ตอนที่ 1 Third Time’s a Charm ครั้งที่สามจะโชคดี
หลังจากจบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายแล้ว ก็จะมีช่วงว่างอยู่เกือบครึ่งปีก่อนจะเริ่มชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย หลายคนใช้โอกาสนี้ในการหาประสบการณ์ชีวิตเพิ่มเติม ไม่ว่าจะผ่านทางการเรียนรู้เพิ่มเติมหรือว่าการท่องเที่ยว บางคนก็พักผ่อนอย่างเต็มที่ราวกับว่ามันขาดหายไปจากชีวิตเสียนาน บางคนก็ยังดิ้นรนแสวงหาที่เรียนต่อจนถึงช่วงสุดท้าย
สำหรับ
วีร์ วรรัญญา เด็กหนุ่มที่ย้ายโรงเรียนในช่วงมัธยมศึกษาตอนปลาย ได้พบกับเพื่อนใหม่ สภาพสังคมที่เปลี่ยนไป และผ่านเหตุการณ์ในชีวิตที่ไม่ได้คาดคิดอย่างการสูญเสียบุคคลสำคัญไปถึงสองคนในเวลาไม่ถึงปี นั้นคือ
วีรดนย์ กิจการเรืองฤทธิ์ ที่จากไปเพราะอาการป่วยที่หาสาเหตุไม่ได้จนร่างกายทรุดถอย และ
วีรมาตุ ราวัณ ที่ประสบอุบัติเหตุและจากไปก่อนวัยอันควร
การเสียชีวิตของทั้งสองคนนำมาซึ่งเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าวีร์นั้นมีคำสาปอาถรรพ์ติดตัว ไม่สามารถจะครองรักกับใครได้เพราะมีเหตุให้บุคคลอันเป็นที่รักต้องมีอันเป็นไป วีร์ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะเป็นไปตามคำพูดเหล่านั้น แต่กระนั้นหลังจากการเสียชีวิตของวีรมาตุ วีร์ก็ไม่ได้มองหาหรือเริ่มต้นความสัมพันธ์กับใครเลย
อาจะเป็นเพราะว่าเข้าสู่ปีสุดท้ายก่อนการสอบเข้าเรียนระดับชั้นมหาวิทยาลัย ทำให้วีร์ต้องใช้เวลาเตรียมตัวอยู่พอสมควร รวมถึงกิจกรรมนอกเวลาเรียนที่วีร์ตอบรับเป็นเลขานุการชมรมดนตรีตามคำไว้วานของ
ศศิทัศน์ ราวัณ เพื่อนสนิทและยังเป็นน้องชายของวีรมาตุ ที่ต้องการเป็นประธานชมรมดังเช่นพี่ชายของเขา นอกจากนี้วีร์ยังต้องช่วยดูแลน้องชายวัยเด็กที่กำลังซุกซน และสุนัขพันธุ์ไทยขนสั้นตัวใหญ่ทั้งสองตัวที่ได้รับมาเป็นของขวัญวันเกิดจากวีรดนย์เมื่อหลายปีก่อน
ที่สำคัญ ช่วงต้นปีที่ผ่านมา
ธีร์ ผู้ที่เติบโตมาในฐานะพี่ชายจนได้มารู้ภายหลังว่าเป็นพ่อแท้ๆของวีร์ และ
วนกร แม่ผู้ให้กำเนิดที่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ได้บอกข่าวสำคัญแก่ครอบว่าว่าพวกเขาทั้งคู่กำลังจะมีทายาทคนที่สาม ตัดหน้า
อร พี่สาวคนโตของธีร์ ที่เพิ่งจะตกแต่งต่อเติมบ้านเก่าให้เป็นห้องหอสำหรับเธอและแฟนหนุ่มอย่าง
เอก เสร็จไปไม่นานและเตรียมตัวเริ่มต้นชีวิตแต่งงานของทั้งคู่ในอีกไม่ช้า
ดังนั้นตลอดปีสุดท้ายของชีวิตวัยมัธยมศึกษาของวีร์แทบจะไม่มีเวลาว่างให้ความคิดฟุ้งซ่านเข้ามารบกวนได้เลย จนกระทั้งสิ้นสุดวันปิดภาคเรียน
