่อนหน้าไปเยอะเผื่อไว้ก่อนแล้ว ทำให้เหลือวิชาที่ต้องลงเรียนอีกไม่มาก แต่กระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีเวลาว่างมากขึ้น เพราะต้องใช้ไปกับการทำปริญญานิพนธ์เพื่อเสนอจบการศึกษาในฐานะที่เป็นนักศึกษาทุนด้านวิชาการ

ปึก ปึก!

เสียงตกกระทบของกระเป๋าสะพายและหนังสือเล่มหนาลงบนโต๊ะม้าหิน แล้วคนโยนก็ทิ้งน้ำหนักลงบนเก้าอี้ก่อนที่จะฟุบหน้าลงบนโต๊ะเย็นๆ พุทธชาติต้องรีบยกแก้วออกก่อนจะคว่ำทำน้ำหกเลอะบนพื้นโต๊ะ

“เป็นไรวะมึง อาจารย์ภูมิไม่ให้ผ่านเหรอวะ” กฤษณะถามเพื่อนด้วยความเป็นห่วง เขารู้สึกตัวเองโชคดีแล้วที่ไม่ได้ไปสอบชิงทุนการศึกษาเหมือนเพื่อนของเขา

“ไอ้ผ่านมันก็ผ่านอยู่หรอก” วีส์ถอนหายใจเสียงดังตามมา

“ผ่านแล้วทำไมทำท่าเหมือนโลกจะแตกวะ” พุทธชาติถามบ้าง

“ผ่าน แต่โดนเสนอให้เพิ่มเนื้อหาอีก จะได้ดูมีเนื้อมีหนังมากขึ้น” วีส์ยกตัวขึ้นนั่ง แต่ก็นั่งตัวห่อเหมือนคนหมดแรง

“เอาน่ะ ยังเหลือเวลาอีกตั้งเยอะ นี่ก็ยังไม่สอบกลางภาคเลย มึงทำทันอยู่แล้ว” กฤษณะพูดให้กำลังใจ

“เยอะเหี้ยอะไร อาจารย์ภูมิบอกว่าควรทำให้เสร็จภายในเทอมนี้ได้แล้ว เพราะเดี๋ยวตอนไปสอบเทอมหน้าได้โดนแก้อีกหลายรอบแน่นอน”

กฤษณะมองดูเพื่อนอย่างเห็นใจ แต่ก็ทำได้แต่ตบบ่าให้กำลังใจเพราะตัวเขาเองก็ช่วยอะไรได้ไม่มากนักแม้ว่าจะเรียนวิชาเอกเหมือนกันแต่ก็ไม่ได้มีความสนใจด้านดาราศาสตร์และอวกาศมากเท่ากับเพื่อนของเขา ส่วนพุทธชาติที่สอบตามเพื่อนๆเข้ามาภายหลังและเพิ่งจะขึ้นปีที่สองก็คงจะช่วยอะไรไม่ได้มากนัก

“เออมึง กูถามอะไรหน่อยสิ” พุทธชาติลองเลียบเคียงดูอารมณ์ของบเพื่อนเขาในตอนนี้

“อะไรวะ” วีส์เงยหน้าขึ้น

“ช่วงนี้มึง มีอะไรแปลกๆมั้ย”

“อะไรวะ แปลกๆ” เพราะว่าคำถามดูจะกำกวม วีส์เลยไม่แน่ใจว่าพุทธชาติหมายถึงอะไร กฤษณะเองก็มองอย่างสงสัยเช่นกัน

“ก็แบบว่า เจ็บป่วยอะไรมั้ย อุบัติเหตุมีรึเปล่า มีเรื่องยุ่งยากลำบากอะไรรึเปล่า”

“ก็ปกติสุขดี ไม่เห็นจะมีอะไร ถามทำไมวะ”

“ก็ถามดูเฉยๆว่าเพื่อนสบายดีมั้ยเท่านั้นเอง” พุทธชาติพยายามเลี่ยงคำตอบ แต่สายตาของวีส์และกฤษณะจ้องมองมาทำไมเขาต้องยอมจำนน “ก็ช่วงนี้ในโลกโซเชียลเขาก็ลือกันไง ว่าเห็นมึงกับน้องยกระดับความสัมพันธ์กันแล้วและก็ช่วงนี้พวกมึงเงียบหายไป คนเลยพูดๆกันว่าสงสัยมึงจะโดนอาถรรพ์จนเดี้ยงไปแล้ว”

วีส์ได้ยินแล้วก็พ่นลมหายใจออกมา เขาไม่คิดว่าจะยังมีคนพูดเรื่องพวกนี้กันอยู่อีก

“กูก็ปกติดี ไม่เห็นจะเป็นห่าอะไรเลย” วีส์กางแขนออกกว้างแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรเลยจริงๆ

“จริงๆมันควรจะเลิกพูดถึงตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่บอกไปเดี๋ยวก็บอกกลับมาว่า ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” กฤษณะก็รู้สึกหน่ายใจไปไม่น้อยกว่าเพื่อนของเขา

“ในฐานะนักวิทยาศาสตร์” พุทธชาติยื่นมือออกไปเหมือนกับกำลังจ่อไมโครโฟนไปที่วีส์ “คุณจะอธิบายเรื่องลี้ลับนี้ยังไงครับ”

“กูเชื่อแต่สิ่งที่พิสูจน์ได้” วีส์ตอบอย่างหนักแน่น “แต่กูก็ยอมรับว่าความสามารถของมนุษย์มีจำกัด องค์ความรู้ในปัจจุบันมีสุดขอบเขต มีอีกหลายอย่างที่เรายังข้ามไปไม่ถึงด้วยข้อจำกัดพวกนี้ แต่ตราบใดที่ยังพิสูจน์ไม่ได้แน่ชัดก็วางไว้ก่อน มนุษย์พร้อมไปถึงจุดนั้นได้เมื่อไหร่ ก็ค่อยว่ากัน”

“เป็นคำตอบที่ดีมากครับ” พุทธชาติยกนิ้วทั้งสองข้างให้กับวีส์

“แต่ตอนนี้ งานเยอะเหี้ยๆ” วีส์พูดแล้วก็พ่นลมหายใจก่อนที่จะฟุบหน้าลงไปบนโต๊ะอีกครั้ง

