เสียงของเด็กน้อยเงียบลงทันทีที่อยู่ๆก็มีคนแปลกหน้ามานั่งข้างๆพี่ชายคนโตของเขา นอกจากหน้าตาที่ไม่คุ้นแล้ว ก็มีสีผมที่แปลกประหลาดไปจากคนอื่นๆอีกด้วย
“มา ลุกขึ้นมาคุยกันดีๆกันดีกว่า” วีส์ยื่นมือออกไปหวังให้เด็กน้อยจับเพื่อนยกตัวเองขึ้นมา แต่ธรกลับพลิกตัวแล้วโผเข้าหาพี่ชายของตัวเองแทน
วีร์ก็รับกอดจากน้องชายที่กำลังจ้องมองดูคนแปลกหน้าโดยที่น้ำตายังเปื้อนแก้มทั้งสองข้างอยู่
“โอ้ คนเก่งไม่ร้องแล้ว” วีส์ยิ้มและปรบมือชมเชยเบาๆให้กับเด็กน้อย “ไหนบอกพี่สิว่าอยากให้ชิ้นไหน”
สายทั้งสองคู่กำลังจ้องมองชายหนุ่มผมสีเทา คู่หนึ่งมองอย่างสงสัยว่าคุณเป็นใคร อีกคู่หนึ่งมองอย่างไม่พอใจเพราะนอกจะยังไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันแล้วยังจะมาขัดหลักการเลี้ยงเด็กเล็กของเขาอีก
“เร็ว มาเจรจาตกลงกับพี่กันก่อน น้องธรอยากได้ชิ้นไหนเหรอครับ” วีส์รอฟังคำตอบจากเด็กน้อย
ในตอนแรกเองธรก็ไม่แน่ใจแต่ชายหนุ่มแปลกหน้าก็คะยั้นคะยอให้เลือก ธรจึงชี้ไปที่รถบังคับวิทยุคันหนึ่งซึ่งมีขนาดใหญ่พอสมควร
“นี่ เรื่องนี้พวกเราตกลงกันแล้วว่าจะได้ของเล่นเพิ่มเดือนละชิ้นนึงเท่านั้น คุณอย่ามา...”
วีส์เอานิ้วชี้ป้องปากตัวเองให้วีร์หยุดพูดก่อน พร้อมทั้งขยิบตาส่งสัญญาณให้เขาเป็นคนจัดการเอง
“รถคันใหญ่นะเนี่ย...” วีส์ทำท่าทางว่ากำลังคิด “เอาอย่างนี้ ถ้าวันนี้น้องธรเป็นเด็กดี เดี๋ยวพี่ให้รถคันเล็กก่อน แล้วเดี๋ยวเดือนหน้าพี่ซื้อคันใหญ่ให้เลย เอามั้ยครับ” วีส์ชี้ให้ธรดูรถจำลองขนาดไม่เกินอุ้งมือ
ธรปาดหน้าปาดจมูกไปพลางชั่งใจไปพลางคิดว่าเป็นข้อเสนอที่ดีหรือไม่ ส่วนวีร์ก็ยังคงไม่พอใจ ถึงของที่จะซื้อให้เป็นเพียงรถคันเล็กๆ แต่ก็ถือว่าเป็นการซื้อของเล่นชิ้นใหม่สำหรับเขา
โดยที่ไม่รอคำตอบ วีส์ลุกขึ้นไปหยิบรถจำลองคันเล็กแล้วเดินไปจ่ายเงินกับพนักงานร้านก่อนที่จะโดนโต้แย้งจากพี่ชายคนโต แล้วก็เดินกลับมาหาเด็กน้อยที่ดูเหมือนจะอารมณ์ดีขึ้นแล้ว
“อ่า… คุณพ่อคุณแม่ครับ ขอแนะนำให้รู้จักว่าที่ลูกเขยคนใหม่ครับ” ภูมิเอียงตัวไปกระซิบบอกธีร์และวนกรที่สังเกตุชายหนุ่มแปลกหน้ามาตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้
“คนนี้เออ ที่บอกว่าเป็นนักเรียนทุนด้วย” ธีร์เบี่ยงหน้ามาถามภูมิ
“ใช่ คนนี้แหละ”
“โห ทรงผมขนาดนี้เลยนา เขาไม่ว่าอะไรเออ” ธีร์และวนกรมองดูสีผมของชายหนุ่มที่ยังคงนั่งคุยอยู่กับลูกชายทั้งสองคนของพวกเขา
“จะว่าอะไร ทรงผมไม่เกี่ยวอะไรกับการเรียน” ภูมิตอบแบบที่เหมือนกับว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร
“ก็ถ้าเป็นคนอย่างภูมิพูดเอง มันก็ไม่อะไรไง” ธีร์พยายามอธิบายความคิดของเขาเอง
“จะใครพูดก็เหมือนกันนั่นแหละ” ภูมิพิงหลังไปนั่งสบายๆก่อนที่จะอธิบายต่อ “ใครที่เรียนได้จะไว้ผมแบบไหนมันก็ยังเรียนได้ ส่วนใครที่เรียนไม่ได้ ไม่ว่าจะไว้ผมทรงไหนมันก็เรียนไม่ได้เหมือนเดิม”