*****
สองมือของวีร์กำลังเช็ดล้างจานชามอยู่ในครัวหลังจากที่กินอาหารกลางวันเสร็จแล้ว แม้ว่าจะมีเสียงเอิ๊กอ๊ากของเด็กชาย
ธร ที่มีอายุใกล้จะสองขวบปี ดังไปทั่วบ้านก็ตาม แต่สายตาของวีร์กำลังมองออกไปไกล ในใจก็นึกไปถึงความฝันที่เพิ่งจะเกิดขึ้นคืนก่อนหน้า ว่าทำไมเขาถึงได้ฝันเรื่องเดิมซ้ำกันอยู่หลายครั้งในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา
ในความฝันมีชายหนุ่มคนหนึ่งที่ตัวสูงกว่าเขากับใบหน้าที่วีร์มองเห็นไม่ชัดว่าเป็นใครกันแน่ ชายหนุ่มคนนั้นเดินตามวีร์มาในซอยแคบๆ ทันใดนั้นชายหนุ่มก็พยายามรั้งตัววีร์ไว้ในขณะที่วีร์เองก็พยายามขืนตัวออก จนท้ายที่สุดวีร์ก็รู้สึกตื่นขึ้นมาตอนที่ริมฝีปากของเขาถูกประกบจากริมฝีปากของชายหนุ่มคนนั้น
ความฝันแต่ละครั้งอาจจะมีเรื่องราวที่แตกต่างกันออกไปบ้าง แต่โดยรวมแล้วมักจะจบแบบเดียวกัน
“วีร์”
วีร์สะดุ้งตัวจนเกือบจะทำจานตกลงในอ่าง ดีที่ว่าปฏิกิริยาของมืองทั้งสองยังคงไวเหมือนเดิมอยู่ จึงรีบจับไว้มั่นได้ทัน
“เหม่ออะไรอยู่ เดี๋ยวก็ทำจานแตกหรอก”
วีร์หันไปมองค้อนให้กับธีร์ที่เข้ามาทำให้เขาตกใจ แล้วก็หันกลับไปล้านจากชามต่อให้เสร็จ
“เปล่า ไม่มีอะไร” เมื่อเห็นว่าธีร์ไม่ได้พูดอะไรต่อ วีร์จึงหันกลับไปมองอีกครั้ง “พี่ธีร์มีอะไรมั้ย”
“เมื่อกี้อรเขาไลน์บอกในกลุ่มว่าเพิ่งไปหาหมอมา คอนเฟิร์มแล้วว่าท้อง”
“อืม ดีแล้วนิ” วีร์พยักหน้าตอบไปด้วย “สมใจพี่เอกเขาละ”
“ใช่ เห็นบอกอยู่ว่าแต่งแล้วอยากมีลูกเลย”
“ปีหน้าพ่อกับแม่คงชอบใจหน้าดู เกษียณฯทันออกมาเลี้ยงหลาน”
“ก็นะ ถ้าไม่ได้อยู่ไกลกันขนาดนี้ ก็คงมาช่วยเลี้ยงธรด้วยเหมือนกัน”
วีร์อมยิ้มเล็กน้อย เพราะตัวเขาคือต้นเหตุที่ทำให้ทั้งเขาและธีร์ต้องย้ายมาอยู่กันที่นี่ เพราะต้องการหาหนทางรักษาวีรดนย์ให้ได้และต้องการตามมาดูแลอย่างใกล้ชิด แม้ว่าท้ายที่สุดแล้วก็ฝืนไปต่อไม่ได้ แล้ววีร์ก็ถอนหายใจตามมาด้วยความรู้สึกที่ถูกผลักศีรษะเบาๆ
“ถ้าเราไม่ย้ายมากันที่นี่ คิดเหรอว่าพี่กับวาจะได้เจอกันอีก แล้วถ้าไม่เจอกันก็คงไม่มีธรออกมาหรอก” ธีร์ย้ำให้วีร์มั่นใจว่าไม่มีโยนความผิดเรื่องนี้ไปให้วีร์ ซึ่งอันที่จริงแล้วมันก็ไม่ใช่ความผิดอะไรตั้งแต่แรก
“ก็ไม่แน่” วีร์ล้างน้ำเปล่าจานสุดท้ายแล้วก็วางคว่ำไว้ “พี่ธีร์กับพี่วาทำงานบริษัทเดียวกัน ก่อนหน้านี้พี่ธีร์เองก็มาประชุมที่สำนักงานใหญ่อยู่บ่อยๆไม่ใช่รึไง ถ้ามันจะได้เจอกัน ยังไงก็ได้เจอ”
“ไหนว่าไม่เชื่อเรื่องโชคลางพรหมลิขิต” ธีร์พูดในเชิงเหย้าแหย่
“ก็ไม่ได้เชื่อ มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้” วีร์วางจานชามที่ล้างเสร็จแล้วไว้บนที่คว่ำจานจนหมดเรียบร้อย พอดีกับเด็กชายตัวน้อยวิ่งถือแก้วน้ำพลาสติกใบใหญ่ที่มีหูจับทั้งสองข้างมาหาผู้ใหญ่ทั้งสองคน