“มึง กูว่า ตัวช่วยเดินมาโน้นแล้ว” กฤษณะสะกิดให้วีส์เงยหน้าขึ้นมา

วีร์กำลังเดินมาตามทางเดินหน้าตึกคณะวิทยาศาสตร์ สวมเสื้อโปโลสีดำกางเกงยีนส์รองเท้าผ้าใบและกระเป๋าสะพายข้างใบเดิม ผมเผ้าเริ่มยาวรุงรัง และสวมแว่นสายตา เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มร่างสูงนั่งอยู่ที่โต๊ะม้าหินด้านหน้าตึกคณะกับเพื่อนๆ ก็เดินเลี้ยวเข้าไปหา

วีส์กางแขนออกทั้งสองข้างและทำหน้าตาน่าสงสารของความเห็นใจ เมื่อวีร์เดินเข้ามาใกล้ก็โอบกอดเอวของเด็กหนุ่มทันที สร้างความแปลกใจให้กับชายหนุ่มร่วมโต๊ะอีกสองอีกคนไม่น้อยว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงที่ผ่านมาถึงทำให้เพื่อนของเขาแสดงอาการที่สนิทสนมอย่างโจ่งแจ้งได้ขนาดนี้ และคิดว่าเดี๋ยวก็คงจะมีรูปมีคลิบวิดีโอไปโผล่ในโลกสื่อสังคมออนไลน์เป็นแน่

“พี่เป็นอะไรเนี่ย” วีร์เอียงหน้าลงมองชายหนุ่มร่างสูงที่กำลังทำตัวเหมือนเด็กเล็กอยู่

“ก็อาจารย์ภูมิสั่งงานเพิ่มอีกแล้ว” วีส์ตอบด้วยน้ำเสียงออดอ้อน

“แล้ว...” วีร์ละคำถามไว้ เผื่อว่าตุ๊กแกตัวโตจะอยากระบายอะไรเพิ่มเติม

“น้องวีร์ก็ช่วยไปคุยอาจารย์ให้หน่อยสิ เผื่อว่าจะลดงานให้มันสักนิดก็ยังดี” กฤษณะเป็นคนบอกแทน

“จะให้วีร์ไปช่วยพูดกับพี่ภูมิให้เหรอ” วีร์รอดูปฏิกิริยาว่าจะมีอะไรตอบกลับมาหรือไม่ก่อนที่จะพูดต่อ “เดี๋ยวก็จะโดนพี่ภูมิสั่งงานให้เพิ่มอีกหรอก... ก็ถ้าคุณยังมีเวลามานั่งต่อรองแบบนี้ แสดงว่าคุณมีเวลาเหลือไปทำงานเพิ่มได้อีก” วีร์เลียนแบบวิธีการพูดของภูมิเหมือนจนวีส์ผละตัวออกแล้วเงยหน้าขึ้นมอง

“สมเป็นพี่น้องกันเลย พูดแบบเดียวกับเป๊ะ” วีส์คลายอ้อมแขนแล้วหันมานั่งปกติ

“งานเยอะเหรอครับ” วีร์นั่งลงข้างๆแล้วเอียงคอมอง “ให้วีร์ไปช่วยมั้ย”

วีส์ปรายตามองถามว่าจะมาช่วยได้จริงๆหรือ

“ช่วงนี้ว่างเหรอ”

“ก็เรื่อยๆนะครับ ยังไม่ค่อยมีงานอะไร พวกปีหนึ่งก็ไม่ได้ต้องไปช่วยอะไรมากแล้ว เขาจัดการกันเองได้ ส่วนพี่เพชรมีแข่งติดกันหลายรายการ ยังไม่ต้องไปช่วยซ้อม ก็... ว่างอยู่นะครับ”

วีส์ทำท่านึกคิดวางแผนเป็นขั้นเป็นตอนว่าจะต้องทำอะไรบ้างและจะให้วีร์มาช่วยอะไรเขาได้บ้าง

“มีงานต้องพิมพ์อะไรเยอะมั้ยครับ” วีร์ถามแทรกความคิดเข้ามา

“ก็พอสมควร” วีส์ตอบกลับไป

“งั้น เดี๋ยววีร์ไปช่วยพี่พิมพ์ก็ได้ พี่พูดมาเดี๋ยววีร์พิมพ์ตามเอง รับรองงานเสร็จเร็วแน่นอน” วีรน์เสนอความคิดเห็น

วีส์มีท่าทางเหมือนจะเห็นตามแต่ก็ยังลังเล แต่ท้ายที่สุดก็พยักหน้าตอบตกลง ซึ่งก็ได้รอยยิ้มจากเด็กหนุ่มตอบกลับมา

“แล้วนี่น้องวีร์ยังไว้ทุกข์อยู่อีกเหรอ” กฤษณะเปลี่ยนเรื่องชวนคุย

“ครับ รอทำบุญครบร้อยวันแล้วค่อยออกทุกข์” วีร์ตอบกลับไป

“เออ จริงสิ คืนนี้มันมีปรากฏการณ์ดาวเคียงเดือนใช่มั้ยวะ” พุทธชาติถามเพื่อนนักศึกษาทุนด้านอวกาศศึกษา

“ก็ใช่ ดวงจันทร์ ดาวพฤหัส ดาวเสาร์ เรียงตัวเป็นหน้ายิ้มพอดี” วีส์จีบมุมปากทั้งสองข้างแล้วดึงขึ้นแสดงเป็นรอยยิ้ม

“อ๋อๆ เห็นข่าวอยู่เหมือนกันว่าเป็นช่วงที่ดาวพฤหัสอยู่ใกล้โลกมากที่สุดในรอบปีด้วย” วีร์แสดงความเห็นตามที่ได้ยินมา “แสดงว่าจะเห็นดวงจันทร์ของดาวพฤหัสชัดขึ้นด้วยใช่มั้ยครับ”

“ก็ถ้าดูผ่านกล้องน่ะใช่ จะไปดูมั้ยละ ที่ห้องพี่มีกล้องดูดาวขนาดแปดนิ้วอยู่”