ในตอนนั้นแว่นตาสามคู่ก็กำลังเดินมาหาพวกผู้ใหญ่ที่นั่งพักกันอยู่ ในมือของเด็กน้อยกำลังถือรถยนต์จำลองขนาดเล็กมาด้วย
“เดือนหน้างดของเล่นนะ เดือนนี้ได้ไปสองชิ้นแล้ว” วีร์บอกทั้งธีร์และวนกร
“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวเดือนหน้าพี่ซื้อให้เอง” วีส์ก้มลงไปแอบกระซิบธร ซึ่งก็ได้รับสายตาเฉียบคมมองมาทันที วีส์จึงรีบเปลี่ยนเรื่องพูดคุยเสียก่อนโดยการหันไปทักทายภูมิ “อาจารย์ สวัสดีครับ”
“คุณมาทำอะไรที่นี่” ภูมิถามกลับ
“ผมมาเอาหนังสือที่สั่งไว้ครับ” วีส์หยิบหนังสือทั้งสองเล่มออกมาจากกระเป๋าสะพายให้ภูมิดู
“อันนี้ที่จะเอาไว้ทำปริญญานิพนธ์น่ะเหรอ” ภูมิเปิดดูเนื้อหาในหนังสือคร่าวๆ
“ใช่ครับ”
“ปริญญาตรีที่นี่ก็ต้องทำวิทยานิพนธ์ด้วยเหรอ” ธีร์ถามด้วยความสงสัย เพราะส่วนมากมักจะเป็นนักศึกษาระดับปริญญาโทหรือเอกเสียมากกว่าที่ต้องทำเพื่อจบการศึกษา
“เขาไม่ได้บังคับให้ทำหรอกพี่ธีร์” วนกรอาสาเป็นคนตอบในฐานะศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัย “แต่ว่าถ้าอยากจะได้เกียรตินิยม อันนั้นต้องทำ”
“ใช่ แต่นี่เขาเป็นนักเรียนทุน ยังไงก็ต้องทำ” ภูมิอธิบายเพิ่มเติมและยังคงเปิดดูหนังสือทั้งสองเล่มอยู่ “เดี๋ยวคุณวางโครงเสร็จแล้วก็เอามาคุยกับผมก่อนนะ ถ้าเริ่มทำไปก่อนแล้วต้องมาแก้หัวข้อใหม่ทีหลังมันจะเสียเวลาเปล่า”
“ได้ครับอาจารย์” วีส์รับหนังสือคืนมาจากภูมิ
แล้วภูมิเอียงหน้าหรี่ตามองเด็กตัวน้อยที่กำลังเล่นของเล่นชิ้นใหม่อยู่
“มีของเล่นแล้ว อย่างนี้อาภูมิไม่ต้องเลี้ยงไอติมแล้วมั้ง”
ธรมองตอบกลับแบบเสียดายแต่ก็ยังคงแสร้งทำเป็นสนุกสนานกับของเล่นชิ้นใหม่ โดยแอบบชำเลืองมองคุณอาเป็นระยะๆว่าจะไม่พาไปจริงๆหรือ
“อะๆ ไปๆ” ภูมิกวักมือเรียกธรให้เดินเข้ามาใกล้ๆ “กินเสร็จแล้วเดี๋ยวจะได้กลับบ้าน” ภูมิลุกขึ้นยืนแล้วจูงมือธรเดินนำหน้าคนอื่นๆไปยังร้านไอศกรีมชื่อดัง
วีร์ส่ายหน้าเบาๆก่อนที่จะก้าวเท้าออกเดินก็แต่ต้องหยุดชะงักและหันกลับมา
“รีบกลับรึเปล่า” ธีร์ลุกขึ้นแล้วจับเปลเด็กอ่อนหมุนเตรียมเดินตามลูกชายตัวน้อยไป แต่ก็ไม่ลืมหันไปถามผู้มาใหม่
“เออ... เปล่าครับ” วีส์ตอบอย่างสุภาพและเกรงใจและรู้สึกอยากจะเสนอตัวไปพร้อมๆกัน
“งั้นก็ไปด้วยกันสิ”
สิ่งแรกที่วีส์ทำคือหันไปมองเด็กหนุ่มที่กำลังขมวดคิ้วมองมาทำให้เขารู้สึกลังเลอยู่ไม่น้อยเพราะกลัวจะเสียคะแนนความนิยม แต่อีกใจหนึ่งก็อยากจะตอบตกลงในทันที
“ไปด้วยกันนี่แหละ ไป” วนกรออกปากชวนอีกคน แล้วสองสามีภรรยาก็เข็นแปลเด็กออกไปก่อน
วีส์หันไปถามความเห็นของวีร์อีกครั้ง เจ้าตัวก็แค่ถอนหายใจแล้วก็เดินออกไป ไม่ได้อนุญาตแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ วีส์จึงเดินถือโอกาสเข้าข้างตัวเองเดินตามไปด้วยแบบติดๆ
*****
Apollo20: (แนบรูปถ่าย ธรกำลังดีใจกับไอศกรีมถ้วยใหญ่โดยมีวีร์และวีส์นั่งขนาบซ้ายขวา)
#VVGo4Launch
อุ๊ย เขาแอบไปมีลูกกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมลูกถึงโตเร็วแบบนี้