“ล้าง” เด็กชายธรชูแก้วน้ำให้วีร์
“กินเสร็จแล้วเหรอ” วีร์แก้วน้ำมาจากเด็กตัวน้อย
“เช็ดแย้ว” เมื่อตอบแล้วเด็กชายธรก็เตรียมจะวิ่งกลับไปแต่โดนวีร์รั้งตัวไปเสียก่อน
“ล้างมือแล้วยัง” วีร์ถามแล้วก็มองดูเด็กน้อยยกมือทั้งสองข้างของตัวเองขึ้นมาดูก่อนที่จะชูฝามือให้วีร์ดู “งั้นมา ล้างมือก่อน” วีร์ช่วยยกตัวเด็กน้อยให้ถึงอ่างล้างจานโดยมีธีร์ช่วยเปิดก๊อกน้ำและช่วยถูมือทั้งสองข้างของเด็กน้อย หลังจากนั้นวีร์ก็อุ้มธรไปที่ผ้าเช็ดมือ แล้วจึงปล่อยตัวเด็กน้อยลงให้กลับไปวิ่งเล่นในบ้านหลังจากที่เสร็จทุกกระบวนการแล้ว
“เดี๋ยววันนี้ออกไปไหนรึเปล่า”
“คิดว่าไม่นะ” วีร์หันกลับไปล้างแก้วน้ำชิ้นสุดท้ายที่เพิ่งจะถูกนำส่งมา “ทำไมอะ”
“ถามเฉยๆ เห็นปิดเทอมแล้วก็อยู่แต่บ้าน ไม่นัดเพื่อนออกไปไหนกันบ้างรึไง”
“พวกไอ้กิ่งก้านมันยังไปไหนไม่ได้ ต้องเตรียมตัวสอบรอบสุดท้าย ใหญ่มันก็ต้องทำงาน ส่วนไอ้บิ๊กกับไอ้ตี๋เล็ก เดี๋ยวพวกมันก็ต้องเริ่มเรียนปรับพื้นฐานแล้ว ตอนแรกก็กว่าจะลงใต้ไปสักอาทิตย์นึง แต่เห็นแต่ละคนกำลังวิ่งวุ่นหาที่เรียนกันอยู่ ก็เลยคิดว่าอีกสักพักก็แล้วกัน”
“แล้วแพรกับต่ายสอบได้ที่ไหนกัน” ธีร์ถามไปถึง
แพรไหม เพื่อนสนิทเก่าแก่ตั้งแต่วัยแบเบาะของวีร์ และ
วิธู ซึ่งเป็นน้องชายของวีรดนย์อีกด้วย
“ยังไม่เห็นบอกมาเลย อีดำไม่น่าห่วงหรอก ยื่นที่ไหนก็ได้อยู่แล้ว” สรรพนามเรียนหญิงสาวที่มีผิวเข้มไม่เปลี่ยนแปลง ตราบใดที่อีกฝ่ายยังคงเรียกวีร์ว่า
อีอ้วน อยู่เหมือนเดิม “แต่ของไอ้ต่ายนี้ลุ้นหนักหน่อย ถ้ามันหัวดีได้สักครึ่งของพี่มันนะ สบายแล้ว”
สองหนุ่มธีร์และวีร์เดินกลับเข้าไปในบ้านในจังหวะเดียวกันกับที่วนกรกำลังเดินอุ้ยอ้ายไปหยิบหนังสือมานั่งอ่านกับเด็กตัวน้อยที่วิ่งนำหน้าไปนั่งรอที่เก้าอี้ยาวที่หน้าโทรทัศน์แล้ว
“เดี๋ยวตอนเย็นไปหาอะไรกินนอกบ้านมั้ย” วนกรเสนอความคิดขึ้นมา
“อืม.. ก็ได้นะ วีร์ว่าไง” ธีร์หันไปถามความเห็นจากวีร์
“ไม่มีปัญหา แล้วจะไปที่ไหนกัน” วีร์ไม่ได้ปฏิเสธ
“ไปห้างก็ได้ จะได้ซื้อของด้วย” วนกรรอคำตอบจากทั้งชายหนุ่มสองคน แต่เมื่อได้ยินคำว่าจะไปห้างสรรพสินค้า เด็กชายตัวน้อยก็ร้องดีใจดังกว่าใครเพื่อน จึงทำให้ได้คำตัดสินใจโดยที่ไม่สามารถโต้แย้งอะไรต่อได้อีก
*****
เหมือนดั่งเฉกเช่นทุกๆวันที่มีผู้คนพลุกพล่านภายในห้างสรรพสินค้า อาจจะมีมากน้อยในแต่ละแผนกแตกต่างกันไปในแต่ละวัน เพราะมีสินค้าหลากหลายประเภทที่ตอบสนองความต้องการที่หลายหลาย ไม่ว่าใครจะมาด้วยวัตถุประสงค์อะไรก็ตาม