เสียงไอค่อกแค่กสำลักน้ำของพุทธชาติดังเรียกความสนใจของทั้งสองคนให้หันไปมอง กฤษณะก็รีบช่วยตบหลังเบาๆให้จนพุทธชาติยกมือขึ้นโบกว่าเขาไม่เป็นอะไร และพยายามกระแอมให้หยดน้ำหลุดออกจากหลอดลมจะได้ยุติการไอเสียที

“แน่ใจนะมึงว่าไอ้แปดนิ้วน่ะ... กล้องดูดาว” พุทธชาติถามเพื่อนของเขาในเชิงสองแง่สองง่าม

“ก็เออสิวะ หรือมึงคิดว่าอะไร” วีส์ตอบกลับแบบไม่เล่นตลกตามไปด้วย

“เปล่า” เสียงสูงที่ผิดปกติของพุทธชาติยิ่งทำให้ดูน่าสงสัย “ถามดูเฉยๆ กล้องใหญ่ซะด้วย ท่าทางจะหลายตังค์”

“ก็เกือบแสน”

ทั้งวีร์ กฤษณะและพุทธชาติหันไปจ้องมองคนพูดพร้อมกัน ต่างก็สงสัยว่าเจ้าตัวพูดจริงหรือว่าหยอกเล่นกันแน่

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
“ทำไมวะ” วีส์มองดูเพื่อนสนิทว่าจะมาตกใจอะไรกับเรื่องพวกนี้กัน

“ก็ตั้งแต่รู้จักกันมา กูก็ไม่เคยเห็นมึงอวดร่ำอวดรวยอะไร ห้องที่อยู่ก็โอเคสะอาดดีพอดูได้ ไม่ได้หะ-รู-หะ-ราอะไร แถมรถที่ขับนี่ก็ดันโค-ตะ-ระเก่า แล้วขนาดโดนชนจนพังยับก็ยังจะเอาไปซ่อมแล้วมาขับต่ออีก ก็ไม่คิดว่าเพื่อนจะมีโมเมนต์ซื้อของเป็นแสนกับเชาด้วยเหมือนกัน”

กฤษณะก็รู้สึกเห็นด้วยกันพุทธชาติที่ไม่ค่อยจะได้เห็นเพื่อนของเขาใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายเหมือนลูกคนรวยบ้านอื่น

“กูต้องขอโทษเพื่อนๆด้วยนะครับที่กูไม่ได้มีนิสัยอวดความมั่งคั่งที่กูไม่ได้หามาด้วยตัวเอง” คราวนี้วีส์พูดล้อไปตามคำพูดของพุทธชาติ

“แต่กล้องดูดาวเป็นแสนนี่ก็อวดความมั่งคั่งอยู่นะครับ” กฤษณะก็ต่อล้อกลับไป

“กูก็ไม่ได้แบกกล้องมาเที่ยวอวดใครต่อใครนี่หว่า เวลาจะใช้แต่ละทีก็แบกขึ้นไปบนชั้นดาดฟ้าอพาร์ตเมนต์โน้น”

“ครับ กระผมเข้าใจแล้วครับว่าคนของตระกูลล้ำเลิศรัตนทรัพย์ไม่ค่อยชอบอวดรวย” พุทธชาติยกมือขึ้นขอยอมแพ้ไม่ต่อความอีก

“ไม่ใช่ว่าไม่อยากอวด แต่ถ้าทำแล้วจะโดนเรียกไปสอบ เผลอๆอาจจะโดนริบหุ้นคืนอีกต่างหากถ้าเหตุผลฟังไม่ขึ้น”

กฤษณะไม่ได้พูดตอบแต่หันมาพยักหน้าให้กับพุทธชาติ สื่อสารกันเองว่าพวกเขาควรจะรู้สึกชินกับนิสัยคนครอบครัวนี้ ไม่น่าจะไปสงสัยเป็นอย่างอื่นเลย

“งั้นเดี๋ยววีร์ไปเรียนก่อนนะครับ” วีร์ตั้งท่าจะลุกขึ้นยืนแต่ก็โดนดึงแขนรั้งเอาไว้เสียก่อน

“สรุปว่าคืนนี้จะไปดูดาวที่ห้องพี่รึเปล่า” วีส์ถามให้แน่ใจ

“อืม ก็ได้นะครับ วันนี้พี่จะเลิกกี่โมง” วีร์ถามกลับ

“ก็สักราวห้าโมงหรืออาจจะเสร็จก่อน แล้วเราก็ไปหาอะไรกินกันก่อน ยังไงก็ต้องรอดวงอาทิตย์ตกก่อนอยู่ดี”

“โอเค งั้นวีร์จะได้โทรบอกพี่ธีร์ก่อนว่าวันนี้จะกลับดึก”

“หรืออาจจะไม่ได้กลับ...” ทั้งวีร์และวีส์ต่างก็หันหน้ามาหาพุทธชาติพร้อมกันจนเจ้าตัวต้องรีบพูดแก้ตัว “ก็ดูดาวเพลินไง ยิ่งดึกยิ่งมืดยิ่งมองเห็นดาวสวยๆเยอะๆใช่มั้ย ส่องด้วยกล้องดูดาวตั้งแปดนิ้วเชียวนะ เป็นลำเลย”

วีส์ฟังที่เพื่อนสนิทของเขาพูดแล้วกรอกตามองไปทางอื่นพร้อมกับส่ายหน้าเบาๆ โดยมีกฤษณะช่วยลงโทษประทับฝ่ามือไปที่หลังศีรษะเบาๆหนึ่งครั้ง

“ลำกล้องดูดาวขนาดแปดนิ้วใหญ่ขนาดไหน ผมก็ไม่แน่ใจนะครับ แต่ขนาดลำอย่างอื่นนั้น...” วีร์ปรายมองคนข้างๆกวาดสายตามองลงแล้วขึ้นมา “...ก็พอได้อยู่”

ปากของพุทธชาติและกฤษณะเปิดค้างอ้าไว้ กำลังอ้ำๆอึ้งๆนึกคำพูดอยู่แต่ก็ไม่อาจจะเปล่งเสียงออกมาได้

“งั้นผมไปเรียนก่อนนะครับพี่กฤษพี่ปั๋ง” วีร์ยิ้มส่งท้ายและหันไปโบกมือลาวีส์ก่อนที่จะเดินออกไป

“เห้ยมึง พวกมึงไปทำอะไรกันมาวะ ทำไมน้อง...”