น่ารักทั้งครอบครัวเลย อิจฉาแต่ก็รู้สึกยินดีปนๆกัน
ไหนวีเสดสาดบอกว่าไม่ได้คบกับพี่วีไม่ใช่เหรอ แล้วนี่คืออะไร ต_แหลชัดๆBhumi Vorarania: คุณ Apollo20 คุณเป็นใครครับ เอารูปนี้มาได้ยังไง*****
ช่วงแดดร่มลมตกหลังเวลาเลิกเรียน นักศึกษาหลายคนก็มานั่งจับกลุ่มกันพูดคุยเฮฮาตามประสาคนไม่อยากอ่านหนังสือเตรียมสอบ ถึงแม้ว่าจะเป็นการสอบกลางภาคเรียนแต่ก็มีสัดส่วนต่อคะแนนรวมไม่น้อย ดังนั้นคนที่ยังนั่งใจเย็นอยู่ในเวลานี้ถ้าไม่ใช่คนเตรียมตัวดีอยู่ตลอดเวลาก็เป็นคนที่ปล่อยวางตัวเองให้คะแนนเป็นไปตามที่คณาจารย์จะประทานให้
“อ๋อๆๆ พวกนายใช่มั้ยที่เคยอยากจะเลี้ยงไก่ที่บ้าน” ปัญจวีส์ชี้ไปที่คู่แฝดนพชัยและชัยทิศ
“ใช่ แต่เรื่องมันนานมาแล้ว ชั่งมันๆ” “เออๆๆ ลืมๆไปเถอะ ยังไงไม่ได้ได้ทำอยู่ดี”
“ทำไมวะ” วิธูถามในขณะที่จิ้มผลไม้ที่แพรไหมซื้อมาหลากหลายอย่างขึ้นมากิน
“ก็แม่กูบอกว่าถ้าจะเลี้ยง ก็ต้องทำเล้าปิดมิดชิดไม่ให้ไก่เดินเพ่นพ่านไปทั่วไง” นพชัยอธิบายเป็นคนแรก
“แล้วยังไงวะ” วิธูถามต่อ
“ก็พวกกูอยากได้แบบปล่อยอิสระ ให้มันหากินเองบ้าง พวกกูให้บ้าง แล้วพอเย็นๆค่ำๆก็บินขึ้นนอนบนต้นไม้เอง” ชัยทิศขยายความเพิ่มเติม
“ไปเห็นมาจากไหนวะ” วิธูพอจะรู้คำตอบแต่ถามเพื่อต่อบทสนทนา
“แบบที่บ้านไอ้วีร์ไง พวกกูอยากได้แบบนั้น” “แต่ว่าโดนระงับ ถ้าไม่จับเข้าคอกก็ไม่ให้เลี้ยง”
สีหน้าน้อยใจผิดหวังของทั้งสองคนทำให้เพื่อนๆหัวเราะด้วยความสนุกสนานปนความสมน้ำหน้าไปในตัว
“พี่อัฐเรียกไปคุยด้วยใช่มั้ย” ปัญจวีส์ถามทั้งสองคนซึ่งก็พยักหน้ารับ “เหมือนเคยจะได้ยินพี่อัฐมาคุยกับแม่ ว่าสงสัยเครือล้ำเลิศจะได้เปิดฟาร์มไก่แข่งกับตระกูลอื่นแล้วละมั้ง”
“โอ้ย แค่เลี้ยงเล่นๆเองมึง” “ไม่ได้จริงจังอะไรขนาดนั้นสักหน่อย” “แล้วขืนทำขนาดนั้นจริงก็ดูจะลงทุนเยอะเกิน” “คือพวกกูก็พอจะรู้ตัวเองว่าแป๊บๆเดี๋ยวพวกกูก็เบื่อ”
“โอโห้ ดูเป็นการเป็นงาน พอต้องบริหารเงินตัวเองแล้วดูคิดเยอะขึ้นนะพวกมึง แต่ยังเป็นสายเปย์เกมส์อยู่รึเปล่าวะ” วิธูแซวเพื่อนทั้งสองคน
“มันก็ต้องมีบ้างครับคุณกระต่าย” “ลงทุนมายาวนานต่อเนื่องแล้ว จะทิ้งไปก็เสียดาย” ทั้งนพชัยและชัยทิศก็ยอมรับแต่โดยดี ถึงจะเพลาๆลงบ้างจากเมื่อก่อนตอนที่ยังแบบมือขอเงินใช้จากบุพการีอยู่
“เออจริงสิ ของปันปันก็ได้หุ้นล้ำเลิศรัตนทรัพย์ด้วยใช่มั้ย” แพรไหมหันไปถามปัญจวีส์ และเหมือนทุกคนจะย้ายสายตาไปทางเดียวกันรอฟังคำตอบ
“อันที่จริงก็ไม่น่าจะได้หรอก เพราะว่าปันปันเป็นหลานจากลูกสาวไง อย่างพวกลูกๆของป้าเกด พวกนายรู้จักรึเปล่า” ปัญจวีส์ถามคู่แฝด ทั้งนพชัยและชัยทิศต่างก็ไม่แน่ใจว่าพวกเขารู้จักหรือไม่ “นั่นแหละ ก็ถือว่าป้าเกดแต่งออกไปบ้านอื่นแล้ว พวกลูกๆป้าเกดก็ไม่ได้กันสักคนนะ แต่เท่าที่รู้ป้าเกดยังมีหุ้นอยู่นะ”
เพื่อนๆแต่ละคนก็พยักหน้ารับและรอฟังปัญจวีส์พูดต่อ
“แล้วทีนี่ที่ปันปันได้ด้วย คิดว่าเพราะแม่ของปันปันหย่ากับพ่อแล้วทั้งปันปันกับแม่ก็เปลี่ยนมาใช้นามสกุลล้ำเลิศรัตนทรัพย์ ก็เลยได้ด้วย... มั้งนะ”
“คือลูกสาวที่แต่งออกไปแล้วก็ยังถือหุ้นต่อได้เหรอวะ” วิธูถาม
“ใช่ แต่ขายโอนให้ใครไม่ได้ อันที่จริงไม่ว่าใครก็ขายโอนหุ้นตัวเองให้ใครไม่ได้ มีแต่ส่งคืนกลับเข้ากงสีอย่างเดียว” ปัญจวีส์ตอบ
“แล้วอย่างนี้... ซื้อเพิ่มได้รึเปล่า” วีร์เปลี่ยนมาเป็นคนถามบ้าง แล้วก็ใช้นิ้วดันตรงกลางกรอบแว่นสายตาให้ขยับเข้าที่
“ถ้าจะซื้อเพิ่มก็ต้องไปคุยกับคุณยายเอาเอง ซึ่ง.. ปันปันคิดว่าไม่น่าจะได้” ปัญจวีส์หัวเราะแหะๆก่อนที่เปลี่ยนท่าที “แต่... ไปซื้อหุ้นเครือล้ำเลิศได้นะ เนี่ยพี่อัฐยังแนะนำอยู่เลยว่าถ้าเงินเหลือแล้วไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไร ก็เอาไปซื้อหุ้นเครือล้ำเลิศเก็บไว้บ้างก็ได้”
“ความคิดดี เดี๋ยวเก็บเงินไว้ซื้อมั้ง” “ปันปันจะซื้อเมื่อไหร่บอกด้วยน้า”
“ได้เลย เดี๋ยวพี่อัฐกระซิบบอกมาเมื่อไหร่ ปันปันจะบอกกิ่งกับก้านด้วย”
ทั้งนพชัยและชัยทิศต่างก็ปรบมือแล้วยกนิ้วโป้งทั้งสองข้างให้ปัญจวีส์ ถือเป็นการให้คำมั่นสัญญาทางธุรกิจในครัวเรือน
“ไงเด็กๆ” เสียงทุ้มดังแทรกขึ้นมาจากด้านหลังของวิธูพร้อมกับแรงกดลงบนบ่า แถมยังย้ำอีกสองสามครั้งด้วย
“พี่ภูมิ สวัสดีค่ะ” แพรไหมทักทายผู้มาใหม่
“สวัสดีจะน้องแพร ไม่ได้เจอกันนานเลย นี่ก็ด้วยอีกคน” ภูมิยังคงออกแรงจับบ่าของวิธูอยู่ “ไง ได้เข้าถึงรอบไหน”
“ตกรอบรองครับพี่” วิธูหันไปคุยกับชายหนุ่มร่างสูงผิวเข้ม
“ได้ไง พี่เราเก่งอิตาย เสียชื่อหมดหล่าว” ภูมิยังคงตบบ่าของวิธูอยู่ “นี่ ให้นุ้ยไปช่วยฝึกมั้ยอะ เห็นว่าเพชรมันได้แชมป์ไปหลายรายการแล้ว”
“ถ้าเงินถึง เวลาซ้อมก็มีให้ได้” วีร์ขยี้นิ้วมือต่อหน้าวิธู
“กูไม่ใช่พี่เพชรนะ ที่จะจ่ายชั่วโมงละหกร้อย บอกเลย... เปลือง” วิธูสะบัดหน้าทำเป็นไม่สนใจ “แล้วกูก็มีคู่ซ้อมประจำอยู่แล้วจ้า กริ๊วๆ”
“ก็แล้วแต่นา กูก็ไม่ได้กะจะคิดเงินอะไรแค่พอดีว่ามีเวลาว่างอาทิตย์ละวันนึง กูได้ไปออกกำลังด้วยส่วนมึงก็ได้ไปซ้อม แต่ก็คงไม่ต้องแล้วมั้ง” วีร์ทำเป็นยกมือที่มาดูเล็บดูฝ่ามือดูหลังมือแล้วก็หมุนข้อมือไปมา
“โอ้ เพื่อนวีร์ครับ เพื่อนวีร์เป็นคนดีจริง ผมรู้สึกโชคดีที่มีเพื่อนวีร์เป็นเพื่อนแบบนี้” วิธูรีบเปลี่ยนท่าทางโดยทันทีและหันมาประจบเอาใจวีร์เป็นการด่วน
“อ้อร้อ” วีร์ก็ถือโอกาสทำเป็นไม่สนใจที่วิธูมาบีบมานวดแขนของเขาแถมยังสะบัดตัวหนีอีกด้วย
“นี่ๆ ไปเล่นกันเมื่อไหร่บอกด้วย” ปัญจวีส์รีบหันมาเขย่าแขนวีร์ขอตามไปด้วยคนซึ่งวีร์ก็ยิ้มตอบกลับเป็นอย่างดี
“เออนี่ นุ้ยเป็นคนถ่ายรูปงานนิทรรศการใช่มั้ย” ภูมิเห็นเด็กๆเล่นสนุกกันเสร็จแล้วก็หันไปถามหลานชายถึงจุดประสงค์ที่เขามาในวันนี้
“นิทรรศการอวกาศเออ ใช่ นุ้ยถ่ายเอง” วีร์ถามและตอบกลับเองให้คราวเดียวกัน
“วันนี้เอาไฟล์มาด้วยรึเปล่า ที่คณะจะเอาไปใช้แล้ว” ภูมิถามต่อ
“เอามา” วีร์หยิบกระเป๋าเป้มาแล้วล้วงเอาตัวเก็บข้อมูลออกมา สีสันของมันดูจะ...
“ชมพูหวานเลยนะ” ภูมิรับตัวเก็บข้อมูลจากวีร์
“ก็เขาให้มาแบบนั้น ใช่ของนุ้ยทีอะ แล้วนี่ก็หายหัวไปไหนไม่รู้ ไม่มาเอาไปสักที”
“ยุ่งอยู่กับการทำหัวข้อวิทยานิพนธ์นั่นแหละ คงจะให้เสร็จตอนที่รศ.กอบเกื้อยังอยู่” ถึงวีร์จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ภูมิก็รู้ว่าหมายถึงใคร
“ลุงเกื้อก็ยังอยู่ต่อไม่ใช่เหรอครับ แค่ไม่สอนแล้วเฉยๆ” ปัญจวีส์พูดแทรกขึ้นมา
ภูมิหันไปมองปัญจวีส์อย่างสงสัย แล้วก็นึกขึ้นมาได้ถึงเพื่อนใหม่ของวีร์ที่เคยได้ยินมา
“รู้จักกับ รศ.กอบเกื้อ ล้ำเลิศรัตนทรัพย์ ด้วยเหรอ” ภูมิถามถึงแม้ว่าจะคาดเดาคำตอบไว้แล้ว
“ครับ ลุงเกื้อเป็นพี่ชายคนละแม่ของแม่ผมครับ” ปัญจวีส์ตอบ
“ก็เนี่ยลูกหลานเครือล้ำเลิศ” วีร์อธิบายเพิ่มเติมแล้วก็ชี้ไปทางนพชัยและชัยทิศด้วย “สองคนนั้นก็ใช่”
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง” ภูมิพยักหน้ารับไปด้วย “เครือล้ำเลิศเขาทำอะไรบ้าง ได้ยินชื่อมานานแล้ว”
“ของบ้านพวกผมทำออโต้พาร์ทครับ” “ผลิตเองด้วย แล้วก็นำเข้าด้วยครับ” ฝาแฝดตอบด้วยความกระตือรือร้นเพราะได้รู้จักเครือญาติคนใหม่ของวีร์
“ของบ้านผมทำรับเหมาก่อสร้างครับ” ปัญจวีส์ตอบ
“เหรอ ก็เหมือนกับบริษัทของอาวิรัชใช่มั้ย” ภูมิหันไปหาวิธู
“ของพ่อ จะหนักไปทางประมูลงานก่อสร้างของราชการซะมากกว่า” วิธูตอบ
ภูมิพยักหน้ารับรู้แล้วก็หันไปมองในเชิงถามปัญจวีส์
“ของที่บ้านผมก็ไปประมูลงานเหมือนกันครับ แล้วก็ทำอสังหาฯด้วยครับ” ปัญจวีส์ตอบ
“อืม เรียนจบแล้วก็ยังพอจะไปช่วยงานที่บ้านได้นะ แต่นี่...” ภูมิหันกลับไปหาวิธู “ต่อไปจะมีใครรับช่วงต่อกิจการที่บ้านมั้ยอะ”
“ไม่เห็นจะยากอะไรเลยพี่ภูมิ มีลูกสะใภ้และลูกเขยดีซะอย่าง เข้าไปช่วยดูแลต่อได้” วิธูผายมือไปทางแพรไหมและวีร์ โดยที่เจ้าตัวเองก็ไม่เคยรู้ก่อนว่าไปตกลงกันตอนไหน
“หวังแต่จะพึ่งคนอื่นนะ”
“ก็ไม่ได้คิดจะทำตั้งแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว ตอนแรกก็เออ... เดี๋ยวพี่วีคงจะดูต่อเอง เราก็ตะแล็ดแต็ดแต๋ตามบายเราเลยแล” วิธูยักไหล่ตอบแบบไม่ได้ยี่หระอะไร “พ่อก็บอกอยู่ว่าถ้าพ่อกับแม่ไม่อยู่แล้ว ก็ขายบริษัททิ้งแล้วไปทำอย่างอื่นก็ได้ เพราะเขารู้ว่าถ้าเราเอามาทำเองคงไม่รอด”
“ก็ลองดูก่อนแล ค่อยตัดสินทีหลังว่ารอดหรือไม่รอด”
“ไม่ต้องลองก็รู้ แต่ถ้าอีดำกับอีอ้วนไม่เอาอีกก็ไม่เป็นไร” วิธูก็ยังคงยืนยันความคิดของตัวเอง “หรือไม่ก็ ต่อไปก็ขายบริษัทไปควบรวมกับของบ้านไอ้ปันก็ได้”
“เอาจริงมั้ยละ เดี๋ยวจะได้พาไปคุยกับพี่อัฐ” ปัญจวีส์เสนอ
“ใจเย็นน้องบ่าว ยังก่อน ไว้รอตอนพ่อกับแม่ไม่อยู่ก่อน” วิธูรีบพูดดักปัญจวีส์ไว้เสียก่อน เพราะเห็นกำลังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้ว
“ก็คุยไว้ก่อน เผื่อพี่อัฐจะแนะแนวทางไว้ล่วงหน้าว่าต้องทำอะไรบ้าง แต่อย่าให้พี่โสฬสรู้นะ โดนจับแยกชิ้นส่วนแล้วขายต่อแน่ๆ” ช่วงท้ายปัญจวีส์เอียงไปหาวิธทำเป็นกระซิบกระซาบที่ได้ยินกันทุกคน
“ใครอะ อัฐกับโสฬส พี่ชายเราเหรอ” ภูมิถามปัญจวีส์
“ลูกพี่ลูกน้องครับ เป็นลูกของลุง พี่อัฏฐารส กับพี่โสฬส”
ภูมิขมวดคิ้วหรี่ตานึกตามชื่อที่ได้ยิน
“อัฏฐารส โสฬส แล้วก็ปัญจวีส์... ชื่อเป็นตัวเลขหมดเลยนี่นะ”
“ใช่ครับ พี่อัฐเกิดวันที่สิบแปด พี่โสฬสเกิดวันที่สิบหก ส่วมผมเกิดวันที่ยี่สิบห้า คุณยายเขาเอาไปให้พระตั้งชื่อให้ นี่ผมก็รู้สึกโชคดีมากว่าพระท่านตั้งชื่อให้ว่าปัญจวีส์ เพราะถ้าชื่อเบญจเพสคงจะแปลกๆ”
“อ๋อใช่ เบญจเพสก็คือยี่สิบห้าเหมือนกัน” ภูมิก็รู้สึกเห็นด้วยว่าถ้าชื่อตามนั้นก็คงจะโดนเพื่อนล้อเลียนบ้างตามประสาเด็ก และเมื่อไปมองกับคนอื่นๆก็เจอกับสายแปลก เหมือนกำลังสงสัยว่าสองคนนี้กำลังพูดเรื่องอะไรกัน “อะ เดี๋ยวพี่กลับไปทำงานดีกว่า... เออ นุ้ย เดี๋ยวพี่ค่อยแวะเข้าไปที่บ้านนะ”
“ครับ” วีร์พยักหน้ารับแล้วก็บอกลาภูมิ ก่อนที่ภูมิจะเดินจากไป
“อ้าว พี่ภูมิไม่อยู่ที่บ้านเออ” แพรไหมถามหลังจากที่ภูมิเดินออกไปแล้ว
“ม้าย ตอนนี้อยู่หอพักของมหาวิทยาลัย แต่เห็นว่าเดี๋ยวจะไปซื้ออพาร์ทเมนต์อยู่” วีร์ตอบกลับ
“เหรอ พี่เขาไปดูห้องไว้แล้วหรือยัง” ปัญจวีส์เป็นคนถาม
“น่าจะไปดูมาหลายที่แล้วมั้งนะ” วีร์ตอบแบบไม่แน่ใจ
“งั้น เดี๋ยวปันปันไปถามแม่ดูให้เผื่อว่ายังมีโครงการไหนยังว่างอยู่ เดี๋ยวให้แม่เซ็นอนุมัติราคาพิเศษให้” ปัญจวีส์ยื่นข้อเสนอ
“ไม่เป็นไร เราเกรงใจ เดี๋ยวพี่ภูมิเขาไปจัดการเอง” วีร์ตอบปฏิเสธโดยพยายามรักษาน้ำใจไปด้วย
“ไม่ต้องเกรงใจ ได้ผลยังไงเดี๋ยวปันปันมาบอกวีร์อีกทีนะ” ปัญจวีส์ยืนยันแบบไม่รับคำตอบปฏิเสธใดๆทั้งสิ้น ท้ายที่สุดวีร์ก็ยอมแพ้ไป เพราะอย่างไรเสีย คนตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าจะซื้อหรือไม่ก็คือภูมิ ไม่ใช่เขาอยู่ดี
*****
ยามบ่ายหลังจากพักกลางวันที่ทุกคนแยกย้ายกันไปเรียน คงเหลือแต่วีร์ที่นั่งอยู่ตามลำพัง จึงใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ด้วยการเปิดการ์ตูนอ่านเล่นเพลินๆ แต่เพราะอากาศกำลังสบายอ่านไปเรื่อยๆก็เริ่มจะง่วงอยู่เหมือนกัน จึงเอามือข้างหนึ่งเท้าตรงขมับ แล้วก็หลับตาพักครู่หนึ่งก่อนที่จะลืมตาขึ้นมาอ่านต่อสลับกันไป
“ไม่ไหวก็กลับไปนอนไม่ดีกว่าเหรอ”
ชายหนุ่มร่างสูงที่มีผมยาวสีเทาเป็นเอกลักษณ์นั่งลงฝั่งตรงข้าม มาพร้อมกับขวดน้ำดื่มเย็นๆสองขวด ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ใครต่อใครเห็นแล้วใจจะต้องละลายลงต่อหน้า แต่วีร์เปลี่ยนอิริยาบทมานั่งหลังตรง ในตอนนี้ประสาทสัมผัสทุกส่วนกำลังตื่นตัวเต็มที่ จากที่รู้สึกง่วงอยู่ก่อนหน้านี้หายไปเกือบหมดแล้ว
“ผมรอเรียนอยู่” วีร์ตอบกลับ
“จะไหวเหรอ นั่งหลับสัปหงกอยู่อย่างนี้”
เพราะวีร์ไม่ได้ตอบกลับไปในทันที ต่างฝ่ายต่างก็นั่งมองหน้ากันไปมา
“มีธุระอะไรรึเปล่าครับ” วีร์เป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน
“ไม่เห็นจะต้องมีธุระอะไรเลย นึกอยากเจอก็เดินมาเลย” วีส์ยังคงยิ้มแย้มอยู่เหมือนเดิม แต่พอเห็นสายตาที่เด็กหนุ่มส่งมาแล้วก็ตัดสินใจเลิกแกล้งจะดีกว่า “อะๆ กูเอานี่มาให้”
วีส์หยิบเอกสารออกมาจากแฟ้มแล้วยื่นให้วีร์ วีร์รับมาแล้วก็อ่านดูรายละเอียด
“มึงลงชื่อรับเงินให้กูด้วย ต้องมีหลักฐานเอาไปส่งที่คณะอีก เดี๋ยวจะได้สรุปปิดโครงการนี้สักที” วีส์ชี้จุดลงในเอกสารที่วีร์ต้องลงลายมือชื่อไว้
“ยังมีโครงการอื่นอีกเหรอครับ” วีร์ถามในขณะที่ลงลายมือชื่อ
“มีตรงสนามหญ้าด้านหน้าอาคารใหม่ที่กำลังก่อสร้างอยู่ จะทำเป็นแบบจำลองตำแหน่งการโคจรของดวงอาทิตย์ โลก และดวงจันทร์ที่เกิดขึ้นจริง แถมยังจะเอาไปเทียบตำแหน่งกับจุดศูนย์กลางทางช้างเผือกอีก นี่ก็กำลังให้เขาออกแบบกลไกให้อยู่ เพราะว่าทางคณะอยากได้แบบว่าให้โลกหมุนรอบตัวเอง ดวงจันทร์หมุนรอบโลก แล้วก็โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ด้วย” วีส์รับเอกสารกลับคืนมาพร้อมกับยื่นซองสีขาวที่ใส่ธนบัตรไว้ตามที่ตกลงกัน
“ก็ไม่เห็นจะยากอะไร แค่ทำแกนตั้งจากพื้นแล้วก็มีกลไกหมุนอยู่ข้างล่างก็ได้แล้วมั้ง” วีร์รับซองมาแล้วก็เก็บใส่กระเป๋าเป้ของเขาเลย ไม่ได้สนใจจะเปิดดูข้างใน
“ถ้าแค่นั้นก็ดีสิ แต่ผู้ใหญ่เขาอยากได้แบบว่า โลกหมุนตามเวลาจริง ตอนนี้ส่วนไหนของโลกกำลังหันเข้าหาดวงอาทิตย์ก็ต้องเป็นไปตามนั้น ตอนนี้ดวงจันทร์อยู่ตำแหน่งไหน แล้วก็โลกกำลังอยู่ตรงไหนของวงโคจรรอบตัวอาทิตย์อีก”
“มันเยอะไปไหม ถ้าจะทำถึงขนาดนั้น” วีร์นึกสงสัย
“ยังมีมากกว่านั้นอีก แกนโลกต้องเอียงยี่สิบสามองศา ระนาบวงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ต้องเอียงหกสิบองศาจากระนาบวงโคจรของดวงอาทิตย์รอบศูนย์กลางกาแลกซี่”
วีร์ขมวดคิ้วเพราะพยายามนึกภาพตามคำบรรยายของนักเรียนทุนที่เริ่มจะตามไม่ทันแล้ว
“พวกผู้ใหญ่เขาก็เน้นย้ำนะว่า คนทั่วไปดูแล้วจะได้รู้ว่าตอนนี้โลกนั้นเอียงขั้วโลกใต้เข้าหาศูนย์กลางกาแลกซี่ แล้วช่วงฤดูใบไม้ผลิไปจนถึงใบไม้ร่วงโลกจะเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกับที่ดวงอาทิตย์เคลื่อนตัวรอบกาแลกซี่ ส่วนอีกครึ่งปีที่เหลือโลกจะเคลื่อนที่สวนทางกับดวงอาทิตย์”
วีร์ทำสีหน้าแบบว่าบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร
“นั่นแหละ กูก็ทำหน้าแบบมึงตอนที่เบื้องบนเขาบอกมา”
“รายละเอียดเยอะแบบนั้นมันจะทำได้เหรอ” วีร์ถามด้วยความสงสัยจริงๆ
“ยังไม่รู้ว่าจะได้ตามแบบที่เขาต้องการมั้ย แต่ที่รู้แล้วแน่ๆคืองบบานปลายแน่นอน”
วีร์ไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับแต่ทำเป็นเปิดโทรศัพท์ดูแทน เขาไม่ได้จะปิดกั้นการสนทนาแต่ก็ไม่ได้อยากจะต่อความ
“หายง่วงแล้วเหรอวะ” วีส์ก้มหน้าช้อนตามองคนที่กำลังก้มหน้าดูโทรศัพท์อยู่
“ก็ไม่ได้ง่วงตั้งแรกอยู่แล้ว” วีร์โต้แย้งกลับไป
“ก็นึกว่ายังง่วงอยู่ จะได้พาไปนอนพักก่อนแล้วค่อยกลับมาเรียน”
ทั้งวีร์และวีส์ต่างก็เงยหน้าขึ้นมองตรงพร้อมกัน สีหน้ากรุ้มกริ่มของชายหนุ่มร่างสูงทำให้เด็กหนุ่มผิวเข้มรู้สึกหมั่นไส้อยู่ไม่น้อย
“ได้นอน แต่จะไม่ได้เรียนน่ะสิ” วีร์เบ้ปากตอบเมื่อนึกไปถึงครั้งก่อนหน้าที่ชายหนุ่มรุ่นพี่อาสาช่วยเหลือเขา
“อ๋อ...” วีส์ยิ้มกรุ่มกริ่มอีกครั้ง “อยากจะไปอพาร์ตเมนต์กูอีกก็ไม่บอก ที่จริงกูจะชวนมึงไปนั่งพักที่ห้องอาจารย์ภูมิหรอกนะ มีเก้าอี้ให้นั่งเอนสบายๆได้ แต่ถ้ามึงอยากไปที่ห้องกูแทน เดี๋ยวกูพาไป”
“ใครจะอยากไป” วีร์ตอบแล้วก็เบนหน้าไปทางอื่น ส่วนวีส์ก็หัวเราะชอบใจที่ได้แหย่ได้แกล้ง
“ไม่ไปก็ไม่ไป... พูดถึงอาจารย์ภูมิ คนอะไรโคตรเก่งแบบสุดๆเลยว่ะ” วีส์ออกปากชื่นชมอาจารย์ที่ปรึกษาคนใหม่ของเขา
“พี่ภูมิเก่งมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ชีวิตนี้เกิดมารู้จักเกรดแค่อันเดียว คือ สี่” วีร์ก็โอ้อวดสรรพคุณพี่ชายที่พ่วงตำแหน่งคุณอาคนเล็กไปด้วย
“เกรดสี่หมดเลยเหรอวะ” วีส์รู้สึกทึ่งกับความฉลาดของภูมิ
“ก็ไม่เคยเห็นว่าจะได้เกรดอื่น” วีร์กดปิดหน้าจอโทรศัพท์หลังที่ไม่มีอะไรจะดูเพิ่มเติมอีก แล้วก็เงยหน้าขึ้นมาพบกับสายตาคู่เดิมที่ยังจ้องมองเขาอยู่อีก วีร์จึงสอดแว่นสายตาออกเผื่อว่าจะได้มองเห็นหน้าไม่ชัดจะได้ไม่รู้สึกรบกวนสายตา แต่ก็ไม่ได้ผลอะไรมากมายนัก “ไม่มีอะไรต้องไปทำเหรอครับ”
“ก็ไม่มีนะ สอบเสร็จหมดแล้ว งานก็ทำเสร็จแล้ว” วีส์ทำท่าทางนึกว่ายังเหลืออะไรที่เขาต้องทำอีก “ก็หมดแล้วนะ ช่วงนี้เลยว่าง”
“ไม่ไปซ้อมเทนนิสเหรอครับ”
“ช่วงนี้เขาไปลงแข่งตามล่ารายการกันหมด โค้ชเลยบอกงดซ้อมไปก่อน”
“แล้วไม่ไปแข่งกับเขาบ้างเหรอครับ” วีร์ยังคงถามต่อเนื่อง
“ไม่อะ ปล่อยให้พวกทุนนักกีฬาไปเก็บรางวัลดีกว่า กูก็ไม่ได้จะต้องไปเก็บพอร์ตอะไรพวกนั้นด้วย อยู่เป็นตัวสำรองง่ายๆสบายๆแบบนี้ดีกว่า”
“ไม่ใช่เพราะว่าฝีมือไม่ถึง โค้ชก็เลยไม่ส่งไปเหรอครับ” วีร์แกล้งทำเป็นส่งสายตาดูแคลน
“ระดับกูน่ะ แชมป์เยาวชนแห่งชาติสองปีซ้อนนะขอบอก ถ้าไปแข่งยังไงก็ชนะ” วีส์โอ้อวดตัวเองกลับไป
“ใช่เหรอ” วีร์เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออก แต่ก็เหมือนจะติดอะไรบางอย่างที่ทำให้คิดไม่ออก แล้วก็มองตอบกลับอย่างที่ไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไหร่ อย่างน้อยเขาก็เอาชนะคนตรงหน้ามาได้แล้วครั้งหนึ่ง
“ไม่เชื่อเหรอ ลองแข่งกันดูอีกมั้ยละ” วีส์ท้าทายกลับไป
“กลัวจะแพ้อีกรอบน่ะสิครับ เดี๋ยวจะโดนโค้ชปลดออกจากทีมเปล่าๆ” วีร์เก็บสิ่งของของเขาเองเตรียมตัวจะลุกเดินออกไป เพราะก็ใกล้ถึงเวลาเรียนของเขาเองแล้ว
“แพ้ไม่กลัวหรอก กลัวไม่ยอมแข่งด้วยมากกว่า”
วีร์อยากจะบอกปัดไปเพราะไม่ได้อยากจะไปข้องเกี่ยวกับชายหนุ่มร่างสูงมากนัก แต่โดนท้าประลองถึงถิ่นขนาดนี้ ถ้าไม่ตอบรับคงจะเสียศักดิ์ศรีไป กระนั้นก็ยังไม่ได้ตอบรับไปในทันที
“ถ้ามึงชนะ กูให้มึงขออะไรก็ได้ กูทำให้ได้หมด” วีส์เพิ่มข้อเสนอเพื่อจูงใจให้เด็กหนุ่มยอมแข่งเทนนิสกับเขา
“แน่นะครับ ว่าจะขออะไรก็ได้” วีรถามย้ำอีกครั้ง
“แน่ อะไรก็ได้” วีส์ตอบยืนยันอย่างมั่นใจ
วีร์ชั่งใจว่าจะตอบตกลงดีหรือไม่ จากการที่ได้เคยแข่งขันในคราวก่อนก็พอจะรู้ว่าอีกฝ่ายที่ฝีมืออยู่พอตัว เขาคิดว่าตัวเองก็พอจะสู้ได้ นอกเสียจากว่าอีกฝ่ายไม่ได้ใช้ฝีมือเต็มกำลังในครั้งนั้น คราวนี้ถึงได้กล้ามาท้าประลอง วีร์คิดทบทวนแล้วทบทวนอีก ก่อนที่จะหยิบแว่นสายตาขึ้นมาสวมใส่ดังเดิม
“งั้นก็ได้ครับ นัดวันมาเลย” วีร์ตอบตกลงในที่สุด
ส่วนหนุ่มร่างสูงผมสีเทาก็ยิ้มหน้าบานอย่างดีใจสุดๆ ที่สามารถหลอกล่อให้เด็กหนุ่มผิวเข้มมาทำกิจกรรมร่วมกันกับเขาได้อีกครั้ง มันจะต้องเป็นเรื่องดีแน่ๆ
อยากจะตะโกนดังๆเลย ในตอนนี้*****
#VVGo4Launch
[โปรดติดตามตอนต่อไป]