วีร์และครอบครัวตัดสินใจใช้บริการแผนกซุปเปอร์มาร์เก็ตก่อนและได้นำของไปเก็บไว้ที่รถเรียบร้อยแล้ว จากนั้นจึงกลับมาเลือกร้านอาหารสำหรับมื้อเย็นและจบลงด้วยการเดินดูของทั่วไปในภายหลังก่อนที่จะกลับ
วีร์เดินจูงมือธรตามหลังธีร์และวนกรที่กำลังย้ายจากแผนกหนึ่งไปยังอีกแผนกหนึ่ง มีสินค้าหลายอย่างทั้งคู่ตั้งใจจะซื้อเข้าบ้าน แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจแน่ชัดในตอนนี้เพราะต้องการเปรียบเทียบข้อมูลก่อนตัดสินใจ จึงเลือกดูและเก็บข้อมูลไว้เท่านั้น
“นาย!” เด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาสะกิดบ่าและทักทายวีร์โดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว
วีร์มองตอบด้วยความแปลกใจ เขาพอจะคุ้นหน้าตาของอีกฝ่ายว่าเป็นคู่แข่งขันเทนนิสจากโรงเรียนชายล้วนในกีฬาประเพณีสี่สถาบันที่มีโรงเรียนของเขาร่วมด้วย และหลังจากจบการแข่งแล้วอีกฝ่ายก็เดินตรงเข้ามาถามคำถามกับเขาที่เป็นที่พูดถึงในโลกสื่อสังคมออนไลน์อยู่ไม่น้อย
“จำเราได้รึเปล่า”
“จำได้ มีอะไรรึเปล่า” วีร์พยักหน้าตอบรับแบบสงวนท่าที
“แค่เข้ามาทักเฉยๆ เห็นเดินอยู่ มาซื้อของกันเหรอ” เด็กหนุ่มถามพร้อมกันชำเลืองเด็กตัวน้อยที่วีร์จูงมืออยู่ไปด้วย
“ใช่ มากับครอบครัว” วีร์ตอบกลับโดยที่ประเมินท่าที่ของเด็กหนุ่มไปด้วยว่าต้องการอะไรจากเขา
“อ๋อ” เด็กหนุ่มตอบกลับแล้วก็ยิ้มทักทายหนุ่มสาวสองคนที่เดินมาหาพวกเขา
“วีร์ นี่เพื่อนเหรอ” ธีร์ถามเพราะว่าไม่เคยเห็นหน้าตาของอีกฝ่ายมาก่อน
“อ่า... เคยแข่งเทนนิสด้วยกัน” ธีร์ขมวดคิ้วถามกลับ เพราะเขาค่อนข้างจะมั่นใจว่าวีร์ไม่ได้ชอบลงแข่งกีฬาเทนนิสสักเท่าไหร่ จนวีร์ต้องอธิบายเพิ่มเติม “กีฬาประเพณีของโรงเรียน”
“อ๋อ” ธีร์เหมือนจะนึกเรื่องราวขึ้นได้ “แสดงว่าไม่ได้อยู่โรงเรียนกันสิ”
“ครับ ผมจบจากโรงเรียนประจำชายล้วนครับ”
ธีร์นั้นพยักหน้ารับรู้ แต่วนกรกลับมีสีหน้าสงสัย
“เอ... พี่เคยเจอเรารึเปล่า เหมือนจะคุ้นๆหน้านะ” วนกรถาม
“ไม่แน่ใจเหมือกันครับ” เด็กหนุ่มยิ้มตอบกลับอย่างมั่นใจ ไม่มีอะไรที่ดูน่าสงสัย
“เหรอ... งั้นก็ช่างเถอะ พี่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน” วนกรตอบปัดไปเพราะเห็นว่าถึงจะสอบถามกันไปมาก็อาจจะไม่ได้คำตอบ แล้วจึงกวักมือเรียนเด็กตัวน้อย “ธร ไปดูของเล่นกับแม่มั้ย”
เมื่อได้ยินคำว่าของเล่น เด็กน้อยธรก็ยินดีปล่อยมือพี่ชายคนโตแล้วก็เดินไปหามารดาด้วยความเต็มใจ
“วีร์ เดี๋ยวตามไปนะ” ธีร์บอกทิ้งท้ายก่อนที่จะหันเดินตามศรีภรรยาไป และก็ไม่ลืมหันกลับมายักคิ้วหลิ่วตาให้วีร์ โดยที่วีร์ไม่ทันจะได้ตอบกลับว่าอีกฝ่ายนั้นกำลังเข้าใจผิด
“มีอะไรรึเปล่า” เด็กหนุ่มเมื่อเห็นท่าทางของวีร์ที่ทั้งกรอกตามองและพ่นลมหายใจออกมา