“เอ้ยๆ กูต้องไปแล้วเหมือนกัน งานเยอะมากต้องรีบไปทำ เดี๋ยวจะไม่เสร็จ” วีส์ก็รีบลุกขึ้นคว้ากระเป๋าสะพายและหนังสือแล้วรีบเดินออกไป ไม่เปิดโอกาสให้พุทธชาติหรือกฤษณะได้ถามอะไรเพิ่มเติม


*****


(แนบรูป) มันฟินมันอิ่มหัวใจมาก เห็นเขากอดกันแบบโนสนโนแคร์ใครๆ #โชคดีที่เรียนวิดยา #VVLiftOff
อิจฉา อยากมีคนน่ารักเป็นของตัวเองบ้าง ต้องทำยังไง #VVLiftOff

คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยXXX: เปิดรับสมัครนักศึกษาเพื่อสอบชิงทุนการศึกษาด้านอวกาศศึกษา ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์และอินเดีย นักศึกษาผู้สนใจติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่สำนักงานคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี


*****


ท้องฟ้ามืดแต่งแต้มไปด้วยดวงดาว แม้ว่าจะไม่ถึงกับพร่างพราวเต็มผืนฟ้าเพราะมลพิษทางแสงของไฟในเมือง แต่ก็ยังคงเห็นดาวสำคัญอยู่จำนวนไม่น้อย หากว่าได้ออกไปพื้นที่ห่างไกลความเจริญจะทำให้เห็นดวงดาวชัดและมีจำนวนมากขึ้น แต่นั้นก็ต้องอาศัยความชำนาญในการสังเกตเพื่อแยกแยะดาวแต่ละดวงมากขึ้นตามไปด้วย

กล้องโทรทรรศน์แบบสะท้อนแสงขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางแปดนิ้ววางติดตั้งบนขาตั้งสามขา พร้อมด้วยอุปกรณ์เชื่อมต่อสัญญาณไปที่เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ตั้งอยู่บนเก้าอี้ วีส์คอยอธิบายการทำงานของกล้องโทรทรรศน์ของเขาว่าสามารถทำอะไรได้บ้างให้วีร์ฟังไปด้วยระหว่างที่เขากำลังติดตั้งและทดสอบการใช้งาน

“อันนี้มันบอกตำแหน่งได้ด้วยเหรอครับ” วีร์มองดูหน้าจอคอมพิวเตอร์ เห็นตัวเลขบอกพิกัดมากมายหลายชุด

“ใช่ ตัวกล้องมันมีเซ็นเซอร์บอกทิศทางบอกองศา จะปรับหมุนหรือยกเอียงกล้องไปทางไหนมันก็บอกได้หมดว่ากำลังชี้ไปตำแหน่งไหน แล้วก็มันมีแอพที่ช่วยบอกว่าในวันเวลานี้ดาวดวงนี้กำลังอยู่ตำแหน่งไหนด้วย เราก็ค่อยปรับกล้องหันไปหาได้”

ภาพที่ส่งมาจากกล้องโทรทรรศน์กำลังแสดงภาพบางส่วนของดวงจันทร์ ส่วนโค้งของแสงสว่างจากดวงจันทร์ที่ส่องมายังผิวโลกและมีส่วนที่เว้าแหว่งเป็นเงามืด

“เงาบนดวงจันทร์มันก็ไม่มืดไปซะหมดนะครับ” วีร์นั่งยองมองดูภาพไปเรื่อยๆ

“เพราะมันมีแสงสะท้อนจากโลกส่องไปที่ดวงจันทร์ด้วยไง เหมือนกับเวลาคืนเดือนหงายที่แสงจากดวงอาทิตย์สะท้อนจากผิวดวงจันทร์กลับมาที่โลก มันก็สว่างพอประมาณนึง ไม่ถึงกับมืดสนิทไปหมด”

วีส์เปลี่ยนทิศทางปากกล้องโทรทรรศน์ใหม่ เขาตรวจสอบผ่านแอพพลิเคชั่นในโทรศัพท์แล้วก็ค่อยๆหมุนกล้องให้เข้าตำแหน่ง โดยดูตัวเลขจากหน้าจอคอมพิวเตอร์จนได้ตำแหน่งที่เขาต้องการ ภาพดวงดาวขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาบริวารของดวงอาทิตย์ก็ปรากฏขึ้น ถึงจะไม่ได้ชัดเจนจนเห็นรายละเอียดแต่ก็พอจะเห็นเป็นชั้นสีของดาวอยู่บ้าง

“นี่ พวกนี้คือดวงจันทร์ของดาวพฤหัส มียูโรปา แกนีมีด ไอโอ แล้วก็คาลลิสโต ที่จะเห็นได้ชัดสุด” วีส์ชี้ให้วีร์ดูจุดเล็กๆทั้งสี่จุดที่อยู่ในระนาบรอบดวงดาว “ดวงจันทร์ทั้งสี่ดวงนี้ค้นพบตั้งแต่สมัยกาลิเลโอ ด้วยเทคโนโลยีกล้องดูดาวสมัยโน้น พอมาจนสมัยนี้อะไรๆมันก็พัฒนาขึ้น ก็ค้นพบดาวบริวารของดาวพฤหัสได้เกือบร้อยดวง”

วีส์ตรวจดูในแอพลิเคชั้นเพื่อหาตำแหน่งของดาวเสาร์อีกครั้ง ก่อนที่จะเริ่มปรับเปลี่ยนทิศทางของกล้องโทรทรรศน์ใหม่

“ทำไมพี่ถึงสนใจด้านดาราศาสตร์” วีร์ถามในขณะที่ชายหนุ่มร่างสูงกำลังปรับกล้องโทรทรรศน์

“ตอนเด็กๆ คุณตาพี่ก็เคยชวนดูดาวนะแต่พี่ยังไม่ค่อยจะสนใจเท่าไหร่ มาเริ่มชอบจริงๆก็ตอนไปค่ายลูกเสือ แล้วมันเกิดอุบัติเหตุเครื่องปั่นไฟมันดับแล้วทุกอย่างก็มืดไปหมด ตอนนั้นทุกคนส่งเสียงร้องว้าวพร้อมเพรียงกัน เพราะว่าไม่มีใครเคยเห็นดาวเต็มท้องฟ้าสวยแบบนั้นมาก่อน เห็นทางช้างเผือกพาดจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนี่งเลย”

วีส์ยังคงปรับตัวกล้องในขณะที่เล่าความประทับใจที่เป็นจุดเริ่มต้นให้เขาหันมาสนใจด้านดาราศาสตร์

“ตอนนั้นพี่ถึงเข้าใจว่าทำไมคุณตาถึงเคยบอกว่าสมัยก่อนดูท้องฟ้าสวยกว่านี้ เพราะพอความเจริญเอาไฟเข้ามาในเมืองมากขึ้น มันบดบังแสงดาวไปจนเกือบหมด หลังจากนั้นพี่ก็เริ่มสนใจศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับดวงดาวอวกาศ” วีส์ปรับความคมชัดของภาพจนพอใจ “เอาล่ะ นี่คือดาวเสาร์ พอจะมองเห็นเป็นวงแหวนอยู่บ้าง”

“ก็เลยเลือกสอบชิงทุนไปเรียนต่อเหรอครับ” วีร์ถามด้วยความสงสัยและมองดูภาพของดาวเสาร์บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ส่งมาจากกล้องโทรทรรศน์ ไม่ทันได้สังเกตุอาการของชายหนุ่มร่างสูงจนเขารู้สึกว่าทำไมถึงยังไม่ได้รับคำตอบ จึงได้หันไปมอง

“ก็... คิดว่าไม่มีโอกาสแล้วไง”

“โอกาสอะไรครับ” วีร์ถามกลับ ชายหนุ่มรุ่นพี่ก็หันมาหาเขา วีร์ไม่แน่ใจความหมายแฝงในตอนแรกแต่ก็เหมือนจะแปลความออกในภายหลัง “เพราะวีร์เหรอ”

“ก็ไอ้หมอวีมันออกตัวแรงซะขนาดนั้น พี่ก็ไม่ชอบแย่งของใครซะด้วย” วีส์เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ภาพดวงดาวระยิบระยับอยู่ตรงหน้าแต่ภาพในความคิดเป็นเหตูการณ์ความหลัง “ถ้าไม่เกิดอะไรขึ้นซะก่อน พี่ก็คิดว่าไปอยู่ไกลๆจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องคิดมาก แล้วก็เผื่อว่าเรียนจบแล้วอาจจะได้งานทำต่อไปด้วยเลย ใครจะไปคิดว่า...”

วีร์เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าตาม ไม่มีใครเคยคิดว่าวีรมาตุจะมาจากไปเร็วขนาดนั้น

“แต่หลังจากนั้นเวลาผ่านไปเป็นปี พี่ก็ยังเลือกอยู่ห่างๆอยู่เหมือนเดิมไม่ใช่เหรอครับ”

“แล้ววีร์จำตอนที่เห็นหน้าพี่ได้รึเปล่าละ... อ๋อ ลืมไป ตอนนั้นกำลังเมาอยู่”

“เมาก็จำได้ครับ ทำไมจะจำไม่ได้แค่จำผิดว่าเป็นอีกคน ก็ใครจะไปคิดว่ามีคนหน้าเหมือนกันขนาดนี้ด้วย” วีร์ไม่ได้บอกว่าออกไปว่าอันที่จริงที่เขาจำได้นั้นเป็นเพราะว่าเขาฝันเรื่องเดิมๆซ้ำกันอยู่หลายครั้ง

“พี่ก็เลยไปเปลี่ยนสีต่อผมใหม่ซะ จะได้ดูไม่เหมือนกัน”

“นี่คือเหตุผลที่ทำผมเป็นสีเทาเหรอครับ” วีร์หันไปถามชายหนุ่มร่างสูงที่ยังคงมองดูท้องฟ้าอยู่

“ใช่ พี่อยากให้วีร์รู้จักพี่ที่เป็นพี่ ก่อนที่จะรู้ว่าพี่เป็นใคร”

วีร์เห็นด้วยกับความคิดของวีส์ในเรื่องนี้ เพราะถ้าหากวีส์ถูกแนะนำในฐานะน้องชายของวีรดนย์ อะไรหลายอย่างอาจจะไม่ได้ดำเนินมาเป็นแบบปัจจุบันนี้ และเขาก็คงจะตั้งกำแพงปิดกั้นไว้สูงเสียดฟ้า ตัดโอกาสที่จะได้รู้จักกัน

“เอาละ จะดูอะไรอีกดี” วีส์เปลี่ยนเรื่องกลับมาที่กล้องโทรทรรศน์ “วันนี้ไม่เห็นดาวอังคาร หรือว่าจะดูกาแล็กซีแอนโดรเมด้ามั้ย แต่สมรรถนะกล้องขนาดนี้ก็ไม่ถึงกับเห็นอะไรได้มากมาย”

“เราจะดูดาวกันต่อเหรอครับ” วีร์ถามด้วยหน้าตาใสซื่อบริสุทธิ์ วีส์ก็มองตอบกลับมาอย่างสงสัยเพราะในเมื่อเอากล้องตัวใหญ่ออกมาแล้ว ถ้าไม่ใช้งานตามวัตถุประสงค์ของมันแล้วจะให้ทำอะไร “วีร์ก็นึกว่าพี่แค่หาข้ออ้างที่จะ...”

วีส์กระพริบตามอง สมองกำลังป้อนข้อมูลเพื่อประมวลผล แต่อาจจะช้าไปสักหน่อยเพราะเป็นข้อมูลที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อน จนผลการคำนวณเริ่มแสดงออกมา

วีส์ก็รีบพับหน้าจอเครื่องคอมพิวเตอร์ลงแล้วก็รีบถอดสายที่เสียบอยู่ จากนั้นก็เริ่มม้วนสายไฟสายสัญญาณเก็บลงกระเป๋า แล้วเริ่มถอดกล้องโทรทรรศน์ออกมาจากขาตั้งแล้วเก็บใส่ลงกล่อง ปิดฝากล่องเรียบร้อยแล้วก็ส่งต่อให้เด็กหนุ่มถือไว้ แล้วเขาเอาเครื่องคอมพิวเตอร์หนีบข้างตัว จากนั้นก็หุบขาตั้งพยายามจะสอดใส่ลงถุงแต่ก็ไม่ได้ดั่งใจจึงถือไปทั้งอย่างนั้นเลย แล้ววีส์ก็รีบจูงมือวีร์ลงจากชั้นดาดฟ้าของอพาร์ทเมนต์โดยทันที