“เปล่าไม่มีอะไร แล้วนายมีอะไรอีกรึเปล่า” วีร์ตอบและถามกลับ
“อ๋อ ไม่แล้ว อย่างที่บอก แค่เห็นแล้วก็เดินมาทักเฉยๆ พอดีว่ากำลังจะไปร้านทำผม แบบว่าอยากถ่ายรูปติดบัตรแล้วออกมาดูดีหน่อยน่ะ”
วีร์ยิ้มเล็กๆตอบรับตามมารยาที่ดีกับคำอธิบายที่เขาไม่ได้ถาม
“งั้นเราไปก่อนนะ ไม่รบกวนเวลานายแล้วดีกว่า”
วีร์ก็พยักหน้าตอบ และมองดูเด็กหนุ่มที่เดินจากไปแล้วแต่ก็หันกลับและเดินมาหาเขาอีกครั้ง
“ขอถามอะไรหน่อยสิ”
วีร์ยังคงอมยิ้มค้างอยู่ แต่ก็เริ่มมีความคิดสงสัยสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังจะถาม และถ้าเป็นคนทั่วไปก็คงจะบอกว่าทำไมถึงซื้อล็อตเตอรี่ไม่ถูกแบบนี้บ้าง
“ตอนนี้นายมีแฟนแล้วยัง”
ถึงแม้ว่าจะเดาทางไว้ถูก แต่เมื่อได้ยินคำถามเข้าจริงแล้ว วีร์ก็รู้สึกอ้ำอึ้งที่จะพูดตอบอยู่เหมือนกัน
“งั้น เราถือยังไม่มีก็แล้วกันนะ” เด็กหนุ่มชิงสรุปความแทนเมื่อเห็นว่ากำลังจะตอบแต่ก็ไม่ตอบกลับไปกลับมาอยู่หลายครั้ง ก่อนที่จะบอกลาแล้วเดินจากไปในทันที “ไว้เจอกันนะ”
ทิ้งให้วีร์ยืนงงสงสัยในดงผู้คนมากมาย หลังจากที่เด็กหนุ่มเดินลับสายตาไปแล้ว วีร์พยายามนึกทบทวนว่าเพิ่งจะเกิดอะไรขึ้น ขนาดว่าเกิดขึ้นครั้งเดียวก็ดูน่าสงสัยแล้ว และนี่ยิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองยิ่งทำให้น่าคิดมากกว่าเดิม ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะเคยบอกไว้ในครั้งแรกถามว่าเขาไม่ได้ถามให้ตัวเขาเอง
แต่ส่วนมากที่บอกว่า
เพื่อนฝากมาถาม ก็มักจะเป็นคำถามของตัวเองไม่ใช่หรือ
*****
ช่วงนี้เหล่านักเรียนชั้นมัธยมศึกษากำลังเปิดภาคเรียนใหม่แล้ว และแน่นอนว่ากิจกรรมอย่างแรกสุดหลังจากวันพบผู้ปกครองก็คือการปฐมนิเทศน์ วีร์และผองเพื่อนก็ถือโอกาสกลับมาเยี่ยมเยียนโรงเรียนเก่าอีกครั้ง แต่เพราะว่าเป็นวันของศิษย์ปัจจุบัน เหล่าศิษย์อย่างเพื่อนๆร่วมรุ่นจึงมากันไม่มากนัก
วีร์แต่งชุดสุภาพมาไม่ต่างไปจากคนอื่นๆ ยกเว้นก็เพียง ศศิทัศน์และพระยศ สองว่าที่นักศึกษาแพทย์ที่ใส่เสื้อโปโลสีน้ำเงินปกเสื้อสีขาวและกระเป๋าเสื้อมีตราสัญลักษณ์สมาคมศิษย์เก่าปักไว้อยู่ เพราะต้องขึ้นรับรางวัลนักเรียนดีเด่นในช่วงบ่าย
ส่วนวีร์ที่ตั้งใจจะนั่งรออยู่ภายในบริเวณโรงเรียนกับเพื่อนๆคนอื่นๆ แต่ก็ถูกไว้วานจากรุ่นน้องชมรมถ่ายรูปขอให้ไปช่วยงาน ซึ่งวีร์ก็ไม่ได้เกี่ยงงอนอะไร ถึงปีสุดท้ายวีร์จะไปทำงานให้กับชมรมดนตรี แต่ความสนิทสนมกับคนชมรมถ่ายรูปยังคงเหมือนเดิมทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้อง