*****


ชีวิตประจำวันหลังจากนั้นก็ยังคงดำเนินไปตามปกติ วันธรรมดาไปเรียน สำหรับวันหยุดเสาร์อาทิตย์ถ้าหากว่าไม่ได้ไปช่วยฝึกซ้อมให้กับพีรพัชร์ วีร์ก็จะไปช่วยวีส์ทำปริญญานิพนธ์ ส่วนสถานที่นั้นก็แล้วแต่ความสะดวกใจและสะดวกกาย ถ้าไปทำงานที่อพาร์ทเมนต์ของวีส์ก็จะมีเวลาอยู่กันแค่สองคน แต่ถ้าชวนกันไปที่บ้านของวีร์ก็จะมีน้องๆแวะเวียนมาชวนเล่นชวนกินอยู่ตลอด

ความสัมพันธ์ของวีร์และวีส์จะเป็นแบบไหน สำหรับคนใกล้ชิดนั้นแทบจะไม่มีการถามไถ่ว่าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว เพราะเห็นด้วยตาของตัวเองกันอยู่เรื่อยๆ แต่คงเป็นเพราะว่าไม่ค่อยชอบเผยแพร่ชีวิตส่วนตัวลงไปในสื่อสังคมออนไลน์กันทั้งคู่ จึงมีคำถามจากคนอื่นๆที่อยากรู้อยากเห็นโผล่มาให้ได้ยินบ้างเป็นครั้งคราว

“โอ๊ะ ขอโทษครับ” วีร์รีบออกปากรับผิดไปก่อน เพราะตัวเขาเองก็สนใจพูดคุยอยู่กับแพรวาและดวงใจ ไม่ทันได้มองทางว่ามีใครเดินสวนพวกเขามาบ้าง

“อ๋อ ไม่เป็นไร... อ้าววีร์”

วีร์เงยหน้าขึ้นมองคนที่พอจะคุ้นตาอยู่บ้างอย่างพิภพ ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะสวมหมวกและแว่นตาดำก็ตาม หนุ่มหล่อหน้าตาดีหรือบางคนอาจจะบอกว่าน่ารัก ที่กำลังมีผลงานในวงการบันเทิงที่วีร์ไม่เคยได้ติดตาม แต่เคยได้ยินมาบ้างโดยเฉพาะจากเพื่อนของเขาทั้งสองคน

“อ้าวฟ่า วันนี้มีเรียนเหรอ”

“ใช่ ต้องมาตามงาน เดี๋ยวจะทำส่งไม่ทันเพื่อน”

“ลำบากหน่อยนะ เรียนไปด้วยทำงานไปด้วย”

“ไม่หรอก ก็สนุกดี ว่าแต่วีร์ฟังเพลงใหม่ของวงเรารึยัง”

“เอ่อ... ไม่แน่ใจเหมือนกัน ปล่อยเพลงออกมาแล้วเหรอ” วีร์ทำหน้าเหลอหลาคิดไม่ออกว่าจะตอบไปอย่างไร จึงหันไปหาตัวช่วยทั้งสองที่ต่างก็พยักหน้าและมองคนถามอย่างชื่นชม

“วีร์ เพลงปล่อยมาสองอาทิตย์แล้วนะ” พิภพไม่ได้จะตำหนิ เพราะเข้าใจดีว่าวีร์เป็นคนอย่างไร

“อ้าวเหรอ เดี๋ยวเราค่อยลองไปหามาฟังก็แล้วกัน”

“ช่วยปั่นยอดให้ด้วยนะ” พิภพหันไปขอจากแพรวาและดวงใจด้วย “แล้วนี่วีร์จะไปหาพี่วีส์เหรอ”

“เปล่า เรากับเพื่อนมีเรียนที่ตึกวิทยาฯ”

“อ๋อ... เราเช้าใจ” พิภพตอบกลับเหมือนจะว่าเข้าใจ และก็เหมือนว่าต้องการจะหยอกเอินไปในคราวเดียวกัน “งั้น เราไปก่อนนนะ เดี๋ยวเพื่อนเราจะรอนาน”

พิภพรีบเดินออกไปในทันที ไม่อยู่รอให้วีร์ได้พูดแย้งอะไร รีบจนไปชนเขากับคนที่เดินสวนมา หนุ่มร่างสูงในชุดนักเรียนของโรงเรียนที่พวกเขารู้จักเป็นอย่างดี แล้วต่างฝ่ายต่างก็รีบขอโทษขอโพยกันก่อนที่จะแยกกันไปตามทางของตัวเอง

“กลาง ขลุ่ย มาทำไมอะไรกัน” วีร์ทักทายรุ่นน้องทั้งสองและรู้สึกแปลกใจที่เห็นพวกเขามาอยู่ที่นี่ในเวลาเรียนแบบนี้

“มายื่นใบสมัครสอบเข้าครับ” เสริมศักดิ์ตอบรุ่นพี่ที่สนิทกันดีกับพี่ชายของเขา ส่วนเพื่อนของเขากำลังรู้สึกปลาบปลื้มที่วีร์จำชื่อของเขาได้

“เขาเปิดรับสมัครกันแล้วเหรอ” วีร์หันไปถามแพรวาและดวงใจที่พยักหน้าตอบ “อ้าวเหรอ แล้วนี่เลือกคณะอะไร”

“เศรษฐศาสตร์ครับ” เป็นเพื่อนสนิทของเสริมศักดิ์ที่ชิงตอบคำถามแทน

“ดีเลย จะได้มาเป็นรุ่นน้องพี่ที่มหาวิทยาลัยอีก” วีร์ยิ้มต้อนรับรุ่นน้องล่วงหน้า

“ครับ เดี๋ยวปีหน้าฝากพี่วีร์ดูแลพวกผมด้วยนะครับ”

“ไม่มีปัญหา” วีร์ตบไหล่เสริมศักดิ์ให้กำลังใจ “เดี๋ยวพวกพี่มีเรียน พี่ไปก่อนนนะ แล้วก็ฝากบอกไอ้ใหญ่ด้วยว่าเดี๋ยวพี่ว่างแล้วพี่จะแวะเข้าไป”

“ได้ครับพี่วีร์” เสริมศักดิ์พยักหน้าตอบกลับแล้วก็บอกลารุ่นพี่ มองดูทั้งสามคนเดินจากไปก่อนที่จะหันมาเห็นเพื่อนของเขาที่ยังส่งยิ้มและโบกมือลา “พี่เขาเดินไปไกลแล้วมึง”

หลังจากที่ไม่มีสัญญาณตอบกลับ เสริมศักดิ์ก็ส่ายหน้าเบาๆแล้วเดินออกไปโดยไม่รอเพื่อนของเขา


*****


ภาคการศึกษาแรกว่ายุ่งแล้ว ภาคการศึกษาหลังยิ่งยุ่งมากกว่า วีส์ต้องทุมสรรพกำลังที่มีไปกับการแก้ไขงานปริญญานิพนธ์ให้ผ่านตามเกณฑ์ที่คณะกรรมการตรวจเห็นสมควรว่าเป็นงานที่ทรงคุณค่าแล้ว ดังนั้นจึงมีบางช่วงวันเวลาที่คลุกตัวเองอยู่แต่ในห้องเพื่อทำงานให้เสร็จ

ภูมิเองก็พยายามช่วยเท่าที่ทำได้จากคำขอร้องแกมบังคับจากหลานชายคนโต เขาคอยช่วยชี้จุดและบอกแนวทางที่ต้องแก้ไข ไม่ใช่เป็นการไขข้อปริศนาให้ทั้งหมดไปซะทีเดียว แต่ก็ถือว่าทำให้งานสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี จนมีรูปเล่มออกมาเก็บไว้ประดับบารมีในห้องสมุดของคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

หลักฐานการจบการศึกษาก็ถูกส่งต่อผ่านไปทางสถานทูตเพื่อเริ่มขั้นตอนการเข้ารับการศึกษาด้านอวกาศต่อไป ไม่นานหลังจากนั้นกำหนดการเดินทางก็ถูกส่งกลับมาให้นักศึกษาแต่ละคนได้เตรียมตัวทุกอย่างให้พร้อม

วีร์เดินทางมาถึงบ้านล้ำเลิศรัตนทรัพย์ช่วงสายแล้ว เขาเดินผ่านสวนดอกไม้หอมที่ถูดจัดแต่งไว้อย่างดีตลอดทั้งปี เดินต่อไปไม่กี่ก้าวสุนัขสีดำตัวใหญ่ก็รีบวิ่งออกมาต้อนรับ มันกระโดดดีใจไปรอบตัวตามกำลังที่มันยังพอมีให้ทำได้ วีร์ลูบหัวลูบตัวทักทายตะโกก่อนที่จะเดินเข้าไปข้างในบ้านตามที่นัดหมายกันไว้

“วีร์ มาพอดีเลย” ปัญจวีส์ลุกขึ้นมาต้อนรับอย่างเร่งรีบทันทีที่เห็นเพื่อนของเขาเดินเข้ามา

“ทำไม มีอะไรกัน” วีร์มองตอบกลับอย่างสงสัย แต่ก็ไม่ลืมยกมือไหว้ทักทายผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ในห้อง “คุณยาย สวัสดีครับ แม่ สวัสดีครับ”

ปัญจวีส์รู้สึกสดชื่นหัวใจทุกครั้งที่เพื่อนของเขาเปลี่ยนสรรพนามเรียกชื่นฤทัยตามที่เขาต้องการ แต่ตอนนี้มีเรื่องอื่นเร่งด่วนกว่า

“ก็พี่น่ะสิ ป่านนี้แล้วยังไม่ลงมาจากห้องเลย ไปเคาะประตูเรียกก็ไม่ตอบ ไม่รู้เป็นอะไร วีร์ขึ้นไปดูให้หน่อยสิ”

วีร์หันไปหาชื่นฤทัยที่ก็มีสีหน้าเป็นกังวลอยู่บ้าง จากเดิมที่คิดว่าปัญจวีส์จะมีแผนการอะไรจะแกล้งเขาหรือเปล่า แต่ก็ต้องเปลี่ยนใจคิดใหม่ แล้วเขาก็ขอตัวขึ้นไปดูชายหนุ่มรุ่นพี่ตามที่ถูกร้องขอ

“พี่ นี่วีร์เอง” วีร์เคาะประตูเรียกเพราะลูกบิดประตูถูกล็อกไว้ เขาหันไปมองปัญจวีส์ที่กำลังเดินลงบันไดไปแล้วก็เคาะประตูเรียกอีกครั้ง

ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา วีร์กำลังจะเคาะประตูอีกครั้งหนึ่งแต่เสียงปลดล็อกลูกบิดประตูดังขึ้นพร้อมกับประตูแง้มออกนิดหน่อยแล้วก็เงียบไป วีร์จึงผลักประตูเข้าไปก็เห็นหลังไวๆของเจ้าของห้องที่เดินตัวปลิวกลับไปที่เตียงนอน วีร์ก็เดินตามไปแล้วนั่งลงข้างบนเตียง มองดูชายหนุ่มฟุบหน้าลงไปบนหมอน

“พี่เป็นอะไรรึเปล่า เห็นปันปันบอกว่าพี่ไม่ยอมลงไปกินข้าวเลย”

ชายหนุ่มยังคงเงียบไม่ได้ตอบอะไรกลับมา วีร์จึงพยายามออกแรงพลิกตัวจะได้มองเห็นหน้าชัดๆ แต่ก็มีแรงขืนตัวไม่ยอมทำตาม

“มาคุยกันดีๆเร็วว่าเกิดอะไรขึ้น” วีร์พยายามพูดดีด้วย “พี่วีส์ ลุกขึ้นมาเร็ว”

หลังจากที่พยายามสุดแรงแล้วก็ได้เห็นแค่ครึ่งหน้า ดวงตาข้างหนึ่งก็เปิดออกมองตอบกลับมา

“ไหนบอกวีร์สิว่าพี่เป็นอะไร”