อันที่จริงในช่วงปีสุดท้าย วีร์รู้สึกเหมือนว่าเขาต้องทำงานเลขานุการถึงสามชมรมไปพร้อมกัน คือชมรมดนตรี ชมรมถ่ายรูป และชมรมหมากรุกซึ่งในตอนนี้ก็มีเสริมศักดิ์น้องชายของสุรศักดิ์ก้าวขึ้นมาทำหน้าที่ประธานชมรม ดังที่ศศิทัศน์หมายมั่นปั้นมือไว้
“เฮ้อ คิดถึงวัยเด็ก” “นั่นสิ เป็นเด็กอะไรก็ดีไปหมด”
“พวกมึงสองตัวพูดเหมือนกับว่าจบไปแล้วเป็นสิบๆปี ทั้งๆที่พวกมึงเพิ่งจะเรียนจบไปไม่กี่เดือนเอง” สุรศักดิ์พูดตัดอารมณ์ของคู่แฝดนพชัยและชัยทิศ “แล้วเดี๋ยวนี้นะ พวกมึงสองตัวจะมาบอกว่าพวกมึงไม่รวยแต่บ้านมึงรวย เหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้วนะเว้ย”
“โหย ก็ยังไม่รวยจริงๆเหมือนเดิมนั่นแหละว่ะ” “ได้หุ้นมาแค่นิดนึงเอง ไม่ใช่ได้สมบัติมาเป็นกองๆซะเมื่อไหร่”
“นิดนึงของบ้านพวกมึง กูกินใช้ได้เป็นปีๆ” สุรศักดิ์สวนกลับทันควัน
“พวกกูก็ต้องมีเหลือไว้กินใช้ให้ได้ถึงปีเหมือนกันคร๊าบ” “ใช่ หมดแล้วหมดเลย ไม่มีเงินเพิ่มให้แล้ว”
“หมายความว่ายังไงวะ” ข้าวฟ่างถามคู่แฝดด้วยความสงสัย
“ก็คือตามธรรมเนียมของบ้านกูเนี่ย พอจบม.ปลายแล้วแต่ละคนจะได้ส่วนแบ่งหุ้นล้ำเลิศรัตนทรัพย์มาเท่าๆกัน” “แต่นั้นก็หมายความว่าต่อจากนี้พวกกูต้องจัดการเรื่องเงินกันเอง ทุกเรื่อง เพราะพ่อแม่กูจะไม่ให้เงินเพิ่มอะไรแล้ว” “ถือว่ามีทุนเป็นของตัวเองแล้ว” “ทุกอย่างที่เหลือ ถ้าหมดก็คืออด”
“แล้วยังไง” ข้าวฟ่างยังคงไม่เข้าใจ เพราะเท่าที่เขาและคนอื่นๆรู้ว่ากลุ่มล้ำเลิศเป็นกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
“พวกกูก็ต้องแบ่งใช้ให้พอจนกว่าปันผลรอบใหม่จะออกมาน่ะสิวะ” หนึ่งในฝาแฝดโอดครวญ
“กูก็ยังไม่เห็นว่ามันจะเป็นปัญหาตรงไหน”
ทั้งนพชัยและชัยทิศยังคงมีท่าทางอ่อนระโหยโรยแรงอยู่เหมือนเดิม
“ถามจริง มึงได้หุ้นกันมาคนละเท่าไหร่” สรุศักดิ์ถามทั้งสองคน
“คนละ... แสนหุ้น” หนึ่งในคู่แฝดตอบด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้มในช่วงท้าย
“เดี๋ยวนะ แสนหุ้น! ราคาหุ้นเครือล้ำเลิศมันหกสิบเจ็บบาทเลยไม่ใช่เหรอวะ แล้วได้ข่าวว่าปันผลทีนึงก็ไม่ใช่น้อยๆ” ข้าวฟ่างพูดด้วยความตื่นเต้นและตกใจ
“โน โน โน ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์นั่นมันหุ้นเครือล้ำเลิศ” “อันนี้คือหุ้นล้ำเลิศรัตนทรัพย์ บริษัทแม่ของเครือล้ำเลิศอีกที” “ที่ไม่ได้เข้าตลาด” “และไม่ได้ขายให้คนนอก”
“แล้วจ่ายปันผลหุ้นละเท่าไหร่วะ” ข้าวฟ่างถามต่อ
“เห็นพี่อัฐบอกว่าปกติก็หุ้นละสองสามบาท” “ถ้าปีไหนดีหน่อย ก็อาจจะไปถึงห้าหกบาท”
เพื่อนคนอื่นๆเริ่มคิดคำนวณประมาณการจำนวนเงินที่ทั้งสองจะได้รับ
“แล้วจ่ายปันผลปีละกี่รอบ” สุรศักดิ์ถามด้วยน้ำเสียงปกติ แต่สายตาหรี่มองทั้งสองคนอย่างคาดคั้น
“ก็... แบบว่า...”
แล้วทั้งนพชัยและชัยทิศก็ชูนิ้วชี้และนิ้วกลางขึ้นมาพร้อมกัน
“เฮ้อ เบื่อจะคุยกับพวกคนรวย” สุรศักดิ์หันหน้าไปทางอื่น หลังจากที่ได้ฟังแล้วก็ยังไม่เห็นถึงความลำบากอะไรตรงไหน นั่งนอนเฉยๆก็มีเงินมาให้ใช้ ต่างจากเขาที่ตอนนี้ต้องทำงานทุกวันเพื่อให้พ่อและแม่ของเขามีเวลาพักผ่อนมากขึ้น และช่วยส่งเสียน้องทั้งสองอย่างเสริมศักดิ์และสิริศักดิ์ให้เรียนจบอย่างที่ตั้งใจ แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอะไร
ในตอนนั้นเองที่ศศิทัศน์และพระยศเดินถือโล่รางวัลตรงมาหาพวกเพื่อน ตามติดมาด้วยวีร์และหนุ่มลูกครึ่งอย่างเดวิดที่อยู่ในชุดโปโลสีน้ำเงินปกเสื้อสีขาวอีกคนหนึ่ง
“เฮ้อ กว่าจะเสร็จเรื่อง” เมื่อนั่งลงเรียบร้อยแล้ว ศศิทัศน์ก็เริ่มบ่นทันที
“ทำไม มีอะไรวะ” ข้าวฟ่างถาม
“ผอ.อยากถ่ายรูปรวมแบบจัดเต็ม เลยต้องไปตามเด็กม.4 ที่ได้รางวัลรอบเช้ามาถ่ายด้วยกันอีก” พระยศอธิบายให้ฟัง
“แล้วนี่เดี๋ยวพวกมึงจะรีบไปไหนมั้ย” ศศิทัศน์หันไปถามเพื่อนๆทุกคน
“ทำไมวะ หรือมึงอยากจะไปดริงก์” ข้าวฟางทำท่าทางยกแก้วเหล้าขึ้นซด
“โอ้ย ไม่เอาอะ ขี้เกียจแบกไอ้วีร์กลับบ้าน” ศศิทัศน์บอกปัด
“โห ไอ้ตี๋เล็ก มึงพูดอย่างกะกูเมาเละเทะ” วีร์กรอกตามอง แม้จะเป็นแค่ครั้งเดียวแต่ก็คงจะโดนล้อไปอีกนาน “เออ ว่าแต่... ตอนนั้นกูนั่งอยู่คนเดียวจริงๆใช่มั้ย ไม่ได้มีใครอยู่ด้วยใช่มั้ย”
“ใช่ ตอนพวกกูพาไอ้พวกแฝดนรกออกมาจากร้านก็เห็นมึงนั่งฟุบอยู่คนเดียว ทำไมวะ เรื่องนี้มึงถามกูหลายรอบแล้วนะ มีอะไรรึเปล่าวะ” ศศิทัศน์มองดูด้วยวามสงสัย
“เปล่า ไม่มีอะไร”
“หรือว่าของมึงหาย มีคนมาตบทรัพย์มึง ให้พี่กูเช็คกล้องวงจรปิดให้มั้ย” ข้าวฟ่างถามด้วยความเป็นห่วง
“แถวนั้นมีกล้องวงจรปิดด้วยเหรอวะ” วีร์รู้สึกตื่นตัวขึ้นมาแต่ก็สงวนท่าทีของตัวเองให้เป็นปกติมากที่สุด
“ที่หลังร้านมีตรงหน้าประตู แต่ถ้าไกลออกไปจากนั้นต้องลองไปถามร้านอื่นดู”
วีร์พยักหน้ารับรู้ เพราะหากว่ามีกล้องวงจรในบริเวณนั้นจริงๆ ก็อาจจะคลี่คลายข้อสงสัยที่เกี่ยวข้องเรื่องราวในความฝันของเขาได้เสียที
“ถึงจะมีจริง แต่ป่านนี้แล้วจะยังมีเหลือเก็บบันทึกไว้รึเปล่าเหอะ” สรุศักดิ์แย้งด้วยเหตุผล
“กูก็ว่างั้น” ศศิทัศน์เองก็เห็นตามไปด้วย “มึงไม่มีอะไรแน่นะ”
วีร์ส่ายหน้าปฏิเสธ เพื่อนๆจึงไม่ได้ต่อความเรื่องนี้อีก
“แล้วสรุปจะไปไหนกันมั้ย” ศศิทัศน์ถามความเห็นจากเพื่อนๆ ซึ่งต่างคนก็หันมองหน้ากันว่าใครจะเอาอย่างไร “ไม่งั้นก็ไปนั่งร้านไอ้ใหญ่มั้ย ไม่ได้ไปนั่งรวมตัวด้วยกันนานแล้ว”
“วันนี้ร้านมันปิดไม่ใช่เหรอวะ” พระยศหันไปยืนยันคำตอบจากสรุศักดิ์ให้แน่ใจ
“ปิดสิวะ วันนี้โรงเรียนหนูเล็กเปิดวันแรก พ่อกับแม่กูไปกันหมด กูก็เลยบอกว่างั้นปิดต่อเนื่องเลย ถือโอกาสพักผ่อนไปด้วย” สรุศักดิ์ย้ำคำตอบ
“งั้นก็อด” ศศิทัศน์รู้สึกเสียดายเพราะโอกาสรวมตัวกันครบทีมหหลังจบการศึกษาไปแล้วไม่ได้มีบ่อยๆ แต่ต่อไปก็คงจะยากขึ้นเรื่อยๆ
“ไปที่อื่นก็ได้มั้งมึง” ข้าวฟ่างเสนอความเห็น
“ไม่เอาอะ ขี้เกียจไปไหนไกล กูกะว่าแค่ข้ามฟากไปก็พอ” ศศิทัศน์บอกปัดก่อนที่จะพูดต่อ “ไม่งั้นก็ไว้วันหลัง กูก็จะกลับหอพักเลย”
“โห ไรวะ จะรีบกลับไปไหน หอพักไม่ได้จะย้ายไปไหนสักหน่อย” ข้าวฟ่างอดที่จะแซวกลับไม่ได้
“แต่พรุ่งนี้พวกกูมีเรียนครับ” ศศิทัศน์ตอบ ซึ่งพระยศเองก็พยักหน้ายืนยัน
“เออ แล้วแต่มึงละกัน” ข้าวฟ่างตอบ “สงสัยจะได้เจอกันอีกที ก็โน้น... วันปฐมนิเทศน์”
“กูว่าเดี๋ยวก็คงจะไม่ได้เจอกันหรอก เรียนกันคนละคณะแบบนี้” สุรศักดิ์ส่ายตามองเพื่อนๆแต่ละที่เติบโตแยกย้ายไปตามทางของตัวเอง
“กูก็ว่างั้น” เดวิดก็เห็นด้วย โดยสายตามองไปที่ใครคนหนึ่งที่ไม่ได้เรียนต่อคณะเดียวกับเขา
*****
ช่วงเวลาสองสามเดือนสุดท้ายก่อนเริ่มชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย วีร์ใช้เวลาไปกับการดูแลทั้งน้องชายตัวน้อยและสุนัขทั้งสองตัว เนื่องจากวนกรมีอายุครรภ์ใกล้คลอดเข้ามาทุกที ถึงแม้ว่าจะคำนวณเวลาออกมาแล้วว่ามีความเป็นไปได้ที่สมาชิกคนใหม่ของบ้านอาจจะมีวันเกิดร่วมกันกับคนอื่นๆ แต่ทุกคนต่างก็เห็นตรงว่าให้เป็นเรื่องของธรรมชาติตัดสิน
นอกจากนี้วีร์ยังรับเป็นคู่ฝึกซ้อมเทนนิสให้กับ
พีรพัชร์ เพื่อนรุ่นพี่ที่รู้จักกันมานานอยู่บ้างเป็นครั้งคราว เพื่อฝึกฝนฝีมือไว้ใช้สำหรับการแข่งขันในฐานะนักเรียนทุนด้านกีฬา
ส่วนเพื่อนๆร่วมโรงเรียนเก่านั้น ไม่ว่าจะเป็นศศิทัศน์ พระยศ นพชัย ชัยทิศ และสรุศักดิ์ ก็ได้นัดพบเจอบ้างเท่าที่โอกาสจะเอื้ออำนวย แต่อย่างไรก็ตามทุกคนยกเว้นเพียงสุรศักดิ์เท่านั้นที่ตัดสินไม่เรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย ล้วนแล้วสอบเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเดียวกันทุกคน
ศศิทัศน์และพระยศเข้าเรียนต่อคณะแพทย์ศาสตร์ตามที่ตั้งใจไว้แต่แรก นพชัยสอบได้คณะวิศวกรรมศาสตร์ ตั้งใจจะเรียนสาขาเครื่องกล ส่วนคู่แฝดอย่างชัยทิศสอบได้คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาขาอิเล็กทรอนิกส์ โดยหวังว่าจะสามารถนำมาต่อยอดในกิจการของครอบครัวได้
ส่วนวีร์นั้น เดิมทีก็ไม่แน่ใจว่าอยากจะเรียนด้านไหน วีร์ไม่มีความคิดจะเรียนด้านวิศวกรรมศาสตร์อย่างธีร์อยู่ในหัวเลย พีรพัชร์เองก็เคยเชิญชวนให้ลองสมัครคณะวิทยาศาสตร์การกีฬาเช่นเดียวกับเขา แต่วีร์อยากจะเก็บการเล่นเทนนิสไว้เป็นงานอดิเรกมากกว่า หรืออาจจะเลือกเรียนวิชาการบัญชีอย่างวนกรและอร แต่อาจารย์พิจิตราที่เป็นที่ปรึกษาชมรมถ่ายรูปที่โรงเรียนเก่าก็เคยแนะนำให้วีร์ลองดูคณะศิลปกรรมศาสตร์ แต่วีร์ก็คิดว่าตัวเองไม่ได้มีความถนัดเอนเอียงไปด้านนั้นสักเท่าไหร่ เมื่อคิดทบทวนรอบด้านและปรึกษาทุกคนรอบตัวแล้ว สุดท้ายวีร์ตัดสินใจเลือกสมัครคณะเศรษฐศาสตร์ อย่างน้อยความถนัดทางคณิตศาสตร์ที่มีอยู่ก็อาจจะช่วยการเรียนของเขาได้
[อ่านต่อด้านล่าง]