“ไม่อยากไปแล้วอะ” วีส์ถอนหายใจก่อนที่จะตอบด้วยน้ำเสียงออดอ้อน

“ไม่อยากไปไหนครับ” วีร์อมยิ้มที่เห็นชายหนุ่มตัวโตแต่กำลังตัวเป็นเด็กเล็ก “ลุกขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดจะได้ลงไปหาอะไรกิน เดี๋ยวจะออกเดินทางช้ากว่าจะไปถึงกรุงเทพฯอีก”

“ไม่อยากไปเรียนแล้วอะ สละสิทธิ์ให้คนอื่นไปแทนได้มั้ย”

“แล้วมาเปลี่ยนใจอะไรตอนนี้ละครับ” ถึงวีร์จะรู้สึกเอ็นดูแต่คงจะทำตามให้ไม่ได้

“ก็ตอนนั้นคิดว่าไม่มีหวังแล้วไง แต่ตอนนี้มันไม่ใช่”

วีร์เริ่มจะเข้าใจแล้วว่าชายหนุ่มร่างสูงกำลังงอแงเรื่องอะไรอยู่

“ไปเรียนแค่สามปีเอง แล้วก็ไม่ใช่ว่าจะต้องไปอยู่ยาวจนกลับมาเยี่ยมบ้านบ้างไม่ได้สักหน่อย”

“แล้วถ้าพี่ทำผลงานดีจนเขาเสนอให้ทำงานต่ออีกละ” วีส์ยังคงหาข้ออ้างไปเรื่อยอีก

“ก็สิครับ ได้ทำงานกับองค์กรใหญ่ขนาดนั้น ใครๆก็อยากจะไปทำ” คำตอบของวีร์ทำเอาวีส์หน้ามุ้ยลงไปมากกว่าเดิม คงเป็นเพราะกำลังคิดว่าเขาไล่ให้ไปอยู่ไกลกันเป็นแน่ “เอางี้ ถ้าพี่ได้ข้อเสนอให้ทำงานต่อที่จีนจริงๆ เดี๋ยววีร์ย้ายไปอยู่ด้วยกันเลยก็ได้”

คำตอบใหม่ทำให้วีส์ผุดลุกขึ้นมานั่งมองตาแป๋วโดยทันที

“จริงเหรอ”

“จริงครับ” วีร์ตอบอย่างหนักแน่น “ถ้าพี่ได้งานที่จีนจริง ตอนนั้นวีร์ก็เรียบจบแล้ว เราก็ย้ายไปอยู่ด้วยกันก็ได้”

“จริงนะ” วีส์ถามย้ำให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้ฟังผิดไป

 “จริงสิครับ เดี๋ยววีร์เรียนภาษาจีนไว้รอเลยก็ได้”

ไม่ทันได้รอคำตอบวีร์ก็ถูกชายหนุ่มร่างสูงดึงข้อมือให้ลุกขึ้นเดินตามออกจากห้องนอนไป แล้วพวกเขาก็รีบลงบันไดไปด้านล่าง

“แม่” วีส์ส่งเสียงดังเรียกชื่นฤทัย มองหาไปทั่วจนเห็นชื่นฤทัยเดินออกมาจากห้องครัว “แม่ครับ เหล่าซือจางยังอยู่เมืองไทยมั้ยครับ”

“แม่ไม่รู้เหมือนกัน น่าจะยังอยู่นะ ทำไมเหรอ” ชื่นฤทัยถามกลับด้วยความสงสัย เพราะวันนี้ก็เป็นวันเดินทางแล้ว จะมีอะไรให้ครูสอนภาษาจีนช่วยเหลือเพิ่มเติมอีก

“ลองติดต่อให้หน่อยได้มั้ยครับ จะให้เหล่าซือมาสอนภาษาจีนให้น้อง”

“วีร์จะเรียนภาษาจีนเหรอ” ชื่นฤทัยหันไปถามวีร์ที่ยังอยู่ในอาการงงๆตั้งแต่โดนลากตัวมา

“ใช่ น้องจะเรียน เผื่อว่าจะย้ายไปอยู่ด้วยกันจะได้ไม่มีปัญหา”

“โอเค เดี๋ยวแม่ลองติดต่อให้ดู” ถึงจะไม่แน่ใจว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร แต่ชื่นฤทัยก็พอจะปะติดปะต่อจนพอจะเข้าใจ “แล้วนี้มีอารมณ์กินข้าวได้รึยัง แม่เพิ่งจะอุ่นร้อนให้ใหม่”

“อ่า... เดี๋ยวก่อน วีส์ไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดก่อนดีกว่า ค่อยลงมากิน” ว่าแล้ววีส์ก็ลากวีร์กลับไปขึ้นบนห้องตามเดิม

“เร็วๆนะ เดี๋ยวจะออกรถช้า ไปขึ้นเครื่องไม่ทัน” ชื่นฤทัยพูดไล่หลังชายหนุ่มทั้งสองที่หายลับสายตาไป แต่ก็ทำให้อดอมยิ้มออกมาไม่ได้ หันไปเห็นปัญจวีส์ซึ่งก็มีอาการไม่ต่างกัน สองแม่ลูกต่างก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกัน


*****


ใครต่อใครบอกกันว่าเขามีอาถรรพ์ติดตัวที่ทำให้ต้องพลัดพรากจากคนที่รักกัน หรือนี่อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของโชคชะตาที่ทำให้ไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ก็ไม่ถึงกับต้องจากกันไปตลอดกาลเหมือนที่ผ่านๆมา ต่อจากนี้อีกสามปีข้างหน้าที่จะไม่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน แต่นั้นก็เป็นไปเพื่อความก้าวหน้าในอนาคตของแต่ละคน ช่วงเวลานี้ต่างก็ต้องพยายามพัฒนาศักยภาพตัวเองให้มากที่สุด เป็นบททดสอบความสัมพันธ์รูปแบบหนึ่ง หากว่ามั่งคงต่อกันแล้ว แม้ว่าจะอยู่ห่างไกลกันก็ไม่เป็นอุปสรรคใดๆได้

การเดินทางครั้งนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเส้นทางอีกยาวไกลที่ยังต้องพบเจออะไรอีกมากมาย ขอเพียงมีสติรู้ตัวตลอดเวลา ก็จะเป็นเกราะคุ้มครองให้ปลอดภัยยิ่งกว่าป้ายหยกสองชิ้นเสียอีก


*****


#VVLiftOff


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด