ReLove3 : Reinterpreted Love - รัก...ความหมายใหม่ (ตอนที่ 15 - 15 พ.ย. 67)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ReLove3 : Reinterpreted Love - รัก...ความหมายใหม่ (ตอนที่ 15 - 15 พ.ย. 67)  (อ่าน 9740 ครั้ง)

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Reinterpreted Love / รัก...ความหมายใหม่

*

อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง)

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17


เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-11-2024 03:18:26 โดย sarawit »

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ReLove3 : Reinterpreted Love - รัก...ความหมายใหม่
«ตอบ #1 เมื่อ01-09-2023 02:57:12 »

Reinterpreted Love / รัก...ความหมายใหม่

re - again; interbetween, among; pret(ium) – to sell, to negotiate
การพูดคุยเจรจาต่อรองระหว่างกันซ้ำไปซ้ำมาจนกว่าจะเข้าใจความหมายที่ตรงกัน

*

*

หนึ่งคนที่เจอเหตุการณ์ซ้ำร้ายจนรู้สึกกลัวใจว่าจะเกิดขึ้นอีกครั้ง แม้คิดว่าครั้งนี้อาจจะใช่

~ Finally found somebody that could be the one. But I promised myself that I wouldn't give in to love ~
(Mariah CareyThe One)

*

อีกหนึ่งคนที่เฝ้ารอโอกาสมาเป็นของตัวเองและไม่มีวันที่จะปล่อยให้ครั้งนี้หลุดมือไปอีก

~ The best thing underneath the stars. You're everything my heart desires ~
(Adam RickittEverything My Heart Desires)

*

ภาคสุดท้ายของชุด ReLove และพระเอกตัวจริงของน้องวีร์
ควรอ่านภาคก่อนหน้าเพื่อความเข้าใจเนื้อเรื่อง

Replaceable Love รัก...แทนกันได้
(ir)Replaceable Love รัก...แทนกัน(ไม่)ได้



[บทนำ]

[.1. Third Time's a Charm] | [.2. คนคู่กันมีของคู่กัน] | [.3. คนรักกันก็ต้องช่วยเหลือกัน]

[.4. คนชอบกันต้องมีอะไรทำด้วยกัน] | [.5. เราลองมาแข่งกันดูสักที] | [.6. วันโลกาวินาศ]

[.7. ครั้งแรกที่เรา...] | [.8. ขาดทุนคือกำไร] | [.9. เดินหน้าแล้วถอยหลัง]

[.10. ปัง ปัง ปัง] | [.11. อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด] | [.12. 5.. 4.. 3.. 2.. 1..]

[.13. ของสำคัญที่จากไป] | [.14. The Last Boss] | [.15. สู่การเดินทางอีกยาวไกล] ใหม่


*

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-11-2024 03:19:49 โดย sarawit »

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ReLove3 : Reinterpreted Love - รัก...ความหมายใหม่
«ตอบ #2 เมื่อ01-09-2023 03:03:11 »

บทนำ

ต่อจากนี้ เราจะตรวจสอบความพร้อมครั้งสุดท้าย ขอให้ทุกท่านเข้าประจำที่ให้เรียบร้อย

หน่วยบันทึกภาพและเสียง
....................Go for launch

ระบบข้อมูลข่าวสาร
....................Go for launch

การรวมกลุ่มผู้ติดตามพร้อมชื่อเรียกขาน
....................Go for launch

ผู้สอดส่องสื่อสังคมออนไลน์
....................Go for launch

การกำหนดชื่อแฮชแท็กตามสถานการณ์
....................Go for launch

หน่วยเคลื่อนที่เร็วยามคับขัน
....................Go for launch

ก่อนจะถึงขั้นตอนสุดท้าย ขอนำทุกคนเข้าสู่ความฟินที่ไม่ต้องจินตนาการ ทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นจริงที่ไม่ต้องมานั่งมโนไปเองให้เสียเวลา ขอกราบเรียนให้ทุกท่านยึดที่นั่งของตัวเองไว้ให้ดี เพราะนี่ไม่ใช่เรือพาย เรือเจ็ต หรือเรือสำราญ แต่เราคือเรืออวกาศที่จะพาทุกคนออกสู่จักรวาลอันไกลโพ้น ก้าวสู่ดินแดนอันไร้ขอบเขต รับรองความฟินที่เกินจะคิดฝันพรรณนาได้

เมื่อพร้อมแล้ว เริ่มนับถอยหลังกันเลย

5

4

3

2

1

#VVGo4Launch



ออฟไลน์ evanescence_69

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-3
มาแล้ว ss3

ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
Ss2 ใจร้ายมากกกกก เราผู้เชียร์วีมารุตมาโดยตลอด :hao5: :sad4: ตัดบทได้โหดร้ายมาก  :a5::sad4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-02-2024 20:48:57 โดย kong6336 »

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ตอนที่ 1 Third Time’s a Charm ครั้งที่สามจะโชคดี


หลังจากจบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายแล้ว ก็จะมีช่วงว่างอยู่เกือบครึ่งปีก่อนจะเริ่มชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย หลายคนใช้โอกาสนี้ในการหาประสบการณ์ชีวิตเพิ่มเติม ไม่ว่าจะผ่านทางการเรียนรู้เพิ่มเติมหรือว่าการท่องเที่ยว บางคนก็พักผ่อนอย่างเต็มที่ราวกับว่ามันขาดหายไปจากชีวิตเสียนาน บางคนก็ยังดิ้นรนแสวงหาที่เรียนต่อจนถึงช่วงสุดท้าย

สำหรับ วีร์ วรรัญญา เด็กหนุ่มที่ย้ายโรงเรียนในช่วงมัธยมศึกษาตอนปลาย ได้พบกับเพื่อนใหม่ สภาพสังคมที่เปลี่ยนไป และผ่านเหตุการณ์ในชีวิตที่ไม่ได้คาดคิดอย่างการสูญเสียบุคคลสำคัญไปถึงสองคนในเวลาไม่ถึงปี นั้นคือ วีรดนย์ กิจการเรืองฤทธิ์ ที่จากไปเพราะอาการป่วยที่หาสาเหตุไม่ได้จนร่างกายทรุดถอย และ วีรมาตุ ราวัณ ที่ประสบอุบัติเหตุและจากไปก่อนวัยอันควร

การเสียชีวิตของทั้งสองคนนำมาซึ่งเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าวีร์นั้นมีคำสาปอาถรรพ์ติดตัว ไม่สามารถจะครองรักกับใครได้เพราะมีเหตุให้บุคคลอันเป็นที่รักต้องมีอันเป็นไป วีร์ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะเป็นไปตามคำพูดเหล่านั้น แต่กระนั้นหลังจากการเสียชีวิตของวีรมาตุ วีร์ก็ไม่ได้มองหาหรือเริ่มต้นความสัมพันธ์กับใครเลย

อาจะเป็นเพราะว่าเข้าสู่ปีสุดท้ายก่อนการสอบเข้าเรียนระดับชั้นมหาวิทยาลัย ทำให้วีร์ต้องใช้เวลาเตรียมตัวอยู่พอสมควร รวมถึงกิจกรรมนอกเวลาเรียนที่วีร์ตอบรับเป็นเลขานุการชมรมดนตรีตามคำไว้วานของ ศศิทัศน์ ราวัณ เพื่อนสนิทและยังเป็นน้องชายของวีรมาตุ ที่ต้องการเป็นประธานชมรมดังเช่นพี่ชายของเขา นอกจากนี้วีร์ยังต้องช่วยดูแลน้องชายวัยเด็กที่กำลังซุกซน และสุนัขพันธุ์ไทยขนสั้นตัวใหญ่ทั้งสองตัวที่ได้รับมาเป็นของขวัญวันเกิดจากวีรดนย์เมื่อหลายปีก่อน

ที่สำคัญ ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ธีร์ ผู้ที่เติบโตมาในฐานะพี่ชายจนได้มารู้ภายหลังว่าเป็นพ่อแท้ๆของวีร์ และวนกร แม่ผู้ให้กำเนิดที่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ได้บอกข่าวสำคัญแก่ครอบว่าว่าพวกเขาทั้งคู่กำลังจะมีทายาทคนที่สาม ตัดหน้า อร พี่สาวคนโตของธีร์ ที่เพิ่งจะตกแต่งต่อเติมบ้านเก่าให้เป็นห้องหอสำหรับเธอและแฟนหนุ่มอย่าง เอก เสร็จไปไม่นานและเตรียมตัวเริ่มต้นชีวิตแต่งงานของทั้งคู่ในอีกไม่ช้า

ดังนั้นตลอดปีสุดท้ายของชีวิตวัยมัธยมศึกษาของวีร์แทบจะไม่มีเวลาว่างให้ความคิดฟุ้งซ่านเข้ามารบกวนได้เลย จนกระทั้งสิ้นสุดวันปิดภาคเรียน


*****


สองมือของวีร์กำลังเช็ดล้างจานชามอยู่ในครัวหลังจากที่กินอาหารกลางวันเสร็จแล้ว แม้ว่าจะมีเสียงเอิ๊กอ๊ากของเด็กชายธร ที่มีอายุใกล้จะสองขวบปี ดังไปทั่วบ้านก็ตาม แต่สายตาของวีร์กำลังมองออกไปไกล ในใจก็นึกไปถึงความฝันที่เพิ่งจะเกิดขึ้นคืนก่อนหน้า ว่าทำไมเขาถึงได้ฝันเรื่องเดิมซ้ำกันอยู่หลายครั้งในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา

ในความฝันมีชายหนุ่มคนหนึ่งที่ตัวสูงกว่าเขากับใบหน้าที่วีร์มองเห็นไม่ชัดว่าเป็นใครกันแน่ ชายหนุ่มคนนั้นเดินตามวีร์มาในซอยแคบๆ ทันใดนั้นชายหนุ่มก็พยายามรั้งตัววีร์ไว้ในขณะที่วีร์เองก็พยายามขืนตัวออก จนท้ายที่สุดวีร์ก็รู้สึกตื่นขึ้นมาตอนที่ริมฝีปากของเขาถูกประกบจากริมฝีปากของชายหนุ่มคนนั้น

ความฝันแต่ละครั้งอาจจะมีเรื่องราวที่แตกต่างกันออกไปบ้าง แต่โดยรวมแล้วมักจะจบแบบเดียวกัน

“วีร์”

วีร์สะดุ้งตัวจนเกือบจะทำจานตกลงในอ่าง ดีที่ว่าปฏิกิริยาของมืองทั้งสองยังคงไวเหมือนเดิมอยู่ จึงรีบจับไว้มั่นได้ทัน

“เหม่ออะไรอยู่ เดี๋ยวก็ทำจานแตกหรอก”

วีร์หันไปมองค้อนให้กับธีร์ที่เข้ามาทำให้เขาตกใจ แล้วก็หันกลับไปล้านจากชามต่อให้เสร็จ

“เปล่า ไม่มีอะไร” เมื่อเห็นว่าธีร์ไม่ได้พูดอะไรต่อ วีร์จึงหันกลับไปมองอีกครั้ง “พี่ธีร์มีอะไรมั้ย”

“เมื่อกี้อรเขาไลน์บอกในกลุ่มว่าเพิ่งไปหาหมอมา คอนเฟิร์มแล้วว่าท้อง”

“อืม ดีแล้วนิ” วีร์พยักหน้าตอบไปด้วย “สมใจพี่เอกเขาละ”

“ใช่ เห็นบอกอยู่ว่าแต่งแล้วอยากมีลูกเลย”

“ปีหน้าพ่อกับแม่คงชอบใจหน้าดู เกษียณฯทันออกมาเลี้ยงหลาน”

“ก็นะ ถ้าไม่ได้อยู่ไกลกันขนาดนี้ ก็คงมาช่วยเลี้ยงธรด้วยเหมือนกัน”

วีร์อมยิ้มเล็กน้อย เพราะตัวเขาคือต้นเหตุที่ทำให้ทั้งเขาและธีร์ต้องย้ายมาอยู่กันที่นี่ เพราะต้องการหาหนทางรักษาวีรดนย์ให้ได้และต้องการตามมาดูแลอย่างใกล้ชิด แม้ว่าท้ายที่สุดแล้วก็ฝืนไปต่อไม่ได้ แล้ววีร์ก็ถอนหายใจตามมาด้วยความรู้สึกที่ถูกผลักศีรษะเบาๆ

“ถ้าเราไม่ย้ายมากันที่นี่ คิดเหรอว่าพี่กับวาจะได้เจอกันอีก แล้วถ้าไม่เจอกันก็คงไม่มีธรออกมาหรอก” ธีร์ย้ำให้วีร์มั่นใจว่าไม่มีโยนความผิดเรื่องนี้ไปให้วีร์ ซึ่งอันที่จริงแล้วมันก็ไม่ใช่ความผิดอะไรตั้งแต่แรก

“ก็ไม่แน่” วีร์ล้างน้ำเปล่าจานสุดท้ายแล้วก็วางคว่ำไว้ “พี่ธีร์กับพี่วาทำงานบริษัทเดียวกัน ก่อนหน้านี้พี่ธีร์เองก็มาประชุมที่สำนักงานใหญ่อยู่บ่อยๆไม่ใช่รึไง ถ้ามันจะได้เจอกัน ยังไงก็ได้เจอ”

“ไหนว่าไม่เชื่อเรื่องโชคลางพรหมลิขิต” ธีร์พูดในเชิงเหย้าแหย่

“ก็ไม่ได้เชื่อ มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้” วีร์วางจานชามที่ล้างเสร็จแล้วไว้บนที่คว่ำจานจนหมดเรียบร้อย พอดีกับเด็กชายตัวน้อยวิ่งถือแก้วน้ำพลาสติกใบใหญ่ที่มีหูจับทั้งสองข้างมาหาผู้ใหญ่ทั้งสองคน

“ล้าง” เด็กชายธรชูแก้วน้ำให้วีร์

“กินเสร็จแล้วเหรอ” วีร์แก้วน้ำมาจากเด็กตัวน้อย

“เช็ดแย้ว” เมื่อตอบแล้วเด็กชายธรก็เตรียมจะวิ่งกลับไปแต่โดนวีร์รั้งตัวไปเสียก่อน

“ล้างมือแล้วยัง” วีร์ถามแล้วก็มองดูเด็กน้อยยกมือทั้งสองข้างของตัวเองขึ้นมาดูก่อนที่จะชูฝามือให้วีร์ดู “งั้นมา ล้างมือก่อน” วีร์ช่วยยกตัวเด็กน้อยให้ถึงอ่างล้างจานโดยมีธีร์ช่วยเปิดก๊อกน้ำและช่วยถูมือทั้งสองข้างของเด็กน้อย หลังจากนั้นวีร์ก็อุ้มธรไปที่ผ้าเช็ดมือ แล้วจึงปล่อยตัวเด็กน้อยลงให้กลับไปวิ่งเล่นในบ้านหลังจากที่เสร็จทุกกระบวนการแล้ว

“เดี๋ยววันนี้ออกไปไหนรึเปล่า”

“คิดว่าไม่นะ” วีร์หันกลับไปล้างแก้วน้ำชิ้นสุดท้ายที่เพิ่งจะถูกนำส่งมา “ทำไมอะ”

“ถามเฉยๆ เห็นปิดเทอมแล้วก็อยู่แต่บ้าน ไม่นัดเพื่อนออกไปไหนกันบ้างรึไง”

“พวกไอ้กิ่งก้านมันยังไปไหนไม่ได้ ต้องเตรียมตัวสอบรอบสุดท้าย ใหญ่มันก็ต้องทำงาน ส่วนไอ้บิ๊กกับไอ้ตี๋เล็ก เดี๋ยวพวกมันก็ต้องเริ่มเรียนปรับพื้นฐานแล้ว ตอนแรกก็กว่าจะลงใต้ไปสักอาทิตย์นึง แต่เห็นแต่ละคนกำลังวิ่งวุ่นหาที่เรียนกันอยู่ ก็เลยคิดว่าอีกสักพักก็แล้วกัน”

“แล้วแพรกับต่ายสอบได้ที่ไหนกัน” ธีร์ถามไปถึงแพรไหม เพื่อนสนิทเก่าแก่ตั้งแต่วัยแบเบาะของวีร์ และวิธู ซึ่งเป็นน้องชายของวีรดนย์อีกด้วย

“ยังไม่เห็นบอกมาเลย อีดำไม่น่าห่วงหรอก ยื่นที่ไหนก็ได้อยู่แล้ว” สรรพนามเรียนหญิงสาวที่มีผิวเข้มไม่เปลี่ยนแปลง ตราบใดที่อีกฝ่ายยังคงเรียกวีร์ว่า อีอ้วน อยู่เหมือนเดิม “แต่ของไอ้ต่ายนี้ลุ้นหนักหน่อย ถ้ามันหัวดีได้สักครึ่งของพี่มันนะ สบายแล้ว”

สองหนุ่มธีร์และวีร์เดินกลับเข้าไปในบ้านในจังหวะเดียวกันกับที่วนกรกำลังเดินอุ้ยอ้ายไปหยิบหนังสือมานั่งอ่านกับเด็กตัวน้อยที่วิ่งนำหน้าไปนั่งรอที่เก้าอี้ยาวที่หน้าโทรทัศน์แล้ว

“เดี๋ยวตอนเย็นไปหาอะไรกินนอกบ้านมั้ย” วนกรเสนอความคิดขึ้นมา

“อืม.. ก็ได้นะ วีร์ว่าไง” ธีร์หันไปถามความเห็นจากวีร์

“ไม่มีปัญหา แล้วจะไปที่ไหนกัน” วีร์ไม่ได้ปฏิเสธ

“ไปห้างก็ได้ จะได้ซื้อของด้วย” วนกรรอคำตอบจากทั้งชายหนุ่มสองคน แต่เมื่อได้ยินคำว่าจะไปห้างสรรพสินค้า เด็กชายตัวน้อยก็ร้องดีใจดังกว่าใครเพื่อน จึงทำให้ได้คำตัดสินใจโดยที่ไม่สามารถโต้แย้งอะไรต่อได้อีก


*****


เหมือนดั่งเฉกเช่นทุกๆวันที่มีผู้คนพลุกพล่านภายในห้างสรรพสินค้า อาจจะมีมากน้อยในแต่ละแผนกแตกต่างกันไปในแต่ละวัน เพราะมีสินค้าหลากหลายประเภทที่ตอบสนองความต้องการที่หลายหลาย ไม่ว่าใครจะมาด้วยวัตถุประสงค์อะไรก็ตาม

วีร์และครอบครัวตัดสินใจใช้บริการแผนกซุปเปอร์มาร์เก็ตก่อนและได้นำของไปเก็บไว้ที่รถเรียบร้อยแล้ว จากนั้นจึงกลับมาเลือกร้านอาหารสำหรับมื้อเย็นและจบลงด้วยการเดินดูของทั่วไปในภายหลังก่อนที่จะกลับ

วีร์เดินจูงมือธรตามหลังธีร์และวนกรที่กำลังย้ายจากแผนกหนึ่งไปยังอีกแผนกหนึ่ง มีสินค้าหลายอย่างทั้งคู่ตั้งใจจะซื้อเข้าบ้าน แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจแน่ชัดในตอนนี้เพราะต้องการเปรียบเทียบข้อมูลก่อนตัดสินใจ จึงเลือกดูและเก็บข้อมูลไว้เท่านั้น

“นาย!” เด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาสะกิดบ่าและทักทายวีร์โดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว

วีร์มองตอบด้วยความแปลกใจ เขาพอจะคุ้นหน้าตาของอีกฝ่ายว่าเป็นคู่แข่งขันเทนนิสจากโรงเรียนชายล้วนในกีฬาประเพณีสี่สถาบันที่มีโรงเรียนของเขาร่วมด้วย และหลังจากจบการแข่งแล้วอีกฝ่ายก็เดินตรงเข้ามาถามคำถามกับเขาที่เป็นที่พูดถึงในโลกสื่อสังคมออนไลน์อยู่ไม่น้อย

“จำเราได้รึเปล่า”

“จำได้ มีอะไรรึเปล่า” วีร์พยักหน้าตอบรับแบบสงวนท่าที

“แค่เข้ามาทักเฉยๆ เห็นเดินอยู่ มาซื้อของกันเหรอ” เด็กหนุ่มถามพร้อมกันชำเลืองเด็กตัวน้อยที่วีร์จูงมืออยู่ไปด้วย

“ใช่ มากับครอบครัว” วีร์ตอบกลับโดยที่ประเมินท่าที่ของเด็กหนุ่มไปด้วยว่าต้องการอะไรจากเขา

“อ๋อ” เด็กหนุ่มตอบกลับแล้วก็ยิ้มทักทายหนุ่มสาวสองคนที่เดินมาหาพวกเขา

“วีร์ นี่เพื่อนเหรอ” ธีร์ถามเพราะว่าไม่เคยเห็นหน้าตาของอีกฝ่ายมาก่อน

“อ่า... เคยแข่งเทนนิสด้วยกัน” ธีร์ขมวดคิ้วถามกลับ เพราะเขาค่อนข้างจะมั่นใจว่าวีร์ไม่ได้ชอบลงแข่งกีฬาเทนนิสสักเท่าไหร่ จนวีร์ต้องอธิบายเพิ่มเติม “กีฬาประเพณีของโรงเรียน”

“อ๋อ” ธีร์เหมือนจะนึกเรื่องราวขึ้นได้ “แสดงว่าไม่ได้อยู่โรงเรียนกันสิ”

“ครับ ผมจบจากโรงเรียนประจำชายล้วนครับ”

ธีร์นั้นพยักหน้ารับรู้ แต่วนกรกลับมีสีหน้าสงสัย

“เอ... พี่เคยเจอเรารึเปล่า เหมือนจะคุ้นๆหน้านะ” วนกรถาม

“ไม่แน่ใจเหมือกันครับ” เด็กหนุ่มยิ้มตอบกลับอย่างมั่นใจ ไม่มีอะไรที่ดูน่าสงสัย

“เหรอ... งั้นก็ช่างเถอะ พี่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน” วนกรตอบปัดไปเพราะเห็นว่าถึงจะสอบถามกันไปมาก็อาจจะไม่ได้คำตอบ แล้วจึงกวักมือเรียนเด็กตัวน้อย “ธร ไปดูของเล่นกับแม่มั้ย”

เมื่อได้ยินคำว่าของเล่น เด็กน้อยธรก็ยินดีปล่อยมือพี่ชายคนโตแล้วก็เดินไปหามารดาด้วยความเต็มใจ

“วีร์ เดี๋ยวตามไปนะ” ธีร์บอกทิ้งท้ายก่อนที่จะหันเดินตามศรีภรรยาไป และก็ไม่ลืมหันกลับมายักคิ้วหลิ่วตาให้วีร์ โดยที่วีร์ไม่ทันจะได้ตอบกลับว่าอีกฝ่ายนั้นกำลังเข้าใจผิด

“มีอะไรรึเปล่า” เด็กหนุ่มเมื่อเห็นท่าทางของวีร์ที่ทั้งกรอกตามองและพ่นลมหายใจออกมา

“เปล่าไม่มีอะไร แล้วนายมีอะไรอีกรึเปล่า” วีร์ตอบและถามกลับ

“อ๋อ ไม่แล้ว อย่างที่บอก แค่เห็นแล้วก็เดินมาทักเฉยๆ พอดีว่ากำลังจะไปร้านทำผม แบบว่าอยากถ่ายรูปติดบัตรแล้วออกมาดูดีหน่อยน่ะ”

วีร์ยิ้มเล็กๆตอบรับตามมารยาที่ดีกับคำอธิบายที่เขาไม่ได้ถาม

“งั้นเราไปก่อนนะ ไม่รบกวนเวลานายแล้วดีกว่า”

วีร์ก็พยักหน้าตอบ และมองดูเด็กหนุ่มที่เดินจากไปแล้วแต่ก็หันกลับและเดินมาหาเขาอีกครั้ง

“ขอถามอะไรหน่อยสิ”

วีร์ยังคงอมยิ้มค้างอยู่ แต่ก็เริ่มมีความคิดสงสัยสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังจะถาม และถ้าเป็นคนทั่วไปก็คงจะบอกว่าทำไมถึงซื้อล็อตเตอรี่ไม่ถูกแบบนี้บ้าง

“ตอนนี้นายมีแฟนแล้วยัง”

ถึงแม้ว่าจะเดาทางไว้ถูก แต่เมื่อได้ยินคำถามเข้าจริงแล้ว วีร์ก็รู้สึกอ้ำอึ้งที่จะพูดตอบอยู่เหมือนกัน

“งั้น เราถือยังไม่มีก็แล้วกันนะ” เด็กหนุ่มชิงสรุปความแทนเมื่อเห็นว่ากำลังจะตอบแต่ก็ไม่ตอบกลับไปกลับมาอยู่หลายครั้ง ก่อนที่จะบอกลาแล้วเดินจากไปในทันที “ไว้เจอกันนะ”

ทิ้งให้วีร์ยืนงงสงสัยในดงผู้คนมากมาย หลังจากที่เด็กหนุ่มเดินลับสายตาไปแล้ว วีร์พยายามนึกทบทวนว่าเพิ่งจะเกิดอะไรขึ้น ขนาดว่าเกิดขึ้นครั้งเดียวก็ดูน่าสงสัยแล้ว และนี่ยิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองยิ่งทำให้น่าคิดมากกว่าเดิม ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะเคยบอกไว้ในครั้งแรกถามว่าเขาไม่ได้ถามให้ตัวเขาเอง

แต่ส่วนมากที่บอกว่า เพื่อนฝากมาถาม ก็มักจะเป็นคำถามของตัวเองไม่ใช่หรือ


*****


ช่วงนี้เหล่านักเรียนชั้นมัธยมศึกษากำลังเปิดภาคเรียนใหม่แล้ว  และแน่นอนว่ากิจกรรมอย่างแรกสุดหลังจากวันพบผู้ปกครองก็คือการปฐมนิเทศน์ วีร์และผองเพื่อนก็ถือโอกาสกลับมาเยี่ยมเยียนโรงเรียนเก่าอีกครั้ง แต่เพราะว่าเป็นวันของศิษย์ปัจจุบัน เหล่าศิษย์อย่างเพื่อนๆร่วมรุ่นจึงมากันไม่มากนัก

วีร์แต่งชุดสุภาพมาไม่ต่างไปจากคนอื่นๆ ยกเว้นก็เพียง ศศิทัศน์และพระยศ สองว่าที่นักศึกษาแพทย์ที่ใส่เสื้อโปโลสีน้ำเงินปกเสื้อสีขาวและกระเป๋าเสื้อมีตราสัญลักษณ์สมาคมศิษย์เก่าปักไว้อยู่ เพราะต้องขึ้นรับรางวัลนักเรียนดีเด่นในช่วงบ่าย

ส่วนวีร์ที่ตั้งใจจะนั่งรออยู่ภายในบริเวณโรงเรียนกับเพื่อนๆคนอื่นๆ แต่ก็ถูกไว้วานจากรุ่นน้องชมรมถ่ายรูปขอให้ไปช่วยงาน ซึ่งวีร์ก็ไม่ได้เกี่ยงงอนอะไร ถึงปีสุดท้ายวีร์จะไปทำงานให้กับชมรมดนตรี แต่ความสนิทสนมกับคนชมรมถ่ายรูปยังคงเหมือนเดิมทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้อง

อันที่จริงในช่วงปีสุดท้าย วีร์รู้สึกเหมือนว่าเขาต้องทำงานเลขานุการถึงสามชมรมไปพร้อมกัน คือชมรมดนตรี ชมรมถ่ายรูป และชมรมหมากรุกซึ่งในตอนนี้ก็มีเสริมศักดิ์น้องชายของสุรศักดิ์ก้าวขึ้นมาทำหน้าที่ประธานชมรม ดังที่ศศิทัศน์หมายมั่นปั้นมือไว้

“เฮ้อ คิดถึงวัยเด็ก” “นั่นสิ เป็นเด็กอะไรก็ดีไปหมด”

“พวกมึงสองตัวพูดเหมือนกับว่าจบไปแล้วเป็นสิบๆปี ทั้งๆที่พวกมึงเพิ่งจะเรียนจบไปไม่กี่เดือนเอง” สุรศักดิ์พูดตัดอารมณ์ของคู่แฝดนพชัยและชัยทิศ “แล้วเดี๋ยวนี้นะ พวกมึงสองตัวจะมาบอกว่าพวกมึงไม่รวยแต่บ้านมึงรวย เหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้วนะเว้ย”

“โหย ก็ยังไม่รวยจริงๆเหมือนเดิมนั่นแหละว่ะ” “ได้หุ้นมาแค่นิดนึงเอง ไม่ใช่ได้สมบัติมาเป็นกองๆซะเมื่อไหร่”

“นิดนึงของบ้านพวกมึง กูกินใช้ได้เป็นปีๆ” สุรศักดิ์สวนกลับทันควัน

“พวกกูก็ต้องมีเหลือไว้กินใช้ให้ได้ถึงปีเหมือนกันคร๊าบ” “ใช่ หมดแล้วหมดเลย ไม่มีเงินเพิ่มให้แล้ว”

“หมายความว่ายังไงวะ” ข้าวฟ่างถามคู่แฝดด้วยความสงสัย

“ก็คือตามธรรมเนียมของบ้านกูเนี่ย พอจบม.ปลายแล้วแต่ละคนจะได้ส่วนแบ่งหุ้นล้ำเลิศรัตนทรัพย์มาเท่าๆกัน” “แต่นั้นก็หมายความว่าต่อจากนี้พวกกูต้องจัดการเรื่องเงินกันเอง ทุกเรื่อง เพราะพ่อแม่กูจะไม่ให้เงินเพิ่มอะไรแล้ว” “ถือว่ามีทุนเป็นของตัวเองแล้ว” “ทุกอย่างที่เหลือ ถ้าหมดก็คืออด”

“แล้วยังไง” ข้าวฟ่างยังคงไม่เข้าใจ เพราะเท่าที่เขาและคนอื่นๆรู้ว่ากลุ่มล้ำเลิศเป็นกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

“พวกกูก็ต้องแบ่งใช้ให้พอจนกว่าปันผลรอบใหม่จะออกมาน่ะสิวะ” หนึ่งในฝาแฝดโอดครวญ

“กูก็ยังไม่เห็นว่ามันจะเป็นปัญหาตรงไหน”

ทั้งนพชัยและชัยทิศยังคงมีท่าทางอ่อนระโหยโรยแรงอยู่เหมือนเดิม

“ถามจริง มึงได้หุ้นกันมาคนละเท่าไหร่” สรุศักดิ์ถามทั้งสองคน

“คนละ... แสนหุ้น” หนึ่งในคู่แฝดตอบด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้มในช่วงท้าย

“เดี๋ยวนะ แสนหุ้น! ราคาหุ้นเครือล้ำเลิศมันหกสิบเจ็บบาทเลยไม่ใช่เหรอวะ แล้วได้ข่าวว่าปันผลทีนึงก็ไม่ใช่น้อยๆ” ข้าวฟ่างพูดด้วยความตื่นเต้นและตกใจ

“โน โน โน ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์นั่นมันหุ้นเครือล้ำเลิศ” “อันนี้คือหุ้นล้ำเลิศรัตนทรัพย์ บริษัทแม่ของเครือล้ำเลิศอีกที” “ที่ไม่ได้เข้าตลาด” “และไม่ได้ขายให้คนนอก”

“แล้วจ่ายปันผลหุ้นละเท่าไหร่วะ” ข้าวฟ่างถามต่อ

“เห็นพี่อัฐบอกว่าปกติก็หุ้นละสองสามบาท” “ถ้าปีไหนดีหน่อย ก็อาจจะไปถึงห้าหกบาท”

เพื่อนคนอื่นๆเริ่มคิดคำนวณประมาณการจำนวนเงินที่ทั้งสองจะได้รับ

“แล้วจ่ายปันผลปีละกี่รอบ” สุรศักดิ์ถามด้วยน้ำเสียงปกติ แต่สายตาหรี่มองทั้งสองคนอย่างคาดคั้น

“ก็... แบบว่า...”

แล้วทั้งนพชัยและชัยทิศก็ชูนิ้วชี้และนิ้วกลางขึ้นมาพร้อมกัน

“เฮ้อ เบื่อจะคุยกับพวกคนรวย” สุรศักดิ์หันหน้าไปทางอื่น หลังจากที่ได้ฟังแล้วก็ยังไม่เห็นถึงความลำบากอะไรตรงไหน นั่งนอนเฉยๆก็มีเงินมาให้ใช้ ต่างจากเขาที่ตอนนี้ต้องทำงานทุกวันเพื่อให้พ่อและแม่ของเขามีเวลาพักผ่อนมากขึ้น และช่วยส่งเสียน้องทั้งสองอย่างเสริมศักดิ์และสิริศักดิ์ให้เรียนจบอย่างที่ตั้งใจ แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอะไร

ในตอนนั้นเองที่ศศิทัศน์และพระยศเดินถือโล่รางวัลตรงมาหาพวกเพื่อน ตามติดมาด้วยวีร์และหนุ่มลูกครึ่งอย่างเดวิดที่อยู่ในชุดโปโลสีน้ำเงินปกเสื้อสีขาวอีกคนหนึ่ง

“เฮ้อ กว่าจะเสร็จเรื่อง” เมื่อนั่งลงเรียบร้อยแล้ว ศศิทัศน์ก็เริ่มบ่นทันที

“ทำไม มีอะไรวะ” ข้าวฟ่างถาม

“ผอ.อยากถ่ายรูปรวมแบบจัดเต็ม เลยต้องไปตามเด็กม.4 ที่ได้รางวัลรอบเช้ามาถ่ายด้วยกันอีก” พระยศอธิบายให้ฟัง

“แล้วนี่เดี๋ยวพวกมึงจะรีบไปไหนมั้ย” ศศิทัศน์หันไปถามเพื่อนๆทุกคน

“ทำไมวะ หรือมึงอยากจะไปดริงก์” ข้าวฟางทำท่าทางยกแก้วเหล้าขึ้นซด

“โอ้ย ไม่เอาอะ ขี้เกียจแบกไอ้วีร์กลับบ้าน” ศศิทัศน์บอกปัด

“โห ไอ้ตี๋เล็ก มึงพูดอย่างกะกูเมาเละเทะ” วีร์กรอกตามอง แม้จะเป็นแค่ครั้งเดียวแต่ก็คงจะโดนล้อไปอีกนาน “เออ ว่าแต่... ตอนนั้นกูนั่งอยู่คนเดียวจริงๆใช่มั้ย ไม่ได้มีใครอยู่ด้วยใช่มั้ย”

“ใช่ ตอนพวกกูพาไอ้พวกแฝดนรกออกมาจากร้านก็เห็นมึงนั่งฟุบอยู่คนเดียว ทำไมวะ เรื่องนี้มึงถามกูหลายรอบแล้วนะ มีอะไรรึเปล่าวะ” ศศิทัศน์มองดูด้วยวามสงสัย

“เปล่า ไม่มีอะไร”

“หรือว่าของมึงหาย มีคนมาตบทรัพย์มึง ให้พี่กูเช็คกล้องวงจรปิดให้มั้ย” ข้าวฟ่างถามด้วยความเป็นห่วง

“แถวนั้นมีกล้องวงจรปิดด้วยเหรอวะ” วีร์รู้สึกตื่นตัวขึ้นมาแต่ก็สงวนท่าทีของตัวเองให้เป็นปกติมากที่สุด

“ที่หลังร้านมีตรงหน้าประตู แต่ถ้าไกลออกไปจากนั้นต้องลองไปถามร้านอื่นดู”

วีร์พยักหน้ารับรู้ เพราะหากว่ามีกล้องวงจรในบริเวณนั้นจริงๆ ก็อาจจะคลี่คลายข้อสงสัยที่เกี่ยวข้องเรื่องราวในความฝันของเขาได้เสียที

“ถึงจะมีจริง แต่ป่านนี้แล้วจะยังมีเหลือเก็บบันทึกไว้รึเปล่าเหอะ” สรุศักดิ์แย้งด้วยเหตุผล

“กูก็ว่างั้น” ศศิทัศน์เองก็เห็นตามไปด้วย “มึงไม่มีอะไรแน่นะ”

วีร์ส่ายหน้าปฏิเสธ เพื่อนๆจึงไม่ได้ต่อความเรื่องนี้อีก

“แล้วสรุปจะไปไหนกันมั้ย” ศศิทัศน์ถามความเห็นจากเพื่อนๆ ซึ่งต่างคนก็หันมองหน้ากันว่าใครจะเอาอย่างไร “ไม่งั้นก็ไปนั่งร้านไอ้ใหญ่มั้ย ไม่ได้ไปนั่งรวมตัวด้วยกันนานแล้ว”

“วันนี้ร้านมันปิดไม่ใช่เหรอวะ” พระยศหันไปยืนยันคำตอบจากสรุศักดิ์ให้แน่ใจ

“ปิดสิวะ วันนี้โรงเรียนหนูเล็กเปิดวันแรก พ่อกับแม่กูไปกันหมด กูก็เลยบอกว่างั้นปิดต่อเนื่องเลย ถือโอกาสพักผ่อนไปด้วย” สรุศักดิ์ย้ำคำตอบ

“งั้นก็อด” ศศิทัศน์รู้สึกเสียดายเพราะโอกาสรวมตัวกันครบทีมหหลังจบการศึกษาไปแล้วไม่ได้มีบ่อยๆ แต่ต่อไปก็คงจะยากขึ้นเรื่อยๆ

“ไปที่อื่นก็ได้มั้งมึง” ข้าวฟ่างเสนอความเห็น

“ไม่เอาอะ ขี้เกียจไปไหนไกล กูกะว่าแค่ข้ามฟากไปก็พอ” ศศิทัศน์บอกปัดก่อนที่จะพูดต่อ “ไม่งั้นก็ไว้วันหลัง กูก็จะกลับหอพักเลย”

“โห ไรวะ จะรีบกลับไปไหน หอพักไม่ได้จะย้ายไปไหนสักหน่อย” ข้าวฟ่างอดที่จะแซวกลับไม่ได้

“แต่พรุ่งนี้พวกกูมีเรียนครับ” ศศิทัศน์ตอบ ซึ่งพระยศเองก็พยักหน้ายืนยัน

“เออ แล้วแต่มึงละกัน” ข้าวฟ่างตอบ “สงสัยจะได้เจอกันอีกที ก็โน้น... วันปฐมนิเทศน์”

“กูว่าเดี๋ยวก็คงจะไม่ได้เจอกันหรอก เรียนกันคนละคณะแบบนี้” สุรศักดิ์ส่ายตามองเพื่อนๆแต่ละที่เติบโตแยกย้ายไปตามทางของตัวเอง

“กูก็ว่างั้น” เดวิดก็เห็นด้วย โดยสายตามองไปที่ใครคนหนึ่งที่ไม่ได้เรียนต่อคณะเดียวกับเขา


*****


ช่วงเวลาสองสามเดือนสุดท้ายก่อนเริ่มชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย วีร์ใช้เวลาไปกับการดูแลทั้งน้องชายตัวน้อยและสุนัขทั้งสองตัว เนื่องจากวนกรมีอายุครรภ์ใกล้คลอดเข้ามาทุกที ถึงแม้ว่าจะคำนวณเวลาออกมาแล้วว่ามีความเป็นไปได้ที่สมาชิกคนใหม่ของบ้านอาจจะมีวันเกิดร่วมกันกับคนอื่นๆ แต่ทุกคนต่างก็เห็นตรงว่าให้เป็นเรื่องของธรรมชาติตัดสิน

นอกจากนี้วีร์ยังรับเป็นคู่ฝึกซ้อมเทนนิสให้กับพีรพัชร์ เพื่อนรุ่นพี่ที่รู้จักกันมานานอยู่บ้างเป็นครั้งคราว เพื่อฝึกฝนฝีมือไว้ใช้สำหรับการแข่งขันในฐานะนักเรียนทุนด้านกีฬา

ส่วนเพื่อนๆร่วมโรงเรียนเก่านั้น ไม่ว่าจะเป็นศศิทัศน์ พระยศ นพชัย ชัยทิศ และสรุศักดิ์ ก็ได้นัดพบเจอบ้างเท่าที่โอกาสจะเอื้ออำนวย แต่อย่างไรก็ตามทุกคนยกเว้นเพียงสุรศักดิ์เท่านั้นที่ตัดสินไม่เรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย ล้วนแล้วสอบเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเดียวกันทุกคน

ศศิทัศน์และพระยศเข้าเรียนต่อคณะแพทย์ศาสตร์ตามที่ตั้งใจไว้แต่แรก นพชัยสอบได้คณะวิศวกรรมศาสตร์ ตั้งใจจะเรียนสาขาเครื่องกล ส่วนคู่แฝดอย่างชัยทิศสอบได้คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาขาอิเล็กทรอนิกส์ โดยหวังว่าจะสามารถนำมาต่อยอดในกิจการของครอบครัวได้

ส่วนวีร์นั้น เดิมทีก็ไม่แน่ใจว่าอยากจะเรียนด้านไหน วีร์ไม่มีความคิดจะเรียนด้านวิศวกรรมศาสตร์อย่างธีร์อยู่ในหัวเลย พีรพัชร์เองก็เคยเชิญชวนให้ลองสมัครคณะวิทยาศาสตร์การกีฬาเช่นเดียวกับเขา แต่วีร์อยากจะเก็บการเล่นเทนนิสไว้เป็นงานอดิเรกมากกว่า หรืออาจจะเลือกเรียนวิชาการบัญชีอย่างวนกรและอร แต่อาจารย์พิจิตราที่เป็นที่ปรึกษาชมรมถ่ายรูปที่โรงเรียนเก่าก็เคยแนะนำให้วีร์ลองดูคณะศิลปกรรมศาสตร์ แต่วีร์ก็คิดว่าตัวเองไม่ได้มีความถนัดเอนเอียงไปด้านนั้นสักเท่าไหร่ เมื่อคิดทบทวนรอบด้านและปรึกษาทุกคนรอบตัวแล้ว สุดท้ายวีร์ตัดสินใจเลือกสมัครคณะเศรษฐศาสตร์ อย่างน้อยความถนัดทางคณิตศาสตร์ที่มีอยู่ก็อาจจะช่วยการเรียนของเขาได้



[อ่านต่อด้านล่าง]

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
วันแรกพบนักศึกษาใหม่ เป็นวันรวมตัวนักศึกษาที่สอบเข้ามาใหม่ ไม่ว่าจะเป็นคนที่เพิ่งเรียนจบชั้นมัธยมศึกษามาหมาดๆหรือจะเป็นคนที่ออกไปทำงานหาประสบการณ์และเงินทุนมากพอแล้วจึงมาสอบเข้าภายหลังก็ตาม วันนี้เป็นวันที่ทุกคนจะได้มาทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมรุ่นที่จะอยู่ช่วยเหลือกันไปจนจบการศึกษา และได้มาฟังเรื่องราว คำแนะนำและประสบการณ์การใช้ชีวิตที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้จากนักศึกษาปีสูง สิ่งที่ต้องรู้ สิ่งที่ควรทำ จะได้เรียนจบการศึกษาอย่างราบรื่น

เนื่องจากวีร์และเพื่อนๆที่ต่างก็สอบเข้าเรียนคนละคณะกัน ดังนั้นในช่วงเช้าวันนี้ต่างคนก็แยกย้ายไปยังยังคณะใหม่ของตัวเอง ก่อนที่จะมีกิจกรรมรวมนักศึกษาใหม่ของทุกคณะในช่วงบ่าย

วีร์เดินตามทางที่ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่ทั้งสองข้างทาง มุ่งหน้าสู่ตึกคณะเศรษฐศาสตร์ ระหว่างทางก็มีผู้ร่วมทางที่ต่างเดินไปตามจุดหมายของตัวเอง แต่วีร์เองก็ไม่แน่ใจว่าใครเป็นนักศึกษาใหม่หรือใครเป็นนักศึกษาเก่าเพราะไม่มีเครื่องหมายอะไรบ่งบอกได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องแต่งกายหรือสัญลักษณ์ใดๆ

“ขอโทษนะคะ” หญิงสาวคนหนึ่งส่งเสียงเรียกระหว่างที่วีร์กำลังเดินไปตามทาง

“ครับ” วีร์ตอบรับอย่างสุภาพ

“พอจะรู้มั้ยคะว่าคณะเศรษฐศาสตร์ไปทางไหน พอดีว่าเราจบจากต่างจังหวัดเพิ่งจะมาที่นี่ครั้งแรก แล้วทั้งโรงเรียนก็มีเราคนเดียวที่สอบเข้าที่นี่ได้ ไม่รู้จะไปถามใครดี” หญิงสาวมีรูปร่างและหน้าตาถือว่าสละสลวย ผิวพรรณไม่ได้ขาวมาก ผมยาวพอประมาณ ดวงตากลมโต แต่งตัวทะมัดทะแมง

“ไปด้วยกันก็ได้ครับ” วีร์เอ่ยปากชวนโดยเดาเอาว่าหญิงสาวคงจะเป็นว่าเพื่อนร่วมคณะ

“ไม่ได้รบกวนนะคะ” หญิงสาวถามอย่างแบบเกรงใจ

“ไม่ครับ กำลังจะไปคณะเศรษฐศาสตร์พอดี”

หญิงสาวมีท่าทีฉุกคิดแล้วก็แสดงสีหน้าตีความออกได้ ก่อนที่จะสำรวจลักษณะท่าทางของวีร์

“อ๋อ เพื่อนร่วมคณะใช่มั้ย” วีร์ก็พยักหน้าตอบกลับ “ดีเลย เราชื่อแพรวานะ เรียกแพรเฉยๆก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จักนะ”

วีร์รู้สึกเหมือนกำลังเห็นภาพเหตุการณ์อะไรบางอย่างทับซ้อนขึ้นมา คนหนึ่งหน้าคมผิวเข้ม ส่วนอีกคนก็ผิวขาวหมวย ส่วนหญิงสาวตรงหน้าก็อยู่ประมาณระหว่างกลางของสองคนนั้น

“มีอะไรรึเปล่า” แพรวาเห็นวีร์นิ่งไปไม่ได้แนะนำตัวเองกลับ กำลังคิดจะถอนตัวออกจากว่าที่เพื่อนใหม่

“อ๋อ ไม่มีอะไรอย่าใส่ใจ เราชื่อวีร์ เรียกวีร์เฉยๆก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จักเหมือนกัน”

เมื่อเห็นวีร์ตอบกลับแล้วแพราวาก็ใจชื้นขึ้นมา โดยเฉพาะตอนที่วีร์ตอบกลับโดยล้อประโยคทักทายของเธอ แล้วทั้งคู่ก็เริ่มออกเดินต่อ

“วีร์สอบติดที่นี่คนเดียวเหรอ”

“เปล่าหรอก มีเพื่อนสอบติดด้วย แต่ว่าวันนี้ยังไม่เจอใครเลย”

หญิงสาวพยักหน้ารับรู้แล้วก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ ทั้งคู่เดินมุ่งหน้าไปด้วยกันอย่างเงียบๆ และมีหยุดแวะทักทายเพื่อนของวีร์สองสามคนที่เจอระหว่างทางบ้าง จนใกล้ถึงที่หมาย

“วีร์” หญิงสาวเรียกชื่อขึ้นมา

“มีอะไรเหรอ” วีร์หันไปถามก็เห็นท่าทางของหญิงสาวที่ดูเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่พูดอะไรต่อ วีร์จึงถามกครั้ง “มีอะไรรึเปล่า”

“คือ... เราจะบอกว่า... เอ่อ... เราชอบผู้หญิง” แพรวาผู้ที่ความคิดว่าชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่จะเป็นตัวของตัวเองเสยที เมื่อมีโอกาสได้พบเพื่อนใหม่ จึงอยากจะลองดูสักครั้งที่จะกล้าเปิดเผยตัวเอง “เอ่อ... ถ้า...”

“ขอบคุณนะที่บอก พอดีว่าเราเองก็... ชอบผู้ชาย” วีร์ยิ้มตอบกลับ

แพรวาได้ยินคำตอบแล้วก็รู้สึกโล่งใจ เหมือนแสงแดดกำลังส่องสว่างท้องฟ้ากำลังสดใส แม้ว่าในความเป็นจริงจะมีเมฆครึ่มปกคลุมอยู่ก็ตาม อย่างน้อยการตัดสินใจเริ่มต้นใหม่ครั้งนี้ก็ไม่ได้ดูเลวร้ายอย่างที่เธอคิดไว้

“ตึกคณะอยู่ข้างหน้าแล้ว ไปกันเถอะ”

สองหนุ่มสาวเดินตรงไปที่โต๊ะด้านหน้าคณะที่มีกลุ่มนักศึกษายืนออกกันอยู่ มีนักศึกษารุ่นพี่ที่ยืนถือโทรโข่งคอยประกาศเรียกและอธิบายขั้นตอนที่ต้องทำ อันดับก็คือลงทะเบียน

“วีร์ๆ มานี่เลย” นักศึกษาชายหนุ่มที่นั่งอยู่ที่โต๊ะลงทะเบียน ลุกขึ้นยืนและกวักมือเรียกวีร์

“พี่ป๊อบ สวัสดีครับ” วีร์ยกมือไหว้ทักทายรุ่นพี่ที่รู้จักกัน แพรวาเห็นดังนั้นก็ทำตามเช่นกัน

“มาลงชื่อเลย ไอ้กิ๊บโทรมาสั่งกูไว้แล้วว่าให้ดูแลมึงด้วย น้องก็ด้วยนะ” ชายหนุ่มมองดูแพรวาอย่างสงสัย จึงได้เอ่ยปากถามวีร์ “นี่...รุ่นน้องโรงเรียนเรารึเปล่า”

“เปล่าครับพี่ นี่เพื่อนใหม่ชื่อแพรวา เพิ่งเจอกันระหว่างทาง” วีร์อธิบายให้ฟัง

“ชื่อแพรวานะ...”

“คะ เรียกแพรเฉยๆก็ได้คะ”

ชายหนุ่มรุ่นพี่เปิดดูเอกสารหารายชื่อ “นี่เจอแล้ว ลงชื่อเลยครับน้อง” ก่อนที่จะหันไปบอกให้เพื่อนคนอื่นๆเขียนป้ายชื่อของรุ่นน้องทั้งสองคน

ป้ายชื่อมีขนาดประมาณโทรศัพท์มือถือ เป็นกระดาษแข็งสีฟ้า ด้านบนเจาะรู้สำหรับร้อยเชือกสีขาวเส้นหนายาวพอจะคล้องคอได้สะดวก วีร์รับป้ายชื่อที่มีคำว่า ‘วีร์’ เขียนด้วยปากกาเมจิกเส้นหน้าอยู่กลางป้าย ส่วนป้ายชื่อของแพรวานั้น เขียนคำว่า ‘แพร’ ตัวใหญ่ๆตรงกลาง และด้านล่างมีคำว่า ‘แพรวา’ มีขนาดย่อมกว่า เขียนตัวปากกาสีเดียวกันแต่มีขนาดเส้นที่บางกว่า

“คล้องป้ายชื่อแล้วมึงก็พาเพื่อนเข้าไปนั่งรอข้างในได้เลย เดี๋ยวกิจกรรมก็เริ่มแล้ว” รุ่นพี่ชายหนุ่มชี้ไปด้านในตัวอาคาร

“ครับพี่” วีร์ตอบกลับแล้วก็ชวนแพวาเดินไปด้วยกัน

ชั้นล่างสุดของตึกคณะในตอนนี้เป็นลานโล่งกว้างขวาง เนื่องจากโต๊ะเก้าอี้ทั้งหมดถูกเคลื่อนย้ายไปวางเรียงกันรอบนอก เปิดพื้นที่ตรงกลางไว้ทำกิจกรรม มีนักศึกษาหน้าใหม่รวมตัวรอกันอยู่ไม่น้อยแล้ว

วีร์เดินไปทักทายเพื่อนร่วมโรงเรียนเก่า เจอกันก็ทักทายกันตามประสาถึงแม้จะไม่เคยสนิทกันแต่ก็เห็นหน้าตากันมาบ้าง และยังแนะนำแพรวาให้รู้จักกันด้วย

ระหว่างที่รออยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงฮือฮาทั้งจากคนในอาคารและคนที่อยู่หน้าอาคาร เมื่อมองไปก็เห็นกลุ่มชายหนุ่มสองสามคนกำลังลงชื่อที่โต๊ะลงทะเบียนอยู่ คงเป็นเพราะว่าชายหนุ่มกลุ่มนั้นรูปร่างสูงกำยำ หน้าตาผิวพรรณดี ท่าทางดูสง่ามีราศี จึงเป็นที่สนใจของใครหลายคน

ที่สำคัญหนึ่งในกลุ่มคนนั้นวีร์จำได้เป็นอย่างดี เพราะเขาเคยเป็นคู่แข่งขันตอนงานกีฬาประเพณีที่โรงเรียนเก่า ชายหนุ่มคนดังกล่าวเงยหน้าขึ้นเจอกับสายตาของวีร์พอดี จึงยิ้มและโบกมือเพื่อทักทาย ซึ่งวีร์ก็ยิ้มตอบกลับตามมารยาท

“เพื่อนโรงเรียนเก่าวีร์เหรอ” แพรวากระซิบถาม

“เปล่า แค่เคยเจอกันน่ะ” วีร์เอียงตัวไปตอบ

“เหรอ ดูท่าทางมีมาด ทั้งกลุ่มเลย” แพรวาพูดตามที่สังเกตเห็น

“เด็กโรงเรียนชายล้วนก็แบบนี้แหละ”

“เหรอ” แพรวาตอบสั้นๆ

“ทำไม จะเปลี่ยนใจเหรอ” วีร์แอบถามหญิงสาวเบาๆ

“หึ ไม่อะ ไม่ใช่สเปค” แพรวาส่ายหน้าทันที “ต้องถามวีร์มากกว่า”

“เราน่ะเหรอ” วีร์ถามกลับ และแพรวาก็ผงกศีรษะรับ วีร์หันไปมองกลุ่มชายหนุ่มเหล่านั้นโดยเฉพาะคนที่เคยเป็นคู่แข่งกีฬาแล้วก็ส่ายหน้า “ไม่อะ ไม่ใช่สเปค”

ไม่นานนักเมื่อนักศึกษาใหม่เข้ามาด้านในตัวอาคารจนเกือบเต็มพื้นที่แล้ว กิจกรรมในวันนั้นก็เริ่มต้น ทั้งกิจกรรมสันทนาการจับกลุ่มกันเล่นเกม กลุ่มเดิมบ้างเปลี่ยนกลุ่มบ้างสลับกันใหม่ ให้เพื่อนใหม่ได้ทำความรู้จักกัน ไปจนถึงกิจกรรมที่เน้นสาระและคำแนะที่นักศึกษาใหม่ควรรู้เกี่ยวกับวางแผนลงวิชาเรียนและกิจกรรมทั้งภายในคณะและของมหาวิทยาลัย

รวมถึงแอพลิเคชั่นของมหาวิทยาลัยที่นักศึกษาต้องดาวน์โหลดลงโทรศัพท์เคลื่อนที่ของตัวเองไว้สำหรับการติดตามข่าวสาร การตรวจสอบผลการสอบ และที่สำคัญคือการลงคะแนนหยั่งเสียงในทุกสัปดาห์ เพราะที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ไม่มีองค์กรที่เป็นตัวแทนนักศึกษา มีแต่ระบบที่นักศึกษาต้องออกเสียงแสดงความเห็นด้วยตัวเอง


*****


หลังจากจบกิจกรรมช่วงเช้าไป ก็ถึงเวลาพักกลางวัน เหล่ารุ่นพี่จัดแจงแจกอาหารกล่องและน้ำดื่มให้กับว่าที่นักศึกษาใหม่ทุกคน พร้อมนัดหมายเวลาและสถานที่สำหรับกิจกรรมช่วงบ่ายที่จะเป็นการรวมนักศึกษาใหม่ทุกคณะที่อาคารอเนกประสงค์ ก่อนที่จะปล่อยให้แยกย้ายอิสระ

“นาย” เสียงเรียกดังมาจากด้านหลัง ถึงจะไม่ได้หันไปดูในทันที วีร์ก็จำเจ้าของเสียงได้ว่าเป็นใคร “ไปกินข้าวด้วยกันมั้ย”

“อ่า... พอดีว่านัดเพื่อนไว้” วีร์ตอบกลับแบบสุภาพและโชคดีที่มีเสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังเข้ามาพอดี วีร์ยกโทรศัพท์ให้อีกฝ่ายเห็นแล้วจึงปัดหน้าจอรับสาย “ว่าไงมึง”

(คณะมึงเลิกแล้วยังวะ) มีเสียงดังลอดออกมาพอสำหรับที่คนที่อยู่ใกล้ๆจะจับใจความได้

“เพิ่งเลิกเมื่อกี้” วีรตอบกลับคนในสาย

(งั้นมึงเดินมาที่ศาลาข้างโรงยิมเลย กูกับไอ้บิ๊กนั่งจองโต๊ะอยู่)

“โอเค เดี๋ยวไป”

วีร์ยกโทรศัพท์ให้ชายหนุ่มเห็นอีกครั้งว่าเขาไม่ได้สร้างข้ออ้างว่ามีเพื่อนนัดไว้ขึ้นมาลอยๆ ชายหนุ่มกำลังจะพูดตอบแต่ก็มีเสียงสัญญาณโทรศัพท์ของวีร์เข้ามาอีกครั้ง

“ว่าไงมึง”

(เดี๋ยวกูกับอีดำเดินไปหา มึงท่าอยู่แถวนั้นแหละ)

“ไม่ต้อง มึงไปที่โรงยิมเลย ไอ้ตี๋เล็กมันนั่งรออยู่กับไอ้บิ๊ก”

(เอางั้นเออ)

“เออ... มึงเดินไปแถวนั้นใกล้กว่า”

เมื่อตกลงกันได้แล้ว วีร์ก็ปัดหน้าจอโทรศัพท์ตัดสัญญาณโดยที่ชายหนุ่มตรงหน้ายังยืนอยู่ที่เดิมตลอด

“พอดีว่าเพื่อนตามตัวแล้ว ไปก่อนนะ” วีร์รีบชิงพูดเสียก่อนที่อีกฝ่ายจะมีโอกาสแล้วจกานั้นก็ลากแพรวาตามมาด้วยกันในทันที

“ดูเขาจะสนใจวีร์อยู่เหมือนกันนะ”

“อย่าดีกว่า” วีร์ส่ายหน้าเบาๆ

“ทำไมอะ” แพรวาไม่ได้ตั้งใจจะคาดคั้นเอาคำตอบ แค่ต้องการแหย่วีร์เล่นเท่านั้น

“ไปกินข้าวกัน หิวแล้ว” วีร์เปลี่ยนเรื่องพูดคุยพร้อมกับรีบก้าวเท้าเดินจนแพรวาต้องเร่งฝีเท้าเดินตามให้ทัน


*****


ศาลาขนาดย่อมตั้งเรียงรายอยู่ มีผู้คนมากมายจับจองที่นั่งรอกิจกรรมช่วงบ่าย วีร์พอจะคุ้นเคยสถานที่อยู่บ้าง เพราะห่างไปไม่ไกลก็เป็นคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่วีร์และศศิทัศน์เคยมานั่งรอวีรมาตุเลิกเรียน และนั่นก็ทำให้วีร์เห็นชัยทิศนั่งอยู่กับศศิทัศน์และพระยศเมื่อเขาเดินมาถึง

“ไอ้กิ่งยังไม่มาเหรอวะ” วีร์ถามหนึ่งในคู่แฝดซึ่งถือเป็นโอกาสน้อยครั้งที่จะเจอใครคนใดคนหนึ่งเพียงลำพัง

“เดี๋ยวมันก็มา” ชัยทิศตอบพร้อมกับหันไปสนใจหญิงสาวที่เดินถือข้าวกล่องมาด้วยกันกับวีร์

“นี่ แพรวา เรียนคณะเดียวกัน” วีร์แนะนำหญิงสาวให้เพื่อนๆรู้จัก “ส่วนพวกนี้เรียนม.ปลายมาด้วยกัน นี่ก้าน จริงๆมันมีแฝดด้วยนะ เดี๋ยวแนะนำให้รู้จักที่หลัง ถัดไปก็บิ๊ก แล้วก็ไอ้ตี๋เล็ก” พระยศและศศิทัศน์ยกป้ายชื่อสีเขียวอ่อนให้แพรวาดู ส่วนของชัยทิศเป็นป้ายสีเหลือง

แพรวากำลังจะทักทายเพื่อนใหม่ แต่วีร์ก็รีบพูดแทรกขึ้นมา

“เอ้ย ไม่ใช่ นี่ไอ้ต่าย เราก็เรียกตี๋เล็กซะคุ้นปากเลยลืม”

แพรวาพยักหน้ารับรู้และยิ้มทักทายทุกคน ทั้งสามหนุ่มก็ยิ้มทักทายกลับ โดยเฉพาะศศิทัศน์ที่ยิ้มกว้างกว่าใคร ไม่ใช่เพราะว่าได้รู้จักเพื่อนใหม่ แต่เพราะ ‘ไอ้ตี๋เล็ก’ ที่เขายังคงได้ยินจากปากของวีร์ จากเดิมที่เคยได้ยินแต่จากปากของพี่ชายของเขาอยู่บ่อยๆ

“ไม่เป็นไร เรียกยังไงก็ได้” ศศิทัศน์ยังคงยิ้มไม่หุบ

“เดี๋ยวกูฟ้องพี่ฝ้าย” ชัยทิศแอบแซวศศิทัศน์เบาๆ

“กูยังไม่ได้คิดอะไรเลย แล้วกูก็ไม่ใช่คนแบบนั้น” ศศิทัศน์ดึงสีหน้ากลับในทันที

“อะจ้า หมอต่ายคนซื่อสัตย์ รักเดียวใจเดียว ไม่วอกแวกอะไรเลย” ชัยทิศยังคงล้อเลียนต่อ เพิ่มเติมพูดเสียงดังปกติชัดถ้อยชัดคำ

“ก็ไม่ผิดตรงไหน พูดอีกก็ถูกอีก”

ชัยทิศกรอกตามองไปทางอื่น ไม่ได้ต่อความต่อไปอีก

“ทำไมวะ ไม่มีลูกคู่แล้วเล่นไม่ออกเลยเหรอวะ” ศศิทัศน์แซวเพื่อนกลับ ชัยทิศไม่ได้ตอบกลับแต่แสดงท่าทางว่าไม่ได้ยี่หระอะไร “เดี๋ยวก็ชิน เสือกสอบเข้าคนละคณะแบบนี้”

ชัยทิศยังไม่เปลี่ยนท่าทาง พยายามบอกคนอื่นๆว่าหลังจากที่ตัวติดกับคู่แฝดกันมาร่วมสิบแปดปี ก็ถึงเวลาที่ต้องไปตามทางเดินของตัวเองแล้ว เขาอยู่ได้ และพยายามบอกกับตัวเองด้วยเช่นกัน

“เดี๋ยวพอเริ่มมีแฟนนะ พวกมึงก็จะลืมอีกคนเป็นใคร” ศศิทัศน์ยังคงเกาะเรื่องราวไว้ต่อเนื่อง

“เหมือนพวกมึงไง พอมีพี่ฝ้ายกับน้องเฟิร์น แล้วก็ลืมเพื่อนๆ”

“กูแบ่งเวลาเป็น” พระยศพูดแย้งไว้ก่อน

“เอาน่ะ เดี๋ยวพอถึงตามึง เดี๋ยวมึงก็เข้าใจเอง” วีร์พยายามดึงอารมณ์ไม่ให้ปะทุไว้เสียก่อน

ชัยทิศมองเพื่อนทั้งสามคนที่ละคน แล้วก็เสหน้ามองไปทางอื่น “เบื่อพวกคนมีแฟนแล้ว” แล้วก็หันกลับมามองวีร์อีกครั้งก่อนที่จะหันกลับไป “กับคนเคยมีอีกคนนึง”

“เดี๋ยวก็มี” แพรวาเห็นสายตาของชัยทิศที่มองไปทางวีร์จึงคิดว่าตัวเองเดาถูก แล้วก็ได้รับสายตาที่ส่งมาจากศศิทัศน์ถามอย่างสงสัย

“หมายความว่ายังไงอะ”

“ก็เมื่อกี้ที่คณะมีคนจะจีบวีร์ด้วย” แพรวาตอบไปตามความคิดของตัวเอง

“หือ ใครวะ” ศศิทัศน์หันไปถามวีร์

วีร์ส่ายหน้าเบา เขาเหมือนจะเห็นศศิทัศน์คนเก่าเมื่อหลายปีก่อนกลับมาอีกครั้งหนึ่ง

“เพื่อนที่คณะ เห็นวีร์บอกว่าเป็นเด็กโรงเรียนชายล้วน” แพรวาเห็นวีร์ไม่ได้ตอบอะไรจึงตัดสินใจเป็นคนบอกเอง

“เด็กโรงเรียนชายล้วน... อ๋อ... ไอ้คนนั้นน่ะเหรอ” ศศิทัศน์หันไปถามวีร์

วีร์กรอกตามองแต่ก็พยักหน้ารับ

“มันสอบติดคณะเดียวกับมึงเหรอ” ศศิทัศน์ถามต่อ

“ก็เห็นลงชื่อเข้ามาทำกิจกรรมด้วย คงใช่มั้ง” วีร์ตอบแบบปัดส่งๆไป ยังไม่อยากเชื่อปักใจว่าชายหนุ่มคนนั้นคิดอะไรกับเขาจริงๆ

ศศิทัศน์เริ่มมีสีหน้าครุ่นคิด ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงจะวางแผนหาทางกำจัดทุกอุปสรรคที่มาขวางทางพี่ชายของเขา แต่ในตอนนี้พี่ชายของเขาไม่อยู่แล้ว แต่ก็ยังถือโอกาสในฐานะน้องชายว่าที่แฟนของวีร์จะทำการตรวจวัดมาตรฐานคนที่เข้าหาเพื่อนของเขา อย่างน้อยก็ต้องไม่ด้อยไปกว่าท่านเทพวีรมาตุ

“วางแผนอะไรอยู่ห๊ะ ไอ้ตี๋เล็ก” วีร์ดีดหน้าผากศศิทัศน์เบาๆ

“บ้า กูยังไม่ได้คิดอะไรเลย” แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ได้ยอมรับแต่ท่าทางที่แสดงออกมาของศศิทัศน์นั้นไม่ได้บอกเช่นนั้น

“แสดงว่าเดี๋ยวก็คงจะมากันที่นี่ใช่มั้ย” ชัยทิศถาม

“ก็ต้องมากันทุกคนไม่ใช่รึไง ช่วงบ่ายมันรวมทุกคณะ” พระยศเป็นคนตอบ

ชัยทิศจึงหยิบโทรศัพท์แล้วก็กดโทรออกในทันที

“โทรหาใครวะ” ศศิทัศน์ถาม

“โทรตามไอ้กิ่ง เดี๋ยวมันพลาดเรื่องสนุก” ชัยทิศมองดูรอบๆไปด้วย เผื่อว่าจะเห็นคู่แฝดของเขา เมื่อพยายามโทรอยู่หลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ เขาก็ตัดสินใจลุกขึ้น

“จะไปไหนวะมึง”

“จะลองไปดูที่วิศวะฯ เผื่อมันยังไม่ออกมา” ชัยทิศไม่ได้รอคำตอบก็รีบเดินออกไปในทันที

“กูคอยดูว่าพวกมันจะแยกกันได้นานเท่าไหร่” ศศิทัศน์พูดตามท้ายเพื่อนที่เดินไปไกลแล้ว

“ช่างมันเหอะ พี่น้องกันอยู่ด้วยกันบ้างแยกกันบ้างเดี๋ยวก็ปรับตัวได้... แพร กินข้าวกันเถอะ” วีร์หันมาเปิดกล่องข้าวของตัวเอง “พวกมึงกินกันแล้วยัง”

“เรียบร้อยแล้ว คณะกูไม่มีอะไรมาก เพราะเจอหน้ากันมาเป็นเดือนแล้ว” ศศิทัศน์ตอบ

“แล้วมึงเห็นไอ้ต่ายแล้วยังวะ” วีร์ถามไปด้วยระหว่างที่กินอาหารไปด้วย

“ยังเลย” ศศิทัศน์มองดูรอบๆบริเวณ “แต่ตอนนี้...เห็นแล้ว”

วีร์เงยขึ้นมาแล้วก้หันไปตามทิศทางที่ศศิทัศน์มองไป ก็เห็นชายหนุ่มผิวเข้มกำลังเดินมากับสองสาวกำลังเดินตรงมาหาพวกเขา

“ว่าไงพวกมึง” วิธูทักทายเพื่อนๆ และเดินนำสองสาวเข้ามานั่งในศาลา

“ไปไหนมาวะ มึงน่าจะมาถึงก่อนกูอีกไม่ใช่เออ” วีร์ถาม

“รอสองสาวไปทำธุระส่วนตัว กว่าจะเสร็จ” วิธูเพิ่งจะสังเกตเห็นคนที่เขาไม่คุ้นหน้ามาก่อนจึงสะกิดถามวีร์

“อ๋อ... นี่เพื่อนที่คณะ เขาบอกว่าสอบติดมาคนเดียวเลยชวนมาด้วยกันซะเลย” แล้วภาพเหตุการณ์เมื่อครั้งแรกที่วีร์แนะนำกระต่ายสองตัวให้รู้จักกันผุดขึ้นมาในความคิด ทำให้วีร์ชะงักไปครู่หนึ่ง “เออ... แล้วก็นี่ต่ายเพื่อนเราตั้งแต่เด็กๆ แล้วก็...” วีร์มองสลับไปมาระหว่างสองสาวและหนึ่งสาวขณะคิดคำพูดแนะนำ “แล้วก็... ยังไงดีละ... นี่... แพรไหม แพรพรรณ... แล้วก็นี่ แพรวา”

สองสาวหันมามองหน้ากันแล้วก็หันไปยิ้มให้กับเพื่อนใหม่ ส่วนเพื่อนใหม่ก็มีสีหน้างุนงงเล็กน้อย

“แล้วจะเรียกกันยังไงดี เรียกแพรเฉยๆ ได้หันพร้อมกันสามคนแน่เลย” แพรวาถามความเห็นจากสองสาว

“ยังไงก็ได้ เราได้หมด” แพรไหมตอบ

“เดี๋ยวค่อยตกลงกัน” แล้วแพรพรรณก็หันไปสะกิดวีร์ “แกๆ คนที่แข่งเทนนิสกับแกอะ อยู่คณะแกเหรอ”

วีร์ทำท่านึกแล้วก็พยักหน้าตอบ

“เหรอ ชั้นก็ว่าคนเดียวกัน แต่ว่าดูดีขึ้นนะ”

“ไปเห็นตอนไหน” วีร์ถามด้วยความสงสัย เพราะตึกคณะของเขากับของแพรพรรณก็ไม่ได้อยู่ใกล้กัน โอกาสที่หญิงสาวจะไปพบเจอบุคคลในหัวข้อสนทนาคงจะเป็นไปได้ยาก

“หัดเล่นทวิตเตอร์เล่นเฟชบุ๊คบ้างสักทีสิจ๊ะ” แพรพรรณหยิบโทรศัพท์ของเธอมาเปิดให้วีร์ดูถึงข้อความที่กำลังส่งต่อในโลกสื่อสังคมออนไลน์เกี่ยวงานในวันนี้

“ไม่อะ ขี้เกียจ” วีร์ตอบปฏิเสธ เขายังไม่สนใจที่สมัครแอพลิเคชั่นใดๆนอกเหนือไปจากไลน์และอินสตาแกรม

“วีร์ไม่เล่นเลยเหรอ” แพรวาถาม วีร์ก็ส่ายหน้าตอบ “เราก็เหมือนกัน นอกจากไลน์แล้วไม่มีอะไรเลย”

“งั้นก็แอดเลยจ๊ะ” แพรพรรณเสนอเป็นคนแรกพร้อมหันโทรศัพท์ที่กำลังแสดงคิวอาร์โค๊ดสำหรับเพิ่มชื่อให้แพรวา ซึ่งแพรไหมเองก็ทำตามเช่นกัน “เราได้เจอกันบ่อยๆแน่นอน”

แพรวาชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง เพราะว่าทั้งสองสาวต่างก็เป็นเพื่อนของวีร์ แพรวาจึงตัดสินใจเพิ่มเพื่อนในแอพลิเคชั่น

“เม้าท์กันมันแน่ๆ” แพรไหมตรวจสอบในแอพลิเคชั่นว่าเรียบร้อยดี

“เม้าท์เรื่องชั้นใช่มั้ย” วีร์เบ้ปากเล็กๆ

“ไม่เม้าท์เรื่องเธอจะไปเม้าท์เรื่องใครหล่าว” แพรไหมก็เบ้ปากกลับตามประสาคนที่รู้จักกันมาเกือบทั้งชีวิต ถือว่าศีลเสมอกัน

“กินข้าวดีกว่า หิว” วีร์เปลี่ยนเรื่องโดยหันไปจัดการอาหารในกล่องให้หมด

ในตอนนั้นก็เริ่มมีเสียงประกาศจากโทรโข่งเชิญชวนให้นักศึกษาใหม่ให้ทยอยเข้าไปจับจองที่นั่งในอาคารอเนกประสงค์ โดยอธิบายแผนผังว่านักศึกษาแต่ละคณะอยู่จุดไหน สามารถเข้าทางประตูด้านไหนจะสะดวกที่สุด วีร์และแพรวาจึงรีบกินอาหารให้เสร็จโดยเร็วก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายไปยังที่นั่งคณะของตัวเอง


[อ่านต่อด้านล่าง]

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ภายในอาคารอเนกประสงค์มีพื้นที่ตรงกลางกว้างใหญ่และมีที่นั่งเป็นลำดับชั้นโดยรอบ สามารถจัดการแข่งขันได้หลายประเภท และกิจกรรมอื่นๆที่มีคนเข้าร่วมจำนวนมากได้ ฝั่งด้านหนึ่งปรับให้เป็นเวทีชั่วคราว มีนักศึกษาปีสูงเข้ามาเตรียมงานไว้พร้อมดำเนินแล้ว รอเพียงนักศึกษาใหม่เข้ามานั่งประจำที่ให้พร้อมเพียงกันก่อน

คณะเศรษฐศาสตร์ของวีร์และแพรวานั่งรวมตัวอยู่บนอัฒจันทร์ชั้นบน ไม่ไกลไปจากคณะบัญชีของแพรไหม ที่นั่งฝั่งตรงข้ามมองเห็นศศิทัศน์ที่นั่งเด่นอยู่แต่ไกล อยู่ใกล้ๆกับกลุ่มสาขาวิชาด้านสาธารณสุขทั้งหมด

ผู้คนเข้ามาภายในอาคารจำนวนมากแล้ว พิธีกรบนเวทีเริ่มชวนพูดคุยและทักทายก่อนจะเริ่มอย่างเป็นทางการ

“วีร์”

เสียงเรียกดังขึ้นมา วีร์มองลงไปทางเดินด้านหน้าที่นั่งก็เห็นสองหนุ่มห้อยป้ายชื่อสีดำเขียนด้วยตัวอักษรสีขาวว่า ‘เดวิด’ และ ‘ข้าวฟ่าง’ กำลังเดินผ่านหน้าคณะของเขา

“พวกกูไปนั่งโน้นนะ” ข้าวฟ่างตะโกนบอก

วีร์ยิ้มและพยักหน้ารับรู้ มองดูเพื่อนทั้งสองเดินไปนั่งรวมตัวกับนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ แต่ก่อนที่ทั้งสองคนจะเดินเลยไป เดวิดหันไปกระซิบอะไรบางอย่างกับข้าวฟ่างแล้วก็มองมาทางที่วีร์นั่งอยู่ วีร์กำลังจะส่งสัญญาณถามแต่ก็รู้สึกว่ามีคนมาสะกิดบ่าของเขา

“ไง”

ชายหนุ่มพร้อมกับเพื่อนๆของเขามานั่งอยู่ข้างๆวีร์ เขาชะโงกไปมองดูหญิงสาวที่นั่งถัดไปและอ่านป้ายชื่อของเธอ

“แพรวา... ยินดีที่ได้รู้จักเพื่อนใหม่ นี่เพื่อนเราชื่อโจ๊กกับโชกุน”

แพรวายิ้มตอบกลับและอ่านป้ายชื่อของแต่ละคน บนป้ายสีฟ้าคนหนึ่งเขียนว่า ‘โจ๊ก ฐานันดร’ ส่วนอีกคนเขียนว่า ‘โชกุน ไร้พ่าย’ ส่วนคนที่แนะนำตัวแทนเพื่อนๆที่เป็นที่กล่าวถึงโดยใครหลายๆคนก่อนหน้านี้ มีอักษรที่เขียนบนป้ายชื่อตัวใหญ่ๆกลางป้ายว่า ‘ปันปัน’ ส่วนแถวล่างมีอักษรขนาดย่อมกว่าเขียนว่า ‘ปัญจวีส์

“ส่วนเรา ปันปัน” ชายหนุ่มยกป้ายขึ้นมาให้ทั้งสองเห็นชัดๆ

“วีร์” วีร์เองก็ยกป้ายให้เพื่อนใหม่ทั้งสามคนดู

“ได้รู้จักชื่อกันสักที” ปัญจวีส์ยิ้มดีใจ หลังจากที่รอโอกาสที่จะได้แนะนำตัวมานาน ภารกิจนี้ก็สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี

เนื่องจากต้องเข้าร่วมกิจกรรมตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ วีร์ได้ปรับโหมดของโทรศัพท์ไม่ให้ส่งเสียงไว้ เหลือแต่ระบบสั่น และตอนนี้โทรศัพท์ของเขาก็สั่นต่อเนื่องกันไม่หยุดจนวีร์ต้องล้วงออกมาจากกระเป๋ากางเกงเอาขึ้นมาดู เห็นทั้งข้อความและการโทรของศศิทัศน์ที่ส่งมา เรื่องที่ถามก็หนีไม่พ้นเรื่องของคนที่นั่งอยู่ข้างๆเขา

วีร์เงยหน้าขึ้นมองตรงไปยังที่นั่งบนอัฒจันทร์ฝั่งตรงข้าม ก็เห็นสายตาจ้องเขม็งมาที่เขา วีร์ส่ายหน้าเบาๆแล้วก็ส่งข้อความกลับไปว่าค่อยคุยกันหลังเสร็จกิจกรรม แม้ว่าอีกฝ่ายจะแสดงสีหน้าไม่พอใจแต่ก็ไม่ได้ส่งข้อความหรือโทรมาอีก

“มีอะไรรึเปล่า” ปัญจวีส์แอบชำเลืองดูโทรศัพท์ของวีร์

“เปล่าไม่มีอะไร” วีร์ยิ้มตอบกลับแล้วก็เก็บโทรศัพท์กลับเข้าไปในกระเป๋ากางเกงตามเดิม

“จริงสิ ว่าจะถามอยู่ที่พวกรุ่นพี่บอกเรื่องกีฬาน้องใหม่อะ วีร์จะลงแข่งเทนนิสรึเปล่า” ในฐานะที่เคยเป็นคู่แข่งกันมาก่อน ปัญจวีส์จึงได้ถามไว้ก่อนล่วงหน้า

“คิดว่าไม่ดีกว่า” วีร์ตอบปฏิเสธ ปกติแล้วเขาก็ไม่ได้คิดที่จะลงแข่งอยู่แล้ว ในตอนกีฬาประเพณีสี่สถาบันนั้น เป็นเพราะทั้งเพื่อนๆและอาจารย์ต่างก็รบเร้าจนวีร์ใจอ่อนยอมลงแข่งในที่สุด

“อ้าวเหรอ ทำไมอะ จริงๆปันปันว่าจะชวนวีร์ลงแข่งชายคู่ด้วยกันอยู่นะ”

วีร์รู้สึกสะกิดใจที่ชายหนุ่มใช้ชื่อเล่นเรียกแทนสรรพนามตัวเอง แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกไป มันเป็นสิทธิ์ส่วนตัวและความเคยชินของแต่ละคน

“ถ้าวีร์คู่กับปันปันนะ ปันปันว่าเราน่าจะชนะได้ไม่ยาก ปันปันเชื่อในฝีมือของวีร์” ปัญจวีส์พูดอย่างมั่นใจ จนวีร์รู้สึกเขินเล็กน้อยที่ชมต่อหน้า

“เอาไว้ว่ากันที่หลังก็แล้วกัน” วีร์ผงกศีรษะไปทางเวทีที่พิธีกรกำลังเริ่มพูดจาเป็นทางการมากขึ้นแล้ว

นักศึกษาปีสูงที่รับหน้าที่เป็นพิธีกรเริ่มกิจกรรมตามกำหนดการที่วางไว้ ตั้งแต่การกล่าวต้องรับนักศึกษาใหม่ การแนะนำข้อมูลของมหาวิทยาลัย สถานที่และเครื่องมืออุปกรณ์ที่นักศึกษาสามารถใช้ได้เพื่อสนับสนุนการศึกษาและกิจกรรมนอกหลักสูตร รวมไปถึงสิ่งที่นักศึกษาสามารถร้องขอเพื่ออำนวยความสะดวกในเรื่องต่างๆจากมหาวิทยาลัยได้

ระหว่างนั้นก็มีกิจกรรมสันทนาการสอดแทรก ไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลง การส่งตัวแทนของแต่ละคณะไปเล่นเกมบนเวที ซึ่งแน่นอนว่าความโดนเด่นของคนที่นั่งข้างๆวีร์ทั้งด้านรูปร่างและด้านหน้าตา ทำให้ถูกเพื่อนๆผลักและดันให้ไปเป็นตัวแทนนักศึกษาคณะเศรษฐศาสตร์ สร้างเสียงฮือฮาจากคนทั่วไปไม่น้อย และแน่นอนว่าเมื่อเห็นว่าตัวแทนคณะเศรษฐศาสตร์เป็นใคร ทางฝั่งคณะแพทยศาสตร์ก็มีตัวแทนออกไปในทันทีโดยไม่ต้องร้องขอจากหนุ่มขาวตี๋พิมพ์นิยมที่ชื่อว่าศศิทัศน์

“เลือกไม่ถูกเลยทีเดียวว่าจะให้น้องปันปัน เศรษฐศาสตร์ หรือหมอต่าย แพทยศาสตร์เป็นผู้ชนะหัวใจดิฉันดี” พิธีกรหญิงกล่าวเมื่อเหลือคนเล่นเกมสองคนสุดท้าย

“ไม่ว่าใครจะชนะ ยังไงน้องเขาก็ไม่เลือกคุณนะครับ” พิธีกรชายกล่าวแซวเพื่อนร่วมเวทีก่อนที่จะเล่นเกมรอบตัดสินเพื่อหาผู้ชนะ

ผลการตัดสินในเกมนั้น ศศิทัศน์เดินกอดปี๊บขนมกลับที่นั่งของคณะแพทยศาสตร์ แล้วกิจกรรมบนเวทีก็ดำเนินต่อไป

“น่าเสียดายนะคะ เราไม่มีประกวดดาวเดือนมหาวิทยาลัยแล้ว แต่ถึงมีก็เลือกไม่ถูกอยู่ดี หมอต่ายเอย น้องปันปันเอย น้องเดวิดเอย แต่ละคนนะ...”

“ไม่มีใครเลือกคุณสักคนเลย”

“คุณคะ อย่ามาขัดความสุขของดิฉันและเก้งกวางบ่างชะนีทั่วฮอลล์แบบนี้สิคะ”

“ก็หยั่งเสียงแล้วไม่ผ่านเลยไม่ได้จัดอีก จะทำอย่างไรได้ละครับคุณ”

“อุ๊ยๆ ลืมเลยค่ะ นักศึกษาใหม่ทุกคนคะ อย่าลืมโหลดแอพของมหาวิทยาลัยกันไว้นะคะ เพื่อสิทธิประโยชน์ของทุกคน เดี๋ยวในวันปฐมนิเทศ นักศึกษาใหม่ทุกคนจะได้รับบัตรนักศึกษา ก็อย่าลืมเอาบัตรไปใช้ยืนยันบุคคลกับแอพด้วยนะคะ ส่วนใครไม่มีมือถือ ถึงแม้ว่าดิฉันจะไม่เชื่อว่าจะเหลือคนแบบนั้นอยู่”

“ก็ไม่แน่ครับ อาจจะยังมีอยู่ก็ได้”

“ใครที่ไม่มีมือถือ สามารถไปยืนยันบุคคลผ่านเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยได้เหมือนกันนะคะ ยูสเซอร์เนมเป็นรหัสนักศึกษา ส่วนพาสเวิร์ดนักศึกษาก็ไปตั้งกันเอาเองนะคะ”

“เดี๋ยววันปฐมนิเทศจะมีนักศึกษาปีสูงแต่ละคณะคอยช่วยแนะนำอีกทีนะครับ”

เมื่อเริ่มเข้าสู่ช่วงที่เป็นทางการหรือในบางเรื่องที่กล่าวซ้ำ นักศึกษาหลายคนก็เริ่มหันมาคุยกันเองบ้างระหว่างรอกิจกรรมต่อไป ในตอนนั้นก็มีเสียงฮือฮาดังขึ้นจนคนทั้งห้องหันไปมองทางด้านเวทีตามๆกัน

ชายหนุ่มร่างสูงเดินขึ้นไปบนเวที ตรงไปหาพิธีกรทั้งสองคน ที่เด่นสะดุดตาไม่ใช่แค่เพียงเพราะรูปร่างหน้าตาหรือเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย แต่เป็นที่ทรงผม เส้นผมที่ยาวทิ้งตัวลงมาประมาณกรอบคางไม่ได้จัดทรงอะไรเป็นพิเศษ นอกเสียจากสีผมที่เป็นสีเทาและทุกครั้งที่เคลื่อนไหวก็จะเห็นเป็นเหลือบสีน้ำเงินสะท้อนออกมา

“ว๊ายตายแล้ว คุณคะ ขึ้นมาทำอะไรบนเวทีคะ” พิธีกรสาวร้องตกใจเมื่อเห็นบุคคลที่สามอยู่บนเวที แล้วก็ยื่นไมโครโฟนให้ชายหนุ่มตอบ

“เขาบอกให้ขึ้นมา” ชายหนุ่มที่มืท่าทางเหมือนถูกบังคับ ชี้นิ้วโป้งไปทางด้านข้างเวที

“ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่วันนี้มีโอกาสอะไรพิเศษรึเปล่าครับ ถึงได้...”

“เดี๋ยวอย่าเพิ่งคะ” พิธีกรสาวขัดจังหวะก่อนที่ชายหนุ่มจะได้พูดเสียก่อน “นักศึกษาใหม่ทุกคนคะ ขอแนะนำให้รู้จักกับ วี วิทยา-อวกาศ นักเรียนทุนอวกาศศึกษาหนึ่งเดียวของมหาวิทยาลัยของเราค่ะ”

เสียงปรบมือและโฮ่ร้องดังไปทั่ว แต่ชายหนุ่มดึงไมโครโฟนของพิธีกรสาวมาพร้อมทั้งยกฝ่ามือขึ้นห้ามให้ทุกคนเงียบเสียง

“ไม่ต้องๆ เขาแค่ให้ขึ้นมาโปรโมทงานเฉยๆ” ชายหนุ่มรอให้เสียงในอาคารเงียบลงก่อนที่จะพูดต่อ “เดี๋ยวจะมีนิทรรศการดาราศาสตร์ จริงๆอยากจะเริ่มแสดงตั้งแต่วันวิทยาศาสตร์แต่ทำไม่ทัน ก็เลยเลื่อนไปเป็นเดือนหน้านิทรรศการจะจัดแสดงประมาณสองสัปดาห์ที่ใต้หอสมุดคณะวิทยาศาสตร์ ใครว่างก็ไปดูได้”

ชายหนุ่มพูดจบแล้วก็คืนไมโครโฟนให้กับพิธีกรสาว แล้วก็เดินกลับทันที

“เดี๋ยวสิคะคุณ มาแค่นี้เองเหรอคะ พูดคุยกับน้องๆนักศึกษาต่ออีกหน่อยมั้ยคะ”

ชายหนุ่มไม่ได้ตอบอะไร ทำแค่เพียงโบกมือปฏิเสธแล้วก็หันเดินกลับไป แต่ห่างไปเพียงสองสามก้าวก็เดินกลับมา แล้วก็จับไมโครโฟนของพิธีกรสาวมาอีกครั้ง ใครหลายคนก็เริ่มมองและรออย่างมีความหวัง

“คณะเศรษฐศาสตร์นั่งตรงไหน”

มีหลายคนช่วยกันชี้ไปทางอัฒจันทร์ที่นักศึกษาคณะเศรษฐศาสตร์นั่งอยู่ ชายหนุ่มเห็นแล้วก็พยักหน้ารับรู้ แล้วก็เดินลงไปจากเวทีโดยที่ไม่พูดอะไรอีก

“แหม บทจะมาก็มาบทจะไปก็ไปเลยนะคะ” พิธีกรสาวพูดจากระเง้ากระงอด

“แล้วถ้าเขาเดินกลับมาอีกละครับ”

“อุ๊ย ดีใจเลยค่ะ สาบานจะตั้งใจเรียนทุกวิชาเลยค่ะ” หญิงสาวปรับเปลี่ยนท่าทางดูสดใสขึ้นในทันที

“เฮ้อ เรามาเริ่มกิจกรรมต่อไปกันดีกว่าครับ” พิธีกรชายเปลี่ยนหัวข้อเข้าสู่งานต่อไป แล้วทั้งคู่ก็เริ่มแจกแจงกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นตลอดทั้งปีการศึกษา เริ่มตั้งแต่งานเปิดโลกกิจกรรม งานกีฬานักศึกษาใหม่ที่จะเริ่มในสัปดาห์ที่สามหลังเปิดภาคเรียน งานสัปดาห์วิทยาศาสตร์ งานหนังสือ ฯลฯ

“เกิดอะไรขึ้นคะ” ทั้งพิธีกรสาวและชายพยามยามมองดูไปในกลุ่มนักศึกษาด้านบนอัฒจันทร์

เนื่องจากมีเสียงอื้ออึงดังขึ้นมาไกลๆ ต้นเหตุมาจากชายหนุ่มร่างสูงผมสีเทาไปปรากฏตัวอยู่บนอัฒจันทร์บริเวณที่นักศึกษาคณะเศรษฐศาสตร์นั่งอยู่ เขาเดินผ่านทางเดินหน้าก่อนที่จะเลี้ยวขึ้นขั้นบันไดด้านข้าง แล้วไปหยุดอยู่บริเวณชั้นกลางๆ จากนั้นก็เดินแทรกตัวเข้าไปเกือบถึงที่แพรวานั่งอยู่

เสียงหึ่งๆที่ดังก่อนหน้านี้เงียบหายไป เหมือนทุกคนพร้อมใจกับเงียบเสียงและคอยลุ้นว่าจะเกิดอะไรขึ้น หรือกล่าวให้เข้าใจโดยง่ายคือต่างก็อยากรู้อยากเห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้น

ชายหนุ่มผมสีเทาไม่ได้พูดจาอะไร เพียงแค่ยื่นถุงใบหนึ่งไปที่ตรงหน้าวีร์ ถึงแม้ว่าถุงที่ถือมาจะไม่ได้เป็นสีใสแต่ก็พอมองเห็นว่าข้างในมีทั้งขนมสดและขนมแห้ง

วีร์มองดูถุงขนมตรงหน้ากับชายหนุ่มที่ยืนเยื้องอยู่ใกล้ๆสลับกันไป แม้ว่าแววตาของชายหนุ่มจะดูคุ้นอยู่บ้าง แต่วีร์มั่นใจว่าตัวเขาไม่รู้จักกับอีกฝ่ายเป็นการส่วนตัวอย่างแน่นอนและไม่รู้จุดประสงค์ของชายหนุ่มว่าต้องการอะไร ต่างฝ่ายต่างก็มองกันไปมา ไม่มีใครพูดหรือขยับตัวทำอะไรมากไปกว่านี้ บรรยากาศรอบๆก็ยังคงเงียบอยู่เหมือนเดิมยิ่งทำให้ใครหลายคนลุ้นตามไปด้วย

“หูย”

เหมือนทุกคนจะนัดกันส่งเสียงมา เมื่อชายหนุ่มผมสีเทาตัดสินใจไปคว้ามือของวีร์ขึ้นมาแล้วก็ยื่นถุงขนมใส่ลงไป ก่อนที่จะเดินกลับลงไปแล้วก็เดินออกไปจากอัฒจันทร์เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปล่อยให้คนทั้งห้องงงสงสัยเป็นไก่ตาแตกโดยเฉพาะคนที่รับถุงขนมมาแบบไม่ทันได้ตั้งตัว



*****

#VVGo4Launch

[โปรดติดตามตอนต่อไป]

ออฟไลน์ evanescence_69

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-3
ชื่อ”วี”อีกแล้วววว

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ตอนที่ 2 คนคู่กันมีของคู่กัน


หลังจากงานวันแรกพบนักศึกษาใหม่ผ่านไป ก็มีเรื่องเล่าขานในโลกสื่อสังคมออนไลน์ไปทั่ว มีตั้งแต่คำบอกเล่าตามสิ่งที่เกิดขึ้น ไปจนถึงเหตุการณ์เสริมแต่งขึ้นมาตามการคาดการณ์และจินตนาการของแต่ละคน หลายคนพยายามสืบเสาะเด็กหนุ่มผิวเข้มที่เป็นนักศึกษาใหม่คณะเศรษฐศาสตร์คนนั้นว่าเป็นใครมากจากไหน

ผลสืบเนื่องจากเรื่องนี้โยงไปถึงอุบัติเหตุของวีรมาตุ และเมื่อสามารถหาจุดเชื่อมนี้ได้แล้ว ก็ทำให้โยงไปถึงวีรดนย์อย่างเลี่ยงไม่ได้ หัวข้อสนทนาต่างๆก็มักจะถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงอีกครั้ง ทั้งเรื่องอุบัติเหตุ เรื่องคดีความ และเรื่องคำสาปอาถรรพ์ จึงหลายคนที่คิดว่าตัวเองกำลังหยิบยื่นความหวังดีให้ พยายามส่งข่าวและข้อความไปยังทุกช่องทางที่สามารถติดต่อกับชายหนุ่มผมสีเทาให้ได้

แต่กระนั้นบัญชีอินสตาแกรมของชายหนุ่มผมสีเทาปิดเป็นส่วนตัวอยู่เป็นปกติอยู่แล้ว ส่วนบัญชีเฟชบุ๊คที่มีเพื่อนนับหัวได้ไม่เกินนิ้วมือและนิ้วเท้านับรวมกัน แถมยังไม่ค่อยจะมีความเคลื่อนไหวใดๆ เหมือนว่าสมัครทิ้งไว้เพราะเพื่อนขอแล้วก็ไม่ได้สนใจจะเล่นต่อ ทำให้ไม่มีผลกระทบอะไรมากนัก

แต่หลายๆคนก็ยังคงพยายามทำทุกวิถีทางเท่าที่จะทำได้


*****


VNND: 18 แล้วสินะ อย่างนี้ก็กินได้แล้วสิ
พุทธชาติ อรุณรุ่งทิวา: นี่กูฝันไปใช่มั้ย ใครมาต่อยหน้ากูที ไอ้วีเล่นเฟช!!!
กฤษณะ บารมีเกิดไพศาล: 18 ยังกินเหล้าไม่ได้ครับ แล้วปีนี้มึง 20 แล้วไอ้สัด
ไร้พ่าย พัฒนวรสกุล: สุขสันต์วันเกิดครับพี่
พุทธชาติ อรุณรุ่งทิวา: @กฤษณะ บารมีเกิดไพศาล มันไม่ได้พูดถึงตัวมันเอง มันพูดถึง.....


*****

เช้าวันนี้วีร์ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกแปลกๆ แปลกอย่างแรกที่เขาฝันเรื่องซ้ำเดิมๆอีกครั้ง และแปลกอย่างที่สองตรงที่ใบหน้าของชายหนุ่มในฝันครั้งนี้ดูชัดเจนขึ้น และรู้สึกประหลาดใจมากที่เก็บเอาใบหน้าของคนที่เคยเห็นแค่ครั้งเดียวมาอยู่ในความฝันได้

วีร์พยายามสลัดความคิดนั้นออกไป แล้วก็หันไปมองดูน้องชายตัวน้อยที่กำลังหลับอยู่และยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมา วีร์หันกลับและเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตรวจดูข้อความ ก็พบว่ายังไม่มีความคืบหน้าอะไร

หลังจากที่ถูกปลุกเมื่อกลางดึกให้มานอนเฝ้าเด็กน้อยเนื่องจากวนกรมีอาการเจ็บครรภ์มาก ธีร์จึงตัดสินใจพาวนกรไปโรงพยาบาล และเพราะว่าเด็กตัวน้อยๆกำลังหลับอยู่ ทุกคนจึงพยายามจัดการทุกอย่างให้เงียบที่สุด แล้วก็ค่อยให้วีร์นำธรตามไปทีหลังในตอนเช้า

ในขณะที่กำลังตัดสินใจว่าจะทำอะไรก่อนหรือหลังดี ธรก็ลืมตาขึ้นมาพอดี เด็กตัวน้อยพยามยามฝืนลืมตาแล้วมองดูรอบๆพลางเอามือขยี้ตาไปด้วย แต่ก็เจอแค่พี่ชายตัวโตของเขาเท่านั้น

“ตื่นแล้วยัง” วีร์ถามเด็กชายตัวน้อย แล้วก็รอดูอากัปกิริยาตอบกลับ “ไป ลุก ไปล้างหน้าแปรงฟันกัน” วีร์ยื่นมือออกไปให้เด็กชายตัวน้อยจับแล้วก็ดึงตัวให้ขึ้นมานั่ง

“แม่อะ” ธรมองดูรอบๆแล้วก็ถามพี่ชายตนโต

“พ่อกับแม่ไปโรงพยาบาล เดี๋ยวเราตามไปทีหลัง แต่ตอนนี้ไปแปรงฟันกันก่อนนะ”

“น้องมาแย้วเยอ” ธรถามด้วยความไร้เดียงสา ตลอดเวลาที่วนกรตั้งครรภ์ก็จะบอกให้ธรรอเพราะน้องกำลังจะมาหา

“เดี๋ยวต้องไปดูว่าน้องมาแล้วยัง” วีร์ออกแรงดึงให้ธรลุกขึ้นยืนบนเตียงนอน “ไป ไปแปรงฟันกันดีกว่า”

ธรยังสะลึมสะลืออยู่บ้างแต่ก็เดินตามไปด้วยดี


*****


จากเดิมทีที่คิดว่าจะออกไปโรงพยาบาลตั้งแต่เช้า แต่เพราะธีร์โทรมาบอกไว้ก่อนว่ายังไม่ต้องรีบไป วนกรยังไม่คลอด วีร์จึงเปลี่ยนแผนสร้างกิจกรรมยามเช้ากับเด็กน้อยแบบกะทันหัน แล้วจึงค่อยออกจากบ้านไปยังร้านของสุรศักดิ์ยามสายแก่ๆก่อนที่จะมีลูกค้ามามากมายในช่วงเที่ยง จะได้ไม่ต้องเตรียมอาหารเองและยังได้ไปเจอเพื่อนเก่าอีกด้วย

“พี่วาจะคลอดวันนี้จริงเหรอวะ” สุรศักดิ์แอบกระซิบถามวีร์ตอนที่เขาพาวีร์และธรไปนั่งที่โต๊ะด้านในสุดของร้าน ที่เป็นที่ประจำของพวกเพื่อนๆ

“ก็อืม เห็นพี่ธีร์บอกว่าตอนนี้อยู่ในห้องคลอดแล้ว”

“บ้านมึงนี่เจ๋งจริง ทำไงให้เกิดวันเดียวกันทั้งบ้านเลยวะ” สุรศักดิ์นั่งลงคุยกับเพื่อน เพราะตอนนี้ยังไม่ค่อยจะมีลูกค้า

“ก็คงเป็นเพราะวันเสียตัวแห่งชาติละมั้ง” วีร์ยักไหล่เบาๆ กำลังจะหันไปถามธรว่าจะกินอะไรดีแต่เห็นหน้าสงสัยของสุรศักดิ์เสียก่อน “วันลอยกระทงไง วันเสียตัวแห่งชาติมาตั้งแต่สมัยโบราณ”

สุรศักดิ์พยักหน้ารับ แล้วก็หันไปถามธร

“น้องธร วันนี้เอาเหมือนเดิมมั้ยครับ”

“เหมือนเดิมคับ” เด็กตัวน้อยยิ้มกว้างพร้อมกับชูนิ้วโป้งทั้งสองข้างให้ด้วย

“โอเค... แล้วมึงจะเอาอะไร”

วีร์มองไปที่หน้าร้าน เล็งดูวัตถุดิบว่ามีอะไรบ้างก่อนตัดสินใจ

“ของกูเอา... เส้นเล็กต้มยำ ลูกชิ้น หมูตุ๋น”

“แยกน้ำเหมือนเดิมนะ” สรุศักดิ์ถามเพื่อยืนยันและวีร์ก็พยักหน้ารับ “ได้... ส่วนน้ำดื่ม มึงอยากกินอะไรไปจัดการเองเลย”

วีร์พาธรไปเลือกน้ำดื่มแล้วก็กลับมานั่งรอที่โต๊ะตามเดิม ไม่นานนักสุรศักดิ์ก็ยกชามสองใบมาที่โต๊ะ ก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กของวีร์ และบะหมี่ที่เต็มไปด้วยลูกชิ้นจนแทบจะมองไม่เห็นเส้นบะหมี่และงดผักทุกชนิดของธร แล้วสุรศักดิ์ก็นั่งลงร่วมโต๊ะด้วย

“มองหาอะไรวะ” สุรศักดิ์ถามเมื่อเห็นวีร์มองดูรอบๆร้าน

“อ๋อ ลืม วันนี้วันธรรมดานี่หว่า ก็ว่าทำไมไม่เห็นกลางกับหนูเล็ก” วีร์ที่เริ่มเคยชินกับการที่ไม่ต้องไปโรงเรียนในทุกวัน เลยสับสนกับกิจวัตรประจำวันของคนอื่น

“กลางอ่านหนังสืออยู่ข้างบน แล้วเดี๋ยวบ่ายๆหนูเล็กก็กลับแล้ว”

“ไม่มีเรียนกันเหรอ” วีร์ถามพร้อมกับคอยช่วยธรตักอาหารเข้าปาก

“ช่วงนี้สอบกลางภาคไงมึง ของหนูเล็กเห็นว่าไม่มีฝึกปฏิบัติ เลยกลับเร็วหน่อย” สุรศักดิ์อธิบายให้ฟัง

“เดี๋ยวนี้ไม่ต้องไปรับไปส่งแล้วเหรอ”

“ดูแลตัวเองกันได้ พ่อแม่กูก็ปล่อยแล้ว อยากทำอะไรก็ทำ”

“ว่าแต่พ่อแม่มึงไปไหนวะ” วีร์ถามเพราะก็ไม่เห็นผู้ใหญ่ทั้งสองคนเช่นกัน ก็มีความเป็นไปได้ว่าเพราะให้สุรศักดิ์เป็นผู้ดูแลหลักแล้ว จึงใช้เวลาพักผ่อนด้านบนบ้านได้มากขึ้นและค่อยออกมาช่วยงานในตอนที่มีลูกค้าจำนวนมาก แต่คำตอบของสุรศักดิ์กลับผิดไปจากที่คิดไว้

“ไปดูเตาอบให้หนูเล็ก”

“เตาอบ... มีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอวะ” วีร์ถามด้วยความสงสัย ในขณะที่ถือช้อนที่เพิ่งจะตักลูกชิ้นค้างอยู่ตรงหน้าของปากเล็กๆที่อ้ารอรับอยู่ สุรศักดิ์เห็นแล้วก็ช่วยจับช้อนยื่นให้เข้าปากเด็กตัวน้อย

“ตัวเล็กน่ะใช่ แต่อันนี้จะไปดูแบบที่เป็นเตาใหญ่ๆเลย”

“กะจะเปิดร้านขายเลยรึไง”

“ก็ใช่ ห้องข้างๆนี่ก็เสร็จแล้ว รอเอาเตาอบใส่เข้าไปก็เรียบร้อยเลย” สรุศักดิ์ชี้นิ้วไปทางคูหาที่ติดกันที่พ่อและแม่ของเขาซื้อเพิ่มไว้ตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าสิริศักดิ์ตัดสินใจเลือกเรียนสายอาชีวะและตั้งใจเปิดร้านทำขนมขาย

“พ่อกับแม่มึงเอาจริงน่าดูเลยว่ะ”

“ช่วงนี้ก็ให้ฝึกฝีมือไปก่อน พอเครื่องมาก็ลองเครื่องให้คุ้นมือแล้วค่อยๆเริ่มคิดสูตร เรียนไปด้วยทำไปขายไปด้วย” สุรศักดิ์มองดูเด็กชายตัวน้อยที่คว้าเอาช้อนมาตักลูกชิ้นกินเองเพราะเริ่มจะไม่ทันใจแล้ว

“ถ้ากูเป็นกลางกูคงคิดมากอะ พี่น้องทำโน้นทำนี่กันหมด”

“กลางมันหัวดี กูคุยกับมันแล้วว่าถ้าอยากเรียนแค่ไหนก็เอาเลย กูยินดีส่งเสียไปจนสุดทาง ไม่จำเป็นต้องมานั่งคิดว่ามันเอาเปรียบพี่น้อง กูกับหนูเล็กไม่ได้อะไรเลย”

“ก็พอจะเข้าใจพวกมึงนะ ในฐานะที่กูเคยเป็นน้องคนเล็กสุด แล้วก็มาเป็นลูกคนเดียว ตอนนี้มาเป็นพี่คนโตอีก พอกูเรียนจบออกไปทำงาน ถึงตอนนั้นกูคงช่วยพี่ธีร์พี่วาส่งเสียธรกับน้องเหมือนกัน”

เด็กชายตัวน้อยเงยหน้ามาส่งยิ้มให้พี่ชายทั้งสองคนเมื่อได้ยินชื่อของตัวเอง

“เวลาธรมันยิ้ม หน้าเหมือนมึงเลย”

วีร์ฉีกยิ้มให้สุรศักดิ์เปรียบเทียบว่าเหมือนกันจริงหรือไม่ ก่อนที่จะหันกลับไปจัดการก๋วยเตี๋ยวของเขา แต่ตอนนั้นเขาก็เห็นบุคคลที่ไม่คิดว่าจะเดินเข้ามาในร้านได้ พ่อของแพรพรรณกำลังเลือกดูอยู่หน้าร้าน วีร์จึงสะกิดให้สรุศักดิ์รู้

“เดี๋ยวกูมานะ” สรุศักดิ์รีบขึ้นไปต้อนรับแขกคนสำคัญ “คุณพ่อ สวัสดีครับ วันนี้จะเอาอะไรดีครับ”

“อืม... วันนี้พ่อเอาเกาเหลาหมูตุ๋นก็แล้วกัน แล้วก็ข้าวเปล่าจานนึง แล้วก็... เอาชาดำเย็นแก้วนึง”

“ได้ครับ คุณพ่อไปนั่งก่อนเลยครับ เดี๋ยวผมจัดการให้”

สุรศักดิ์รีบจัดปรุงอาหารและเครื่องดื่มตามคำสั่งแล้วเอาไปส่งที่โต๊ะอย่างรวดเร็ว แล้วจึงกลับมานั่งที่โต๊ะวีร์อีกครั้ง

“คุณพ่อเหรอ... นี่กูพลาดอะไรไปวะ” วีร์ถามด้วยความแปลกใจ

“ไว้กูค่อยเล่าให้ฟัง” สุรศักดิ์พูดด้วยท่าทางยืดอกโอ้ออวดว่าเขาสามารถทำให้อีกฝ่ายยอมรับในตัวเขาได้ จากเมื่อก่อนโอกาสที่มีแทบจะติดลบ โดบเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เขาตัดสินใจไม่เรียนต่อและรู้ไปถึงหูของชายสูงวัย จนคิดจะตัดใจแล้ว แต่ก็มีเหตุทำให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงในภายหลัง จนมาเป็นแบบที่เห็นในปัจจุบัน

วีร์อยู่พูดคุยกับสุรศักดิ์ต่ออีกไม่นาน ธีร์ก็ส่งข่าวมาว่าตอนนี้วนกรกลับไปที่ห้องพักฟื้นแล้ว วีร์จึงตัดสินใจลาเพื่อนของเขา และรีบพาธรไปยังโรงพยาบาลเพื่อพบน้องคนใหม่ เด็กหญิงธารา วรรัญญา


*****


หลังจากวันนั้นความยุ่งวุ่นวายก็เกิดขึ้น เริ่มจากภายในบ้านที่ต้องเอาใจทั้งเด็กหน้าเก่าและเด็กหน้าใหม่ในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป ธีร์ วนกร และวีร์พลัดกันแสดงความเอาใจใส่เด็กชายตัวน้อยไม่ให้รู้สึกว่าได้รับความใกล้ชิดน้อยลงไปกว่าเดิม ในขณะที่ค่อยๆสอนให้แบ่งปันความรักแก่น้องสาวคนเล็กไปพร้อมกันๆ

ส่วนความวุ่นวายจากนอกบ้านนั้น อันที่จริงแล้วก็เริ่มมาตั้งแต่เหตุการณ์วันแรกพบ มีคนส่งคำขอติดตามบัญชีอินสตาแกรมของวีร์ทุกวัน วันละหลายสิบคนต่อเนื่องไม่หยุด แม้ว่าจะเริ่มซาลงในวันหลังๆบ้างแล้วก็ตาม แต่หลังจากวันเกิดของวีร์กลับมาจำนวนเพิ่มมากขึ้นอีกครั้ง จนวีร์คิดจะลบบัญชีอินสตาแกรมของเขาทิ้งไปเสีย

เมื่อลองให้เพื่อนๆช่วยหาต้นตอว่าเกิดจากอะไร ทุกคนก็มีความเห็นตรงกันว่า น่าจะมาจากข้อความของชายหนุ่มรุ่นพี่ผมสีเทาคนนั้น ที่ตอบคำถามคนที่แสดงความเห็นของเขาเอง ยืนยันข้อสังเกตุของใครหลายคนแบบไม่อ้อมค้อมว่ากำลังสนใจในตัววีร์

หลายจึงพยายามสืบเสาะว่าวีร์เป็นใครมากจากไหน และแน่นอนว่าก็มาเจอบัญชีอินสตาแกรม ainararov.v ซึ่งเป็นช่องทางติดต่อโลกสื่อสังคมออนไลน์ช่องทางเดียวของวีร์ที่มี และวีร์ปิดความเป็นส่วนตัวไว้เป็นปกติตั้งแต่แรก ทำให้มีคนส่งคำขอติดตามเป็นจำนวนมากในทุกๆวัน

จึงไม่น่าแปลกใจที่วีร์จะรู้สึกรำคาญและเริ่มมีความคิดที่จะลบบัญชีอินสตาแกรมของเขาทิ้งไปเสีย หากไม่ใช่เป็นเพราะมีความทรงจำดีๆที่มีทั้งรูปภาพและข้อความที่ถูกบันทึกลงไป ณ วันเวลานั้นๆที่อยากจะเก็บไปเตือนความจำ


*****


VNND: ขอความเป็นส่วนตัว อย่ารบกวน ainararov.v ด้วยครับ ขอบคุณครับ


*****


เช้าวันแรกของการเรียนในระดับมหาวิทยาลัย วีร์และเพื่อนๆรวมถึงนักศึกษาใหม่คนอื่นๆก็เดินทางมาถึงแต่เช้า เพื่อทำความคุ้นเคยกับเส้นทางในรั้วมหาวิทยาลัย อาคารต่างๆ ห้องเรียน และที่สำคัญที่สุดคือแหล่งอาหารการกินทั้งสำหรับมื้อหลักและมื้อรองที่กระจายอยู่ทั่วบริเวณมหาวิทยาลัย

นอกจากนี้ยังมีบรรดาเพื่อนใหม่ที่ได้พบเจอกันตั้งวันแรกพบไปจนถึงวันปฐมนิเทศ แต่กระนั้นนักศึกษาหลายคน โดยเฉพาะคนที่เพิ่งจะเรียนจบชั้นมัธยมศึกษามาหมาดๆก็ยังคงเกาะกลุ่มกับเพื่อนเก่าอยู่บ้าง

“เชิญนั่งค่ะ กว่าจะเสด็จมาถึงนะคะ” อมรหรือปัจจุบันที่เปลี่ยนชื่อมาเป็นอมรา แต่ถ้าเรียกขานว่า พริ้ง แข้งทอง น่าจะรู้จักกันดี ทักทายเพื่อนเก่าแก่ที่รู้จักกันมานาน แม้จะห่างกันในช่วงมัธยมปลาย แต่ก็ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง

“มีอะไรนิ ไซนัดกันมาแต่เช้า” วีร์นั่งลงที่โต๊ะ

“เติ้นสื่อเซือไม่เออ” อมราจับบ่าของวีร์แล้วก็หมุนตัวไปซ้ายทีขวาที

“เซือเก๋า แต๋ม้ายขอยได้ไส้นิ” วีร์สะบัดตัวหลีก “หว่าพรือนิหา”

“ฮาย แค่หนัดเจ๋อกั๋นเฉยๆนิ นานๆจะได้รวมกันสักที” อมราพูดใส่จริตเข้าไปพอเป็นพิธี “แล้วนิ ทำไมใส่แว่นอะคะ เสียงว่าไม่ชอบใส่ไม่ใช่เออ”

“ก็ธรมันเพิ่งไปตรวจมา หมอบอกว่ามันสายตาสั้นไม่เท่ากันเลยจะให้ใส่แว่นไว้ จะได้ไม่เป็นโรคตาขี้เกียจอะไรนี่แหละ” เพื่อนๆก็มีสีหน้ารับรู้ แต่ละคนในที่นี้ต่างก็รู้เรื่องธรในฐานะน้องชายของวีร์เป็นอย่างดี “แล้วทีนี้ธรมันไม่ค่อยยอมใส่แว่น ช่วงนี้ชั้นก็เลยต้องยอมเลิกใส่คอนเทคเลนส์ไปก่อน ธรมันจะได้เห็นว่าใส่แว่นเป็นเรื่องปกติ ชั้นก็ใส่ มันจะได้ใส่ตาม”

เพื่อนๆรอบโต๊ะก็ร้องอ๋อตามๆกัน

“แล้วนิ มีเรื่องอะไรกันแน่” วีร์มองดูเพื่อนๆรอบๆโต๊ะ มีทั้งวิธู แพรไหม และอมรา “อีดำนี่พอจะเข้าใจนะ ว่าทำไมมาเรียนที่นี่ ส่วนอีนี่...” วีร์หันไปทางอมรา “ก็... ยังไม่แปลกใจเท่าไหร่ ก็แค่สงสัยว่าผัวมึงปล่อยมาได้ยังไง เห็นว่าหลงหัวปักหัวปำไม่ใช่เออ”

“ก็ตามขึ้นมาสิคะ ถามได้” อมรายิ้มกระหยิ่มย่อง

“แล้วไม่ทำค่ายมวยแล้วเออ” วีร์ถามต่อ เพราะเท่าที่ได้ยินมาว่าแฟนหนุ่มของเพื่อนเขานั้นหลงเพื่อนเขาอยู่พอสมควร

จากเดิมที่เป็นนักท่องเที่ยวที่มาเจอค่ายมวยไทยของครอบครัวของอมราจึงเกิดสนใจอยากจะเรียนรู้ ไปๆมาๆอยู่เมืองไทยต่อเนื่องยาวนาน ระหว่างนั้นก็เกิดความประทับใจอมราที่กำลังซ้อมแตะกระสอบทราย จนเปลี่ยนไปเป็นความชอบและความรักในที่สุด

เดิมทีพ่อของอมราที่เริ่มยอมรับว่าลูกชายตัวเองนั้นคือลูกสาว แต่การมีแฟนหนุ่มตั้งแต่วัยนี้ดูจะเร็วเกินไปแถมยังเป็นคนต่างชาติด้วย แต่แฟนหนุ่มของอมรางัดแผนการช่วยจัดทำวิดีโอสอนมวยไทยโปรโมทผ่านช่องทางต่างๆของเขาจนมีคนต่างชาติเข้ามาขอเรียนอยู่เรื่อยๆ และเพิ่มขึ้นทุกวัน จนพ่อของอมราใจอ่อนแต่ก็ยังมีข้อแม้ว่าอย่างน้อยให้อมราเรียนจบก่อน แล้วจะให้อิสระเต็มที่ตามที่ต้องการ

“ทำแล แต่เสียงว่าจะไปๆมาๆ ยังเพื่อนเขาช่วยอยู่ที่ค่ายกะลุยเหม็ด”

แล้ววีร์ก็หันไปหาคนสุดท้าย ที่ไม่มีอยู่ในความคิดเลยจะมาสมัครเรียนที่นี่

“มองหน้าแบบนี้คืออะไรวะ” วิธูถามเมื่อเห็นสีหน้าและแววตาของวีร์

“คิดไงมาเรียนนี่วะ” วีร์ถาม

“ไม่คิดไง เพื่อนมาเรียนที่นี่ แฟนมาเรียนที่นี่ กูก็ตามมาเรียนที่นี่สิวะ” วิธูยักไหล่ไม่สะทกสะท้าน

“แล้วคิดว่าจะเรียนจบมั้ย”

“จบ” วิธูตอบอย่างมั่นใจ “ได้โควตานักกีฬามาแล้ว คนช่วยติวก็มีเยอะแยะ จบทันเพื่อนแน่นอน”

“เออ แล้วแต่มึงละกัน” ถึงจะเป็นห่วงอยู่บ้างแต่เมื่อเพื่อนตัดสินใจแล้ว วีร์ก็ไม่ได้ติดใจอะไรต่อ หากเป็นเมื่อก่อนที่วีรดนย์ยังอยู่ก็คงจะช่วยติวเรื่องเรียนให้วิธูได้ แต่ตอนนี้วีร์เองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าวิธูจะมีคนคอยช่วยเหลือหากว่าไม่ไหวจริงๆหรือไม่

“ฮาย พี่เพชรยังรอดมาได้ กูก็ต้องได้ละวะ” วิธูพูดไปถึงพีรพัชร์ชายหนุ่มรุ่นพี่ที่รู้จักกัน ตอนนี้กำลังเรียนคณะวิทยาศาสตร์การกีฬาปีที่สามแล้ว อีกทั้งยังสร้างชื่อเสียงให้กับมหาวิทยาลัยไว้มากมาย

“พี่เพชรน่ะได้แชมป์มาสองรายการแล้ว แล้วก็ติดทีมชาติแล้ว มึงน่ะไหวมั้ย” วีร์ถามกลับ

“ไหวสิ” วิธูยังยืนยันคำเดิม

“เอาตะ ถ้ามันไม่ไหวจริงๆ ค่อยว่ากัน” แพรไหมบอกตัดบทเพื่อให้เพื่อนๆเปลี่ยนเรื่องคุยกัน

“เออๆ แล้วตกลงมีอะไรอีกมั้ย ไม่งั้นจะไปตึกเรียนแล้ว”

วีร์ทำท่าจะลุกขึ้นแต่โดนอมรารั้งแขนเอาไว้เสียก่อนจึงนั่งลงตามเดิม

“เดี๋ยว... ชั้นไปสืบมาแล้ว”

“เรื่อง?” วีร์มองอย่างสงสัย

“ก็เรื่องรุ่นพี่ผมสีเทาคนนั้นแล” อมราหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดู

“คนไหนวะ” วีร์ถามกลับแล้วก็ได้สายตาเหล่มองจากอมรา

“ชั้นไปดูมาแล้วนะ พี่เขาอยู่คณะวิทยาฯ เรียนเอกฟิสิกส์ ปีสามแล้ว” เมื่อได้ยินวีร์ก็คิดจะลุกขึ้นไปอีกครั้งแต่ก็โดนอมราฉุดกลับมาอีกครั้งเช่นกัน “แล้วที่สำคัญนะ พี่เขาสอบได้ทุนไปศึกษาต่อด้านอวกาศที่องค์การอวกาศแห่งชาติจีนด้วย หนึ่งเดียวของมหาวิทยาลัยเราเลยนะคะ ขอบอก”

อมรานั้นพูดอย่างตื่นเต้นส่วนวีร์ก็มองตอบกลับอย่างเหนื่อยหน่ายว่า แล้วยังไง

“หมายถึง พี่เขาเรียนจบที่นี่ก่อนแล้วค่อยไปเรียนต่อที่จีนงั้นเออ” แพรไหมถามอมรา

“มั้นแหละ” อมรายังพูดอย่างโอ้อวด

“งั้นก็... พี่เขามีเวลาเหลือสองปีจะจีบอีอ้วนให้ติด แล้วสมมติว่าจีบติด” วีร์จ้องตามองแพรไหมจนเธอต้องรีบออกตัว “สมมติ! สมมติว่าจีบติด เดี๋ยวก็ต้องแยกกันอยู่อย่างน้อยก็จนกว่าอีอ้วนจะเรียนจบ แล้วพี่เขาต้องไปจีนกี่ปีก็ไม่รู้”

อมราได้ยินดังนั้นก็เริ่มคิดตาม แล้วก็เริ่มเห็นคล้อยตามไปด้วย

“เออนะ ถึงได้เป็นแฟนกัน... สมมติ!” อมราเองก็ต้องรีบออกตัวเมื่อวีร์มองมา “สมมติว่าได้เป็นแฟนกัน ก็ต้องแยกกันอยู่อยู่ดี...” เธอจึงเริ่มแสดงท่าทางผิดหวัง “งั้นเลิกๆ อุตส่าห์คิดว่าเพื่อนจะได้ผัวดีแล้วนา”

“ถ้ามันเป็นแฟนกับพี่เขาจริง... สมมติ!” แม้แต่วิธูเองก็ต้องรีบออกตัวก่อนจะโดนมองแรง “ก็ให้มันตามไปอยู่ที่จีนด้วยซะเลยก็หมดเรื่อง ไม่เห็นจะยากอะไร”

“ถามกูก่อนมั้ยว่ากูอยากไปมั้ย” วีร์เริ่มรู้สึกปวดตึบๆตรงที่ขมับทั้งสองข้าง

“แสดงว่าไม่ต้องถามแล้วใช่มั้ยว่าอยากเป็นแฟนมั้ย” แพรไหมสวนกลับในทันที แล้วก็ส่งยิ้มล้อเลียนไปด้วย

“เฮ้อ ไปเรียนแล้ว” วีร์รีบลุกขึ้นแล้วก็เดินออกไปในทันทีโดยไม่คิดจะรอฟังเสียงล้อเสียงแซวจากเพื่อนๆอีก

“เดี๋ยวสิคะ” อมราตะโกนเสียงตามไล่หลังวีร์ “พี่เขาชื่อ วีส์ เนื้อนาดี นะค้า”

วีร์เดินต่อไปอย่างไม่สนใจและไม่หันกลับมา เดินมุ่งหน้าไปที่ตึกเรียนเท่านั้น

“เหนื่อยหน่าดี๋เออ... ไอ่หมืด ขุ่นๆหู้นะ” แพรไหมถามแฟนหนุ่มของเธอ ”ขนแถ่วบานเราม้ายวะ”

“เออๆมั้นๆ ใครวะ... หนึกม้ายอ๋อกเบ๊อะ” อมราก็คิดตามนั้น

ส่วนวิธูแค่ยักไหล่ตอบกลับ ไม่ได้ยืนยันคำตอบอะไร


*****


เวลาปกติทั่วไปที่ตึกคณะเศรษฐศาสตร์ค่อนข้างจะเงียบสงบ เพราะมีจำนวนนักศึกษาภายในคณะไม่นากนักเมื่อเทียบกับคณะอื่นๆ และไม่ค่อยจะมีนักศึกษาจากคณะอื่นมาเรียนที่ตึกคณะนี้สักเท่าไหร่ ทำให้ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านมากนัก

วีร์เดินขึ้นตึกไปตามหาห้องเรียนสำหรับวันนี้ เป็นห้องเรียนรวมขนาดใหญ่เพราะเป็นวิชาพื้นฐานที่ทุกคนต้องเรียนให้ผ่านก่อนที่จะไปต่อวิชาขั้นสูงได้ เมื่อเดินไปถึงหน้าประตู วีร์มองทะลุผ่านช่องกระจกใสที่ประตูดูว่ามีใครเข้าไปนั่งรออยู่แล้วบ้าง กวาดสายตามองไปทั่วห้องไล่ตั้งแต่แถวล่างขึ้นไปที่ละแถวจนเจอแพรวานั่งรออยู่แล้ว โดยมีชายหนุ่มตัวเล็กๆนั่งคุยอยู่เป็นเพื่อน วีร์จึงเปิดประตูแล้วเดินเข้าไป

แพรวาหันมาเจอพอดี จึงกวักมือเรียกวีร์ให้ไปนั่งด้วยกัน

“วีร์สายตาสั้นเหรอ” แพรวาถามทันทีที่วีร์นั่งลงข้างๆ สังเกตเห็นว่าวีร์ใส่แว่นตาซึ่งแปลกไปจากปกติที่เธอเคยเห็น

“ใช่”

“แล้วปกติใส่คอนเทคเลนส์เหรอ” แพรวาถามต่อ

“ใช่ แต่วันนี้ใส่แว่นมา” วีร์ตอบและยิ้มให้รวมถึงชายหนุ่มอีกคนด้วย

“วีร์ นี่ดวงใจนะ” แพรวาแนะนำชายหนุ่มให้วีร์รู้จัก

“เรียกใจเฉยๆก็ได้” ชายหนุ่มเอ่ยทักทาย

“โอเค แต่เอ... ใจไม่ได้มาวันแรกพบใช่ปะ” วีร์ถามเพราะไม่รู้สึกคุ้นหน้าอีกฝ่ายสักเท่าไหร่

“เปล่า วันนั้นเราไม่สบาย ก็เลยไม่ได้มา” ดวงใจตอบแล้วก็ทีท่าทางเขินอายเบียงตัวหลบข้างๆแพรวา วีร์กำลังจะถามชายหนุ่มว่ามีอะไร แต่ก็รู้สึกได้ว่ามีคนมานั่งข้างๆเขา เมื่อหันไปมองก็เห็นปัญจวีส์กับเพื่อนๆที่มักจะเห็นว่าอยู่ด้วยกัน

“อ้าวปันปัน ไงโจ๊ก โชกุน” วีร์ทักทายเพื่อนทั้งสามคน

“วีร์มาถึงนานแล้วเหรอ” ปัญจวีส์เอ่ยถามน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น หายใจเหนื่อยหอบ

“เพิ่งมาถึงเมื่อกี้เอง แล้วนี่เป็นไร ทำไมถึงหอบแบบนี้อะ” วีร์สังเกตอาการของทั้งสามคน

”เมื่อเช้าปันปันแวะไปหาเพื่อนที่คณะวิดยามา คุยเพลินจนลืมเวลา เลยรีบวิ่งกลับกันมาสามคน นึกว่าจะมาไม่ทันซะแล้ว”

“วันแรกไม่เป็นอะไรมั้ง นี่ก็ยังเหลืออีกตั้งห้านาที” วีร์รู้สึกเห็นใจแต่ละคนที่อุตส่าห์รีบวิ่งมากัน

“ไม่ได้ๆ เห็นเขาบอกกันว่าอาจารย์คนนี้เนี๊ยบมาก ตรงเวลาแป๊ะ เข้าห้องปุ๊บล็อคห้องปั๊บ ใครมาไม่ทันก็อดเช็คชื่อเลย” ปัญจวีส์เอียงตัวกระซิบให้วีร์ฟังเหมือนกลัวว่าใครจะได้ยิน

“ปันมันพูดโอเวอร์ วีร์ไม่ต้องไปเชื่อมัน”  เพื่อนคนหนึ่งพูดออกมา

“เราได้ยินมาอย่างนั้นจริงๆ” ปัญจวีส์หันไปบอกเพื่อนของเขา

“เอาน่ะ เดี๋ยวก็รู้ โน้นอะอาจารย์มาแล้ว” วีร์บุ้ยหน้าไปทางหน้าห้องที่อาจารย์ผู้บรรยายเดินถือเครื่องคอมพิวเตอร์แล๊บท๊อปมาด้วย ปัญจวีส์ก็ได้แต่หัวเราะแหะๆรอดูสถานการณ์จริงว่าเป็นไปตามที่เขาบอกหรือไม่

“นักศึกษาคะ เชิญนั่งที่ให้เรียบร้อยด้วยค่ะ” อาจารย์หญิงสาวเปิดไมโครโฟนประกาศแล้วก็หันไปจัดการอุปกรณ์การสอนเตรียมพร้อมสำหรับวิชาบรรยายวิชาแรกของภาคเรียน


*****


“เอาละค่ะ อย่างที่บอกไป เดี๋ยวจะให้นักศึกษาจับกลุ่มกัน กลุ่มละห้าคน เลือกกันเองตามใจชอบนะคะ เขียนรายชื่อแล้วส่งตัวแทนมาจับหัวข้อที่ต้องไปค้นคว้า” อาจารย์สาวที่ไม่ได้ดูเคร่งครัดเหมือนข่าวลือว่ามามองดูเวลาจากนาฬิกา “เหลืออีกห้านาทีก่อนหมดเวลา เชิญค่ะ”

นักศึกษาแต่ละคนเริ่มหันมองกันไปมา โดยส่วนมากมักจะเริ่มถามจากเพื่อนนักศึกษาที่นั่งใกล้กันอยู่แล้ว จนเหลือเศษหรือคนไม่พอจริงๆจึงเริ่มลุกขึ้นยืนและกวาดตามองไปรอบห้องดูว่ายังมีกลุ่มไหนที่ยังไม่ครบคนบ้าง

“ของปันปันมีสามคนแล้ว วีร์กับแพรมาอยู่ด้วยกันมั้ย” ปัญจวีส์หันมาถามวีร์และแพรวา

ทั้งวีร์และแพรวาหันมาถามกันด้วยสายตา ต่างคนก็ไม่อยากจะทิ้งดวงใจไป วีร์จึงหันกลับไปบอกปัญจวีส์

“เอ่อ เราก็มีสามคนเหมือนกัน” วีร์ชี้นิ้วมาที่ตัวเอง แล้วชี้ไปทางแพรวาและดวงใจ

ในระหว่างที่กำลังติดสินใจว่าจะเอาอย่างไรกันดี เพื่อนคนหนึ่งของปัญจวีส์ก็พูดขึ้นมา

“เฮ้ย ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราไปอยู่กับพวกเชษเอง ปันกับโชกุนอยู่กับวีร์ก็ได้”

“เอางั้นเหรอ” เพื่อนๆถามกันเพื่อความแน่ใจ

“กลุ่มเชษขาดคนนึงพอดี ตามนี้แหละ”

เมื่อได้ข้อสรุป ดังนั้นคนที่เหลือทั้งห้าคนต่างก็ตกลงเห็นชอบตามกัน ดวงใจจึงหยิบกระดาษของเขาออกมาและเขียนชื่อตัวเองลงไปแล้วจึงส่งต่อให้แพรวาและวีร์ตามลำดับ แล้ววีร์ก็ส่งต่อไปให้ปัญจวีส์

“แล้วใครจะเอาไปส่งอาจารย์” แพรวาถามแล้วหันมองรอคำตอบทั้งจากด้านซ้ายและขวา

“เดี๋ยวเราเองไปเอง” ดวงใจเสนอตัวเอง

เมื่อไม่มีใครแย้ง กระดาษรายชื่อที่เขียนเสร็จแล้วก็ถูกส่งกลับไปหาดวงใจ วีร์รับกระดาษมาดูรายชื่อที่เขียนไว้ตามลำดับ


ดวงใจ ราษฎร์ยินดี
แพรวา ร่วมทางทอง
วีร์ วรรัญญา
ปัญจวีส์ ล้ำเลิศรัตนทรัพย์
ไร้พ่าย พัฒนวรสกุล



วีร์กำลังจะส่งกระดาษไปให้ดวงใจ แต่ก็ดึงกลับมาดูอีกครั้งว่าตัวเขาไม่ได้อ่านผิดไป วีร์ไล่ที่ละตัวอักษร แล้วก็หันไปมองปัญจวีส์แล้วก็หันกลับมาอ่านอีกครั้ง ก่อนที่จะส่งกระดาษไปให้ดวงใจในที่สุด


[อ่านต่อด้านล่าง]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-10-2023 01:53:42 โดย sarawit »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
“ปันปันนามสกุลล้ำเลิศรัตนทรัพย์เหรอ” วีร์ถามเจ้าตัว

“ใช่ ทำไมเหรอ” ปัญจวีส์ตอบกลับด้วยท่าทางที่ไม่ได้แปลกใจอะไร คงเป็นเพราะว่าเคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาตลอดทั้งชีวิต

“ปันปัน รู้จักกิ่งกับก้านมั้ย” วีร์ถามต่อ

“กิ่งกับก้านเหรอ เอ...” ปัญจวีร์ทำท่านึก

“กิ่งกับก้านเป็นเพื่อนเรา... เอ่อ... ปันปันเป็นลูกบ้านไหน” วีร์เปลี่ยนแนวทางในการถามใหม่เผื่อว่าจะได้คำตอบที่ต้องการ

“บ้านไหน? ยังไงอะ” ปัญจวีส์ถามกลับ

“เอ่อ...” วีร์พยายามนึกคำอธิบาย “ที่เรารู้คือเจ้าสัวแต่งภรรยาสามคนใช่มั้ย” ปัญจวีส์ก็พยักหน้ารับ “คุณย่าใหญ่ คุณย่า แล้วก็คุณย่าเล็ก อันนี้คือที่พวกเพื่อนเราเรียก” ปัญจวีส์ก็พยักหน้ารับเหมือนจะเข้าใจที่วีร์กำลังบอก “แล้วของปันปันนี่อยู่บ้านไหน”

“อ๋อ... นึกออกแล้ว เคยได้ยินว่าบ้านยายแก้วมีหลานฝาแฝดอยู่ ชื่อกิ่งกับก้านเองเหรอ”

“ไม่เคยเจอกันเหรอ” วีร์ถามต่อ ในขณะที่พากันลุกออกไปจากที่นั่งแล้วเดินลงไปด้านล่าง

“ไม่รู้สิ ปันปันเรียนโรงเรียนประจำมาตลอด บางทีเสาร์อาทิตย์ก็ไม่ได้กลับ ปิดเทอมก็ถูกส่งไปเรียนต่างประเทศ ไม่ค่อยได้อยู่บ้านหรอก”

“แล้ว... ปันปันเรียกว่ายายเหรอ” วีร์ยังคงสืบความต่อเนื่อง

“ใช่ ก็เป็นบรรดาพวกแม่ๆของแม่” ปัญจวีส์อธิบายเหมือนเป็นเรื่องปกติที่ไม่ปกติ

นักศึกษาเริ่มออกไปจากห้องเรียนกันเกือบหมดแล้ว กลุ่มเพื่อนของวีร์ก็ออกมายืนรออยู่ที่ด้านนอกห้องเรียน รอฟังหัวข้อที่ต้องไปค้นคว้าจากดวงใจ

“เดี๋ยวนะ แสดงว่าเจ้าสัวนี่เป็นคุณตาของปันปันเหรอ” วีร์ถามต่อ

“ใช่”

“แล้วทำไมปันปันถึงได้ใช้นามสกุลล้ำเลิศรัตนทรัพย์ละ”

“คือพ่อกับแม่ปันปันหย่ากันตั้งแต่ปันปันสองสามขวบได้มั้ง แม่เปลี่ยนมาใช้นามสกุลเดิม ปันปันก็เลยใช้นามสกุลตามแม่ไปด้วย”

วีร์พยักหน้ารับรู้ พยายามหาจุดเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของคนในเครือล้ำเลิศเท่าที่เขารู้จัก

“คนในบ้านนั้นที่เราเคยเจอนอกจากเพื่อนเราแล้วก็มีคุณพ่อคุณแม่ของเพื่อนเรา มีพี่น้องก็พ่อของพวกนั้น แล้วก็มีคุณย่า คุณย่าใหญ่ คุณย่าเล็กนี่เคยได้ยินแต่ไม่เคยเจอตัว แล้วก็มีลุงชาญกับป้าชื่น”

“หมายถึงชื่นฤทัยรึเปล่า” สายตาของปัญจวีส์คาดหวังกับคำตอบอย่างมาก

“ใช่ เคยได้ยินพี่ชายเราพูดถึงอยู่ว่าป้าชื่นชื่อจริงว่าชื่นฤทัย พี่ชายเราทำงานอยู่บริษัทของป้าชื่น”

“นั่นน่ะ แม่ปันปันเอง” ปัญจวีส์ส่งยิ้มกว้าง ดูเหมือนว่าโลกของพวกเขากำลังแคบลงทุกขณะแล้ว

“เหรอ” วีร์รู้สึกเหมือนปมข้อสงสัยคลี่คลายออกแล้ว “งั้นเดี๋ยววันไหนว่างๆพร้อมกัน จะนัดกิ่งกับก้านมาด้วย จะได้เจอกัน”

“ได้ ไม่มีปัญหา”


*****


โรงอาหารหลักของมหาวิทยาลัยมักจะเต็มไปด้วยนักศึกษาและบุคลากรทั้งหลาย โดยเฉพาะช่วงเวลาเที่ยง ถึงแม้มหาวิทยาลัยจะจัดโรงอาหารกระจายให้ทั่ววิทยาเขต แต่โรงอาหารกลางที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีโต๊ะที่นั่งจำนวนมาก มีร้านค้ามากมายและหลายประเภทกว่าที่อื่นๆ ทำให้นักศึกษาและบุคลากรเลือกจะมาที่นี่ถึงจะรู้ว่าต้องเบียดเสียดและแย่งที่นั่งกับคนอื่นๆก็ตาม ยังไม่นับรวมคนภายนอกที่เข้ามาติดต่อกับหมาวิทยาลัยอีก

วีร์และเพื่อนๆรีบเข้าไปจับจองพื้นที่แล้วก็พลัดกันไปซื้ออาหารและเครื่องดื่ม

วีร์เดินไล่ดูร้านอาหารต่างๆโดยคร่าว ก่อนตัดสินใจเลือกร้านข้าวแกง เพราะคิดว่าสะดวกดีและไม่ต้องรอนานมากนักรวมถึงมีกับข้าวให้เลือกหลายอย่าง ระหว่างที่เข้าแถวรอก็คอยชะเง้อมองดูและเลือกกับข้าวที่ต้องการไว้ในใจ เมื่อถึงคิวของตัวเองจะได้ไม่เสียเวลา

หลังจากที่จ่ายเงินและรับอาหารมาแล้ว วีร์ก็หันกลับเพื่อจะเดินไปหยิบช้อนส้อมแต่ก็โดนคนข้างหลังขวางเอาไว้เสียก่อน วีร์จึงเบี่ยงตัวหลบไปทางขวาพอดีกับที่อีกฝ่ายก็ก้าวเท้าไปทางเดียวกัน วีร์จึงก้าวเท้าไปทางซ้ายในจังหวะเดียวกับอีกฝ่ายก็คิดเหมือนกัน เมื่อวีร์ขยับไปทางขวาอีกครั้งก็เจอกับสถานการณ์เดิม

เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็ชะงักถอยหลังไปเล็กน้อยเมื่อเห็นชายหนุ่มร่างสูงที่มีผมสีเทาประกายน้ำเงินที่โดดเด่นยืนส่งยิ้มมาให้ ต้นเหตุแห่งความวุ่นวายในโลกสังคมออนไลน์ของเขาในช่วงที่ผ่านมา

วีร์ตัดสินใจก้าวขาไปด้านข้างอีกครั้ง และเหมือนว่าจะใจตรงกันกับอีกฝ่าย ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปคงจะไม่ได้ไปไหนกันเป็นแน่

“เชิญก่อนเลยครับ” วีร์ยืนอยู่เฉยๆ ให้อีกฝ่ายก้าวเท้าก่อนแทน แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้เคลื่อนตัวไปไหน วีร์จึงมองตอบกลับอย่างตั้งคำถามว่าอีกฝ่ายจะเอาอย่างไร

“พอใส่แว่นแล้วก็ดูน่ารักขึ้นจริงๆด้วย”

เพราะไม่ได้คิดว่าชายหนุ่มร่างสูงมาในแนวนี้ วีร์จึงดูอ้ำอึ้งไป แต่ก็พอจะสังเกตเห็นหญิงสาวสองสามคนด้านหลังที่พยายามทำตัวปกติแต่เม้มปากไว้แน่นบ้างเอามือปิดปากตัวเองไว้แน่นบ้าง เหมือนกลัวว่าเสียงของตัวเองจะเล็ดลอดออกมา วีร์จึงคิดว่าควรรีบเอาตัวเองออกไปที่ตรงนี้ก่อนจะดีกว่า

ในเมื่อชายหนุ่มร่างสูงไม่คิดจะหลบให้ วีร์จึงรีบขยับตัวเบี่ยงออกเองโดยเร็ว กำลังจะรีบเดินออกไปแต่ก็โดนขว้าต้นแขนไว้เสียก่อน

“นั่งตรงไหนอะ เดี๋ยวไปนั่งด้วยคนได้ปะ”

“ก็แล้วแต่ ถ้ายังมีที่นั่งว่างเหลือนะ” วีร์ตอบแล้วย้ายสายตามองมือที่กำลังจับต้นแขนของเขาอยู่

ชายหนุ่มเห็นแล้วก็ยอมปล่อยแต่โดยดี ถึงแม้จะไม่ได้คำตอบอย่างที่ต้องการ แต่ในเมื่อเด็กหนุ่มไม่ได้ตอบปฏิเสธเขาจะถือว่าตอบตกลงก็แล้วกัน ดังนั้นหลังจากเลือกซื้ออาหารเสร็จแล้ว เขาก็รีบเดินไปที่โต๊ะเป้าหมายในทันที

เมื่อไปถึงก็เห็นว่าวีร์นั้นนั่งอยู่ระหว่างเด็กสาวกับเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่ง ไม่ได้มีที่นั่งว่างใกล้ๆอีก เขาจึงเลือกเดินไปที่เด็กหนุ่มที่นั่งตรงข้ามกับวีร์แล้วสะกิดให้เด็กหนุ่มคนนั้นรู้ตัว

“ขอที่นั่งหน่อยสิ”

ไร้พ่ายหันมามอง แล้วก็รีบขยับตัวทันที

“อ้าว พี่วีส์ เชิญครับ”

ไร้พ่ายเบียดและดันเพื่อนๆให้ขยับตัวเพื่อเปิดพื้นที่ว่างให้กับชายหนุ่มรุ่นพี่สามารถนั่งได้

“ขอมานั่งกินข้าวด้วยคนนะครับน้องๆ” วีส์ทักทายและส่งยิ้มให้กับรุ่นน้องรอบโต๊ะโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เงยหน้าขึ้นมามองเขาชั่วครู่แล้วก็ก้มหน้าลงกินอาหารต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“แล้วทำไมพี่ถึงมานั่งโต๊ะนี้ละคะ” แพรวาถามด้วยความสงสัย ถึงจะพอเดาได้ว่าสาเหตุคงจะมาจากเพื่อนคนที่นั่งอยู่ข้างๆเธอ

“ก็มาทำความรู้จักน้องๆปีหนึ่งไง” วีส์ตอบพร้อมอธิบายเหตุผล

“คนละคณะนะคะ” แพรวาถามต่อ

“ก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลย รู้จักกันไว้ไม่เสียหายอะไร” วีส์ยังคงไถลตัวต่อเนื่อง

“หมายความว่าพรุ่งนี้พี่จะไปทำความรู้จักกับน้องปีหนึ่งคนอื่นๆใช่มั้ยคะ” แพรวาถามต่อเนื่อง

“ก็ถ้าวีร์เขาไปนั่งโต๊ะไหน พี่ก็ไปโต๊ะนั้นแหละ” วีส์ตอบอย่างไม่อ้อมค้อมใดๆ ซึ่งก็ได้รับเสียงตอบรับอันดีจากรอบโต๊ะ ส่วนคนที่ถูกพูดถึงยังคงก้มหน้าก้มตากินอย่างไม่สนใจอะไร

“เออ จริงสิ เศรษฐศาสตร์ปีนี้จะส่งใครไปแข่งเทนนิสตอนกีฬาน้องใหม่” วีส์ชวนรุ่นร้องคุยเพื่อสร้างบรรยากาศที่ดี

“ยังไม่ได้คุยกันเลยครับพี่ เดี๋ยวคงไว้คุยกันตอนนัดรวมกันอีกที” ไร้พ่ายเป็นตอบ

“เหรอ เห็นไอ้ปั๋งมาสอบเข้าวิทยาฯ กูว่ามันน่าจะลงแข่งนะ” วีส์หันไปคุยกับไร้พ่าย ลักษณะเหมือนคนที่คุ้นเคยกันพอสมควร

“ผมไม่กลัวครับพี่ มือหนึ่งมือสองอยู่คณะเรา ยังไงก็ชนะแน่” ไร้พ่ายพูดอย่างมั่นใจ

“มึงแน่ใจเร้อ... ว่ามือหนึ่งเขาจะยอมลงแข่ง” วีส์เล็งสายตาไปที่คนนั่งตรงกันข้าม และเหมือนจะสัมผัสอะไรบางอย่างได้ทำให้วีร์จึงหลุบตาขึ้นมามองประเดี๋ยวเดียวแล้วทำเป็นไม่สนใจตามเดิม

“น่ารักจริงๆ” วีส์พึมพำเบาๆที่พอจะได้ยินกันทั่ว

“เฮ้อ” เสียงถอนหายใจดังขึ้นมาจากปัญจวีส์ที่นั่งห่างออกไป โดยที่กำลังส่ายหน้าแบบเซ็งๆไปด้วย ทำเอาหลายคนลุ้นอยู่ในใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรือไม่ แต่ก็ไม่มีใครทำอะไรต่อ

“เห็นมั้ย พี่มานั่งด้วยแล้วเจริญอาหารจะตาย เกือบหมดจานแล้วเนี่ย”

สายตาทุกคู่ก็ย้ายมองไปที่จานอาหารจานเดียวกัน ถึงแม้ว่าอาหารจะยังไม่หมดจาน แต่ช้อมส้อมก็ถูกรวบและวางลงอย่างเรียบร้อย ส่วนเจ้าตัวก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพาย

“จะไปไหนอะวีร์” แพรวาถามเมื่อเห็นเพื่อนรีบลุกขึ้นยืน

“ไปดูว่ามีอะไรกินแก้เลี่ยนมั้ย เอ่อ... ไม่ได้หมายถึงใครนะครับ” วีร์รีบออกตัวอย่างตั้งใจว่าหมายถึงใคร ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มตอบกลับมาอย่างดี วีร์จึงเดินออกไปจากโต๊ะ


*****


Artemis20: (แนบรูปจากโรงอาหารหลัก) อาจจะเป็นคนนี้...ที่เรา...คอยมองหามานาน... แน่เลยอะค่ะ]
น้องแว่นคือใครอะ น่าร๊อกกกกมากกกกกก
วีร์ เสดสาด ปี 1 จ้า ไอจีไม่ต้องถามหานะจ๊ะ เขาปิดไพรเวท พี่วีบอกแล้วว่าอย่าไปยุ่งกับเขา
พี่วีจะเก็บไว้ยุ่งด้วยคนเดียวใช่ม้า แอร๊ยยยยย



*****


หลังจากเปิดภาคเรียนมาได้สักพัก นักศึกษาหลายคนก็เริ่มปรับตัวให้ชินกับชีวิตการเรียนระดับอุดมศึกษาได้บ้างแล้ว ถึงแม้ว่าชั่วโมงเรียนในแต่ละสัปดาห์จะเหลือน้อยกว่าช่วงวัยประถมและมัธยมอยู่มาก แต่ความเข้มข้นของเนื้อหากลับเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ การแบ่งเวลาว่างให้เกิดประโยชน์จึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะนอกจากเรื่องเรียนแล้วกิจกรรมนอกหลักสูตรในรั้วมหาวิทยาลัยก็มีมากมายให้ลองทำ

กีฬาน้องใหม่ก็ถือเป็นกิจกรรมหนึ่งที่จัดโดยฝ่ายกิจการนักศึกษาให้นักศึกษาที่เพิ่งสอบเข้ามาใหม่ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์และพละกำลังร่วมกันเพื่อให้เป้าหมายลุล่วงไปด้วยดี ทั้งยังได้ทำความรู้จักกันผ่านการทำงานร่วมกันทั้งภายในคณะและระหว่างคณะด้วย

แต่กระนั้นไม่ว่าใครจะมาชักจูงโน้มน้าวอย่างไร วีร์ก็ไม่ยอมใจอ่อนลงขันกีฬาเทนนิส เหตุผลก็คือไม่อยากลงแข่ง ง่ายๆไม่ได้ซับซ้อนอะไร และวีร์ก็เห็นว่ามีคนที่มีความสามารถมากพออีกหลายคนที่เป็นตัวเลือกที่ดีได้ ส่วนทางด้านปัญจวีส์ที่เคยเป็นคู่แข่งขันกันมาก่อนและหมายมั่นว่าอยากจะลงแข่งประเภทชายคู่กับวีร์ แต่เพราะวีร์ประกาศอย่างแน่ชัดว่าไม่ลงแข่ง เขาก็ติดสินใจไม่ลงแข่งด้วยเช่นกัน จึงต้องมองหาตัวแทนคนอื่นลงในกีฬาประเภทนี้

แต่ถึงแม้ว่าจะไม่ลงแข่งขันเอง วีร์ก็ยังยินดีเป็นคู่ฝึกซ้อมให้เพื่อน เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับวันจริง

“โชกุน ปกติเสิร์ฟอย่างนี้เหรอ” วีร์เดินมาที่ตาข่ายเพื่อพูดคุยกับไร้พ่ายที่อยู่ตรงเส้นท้ายคอร์ทของอีกฝั่ง

“ใช่ ทำไมเหรอ” ไร้พ่ายตอบอย่างไม่มั่นใจว่ามีอะไรผิดปกติตรงไหน หลังจากที่โยนลูกสักหลาดขึ้นแล้ว เขาก็มักจะเอี้ยวตัวไปด้านหลังทางขวาพร้อมกับย่อตัวลงเล็กน้อยแล้วก็รีบเขย่งโหดลูกอย่างรวดเร็ว และจบลงด้วยการยืนขาเดียวด้วยเท้าซ้าย ส่วนลำตัวเอียงไปทางซ้าย ทำให้ต้องยกขาขวาขึ้นเพื่อทรงตัว

“แล้ว... ปกติมีอาการปวดหลังอะไรบ้างมั้ย” วีร์ถามต่อ

“ก็... มีบ้างเป็นบางทีนะ ทำไมอะ” ไร้พ่ายเริ่มสงสัยตามขึ้นมาบ้างแล้ว

“มันก็ไม่ได้แย่อะไรนะ แต่ระเบียบร่างกายมันดูแปลกๆ เห็นแล้วดูปวดหลังมากอะ” วีร์กัดริมฝีปากบอก เพราะอันที่จริงวีร์เองก็ไม่แน่ใจว่าไร้พ่ายจะรับฟังคำวิจารณ์จากเขาหรือไม่

“เหรอ แต่เราชินแบบนี้ แล้วปกติเราก็แค่เล่นสนุกๆเฉยๆ ไม่เคยต้องซ้อมจริงจังเพื่อไปแข่ง ก็เลย...” ไร้พ่ายยกใหล่ทั้งสองข้างขึ้นแบบว่าช่วยอะไรไม่ได้แล้ว

“อืม ก็นะ ถ้าจะให้มาปรับท่าทางใหม่ตอนนี้ก็คงต้องฝึกอีกสักพักกว่าจะเปลี่ยนได้” วีร์ยู่หน้าคิด “เอาเป็นว่า เดี๋ยวอาจจะต้องยืดกล้ามเนื้อเน้นช่วงหลังก่อนแข่งช่วยเอา”

“ได้ๆ แล้ววันนี้จะซ้อมอะไรพิเศษมั้ย” ไร้พ่ายถามพลางเก็บลูกสักหลาดมาใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงไปพลาง

“เราว่าแบ็คแฮนด์ของโชกุนยังไม่แม่นเท่าไหร่ เดี๋ยวลองเน้นอีกสักรอบ แล้วลองแข่งสักเซ็ตนึงคงจะได้แล้วมั้ง” วีร์นึกตามแผนการที่เหลือที่คิดไว้ว่าต้องทำในวันนี้

“โอเค” ไร้พ่ายตอบรับแล้วก็เข้าประจำที่

วีร์ยืนรับลูกอยู่บริเวณหน้าตาข่าย คอยวอลเลย์ลูกสักหลาดกลับไปให้ไร้พ่ายตีลูกหลังมือกลับมาให้เขา โดยเริ่มจากตีเบาๆช้าๆก่อนจนหาจังหวะของตัวเองได้แล้ว วีร์ก็ถอยกลับไปที่เส้นท้ายคอร์ทแล้วเริ่มเพิ่มแรงการตีมากขึ้นเรื่อยๆ อาจจะมีปรับลดบ้างเมื่อเห็นว่าไร้พ่ายคุมจังหวะการตีไม่อยู่ จนเมื่อพร้อมอีกครั้งก็ค่อยเพิ่งแรงขึ้นอีกครั้งสลับกันไป

หลังจากเสร็จแล้วฝึกซ้อม วีร์และไร้พ่ายก็ลองแข่งขันแบบนับแต้ม ผลัดกันเสิร์ฟและเปลี่ยนฝั่งการเล่นตามกติกาสากล เพื่อทดสอบผลการฝึกซ้อมและหาข้อบกพร่องที่ต้องแก้ไขในคราวต่อไป

ระหว่างนั้นทั้งคู่ไม่ได้สังเกตเห็นว่ามีกลุ่มบุคคลมายืนรออยู่ข้างๆสนาม จากที่มองดูอยู่แบบปกติธรรมดาจนเริ่มมองอย่างสงสัย

“เกินเวลาแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมเขายังไม่ออกจากคอร์ท” ชายหนุ่มวัยกลางคนใส่เสื้อเชิ้ตและกางเกงขายาวปกติ สวมรองเท้าผ้าใบ ถามคนอื่นๆที่มาด้วยกัน

“นั่นสิครับโค้ช เดี๋ยวผมถามให้ครับ” ชายหนุ่มอีกคนที่แต่งตัวธรรมดาผิดกับคนอื่นๆรุ่นเดียวกันที่แต่งชุดกีฬาตอบกลับ แล้วก็หันไปส่งเสียงเรียกทั้งสองคนที่เล่นอยู่ในสนาม “ขอโทษครับ”

วีร์เกี่ยวลูกสักหลาดที่ไร้พ่ายเพิ่งจะตีกลับมา หมุนตัวตามแรงของลูกสักหลาด แล้วกระดกหน้าไม้ขึ้นเพื่อโยนลูกแล้วใช้อีกมือรับไว้ ก่อนที่จะหันไปมองผ่านแว่นสายตาที่มีสายรัดไว้รอบศรีษะไปทางเสียงที่ดังมา ก็เห็นกลุ่มคนจำนวนหนึ่งยืนรออยู่ที่หน้าประตูลูกกรง หนึ่งในจำนวนนั้นมีชายหนุ่มร่างสูงผมสีเทาที่เป็นประเด็นกับเขามาเกือบร่วมเดือน วันนี้ผมสีเทานั้นถูกรวบไปด้านหลังแล้วสวมหมวกทับไว้

“มีอะไรรึเปล่าครับ” ไม่ใช่วีร์ที่ยืนดูอยู่เฉยๆ แต่เป็นไร้พ่ายที่ตอบกลับ

“จองคอร์ทไว้ถึงกี่โมงเหรอครับ” ชายหนุ่มคนเดิมถาม

“ถึงหกโมงเย็นครับ ทำไมเหรอครับ” ไร้พ่ายถามต่ออย่างสงสัย

“คอร์ทหนึ่งนี้เหรอครับ” ชายหนุ่มคนเดิมถามต่อ

“ใช่ครับ ตอนจองมันเหลือว่างอยู่คอร์ทเดียว ทำไมเหรอครับ” ไร้พ่ายยังคงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

“แต่ทางทีมมหา’ลัยทำเรื่องจองคอร์ทหนึ่งไว้ตั้งแต่ห้าโมงถึงสองทุ่มทุกวันนะครับ แล้วตอนนี้ก็ห้าโมงสิบนาทีแล้วด้วย” ชายหนุ่มหันไปชี้ที่นาฬิกาเรือนใหญ่ที่ติดตั้งไว้ให้เห็นได้ชัดจากทุกสนามซ้อม

วีร์และไร้พ่ายหันมามองหน้ากัน ส่งสายตาถามกันไปมา

“โชกุน โจ๊กบอกว่าจองให้ไว้กี่โมงกันแน่” วีร์ตะโกนถามไร้พ่าย

“สี่โมงถึงหกโมงไง” ไร้พ่ายตะโกนตอบพร้อมกับวิ่งเยาะๆข้ามฝั่งมา

เพื่อความแน่ใจ วีร์จึงให้ไร้พ่ายโทรศัพท์ไปถามฐานันดรที่อาสามาลงชื่อจองสนามตั้งแต่ตอนเที่ยงเพราะต้องมาทำธุระใกล้สนามซ้อมอยู่แล้ว หลังจากที่สอบถามอย่างแน่ชัดแล้ว ฐานันดรก็ยืนยันว่าตนเองลงชื่อจองสนามไว้ให้ตามเวลาที่บอกไว้จริง ซึ่งสามารถไปขอดูจากสำนักงานได้

“แต่ทีมมหา’ลัยส่งเรื่องมาตั้งแต่ก่อนเปิดเทอมแล้วนะครับ” ชายหนุ่มคนเดิมยังคงยืนยันคำพูดตัวเอง

“ใครเป็นคนทำหนังสือเหรอครับ” วีร์ถามด้วยสีหน้า แววตา น้ำเสียง และท่าทางของผู้ผ่านงานเลขานุการชมรมสองปีติดต่อกัน

“ผมเองครับ”

“แล้วได้มาตามเรื่องที่นี่รึเปล่าครับ” วีร์ถามต่อ

ชายหนุ่มเริ่มมีท่าทางอ้ำอึ้ง เพราะเขาแค่ทำหนังสือผ่านทางฝ่ายกิจการนักศึกษาเท่านั้น และคิดว่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว

“ไอ้เต มึงเอาสำเนาหนังสือมาด้วยมั้ย” วีส์ถามแข็งดังแทรกขึ้นมาเมื่อคนฝ่ายเขาไม่ได้ตอบกลับ

ชายหนุ่มพยักหน้ารับแล้วก็รีบรื้อเอาเอกสารออกมาจากแฟ้ม

“เอาไปที่ออฟฟิช แล้วตามเรื่องให้เสร็จ” วีส์พูดเสร็จแล้วก็เดินหันไปเก้าอี้ยาวด้านข้าง เขาวางกระเป๋าใบใหญ่ลงบนเก้าอี้แล้วก็นั่งรอ ส่วนคนอื่นๆนั้นยังยืนรออยู่เหมือนเดิม

เพราะว่ายังไม่ชัดเจนว่าสถานการณ์จะออกมาเป็นรูปแบบไหน จะให้กลับไปเล่นต่อจากที่ค้างไว้ก็ยังไม่แน่นอน วีร์จึงให้ไร้พ่ายยืดกล้ามเนื้อหลังตามท่าทางที่เขาเคยสอนไปพลางๆก่อน รอจนชายหนุ่มวิ่งกลับมา


[อ่านต่อด้านล่าง]

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
“เป็นไง” ชายหนุ่มวัยกลางคนที่เป็นโค้ชถาม

“พวกเขาลงชื่อไว้จริงครับ” ชายหนุ่มอ้อมแอ้มตอบ

“ไอ้เต แล้วมึงตามเรื่องของวันอื่นไว้แล้วยัง” วีส์เอ่ยปากถามจากเก้ายาว

“เอ่อ...”

เสียงถอยหายใจยาวดังมาแต่ไกล

“ไปจัดการให้เรียบร้อย” โค้ชทีมมหาวิทยาลัยออกคำสั่ง

“แล้วของวันนี้ละครับ”

“พวกผมไม่ได้ทำผิดอะไรนะครับ” วีร์พูดชัดถ้อยชัดคำแทรกขึ้นมากลางวง

สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่วีร์ ซึ่งที่วีร์บอกก็เป็นความจริง แต่เรื่องที่ทีมมหาวิทยาลัยทำหนังสือขอจองสนามไว้ก็เป็นความจริง ต่างฝ่ายต่างก็รอว่าใครจะเป็นคนตัดสินใจ

“ก็ช่วยไม่ได้ ก็คงต้องรอถึงหกโมง” วีส์พูดแล้วก็เอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วก็หลับตาลง คนอื่นๆที่เหลือในทีมก็มองตาขอความเห็นกันก่อนที่จะตัดสินใจตามกัน แล้วก็เดินไปนั่งรอที่เก้าอี้ยาวที่วางเรียงกันอยู่

“ไปจัดการให้เรียบร้อย ไป” โค้ชบอกใช้ชายหนุ่มไปดำเนินเรื่องให้เสร็จ จะได้ไม่เป็นปัญหาอีกในภายหลัง

ส่วนวีร์และไร้พ่ายก็เดินกลับไปที่เส้นท้ายคอร์ทของแต่ละฝั่ง แล้วเริ่มเกมที่ค้างไว้

“2-3 30-40 นะ” ไร้พ่ายขานแต้มก่อนที่ตัวเองจะเป็นฝ่ายเสิร์ฟลูกต่อ

และอาจจะเป็นเพราะเกมถูกคั่นจังหวะ ทำให้รูปเกมขาดวามต่อเนื่อง วีร์จึงสวนกลับลูกเสิร์ฟของไร้พ่ายได้อย่างง่ายดายและเอาชนะเกมนั้นขึ้นนำเป็น 4-2

เกมต่อไปวีร์จึงเป็นผู้เสิร์ฟ ตามท่าทางความถนัดของวีร์ที่มักจะเสิร์ฟลูกทันที น้อยครั้งที่จะมีจังหวะเดาะลูกสักหลาดก่อนเสิร์ฟ แต่ที่แปลกไปจากปกติก็คงเป็นความแรงที่ปรับลดลงแต่ก็ยังคงสร้างปัญหาให้กับไร้พ่ายไม่น้อย แต่กระนั้นความแม่นยำยังไม่เปลี่ยนแปลง นั่นคงจะเป็นเพราะว่าที่ผ่านมาวีร์ยังคงเป็นคู่ฝึกซ้อมให้กับพีรพัชร์อยู่เรื่อยๆ เป็นการฝึกฝนตัวเองมาอย่างต่อเนื่อง

“โค้ชครับ ผมว่าน้องคนนี้แหละที่เพชรมันเคยอวดว่าถ้าเอามาร่วมทีมเราได้นี่ สุดๆเลยครับโค้ช” ชายหนุ่มคนหนึ่งลุกขึ้นไปกระซิบบอกชายหนุ่มวัยกลางคนที่ยืนมองอยู่การแข่งข้างสนามมาตลอด ไม่ได้ไปนั่งรอเหมือนลูกทีมคนอื่นๆ

“คนไหน”

“คนที่ใส่แว่นครับโค้ช”

“เหรอ...” โค้ชมองดูอย่างพิจารณา “ผมว่าก็โอเคนะ วางลูกแม่นดี แต่ฝีมืออาจจะยังไม่พอสำหรับไปแข่ง”

“แต่เพชรมันอวดไว้เยอะเลยนะครับโค้ช เดี๋ยวมันกลับมาลองถามมันดูอีกทีก็ได้ครับโค้ช”

ชายหนุ่มวัยกลางคนยืนกอดอกมองดูลูกเสิร์ฟเอชลูกที่สองติดกันของวีร์และทำให้ทำคะแนนขึ้นเป็น 5-2 เกม จากนั้นวีร์และไร้พ่ายก็เดินสลับฝั่งก่อนที่จะทำงานแข่งขันต่อ ในเกมสุดท้ายแม้ว่าไร้พ่ายจะพยายามตีลูกให้ถ่างออกข้างเพื่อเปิดพื้นที่สนามแต่ก็โดนวีร์วิ่งไปเกี่ยวกลับมาได้หมด พยายามเล่นลูกสไลด์แล้วขึ้นหน้าตาข่ายก็โดนวีร์ตีผ่านมุมแคบได้อีก และถ้าต้องเสิร์ฟลูกที่สองก็จะโดนวีร์สวนกลับเร็วในทันที ทำให้ต้องแพ้ 2-6 เกมไปในที่สุด

“เป็นไงครับโค้ช” ชายหนุ่มกระซิบถามอีกครั้ง

“ผมว่า ก็เกือบนะ” โค้ชทีมมหาวิทยาลัยยังไม่ค่อยมั่นใจมากนักจากที่เขามองดูอยู่

วีส์ที่แอบหรี่ตามขึ้นมองและเงี่ยหูฟังแบบไม่ได้ตั้งใจ ก็ลุกขึ้นนั่งหลังตรงแล้วหันไปรื้อเอาแว่นสายตาในกระเป๋าใบใหญ่เสียบกับสายรัดแล้วจึงสวมเข้ากับใบหน้าตัวเอง จากนั้นก็ล้วงเอาแร็กเก็ตที่ใช้ประจำออกมา แล้วก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปในสนามซ้อม

“โชกุน” วีส์ตะโกนเรียกเด็กหนุ่มและกวักมือ “มึงออกมา”

ไร้พ่ายเดินออกไปอย่างงงๆ สวนกับรุ่นพี่ที่เดินไปเก็บลูกสักหลาดมาใส่กระเป๋ากางเกง แล้วก็เดินกลับเข้าไปประจำที่ที่เส้นท้ายคอร์ท ตั้งท่าเตรียมพร้อมจะเสิร์ฟ

“สักเซ็ทมั้ย” ชายหนุ่มร่างสูงถาม

วีร์ที่มองอย่างสงสัยตั้งแต่ที่ชายหนุ่มตะโกนเรียกเพื่อนของเขา สงสัยว่าทำไมถึงเดินเข้ามาในสนาม สงสัยว่าทำไมถึงอยากเปลี่ยนตัวมาแข่งกับเขา และสงสัยว่าทำไมถึงต้องใส่แว่นสายตาด้วย

ต้นเหตุของความวุ่นวายทุกมื้อเที่ยง

ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะตั้งท่ารอเสิร์ฟแล้ว แต่วีร์ก็เดินออกไปจากสนามตามไร้พ่ายไป

“ป๊อดเหรอ” ชายหนุ่มตะโกนถาม

วีร์หยุดชะงักแล้วหันไปมองด้วยสายตาที่ใครต่อใครก็บอกว่าเหมือนกับคุณตาของเขายิ่งนัก

“เซ็ตเดียวเอง เหลืออีกตั้งครึ่งชั่วโมงกว่าจะหมดเวลา”

วีร์ยังคงไม่สนใจที่จะลงแข่งด้วย เตรียมจะเดินออกไปจากสนามแล้ว

“ป๊อดก็บอก ไม่เห็นต้องอายเลย”

วีร์มองดูไร้พ่ายที่ยักไหล่ตอบให้วีร์เป็นคนตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไร วีร์หันกลับไปหาชายหนุ่มอีกครั้ง คิดทบทวนอีกรอบ แล้วก็เดินกลับไปที่เส้นท้ายคอร์ทแล้วก็ตั้งท่าเตรียมพร้อมรับลูกเสิร์ฟ

วีส์ยิ้มให้อย่างผู้ชนะที่สามารถดึงอีกฝ่ายให้มาแข่งด้วยกันได้ แต่จะสามารถชนะในเกมได้หรือไม่นั้นต้องรอผลหลังจากนี้ต่อไป

ช่วงแรกนั้นวีร์ไม่ได้ออกอาวุธอะไรมากมาย การเสิร์ฟลูกก็ไม่ต่างไปจากที่เล่นกับไร้พ่ายสักเท่าไหร่ และเน้นเกมรับเป็นส่วนใหญ่เพราะต้องการศึกษารูปแบบการเล่นของคู่ต่อสู้ แต่ในใจวีร์ก็ยอมรับว่าอีกฝ่ายมีฝีมือพอตัว ทำให้วีร์ต้องยกระดับการเล่นของตัวเองให้สูงขึ้นเรื่อยๆ

“โหย มีดีแค่นี้เองเหรอ ไอ้เพชรมันโม้ไว้เยอะเลยนะ” ชายหนุ่มผมสีเทายิ้มยั่วยวนกวนบาทาตะโกนข้ามฝั่งมาในจังหวะที่วีร์กำลังจะเสิร์ฟและมีคะแนนตามหลัง 1-2 15-40

วีร์เงยหน้าขึ้นมองฝั่งตรงข้ามอีกครั้งแล้วก็เตรียมพร้อมเสิร์ฟ แต่ครั้งนี้วีร์ใส่น้ำหนักเต็มแรงทำให้ลูกพุ่งลงเส้นกลางสนามกระดอนไปกระทบตะแกรงเหล็กด้านหลังในชั่ววินาที 30-40

ลูกถัดไปนั้นวีร์เลือกเสิร์ฟให้ลงเส้นด้านข้างและให้ลูกกระดอนเฉียงออกไป แม้ว่าอีกฝ่ายจะสามารถก้าวเท้าไปเกี่ยวลูกกลับมาได้ แต่ก็วีร์ก็ขยับขึ้นมารอใกล้ตาข่ายอยู่แล้วและวอลเลย์ลูกเฉียงไปอีกทางที่เปิดโล่งอยู่ 40-40

ต่อมาวีร์เลือกเสิร์ฟไปลงมุมทแยงพอดี ชายหนุ่มก็รับลูกทแยงกลับมาได้ วีร์ตั้งท่ารอตีลูกหน้ามือทแยงมุมข้ามสนามกลับไปพร้อมกับใส่แรงให้ลูกเลียดตาข่าย โต้กันไปมาอยู่หลายรอบและทุกลูกนั้นหนัก แรง และเร็ว จนอีกฝ่ายต้องเปลี่ยนเกมหันมาตีขนานเส้นข้างแล้วขยับขึ้นหน้าตาข่าย วีร์ก็สืบเท้ามาทันแล้วเอื้อมมือไปสุดแขนแล้วฟันสไลด์ลูกหลังมือมุมแคบ ลูกตกครึ่งทางก่อนถึงเส้นเสิร์ฟแล้วกระดอนออกไปทันที A-40

วีร์ปิดเกมด้วยลูกเสิร์ฟลงมุมกลางอีกครั้ง ตามขึ้นมาเป็น 2-2

“แบบนี้เป็นไงครับโค้ช” ชายหนุ่มคนเดิมกระซิบถาม ทางฝั่งโค้ชไม่ได้ตอบกลับอะไรแต่มองดูการแข่งอย่างตั้งใจ

เป็นเพราะเด็กหนุ่มเปลี่ยนรูปเกมใหม่ ทำให้วีส์ต้องเน้นการเสิร์ฟและการตีโต้มากขึ้นจึงทำให้เกิดข้อผิดพลาดมากขึ้นตามไปด้วย และการเสิร์ฟครั้งที่สองก็มักจะโดนวีร์สวนกลับอย่างรวดเร็ว ถึงจะเปลี่ยนเกมโดยการดึงจังหวะให้ช้าลงบ้าง เล่นลูกสั้นลูกยาวสลับกันไปบ้าง ก็โดนวีร์แก้เกมกลับมาได้หมด

จากเดิมที่ดูเหมือนเล่นกันสนุกสนานก็เริ่มจริงจังมากขึ้นจนเหมือนการแข่งชิงถ้วยรางวัล ต่างฝ่ายต่างผลัดกันออกอาวุธ หนักบ้างเบาบ้าง ไม่มีใครยอมใคร จนคนรอบสนามต่างก็มายืมมองดูการแข่งขันอย่างสนใจ แม้แต่ตัวไร้พ่ายเองที่เคยเห็นวีร์แข่งอย่างจริงจังมาครั้งหนึ่งกับปัญจวีส์เมื่อตอนกีฬาประเพณีระหว่างสถาบันสมัยมัธยมศึกษา แต่รูปแบบเกมก็ไม่เข้มข้นเท่าครั้งนี้ ก็ดูอย่างตื่นเต้นตามไปด้วย

สมกับที่ถูกวางให้เป็นมือหนึ่งของคณะเศรษฐศาสตร์

รูปแบบการเล่นดูสูสีแต่คะแนนกลับไม่สูสีเอาเสียเลย วีร์สามารถทำเกมขึ้นมาที่ 5-2 เหลืออีกเพียงเกมเดียวเท่านั้นก็จะได้เซ็ตไปครอง

“นี่คุณอ่อนข้อให้เขารึเปล่า” โค้ชถามตอนที่วีส์วิ่งกลับมาเอาผ้าเช็ดเหงื่อบนใบหน้าและแว่นสายตาก่อนที่จะเปลี่ยนฝั่งสนามเพื่อเล่นเกมต่อไป

“โค้ชครับ แผนเอาชนะใจไงครับ ต้องยอมให้เขาชนะเกมแล้วเราจะชนะใจ” ชายหนุ่มคนหนึ่งแซว

“ลำบากหน่อยนะ เกมหน้าเขาเป็นฝ่ายเสิร์ฟปิดเซ็ตซะด้วย” โค้ชยืนกอดอกมองดูนักกีฬาของเขาหายใจเหนื่อยหอบ

“ผมว่า 40-30”

“ไม่ๆ 40-15 ก็หรูแล้ว”

เสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากจากเพื่อนๆทำให้เจ้าตัวไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่แต่ก็รีบตัดความคิดนั้นทั้งไป วีส์เดินไปรอที่หลังเส้นท้ายคอร์ทเตรียมพร้อมรับลูกเสิร์ฟจากเด็กหนุ่ม เนื่องจากถูกปรามาสมาจากเพื่อนๆ เขาจึงพยายามทำสมาธิจดจ่ออยู่กับเกม อย่างแรกคือต้องเอาลูกให้ข้ามกลับไปก่อน แล้วค่อยๆวางแผนขั้นต่อไป

คะแนนเกมนี้กลับมาสูสีอีกครั้ง จนในที่สุดวีร์ต้องการอีกเพียงหนึ่งแต้มเพื่อชนะ ส่วนวีส์ต้องการอีกแต้มเพื่อเสมอและยื้อการแข่งออกไปอีก น่าเสียดายที่วีร์พลาดลูกเสิร์ฟแรกไปก่อน ลูกเสิร์ฟที่สองจึงผ่อนความแรงลง ทำให้อีกฝ่ายรับกลับมาได้และเริ่มโต้กันไปมา

ตีครั้งที่เจ็ด ตีครั้งที่แปด ผ่านไปแล้วก็ยังไม่มีทีท่าว่าใครจะเพลี้ยงพล้ำก่อน ต่างฝ่ายต่างก็งัดรูปแบบการเล่นออกมาใช้ แฟลต สไลด์ อันเดอร์สปิน ค่อยๆแต่งค่อยๆปั้นจนกว่าโอกาสของตัวเองจะมาถึง รอบนี้ถึงวีร์จะไม่ได้ใส่แรงเต็มเหนี่ยว แต่ความแม่นมาเต็มพิกัด เส้นขอบสนามด้านซ้ายที เส้นขอบสนามด้านขวาที ยึดแนวทางว่าถ้าเรายังอยู่นิ่งๆเราก็ทำให้เขาวิ่ง ถ้าเขาทำให้เราขยับเราก็ต้องทำให้เขาขยับด้วยเช่นกัน

เป็นเพราะว่าโดนโยกจากซ้ายไปขวากลับไปกลับมาติดต่อกันหลายรอบ ลูกสุดท้ายวีส์พยายามวิ่งไล่สุดแรงให้ทันแล้วเหยียดแขนสุดตัวหวังจะสไลด์เกี่ยวลูกสักหลาดกลับไปให้ได้ แต่ลูกเจ้ากรรมก็ลอยไปตกก่อนที่จะถึงตาข่าย ทำให้เกมสิ้นสุดลง

หลายๆคนรอบสนามพากันตบมือแสดงความยินดีกับผู้ชนะ ส่วนไร้พ่ายก็รีบวิ่งไปหาวีร์ที่กลางสนาม

“สุดยอดเลยวีร์ เอาชนะระดับพี่วีได้ด้วย เยี่ยมสุดๆไปเลย” ไร้พ่ายยกนิ้วโป้งทั้งสองข้างให้วีร์

วีร์ไม่ได้ตอบกลับอะไร แค่ยิ้มให้เฉยๆ เพราะเขาเองก็รู้สึกหายใจหอบอยู่เหมือนกัน แล้วก็พากันเดินไปที่กระเป๋าเพื่อเก็บอุปกรณ์เพราะนี่ก็ใกล้หมดเวลาที่จองสนามไว้แล้ว

“คุณรู้จักกับพีรพัชร์ใช่มั้ย” โค้ชทีมมหาวิทยาลัยเดินเข้าไปคุยกับวีร์และไร้พ่าย

“ครับ” วีร์เงยหน้าขึ้นมาตอบสั้นๆ

“สนใจเข้าทีมมหาวิทยาลัยรึเปล่า” โค้ชหนุ่มถาม

“ไม่ดีกว่าครับ พอดีว่าไม่ได้ชอบแข่ง ชอบเล่นสนุกเฉยๆ” วีร์ตอบปฏิเสธอย่างสุภาพ

“แต่ฝีมือระดับนี้ ไม่น่าจะใช่แค่เล่นสนุกธรรมดานะผมว่า น่าจะฝึกซ้อมมาเยอะพอสมควรเลย” โค้ชยังพยายามชวนเด็กหนุ่ม

“ผมเป็นคู่ซ้อมให้พี่เพชรอยู่ครับ ก็เลยได้เล่นอยู่เรื่อยๆ” วีร์ตอบแล้วก็หันไปเก็บแร็กเก็ตลงกระเป๋าและเดินไปช่วยไร้พ่ายเก็บลูกสักหลาดใส่กระป๋องให้เรียบร้อย เตรียมตัวออกจากสนาม

“แน่ใจนะว่าไม่อยากเข้าทีมมหาวิทยาลัย” โค้ชยืนรอถามย้ำอีกครั้ง

“ครับ แน่ใจครับ” วีร์ตอบยืนยันคำเดิม

โค้ชพยักหน้าอย่างเข้าใจแล้วไม่ได้พูดอะไรต่อ เพราะหากเจ้าตัวไม่ต้องการ ใครก็คงไปบังคับเขาไม่ได้ แต่ก็รู้สึกเสียดายในฝีมือหากได้มาร่วมทีมจริงๆก็คงจะทำผลงานที่ดีในปีหน้าและปีต่อๆไปได้แน่ๆ

วีร์และไร้พ่ายเก็บอุปกรณ์เสร็จแล้วก็ชวนกันกลับ วีร์หยิบกระเป๋าใบใหญ่ขึ้นสะพายบ่า แล้วทั้งคู่เดินออกไปจากสนาม เจอกันกับเด็กหนุ่มรุ่นพี่ที่ออกมาเก็บแร็กเก็ตของตัวเองลงกระเป๋าใบใหญ่ไปเรียบร้อยแล้ว และเตรียมตัวกลับเช่นกัน

“อ้าวมึง กลับเลยเหรอวะ” เพื่อนร่วมทีมถามชายหนุ่มผมสีเทาที่ตอนนี้ถอดหมวกและแว่นสายตาออกแล้ว

“กูซ้อมเสร็จแล้วนิ” วีส์ยกกระเป๋าใบใหญ่ขึ้นสะพายแล้วก็หันไปขออนุญาตจากโค้ช “ผมกลับเลยนะโค้ช”

“รอบหน้าเพิ่มเวลาซ้อมนะ” โค้ชไม่เชิงอนุญาตซะทีเดียว แต่เพราะเกมก่อนหน้านี้ก็ถือว่าใช้แรงไปพอสมควร และก็ได้ให้บทเรียนให้เจ้าตัวต้องกับไปคิดปรับปรุงต่อมากพอแล้ว

“ได้ครับโค้ช” วีส์เดินไปหารุ่นน้องที่เพิ่งแข่งขันกัน “จะกลับเลยใช่มั้ย เดี๋ยวกูไปส่งให้ก็ได้ กูเอารถมา”

“ไม่เป็นไรครับ นัดเพื่อนไว้” วีร์ตอบปฏิเสธพร้อมกับผงกศีรษะไปทางด้านข้าง ให้อีกฝ่ายเห็นว่ามีชายหนุ่มร่างสูงสองคนยืนรออยู่ไม่ไกล

วีส์หันไปตามทิศทางนั้นแล้วก็เข้าใจ เขาพอจะรู้จักหนึ่งคนในนั้น น้องชายของท่านเทพวีรมาตุกำลังยืนกอดอกมองดูเขาอย่างพิจารณา

“งั้นไว้โอกาสหน้าก็แล้วกัน” วีส์ยิ้มให้

ส่วนวีร์นั้นไม่มั่นใจว่าจะมีโอกาสนั้นอีกจึงไม่ได้ตอบอะไรกลับไป แล้วก็ชวนไร้พ่ายเดินไปด้วยกัน

“โอ้!” มีเสียงอุทานร้องดังขึ้นมา ทำให้แต่ละคนชะงักและหันไปมองต้นเสียงที่กำลังชี้นิ้วไปมาระหว่างสองคู่แข่งขัน “นี่ใช้สายสะพายกระเป๋าลายเดียวกันเลยเหรอวะ”

วีร์และวีส์หันมามองหน้ากันแล้วก็มองไปที่สายสะพายกระเป๋าของอีกฝ่ายก่อนที่จะหันกลับมามองของตัวเองเพื่อเปรียบเทียบกัน แม้ว่ากระเป๋าใบใหญ่ของทั้งคู่จะเป็นของยี่ห้อเดียวกันแต่รูปแบบของกระเป๋าไม่เหมือนกัน และสีของกระเป๋าคนน้องเป็นสีเทาเข้ม ส่วนของคนพี่เป็นสีดำ สำหรับสายสะพายนั้นต่างก็มีสีไม่ต่างไปจากสีของกระเป๋าของแต่ละคน ส่วนที่เหมือนกันเป็นลวดลายของสายสะพายที่ถักเป็นรูปอักษรโรมัน V สองตัวสีขาวและสีเทาอ่อนไขว้กันตรงส่วนปลายข้างหนึ่ง วางเรียงตัวเป็นระยะตลอดทั้งเส้น แต่หากไม่สังเกตดีๆก็อาจจะมองเป็นตัวอักษร W ได้

วีร์ไม่รู้ที่มาของสายสะพายของอีกฝ่ายว่าเป็นมาอย่างไร แต่สำหรับของเขานั้นเป็นสายสะพายที่สั่งทำพิเศษที่วีรดนย์เป็นคนจัดการให้เพื่อมีใช้เป็นของคู่กัน และกระเป๋าของวีรดนย์ก็ยังคงเก็บอยู่ที่บ้านไม่ได้นำออกมาใช้งานเลยตั้งแต่วีรดนย์เริ่มเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล

ในเมื่อต่างฝ่ายก็ไม่ได้แสดงความเห็นอะไรออกมาว่าทำไมถึงมีเหมือนกันได้ แม้ว่าคนรอบๆตัวต่างก็ออกปากเย้าแหย่ว่าเป็นโชคชะตาฟ้าลิขิตให้มีของใช้คู่กัน วีร์จึงตัดสินใจเดินออกมาจากวงสนทนานั้นจะดีกว่า แล้วรีบเดินตรงไปหาศศิทัศน์และพระยศที่ยืนรออยู่ตามที่นัดกันไว้ว่าจะไปร้านของสุรศักดิ์ด้วยกัน


*****


Artemis20: (แนบรูปจากสนามซ้อมเทนนิส) เขามาออกเดตกันที่สนามเทนนิส
เขาเริ่มคบกันแล้วเหรอ ทำไมไวจัง
น่าจะจริงนะ พี่วีเปิดตัวแรงขนาดนั้น สงสัยคบกันแล้วแน่ๆ
หรือคบกันมานานแล้ว ขนาดสายสะพายกระเป๋ายังเหมือนกันด้วย

Apollo20: สายของพี่วีนั้นไม่รู้ แต่ของน้องวีคอนเฟิร์มว่าเป็นสายสั่งทำ


*****

#VVGo4Launch

[โปรดติดตามตอนต่อไป]

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ตอนที่ 3 คนรักกันก็ต้องช่วยเหลือกัน


หลักจากเหตุการณ์ศึกวันทรงชัย ความสงบสุขของชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยของวีร์ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ในแต่ละวันนับตั้งแต่ก้าวลงจากรถโดยสารก็โดนสายตาหลายคู่จับจ้องมอง ไม่ว่าจะเดินผ่านไปทางไหนก็จะได้ยินเสียงซุบซิบดังลอยมา คนที่ไม่รู้จักกันก็ยืนนินทาอยู่ระยะไกลสักหน่อย แต่ถ้าเคยได้เคยพูดคุยกันมาก่อนบ้างก็จะเข้ามาถามอ้อมๆ แต่ถ้ารู้สนิทกันดีจริงก็จะไม่ถามอะไรเลย

ส่วนในโลกสื่อสังคมออนไลน์ก็มีพูดถึงอยู่ตลอดทั้งข้อความและภาพแอบถ่าย นอกจากรูปภาพที่สนามฝึกซ้อมเทนนิสที่ถูกเผยแพร่ภาพเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพราะเพิ่งจะเกิดไปแค่เพียงครั้งเดียว จึงไม่มีภาพใหม่ๆเหมือนกันรูปที่ถูกถ่ายจากโรงอาหารหลัก แต่ทั้งหมดนั้นอยู่ในโลกที่วีร์ไม่ได้สนใจจะใคร่รู้จึงไม่เป็นปัญหาสำหรับเจ้าตัวสักเท่าไหร่

แต่กันไว้ก่อนดีกว่าแก้น่าจะดีกว่า

“อ้าว... มาไงวะมึง” ศศิทัศน์กำลังอ้าปากงับช้อนแต่ก็ชะงักไปเสียก่อนเมื่อวีร์วางกระเป๋าสะพายข้างลงบนโต๊ะอาหาร พระยศเองก็มองอย่างสงสัยด้วยเช่นกัน

“แป๊บนะ เดี๋ยวกูไปซื้อข้าวก่อน” วีร์รีบเดินไปซื้ออาหาร ปล่อยให้เพื่อนทั้งสองคนมองตามอย่างงงๆว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่นานนักวีร์ก็กลับมาพร้อมกับอาหารและเครื่องดื่มในมือ มานั่งร่วมโต๊ะกับเพื่อนเก่า

“สรุปเป็นไงมาไงถึงถ่อสังขารมาถึงคณะแพทยฯได้วะ” ศศิทัศน์ถามอีกครั้ง

“ก็เดินผ่านแล้วเห็นพวกมึงนั่งอยู่พอดี ก็เลยแวะมาไง” วีร์ตอบไปด้วยเริ่มตักอาหารกินไปด้วย

“มึงผ่านมาจากทางไหนวะ” พระยศเป็นคนถามบ้าง

“ทางเภสัช ทางพยาบาล หรือว่าทางทันตะ” ศศิทัศน์ไม่ได้ตั้งใจจะถามอย่างจริงจัง เพราะโรงอาหารที่นี้ตั้งอยู่ท่ามกลางตึกคณะสายสาธารณสุขและโรงพยาบาล แทบจะไม่ใช่ทางเดินผ่านของนักศึกษาคณะอื่นเลย

“กู... มา... หาพี่เพชร” วีร์ตะกุกตะกักตอบ “ใช่ มาหาพี่เพชร มาที่สนามซ้อมนี้ไง” วีร์ชี้ไปทางสนามฝึกซ้อมที่อยู่ใกล้ๆกับหอพักนักศึกษาแพทย์

“เหรอ... พี่เพชรกลับมาแล้วเหรอวะ” ศศิทัศน์ย้อมถามไปอีกครั้ง เพราะเขามั่นใจว่าเพิ่งเห็นข่าวพีรพัชร์เดินทางไปแข่งขันอยู่ในช่วงนี้

“เออนะ ไอ้ตี๋เล็ก... ช่างกูเหอะ” วีร์รู้สึกเหมือนถูกต้อนให้จนมุมจึงรีบบอกปัดเปลี่ยนเรื่องคุย

“เออๆ เรื่องของมึง... แล้วนี่ธาราเป็นไงบ้าง” ศศิทัศน์ไม่ได้เซ้าซี่ต่อและยอมเปลี่ยนคุยเรื่องอื่น

“ก็ตามประสาเด็กอ่อน แต่ดูเลี้ยงง่ายกว่าธรเยอะ ไม่ค่อยกวนกลางดึกสักเท่าไหร่”

“แล้วพวกพ่อแม่มึงขึ้นมาเยี่ยมกันบ้างแล้วยังวะ” พระยศชวนคุยต่อระหว่างมื้ออาหาร

“เห็นว่าจะขึ้นมาสุดสัปดาห์นี่แหละ พวกพี่อรกับพี่เอกก็จะขึ้นมาด้วย”

“ก็ดี ไว้ว่างๆพวกกูเข้าไปเยี่ยมมั้ง ไม่ได้เจอพี่วานานแล้วเหมือนกัน” ศศิทัศน์เอ่ยถึงคนคุ้นเคยที่เคยพบปะอยู่เรื่อยๆ “เวลากูกลับบ้านทีไร อาม่าถามถึงมึงถึงพี่วาทุกที”

“มากันเสาร์อาทิตย์นี่เลยก็ได้ เดี๋ยวแม่กูคงสั่งให้ซื้อของสดเตรียมไว้แล้วเดี๋ยวขึ้นมาทำให้กิน”

“เหรอ... ถ้าไอ้ใหญ่รู้นะ มันไปแน่ๆ” ศศิทัศน์คุยต่อ เพื่อนๆทุกคนก็รู้เป็นอย่างดีว่าสรุศักดิ์เอาสูตรอาหารจากนุชไปใช้ที่ร้านของตัวเองอยู่หลายรายการโดยที่นุชเองก็รู้เห็นเป็นใจ

“ชวนมันมาด้วยก็ได้ เดี๋ยวกูจะได้บอกแม่กูไว้ก่อน” วีร์รีบตักอาหารกินไม่หยุด

“จะรีบกินไปไหนวะมึง บ่ายมีเรียนเหรอวะ” ศศิทัศน์รวบช้อนส้อมของตัวเองหลังจากที่กินเสร็จแล้ว

“เดี๋ยวกูมีเรียนแคลฯที่ตึกคณะวิทยาฯ” วีร์ยังคงรีบกินต่อเนื่อง

“แล้วมึงก็อุตส่าห์โผล่มาถึงนี้นะ” พระยศรู้สึกเอ็นดูแต่ก็พอจะเข้าใจว่าทำไมเพื่อนของเขาถึงต้องมากินอาหารที่นี้

วีร์ตั้งหน้าตั้งตากินจนไม่ทันได้สังเกตว่ามีเลนส์กล้องส่องมาทางโต๊ะพวกเขา แค่สองหนุ่มหล่อสูงยาวที่พบเห็นที่คณะทุกวันอยู่แล้วคงจะไม่เท่าไหร่ แต่คนที่เป็นหัวข้อสนทนาอีกคนที่มานั่งอยู่ด้วยกันต่างหากที่เป็นแรงดึงดูดให้ยกโทรศัพท์ขึ้นมาแอบเก็บภาพไว้

“ขากลับ มึงก็ระวังหน่อยนะ มีคนรายงานแล้วว่ามึงอยู่ไหน แล้วก็แท็กให้พี่มันรู้ด้วย” พระยศหันโทรศัพท์ของเขาให้วีร์ดูถึงข้อความในแอพลิเคชั่นชื่อดัง

“นี่เดี๋ยวนี้มึงตามอะไรพวกนี้ด้วยเหรอวะ” วีร์มองพระยศอย่างสงสัย

“เฟิร์นส่งลิงก์มาให้ดูในไลน์เมื่อกี้ บอกว่าเพื่อนๆเขากรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ เรื่องมึงกับพี่เขา”

“เฮ้อ” วีร์ถอนหายใจเบาๆ เขาแค่อยากใช้ชีวิตสงบสุขในรั้วมหาวิทยาลัยก็เท่านั้นเอง

“เอาจริงๆ กูว่ามึงบอกพี่เขาไปตรงๆก็ได้มั้ง” ศศิทัศน์เสนอความเห็น

“คิดว่ากูไม่เคยบอกเร๊อะ” วีร์แสดงสีหน้าเซ็งๆ “ก็เหมือนที่กูเคยบอกมึงว่าอย่าจิ้นกูกับเฮีย แล้วมึงฟังมั้ยละ”

“เหมือนตรงไหน” ศศิทัศน์รีบออกตัวในทันทีว่าเขาไม่เคยทำอะไรแบบนั้น “แต่สุดท้ายเฮียกับมึงก็ตกลงคบกันไม่ใช่รึไง”

“ฉะนั้น สุดท้ายแล้วไอ้วีร์กับพี่เขาก็อาจจะลงเอยกันก็ได้” พระยศพูดจบแล้วก็ได้รับสายตาจ้องเขม็งมาจากเพื่อนทั้งสองคนด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน แต่พระยศก็ไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านอะไรเพราะเคยชินกับนิสัยของเพื่อนอยู่แล้ว

“กูไม่ได้อยากไปยุ่งกับคนดังๆ กูอยากอยู่สงบๆของกู” วีร์อธิบายเหตุผบของเขา

“งั้นแสดงว่าที่มึงไม่ยอมตกลงคบกับเฮียอยู่ตั้งนาน ก็เพราะเฮียเป็นคนดังเหรอวะ” ศศิทัศน์ถามเพราะอยากรู้จริงๆ

“จุดอ่อนใหญ่สุดของเฮียเลย รู้ไว้ซะด้วย” วีร์เฉลยข้อสงสัยของศศิทัศน์

“แต่เท่าที่กูเคยคุยกับไอ้ต่ายเพื่อนมึง พี่มันเองก็ดังอยู่นะ เรียนดี บ้านมีฐานะ แชมป์เยาวชนแห่งชาติ แถมสอบชิงทุนได้อีก ใครๆก็พูดถึง แล้วทำไมมึงถึงไปชอบพี่เขาได้วะ” พระยศนึกย้อนเรื่องราวที่เคยได้ยินมาจากวิธู

“ก็กูไปชอบพี่เขาก่อนที่กูจะรู้ว่าพี่เขาดังไง พอมารู้ทีหลังก็...” วีร์ยักไหล่ตอบแบบว่ากว่าจะรู้ก็ถลำตัวลงไปลึกแล้ว

“เอาเถอะ...” ศศิทัศน์ก็พอจะเข้าใจความรู้สึกวีร์อยู่บ้าง “ว่าแต่ ไอ้ปันปันเพื่อนมึงนี่ยังไง มันมาอะไรกับมึงอีกรึเปล่าวะ”

“ปันปันมันก็... ทำตัวสนิทกับกูดีนะ แต่มันบอกเองว่ามันไม่ไช่คนที่ชอบกู มันแค่ถามให้คนอื่น แต่มันยังไม่ยอมบอกกูว่าเป็นใคร”

“แน่เร้อ ไอ้พวกที่ชอบอ้างเพื่อนก็มักจะเป็นตัวเองกันทั้งนั้นแหละมึง” พระยศก็สงสัยในเพื่อนร่วมคณะของวีร์เหมือนกัน

“อ๋อ... กูบอกพวกมึงยัง ว่าปันปันเป็นลูกป้าชื่น” วีร์บอกแล้วรอดูปฏิกิริยาจากทั้งสองคน

“ป้าชื่น” ศศิทัศน์ถามย้ำอีกครั้ง วีร์เองก็พยักหน้ารับ “ป้าชื่นของไอ้กิ่งก้านอะนะ”

“ใช่ ปันปัน ปัญจวีส์ ล้ำเลิศรัตนทรัพย์” วีร์บอกชื่อเสียงเรียงนามให้ฟัง

“จริงเดะ” ศศิทัศน์ถามด้วยน้ำเสียงตกใจ

“เออ” วีร์ตอบยืนยันสั้นๆ

“อุต๊ะ ภาษีดีขึ้นมาเห็นๆ” พระยศพูดแล้วก็อมยิ้มเมื่อเห็นท่าทางตอบกลับของวีร์ที่แสดงออกชัดเจนว่าอย่าสร้างเรื่องเพิ่ม แต่เขาก็อดแซวไม่ได้

“แล้วไอ้กิ่งก้านมันรู้มั้ย” ศศิทัศน์ถามต่อ

“ไม่รู้เหมือนกัน อยู่รั้วเดียวกันแท้ๆทำไมถึงไม่เคยเจอกันก็ไม่รู้” วีร์ขมวดคิ้วนึกสงสัย

“บริเวณบ้านมันแคบๆซะที่ไหนละมึง” ศศิทัศน์ตอบกลับ

“เออเน๊อะ... โอ๊ะ!” วีร์เห็นเวลาจากโทรศัพท์ของเขาแล้วก็ร้องอุทานออกมา “กูต้องไปแล้ว เดี๋ยวเข้าห้องไม่ทัน” ว่าแล้วก็รีบลุกขึ้นเอาจานและขวดน้ำไปเก็บ แล้วก็รีบเดินออกไปจากโรงอาหารทันทีไม่ทันรอให้เพื่อนบอกลาตอบก่อน

“มึงว่ามันกับพี่เขาจะลงเอยกันมั้ยวะ” พระยศถามศศิทัศน์ขณะที่มองดูวีร์รีบเดินออกไป

“กูไม่รู้ แต่ถ้าพี่เขาไม่ด้อยไปกว่าเฮียกู กูก็ไม่ว่าอะไร”

พระยศหันมามองศศิทัศน์แล้วนึกสงสัยว่าเพื่อนของเขาจะใช้สิทธิ์อะไรไปห้ามได้ ถ้าหากวีร์และรุ่นพี่คนนั้นเกิดตกลงปลงใจคบหากันจริงๆขึ้นมา ก็เป็นเรื่องของเขาสองคน


*****


ยิ่งเดินเข้าไปใกล้คณะที่มีจำนวนสาขาวิชาและจำนวนนักศึกษามากที่สุดในมหาวิทยาลัยอย่างคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วีร์ก็ค่อยๆเดินเลียบไปตามเสาจากต้นหนึ่งไปยังอีกต้นหนึ่งอย่างระแวดระวัง กวาดสายตามองดูนักศึกษาที่นั่งอยู่ที่โต๊ะม้าหินรอบๆตัวอาคารรวมถึงที่เดินผ่านไปมาตามทางเดิน ก็ยังไม่พบบุคคลต้องสงสัย จึงขยับเข้าไปใกล้ทางเดินที่เข้าไปยังตึกเรียนมากขึ้น แล้วก็หยุดสังเกตโดยรอบอีกครั้ง

ระหว่างความสนใจกำลังจดจ่ออยู่กับบริเวณด้านหน้าตึกคณะ วีร์ไม่ทันได้ระวังภัยจากด้านหลังที่มีหนุ่มร่างสูงมายืนประกบและช่วยมองดูไปรอบๆด้วยเช่นกัน

“มองหาอะไรวะ”

“ก็มองหาไอ้...” วีร์ปิดปากเงียบไว้ได้ทันก่อนที่จะหลุดปากว่าคนที่เขากำลังหาอยู่นั้น มายืนอยู่ข้างๆเขาเสียแล้ว

วีส์ถามด้วยสีหน้าและสายตาว่าวีร์กำลังมองหาอะไรอยู่ และยังช่วยมองดูรอบๆอีกครั้ง

“ไม่มีอะไรครับ” วีร์ตอบสั้นๆแล้วก็หมุนตัวกลับแล้วออกเดินเพราะไม่มีความจำเป็นต้องหลบซ่อนต่อแล้ว

“เดี๋ยวสิ จะไปไหน” วีส์คว้าข้อมือเด็กหนุ่มไว้ได้ก่อน   

“ไปเรียนครับ” วีร์ตอบอย่างสุภาพและพยายามดึงมือของเขาออกจากการกุมมือของอีกฝ่าย

“เรียนอะไร” วีส์ถามต่อ

“แคลครับ”

“เอ๋ ปกติเด็กเศรษฐศาสตร์ปีหนึ่งจะเรียนแคลตอนเทอมสองไม่ใช่เหรอ หรือไม่ก็ตอนปีสองเทอมหนึ่งโน้นเลย” วีส์ถามด้วยความสงสัยจริงๆ ซึ่งเด็กหนุ่มก็พอจะสังเกตอากัปกิริยาได้

“พอดีว่าคะแนนเลขที่ยื่นไว้ตอนสมัคร มันผ่านตัวพื้นฐานได้หมด รุ่นพี่ก็เลยแนะนำให้ลงเรียนไปเลย” วีร์ยังคงพยายามดึงมือเขากลับมา ยื้อกันไปยื้อกันมาอยู่อย่างนั้น

“อ๋อ” ชายหนุ่มร่างสูงร้องอย่างเข้าใจเรื่องราวแล้ว

“งั้นก็ปล่อยมือผมได้แล้วมั้งครับ” ในเมื่อออกแรงดึงไม่หลุด จึงตัดสินใจบอกตรงๆ โดยคิดว่าจะได้ผล

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูพาไปส่ง” วีส์ออกแรงลากเด็กหนุ่มให้เดินตามเขาขึ้นตึกไปท่ามกลางสายตาหลายคู่ที่มองมา

“ไม่ต้องก็ได้ ผมรู้จักทาง” วีร์ทั้งปฏิเสธและพยายามดึงมือออกโดยที่พยายามไม่ให้เป็นจุดสนใจไปด้วย แต่ก็ไม่สำเร็จ

“ตามกูมาเหอะน่ะ”

ถึงแม้ว่าวีร์จะไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่ เพราะการกระทำของหนุ่มร่างสูงก็ไม่ต่างไปกับการราดน้ำมันลงไปในกองไฟแห่งข่าวลือให้ลุกโหมโชติช่วงมากขึ้นไปอีก ความพยายามอยู่อย่างเงียบๆไม่ให้เป็นข่าวในช่วงที่ผ่านมา ล้มเหลวในชั่วพริบตา ดังนั้นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้คือรีบเดินให้พ้นสายตาคนหมู่มากไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน

เมื่อมาถึงหน้าห้องเรียน วีส์มองผ่านช่องกระจกใสที่ประตูส่องดูข้างในห้องเรียนว่าเป็นอย่างไรอยู่ในตอนนี้

วิชาแคลคูลัสตัวที่หนึ่งเป็นวิชาทั่วไปสำหรับนักศึกษาสายวิชาคำนวณไม่ว่าจะเป็นคณะวิทยาศาสตร์ฯ คณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะสถาปัตยกรรม หรือคณะเศรษฐศาสตร์อย่างวีร์เองต้องเรียนให้ผ่านก่อนจะไปเรียนวิชาขั้นสูงต่อไป และไม่ได้จัดการเรียนการสอนแยกเป็นคณะ แต่ให้เรียนรวมกันและทำข้อสอบชุดเดียวกัน เพราะถึงอย่างไรการวัดผลของมหาวิทยาลัยแห่งนี้มีแค่ผ่านและไม่ผ่านเท่านั้น และจะผ่านได้ต้องทำคะแนนรวมเกิน 75% นอกเสียจากว่าเป็นนักเรียนทุนด้านกีฬาอย่างเช่นพีรพัชร์หรือวิธูที่จะอนุโลมให้เป็นกรณีพิเศษ

“ปกติมึงนั่งตรงไหน”

“นั่งตรงไหนก็ได้ครับ” วีร์ตอบโดยที่ยังสงสัยว่าอีกฝ่ายจะถามเขาทำไม ในเมื่อ...

วีส์เปิดประตูเข้าไปข้างในและลากวีร์ให้เดินตามไปด้วย ห้องเรียนทุกห้องจะจัดวางที่นั่งเป็นลำดับชั้นจากแถวหน้าติดกับกระดานไล่ขึ้นไปแถวหลังชั้นบนสุด วีส์เลือกที่นั่งแถวหน้าสุดริมทางด้านข้าง แล้วดันให้วีร์ไปนั่งที่นั่งถัดเข้าไปข้างในหนึ่งตัว แล้วเขาก็นั่งลงที่นั่งริมสุดข้างๆกัน

“เดี๋ยวสิ...”

วีส์ทำท่าจุ๊ปากแล้วก็นั่งรอเหมือนว่านี่คือเรื่องปกติ นอกจากจะไม่ได้รู้สึกรู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลย ก็ยังจะหันมองรอบๆห้องและโบกมือทักทายนักศึกษาบางคนที่คาดว่าจะเป็นรุ่นน้องในคณะ เพราะหากว่าเป็นนักศึกษาปีสามแล้วยังเรียนวิชานี่อยู่อีก ก็น่าจะเป็นคนที่มีปัญหาเรื่องการเรียนพอสมควร

หรือว่าคนข้างๆนี่ก็...

“สวัสดีครับนักศึกษา มากันครบรึยัง” อาจารย์หนุ่มเดินเข้ามาในห้องและเริ่มเตรียมการสอน “วันนี้เดี๋ยวผมจะเริ่มที่... อ้าว คุณมาได้ไง”

นั่นไง... แต่ก่อนที่วีร์จะนึกคิดเป็นอื่นไกล อาจารย์หนุ่มก็ถามคนข้างๆต่อทันที

“แล้ว เพื่อนคุณไปไหน”

“ติดธุระด่วนครับ เลยให้ผมมาแทน” วีส์ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

“เหรอ ผมเปลี่ยน RA ใหม่เป็นคุณเลยจะดีกว่ามั้ย” อาจารย์พูดทีเล่นทีจริง

“ไม่ละครับอาจารย์ แค่ของอาจารย์เกื้ออย่างเดียว ผมก็ทำจะไม่ทันอยู่แล้ว” วีส์ตอบปฏิเสธทีจริงที่ดูเหมือนทีเล่น

“ทำไงได้ละก็เป็นถึงนักเรียนทุนนี่นะ แต่นี่ดีเลย ถ้ามีเรื่องไหนซับซ้อน เดี๋ยวผมให้คุณช่วยอธิบายให้น้องๆฟัง”

วีส์หัวเราะแหะๆ ประมาณว่าเกรงใจแต่ไม่ต้องก็ได้ แต่เขาก็ไม่ได้พูดออกไป คิดเสียว่าแลกกับได้นั่งข้างกันชั่วโมงครึ่ง มันก็คุ้มไม่น้อย เมื่ออาจารย์เริ่มการบรรยายแล้ววีส์หยิบแว่นสายตาขึ้นมาสวมและรอฟังไปพร้อมกับนักศึกษาคนอื่นๆ

ส่วนวีร์นั้นก็พยายามตั้งสมาธิและสนใจกับการบรรยายของอาจารย์หน้าห้องเรียนมากกว่าปฏิกิริยาจากรอบตัวที่ถึงแม้จะไม่ได้หันไปมองให้แน่ชัด แต่ก็พอจับความรู้สึกได้ว่ามีหลายคนสนใจที่นั่งแถวหน้าริมสุดอยู่ไม่น้อยว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นบ้าง

สำหรับคนที่นั่งอยู่ข้างๆนั้น ช่วงแรกๆก็นั่งปกติดี มีสมุดกางอยู่ตรงหน้าและคอยจดหัวข้อที่อาจารย์เพิ่งจะบรรยายไปรวมถึงคำถามที่นักศึกษาบางคนสงสัย บางครั้งก็เปิดหาในตำราแล้วกางหน้าที่ต้องการไว้ให้อาจารย์ไว้ใช้บรรยายเพิ่มเติม แต่เมื่อผ่านไปไม่ถึงครึ่งทางก็เริ่มเอียงตัวเข้ามาชะเง้อสมุดจดของวีร์ บางครั้งก็แอบกระซิบชี้จุดที่ผิดให้ บางครั้งก็ถือวิสาสะจดบันทึกลงไปเองเสียเลย

วีร์นึกรำคาญและอยากจะคัดค้านให้อีกฝ่ายหยุดทำ แต่เมื่ออ่านที่หนุ่มร่างสูงเขียนแล้วก็เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ควรเน้นย้ำและจำให้ได้ แต่กระนั้นท่าทางที่แสดงออกมามันชวนให้หลายคนคิดกันไปไกลได้ว่าข่าวลือทั้งหลายนั้นมีแนวโน้มจะเป็นจริงมากขึ้นอีก

“เอาละครับ วันนี้ก็พอแค่นี้นะ” อาจารย์กล่าวสรุปการบรรยาย “ดูทำท่าเข้าแต่ละคน นี่ยังเป็นของเก่าเรียนมาตอนม.ปลายทั้งนั้นเลยนะ กลับไปอ่านทบทวนอีกรอบนะครับ เชิญครับ”

เหล่านักศึกษาก็เริ่มลุกออกจากที่นั่งไปเป็นกลุ่มก้อน และก็ไม่พ้นแอบบมองเมื่อเดินผ่านที่นั่งแถวหน้าสุดก่อนเดินออกจากห้องไป

“เดี๋ยวตอนเย็นไปไหนปะ” ชายหนุ่มร่างสูงที่ยังนั่งขวางทางทำให้วีร์เดินออกไปได้ลำบากเอ่ยปากถาม พลางถอดแว่นสายตาเก็บ

“กลับบ้านครับ”

“รีบกลับเร็วจัง เดี๋ยวกูมีซ้อมเทนนิส ไปด้วยกันปะ” วีส์ยังคงถามตื้อต่อเนื่อง

“ไม่ละครับ มีธุระต้องกลับไปทำที่บ้าน” วีร์เก็บสมุดหนังสือลงกระเป๋าเป๋เรียบร้อยแล้วและพร้อมจะลุกขึ้นเดินออกไปทันที

“น่าเสียดายอะ” วีส์ตีสีหน้าเสร้าที่ไม่ได้ดูน่าสงสารอะไรเลย

“ลุกเถอะครับ คนอื่นเดินออกเกือบหมดห้องแล้ว”

วีส์ทำเสียงจิ๊จ๊ะแต่ก็ลุกขึ้นแต่โดยดี แล้วก็ขยับหลีกทางให้คนน้องเดินนำไปแล้วเขาก็เดินตามไปติดๆ

“ไอ้วี!” เสียงเรียกดังขึ้นมาทันทีที่ทั้งสองเดินพ้นประตูห้องไป ต่างคนก็หันไปตามเสียงเรียกก็พบกับหนุ่มตี๋ร่างสูงโบกมือเรียกให้เดินไปหา

ถึงว่าจะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้เรียกตนเอง แต่รุ่นพี่ผมสีเทาก็อาศัยว่าชื่อพ้องกันจึงเดินตามรุ่นน้องผิวเข้มไปหาหนุ่มตี๋และเพื่อนๆของเขาด้วยคน

“กลับเลยมั้ยมึง” ศศิทัศน์ถามโดยที่เหล่ตามองคนข้างหลังเพื่อนของเขาไปด้วย

“ก็ว่าจะกลับเลยนี่แหละ”

“งั้นไป เดี๋ยวกูไปส่ง”

“ไม่ต้อง มึงกลับไปหอพักเลยไป กูกลับเองได้” วีร์บอกปฏิเสธเพราะรู้ว่านักศึกษาแพทย์แต่ละคนเรียนหนักอยู่แล้ว ไม่ควรจะต้องมาเสียเวลาพักผ่อนไปอีก

“โอ้ย ไม่เป็นไรอะ กูขี้เกียจกลับไปอยู่หอตอนนี้ แล้วกูไปส่งมึงจะได้เอารถออกไปใช้มั้ง ดีกว่าจอดอยู่เฉยๆ” ศศิทัศน์มองดูวีร์ที่กำลังชั่งใจอยู่ว่าจะเอาอย่างไรดี “ไป กูกะว่าจะแวะไปที่บ้านด้วย เผื่อไปหาอะไรกินก่อนค่อยกลับมาที่หอ”

“แล้วไอ้บิ๊กอะ” วีร์ถามไปถึงพระยศ

“มันออกไปเมื่อกี้ เห็นว่านัดน้องเฟิร์นไว้” ศศิทัศน์ส่งสายตาถามกลับไปอีกครั้งเพื่อให้วีร์รู้ว่ามีคนกำลังยืนอยู่ข้างหลังเขาด้วย

“อ๋อ งั้นก็ได้ ไปเลยมั้ย”

“ไปสิ” ศศิทัศน์เบี่ยงตัวให้วีร์เดินอออกไปก่อน แล้วเขาก็หันไปยิ้มให้กับรุ่นพี่ที่ยังยืนรออยู่ก่อนที่จะบอกลาเพื่อนๆแล้วเดินตามวีร์ไป

วีร์และศศิทัศน์เดินไปตามทางเดินมุ่งหน้าไปยังลานจอดรถโดยไม่หันกลับไปมองว่าจะมีใครเดินตามมาหรือไม่

“โคตรโชคดีเลยที่มึงมา” วีร์ถอนหายใจโล่งอกหลังจากก่อนหน้าที่กำลังคิดหาข้ออ้างปลีกตัวออกมา

“ไอ้บิ๊กเอาที่น้องเฟิร์นส่งไปให้มันเอามาให้กูดู กูเรียนเสร็จพอดีก็เลยลงมารอมึงก่อน เป็นไงมาไงวะถึงได้ไปนั่งเรียนด้วยกันกับไอ้พี่คนนั้นได้” ศศิทัศน์ถามด้วยความสงสัยปนความไม่พอใจสักเท่าไหร่

“บังเอิญเจอ เห็นว่าเพื่อนพี่เขาที่เป็น RA ของอาจารย์ไม่มาแล้วพี่เขาก็เลยมาแทน”

“แล้วทำไมถึงได้ไปนั่งด้วยได้กันวะ” ศศิทัศน์ถามต่อ

“กูโดนลากไป”

ศศิทัศน์ทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจที่เพื่อนของเขาถูกกระทำแบบนี้ ส่วนวีร์เองถึงแม้จะไม่ค่อยชอบใจเหมือนกันแต่ก็ไม่เชิงซะทีเดียว เพราะนอกจากเรื่องที่เหตุการณ์ในห้องเรียนสามารถกลายเป็นขี้ปากชาวบ้านแล้วนั้น วีร์รู้สึกว่าวันนี้เขาเข้าใจเนื้อหาวิชาที่เพิ่งเรียนไปมากกว่าวันอื่นๆโดยไม่จำเป็นต้องกลับไปทบทวนซ้ำอีก

ถึงไม่อยากยอมรับแต่ก็ต้องยกความดีความชอบให้คนที่สมควรได้

“เออ ช่างเหอะ แล้วนี่มึงบอกพี่ธีร์พี่วารึยังว่าตอนวันเกิดอาม่าจะพาธรไปด้วย อาม่าอยากเจอ”

“บอกแล้ว พี่ธีร์พี่วาบอกว่าเดี๋ยวจะเตรียมของขวัญฝากไปด้วย”

“ไม่ต้องหรอก แค่กินข้าวด้วยกันเฉยๆ”

“กูว่าคงเป็นตะกร้าผลไม้ละมั้ง”

“ก็แล้วแต่ก็แล้วกัน” ศศิทัศน์ไม่ได้แย้งอะไรเพิ่มเติมอีก

ถึงตอนนี้ก็เริ่มมองเห็นรถยนต์ที่คุ้นตาจอดอยู่ไกลแล้ว ไม่ได้เห็นเสียนาน ได้กลับมานั่งอีกครั้งก็รู้สึกวูบไหวอยู่ในใจบ้าง

ส่วนทางด้านชายหนุ่มผมสีเทาที่ยืนมองดูรุ่นน้องทั้งสองเดินจากไปจนลับสายตาแล้วนั้น ก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆเพราะก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้ ในตอนนี้ที่คนเป้าหมายก็กลับไปเสียแล้วและเหลือเวลาอีกเกินชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาซ้อม วีส์จึงตัดสินใจเดินกลับขึ้นตึกคณะไปทำงานของเขาที่ค้างไว้ต่อให้เสร็จแทน ไว้หาโอกาสใหม่คราวหน้าก็แล้วกัน


*****


วีร์เสดสาดกับหมอต่ายนี่ยังไงคะ เห็นอยู่ด้วยหันบ่อยๆเหมือนกันนะ
ม้ายยยย อย่านะ ยานอวกาศยังไม่ทันปล่อย อย่าเพิ่งพังยานนะค้า

David Wunderlich: วีร์ยังโสดครับ ส่วนต่ายก็มีแฟนแล้วครับ
เสียดายจัง หมอต่ายมีเจ้าของแล้ว แต่น้องเดวิดยังว่างอยู่รึเปล่าเอ่ย

Artemis20: (แนบรูปจากห้องเรียน) วันนี้เขาไปนั่งเรียนด้วยกันนะ
ชะอุ๊ย ไหนใครบอกว่ายานพัง แบบนี้ต้อง Go for Launch เท่านั้น
กรี๊ดดดดด Go for launch เหมือนกันคะ



[อ่านต่อด้านล่าง]

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
กีฬานักศึกษาใหม่ใกล้เข้ามาทุกขณะ หลายฝ่ายก็เริ่มซักซ้อมความพร้อมขั้นสุดท้ายทั้งกองเชียร์และนักกีฬาประเภทต่างๆ ทางด้านทีมนักกีฬาเทนนิสของคณะเศรษฐศาสตร์ก็เช่นกัน ได้วางแผนนัดฝึกซ้อมครั้งสุดท้ายโดยที่วีร์ยังคงยินดีมาช่วยเป็นคู่ฝึกซ้อมให้อย่างเดิม แต่เน้นย้ำคนที่จะไปจองสนามฝึกให้หลีกเลี่ยงวันที่ทีมนักกีฬาของมหาวิทยาลัยลงไว้ หรือหากว่าไม่ได้จริงๆ ก็ให้เลือกเวลาเลิกซ้อมก่อนทีมมหาวิทยาลัยมาจะมาอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมง เพื่อความปลอดภัย

แต่กระนั้นช่วงว่างที่จองสนามได้นั้นเหลื่อมกับเวลาของทีมมหาวิทยาลัยอยู่หนึ่งชั่วโมง แต่สนามที่ได้นั้นอยู่ห่างกันพอสมควร วีร์จึงลงสนามฝึกซ้อมได้อย่างสบายใจ โดยที่ไม่รู้ว่าชายหนุ่มร่างสูงผมสีเทานั้นมาถึงล่วงหน้าก่อนเวลาของตัวเองอยู่ก่อนแล้ว

ไร้พ่ายกำลังพักรออยู่ด้านข้าง ในขณะที่วีร์และปัญจวีส์กำลังช่วยทีมชายคู่อยู่ในสนามเพราะต่างก็ไม่เคยลงเล่นประเภทคู่ด้วยกันมาก่อน จึงต้องฝึกซ้อมเพื่อให้คุ้นเคยวิธีการเล่นของแต่ละคน อันที่จริงก็ไม่ใช่เฉพาะฝ่ายนักกีฬาตัวจริงที่มีปัญหา แต่ทางด้านวีร์ละปัญจวีส์เองก็มีปัญหาในการเล่นคู่ด้วยกันอยู่ไม่น้อย

“ทีมคู่คณะมึงจะไหวมั้ยวะ”

ไร้พ่ายสะดุ้งตัว แต่เมื่อหันไปก็เห็นว่าเป็นรุ่นพี่ที่คุ้นเคย

“ทำใจแล้วครับพี่ ขนาดมือหนึ่งมือสองจับคู่กันเองยังพากันล่มเลยพี่” ไร้พ่ายบุ้ยหน้าไปทางฝั่งของวีร์และปัญจวีส์

“แล้วมึงอะ ชายเดี่ยว คิดว่ารอดมั้ย” วีส์หันไปถามรุ่นน้อง

“สบายมากพี่ โดนโค้ชมือหนึ่งแก้จุดให้หมดแล้วครับ” ไร้พ่ายพูดอย่างโอ้อวดฝีมือเพื่อนคนใหม่

“เดี๋ยวกูจะรอดูว่ามึงจะเอาไอ้ปั๋งอยู่มั้ย” วีส์หัวเราะในลำคอเบาๆ แล้วก็มองดูการฝึกซ้อมในสนามต่อ ก่อนที่จะมีความคิดบางอย่างขึ้นมา เขาวางกระเป๋าใบใหญ่ลงแล้วก็เอาแว่นสายตาขึ้นสวมและหยิบแร็กเก็ตออกมา จากนั้นก็กวักมือเรียกปัญจวีส์ “เฮ้ย มึงอะ ออกมา”

ปัญจวีส์มองอย่างสงสัยว่าหนุ่งร่างสูงกำลังหมายถึงเขาแน่หรือ

“มึงนั่นแหละออกมา”

วีส์เดินไปเข้าไปในสนามแล้วเอาแร็กเก็ตตีต้นขาปัญจวีส์เบาๆเพื่อสังสัญญาณไล่อีกฝ่ายให้เดินออกนอกสนามไป ปัญจวีส์เดินออกไปแบบงงๆ

“เดี๋ยวกูช่วย ไม่งั้นทีมคณะมึงไม่รอดแน่” วีส์อธิบายตอบสายตาที่มองเขาผ่านแว่นสายตามาอย่างเคลือบแคลงสงสัย ...น่ารักจริงๆ

วีส์ส่งสัญญาณให้ฝั่งตรงข้ามเริ่มเกมเสิร์ฟมาได้เลยแล้วเขาเดินก็ไปตั้งท่ารองรับที่ฝั่งด้านขวาหลังเส้นท้าย เพื่อนทั้งสองคนถามวีร์ผ่านสายตาว่าจะเอาอย่างไรดี วีร์เองก็พ่นลมหายใจออกมาก่อนที่จะขยับตัวไปตั้งท่ารอเช่นกัน จึงเป็นอันตกลงเริ่มการแข่งที่ค้างไว้ต่อ

แน่นอนว่าฝีมือระดับนักกีฬาทีมมหาวิทยาลัย การรับลูกเสิร์ฟจากมือสมัครเล่นก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร การตีโต้ลูกหน้ามือข้ามฝั่งกลับไปกลับมาต่อเนื่องหลายครั้ง เพื่อนฝั่งตรงข้ามเน้นการตีปั่นจากใต้ลูกเพื่อยกลูกให้สูงแล้วโค้งลงใกล้เส้นท้ายคอร์ทตามที่ได้ฝึกซ้อมกันไว้ ป้องกันการถูกตะปบจากผู้เล่นที่อยู่ใกล้ตาข่าย ส่วนรุ่นพี่นักกีฬาก็ใช้รูปแบบเดียวกันตีลูกกลับไป

วีร์คอยพยายามขยับตัวเข้าออกเพื่อปิดมุม และหาโอกาสตัดจังหวะลูกที่หน้าตาข่าย แต่ก็คอยระวังหากฝ่ายตรงข้ามเปลี่ยนเป็นลูกขนานเส้นข้าง หรือโดนตะปบลูกลับมาเสียเอง ในตอนนั้นเองที่ลูกที่ถูกตีมาจากด้านหลังของเขายังคงลอยยกสูงข้ามตาข่ายไป แต่ลูกที่ถูกตีกลับมาเริ่มพุ่งขนานไปกับพื้นสนามมากขึ้นเรื่อยๆ วีร์จึงฉวยโอกาสรีบขยับเข้าไปวอลเลย์ให้ลูกลงใกล้เท้าของคู่แข่งที่ยืนอยู่ใกล้ตาข่าย

ถึงคราวที่วีร์เป็นฝ่ายรับลูกเสิร์ฟบ้าง คู่แข่งเลือกเสิร์ฟลูกเข้ามาทางหลังมือ วีร์จึงตีกลับด้วยท่าหลังมือมือเดียวตามที่ถนัด โดยไม่ลืมยกลูกให้สูงข้ามตาข่ายไปด้วย ฝ่ายคู่แข่งก็พยายามหวดลูกให้เฉียงออกกว้างขึ้นเรื่อยๆ หากเป็นการแข่งประเภทเดี่ยว การถูกเปิดพื้นที่สนามมากขนาดนี้ต้องถูกคู่แข่งตีลูกขนานไล่เส้นข้างกลับมาเป็นลูกต่อไปแน่ๆ

วีร์กำลังตัดสินใจวางแผนว่าจะไล่ขนานเส้นข้างกลับไปบ้าง โดยรอจังหวะให้คนที่อยู่ใกล้ตาข่ายฝั่งตรงข้ามไม่ได้ขยับไปปิดมุมไว้ แต่ดูเหมือนว่าเป็นตัวเขาเองที่แนะนำเพื่อนไว้ดีเกินไปทำให้ยังไม่มีโอกาสสักที จึงคิดอยู่ในใจถ้าได้ตวัดลูกหลังมือมุมแคบได้ก็จะเก็บคะแนนนี้ได้ แต่นั่นก็หมายความว่า...

ฝ่ายคู่แข่งใช้ทั้งสองมือตีลูกหลังมือเฉียงกลับมาค่อนข้างกว้าง คนที่อยู่ใกล้ตาข่ายก็ขยับไปทางขวาเพื่อปิดมุมไว้ วีส์เห็นดังนั้นก็ตัดสินใจรีบย่อตัวลงให้ต่ำกว่าขอบตาข่าย แล้วเขาก็รู้สึกได้ว่าลูกที่ถูกตีกลับพุ่งแรงผ่านศีรษะเขาไปเฉียดฉิวแล้วตกลงค่อนกลางสนามแล้วกระดอนออกไปโดยเร็ว ไม่ทันที่คนด้านหลังเส้นจะวิ่งไปรับได้

วีส์ลุกขึ้นยืนแล้วก็หันตัวไปหาคนทำคะแนนพร้อมยกกำปั้นขึ้นชูอย่างดีใจ แต่ปฏิกิริยาที่ตอบกลับมานั้นช่างแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ได้แสดงความยินดีไปกับเขาด้วย

“ต่อไปใครเสิร์ฟ” วีส์หันไปถามน้องๆในสนามแทน

“พี่เสิร์ฟก็ได้ครับ ตอนนี้ไม่ได้นับแต้มอยู่แล้ว” หนึ่งในคู่แข่งฝั่งตรงข้ามตะโกนตอบ

“โอเค” วีส์ตอบสั้นก็หันไปเก็บลูกสักหลาดใส่กระเป๋ากางเกง แล้วก็เดินไปหาคู่ร่วมทีมเพื่อรกระซิบบอกแผนก่อนที่จะเริ่มเกมของตัวเอง

แน่นอนว่าแค่ลูกเสิร์ฟก็ยากที่จะรับแล้ว และถึงจะเอาลูกกลับไปได้ก็โดนความร่วมมือของคู่หูร่วมทีมเฉพาะกิจจัดการซะอยู่หมัด ทั้งคู่ต่างเล่นเทนนิสเหมือนฝึกซ้อมด้วยกันมาพอสมควร การขยับตัวปรับเปลี่ยนตำแหน่งเพื่อช่วยกันควบคุมพื้นที่ให้ทั่วทั้งสนามดูเป็นธรรมชาติ อีกทั้งยังคอยปรับเปลี่ยนการเล่นของตัวเองให้สอดคล้องและส่งเสริมอีกฝ่าย

ยิ่งเล่นยิ่งเข้าขากัน

จากที่ฝึกซ้อมกันเองก็เริ่มมีคนมายืนดูรอบๆสนาม โดยเฉพาะเมื่อข่าวสารแพร่ออกไปทำให้มีคนตั้งใจมาดูการซ้อมมากขึ้น แม้แต่โค้ชฝึกซ้อมทีมมหาวิทยาลัยก็มายืนดูด้วยเช่นกัน

“วันนี้คุณจะโดดซ้อมอีกแล้วใช่มั้ย” โค้ชถามตอนที่วีส์เดินเก็บลูกสักหลาดเตรียมเอาไปเล่นต่อ

“อ้าวโค้ช มาได้ไง” วีส์ถามด้วยความสงสัยจริงๆ

“ไม่ได้ดูเวลาเลยรึไง เลยไปครึ่งชั่วโมงแล้ว”

“ห๊ะ...” วีส์หันไปมองดูนาฬิกาเรือนใหญ่ “จริงด้วย แต่ผมกำลังซ้อมอยู่นะโค้ช” ถึงแม้ว่าจะผิดจริงแต่เขาก็พยายามหาข้อแก้ตัวแบบไม่กลัวสีข้างถลอก

“งั้นเดี๋ยวเสร็จทางนี้ก็ไปซ้อมต่อทางโน้นด้วยนะครับ”

“ได้ครับโค้ช” วีส์ตะเบะรับคำสั่ง แล้วก็หันไปจะเล่นต่อแต่รุ่นน้องคนสำคัญกลับเดินออกไปข้างสนามเสียแล้ว วีส์จึงเดินตามไปหา “จะซ้อมต่อรึเปล่า”

“ไม่แล้วละครับ” วีร์ตอบปฏิเสธแล้วก็ถอดแว่นสายตาออกมาเช็ดเหงื่อ “เดี๋ยวให้สองคนนั้นฝึกกราวด์สโตรกต่อตามเวลาที่เหลืออยู่ ก็พอแล้วมั้ง”

“งั้น เดี๋ยวไปดูกูซ้อมต่อที่คอร์ทหนึ่งมั้ย” วีส์ออกปากชวนรุ่นน้องคนสำคัญ

“ไม่ดีกว่าครับ” วีร์ยังคงตอบกลับอย่างสุภาพ ถือว่าให้เกียรติที่วันนี้ทำให้เล่นเทนนิสได้อย่างสนุกสนาน แค่ยังไม่อยากยอมรับออกมาตรงๆเท่านั้นเอง

“ไอ้เพชรก็อยู่นะ ไม่ไปดูจริงๆเหรอ” วีส์พยายามโนมน้าวต่อเนื่อง

วีร์หันไปทางสนามซ้อมหลักที่มีอัฒจันทร์อยู่ด้านข้างสนามฝั่งหนึ่ง ก็เห็นว่าทีมนักกีฬาของมหาวิทยาลัยกำลังฝึกซ้อมอยู่และพีรพัชร์ก็คือหนึ่งในนั้น วีร์ชั่งน้ำหนักอยู่ในใจว่าจะเอาอย่างไรดี ถึงเขาจะไม่ต้องรีบกลับเพราะได้บอกกับธีร์และวนกรไว้แล้วว่าจะกลับบ้านช้า และก็รู้สึกอยากจะไปทักทายพีรพัชร์ที่ไม่เจอกันสักพักใหญ่เพราะอีกฝ่ายต้องเดินทางไปแข่งขัน แต่ก็ไม่ค่อยอยากจะอยู่ด้วยกันกับคนตรงหน้าสักเท่าไหร่

“ไปดูกันมั้ย เผื่อว่าจะได้ทริคใหม่ๆเอาไปใช้ตอนแข่ง” ไร้พ่ายเสนอความเห็น

“แล้ว... สองคนนั้นละ” ปัญจวีส์ถามไปถึงเพื่อนร่วมคณะทั้งสองคนที่กำลังฝึกซ้อมอยู่

“ก็เดี๋ยวก็หมดเวลาแล้วไม่ใช่รึไง” ไร้พ่ายมองดูเวลา “เดี๋ยวบอกให้พวกนั้นตามไปที่คอร์ทหนึ่งก็ได้”

วีร์หันไปถามความเห็นจากปัญจวีส์ว่าจะเอาอย่างไร ปัญจวีส์เองก็ไม่มีปัญหาอะไรแค่รู้สึกว่าไม่จำเป็นสักเท่าไหร่แต่ก็แล้วแต่ว่าวีร์จะตัดสินใจอย่างไร

“งั้นก็ได้” วีร์จึงตอบตกลง


*****


หลังจากที่ได้ไปพูดคุยกับพีรพัชร์แล้ว วีร์ก็เดินกลับขึ้นไปนั่งกับเพื่อนๆบนอัฒจันทร์ข้างสนาม ดูการฝึกซ้อมของนักกีฬามหาวิทยาลัย

“วีร์สนิทกับพี่คนนั้นเหรอ” ปัญจวีส์เอียงตัวไปถามเมื่อวีร์นั่งลงแล้ว

“พี่เพชรน่ะเหรอ ก็ รู้จักกันตั้งแต่เด็กๆ”

“โห นานเลยนะ”

“อืม ที่บ้านรู้จักกัน ก็เลยเจอกันบ่อย แล้วก็ไปตีเทนนิสด้วยกัน” วีร์ถอดสายครอบศีรษะออกจากขาแว่นแล้วก็สวมแว่นกลับตามเดิมแล้วเก็บสายรอบศีรษะลงไปในกระเป๋า

“อ๋อ แสดงว่าวีร์เล่นเทนนิสตามพี่เขาใช่มั้ย” ปัญจวีส์ถามต่อ

“เปล่า เราเริ่มเล่นเทนนิสเพราะคนอื่นชวนไปเล่น”

“อ้าวเหรอ แล้วตอนนี้ยังเล่นด้วยกันอยู่อีกรึเปล่า”

วีร์ยกมุมปากขึ้นยิ้ม แต่แววตาไม่ได้ยิ้มตามไปด้วย

“ไม่อะ ตอนนี้ไม่มีโอกาสได้เล่นด้วยกันแล้ว”

ปัญจวีส์กำลังจะถามต่อแต่สังเกตเห็นท่าทางของวีร์เปลี่ยนไปจึงไม่ได้ถามต่อและหันไปดูการฝึกซ้อม ส่วนทางด้านไร้พ่ายที่กำลังตั้งใจดูและทำท่าทางการตีตามที่โค้ชกำลังเน้นย้ำให้นักกีฬาฝึกให้ชำนาญจึงไม่ทันได้สนใจการสนทนาของเพื่อนทั้งสองคน

“ขอโทษนะคะ”

วีร์และเพื่อนๆหันไปตามเสียงที่ดังขึ้นมา ก็เห็นหญิงสาวสามสี่คนกำลังยืนเก้ๆกังๆบนขั้นบันไดชั้นล่างลงไป ต่างคนต่างก็เกี่ยงกันอยู่ว่าใครจะเป็นคนพูด วีร์เองก็มองอย่างสงสัย

“น้องวีร์เศรษฐศาสตร์รึเปล่าคะ”

วีร์ก็พยักหน้ารับ แต่ก็ยังสงวนท่าทีเพราะไม่รู้จุดประสงค์ของหญิงสาวกลุ่มนี้ว่าต้องการอะไร

“น้องวีร์มาดูพี่วีซ้อมเหรอคะ”

“เปล่าครับ” วีร์ตอบปฏิเสธสั้นๆ ถึงแม้ว่าตอนนี้พวกเขาทั้งหมดกำลังอยู่ข้างสนามซ้อมก็ตาม

หญิงสาวสามสี่คนนั้นก็หันไปกระซิบคุยกันเองว่าไม่ควรเชื่อข่าวลือ แต่ก็มีคนเถียงกลับไม่เห็นด้วย แม้แต่ชื่อของพีรพัชร์ก็ยังได้ยินลอยมาเบาๆด้วยเช่นกัน

“เอ่อ... พี่ขอถามอะไรหน่อยได้มั้ยคะ” หลังจากที่เกี่ยงกันไปมาก็มีหนึ่งสาวที่เอ่ยปากถามขึ้นมา

“ครับ” วีร์ตอบอนุญาต

“น้องวีร์ใช่คนที่เป็นแฟนหมอวีที่เคยเป็นเดือนคณะแพทยฯรึเปล่าคะ”

ความรู้สึกถูกก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวผุดขึ้นมาในความคิดทันที จึงไม่แปลกที่แววตาของวีร์จะเปลี่ยนไป แต่ก็ตอบคำถามกลับด้วยดี

“ถามทำไมเหรอครับ”

กลุ่มหญิงสาวหันไปกระซิบคุยกันเองอีกครั้ง ถึงวีร์ไม่อยากจะได้ยิน แต่เรื่องอาถรรพ์ที่ใครต่อใครบอกว่ามีติดตัวเขามาก็ลอยมาถึงโสตประสาทของเขาอีกจนได้

“คือว่าพวกพี่...”

“จะถามอะไรเรื่องเฮียผมเหรอครับ” ถึงเสียงจะไม่ได้แข็งกร้าวแต่ดังฟังชัดของศศิทัศน์แทรกขึ้นมาจากด้านหลังกลุ่มหญิงสาวจนทุกคนหันไปมองตามๆกัน “ใครสงสัยอะไรเรื่องเฮียผม มาถามผมได้โดยตรงเลยนะครับ”

ถึงจะเปิดโอกาสให้เต็มที่แต่ก็ไม่มีใครปริปากอะไรออกมาสักคน

“จะถามอะไรมั้ยครับ” ศศิทัศน์ถามย้ำอีกครั้ง เหล่าสาวๆไม่ได้ถามอะไรและขอโทษขอโพยแล้วก็เดินจากไปโดยดี ศศิทัศน์มองตามจนคนกลุ่มนั้นเดินลับสายตา แล้วก็หันกลับมาหาเพื่อนของเขา ทั้งยังมองเลยไปถึงคนข้างๆที่ในความคิดของเขาว่าควรจะทำอะไรบ้างกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น ไม่ใช่นั่งอยู่เฉยๆ

“พวกมึงมาได้ไงวะ” วีร์ถามด้วยน้ำเสียงปกติ อารมณ์ของเขาเย็นลงตั้งแต่เห็นท่าทางของศศิทัศน์แล้ว

“กูกับไอ้บิ๊กเรียนเสร็จก็เอาของไปเก็บที่หอแล้วก็กะว่าจะไปหาอะไรกิน เดินผ่านมาทางนี้เห็นมึงนั่งอยู่พอดี ก็เลยจะมาชวนไปด้วยกัน มึงยังมีอะไรต้องทำอีกมั้ย” ศศิทัศน์อธิบายให้ฟัง

“ก็ไม่มีอะไรแล้วนะ” วีร์มองดูเพื่อนๆคนอื่นที่ก็เสร็จสิ้นการซ้อมของวันนี้แล้ว ตอนนี้แค่มานั่งดูทีมนักกีฬาของมหาวิทยาลัยฝึกซ้อมเท่านั้น

“งั้นก็ไปกันเลย” ศศิทัศน์ถือวิสาสะหยิบกระเป๋าใบใหญ่ของวีร์ขึ้นสะพายไว้เอง

“ได้ๆ” วีร์ตอบรับแล้วลุกขึ้นยืนก่อนที่จะหันไปถามเพื่อนๆ “ปันปันกับโชกุนไปด้วยกันมั้ย”

แต่ก่อนที่ทั้งสองคนจะได้ตอบรับคำชวน ศศิทัศน์ก็พูดดักทางไว้เสียก่อนด้วยความยังรู้สึกไม่พอใจในหลายๆเรื่องปนกันอยู่

“ไม่ต้องก็ได้มั้ง แค่เพื่อนสนิทนัดรวมกันนานๆที” ถึงละเอาไว้แต่ก็สื่อความหมายชัดเจนว่า คนนอกไม่เกี่ยว

วีร์ที่ไม่แน่ใจว่าทำไมถึงได้รู้สึกเหมือนตัวเองจะต้องเป็นคนกลางแบบแปลกๆ จึงทำตัวไม่ถูกว่าจะทำอย่างไรดี

“ไปได้แล้วไป” ศศิทัศน์เน้นย้ำอีกครั้ง “เดี๋ยวกูโทรตามไอ้กิ่งก้านด้วย เผื่อว่าพวกมันยังไม่กลับ”

วีร์กำลังนึกว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะได้นัดหลานๆของล้ำเลิศรัตนทรัพย์ให้มาเจอกัน ทั้งๆควรจะรู้จักกันตามประสาคนรั้วเดียวกันแท้ๆ แต่ก็โดนศศิทัศน์ลากให้เดินตามพระยศที่เดินล่วงหน้าไปแล้ว เห็นทีคงจะต้องรอเป็นโอกาสหน้า

ส่วนคนที่อยู่ในสนามนั้น มองดูสถานการณ์อยู่ห่างๆ ไม่แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากนักเพราะโดนโค้ชรั้งตัวให้อยู่ฝึกซ้อมไว้เสียก่อน ไม่อาจจะปลีกตัวตามออกไปได้


*****


การแข่งขันกีฬานักศึกษาใหม่ผ่านไปด้วยดี ท่ามกลางสายฝนโปรยปรายในบางวัน ยังโชคดีที่ว่าสามารถจัดการแข่งเทนนิสได้ครบตามกำหนด เพราะมหาวิทยาลัยมีเฉพาะสนามกลางแจ้งและไม่ได้จัดเตรียมอุปกรณ์เพื่อทำให้สนามแห้งโดยเร็วไว้ หากวันไหนฝนตกแม้เพียงเล็กน้อยแต่มากพอทำให้สนามเปียกแฉะ ก็จัดการแข่งไม่ได้เลย

แต่ถึงอย่างไร ผลการแข่งขันก็เป็นไปตามคาดหมาย ตัวแทนของคณะเศรษฐศาสตร์สามารถผ่านไปถึงเพียงรอบก่อนรองชนะเลิศสำหรับประเภทชายคู่ และรอบสี่คนสุดท้ายประเภทชายเดี่ยว ส่วนตำแหน่งชนะเลิศประเภทชายเดี่ยวนั้นเป็นของตัวแทนคณะวิทยาศาสตร์การกีฬาอย่างวิธู

ถึงแม้จะมีกิจกรรมนอกหลักสูตรแทรกเข้ามา แต่การเรียนก็ยังดำเนินไปตามปกติ นักศึกษาแต่ละคนก็แยกย้ายไปตามวิชาที่ได้ลงทะเบียนเรียนไว้ ส่วนในวันนี้ก็เหลือวีร์ที่นั่งหลับตาพิงผนังตรงที่นั่งมุมสุดของโรงอาหารฮยู่คนเดียว เพราะไม่ได้ลงวิชาเรียนตรงกับเพื่อนๆคนอื่นๆ

และคงเป็นเพราะละอองฝนในช่วงสองสามวันก่อนหน้า ทำให้วันนี้เขารู้สึกร้อนๆหนาวๆ จึงแอบหลบมุมมานั่งพักเงียบๆก่อนจะถึงเวลาเรียน

ทางด้านของชายหนุ่มร่างสูงผมสีเทาที่หัวหมุนตั้งแต่เช้าอยู่กับงานที่อาจารย์ที่ปรึกษาสั่งไว้ เพิ่งจะได้มีเวลาออกมาหาอะไรกิน กำลังจะไปเลือกร้านอาหารและก็หันไปเห็นเด็กหนุ่มนั่งอยู่คนเดียวเสียก่อน จึงแวะเข้าไปหาใกล้ๆ

ขนาดไม่ได้ใส่แว่นแค่หลับตาอยู่เฉยๆ ก็ยังน่ารักขนาดนี้

วีส์อมยิ้มแล้วก็ก้มหน้าลงมองดูให้ชัดๆ แล้วก็โบกมือผ่านหน้าของเด็กหนุ่มแต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง เขาสงสัยว่าเด็กหนุ่มคงจะหลับไปจริงๆ จึงแตะตัวจะเรียกแต่ก็รู้สึกถึงความร้อนบนตัว จึงเอามือวงลงบนหน้าผากเพื่อยืนยันให้แน่ใจ

วีร์รู้สึกตัวว่ามีคนมาสัมผัสตัวเขา ก็เลยลืมตาขึ้นมองดู เห็นใบหน้าเต็มๆของรุ่นพี่ตัววุ่นวายจ้องมองเขาอยู่ จึงขืนตัวออกแต่หลังของเขาก็ติดฝาด้านหลังอยู่แล้ว

“ไม่สบายเหรอมึง” วีส์ดึงมือออกเพราะเด็กหนุ่มรุ่นน้องเอียงตัวหลบ “ไม่สบายก็กลับไปนอนพักดีกว่ามั้ง”

“เดี๋ยวผมมีเรียน” วีร์ตอบสั้นๆและหวังว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจและจากไปโดยดี ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้ผลตามที่คาดไว้

“เรียนตอนไหน” วีส์ถามต่อ

“เซ็คบ่ายสามครึ่ง” วีร์ตอบแล้วก็หลับตาลงอย่างเดิม

วีส์ดูเวลาจากโทรศัพท์ของเขา ตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะบ่ายโมง

“อีกตั้งสองชั่วโมง มึงจะนั่งอยู่ตรงนี้เนี่ยอะนะ” วีส์ถามด้วยความเป็นห่วงจริงๆ “แล้วนี่กินข้าวกินยารึยัง”

วีร์ไม่ได้ตอบกลับอะไร แค่นั่งหลับตาอยู่อย่างเดิมและคิดอยู่ในใจขอให้อีกฝ่ายปล่อยให้เขานั่งอยู่แบบสงบๆตามลำพังก็พอแล้ว แต่ดูเหมือนว่าคำขอจะไม่เป็นผลสักเท่าไรนัก

วีส์มองดูเด็กหนุ่มและเปิดโทรศัพท์ของเขาเพื่อดูเวลาอีกครั้ง จากนั้นก็คิดทบทวนสถานการณ์ ระยะทาง และเวลาที่ต้องใช้ก่อนที่จะตัดสินใจ เมื่อได้คำตอบสำหรับตัวเองแล้ว เขาก็ลงมือปฏิบัติโดยทันที

วีส์หยิบกระเป๋าเป้ของเด็กหนุ่มรุ่นน้องขึ้นมาสะพายบ่า จากนั้นก็เก็บสมุดหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะ แล้วก็ถือวิสาสะไปพยุงใต้วงแขนของคนที่นั่งหลับอยู่ให้ลุกขึ้นยืน

วีร์ลืมตาโพล่งขึ้นมาทันทีที่ตัวเขาถูกยกให้ลอยขึ้น และมองชายหนุ่มอย่างสงสัยปนอารมณ์โมโหเพิ่มเข้าไปอีก

“ไปกับกูเหอะ ดีกว่ามานั่งตากพัดลมอยู่ในโรงอาหารแบบนี้ ไม่งั้นมึงไม่รอดไปเรียนแน่ๆ”

“แค่นั่งพักเฉยๆ เดี๋ยวก็หายครับ” วีร์ยังพูดตอบกลับด้วยดีอยู่แม้ว่าจะไม่พอใจสักเท่าไหร่

“เชื่อกู ไป” วีส์ไม่ฟังคำคัดค้าน ออกแรงลากเด็กหนุ่มให้เดินไปด้วยกัน แต่วีร์ก็ไม่ได้ให้ความร่วมมือดีมากนัก จนวีส์ต้องก้มหน้าไปกระซิบบอก “ยิ่งช้ายิ่งมีรูปไปลงโซเชียลเยอะขึ้นนะมึง”

วีร์มองไปรอบๆก็เห็นว่าเริ่มมีคนสนใจพวกเขาแล้ว และอีกฝ่ายคงจะไม่ยอมละความพยายามเป็นแน่ การรีบเดินออกไปจากโรงอาหารคงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดจริงๆ


[อ่านต่อด้านล่าง]

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ยิ่งเดินไปวีร์ก็ยิ่งสงสัยว่าชายหนุ่มร่างสูงจะพาเขาไปไหน แต่ตอนนี้นอกจากจะไม่มีแรงขัดขืนเพราะรู้สึกปวดหัวตึบๆไม่หยุด แล้วยังต้องพยายามไม่เท่าตัวให้เป็นที่สังเกตจากคนรอบตัว ซึ่งแน่นอนว่าไม่ประสบความสำเร็จ ตลอดตามทางเดินก็มีสายตาของที่เดินสวนกันมองผ่านไปเป็นระยะ ถึงจะมีคนที่ไม่สนใจอะไรพวกเขาอยู่ไม่น้อย แต่สายตาเจ้ากรรมก็มักจะหันไปเจอที่คนมองกลับมาทุกที

ไม่นานนักพวกเขาก็เดินเลี้ยวเข้าไปในลานจอดรถ จนไปหยุดอยู่ที่รถยนต์สีดำคันหนึ่ง รูปลักษณ์ภายนอกมองดูยังไงก็รู้ว่าไม่ใช่รถยนต์ที่เพิ่งออกวางจำหน่ายในช่วงสี่ห้าปีนี้แน่นอน หรืออาจจะเก่ากว่านั้นเสียด้วยซ้ำไป แต่สีของรถยนต์และความมันวาวบ่งบอกว่าเจ้าของดูแลเป็นอย่างดี

วีส์ผละตัวจากเด็กหนุ่มรุ่นน้อง แล้วล้วงเอากุญแจรถยนต์ออกมาไขเพื่อปลดล็อค จากนั้นก็เปิดประตูแล้วมุดเข้าไปข้างใน วางสัมภาระทั้งหมดไปยังที่นั่งด้านหลัง แล้วจึงถอยกลับมาเสียบกุญแจและติดเครื่องยนต์ เปิดเครื่องปรับอากาศ แต่ก่อนจะออกมาจากรถยนต์ก็ไม่ลืมที่จะมุดกลับข้ามไปฝั่งด้านข้างคนขับเพื่อปลดล็อคอีกประตูหนึ่งด้วย

“ไปขึ้นรถก่อน” วีส์เดินกลับไปหาเด็กหนุ่มแล้วก็ลากให้เดินตามไปยังฝั่งด้านข้างคนขับ พร้อมเปิดประตูรถรอ

วีร์ยังคงไม่แน่ว่าเขาควรจะขึ้นไปบนรถหรือไม่ หากขึ้นไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า อาจจะถูกพาไปฆ่าหมกป่า ที่ใครต่อใครบอกกันว่าคนเก่งๆแบบเหนือมนุษย์ทั่วไปมักจะมีความผิดปกติบางอย่างที่ซ่อนอยู่ ไม่แน่ว่าที่ผ่านมาที่ชายหนุ่มร่างสูงเข้ามาตีสนิทเขาก็อาจจะเพื่อวันนี้ก็ได้

“คิดอะไรอยู่ เข้าไปนั่งในรถก่อนไป” วีส์โบกมือผ่านหน้าเด็กหนุ่มที่เหมือนกำลังจ้องเขาอยู่แต่ก็เหมือนไม่ได้มองมาที่เขาในคราวเดียวกัน

วีร์ถอนหายใจอีกครั้งก่อนที่เข้าไปนั่งข้างในรถ ส่วนคนพี่ก็ยืนค้ำอยู่ด้านนอก

“รอกูแป๊บนะ เดี๋ยวกูขึ้นไปเอาของก่อน” วีส์พูดแล้วก็ปิดประตูให้เรียบร้อย แล้วก็วิ่งหายไปตามทางเดิน ปล่อยให้วีร์นั่งอยู่ลำพังในรถยนต์

วีร์หลับตาลงแล้วพิงหลังไปบนเบาะ พลางคิดในใจว่ารุ่นพี่ผมสีเทาจะให้เขามานั่งพักในรถยนต์แบบนี้เหรอ มันจะดูไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมหรือเปล่า แต่ก่อนที่จะได้คิดไปไกล วีร์ก็ลืมตาขึ้นมาแล้วก็ปรับช่องลมใหม่ไม่ให้พัดใส่หน้าของเขา แล้วก็หลับตาพิงหลังไปอย่างเดิม

รออยู่สักพักก็ยังไม่มีทีท่าว่าอีกฝ่ายจะกลับมาสักที วีร์ลืมตาขึ้นมองดูรอบๆก็ไม่เห็นใครในลานจอดรถ จึงถือโอกาสสำรวจภายในรถยนต์ เผื่อว่าเกิดเหตุไม่คาดฝันขณะกำลังเลี้ยวเข้าไปในป่าลึกจะได้ไหวตัวทัน

สภาพภายในรถยนต์ก็ปกติทั่วไป ไม่ได้มีตกแต่งอะไรเป็นพิเศษ เครื่องเสียงก็คงติดมากับตัวรถเดิม เกียร์รถเป็นระบบอัตโนมือรวมไปถึงระบบล็อคประตูด้วยเช่นกัน ก็นึกสงสัยว่ารถเก๋งสมัยนี้ยังมีคนเลือกใช้เแบบนี้อยู่อีกหรือ บนแผงควบคุมก็ไม่มีอะไรพิเศษนอกเสียจากพระองค์เล็กๆที่วางติดอยู่ตรงหน้าพวงมาลัย

หลวงปู่ทวดวัดช้างให้

วีร์กำลังจะขยับเข้าไปดูองค์พระที่สูงไม่น่าจะเกินหนึ่งนิ้วใกล้ๆ แต่ประตูฝั่งคนขับถูกเปิดออกเสียก่อน วีร์จึงพิงหลังลงตามเดิม ใบหน้ายิ้มแย้มของชายหนุ่มผมสีเทาโผล่เข้ามา เขาสอดมือไปเปิดประตูด้านหลังเพื่อวางกองแฟ้มงานลงบนเบาะด้านหลัง เสร็จแล้วจึงกลับมานั่งข้างใน

“คาดเข็มขัดด้วยครับ” เจ้าตัวพูดพร้อมกับคาดเข็มขัดนิรภัยของตัวเอง แล้วก็ขับพารถออกไปจากลานจอดรถ

“จะไปไหน” วีร์คาดเข็มขัดนิรภัยเสร็จแล้วก็เอ่ยปากถาม

“ไม่ไกลหรอก แป๊บเดียว มีเวลานอนพักสักสองชั่วโมง เดี๋ยวกลับมาส่งทันเวลา” วีส์หันมาส่งยิ้มเพื่อยืนยันความมั่นใจ

แต่สำหรับผู้โดยสารนั้น ถึงแม้ว่าตอนนี้อยากจะหลับตาพักแค่ไหนก็ต้องขืนเปลือกตามองทางไว้ตลอด คอยจำเส้นทางนับตั้งแต่พ้นประตูมหาวิทยาลัยมาว่าเลี้ยวตรงไหนอย่างไรบ้าง แม้แต่ท่าทางของคนนั่งข้างๆก็คอยชำเลืองมองอยู่เรื่อยๆว่าจะมีอะไรผิดไปจากปกติตรงไหน จะได้ไหวตัวทัน

หลังยืดตรงพิงไปบนเบาะ มือขวาจับพวงมาลัย มือซ้ายจับคันบังคับเกียร์ที่คอยปรับเปลี่ยนไปตามความเร็วของรถยนต์ จะช้า จะเร็ว หรือว่าจะหยุด นี่ถ้าปล่อยมือซ้ายแล้วมาพาดที่พนักเบาะข้างนะ...

คิดอะไรอยู่เนี่ย

วีร์หลับตาลงแล้วพยายามตัดความคิดฟุ้งซ่านออกไปให้หมด ถึงตอนนี้ถ้าชายหนุ่มผมสีเทาจะพาเขาไปฝังหมกไว้ที่ป่าไหนก็ชั่งหัวมันแล้ว


*****


หลังจากที่หัวใจตุ้มๆต้อมๆมาตลอดทางว่าจะไปโผล่ที่โรงแรมม่านรูดที่ไหนสักแห่ง รถยนต์สีดำขลับก็มาจอดในลานจอดรถบนตัวอาคารที่คาดว่าจะเป็นอพาร์ตเมนต์ สภาพอาคารก็เห็นชัดว่าไม่ได้เป็นอาคารใหม่แต่ก็ไม่ได้ทรุดโทรมอะไร ถ้าทาสีใหม่ก็อาจจะดูดีขึ้นทันตา

สองหนุ่มลงจากรถแล้วก็พากันเดินไปที่ลิฟต์โดยสารขึ้นไปยังชั้นที่ต้องการ แล้วคนพี่ก็เดินหอบแฟ้มเอกสารนำทางไป เรื่อยไปจนไปถึงหน้าห้อง วีส์ไขประตูเดินนำเข้าไปข้างในแล้วเอากองแฟ้มเอกสารไปวางไว้บนโต๊ะ ส่วนวีร์ก็เดินตามเข้าไปพร้อมมองสำรวจไปรอบๆห้อง

เป็นห้องขนาดกว้างพอสมควร มีแบ่งพื้นที่สำหรับห้องครัว มีโต๊ะสี่เหลี่ยมที่ดูเหมือนจะใช้เป็นโต๊ะอเนกประสงค์ไว้สำหรับทั้งกินอาหารและทำงานได้ มีโซฟายาววางอยู่หน้าโทรทัศน์จอใหญ่ที่ติดผนังอยู่ ใกล้กันมีประตูสองบานที่คาดว่าน่าจะเป็นห้องนอนและห้องน้ำ ส่วนผนังฝั่งโซฟายาวก็มีช่องหน้าต่างหลายบานเรียงตัวตั้งแต่ห้องครัวยาวไปจนถึงสุดมุมห้อง ที่ปลายสุดห้องเป็นผนังกระจกบานเลื่อนออกไปยังระเบียงมีเครื่องซักผ้าและราวตากผ้าวางอยู่

วีร์กำลังจะเดินไปที่โซฟายาวแต่ก็โดนขว้าแขนไว้เสียก่อน แถมยังโดนมืออังบนหน้าผากด้วยอีกต่างหาก

“กินยาแล้วยัง”

“กินไปเมื่อเช้า” วีร์ดึงศีรษะของเขาหลบออก

“งั้นเดี๋ยวกินอีกสักเม็ดแล้วไปนอนพัก”

วีส์เดินไปหยิบยาและแก้วน้ำดื่มมาให้ ในตอนนี้วีร์รู้สึกเหมือนสมองจะระเบิด ไม่ได้อยากจะต่อความอะไรแล้ว จึงกินยาแต่โดยดีและคิดจะไปนอนที่โซฟา แต่กลับถูกรุ่นพี่ร่างสูงจับหมุนแล้วดันตัวไปทางประตูบานหนึ่ง

เมื่อเปิดเข้าไปก็เป็นห้องโล่งๆ มีตู้เสื้อผ้าอยู่เต็มฝาผนังด้านหนึ่ง มีเตียงขนาดหกฟุตอยู่กลางห้องพร้อมกับโต๊ะวางของเล็กๆข้างเตียงทั้งสองข้าง ทั้งห้องมีของตกแต่งอยู่แค่นั้น และมีผนังกระจกอยู่อีกด้านหนึ่งแต่ไม่มีระเบียงยื่นออกไป

วีร์กำลังจะร้องค้านแต่ก็โดนผลักให้เดินไปที่เตียงนอน กระเป๋าสะพายก็ถูกดึงออกไปวางไว้หน้าโต๊ะเล็กข้างเตียง

“นอนนี่แหละ สักบ่ายสามจะมาปลุก แล้วเดี๋ยวพาไปส่งที่มหาวิทยาลัย”

วีร์จะร้องค้านอีกครั้งแต่ก็โดนจับกดให้นั่งลงบนเตียงแล้วก็ถูกผลักให้เอนตัวลงนอน

“นอนไป ไม่ต้องเกรงใจ กูรื้อผ้าปูไปซักทุกอาทิตย์” วีส์หยิบผ้าห่มที่พับวางไว้ที่ปลายเตียงขึ้นมาห่มให้คนป่วย “เดี๋ยวกูนั่งทำงานอยู่ข้างนอก มีอะไรก็เรียกได้ เดี๋ยวบ่ายสามปลุก”

แล้ววีส์ก็เดินออกจากห้องนอนไปพร้อมกับปิดประตูเรียบร้อย ปล่อยให้คนป่วยนอนมึนงงทั้งจากอาการป่วยและจากพฤติกรรมของคนที่พาเขามา รวมถึงรู้สึกเกรงใจที่มานอนบนเตียงส่วนตัวของคนอื่น แต่ตอนนี้ร่างกายบอกว่าควรจะพักผ่อนได้แล้ว วีร์จึงนอนหลับตาลงดีๆ เรื่องอื่นไว้ค่อยว่ากันภายหลัง


*****


วีร์ลืมตาขึ้นด้วยความรู้สึกแปลกๆ ประการแรก เมื่อมองดูรอบๆแล้วเขากำลังสงสัยว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ประการที่สอง คือความฝันประหลาด ที่มีชายหนุ่มร่างสูงผมสีเทาเดินตรงเข้ามาหาเขาในซอยแคบ โดยที่ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรก็ยกมือทั้งสองข้างจับใบหน้าของเขาไว้และกำลังก้มศีรษะมาใกล้ แต่เขารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเสียก่อน นั่นจึงทำให้เขานึกขึ้นได้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน

ประการสุดท้าย ทำไมสภาพในห้องที่เปิดม่านไว้เต็มที่ ถึงได้ดูสลัวกว่าที่ควรจะเป็นในเวลาบ่าย

วีร์ขยับลุกขึ้นหยิบกระเป๋าของเขาที่วางอยู่ข้างเตียงนอนแล้วรีบเดินไปที่ประตู เมื่อเปิดประตูออกไปแล้วประสาทสัมผัสทั้งหลายก็เริ่มทำงานทันที ดวงตาที่ต้องหรี่มองเพราะเจอกับแสงไฟที่สว่างมากกว่าในห้องนอน หูได้ยินเสียงเพลงที่เปิดอยู่ปนไปกับเสียงตะหลิวที่กำลังประลองกำลังกับกระทะบนเตาไฟ และนั่นก็มาพร้อมจมูกที่ได้กลิ่นอาหารที่ฟุ้งไปทั้งห้อง

เวลาที่อยู่นาฬิกาที่แขวนอยู่บนฝาบอกว่าเกือบจะหกโมงครึ่งแล้ว ชายหนุ่มร่างสูงผมสีเทากลับยืนทำอาหารอย่างใจเย็น ทั้งๆที่ควรจะปลุกคนเคยป่วยให้ตื่นไปเรียนเมื่อสามชั่วโมงที่แล้วไม่ใช่หรือ

“อ้าว ตื่นแล้วเหรอมึง กูว่ากำลังจะไปปลุกพอดี” เสียงเปิดประตูห้องทำให้วีส์หันไปมอง

น้ำเสียงคนพูดไม่ได้ดูรู้สึกผิดอะไร ยิ่งทำให้วีร์รู้สึกโมโหมากขึ้นไปอีก

“มาๆ กูทำเสร็จพอดี มากินข้าวกัน เสร็จแล้วเดี๋ยวกูไปส่งที่บ้าน” วีส์ปิดเตาไฟแล้วก็ไปหยิบจานสองใบมาตั้งบนโต๊ะ แล้วก็หันกลับไปยกกระทะมาเทอาหารใส่จาน

แต่วีร์ยังคงจ้องมองอีกฝ่ายไม่วางตา ท่าทางอากัปกิริยาที่ไม่สะทกสะท้านอะไรเลยของคนตรงหน้าทำให้อารมณ์พุ่งขึ้นมากกว่าเดิม แต่วีส์กลับเห็นเป็นว่าเด็กหนุ่มยังคงรู้สึกไม่สบายตัว จึงวางข้าวของในมือลงทั้งหมดแล้วรีบเดินมาตรวจดูอาการ แต่ก็โดนปัดโดนเหวี่ยงกลับมาแทน

“เป็นอะไร ยังปวดหัวอยู่อีกเหรอ”

“ทำไมถึงไม่ปลุกผมตั้งแต่ตอนบ่ายสาม” วีร์ถามกลับด้วยน้ำเสียงแข็ง

“อ๋อ กูเข้าไปปลุกแล้ว แต่มึงไม่ตื่น” ในที่สุดชายหนุ่มร่างสูงก็เข้าใจเสียทีว่าอีกฝ่ายเป็นอะไร

วีร์ยังไม่เชื่อในคำตอบสักเท่าไหร่เพราะเขาไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นคนตื่นยากแม้ว่าจะไม่ค่อยสบายก็ตาม ส่วนวีส์ก็ยิ้มยิงฟันเพื่อยืนยันคำตอบถึงแม้ว่าความเป็นจริงแล้วเขาแค่แง้มประตูแล้วโผล่หน้าเข้าไปดู และเห็นว่าเด็กหนุ่มรุ่นน้องนอนหลับสบายดี จึงปิดประตูกลับแบบเงียบๆ

วีร์ล้วงโทรศัพท์ออกมาเปิดดูว่ามีใครติดต่อเขามาหรือไม่ เห็นข้อความและการโทรทั้งจากแพรวา ดวงใจ รวมถึงปัญจวีส์ด้วยอีกคน แต่ทุกข้อความมาในแนวทางเดียวกันว่าวันนี้อาจารย์งดคาบเรียน ไม่ว่าตอนนี้เขาจะอยู่ที่ไหนก็ไม่จำเป็นต้องมาแล้ว วีร์ถอนหายใจแบบเซ็งๆ แล้วก็ส่งข้อความกลับไปหาเพื่อนๆว่าเขาไม่สบายและกลับบ้านไปแล้วตั้งแต่ตอนบ่าย

“เอาน่ะ มากินข้าวกันก่อน เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ” วีส์ยังคงเชิญชวนให้เด็กหนุ่มร่วมโต๊ะอาหารด้วยกัน

ถึงแม้ว่าความโกรธจะลดลงไปแล้วแต่กระนั้นก็ยังรู้สึกขุ่นเคืองอยู่ในใจ ยังไม่ยอมไปนั่งโดยดีจนชายหนุ่มร่างสูงต้องลุกขึ้นมาพาตัวไปนั่ง แล้วก็คะยั้นคะยอให้ชิมฝีมือของเขา เป็นเพราะลูกตื้อและกลิ่นอาหารที่หอมฉุยลอยมาเตะจมูก รวมถึงเมื่อตอนมื้อกลางวันเขากินไปได้นิดหน่อย วีร์จึงยอมร่วมโต๊ะอาหาแต่โดยดี

“นี่ ถามอะไรหน่อยสิ ช่วงนี้ว่างรึเปล่า” วีส์เห็นเด็กหนุ่มยอมกินอาหารก็รู้สึกอิ่มใจถึงแม้จะไม่มีคำชมออกมาก็ตาม และเริ่มชวนคุยแบบกันเอง

“ถามทำไม” วีร์ปรายตาขึ้นมองในขณะที่ช้อนส้อมยังคงทำงานอยู่

“มีงานจ้างสนใจรึเปล่า”

“งานอะไร”

“ไปเป็นเด็กเอ็น”

สายตาแข็งๆของวีร์ตวัดขึ้นทันที

“กูล้อเล่น” วีส์รีบแก้ตัวแต่ใบหน้ากลับเบิกบานไม่ต่างไปกับจานบนโต๊ะ “งานน่ะมีจริงๆ มึงสนใจรึเปล่า”

วีร์ไม่ได้ถามด้วยปากแต่ส่งผ่านด้วยสายตาว่าอย่าล้อเล่นด้วยเรื่องแบบนี้

“จะจ้างไปถ่ายรูปงานนิทรรศการ” วีส์รอปฏิกิริยาตอบกลับก่อนที่จะอธิบายเพิ่มเติม “อาจารย์เขาอยากได้รูปไว้ใช้ตอนทำสรุปโครงการ มีงบค่าจ้างจัดเอาไว้อยู่แล้ว ถ้ามึงรับงาน เดี๋ยวพอจัดสถานที่เสร็จก็จะให้มึงเข้าไปถ่ายรูปเก็บงานทั้งหมดก่อนวันแสดงจริง สนใจรึเปล่า”

วีร์ไม่ได้ตอบรับอะไรหรือมีทีท่าอย่างใดอย่างหนึ่ง คิดอยู่แค่ว่า กินให้เสร็จจะได้กลับบ้านเสียที

“ไม่สนใจจริงๆเหรอ”

วีร์ยังคงเงียบอยู่อย่างเดิม

“โธ่ คนเรานะ ไอ้เราก็เห็นว่าไม่สบายก็อุตส่าห์ช่วยพามานอนพัก ตอนซ้อมเทนนิสก่อนแข่งก็ไปช่วยฝึกให้อีก แล้วก็นะ... งานนี้มีค่าจ้างไม่ได้ให้ทำฟรีๆสักหน่อย”

ท่าทางน้อยใจบ่นกะปอดกะแปดที่แสดงออกมาของคนพูดที่วีร์คิดว่าน่าหมั่นไส้ที่สุดในโลก ไม่คิดว่าเรื่องแค่นี้ถึงกับต้องเอามาทวงบุญคุณ

“ก็ได้” วีรตอบรับสั้นๆเพื่อตัดรำคาญ

“มึงพูดแล้วนา” วีส์ยิ้มหน้าบานยิ่งกว่าจานบนโต๊ะ “เดี๋ยวไว้กูติดต่อไปอีกที”

วีร์ตอบกลับด้วยลมหายใจที่พ่นออกมาแรงๆ แล้วก็รีบตักอาหารกินให้เสร็จจะรีบไปจากคนตรงหน้าเสียที

“แต่เรื่องเด็กเอ็น ถ้ามึงสนใจจะทำ กูยินดีจ้างนะ”


*****


หลังจากวันนั้น มื้ออาหารกลางวันของวีร์ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม มีรุ่นพี่ต่างคณะมาร่วมโต๊ะอาหารอยู่ด้วยเกือบทุกครั้งไป บางครั้งก็มาเป็นถุงขนมที่ถูกเอามาวางไว้ตรงหน้าแล้วคนให้ก็เดินจากไป จนหลายคนเริ่มเชื่อปักใจว่าข่าวลือนั้นเป็นจริงแล้วแน่ๆ ถึงแม้ว่าไม่ว่าใครต่อใครจะมาถามวีร์ เจ้าตัวก็จะตอบปฏิเสธไปทุกครั้งก็ตาม

สำหรับในวันนี้ตามที่มีสายสืบคอยรายงานมาให้ วีส์จึงชวนเพื่อนๆมานั่งเล่นอยู่ใต้คณะเศรษฐศาสตร์ที่เขาบอกต่อๆกันว่ามีร้านเครปอร่อย ทั้งๆที่อยู่มหาวิทยาลัยมาจนขึ้นปีที่สามแล้วแต่เพิ่งรู้สึกว่าอยากจะมาลองชิม

วีส์และเพื่อนๆจับจองโต๊ะที่ห่างออกไปสักหน่อย เพราะไม่อยากจะรบกวนการทำงานกลุ่มของเด็กหนุ่มรุ่นน้องตามสายข่าวที่ส่งมา เพื่อไม่เป็นการเสียคะแนนความนิยม เพราะเล่นเกมรุกมากจนเกินไปก็ไม่เป็นผลดีไปซะทุกครั้ง หลังจากที่สร้างโอกาสให้เด็กหนุ่มมาช่วยถ่ายรูปงานนิทรรศการได้แล้ว ก็ไม่ควรทำให้มันหลุดลอยไปโดยใช่เหตุ

“รสชาติก็โอเคนะ แต่ไม่ถึงขนาดที่ลือกันเว่อร์ไปหน่อย” กฤษณะกัดเครปที่อยู่ในมือคำโต

วีส์หันไปมองดูเพื่อนที่เอาแต่ติโน้นตินี่แต่ก็กินต่อไม่หยุดปาก แล้วก็หันกลับไปมองดูเด็กหนุ่มผิวเข้มที่นั่งรวมตัวทำงานอยู่กับเพื่อนๆรวมคณะ

“แต่คนชวนมายังนั่งมือเปล่า ไม่เห็นจะซื้อมาแดกสักชิ้นเลยมึง” พุทธชาดก็พูดไปกัดเครปกินไปด้วย

“นี่ไอ้ปั๋ง มึงจะโดดคาบนี้จริงเดะ” กฤษณะถามเพื่อน

“โอ้ย วิชาพื้นฐาน ไม่มีเช็คชื่อ เดี๋ยวค่อยไปตามทีหลังเอาก็ได้” พุทธชาติยังคงนั่งสบายใจไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไรเลย

“ถึงไม่เช็คชื่อ แต่ก็มีควิซเก็บคะแนนอยู่เรื่อยๆนะมึง” วีส์เตือนเพื่อนของเขา

“ครั้งสองครั้งไม่เป็นไรน่ะ” พุทธชาติยังคงใจเย็น “กูอยากมีอารมณ์มานั่งเล่นชิวๆกับเพื่อนเหมือนเมื่อก่อนบ้าง”

“ก็ใครใช้ให้มึงติสต์แตก เรียนจบแล้วขอพ่อแม่ไปท่องโลกตั้งสองปี” กฤษณะแซวเพื่อนไปเบาๆ

“ปีเดียวเองคร๊าบ เพราะตังค์กูมีแค่นั้น ใช้หมดก็กลับมาอยู่บ้านรอสอบเข้า” พุทธชาติถอนหายใจ เพราะถ้าหากเขายังมีเงินเก็บเหลือมากกว่านี้ก็คิดว่ายังคงตระเวนไปประเทศต่างๆต่อไปอีก “แต่ก็ดีนะ กลับมาเห็นเพื่อนกำลังมีความรัก”

“ก็ทำไงได้วะ รอมาตั้งนานแต่โอกาสของตัวเองเพิ่งมาถึง แต่จะว่าไปก็สงสารไอ้หมอวีเหมือนกันนะ ไม่น่าไปเร็วเลย”

“อย่าว่ากูปากปีจอเลยนะ ถ้าเขาไม่ไปเพื่อนเราก็อด” วีส์ปรายตามามองเพื่อนของเขา ถึงแม้ว่าจะเป็นความจริง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่สมควรเอามาพูด “ไม่ต้องมองกูอย่างนั้นเลยมึง ตัวมึงเองก็ระวังตัวไว้หน่อยก็ดี เผื่อว่าดวงน้องเขายังแรงอยู่ ไม่งั้นเดี๋ยวมึงจะเสร็จไปอีกราย”

“กูไม่ได้เชื่อเรื่องพวกนั้น” วีส์ตอบอย่างหนักแน่นว่าเขาคิดอย่างนั้นจริงๆ

“แต่สองศพแล้วนะเว้ย ว่าไม่ได้”

“ไอ้ปั๋ง มึงแดกเครปไป” กฤษณะปรามเพื่อนของเขา เพราะไม่เช่นนั้นเพื่อนของเขาอีกคนอาจจะป้อนอย่างอื่นให้กินแทน

ถึงวีส์จะรู้สึกไม่พอใจ แต่ก็พอจะรู้นิสัยของเพื่อนดีว่าไม่ได้คิดอะไร หรือเข้าใจโดยง่ายก็คือไม่คิดอะไรก่อนที่จะพูดแต่ก็ไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร กระนั้นสิ่งที่ทำให้อารมณ์ขุ่นมัวไม่พลุ่งพล่านขึ้นมาก็เพราะรอยยิ้มสดใจบนใบหน้าของคนที่เขากำลังจ้องมองอยู่ มันทำให้ลืมเรื่องอื่นๆไปเสียหมด จนอดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้

“นุ้ย”

เสียงทุ้มดังลอยมาจนหลายคนหันไปมองตามๆกัน รวมถึงวีส์ด้วยเช่นกันที่เอียงหน้าไปชำเลืองมองชายหนุ่มร่างสูงผิวเข้ม แต่งกายดูภูมิฐาน อายุน่าจะราวยี่สิบปลายๆหรือสามสิบต้นๆ กำลังกวักมือเรียกใครบางคนอยู่ อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจแต่อย่างใด ถ้าคนที่ลุกขึ้นยืนไม่ใช่เจ้าของรอยยิ้มที่เขากำลังจ้องมองอยู่นานแล้ว

รอยยิ้มที่เผยกว้างขึ้นมาเดิม สองเท้าที่ก้าวไปอย่างรวดเร็ว สองมือสองแขนที่เข้าสวมกอดชายร่างสูงคนนั้น ชายร่างสูงคนนนั้นก็ตอบรับด้วยกิริยาทั้งโอบไหล่ทั้งลูบผมเหมือนกับคนที่สนิทมากกว่าใคร

มันเป็นใครวะ

ไม่มีใครรู้ว่าวีร์พูดอะไรกับคนๆนั้น แต่วีร์รีบเดินกลับไปที่โต๊ะแล้วก็เก็บสัมภาระของตัวเองแล้วก็บอกลาเพื่อนๆ จากนั้นก็เดินกลับไปหาชายหนุ่มร่างสูง แล้วก็พากันเดินจูงมือออกไป

“ใจเย็นมึง” กฤษณะพูดเตือนสติเพื่อนของเขาที่กำลังกำหมัดแน่นและถึงใบหน้าจะมีรอยยิ้มแต่ก็ดูน่ากลัว

“ใครวะ ดูสนิทกับน้องมาก เดินจับมือไปกันด้วย” พุทธชาดพูดแทนทุกๆคน

“ไอ้ปั๋ง กูว่าถ้ามึงยังอยากอยู่ปกติครบสามสิบสอง ก็แดกเครปของมึงไป”

พุทธชาติได้ยินกฤษณะพูดแล้วก็หันไปมองเพื่อนอีกคนที่อารมณ์กำลังครุกรุ่นอยู่ ดูเหมือนว่าการอยู่เงียบๆในตอนนี้จะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า


*****


Artemis20: ทุกคนใจเย็นๆ ยานอวกาศของเรายังไม่พังยังปลอดภัยดีนะ ตอนนี้รอความชัดเจนก่อน อย่าเพิ่งถอดใจกันนะ เราจะจับมือไปด้วยกัน


*****


#VVGo4Launch

[โปรดติดตามตอนต่อไป]

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ตอนที่ 4 คนชอบกันต้องมีอะไรทำด้วยกัน


เกิดแรงกระเพื่อมในโลกโซเชียลของเหล่าผู้ติดตามทั้งในกลุ่มที่สนับสนุนและต่อต้าน กลุ่มที่สนับสนุนก็เกิดอาการวิตกจริตคิดกันไปไกล มีมือที่สามโผล่เข้ามาทำให้คู่ในจินตนาการของพวกเขาอาจจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ส่วนฝ่ายต่อต้านที่ไม่ได้ยอมรับความสัมพันธ์ในจินตนาการแบบของอีกกลุ่มก็ออกมาแสดงความยินดีที่กำจัดตัวซวยออกไปจากชีวิตได้สักที

ส่วนในโลกของความเป็นจริง เวลาอาหารมื้อกลางวันที่เคยใช้เป็นช่วงเวลาสร้างความคุ้นเคย ก็เหลือแค่มานั่งร่วมโต๊ะแล้วตักอาหารกินไปจ้องมองหน้าไป กินเสร็จแล้วก็ลุกออกไปโดยที่ไม่พูดอะไรเลย สร้างความงุนงงให้รุ่นน้องและคนรอบข้างอยู่ไม่น้อย รวมถึงในโลกโซเชียลที่ทราบข่าวแล้วก็ผลัดกับเกทับกันไปมาว่าจินตนาการของใครจะล้ำลึกกว่ากัน

กระเป๋าสะพายถูกโยนลงไปโต๊ะ แก้วน้ำถูกกระแทกวางตามลงไป ส่วนคนที่ถือมาก็ทำเสียงฮึดฮัดทันทีที่นั่งลง สีหน้าไม่ต้องพูดถึง แม้เด็กตัวน้อยๆก็แปลความได้ถูกต้อง

“เป็นเหี้ยอะไรวะ” กฤษณะถามเพื่อนสนิทของเขา

“คาดว่าวันนี้กินอาหารไม่อร่อย ขนาดว่าถ่อสังขารไปถึงที่” พุทธชาติประเมินอาการคนไม่สบอารมณ์

วีส์ยังคงทำเสียงฮึดฮัดเหมือนเดิมไม่ได้แสดงความเห็นอะไรออกมา

“แล้วทำไมมึงไม่ถามน้องเขาให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยวะ จะได้ไม่ต้องมานั่งหน้าบึ้งอยู่แบบนี้” พุทธชาติมองอย่างท้าทายเผื่อว่าจะกระตุ้นให้เพื่อนของเขาเดินกลับไปถามซะตอนนี้เลย แต่วีส์ก็ยังคงไม่พูดอะไร ไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่อยากถาม แต่รู้ว่าถ้าถามเรื่องส่วนตัวกับคนที่โลกส่วนตัวสูงไปแล้วจะต้องเจอตอบกลับมาแบบไหนต่างหาก

“แล้วสายข่าวมึงว่าไง” กฤษณะถามเพิ่มเติม

“เฮ้อ! คนที่อยู่ไม่รู้ ส่วนคนที่น่าจะรู้ตอนนี้ไม่อยู่กลับอาทิตย์หน้า แถมโทรไปก็ไม่รับไลน์ไปก็ไม่ตอบ” วีส์พ่นลมหายใจเฮือกใหญ่

“น่าจะยุ่งๆละมั้ง เห็นว่าเข้ารอบลึกๆแล้วไม่ใช่รึไง”

วีส์แค่พยักหน้าตอบกฤษณะ

“แล้วจะเอาไงต่อวะ เห็นว่าวันก่อนมีคนเจอว่าออกไปจากมหาวิทยาลัยด้วยกันเว้ยเฮ้ย”

“ไม่รู้เว้ย” วีส์พ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เพราะคิดหาหนทางอะไรในตอนนี้ไม่ออกจริงๆ

“เออๆ แล้วนี่มึงจะยังไปช่วยงานคณะแพทยฯอีกมั้ยวะ” ในเมื่อเรื่องพูดคุยไปต่อไม่ได้แล้ว กฤษณะจึงเปลี่ยนเรื่องคุยใหม่

“ไปดิ รับปากเขาไปแล้วยังไงก็ต้องช่วยต่อให้ถึงที่สุด”

“ไม่อยากไปก็ไม่เห็นจะต้องไปเลย ไปก็เจ็บตัวเปล่าๆ” พุทธชาติเก็บแก้วน้ำบนโต๊ะจะเอาไปทิ้งเพราะว่าใกล้เข้าเรียนของเขาแล้ว

“โอ้ยมึง เจ็บน้อยว่ามดกัดอีก แล้วก็นะ ดาวเดือนคณะแพทยฯเขาเคยอุตส่าห์เดินสายมาเชิญชวนดาวเดือนทุกคณะให้ไปช่วยงานด้วยตัวเอง เพื่อนเราก็รับปากเขาไปแล้วซะด้วย” กฤษณะหันไปยิ้มมุมปากให้กับเพื่อนของเขา

“เอาจริงๆนะ กูก็อยากรู้เหมือนกันว่าใครกันแน่จะได้เป็นเดือนมหา’ลัย ระหว่างมึงกับไอ้วี” พุทธชาติเดินกลับมาหยิบกระเป๋าเตรียมตัวไปเรียน “แต่ก็นะ ตอนวันงานจริงเห็นว่าเสือกหายหัวไปทั้งคู่จนงานล่มไม่เป็นท่าไม่ใช่รึไง”

“นี่ขนาดผ่านมาสองปีแล้วนะ มันยังไม่ยอมบอกพวกเราเลยว่าวันนั้นมันหายไปไหน” กฤษณะร่วมผสมโรงเรื่องเก่าในอดีต

“เรื่องของกู” วีส์เองก็เตรียมตัวไปเรียนบ้างเหมือนกัน

ในเมื่อเจ้าตัวไม่ยอมบอก ทั้งกฤษณะและพุทธชาติเองก็ไม่ได้รบเร้าอะไรต่อ แล้วแต่ละคนก็แยกย้ายกันไปเรียน


*****


สัปดาห์วันบริจาคโลหิต เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นทุกสามเดือนเพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้คนเห็นความสำคัญของการช่วยเหลือผู้ป่วยด้วยยาพิเศษที่ยังไม่สามารถสังเคราะห์ขึ้นมาทดแทนได้ และเพื่อกระตุ้นให้เกิดการกลับมาบริจาคซ้ำตลอดทั้งปีเพื่อให้มีโลหิตเพียงพอต่อการรักษาจึงจัดกิจกรรมนี้ขึ้นมาโดยเน้นไปที่กลุ่มนักศึกษาของมหาวิทยาลัย หากใครไม่สะดวกในช่วงวันเวลาดังกล่าวก็สามารถไปบริจาคกับโรงพยาบาลได้โดยตรงในวันอื่นๆ เพราะมีการเปิดรับบริจาคอยู่ทุกวันไม่เว้นวันหยุดเป็นปกติอยู่แล้ว

ภายในอาคารเอนกประสงค์ของคณะแพทยศาสตร์ถูกจัดสถานที่ใหม่ เอาเก้าอี้นั่งที่สามารถปรับเอนได้จำนวนมากมาวางเรียงกัน  รวมถึงเก้าอี้ธรรมดาสำหรับนั่งรอและนั่งพัก โต๊ะรับลงทะเบียนและซักประวัติก็ถูกจัดวางไว้โนหน้า เครื่องมือและอุปกรณ์ทั้งหลายเตรียมพร้อมไว้แล้วเป็นอย่างดี

เจ้าหน้าที่ แพทย์ พยาบาล และนักเทคนิคการแพทย์ก็เตรียมตัวมาพร้อม และยังมีนักศึกษาคณะแพทยศาสตร์ คณะพยาบาลศาสตร์ รวมถึงคณะสหเวชศาสตร์บางส่วนมาช่วยงานด้วยอีกกลุ่มหนึ่ง

อดีตดาวคณะแพทยศาสตร์เองก็ยังคงรับหน้าที่เป็นตัวแทนประชาสัมพันธ์ให้คนมาร่วมงานกัน ทั้งผ่านทางกลุ่มนักศึกษาที่เคยเป็นตัวแทนคณะร่วมกิจกรรมประกวดดาวเดือนมหาวิทยาลัยด้วยกันมาก่อนให้ช่วยบอกผ่านไปยังเพื่อนร่วมคณะ และผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ รวมถึงมาต้อนรับหน้างานด้วยทุกวันตลอดทั้งสัปดาห์

“น้องต่าย น้องวีร์” เสียงใสแจ๋วจากอดีตดาวคณะเรียกเด็กหนุ่มรุ่นน้องที่รู้จักกัน “อีกคนน้องบิ๊กใช่มั้ย”

“ใช่ครับ” พระยศตอบ

“มาร่วมกิจกรรมกันใช่มั้ยคะ” หญิงสาวมองดูกลุ่มเด็กหนุ่มสาวที่เดินตามเด็กหนุ่มทั้งสามคนมา

“ใช่ครับ” วีร์เป็นตัวแทนตอบ

“ดีเลย เดี๋ยวทุกคนเอาใบสมัครไปกรอกก่อนนะคะ” หญิงสาวแจกเอกสารในมือให้กับวีร์และเพื่อนคนอื่นๆที่มาด้วยกัน “เสร็จแล้วก็ไปชั่งน้ำหนักนะคะ ใครที่น้ำหนักไม่ถึงสี่สิบห้ากิโลกรัมต้องขออภัยด้วยนะ แต่ถ้าได้ถึงสี่สิบแปดเลยจะดีมาก”

“แพร ถึงป่ะ” วีร์หันไปกระซิบถามแพรวา

“คิดว่านะ” แพรวาตอบแบบอ้อมแอ้มเพราะเธอเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าน้ำหนักตัวเองจะถึงตามเกณฑ์หรือไม่

“ส่วนใหญ่จะบริจาคครั้งแรกรึเปล่าเอ่ย” หญิงสาวมองดูรอบๆก็ไม่เห็นว่ามีรุ่นน้องคนไหนออกตัวเป็นอื่น “งั้นเป็นไร เดี๋ยวกรอกใบสมัครเสร็จก็ไปนั่งรอเรียกซักประวัตินะคะ มีวัดความดัน แล้วก็วัดค่าความเข้มข้นของเลือด ในใบสมัครต้องกรอกตามความเป็นจริงนะคะเพื่อความปลอดภัยของผู้รับบริจาค แล้วเดี๋ยวเจ้าหน้าที่จะคัดกรอกอีกรอบนึงนะคะ เชิญเลยค่ะ”

วีร์และเพื่อนๆหาที่นั่งว่างเพื่อนกรอกรายละเอียดในใบสมัครเพื่อบริจาคโลหิต เสร็จแล้วก็ไปนั่งที่เก้าอี้ด้านหน้าโต๊ะตรวจซักประวัติที่วางเรียงกันเป็นระยะ ถัดไปด้านหลังมีแผงกั้นสูงระดับสายตาล้อมพื้นที่วางเตียงผู้บริจาคด้านใน วีร์นั่งรอจนถึงคิวของตัวเองจึงลุกขึ้นยืน

“มาเลยมึง” ชัชวาลกวักมือเรียกวีร์ให้เดินไปที่โต๊ะเขาที่ว่างอยู่พอดี

“สวัสดีครับเฮียชัช ลงมือเองเลยเหรอครับ” วีร์นั่งลงแล้วกล่าวทักทายรุ่นพี่โรงเรียนเก่าและเป็นเพื่อนสนิทของวีรมาตุ

“คนไม่พอ สงสัยว่าเพิ่งจะเลิกเรียนกัน เลยแห่มากันเต็ม ต้องลงทุกโต๊ะ” ชัชวาลตอบในขณะที่เตรียมอุปกรณ์ที่ต้องใช้ไปด้วย “วัดความดันเลยมึง”

วีร์สอดมือเข้าไปในเครื่องวัดความดันแล้วจึงกดปุ่มให้เครื่องทำงาน เขาพยายามวางแขนสบายๆไม่เกร็งในขณะที่เครื่องกำลังบีบรัดต้นแขนของเขา

“ช่วงนี้กินยาอะไรอยู่รึเปล่า” ชัชวาลเริ่มสอบถามข้อมูล

“เปล่าครับ” วีร์ตอบกลับ

“ฉีดวัคซีนมีมั้ย”

“ไม่มีครับ”

“คงไม่ได้เดินทางไปในพื้นที่เสี่ยงที่ไหนนะ” วีร์ส่ายหน้าตอบชัชวาล “ช่วงนี้มีแผลที่โดนของมีคมที่เปื้อนเลือดดำมั้ย”

“ไม่มีครับ”

“แล้วก็...” ชัชวาลกำลังจะถามต่อแต่ก็มีเสียงดังขัดจังหวะลอยมา

“เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าพวกเกย์ก็บริจาคเลือดได้ด้วย นึกว่าเขาจะห้ามซะอีก” หญิงสาวที่แต่งตัวดูดีมีราคานั่งลงที่โต๊ะซักประวัติข้างๆ ปรายตามองมาที่วีร์อย่างเหยียดๆ ส่วนวีร์ก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไป ก็แค่เพียงดึงแขนกลับออกมาเมื่อเครื่องวัดความดันคลายตัวออกแล้ว

“ความดันปกตินะ” ชัชวาลอ่านผล วีร์เองก็พยักหน้ารับ

“สงสัยคงต้องไปสอบถามหัวหน้าหน่วยสักหน่อยแล้วว่าเดี๋ยวนี้เปลี่ยนนโยบายไปแล้วรึยังไง” หญิงสาวคนเดิมยังพูดต่ออีก

“จะบริจาคได้ไม่ได้ มันอยู่ที่พฤติกรรมของคน ไม่ได้อยู่ที่รสนิยมทางเพศ” ชัชวาลไม่ได้เจาะจงโต้ตอบกลับไป แต่ก็พูดเสียงดังให้ได้ยินอย่างชัดเจน แล้วก็เงยหน้าขึ้นมาถามวีร์ “มึงมีพฤติกรรมเสี่ยงอะไรมั้ย”

“ไม่มีครับ ผมยังไม่เคยมีอะไรกับใคร” วีร์ก็ตอบด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ

“ต๊าย! จะบอกว่าตัวเองบริสุทธิ์อยู่สินะ” เสียงหัวเราะเบาๆของหญิงสาวลอยตามมา

“อันนี้ไม่เรียกว่ามีพฤติกรรมเสี่ยง สามารถบริจาคได้ ส่วนคนที่เปลี่ยนคู่นอนรายสัปดาห์แล้วยังกล้ามาบริจาคเลือดเนี่ย ไม่รู้ว่าเพราะไม่กล้าไปคลินิกนิรนามหรือว่าเพราะอะไร” ชัชวาลหันไปหาหญิงสาวคนนั้นทั้งยังกวาดสายตามองขึ้นแล้วก็มองลงแล้วก็หันกลับมา ไม่ทันได้รอดูว่าหญิงสาวชักมือตัวเองกลับมาจากเจ้าหน้าที่ที่กำลังจะเจาะปลายนิ้วมือ แล้วก็ลุกเดินออกไปในทันที

“จะมีปัญหาอะไรมั้ยครับเฮีย” วีร์ถามเพื่อความแน่ใจ ไม่อยากให้ชัชวาลต้องเดือดร้อนเพราะเขา

“จะมีปัญหาอะไร บริจาคได้สิ กูไม่ได้เห็นว่าเพราะเป็นมึงเลยปล่อยผ่านนะ แต่กูเชื่อว่ามึงไม่โกหก” ชัชวาลตอบยืนยัน

“ผมหมายถึง...” วีร์ชี้นิ้วไปด้านหลังทิศทางเดียวกับที่หญิงสาวเดินออกไป

“โอ้ย ช่างเขาเหอะ อย่าไปใส่ใจ อ่อยเพื่อนกูไม่สำเร็จเพราะเพื่อนกูไม่เล่นด้วย เลยพาลไปทุกเรื่อง” ชัชวาลยื่นมือออกไปขอมือของวีร์มาเจาะปลายนิ้วเพื่อวัดค่าความเข้มข้นของเลือด แล้วใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์เช็ดก่อนจะลงมือ “เจ็บนิดนึงนะ”

อุปกรณ์ดีดเข็มแทงลงไปที่ปลายนิ้วอย่างรวดเร็ว ไม่ทันจะได้รู้สึกเจ็บ แล้วชัชวาลก็บีบปลายนิ้วของวีร์ให้เลือดออกมา จากนั้นจึงใช้สำลีสะอาดเช็ดออกไปก่อนหนึ่งครั้งแล้วจึงบีบเลือดออกมาใหม่ แล้วนำแผ่นมาเก็บตัวอย่างเลือดแล้วนำไปเข้าเครื่องวัดและรออ่านค่า

“มีปัญหาอะไรมั้ย” มีเจ้าหน้าที่ที่ควบคุมงานทั้งหมดเดินมาตรวจดูที่โต๊ะของพวกเขา

“ไม่มีครับพี่ เคสนี้ผ่านมั้ยครับ” ชัชวาลยื่นเอกสารของวีร์ให้เจ้าหน้าที่ดู ซึ่งก็รับไปตรวจดูโดยละเอียดแล้วก็ก้มลงดูค่าความเข้มข้นของเลือด

“ความเข้มข้นเลือดปกติดี ก็ผ่านนะ” เจ้าหน้าที่ยื่นเอกสารกลับไปให้ชัชวาลแล้วก็ยิ้มให้กับวีร์ จากนั้นก็เดินไปดูที่โต๊ะซักประวัติอื่นต่อไป

“เดี๋ยวมึงไปดื่มน้ำสักสองแก้วนะ แล้วรอเขาเรียก พอมีเตียงว่างก็เข้าไปได้เลย” ชัชวาลปิดแผลด้วยสำลีและใช้เทบใสปิดให้เรียบร้อย

“ขอบคุณครับเฮีย”

วีร์ลุกขึ้นเดินไปที่จุดบริการน้ำดื่ม เป็นถังน้ำสแตนเลสขนาดใหญ่บรรจุน้ำหวานสีแดงยี่ห้อที่เป็นตำนาน มีศศิทัศน์ พระยศ และปัญจวีส์ยืนอยู่ก่อนแล้ว วีร์หยิบแก้วเปล่ามาแล้วก็เปิดก๊อกน้ำใส่น้ำลงในแก้ว

“สงสัยว่าดวงใจจะไม่รอด” ปัญจวีส์กระซิบอกวีร์

“ทำไมอะ” วีร์หันไปมองหาเพื่อนในกลุ่มก็เห็นว่าแพรวากำลังช่วยพัดลมให้ดวงใจอยู่

“ปันปันคิดว่าเขาน่าจะกลัวเข็ม แค่เจาะปลายนิ้วก็เกือบจะไปแล้ว”

วีร์มองดูด้วยความเป็นห่วง แล้วก็เดินเข้าไปหาใกล้ๆ

“ใจ เป็นอะไรมั้ย” วีร์ถามและยื่นแก้วน้ำที่ตัวเองยังไม่ได้ดื่มให้ดวงใจแทน

ดวงใจไม่ได้ตอบกลับ แต่ยกมือขึ้นทำสัญลักษณ์ว่าตัวเองไม่เป็นไรแล้วก็รับแก้วน้ำจากวีร์

“ไม่ไหวจริงๆ ก็ไม่ต้องก็ได้มั้ง ไปนั่งพักรอดีกว่า”

“ใจกลัวทั้งเข็มกลัวทั้งเลือดเลย” แพรวายังคงพัดวีให้ดวงใจอยู่

“งั้นก็ไปนั่งพักดีกว่า ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวจะเป็นอะไรขึ้นมาเปล่าๆ”

วีร์และแพรวาช่วยกันพยุงดวงใจไปนั่งพัก และเมื่อเห็นว่าเพื่อนไม่เป็นอะไรมากแล้วก็พากันเดินกลับไปรอดังเดิม เมื่อวีร์เดินไปถึง ปัญจวีส์ก็ยื่นแก้วน้ำให้วีร์และแพรวา ทั้งยังเน้นย้ำให้ทั้งคู่ดื่มให้หมดก่อน

“นี่ เตียงโซนด้านในว่างแล้วนะ คนลงทะเบียนอะเฟอรีซิสวันนี้มาครบแล้ว ใครพร้อมแล้วก็เรียกเข้าไปได้เลยนะ” มีเจ้าหน้าที่เดินมาบอกนักศึกษาที่มาช่วยงานคัดกรองคนด้านหน้า

“วีร์ ไปก่อนเลยก็ได้” ปัญจวีส์เขย่งเท้ายืดความสูงที่สูงอยู่แล้วของตัวเองขึ้นมองดูบริเวณด้านใน

“เอางั้นเหรอ” วีร์ถามกลับ ปัญจวีส์ก็พยักหน้ายืนยันและแพรวาเองก็เช่นกัน วีร์จึงเดินตามนักศึกษาที่มาช่วยงานเข้าไปข้างใน

เก้าอี้ปรับเอนได้ด้านในดูจะสบายกว่าเตียงธรรมดาที่อยู่ด้านนอก หุ้มด้วยฟูกหนาขนาดใหญ่ไม่ต่างไปจากเก้าอี้นวดไฟฟ้า มีเครื่องมือขนาดใหญ่พอสมควรประมาณตู้เย็นขนาดเล็กวางอยู่ข้างๆทุกเตียง มีสายโยงจากเครื่องไปยังผู้บริจาค

วีร์เดินไปที่เก้าอี้ที่ว่างอยู่ เมื่อลงไปนั่งเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ปรับให้เอนตัวนอนแล้วก็ห่มผ้าช่วงลำตัวลงไปให้ แล้วจึงเริ่มจัดแจงเตรียมความพร้อมก่อนจะเจาะเลือด ในตอนนั้นวีร์จึงได้หันไปสังเกตเห็นว่าเก้าอี้ข้างๆนั้นมีหนุ่มร่างสูงผมสีเทาประกายน้ำเงินกำลังนอนหลับตาอยู่ มือข้างที่โดนเจาะกำลังบีบลูกบอลยางในมืออยู่เป็นระยะ มืออีกข้างกุมโทรศัพท์ไว้

“เจ็บนิดนึงนะคะ” เจ้าหน้าที่จัดเตรียมอุปกรณ์เสร็จแล้วและได้เช็ดทำความสะอาดผิวหนังที่ข้อพักบริเวณที่ต้องการเจาะเรียบร้อยแล้ว เหลือแค่แทงเข็มลงไปเท่านั้น

วีร์หันกลับมาพยักหน้ารับและมองดูเข็มเบอร์ใหญ่เสียบทะลุชั้นผิวหนังเข้าไป เลือดสีเข้มก็ไหลออกมาตามสายในทันที เจ้าหน้าที่ปิดผ้าก๊อซคลุมที่เจาะไว้และติดเทปใสเพื่อยึดสายไม่ให้เคลื่อนที่ จากนั้นก็เก็บตัวอย่างเลือดไว้ในหลอดทดลองสามหลอด และบอกให้วีร์คอยบีบลูกบอลยางในมืออยู่เรื่อยๆก่อนที่จะเดินจากไปพร้อมกับตัวอย่างเลือดในหลอดทดลอง

เมื่อวีร์หันกลับไปอีกครั้งก็เจอสายตาของหนุ่มผมสีเทากำลังมองมา วีร์จึงเบี่ยงหน้ามองไปทางอื่นแทน บางครั้งก็ก้มลงไปมองถุงเลือดว่าไหลออกมากแค่ไหนแล้ว บางครั้งก็มองดูไปรอบๆว่าใครทำอะไรบ้าง แต่ก็ไม่หันกลับไปมองคนข้างๆอีก แม้กระทั่งว่ามีเสียงสัญญาณดังมาจากด้านข้างและมีเจ้าหน้าที่เดินไปหาก็ตาม

“นอนพักสักครู่นะคะ” เจ้าหน้าที่ก็บอกคนข้างๆให้นอนพักอยู่เฉยๆก่อน อย่าเพิ่งรีบลุกไปไหน

ผ่านไปไม่นานก็มีเสียงสัญญาณดังมาจากข้างๆวีร์ เจ้าหน้าที่เดินมาตรวจดูแล้วจึงดำเนินการถอดเข็มออกแล้วปิดแผลให้เรียบร้อย แล้วจึงนำถุงโลหิตไปเก็บ โดยไม่ลืมบอกให้วีร์นอนพักอยู่เฉยๆก่อนไม่น้อยกว่าสิบนาที

“มีอาการอะไรมั้ยคะ” เจ้าหน้าที่เดินกลับมาถามวีร์พร้อมกับปลดสายรัดที่แขนตรงจุดที่แทงเข็มก่อนหน้านี้

“ไม่มีครับ”

เจ้าหน้าที่จึงปรับเก้าอี้ขึ้นนั่งแล้วก็เก็บผ้าห่ม

“เดี๋ยวไปรับเครื่องดื่มและของว่างที่ด้านหน้านะคะ” เจ้าหน้าที่บอกทั้งวีร์และวีส์

ถึงจะไม่ได้มาพร้อมกัน แต่วีร์และวีส์ก็เดินออกไปพร้อมกัน ไม่พ้นตกเป็นเป้าสายตาของใครหลายคน วีร์จึงพยายามก้าวเท้าเดินเร็วๆ แต่ชายหนุ่มร่างสูงก็เดินตามประกบไม่ห่าง แถมระหว่างทางที่จะไปที่จุดบริการอาหารทั้งสองคนก็ถูกดักไว้เสียอีก

“ขอโทษนะคะ ขอถ่ายรูปได้มั้ยคะ จะเอาไปโปรโมทงานค่ะ”

“ได้ครับ” วีส์ตอบรับแต่โดยดีและยังรั้งแขนของวีร์ไว้ไม่ให้เดินหนีไปเสียด้วย เด็กหนุ่มพยายามดึงแขนตัวเองออกแต่หนุ่มผมสีเทาก็กระซิบบอกเบาๆ “งานการกุศล ใครเขาปฏิเสธกัน”

วีร์กรอกตามองบนแล้วพยายามข่มใจควบคุมอารมณ์แล้วยืนให้เขาถ่ายรูปด้วยกันแต่โดยดี เพียงเลนส์กล้องที่ส่องมาหาพวกเขาไม่ได้มาจากช่างภาพคนเดียวเท่านั้น เมื่อช่างภาพหลักถ่ายรูปเสร็จแล้ว วีร์กำลังจะก้าวเท้าเดินออกไปให้ห่างจากชายหนุ่มร่างสูงเพื่อไม่ให้ตกเป็นประเด็นพูดคุยแต่ก็ยังโดนรั้งตัวไว้เสียก่อน

“เดี๋ยวสิ อย่าลืมนัดไปถ่ายรูปของเรานะ”

คำพูดไม่ได้ผิดอะไรแต่การตีความสามารถแปลออกไปได้หลายทาง ถ้าคนรับสารไม่ได้รู้เรื่องราวโดยละเอียดก็สามารถจะเข้าใจผิดได้ง่าย จากการจ้างานถ่ายรูปปกติธรรมดาก็จะกลายเป็นชวนกันไปออกเดตถ่ายรูปเล่นกัน

“วันไหนละครับ” วีร์พยายามรวบหัวข้อสนทนาให้จบเร็วที่สุด

“มะรืนนี้ ช่วงบ่ายๆ” วีส์รู้สึกใจชื้นขึ้นมาเมื่อได้ยินว่าวีร์ยังคงรับงานถ่ายรูปที่เขาไหว้วานไว้อยู่

“ก็ได้ครับ” วีร์ตอบพร้อมกับก้มลงมองมือที่จับแขนเขาอยู่ แล้วก็เงยหน้ามองคนที่จับว่าควรจะปล่อยเขาไปได้แล้ว

“ถามอะไรหน่อยสิ”

“อะไรครับ” วีร์กรอกตามองแล้วก็ถอนหายใจก่อนที่จะถามกลับไป

“อาทิตย์ก่อนน่ะ ที่มีคนมารับน่ะ ใครเหรอ” ความสงสัยที่ยังไม่สามารถหาคำตอบได้มันอัดอั้นอยู่ในใจมาหลายวันจนไม่เป็นอันทำอะไร วีส์จึงคิดว่าถ้าถามเด็กหนุ่มไปตรงๆเลยน่าจะดีกว่า

“แล้วจะรู้ไปทำไมเหรอครับ” วีร์ถามกลับโดยละคำพูดไว้ว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว คนอื่นไม่ต้องรู้ก็ได้มั้ง

“อ้าว นี่ๆ” วีส์ชี้เข้าหาตัวเอง “คนกำลังจีบอยู่ ก็อยากรู้ว่ามีคู่แข่งคนไหนบ้าง จะได้รู้แนวทางไว้ก่อนว่าจะสู้กลับยังไง”

วีร์ได้ยินแล้วก็ยิ้มออกมา แต่ไม่ได้ยิ้มเพราะรู้สึกตื่นเต้นตื้นตันดีใจอะไร แต่เพราะหมั่นไส้คนตรงหน้าที่กล้าถามเขามาอย่างตรงๆแถมยังละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวมากไปหน่อยจนอยากจะข่มขวัญกลับไป

“อย่ารู้เลย เสียเวลาเปล่า สู้พี่เขาไม่ได้หรอก” ในเมื่อคนตรงหน้าไม่ยอมปล่อยแขนของเขาเสียที วีร์จึงออกแรงแงะมือของชายหนุ่มร่างสูงออกเอง ก่อนที่จะยิ้มอย่างมีชัยแล้วก็เดินจากไป

วีส์รู้สึกร้อนรุ้มขึ้นมา เพราะนอกจากจะไม่ได้คำตอบที่แน่ชัดอย่างที่ต้องการและยังโดนด้อยค่าตัวเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งอีก แต่กระนั้นก็ยังทำใจดีสู้เสืออยู่

“อย่าลืมนัดของเราวันมะรืนนะครับ น้องวีร์”

เสียงตะโกนไล่หลังดังลั่นจนได้ยินกันไปทั่วบริเวณ จนวีร์รู้สึกอยากมอบนิ้วกลางให้เป็นของตอบแทน ถ้าไม่ติดว่ากำลังอยู่ในที่สาธารณะท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมาย วีร์จึงตัดสินใจรีบเดินออกไปเลยไม่รอใครจะดีกว่า ส่วนเพื่อนคนอื่นๆนั้น ค่อยสอบถามภายหลังว่าใครจะไปทำอะไรที่ไหนต่อหรือไม่อย่างไร


*****


เขานัดกันไปไหนอีกแล้วอะ อยากตามไปดู... เอ้ย อยากรู้ใจจะขาด
เห็นว่าจะไปถ่ายรูปกันนะ แต่ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน
เรืออวกาศของเราพร้อมบินมาก รอคอนเฟิร์มวันเท่านั้นแล้วละ Go for Launch
เดี๋ยวนี้พวกเกย์บริจาคเลือดได้แล้วเหรอ]/i]


*****


คำโบราณที่ว่าคนรักผืนหนังคนชังเท่าผืนเสื่อซึ่งก็ไม่เกินจริงไปสักเท่าไหร่ มีคนชื่นชอบติดตามก็ต้องมีคนต่อต้านรังเกียจบ้างเป็นเรื่องปกติธรรมดา ไม่ว่าสังคมจะผ่านการเปลี่ยนแปลงไปอีกกี่ครั้งก็จะยังคงพบเจอสถานการณ์เช่นนี้ได้อีกไปตลอด

จากที่ไม่ค่อยจะได้โผล่หน้าตามาในโลกสื่อสังคมออนไลน์สักเท่าไหร่ วีส์ถึงกับต้องออกตัวชี้แจงข้อถกเถียงที่เกี่ยวข้องกับตัวเขาเองและเด็กหนุ่มในดวงใจของเขาว่าทำไมถึงบริจาคเลือดได้ โดยวีส์อธิบายสั้นๆใจความว่าตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยมีพฤติกรรมเสี่ยงใดๆที่เป็นข้อห้ามทำให้ไม่สามารถบริจาคเลือดได้

ซึ่งก็ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะจากบรรดาเพื่อนสนิทที่เข้าไปแซวเรื่องความบริสุทธิ์ที่เก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี และวีส์ก็ยืดอกตอบกลับต่อว่าเขาไม่เห็นว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่น่าอายแต่อย่างใด และแน่นอนว่าเกิดเป็นหัวข้อในวงสนทนาต่อไปว่าความบริสุทธิ์ที่รักษาไว้นี้ ถูกเก็บไว้ให้ใคร

เหมือนเป็นไม้ฟืนที่ถูกสุมเข้าไปในกองไฟให้ลุกโชนมากขึ้นไปอีก รูปเก่าเล่าใหม่ก็ถูกหยิบยกขึ้นมาสนับสนุนข่าวลือให้ถูกเชื่อว่าเป็นความจริงแล้ว อย่าได้มีใครคิดสงสัยว่าจะเป็นอื่น

เพราะว่าไม่มีใครรู้ว่าการนัดไปถ่ายรูปนั้น จะไปที่ไหน วันและเวลาอะไร วีร์จึงเดินสะพายกระเป๋าใส่กล้องถ่ายรูปมาที่หน้าอาคารหอสมุดคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตามที่นัดไว้ โดยที่ไม่มีใครมาคอยติดตามอยากรู้เรื่องราวเลยสักคน ทำให้เขารู้สึกคลายกังวลไปได้ส่วนหนึ่ง

ที่ด้านหน้าอาคารได้ตกแต่งไว้เสร็จแล้ว ทั้งป้ายประชาสัมพันธ์ ซุ้มประตู และลูกโลกจำลองขนาดประมาณหนึ่งคนโอบได้พอดี วางอยู่บนแท่นตรงกลางทางเดินเมื่อผ่านซุ้มประตูไปแล้วเพียงเล็กน้อย ในตอนนั้นเองที่ชายหนุ่มร่างสูงผมสีเทาเดินอ้อมมาจากด้านหลังของลูกโลกจำลอง

“ตอนแรกก็กะว่าจะทำให้ใหญ่กว่านี้ อลังการงานสร้างไปเลย แต่โดนติงมาว่าเดี๋ยวพื้นที่จะไม่พอ” วีส์เริ่มบรรยายให้ฟัง ส่วนวีร์เองก็ยกกล้องขึ้นถ่ายรูปลูกโลกจำลองไปด้วย

“เห็นโน้นรึเปล่า”

ไม่ทันรู้ตัว ชายหนุ่มร่างสูงก็มายืนกระซิบข้างๆหูจากด้านหลังเสียแล้ว วีร์จะเบี่ยงตัวหลบออกแต่ก็จับให้ยืนอยู่ที่เดิม ชายหนุ่มผมสีเทาก็ยืดแขนข้างหนึ่งแล้วชี้นิ้วไปยังทิศทางที่เขาต้องการให้เด็กหนุ่มดู ภาพตรงหน้าผ่านเข้าไปด้านในพื้นที่จัดนิทรรศการ ลูกทรงกลมขนาดประมาณหนึ่งคืบแขวนลอยจากเพดาน สูงจากพื้นพอที่คนตัวสูงจะเอื้อมถึง ลวดลายของลูกทรงกลมนั่นไม่ต้องมีใครบอกก็รู้ได้ทันทีว่าคือดวงจันทร์

วีส์เดินนำเด็กหนุ่มเข้าไปในส่วนแรกของนิทรรศการที่เน้นเรื่องราวเกี่ยวกับดวงจันทร์ ตั้งแต่ทฤษฎีการกำเนิดดวงจันทร์ไปจนถึงแผนการสำรวจดวงจันทร์ของประเทศต่างๆในอนาคต ทั้งยานสำรวจ ทั้งสถานีอากาศที่ดวงจันทร์ และโครงการตั้งรกรากของมนุษย์ที่ดวงจันทร์เพื่อเป็นฐานการสำรวจอวกาศอันไกลโพ้นต่อไป

“ขนาดและระยะห่างของโลกและดวงจันทร์คือทูสเกล แต่ก็โดยประมาณอะนะ” วีส์ขยับตัวออกให้วีร์ได้ถ่ายรูปเก็บบรรยากาศโดยรอบ “เพราะไม่มีใครรู้จริงๆหรอกว่าเป๊ะๆมันเท่าไหร่ แค่ประมาณเอาแต่ก็ใกล้เคียง แล้วก็นะ ระยะห่างจากโลกไปถึงดวงจันทร์จริงๆมันก็ไม่แน่นอน เดี๋ยวใกล้บ้างเดี๋ยวไกลบ้าง เดี๋ยวก็เด้งขึ้นจากระนาบโคจรบ้างเดี๋ยวกเด้งลงจากระนาบบ้าง ไม่งั้นแล้วเราคงได้ดูสุริยุปราคาจันทรุปราคากันทุกเดือนไปแล้ว”

“ทำไมมันถึงไม่แน่นอน” วีร์ถามด้วยความสงสัย

“มันก็ไม่ได้มีลวดสลิงยึดติดกันไว้แล้วก็เหวี่ยงไปรอบๆเหมือนเล่นปั่นจักจั่น มันเป็นวัตถุที่ต่างก็เคลื่อนที่ไปตามทางของตัวเองแต่ว่าโดนแรงดึงดูดล๊อคไว้ในวงโคจร มีช่วงที่ดูดเข้ามาใกล้ มีช่วงที่เหวี่ยงออกไปไกล แต่แรงที่เคลื่อนไปข้างหน้ากับแรงดึงดูดมันสัมพันธ์กัน ก็เหมือนดาวเคราะห์ดวงอื่นๆก็ติดอยู่ในวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ ไม่ต่างกัน”

วีร์เก็บภาพบรรยากาศโดยรอบไปเรื่อยๆ

“พวกนี้มีไฟล์ข้อมูลอยู่แล้วใช่มั้ย” วีร์ถามถึงรายละเอียดที่แสดงอยู่บนบอร์ดคัตเอาท์

“ใช่ มึงไม่ต้องไปถ่ายคำอธิบายพวกนั้น เอาแค่บรรยากาศงานก็พอ” วีส์คอยเดินหลบมุมให้เด็กหนุ่มได้เก็บภาพโดยสะดวก “นี่คือจุดที่มนุษย์ออกไปไกลจากโลกมาที่สุด” วีส์ชี้ไปที่ดวงจันทร์จำลองที่ลอยอยู่กลางพื้นที่ส่วนนี้

“ถ้าเชื่อว่าเขาไปกันมาแล้วจริงๆอะนะ”

“มันก็... อาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้ เพราะว่านอกจากยี่สิบสี่คนที่ไปถึงดวงจันทร์ซึ่งล้วนเป็นคนอเมริกันเมื่อห้าสิบปีที่แล้ว หลังจากนั้นก็ไม่มีใครไปอีกเลย ส่งไปแต่ยานกับหุ่นยนต์ ก็ไม่แปลกที่มันดูน่าสงสัยเพราะกิจกรรมนอกโลกของมนุษย์ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มาไกลขนาดนี้”

“ไกลเหรอ ก็ดูไม่ไกลเท่าไหร่นะ” วีร์มองกลับไปมาระหว่างแบบจำลองของโลกและดวงจันทร์

“งั้นเหรอ” วีส์เดินไปจับข้อมือของวีร์แล้วลากเดินกลับไปหาลูกโลกจำลอง “รู้จักสถานีอวกาศนานาชาติมั้ย”

วีร์พยักหน้ารับ

“นี่โลก นั้นดวงจันทร์ มึงลองกะดูสิว่าสถานีอวกาศนานาชาติจะอยู่ประมาณไหน”

วีร์มองกลับไปมาระหว่างลูกทรงกลมทั้งสองแล้วก็ลองกะระยะที่คิดว่าสถานีอวกาศนานชาติจะอยู่ วีร์ถอยห่างลูกโลกจำลองประมาณสองก้าว แล้วก็มองดูระยะจากลูกทรงกลมทั้งสองอีกครั้ง

“ประมาณนี้มั้ง”

วีส์ยิ้มเล็กๆพร้อมกับส่ายหน้า

“ไม่ใช่ มันประมาณนี้ต่างหาก”

วีส์ชี้ไปที่ลูกโลกจำลองและกวักมือเรียกให้เด็กหนุ่มเข้ามาดูใกล้ๆ มีแผ่นกระดาษเล็กๆติดอยู่กับปลายเข็มหมุดที่ปักอยู่บนลูกโลกจำลอง ความสูงจากพื้นผิวแค่พอนิ้วมือหนึ่งนิ้วจะสอดเข้าไปได้

“ขนาดมันไม่ใช่หรอก ถ้าย่อให้ได้สัดส่วนจริงคงจะมองเห็นลำบาก แต่ความสูงจากผิวโลกน่ะใช่”

“แค่นั้นเองเหรอ มันดูใกล้ไปมั้ย” วีร์ขยับไปด้านข้างพร้อมยกกล้องขั้นมาปรับเลนส์กล้องก่อนที่จะเก็บภาพ

“แค่นี้ก็ประมาณสี่ร้อยกิโลเมตรแล้ว” วีส์อธิบายเพิ่มเติม

“ดวงจันทร์อยู่ห่างโลกเท่าไหร่”

“สามแสนกว่าๆเกือบสี่แสนกิโลเมตร”

วีร์พยักหน้ารับแล้วก็ถามต่อ “แล้วถ้าเป็นดวงอาทิตย์ จะประมาณไหน”

“ก็นั่งรถออกไปจากนี่... น่าจะประมาณ... เกือบๆแปดกิโลเมตร”

วีส์เห็นเด็กหนุ่มยกกล้องขึ้นถ่ายภาพอีกสองสามภาพแล้วก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ จึงชวนไปยังส่วนถัดไปของนิทรรศการ แน่นอนว่าเมื่อมีดวงจันทร์ที่เคยมีมนุษย์ไปเหยียบถึงที่มาแล้ว ก็ต้องเรื่องของดาวอังคาร เป้าหมายถัดไปขององค์กรอวกาศในหลายๆประเทศ


[อ่านต่อด้านล่าง]

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
รอบห้องนิทรรศการส่วนนี้ล้อมไปด้วยภาพถ่ายภูมิประเทศจริงๆสามร้อยหกสิบองศาจากดาวอังคารที่ได้ทำเรื่องไปขออนุญาติเพื่อจัดแสดงเรียบร้อยแล้ว แล้วก็ยังแสดงโครงการสำรวจที่กำลังดำเนินการในปัจจุบัน รวมถึงแผนการในอนาคตอันใกล้

“คนจะไปอยู่ที่ดาวอังคารได้จริงเหรอ” วีร์ถ่ายภาพไปด้วย อ่านรายละเอียดที่จัดแสดงโดยคร่าวๆไปด้วย

“เขาก็อยากจะไปกันเยอะอะนะ บางคนก็ฝันว่าจะไปทำให้สิ่งมีชีวิตอยู่บนดาวอังคารโดยธรรมชาติได้”

“แล้วเป็นไปได้มั้ย” วีร์เดินดูรอบๆแบบจำลองยานสำรวจดาวอังคารที่วางอยู่กลางพื้นที่เพื่อหามุมถ่ายภาพ

“ก็.. จริงอยู่ที่ดาวอังคารถูกคาดดาการณ์ว่าอยู่ในเขตอาศัยได้ในระบบสุริยะ แต่ดาวอังคารไม่มีชั้นบรรยากาศห่อหุ้ม มันก็ยากที่จะมีสิ่งมีชีวิตอยู่ได้”

“แล้วทำให้ดาวอังคารมีชั้นบรรยากาศได้มั้ย” วีร์หันไปถามชายหนุ่มร่างสูง

“มันก็มีคนคิดวิธีการอยู่นะและน่าจะพอเป็นได้ แต่ที่สำคัญกว่าก็คือดาวอังคารไม่มีสนามแม่เหล็กเหมือนโลก หมายถึงตอนนี้นะ เมื่อก่อนอาจจะเคยมี  แต่ถ้าไม่มีสนามแม่เหล็กเป็นเกาะกำบัง ถึงจะไปช่วยสร้างชั้นบรรยากาศขึ้นมาได้ โดนพายุสุริยะพัดผ่านที่เดียวก็จอดเหมือนเดิมแล้ว”

“อ้าว มันไม่ได้มีสนามแม่เหล็กกันทุกดวงอยู่แล้วเหรอ”

“เปล่า ดาวพุธมีแต่อ่อนแล้วก็อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากเกินไป พฤหัส เสาร์ เนปจูน ยูเรนัส มีสนามแม่เหล็กแรงกว่าโลกอีกแต่ก็อยู่ไกลจากดวงอาทิตย์เกินไป ก็มีดาวศุกร์กับดาวอังคารที่ไม่มีสนามแม่เหล็ก” วีส์อธิบายให้ฟัง

“สงสัยที่เขาบอกกันว่าผู้หญิงมาจากดาวศุกร์แล้วผู้ชายมาจากดาวอังคาร ก็คงเพราะหนีตายกันมาละมั้ง” วีร์หัวเราะเบาๆขณะที่เดินต่อไปยังส่วนถัดไป

“เออเนอะ ทำไมกูไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน” วีส์เดินตามไปไม่ห่าง “ผู้หญิงผู้ชายเขามาเจอกันบนโลก แล้วเราสองคนมาจากดาวไหนกันดี”

“วาร์บมาจากดาวเวก้ามั้ง” วีร์หยุดหันกลับมาตอบก่อนที่จะหันกลับแล้วเดินต่อไป

“รู้จักดาวเวก้าด้วยเหรอ”

“เคยได้ยินในหนัง” วีร์มองดูรอบๆพื้นที่นิทรรศการส่วนนี้ที่แสดงถึงยานสำรวจอวกาศต่างๆที่กำลังเดินทางไกลออกไปนอกเขตระบบสุริยะ

“แล้วรู้รึเปล่าว่าดาวเวก้าเคยเป็นดาวขั้วโลกเหนือมาก่อน”

“ดาวมันเปลี่ยนที่เหรอ”

“แกนโลกต่างหากที่เปลี่ยนที่”

วีร์หันมามองชายหนุ่มรุ่นพี่อย่างสงสัย

“แกนโลกที่โลกหมุนรอบตัวเองที่เขาบอกว่าเอียงประมาณยี่สององศาครึ่งเนี่ย มันก็มีวงโคจรเหมือนกัน” วีส์อธิบายให้ฟังโดยชูนิ้วชี้ขึ้นแทนแกนโลก แล้วเอียงไปข้างหนึ่ง จากนั้นก็หมุนควงนิ้วไปโดยรอบสร้างรูปกรวยจำลองโดยมีโคนนิ้วชี้เป็นปลายแหลม ปลายนิ้วหมุนวนเป็นฐานวงกลม “หนึ่งวงรอบใช้เวลาประมาณสองหมื่นหกพันปี”

“ก็คือดาวเหนือที่เราเห็นอยู่ตอนนี้ ต่อไปมันจะไม่ใช่ดาวเหนืออีก”

“อันที่จริงต้องบอกว่า อีกสักประมาณแปดสิบถึงเก้าสิบปี ดาวโพลาริสถึงจะเข้าตำแหน่งดาวขั้วโลกเหนือจริงๆต่างหาก แล้วหลังจากนั้นมันก็จะเบี่ยงออกไปเรื่อยๆ อีกสองหมื่นกว่าปีก็กลับมาใหม่ อันนี้คือไม่นับปัจจัยว่าดาวทุกดวงมันก็เคลื่อนของมันเองด้วยนะ อีกสองหมื่นปีกว่าๆหลังจากนี้ แผนที่ดวงดาวก็คงมีเปลี่ยนไปบ้าง”

“อะไรๆมันก็ไม่แน่นอนอะนะ”

ทั้งสองคนเดินต่อไปยังห้องถัดไปที่ดูจะเป็นพื้นที่ด้านในสุดของนิทรรศการก่อนที่จะวกกลับวนไปด้านหน้า วีร์มองดูแบบจำลองลูกโลกที่มีขนาดเล็กกว่าลูกโลกด้านหน้านิทรรศการมาก รวมถึงดวงจันทร์ด้วยเช่นกันที่มีขนาดและระยะเทียบสัดส่วนจริง ห่างออกไปมียานรูปร่างเหมือนเรือที่ติดจานดาวเทียม มีรูปและคำบรรยายอยู่รอบๆว่า James Webb Space Telescope

“อันนี้คืออะไร” วีร์ถามพร้อมกับยกกล้องขึ้นมาถ่ายภาพเก็บไว้

“กล้องโทรทัศน์อวกาศเจมส์เวบบ์”

“แล้วโลกกับดวงจันทร์มันมาเกี่ยวอะไรด้วย”

“ก็เอามาจำลองให้เห็นว่ากล้องตัวนี้มันอยู่ห่างจากโลกมากแค่ไหน จริงๆอยากจะใช้ร่วมกับอันด้านหน้าเลยแต่เนื้อที่ไม่พอ”

วีร์ขมวดคิ้วสงสัยว่าถ้าย่อขนาดโลกและดวงจันทร์ลงมาเหลือเท่าที่แสดงอยู่ด้านหน้าของนิทรรศการ แล้วยังไม่พอที่จะแสดงตำแหน่งของกล้องโทรทัศน์อวกาศนี้อีกเหรอ

“แล้วถ้ายึดตามขนาดแบบจำลองข้างหน้า กล้องตัวนี้จะไปอยู่ที่ไหน”

“ก็ห้องนี้มันยาวประมาณสี่สิบเมตร ถ้ายึดจากตำแหน่งโลกด้านหน้าก็ต้องมีอีกห้องนึงต่อไปอีก แล้วกล้องตัวนี้จะอยู่สุดริมฝาของห้องนั้น” วีส์อธิบายให้ฟัง

วีร์พยายามเขย่งเท้ายืดตัวขึ้นมองข้ามขอบผนังที่แบ่งส่วนนิทรรศการขึ้นมองดู ก็พอจะเห็นดวงจันทร์จำลองที่อยู่ไกลออกไปกับขอบลูกโลกด้านหน้า แล้วหันไปเล็งระยะว่าถ้ามีอีกห้องถัดไปแล้วมีกล้องโทรทัศน์อวกาศจำลองอันนี้แสดงอยู่

“ทำไมถึงส่งไปไกลขนาดนั้นอะ”

“มันเป็นกล้องตรวจจับรังสีอินฟาเรด ก็เลยเอาไปอยู่ตำแหน่งที่ห่างจากอิทธิพลความร้อนของโลกและดวงจันทร์จะได้จับสัญญาณได้ดีขึ้น เนี่ยมันมีแผงกันความร้อนบังไว้ด้วยจะได้ไม่โดนแสงจากดวงอาทิตย์ ทำให้กล้องอยู่ที่อุณหภูมิลบลงไปถึงประมาณสองร้อยกว่าๆองศาเซลเซียส มีประสิทธิภาพในการตรวจจับภาพดีพเสปซได้ดีขึ้น เราจึงมองลึกเข้าไปในห้วงอวกาศ ย้อนไปในอดีตได้ไกลขึ้น ดีกว่ากล้องฮับเบิ้ลเยอะ”

“แล้วกล้องฮับเบิ้ลอยู่ประมาณไหน” วีร์ถามต่อเนื่อง

“กล้องฮับเบิ้ลอยู่สูงจากผิวโลกประมาณห้าร้อยกิโลเมตร”

วีร์ขมวดคิ้วนึกภาพตามคำอธิบายจากชายหนุ่มรุ่นพี่ถึงตำแหน่งดวงดาวและตำแหน่งของกล้องแต่ละตัว

“แต่มันจำเป็นต้องไปอยู่ไกลขนาดนั้นเลยเหรอ แค่บังความร้อนจากโลกกับดวงจันทร์ ก็ไม่น่าจะต้องส่งไปไกลขนาดนั้นเลยมั้ง”

“จุดที่กล้องเจมส์เวบบ์ไปอยู่เนี่ย เขาเรียกว่า L2 ของดวงอาทิตย์และโลก” วีส์ถือวิสาสะจับข้อมือของวีร์แล้วลากไปที่คำอธิบายที่อยู่บนบอร์ดคัตเอ้าต์ เป็นรูปวัตถุทรงกลมขนาดใหญ่หนึ่งอันและขนาดเล็กอีกหนึ่งอัน รอบๆวัตถุทั้งสองมีเส้นวาดโดยรอบคล้ายกับเส้นแสดงระดับความสูงในแผนที่ทางภูมิศาสตร์

“ลากรานจ์พอยต์ ศึกษาและพัฒนาโดยโจแซฟ หลุยส์ ลากร็องจ์ หรือชื่อเดิมคือจูเซปเป โลโดวีโค ลากรันจา เขาอธิบายความสัมพันธ์ของวัตถุที่มีมวลขนาดใหญ่สองอัน มีแรงโน้มถ่วงที่มีปฏิสัมพันธ์กันและมีอิทธิพลต่อวัตถุอื่นๆ ในกรณีนี้คือดวงอาทิตย์และโลก ดวงอาทิตย์ก็รู้อยู่แล้วมีว่าทั้งดาวเคราะห์ ดาวหาง อุกกาบาตทั้งหลายแหล่มาโคจรรอบๆอยู่ จริงๆก็คือต่างก็ตกลงไปตามแรงโน้มถ่วงของดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์แต่ละดวงก็มีแรงดึงดูดของตัวเองด้วยเช่นกันมากน้อยแตกต่างกันไป อย่างโลกก็มีดวงจันทร์ที่ติดอยู่ในวงโคจร”

วีส์อธิบายโดยใช้แผนภาพประกอบโดยที่ยังไม่ปล่อยข้อมือของเด็กหนุ่ม จนเจ้าตัวยกแขนข้างนั้นขึ้นมาให้อีกฝ่ายเห็นชัดๆว่าควรจะปล่อยได้แล้ว วีส์จึงยอมปล่อยแต่โดยดี

“เปรียบเทียบอวกาศเหมือนผืนผ้าใบ หลุมยุบลงไปใต้ดวงอาทิตย์กับโลกแสดงถึงแรงโน้มถ่วง ดวงอาทิตย์มีมวลมากกว่าก็หลุมลึกกว่า แล้วทีนี้มันจะมีจุดที่อิทธิพลของแรงดึงดูดของดวงอาทิตย์และโลกพอดีกันอยู่ห้าตำแหน่ง วัตถุอื่นๆที่ตกลงอยู่ในจุดพวกนี้จะไม่โดนอิทธิพลจากดาวทั้งสองมากไปกว่ากัน มันจะไม่ตกไปหาดวงอาทิตย์หรือว่าโลก สามารถรักษาการโคจรในอวกาศได้ เขาก็เลยใช้ประโยชน์จากตรงนี้ส่งดาวเทียมสำรวจไปประจำอยู่บริเวณพวกนั้น”

“แล้วเขาไปรู้ได้ยังไงว่ามันมีจุดพวกนี้อยู่”

“เขาก็สังเกตเห็นว่ามันมีพวกกลุ่มเศษดาวเป็นกลุ่มใหญ่เลย มีลอยนำหน้าและตามหลังวงโคจรของดาวพฤหัส เขาก็สงสัยว่าทำไมมันลอยเกาะกลุ่มอยู่อย่างนั้นได้ ไม่หลุดออกไปไหน” วีส์หยุดอธิบายเมื่อหันไปเห็นคิ้วที่ขมวดกันของวีร์พอดี “คืออย่างนี้ ลากรานจ์พอยต์ทั้งห้าจุด L4 และ L5 มีความเสถียรมากที่สุด ดาวเทียมสำรวจที่ส่งไปที่ L1 กับ L2 ยังต้องคอยส่งสัญญาณสื่อสารเพื่อปรับตำแหน่งอยู่บ้าง เพราะมันมีโอกาสหลุดออกจากตำแหน่งได้”

“เคยมีส่งดาวเทียมไปก่อนหน้านี้ด้วยเหรอ”

“ใช่ ทั้งที่ L1 L2 L4 และ L5 ของระบบดวงอาทิตย์กับโลกมีส่งไปทั้งหมดแล้ว ส่วน L3 เป็นจุดที่เสถียรน้อยที่สุด แถมเวลามองจากโลกก็คืออยู่หลังดวงอาทิตย์ไปอีกฟากนึง มันติดต่อสื่อสารลำบาก”

วีร์ก็พยักหน้ารับรู้

“วกกลับมาที่ดาวพฤหัส ที่ L4 ของระบบดวงอาทิตย์กับดาวพฤหัสจะนำหน้าอยู่ในแนววงโคจรของดาวพฤหัส ส่วน L5 จะตามหลังมา ทั้งสองจุดนี้มีกลุ่มก้อนหิน เศษดาว ติดอยู่มากมายโคจรไปรอบๆดวงอาทิตย์ไปพร้อมกับดาวพฤหัส อย่างๆที่รู้ๆกันอยู่ว่าดาวพฤหัสคือดาวเคราะห์พี่ใหญ่สุดของบริวารดวงอาทิตย์ เอาดาวเคราะห์ดวงอื่นๆในระบบสุริยะมาปั้นรวมกันก็ยังสู้มวลของดาวพฤหัสไม่ได้ ใหญ่พอจะเหวี่ยงดวงอาทิตย์ให้ออกจากจุดศูนย์กลางมวลได้ มันจึงมีแรงดึงดูดพวกกลุ่มก้อนหินพวกนี้ไว้มาก”

วีร์พยักหน้าว่าเข้าใจ

“เขาก็เลยสงสัยและค้นคว้าจนหาข้อสรุปได้ว่า ที่กลุ่มก้อนหินพวกนี้มันลอยเข้ามาติดอยู่บริเวณนั้นก็เพราะแรงดึงดูดทั้งของดวงอาทิตย์และดาวพฤหัส อย่างที่บอกไปว่าอิทธิพลจากดวงอาทิตย์และดาวพฤหัสมันพอดีกันในจุดพวกนั้น พวกหินเศษดาวพวกนี้มันก็เลยลอยกันอยู่ไปแบบนั้นไม่ได้ออกไปไหน แล้วก็ได้คำอธิบายเพิ่มเติมต่อว่าเพราะปรากฏการณ์อันนี้ทำให้กลุ่มดาวเคราะห์ชั้นในอย่าง ดาวพุธ ดาวศุกร์ โลกและดาวอังคารปลอดภัยจากวัตถุพวกนั้นเพราะถูกดักเก็บเอาไว้ก่อนไม่ลอยเข้ามาพุ่งชน”

วีร์ยังคงตั้งใจฟังอย่างต่อเนื่อง

“มันก็ไม่ถึงกับเก็บไว้ได้หมดหรอก มันก็มีลูกเล็กๆหลุดลอดเข้ามาบ้าง แต่ก็ถือว่าดาวพฤหัสช่วยไว้ได้เยอะ เสมือนว่าดาวพฤหัสกางปีกซ้ายขวาคุ้มครองโอบอุ้มดาวเคราะห์ชั้นในไว้”

“ดูจะเป็นหน้าที่อันใหญ่หลวง” วีร์มองดูรอบๆอีกครั้งว่ามีมุมน่าสนใจในส่วนนี้ต้องเก็บภาพเพิ่มหรือไม่ ก่อนที่จะตัดสินใจเดินไปยังส่วนแสดงถัดไป

“อันนี้คือปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่มนุษย์เราคงไม่มีโอกาสจะได้เห็น”

“ทำไมอะ อยู่ไกลเกินจนดูไม่ได้รึยังไง”

“เปล่า ถ้ามันเกิดขึ้นตอนนี้เดี๋ยวนี้ละก็ ได้เห็นชัดๆเต็มสองตาเลย”

“แล้วทำไมถึงไม่มีโอกาสได้เห็น” วีร์ถามต่อด้วยความสงสัย ถ้ามันเห็นกันได้ชัดๆก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

“เผ่าพันธุ์มนุษย์คงหายสาบสูญไปนานแล้วก่อนเหตุการณ์พวกนี้จะเกิด” วีส์คิดว่าเขาอ่านความคิดของเด็กหนุ่มออกจึงอธิบายเพิ่มเติม ”เพราะมันน่าสนใจจึงเอามาแสดงด้วย อย่างดาวบีเทลจุส ดาวแดงเห็นชัดด้วยตาเปล่าแห่งหมู่ดาวนายพรานที่กำลังเข้าสู่วาระสุดท้ายเตรียมตัวระเบิดเป็นซุปเปอร์โนวา ถ้าเกิดว่ามันระเบิดตอนนี้ แม้ในยามกลางคืนก็จะสว่างไสวเหมือนมีดวงจันทร์อีกดวงนึง พูดแล้วก็อยากจะมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนั้น”

“เป็นตาแก่หง่ำเหงือกอายุเป็นพันๆอะนะ”

“เป็นแสนๆปีต่างหาก”

“โห...” วีร์ร้องอุทานออกมาเพราะไม่คิดว่ามันจะอีกนานขนาดนั้น

“แล้วก็นี่นะ...” วีส์เบี่ยงตัวออกให้เด็กหนุ่มรุ่นน้องได้เห็นเนื้อหาส่วนอื่นๆ “กาแล็กซี่ที่อยู่ใกล้เรามากที่สุด และกำลังเข้าใกล้เรามากขึ้นเรื่อยๆด้วยความเร็วประมาณสามร้อยกิโลเมตรต่อวินาที อีกประมาณห้าพันล้านปีเราปะหน้าเจอกัน ถึงตอนนั้นท้องฟ้ายามกลางคืนจะเต็มไปด้วยหมู่ดาวแบบแน่นๆ มีแต่ดาวเรียงติดกันเป็นพืดๆ”

“แล้วตอนนี้มันใหญ่ขนาดไหน” วีร์อ่านข้อมูลที่แสดงเรื่องกาแล็กซี่แอนโดรเมดา

“หมายถึงว่ามองไปบนท้องฟ้าในตอนนี้ใช่มั้ย” วีร์พยักหน้าตอบว่าใช่ “ถ้ามองด้วยตาเปล่าก็อาจจะเห็นเป็นกระจุกดาวสว่างๆ แต่นั้นเป็นแค่จุดศูนย์กลางของกาแล็กซี่ ถ้าเกิดว่าทั่วทั้งกาแล็กซี่มันสว่างมากพอให้เราเห็นได้ชัดๆ... ก็ประมาณ... ดวงจันทร์หกดวงเรียงติดกัน”

“ดวงจันทร์หกดวงเลยเหรอ” วีร์ถามย้ำให้แน่ใจ ชายหนุ่มรุ่นพี่ก็พยักหน้าตอบ “เดี๋ยวนะแอนโดรเมดานี่คือกาแล็กซี่ที่ใกล้เรามากที่สุดใช่มั้ย”

“ใช่” วีส์ตอบกลับอย่างทันที

“แล้วกาแล็กซี่มันก็มีดาวนับแสนนับล้านดวง” วีส์พยักหน้ารับอย่างเดิมพร้อมแก้ข้อมูลให้ด้วยว่าเป็นพันล้านดวง “แต่เราเห็นเป็นแค่กระจุกดาว”

“ก็เท่าที่แสงมันส่องมาให้ตาเปล่าเราเห็นอะนะ”

“แสดงว่าดาวทุกดวงที่เราเห็นบนท้องฟ้า นี่คือ อยู่ในกาแล็กซี่ของเราทั้งหมด”

“ใช่ ดาวทุกดวงที่เรามองเห็นบนท้องฟ้าอยู่ในกาแล็กซี่ทางช้างเผือกทั้งหมด แล้วก็ไม่ว่าจะเคยไปได้ยินข่าวค้นพบดาวดวงใหม่จะดวงใหญ่ขนาดวงโคจรดาวพลูโต หรือว่าดาวทั้งดวงเต็มไปด้วยเพชร คืออยู่ในทางช้างเผือกทั้งหมด”

วีร์พยายามประมวลผลจากข้อมูลที่ได้ยิน

“แล้วเราจะได้เห็นดาวจากกาแล็กซี่แอนโดรเมดาบ้างมั้ย”

“ถ้าตอนนี้ละก็ ไม่ กล้องโทรทัศน์ที่ดีที่สุดที่มนุษย์ผลิตขึ้นมาก็ยังมองไม่เห็นดาวเป็นดวงๆ มันยังอยู่ไกลเกินไป แต่ถ้าตอนที่มันชนกับกาแล็กซี่เราก็คงจะได้เห็น”

“ห๊า... มันจะชนกับกาแล็กซี่เราเลยเหรอ”

“ใช่ แล้วก็จะเกิดการรวมตัวเป็นกาแล็กซี่ใหม่ใหญ่กว่าเดิม”

“แล้วมันจะมีดาวชนกันวุ่นวายมั้ย”

“ก็อาจจะมีบ้าง... มั้ง แต่ถึงขนาดดาวมาชนกันตู้มตามจนแตกเป็นผุยผงไปทั่ว ละคงจะไม่”

วีร์หันไปมองชายหนุ่มผมสีเทาอย่างสงสัยที่พูดด้วยน้ำเสียงไม่ได้ดูตื่นตระหนกอะไร ถึงแม้ว่าอีกนานมากกว่าจะเกิด แต่การที่กาแล็กซี่ขนาดใหญ่เคลื่อนมาชนกันก็น่าเละพังไม่เป็นท่าไม่ใช่เหรอ

“อย่าลืมนะว่าพื้นที่ในอวกาศมันกว้างมาก ดาวแต่ละดวงไม่ได้อยู่ติดๆกัน ขนาดดาวที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์เรามากที่สุดก็ห่างออกไปประมาณสี่ปีแสงโน้น มีที่ว่างเหลืออีกเยอะแยะ เวลากาแล็กซี่ทั้งสองมาชนกันจริงๆ ดาวดวงต่างๆก็แค่ลอยผ่านไปมา ไม่ได้ชนปะทะประสานงากันหรอก แต่อาจจะมีโดนเหวี่ยงออกไปโน้นไปนี่บ้าง”

“แล้วถ้าดวงอาทิตย์โดนเหวี่ยงหลุดออกมา แล้วโลกจะเป็นอะไรมั้ย”

“ถ้าดวงอาทิตย์โดนเหวี่ยงออกไปไม่ว่าจะไปไหน มันก็จะหอบเอาดาวเคราะห์ไปด้วยกันทั้งหมดนั่นแหละ ก็เหมือนกับนั่งรถที่กำลังเหยียบคันเร่งมิดติดพื้นและปิดหน้าต่างหมดแล้วก็โยนลูกบอลไปด้วย ก็ยังโยนได้ปกติดี ไม่ใช่ว่าโยนขึ้นแล้วลูกบอลจะปลิวหายไปไหน แล้วถ้าตอนนั้นยังมีเผ่าพันธุ์มนุษย์เหลืออยู่นะ ซึ่งเป็นไปได้ยาก คนในตอนนั้นคงจะไม่ได้รู้สึกอะไรหรอก อยู่ปกติเหมือนเดิม มีแค่ท้องฟ้ากลางคืนที่เปลี่ยนแปลงไปเท่านั้น”

“อ้าวเหรอ พูดเหมือนเป็นเหตุการณ์ใหญ่ แต่ก็ดูเหมือนไม่มีอะไรเลย”

“เหตุการณ์มันใหญ่มาก แต่ว่าโลกมนุษย์มันเล็กมากๆเมื่อเทียบกับภาพรวมทั้งหมด” วีส์ขยี้ปลายนิ้วชี้และนิ้วโป้งแสดงเปรียบให้เห็นว่าโลกมนุษย์ก็ไม่ต่างอะไรไปจากฝุ่นผงเมื่อเทียบกับความยิ่งใหญ่ของเอกภพ

วีร์ก็พยักหน้ารับรู้แล้วก็หันไปมองรอบๆว่ามีอะไรน่าสนใจให้ถ่ายรูปเก็บไว้อีกบ้าง ก็หันไปเจอกับเนื้อหาของเรื่องที่แสดงถัดไปว่า สุริยคราสครั้งสุดท้าย

“เพราะว่าดวงจันทร์เคลื่อนตัวออกห่างโลกของไปทุกขณะ ดังนั้นเมื่อมองจากบนโลกกจะเห็นว่าขนาดของดวงจันทร์เล็กลงจนไม่สามาถบังดวงอาทิตย์ได้มิดอีกต่อไป แต่ก็นั้นแหละกว่าจะถึงตอนนั้นเผ่าพันธุ์มนุษย์คงจากโลกไปล่วงหน้านานแล้ว”

“แล้วอะไรทำให้ดวงจันทร์ออกห่างจากโลกไป”

“ไปมีคนใหม่มั้ง”

วีร์ที่กำลังรู้สึกมีใจอยากรู้อยากเห็นแต่โดนเล่นมุกตลกกลับมา ก็คิดว่าไม่น่าจะถามเลย

“กูล้อเล่น” วีส์อดขำกับสีหน้าของเด็กหนุ่มไม่ได้ “อะๆ การมีอยู่ของดวงจันทร์ทำให้เกิดแรงดึงน้ำในมหาสมุทรให้โป่งออกเกิดเป็นน้ำขึ้นน้ำลง ดวงอาทิตย์เองก็มีผลในเรื่องน้ำกับโลกเหมือนกัน แล้วตัวโลกเองก็มีแรงหมุนอยู่ ต่างฝ่ายต่างก็กระทำกลับไปกลับมา ดังนั้นโลกจึงถูกหน่วงให้หมุนช้าลง ทำให้มีแรงดึงดวงจันทร์ไว้กับโลกน้อยลง ดวงจันทร์ก็เลยขยับออกห่างไปเรื่อยๆ”

“สุดท้ายแล้วต่างฝ่ายก็แยกย้ายกันไปใช่มั้ย”

“ไม่ต้องห่วง กว่าจะถึงตอนนั้น ดวงอาทิตย์คงจะเผาผลาญไฮโดรเจนจนตัวขยายใหญ่ขึ้นมาถึงโลกก่อนที่ดวงจันทร์จะปลิวเสียอีกมั้ง”

“มนุษย์ก็คงหายสาบสูญไปหมดก่อนหน้านั้นนานแล้วใช่มั้ย”

“ถูกต้อง”

“แล้วมันไม่มีอะไรให้ดูช่วงใกล้ๆนี่เลยเหรอ”

“ก็ดูราหูอมจันทร์ ดูดาวหาง ฝนดาวตกไปก่อน แล้วก็คอยลุ้นว่าจะมีอุกกาบาตมาพุ่งชนโลกเมื่อไหร่”

“ก็ไหนว่าดางพฤหัสกางปีกช่วยไว้แล้วไง” วีร์โต้แย้งว่าไม่เหมือนที่อีกฝ่ายบรรยายไว้ก่อนหน้านี้

“มันก็มีหลุดลอดไปบ้าง แต่ก็ช่วยดักไว้ให้เยอะแล้วไง” วีส์กางแขนออกทั้งสองข้างไปด้วยพยายามโอบให้กว้างที่สุดที่เขาจะทำได้ แต่เด็กหนุ่มก็แค่ปรายตามองแล้วก็เดินออกจากพื้นที่ในวงแขนไปยังนิทรรศการส่วนต่อไป

“ตรงนี้คือข้อมูลคร่าวๆของโครงการจัดตั้งภาควิชาอวกาศศึกษาในอนาคตของมหาวิทยาลัยเรา มีทั้งจัดหลักสูตรรับนักศึกษาเข้ามาเรียน จัดตั้งทีมวิจัยข้อมูลอวกาศ ต่อไปก็อาจจะกลายเป็นสถาบันอวกาศศึกษาไว้เตรียมบุคคลการพร้อมสำหรับใช้งาน” วีส์อธิบายข้อมูลส่วนสุดท้ายของนิทรรศการ

“จะเอาไปทำอะไร ใช่ว่าบ้านเราจะรวยขนาดปล่อยยานอวกาศได้เองสักหน่อย”

“เงินของเรามีไม่พร้อม แต่คนเรามีพร้อมได้นี่นา แล้วก็ใช่ว่าการศึกษาอวกาศคือการส่งคนออกไปในอวกาศเท่านั้น อยู่บนโลกเฉยๆไม่ต้องออกไปเองก็ศึกษาค้นคว้าได้”

“ก็ไม่แน่ เห็นเขาอยากกจะออกไปล่าอาณานิคนต่างดาวกัน เพราะอยู่บนโลกทำไม่ได้แล้ว อุดมการณ์มันค้ำคออยู่”

“ถึงตอนนั้นเราก็มีคนพร้อม ค่อยไปหารส่วนแบ่งกันทีหลัง ยิ่งเรามีคนที่ศักยภาพมากเท่าไหร่ก็ยิ่งได้ส่วนแบ่งมากขึ้นไม่ใช่รึไง”

“ไม่รู้สิ” วีร์ตอบสั้นๆแล้วก็เดินออกไปส่วนสุดท้ายก่อนถึงทางออกจากนิทรรศการ

ก้าวออกมาเพียงไม่กี่ก้าว วีร์ก็หยุดเดินแล้วยกกล้องขึ้นถ่ายภาพเก็บไว้ก่อน ส่วนนี้ไม่ได้มีอะไรที่ดูจะเกี่ยวข้องกับนิทรรศการ เหมือนกันตกแต่งสวยงามไว้เฉยๆ ทั้งสองข้างเต็มไปด้วยต้นทานตะวันรวมถึงภาพพื้นหลังก็เป็นรูปต้นทานตะวันจำนวนมากจัดวางไว้ให้เป็นเหมือนทุ่งดอกทานตะวัน

ตรงสุดทางมีฉากกั้นที่บังทางออกไว้ บนฉากเป็นรูปดวงอาทิตย์ส่องสว่างไปด้วยแสงที่ส้ม มีตัวอักษรชื่อนิทรรศการประดับไว้ด้านบน คงจะให้เป็นจุดถ่ายรูปเช็คอินก่อนออกไปจากนิทรรศการ

“ดอกทานตะวันมันมาเกี่ยวอะไรด้วย” วีร์หันไปถามชายหนุ่มผมสีเทา

“เอ้า ทำไมจะไม่เกี่ยว มึงลองดูสิว่ามันมีอะไรผิดปกติมั้ย”

วีร์หันกลับไปมองโดยรอบอีกครั้ง ก็ไม่สังเกตเห็นว่าจะมีไรผิดแปลกไป ดวงอาทิตย์ลอยอยู่กลางฉากที่สุดปลายทาง ทุ่งดอกทานตะวันทั้งที่เป็นภาพและที่เป็นดอกไม้ปลอมกำลังหันหน้ามาหาพวกเขา ภาพท้องฟ้าสีฟ้าแต่ไล่เฉดสีส้มเมื่อเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากขึ้น วีร์พยายามสังเกตว่ามีอะไรอีกแม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่ทำให้นึกออกอยู่ดี จึงหันหน้ากลับไปถามคนตั้งประเด็น

“มึงคิดว่าตอนนี้เป็นเวลาประมาณไหน” วีส์พยายามบอกคำใบ้

วีร์หันไปกลับมองดูรอบๆอีกครั้ง

“เย็นมั้ง แสงสีส้มขนาดนี้”

“ใช่ เวลาเย็น ดวงอาทิตย์กำลังตกดิน”

“แล้วยังไงอะ” วีร์ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าจะมีอะไรผิดปกติตรงไหน

“ก็เขาบอกกันไม่ใช่เหรอว่า ดอกทานตะวันขึ้นชื่อว่าจะคอยมองตามดวงอาทิตย์”

วีร์หันกลับไปมองอีกครั้ง และเขาเพิ่งจะคิดออกว่าดอกทานตะวันทั้งหมดไม่ได้หันไปทางดวงอาทิตย์ที่กำลังตกดินเลย

“จริงๆแล้ว ที่คอยหันไปหาดวงอาทิตย์น่ะ ไม่ใช่ดอกแต่เป็นใบต่างหาก” วีส์อธิบายให้ฟัง “ไม่ว่าจะเป็นใบที่ลำต้น หรือว่าใบที่ฐานรองดอก มันจะคอยหันไปรับแสงให้ได้มากที่สุด ที่เห็นว่าดอกมันหันตามดวงอาทิตย์ก็เพราะใบประกอบที่ฐานดอกมันขยับ ดอกก็หมุนตามตั้งแต่เช้าจนเย็น แล้วพอเวลาผ่านไปครึ่งคืน แหล่งพลังงานมันหมุนมาอีกด้าน มันก็หันไปรอรับแสงยามเช้า เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ”

วีร์ฟังแล้วพยายามทำความเข้าใจ แต่ก็ยังสงสัยว่าทำไมถึงจัดแสดงทุ่งดอกทานตะวันแบบนี้

“ประโยชน์อีกอย่างของการหันดอกทานตะวันเข้าหาดวงอาทิตย์ก็เพราะว่าต้นทานตะวันจะเติบโตได้ดีกว่าถ้าไม่โดนแสง การหันดอกไปรับแสงก็เท่ากับเป็นการบังแสงให้กับลำต้นไปด้วย ดังนั้นต้นทานตะวันจะเติบโตตอนกลางคืนดีกว่ากลางวัน”

วีร์ยังคงไม่เข้าใจว่าเรื่องทั้งหมดนี้มันเกี่ยวข้องกันยังไง

“วัฏจักรนี้มันก็วนซ้ำๆอยู่ทุกวัน ต้นทานตะวันที่เติบโตก็จะสร้างเนื้อเยื้อที่แข็งขึ้นจากโคนต้นไล่ขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงวันหนึ่งที่ต้นทานตะวันเติบโตเต็มที่ ลำต้นทานตะวันก็จะแข็งไปถึงโคนดอก แล้วดอกทานตะวันก็จะไม่ขยับตัวไปไหนอีก”

วีร์มองดูทุ่งดอกดอกทานตะวันโดยรอบอีกครั้ง

ดอกทานตะวันที่เติบโตเต็มที่แล้ว มันไม่จำเป็นต้องมองตามดวงอาทิตย์อีกต่อไป

วีส์ได้พูดในสิ่งที่ตัวเองคิดวางแผนไว้แล้ว และรอดูปฏิกิริยาจากเด็กหนุ่มว่าจะเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการจะบอกหรือไม่ แต่วีร์ก็ไม่ได้แสดงท่าทางอะไรออกมาชัดเจนนอกจากรอยยิ้มมุมปากพร้อมกับถอยหายใจเบาๆ

“ทำไมเหรอ หรือว่าความหมายไม่ดี” วีส์รู้สึกใจเสียขึ้นมาเล็กน้อยที่อีกฝ่ายมีอาการผิดไปจากที่เขาคิดฝันไว้

“เปล่า” วีร์ตอบสั้นๆ

“แน่นะ” วีส์ถามอีกครั้ง

วีร์ถอนหายใจอีกครั้ง

“เคยมีคนให้ดอกทานตะวันดอกใหญ่มา แบบว่าดอกใหญ่มาก แล้วก็บอกว่าเขาจะคอยเป็นคนที่อยู่ในสายตาเหมือนกับที่ดอกทานตะวันคอยหันมองตามดวงอาทิตย์ แต่พอฟังพี่พูดแบบนี้แล้ว...”

“ก็ไม่ได้หมายความว่าดวงอาทิตย์มันหายไปไหนนิ แค่ดอกทานตะวันยืนหยัดได้ด้วยตัวเองแล้ว แต่ดวงอาทิตย์ก็ยังมองคอยมองดูจากบนฟ้าอยู่เหมือนเดิม”

วีร์ฟังแล้วก็ยิ้มแบบเข้าใจแล้วก็หันไปมองดูดวงอาทิตย์สีส้มที่กำลังจะล่วงลับขอบฟ้า มองอยู่นานและไม่ได้พูดอะไรออกมา

“ถ้าสำหรับมึงเขาคือดวงอาทิตย์ งั้น... กูจะเป็นดาวพฤหัสของมึงให้เอง

วีร์หันไปมองหน้าชายหนุ่มร่างสูง ดูท่าทาง ดูแววตา พยายามอ่านเข้าไปภายในใจถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ ถึงแม้ว่าฝ่ายชายหนุ่มรุ่นพี่จะประกาศตัวชัดเจนตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน แต่ครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งแรกที่วีร์รู้สึกได้จริงๆ

“เอ่อ... นิทรรศการมีแค่นี้ใช่มั้ย”

“ใช่” วีส์ตอบกลับแบบงงๆ

วีร์พยักหน้าแล้วก็เดินผ่านฉากกั้นออกไป วีส์ก็เดินตามไปติดๆเช่นกัน

“เดี๋ยวผมดึงไฟล์ออกมาก่อนแล้วค่อยเอามาให้ก็แล้วกันนะครับ” วีร์บอกพร้อมกับยกกล้องขึ้นให้เห็นว่ากำลังพูดถึงรูปถ่าย

“อ๋อๆ ได้ แล้ว... เดี๋ยวจะกลับยังไง”

เหมือนฟ้าไม่รู้เห็นเป็นใจ จากสถานการณ์กำลังจะมีแนวโน้มไปในทางที่ดีอยู่แล้วถ้าไม่มีอะไรเกิดแทรกขึ้นมาเสียก่อน

“นุ้ย เสร็จยัง” เสียงทุ้มๆดังขึ้นมาทันทีที่ทั้งคู่เดินออกมาด้านหน้าตัวอาคาร

“เสร็จพอดีเลย” วีร์เดินเข้าไปหาชายหนุ่มร่างสูงหน้าคมผิวเข้ม พร้อมกับเก็บกล้องใส่ลงในกระเป๋า

“งั้นเดี๋ยวพี่ไปส่งที่บ้าน”

“อ๋อ ครับ” วีร์ตอบรับแล้วก็เดินไปกับชายหนุ่มคนนั้น

ส่วนวีส์ที่ทำได้แค่มองดูชายหนุ่มผิวเข้มคนเดิมที่เคยมารับเด็กหนุ่มในดวงใจของเขา เดินโอบไหล่เด็กน้อยของเขาจากไปอีกครั้ง ภายในใจก็คิดว่าหรือนี่จะยังไม่ใช่โอกาสของเขา ทั้งๆที่ทุกอย่างดูจะลงก็ตัวหมดแล้วแท้ๆ และถ้าเขาไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองไปมากนัก เขาเหมือนจะรู้สึกได้ว่าเกราะกำแพงที่ห่อหุ้มหัวใจอยู่นั้นเริ่มมีรอบแตกร้าวบ้างแล้ว

ขณะที่กำลังตัดสินใจว่าจะไปต่อหรือพอแค่นี้ วีร์ก็หันหน้ากลับมามองเขาที่ยังยืนอยู่ที่เดิมอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหันกลับไป

หรือว่าใช่แล้ววะ

ความฝันฟรุ้งฟริ้งเกิดขึ้นภายในใจ เหมือนแสงสีทองส่องผ่านเมฆพายุฝนลงมายังพื้นดิน เห็นโอกาสเปิดมารำไรแล้ว ถ้าหากไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรหยดแหมะลงที่บ่าข้างหนึ่งของเขาเสียก่อน ถึงไม่ต้องหันไปดูแค่กลิ่นก็บอกได้ชัดเจนดีว่าเป็นอะไร วีส์จึงได้เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นตัวการต้นเรื่องกำลังเกาะอยู่บนคานเหล็กใต้หลังคา จะเอามือปิดทิ้งก็จะเปื้อนมือเพิ่มเสียอีก จึงได้แต่ก้มหน้าลงมองพื้นแล้วก็พบซากอารยธรรมโบราณวางเรียงรายอยู่หลายกอง

อย่างแรกที่คิดได้คือ ต้องทำความสะอาดพื้นก่อนวันเปิดนิทรรศการ อย่างที่สองคือ ก็พอจะรู้ตัวว่ามายืนผิดที่เอง แต่สายตาที่มองกลับมาก่อนหน้านี้บอกเขาว่า โอกาสยังมี ห้ามถอดใจ

“เอาวะ สู้ต่อ”

แต่ตอนนี้ต้องไปล้างเสื้อก่อนจะดีกว่า


*****


#VVGo4Launch

[โปรดติดตามตอนต่อไป]

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ตอนที่ 5 เราลองมาแข่งกันดูสักที


งานนิทรรศการประสบความสำเร็จด้วยดีนับตั้งแต่วันแรกที่เปิดงาน มีคนใหญ่คนโตมาร่วมงานหลายคน และมีผู้สนใจจำมากมาเข้าชมในวันอื่นๆเช่นกัน โดยเฉพาะเด็กนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาที่สนใจด้านอวกาศ และอยากจะหาข้อมูลการศึกษาทางด้านนี้รวมถึงหลักสูตรที่มหาวิทยาลัยจะเปิดสอนในอนาคต

วีส์วิ่งวุ่นอยู่กับการจัดงานนิทรรศการที่ต้องต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองในวันแรก รวมถึงอยู่ให้คำแนะนำแก่น้องๆที่สนใจในวันอื่นๆผลัดเปลี่ยนกับเพื่อนๆร่วมคณะตามแต่ว่าใครมีเวลาว่างช่วงไหน จนไม่มีเวลาได้ไปติดตามคู่แข่งคนสำคัญที่ปรากฎตัวให้เห็นอยู่หลายครั้ง

“นี่เดี๋ยวมึงจะไปที่นิทรรศการเลยมั้ย” กฤษณะถามเพื่อนของเขาหลังจากที่กินข้าวเสร็จและเอาจานชามไปเก็บเข้าที่เรียบร้อยแล้ว

“อาจจะไปมั้ง ยังไงซะวันนี้งดคลาสอาจารย์เกื้ออยู่แล้ว” วีส์ตอบกลับเพื่อน

“แกไปไหนวะ” พุทธชาติถามในขณะที่พากันเดินออกไปจากโรงอาหารใกล้คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อไปหาที่นั่งว่าง

“เห็นว่ารอบนี้ไปอินเดีย หาทุนให้พวกเด็กรุ่นปีหน้า”

“มหา’ลัยเอาจริงแล้วใช่มั้ยว่าจะเปิดภาควิชาใหม่” พุทธชาติถามต่อ

“คิดว่านะ อาจจะอีกสักสองสามปีพอให้มีคนพร้อมก่อน ตอนนั้นกูคงกลับมาจากจีนพอดี” วีส์นั่งลงที่โต๊ะม้าหินบริเวณใต้ตึกคณะ

“มึงจะกลับมาเป็นอาจารย์สอนรึไง” พุทธชาติยังคงถามต่อเนื่อง

“ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะอยู่แค่ทีมวิจัยเฉยๆมั้ง” วีส์เองก็ยังไม่แน่ใจว่างานด้านอวกาศในอนาคตของประเทศไทยจะเป็นอย่างไร

“แต่กูว่านะ เดี๋ยวเขาจะเสนอทุนให้มึงไปเรียนต่อป.โท แล้วอาจจะให้กลับมาทำวิจัยแต่ต้องสอนด้วยนะ อะไรประมาณนั้น” กฤษณะเสนอความเห็นของเขา

“กูก็ไม่ติดอะไรนะ กูยังคิดอยู่เลยว่าเอกฟิสิกส์จบไปจะหางานอะไรทำในเมืองไทย ใช่มั้ยครับคุณกฤษณะ”

“ครับคุณวีส์ ไม่รู้กูจะตามมึงมาเรียนเอกฟิสิกส์ทำไม”

“รู้ตัวตอนนี้ก็ช้าไปแล้วเพื่อน” พุทธชาติก็ไม่อยากจะซ้ำเติมเพราะแม้ตัวเองก็สมัครตามเพื่อนเข้ามา เพียงแต่ว่าเลือกเรียนสาขาอื่น

วีส์และเพื่อนๆมองตาก็เข้าใจสถานการณ์ของแต่ละคนกัน ถึงจบไปแล้วหาโอกาสทางอาชีพในประเทศไม่ได้ ก็ไม่ใช่ว่าจะออกไปหาที่อื่นไม่ได้

“เออ แล้วสรุปว่าเรื่องน้องเขา ไปถึงไหนแล้ววะ” พุทธชาติเปลี่ยนเรื่องที่พูดคุย และอยากรู้อยากเห็นเป็นการส่วนตัวด้วย

วีส์ถอนหายใจเสียงดังก่อนที่จะตอบ

“ไม่รู้เว้ย ยังไม่ได้ข่าวสักทางว่ามันเป็นใครมาจากไหน” พูดเสร็จแล้ววีส์ก็ถอนหายใจอีกครั้ง

“แล้วถ้าเกิดว่า หมอนั่นน่ะแฟนน้องเขาจริงๆ มึงจะเอาไง ได้ข่าวว่าน้องเขาก็ชอบแนวๆนี้อยู่ สูง ยาว เข้ม” กฤษณะถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง เพราะไม่ได้ต้องจะแหย่ความรู้สึกเพื่อนของเขาเล่นๆ

“แหม เพื่อนเราก็ใช่ย่อยนะเว้ย สูงจริง ยาวจริง แค่เข้มไม่จริงๆเท่านั้นเอง” พุทธชาติดึงแขนเสื้อของวีส์ขึ้นเผยให้เห็นความต่างของสีผิวภายใต้ร่มผ้าที่อ่อนกว่าผิวที่โดดแดดเผาเพราะต้องฝึกซ้อมกีฬา

“ก็ถ้าเขาเป็นแฟนกันแล้วจริงๆ กูก็ยอมถอย กูไม่แย่งของใคร แต่ถ้ายัง... รอบนี้กูสู้สุดตัว” วีส์ตอบอย่างเด็ดขาดตามความคิดดั้งเดิมของเขา

“เพื่อนเราคนจริง” พุทธชาติก็พูดอย่างชมเชย

เสียงโทรศัพท์ของวีส์ก็ดังขึ้นมา ก่อนบทสนทนาบทต่อไปจะเริ่มต้นขึ้น

“ว่าไงจ๊ะ” วีส์ตอบรับโทรศัพท์ของเขา

พุทธชาติและกฤษณะก็รอฟังว่าใครโทรมาหาเพื่อนของเขาในเวลานี้และยังตอบกลับด้วยน้ำเสียงแบบนั้นไป

“งดคลาสไม่ใช่เหรอ รองกอบเกื้อไม่อยู่นะ” วีส์ตอบกลับคนในสาย “อ้าว เหรอ โอเค เดี๋ยวขึ้นไป” วีส์ตอบกลับไปอีกสองสามคำก่อนที่จะตัดสัญญาณโทรศัพท์

“มีอะไรวะ” กฤษณะถาม

“เจ๊แนนโทรตามให้ไปเรียน เห็นว่ามีคนมาบรรยายแทน ให้โทรตามคนอื่นๆด้วย” วีส์เอ่ยถึงเพื่อนร่วมคณะที่อายุมากกว่าแต่สอบเข้ามาเรียนรุ่นเดียวกัน “มึงลงไลน์กลุ่มเลย”

“นี่คือต้องไปเรียนใช่มั้ย” กฤษณะหยิบประเป๋าของเขาตามวีส์ที่ลุกขึ้นยืนพร้อมเดินขึ้นตึกเรียน

“เออ ไอ้ปั๋ง พวกกูไปเรียนนะ”

“เชิญครับ” พุทธชาติผายมือเปิดทางให้เพื่อนทั้งสองไปทำหน้าที่ของตัวเอง ส่วนเขาที่เหลืออยู่คนเดียวก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นฆ่าเวลาก่อนจะถึงเวลาเรียนของเขาเอง


*****


ตอนที่วีส์และกฤษณะเดินไปถึงหน้าประตูห้องเรียน บรรยากาศในห้องเรียนมีนักศึกษาอยู่กันเยอะแล้ว มีทั้งคนที่นั่งฟังอยู่เฉยๆ และคนที่ตั้งใจจดบันทึกลงสมุด หมายความว่าการบรรยายวิชานี้ได้เริ่มขึ้นไปแล้ว ทั้งสองคนจึงเปิดประตูเบาๆและก้าวเดินเข้าไปอย่างเงียบๆ

กฤษณะเดินตรงไปที่นั่งด้านหน้าที่ยังว่างอยู่ เพราะที่นั่งแถวถัดๆไปนั้นถูกจับจองไปหมดแล้ว เมื่อนั่งเสร็จเรียบร้อยและเงยหน้าขึ้นมองกระดานหน้าห้องก็ชะงักค้าง ไม่ต่างอะไรกับวีส์ที่เดินมาได้ครึ่งทางจากประตูห้องกับที่นั่งแถวหน้า เมื่อเห็นว่าใครเป็นผู้บรรยายวิชานี้อยู่

ชายหนุ่มผิวเข้มร่างสูงที่เคยเห็นว่ามารับเด็กหนุ่มรุ่นน้องคณะเศรษฐศาสตร์อยู่หลายครั้งกำลังบรรยายอยู่หน้าห้องแต่ก็หยุดไว้ก่อนเมื่อเห็นว่ามีนักศึกษาใหม่เข้ามา

“มาแล้วก็เชิญนั่งครับ” เขาบอกด้วยน้ำเสียงทุ้มๆปกติไม่ได้มีท่าทีว่าจะตำหนิอะไร “เพื่อนใครยังมาไม่ครบบ้าง โทรตามตอนนี้ยังทันนะครับ ผมยังไม่ได้เริ่มเนื้อหาลึกๆเท่าไหร่”

“วีส์ๆ” เสียงกฤษณะเรียกเบาๆแต่หนักแน่น ให้เพื่อนของเขาที่ยังยืนนิ่งอยู่ให้มานั่งที่ เพราะถ้าเป็นเขาเองก็คงจะมีอาการไม่ต่างกัน คู่แข่งความรักที่ยังไม่รู่ว่าเป็นใครมาจากไหนกำลังเป็นผู้บรรยายวิชาเรียนของตัวเอง

วีส์เดินไปนั่งที่นั่งแต่ยังคงมองชายหนุ่มไม่วางตา ประเมินลักษณะของคู่แข่ง ตัวสูง หน้าคม ผิวเข้ม และเก่ง ตรงตามคุณลักษณะที่ต้องการของเด็กหนุ่มในดวงใจของเขาทั้งหมด สีหน้าของตัวเขายังคงแสดงออกเรียบเฉยแม้ภายในใจจะเริ่มตึงขึ้นมาบ้าง แต่ตอนนี้ยังไม่มีอะไรยืนยัน เขาจึงทำได้แค่รอดูสถานการณ์ไปก่อน

การบรรยายวิชาเรียนดำเนินไปอย่างปกติ ถือว่าผู้บรรยายได้อธิบายขยายความให้นักศึกษาได้เข้าใจโดยง่าย มีการซักถามให้ตอบเป็นระยะ ช่วงต้นคาบเรียนก็ให้ตอบโดยการอาสาของนักศึกษาเองบ้าง หรือชี้เป้าให้ตอบรายคนบ้าง เมื่อเนื้อหารายวิชาเริ่มซับซ้อนขึ้นก็เริ่มมีคนตอบได้น้อยลง หนึ่งในทางเลือกที่เหลืออยู่คือนักเรียนทุนที่นั่งอยู่แถวหน้าสุด

คำถามแรกๆก็เป็นปกติธรรมดา วีส์ตอบกลับได้อย่างฉะฉานไม่มีปัญหาอะไร คำถามต่อมาเริ่มซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ จากที่ชี้เป้าไปคนอื่นๆก่อนแล้วค่อยมาจบที่เขา จนเริ่มยิงคำถามเจาะมาที่เขาโดยตรงตั้งแต่แรก ในเมื่อกล้าถามเขามา เขาก็กล้าตอบกลับไป และเมื่อเขาตอบกลับไปได้ก็เริ่มจะโดนพลิกแพลงกลับมา จนวีส์เริ่มรู้สึกว่าเหมือนกำลังโดนลองภูมิ แม้จะมีคำชมที่ไม่ได้ดูเหมือนว่ากำลังถูกชมว่าสมกับเป็นนักเรียนทุนตอบกลับมาอยู่เรื่อยๆก็ตาม

แต่วีส์ก็สู้ไม่ถอย ให้รู้กันไปเลยว่าเขาก็แน่เหมือนกัน

“อืม วันนี้เอาแค่นี้มั้งครับ อาจารย์กอบเกื้อเขาฝากให้ผมมาช่วยไว้เท่านี้” ชายหนุ่มหน้าห้องเปิดดูเอกสารของเขาไปมาก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมามองนักศึกษาทั่วทั้งห้อง “ยังไงก็กลับไปทบทวนอีกรอบ แล้วเดี๋ยวครั้งหน้าอาจารย์กอบเกิ้อจะมาเข้าสอนตามปกตินะครับ วันนี้ขอบคุณทุกคนที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เชิญครับ”

นักศึกษาหลายคนก็ลุกจากที่นั่งแล้วทยอยพากันเดินออกจากห้องไป กฤษณะเองก็ลุกขึ้นยืนรอวีส์ที่กำลังเก็บสมุดหนังสือของเขาให้เสร็จ จะได้เดินออกไปพร้อมกัน

“คุณวีส์” เสียงเรียกดังจากผู้บรรยายที่ยังยืนอยู่หน้าห้อง จนหลายคนที่ยังอยู่ในห้องหันมามอง คนที่ไม่รู้เรื่องก็แค่มองชั่วครู่แล้วก็เดินออกไป คนที่มีชีวิตติดโลกสื่อสารออนไลน์ก็พอจะรับรู้มาบ้างก็หันไปกระซิบนินทากันเองเบาๆ

“เดี๋ยวอยู่คุยกับผมก่อนนะครับ” น้ำเสียงทุ้ม คำพูดสุภาพ ดูไม่ได้มีพิษมีภัยอะไร แต่ทำเอาหลายคนเสียววาบไปทั้งตัว

กฤษณะหันไปมองหน้าวีส์ว่าจะเอาอย่างไร ตัวเขาเองก็เดาไม่ออกว่าเรื่องที่จะพูดกันคือเรื่องอะไร เขาควรอยู่รอฟังด้วยหรือไม่ แต่วีส์ก็ส่งสัญญาณบอกเพื่อนของเขาว่าไม่เป็นไร กฤษณะมองกลับเพื่อถามย้ำอีกครั้ง แต่วีส์ก็พเยิดหน้าให้กฤษณะเดินออกไปก่อนได้เลย

จนเมื่อทุกคนลุกออกไปจนหมดห้องแล้ว วีส์ก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปหาชายหนุ่มที่กำลังยืนกอดอกและพิงก้นค้ำลงไปบนขอบโต๊ะ รอจะพูดคุยกับเขาอยู่

ทั้งสองคนต่างก็สังเกตท่าทางของอีกฝ่าย

“คุณเป็นนักเรียนทุนสินะ” ชายหนุ่มเริ่มพูดก่อน

“ครับ” วีส์ตอบสั้นๆ รอฟังเรื่องที่ชายหนุ่มต้องการจะคุยกับเขา

“จากที่ผมฟังคุณตอบคำถาม ถือว่าใช้ได้เลย ผมว่าเขาเลือกคนไม่ผิด” ชายหนุ่มยังคงกอดอกอยู่เหมือนเดิม แต่สีหน้าดูยิ้มแย้มมากกว่าเดิม

ส่วนวีส์ก็แค่ยิ้มและพยักหน้าเบาๆตอบกลับ

“คุณรู้อยู่แล้วใช่มั้ย...” ชายหนุ่มเว้นจังหวะพูด “ว่า...” เขาเว้นจังหวะอีกช่วงหนึ่งก่อนที่จะพูดต่อ “อาจารย์กอบเกื้อจะเกษียรอายุราชการเดือนนี้”

“ครับ” วีส์ตอบสั้นๆ ส่วนภายในใจคาดคิดไปล่วงหน้าแล้วว่าชายหนุ่มนั้นจะพูดถึงวีร์ แต่ก็ไม่ใช่

“อืม ก็... ผมจะเข้ามารับช่วงต่ออาจารย์เขาสอนวิชานี้ตั้งแต่เดือนหน้าเป็นต้นไป แล้วผมก็จะเป็นที่ปรึกษาคุณจนกว่าคุณจะเรียนจบแล้วไปรับทุนด้วย”

วีส์ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขากำลังคิดอยู่ว่าตอนนี้มันคือสถานการณ์อะไรกัน คู่แข่งของเขากำลังจะมาเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของเขาอย่างนั้นหรือ แล้วเวลาอีกสองปีที่เหลืออยู่ถ้าหากว่าสุดท้ายแล้วชายหนุ่มตรงหน้าเขาคบหาดูใจกับเด็กหนุ่มรุ่นน้องคณะเศรษฐศาสตร์ขึ้นมาจริงๆ มันจะดูกระอักกระอ่วนใจสำหรับเขาหรือไม่

“ไม่ต้องซีเรียส ผมน่ะ ง่ายๆ สบายๆ มีอะไรก็เขามาคุยกับผมได้ตลอดเวลา จะเรื่องเรียนหรือเรื่องส่วนตัวก็ได้”

เรื่องเรียนนี่ไม่เท่าไหร่ แต่เรื่องส่วนตัว...คือเรื่องอะไรวะ

“อ๋อ ครับ” วีส์ตอบกลับไปสั้นๆ

แล้วทั้งสองคนก็ต่างมองกันไปมาประเมินท่าที รอว่าใครจะทำอะไรต่อไป

“ก็ เอาเป็นว่า หวังว่าจะได้รับความร่วมมือที่ดีจากคุณก็แล้วกัน ผมจะพยายามช่วยคุณเต็มที่”

ช่วยไปไกลๆน้องวีร์จะได้มั้ยละ

“อ๋อ ครับ ขอบคุณครับ” วีส์ยังคงสงวนคำพูดที่แสดงออกมาจริงๆของตัวเองอยู่

“งั้นเดี๋ยวค่อยนัดคุยกันอีกทีก็แล้วกัน วันนี้ขอบคุณนะครับที่ช่วยตอบคำถามในห้อง” ชายหนุ่มยืดตัวขึ้นยืนตรง

วีส์ก็พยักหน้ารับและเตรียมตัวจะเดินออกจากห้องไป

“อ้อ เดี๋ยวก่อน” ชายหนุ่มร้องเรียกรั้งตัวเขาไว้ก่อน “วันนี้คุณมาห้องเรียนช้า เราเลยยังไม่ได้แนะนำตัวกัน”

วีส์ชะงักและหันกลับมา แม้ว่าไม่อยากจะรู้จักกันสักเท่าไหร่แต่ก็ถือว่าได้มีโอกาสทำความรู้จักคู่แข่งก็ไม่เสียหายอะไร รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งก็รบต่อไปอีกร้อยครั้ง ส่วนชายหนุ่มก็ยื่นมือออกมาหาเขาเพื่อจับมือกัน วีส์ก็ยืนมือไปจับตามมารยาทที่ดี

“ผมชื่อว่าภูมิ

วีส์รู้สึกสะกิดใจขึ้นมาทันทีที่ได้ยิน

ภูมิ วรรัญญา

ความรู้สึกวาบไปทั้งตัวเกิดขึ้นมาอีกครั้งด้วยเหตุผลที่ต่างกัน

“ยินดีที่ได้รู้จักกันนะครับ คุณวีส์ เนื้อนาดี”


*****


(แนบรูปถ่ายจากห้องเรียน) อาจารย์หล่อบอกต่อด้วย อาจารย์คนใหม่ประจำคณะวิทยฯ อ.ภูมิ วรรัญญา
รู้สึกอยากย้ายคณะขึ้นมาทันทีทันใด แต่ความรู้วิชาสายวิทย์ไม่มีเลย จะได้มั้ย
เป็นอะไรกับวีเสดสาด แต่ไม่น่าจะใช่แฟนแล้วแน่ๆ]/i]
Apollo200: พี่ภูมิเป็นพี่ชายวีร์
เป็นพี่สะใภ้น้องวีร์ก็ดีนะ ต่อไปจะได้เป็นพี่สะใภ้พี่วีด้วย มีแต่ได้กับได้



*****


“ว่าไง อาจารย์หล่อ” ธีร์ทักทายน้องชายขณะที่กำลังเดินลงมาจากบันไดพร้อมเด็กอ่อนตัวน้อยๆ แล้วก็ส่งต่อให้คนที่กำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ในห้องรับแขกช่วยดูแลต่อ “ฝากหลานด้วย”

“อาจารย์หล่ออะไร แล้วนี่…ไว้ใจเออ” ภูมิถามเพื่อความแน่ใจ เพราะพ่อแม่บางคนจะหวงลูกเล็กมาก ไม่ค่อยให้ใครเข้าใกล้ไม่ว่าจะสนิทกันมากแค่ไหนก็ตาม

“ล้างมือแล้วใช่มั้ย” ธีร์ทำท่าเหมือนจะยื่นมือออกไปดึงธารากลับมา

“โดนสเปรย์แอลกอฮอล์ตั้งแต่มาถึงแล้ว” ภูมิบุ้ยหน้าไปทางเด็กตัวน้อยที่สวมแว่นติดหน้าและกำลังนั่งตักพี่ชายคนโตของเขาที่ต้องสวมแว่นตามไปด้วยเช่นกัน เด็กหนุ่มน้อยมีท่าทางอยากจะเข้าไปเล่นด้วยแต่ก็ยังเขินอายอยู่ เพราะว่าเป็นคุณอาที่ได้เจอกันน้อยครั้งมาก

ธีร์หันไปปรบมือให้กับธร ชื่นชมทุกครั้งที่ทำความดี

“แล้วนี่วาเสร็จยัง” ภูมิถามไปเพื่อนอดีตเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่ตอนนี้กลายมาเป็นพี่สะใภ้ของตัวเอง

“เพิ่งไปอาบน้ำ ก็กว่าจะเสร็จเรื่องเจ้าคนเล็กนี่แหละ คงจะอีกสักพัก หิวแล้วมั้ย” ธีร์เดินไปหาขนมที่มีติดบ้านไว้สำหรับคุณแม่ลูกอ่อนไว้พร้อมหยิบจับมากินตอนที่มีเวลาว่างแล้ว เอามาให้เผื่อว่าจะมีใครกินรองท้องก่อนจะออกเดินทางไปห้างสรรพสินค้า

“ไม่หิวที” ภูมิตอบปฏิเสธแต่ธีร์ก็เอาขนมมาวางไว้ที่โต๊ะรับแขกอยู่ดี และคนหยิบคนแรกก็เป็นเด็กชายธร “กินหนมตอนนี้แล้วเดี๋ยวจะไปกินข้าวไหวมั้ยอะ”

ธรถือถุงขนมค้างไว้ นึกในใจว่าจะกินดีหรือไม่ดี หันไปมองหน้าพ่อก็แล้ว หันไปหาพี่ชายคนโตก็แล้ว พอหันกลับมาหาคุณอาคนใหม่ก็เริ่มทำตัวไม่ถูก

“กินได้ กินตะ อยากกินรึเปล่า” วีร์บอกน้องชายตัวเล็ก

ธรยังลังเลอยู่ก่อนที่จะยื่นถุงขนมให้วีร์ วีร์เข้าใจว่าให้เอาไปเก็บแต่เด็กน้อยกลับบอกให้แกะให้แทน

“โอ้โห สงสัยว่าต่อไปจะอ้วนเหมือนพี่มันแน่ๆ”

ธรหยิบขนมเข้าปากไปพลางมองหน้าภูมิไปพลางโดยที่ไม่เข้าใจว่าความอ้วนคืออะไร ไม่รู้จัก

“ตามสบายเลย ค่อยไปรีดน้ำหนักออกตอนโตเอาก็ได้” ธีร์พยักหน้าส่งสัญญาณให้ลูกชายคนรองกินได้ตามใจชอบ

“ก็นะ ตอนคนพี่นี่ก็ตามใจทุกอย่างเลยนิ อยากกินอะไรต้องได้กิน”

“ก็ตอนนั้นเรียนจบทำงานหาเงินได้เองแล้ว ก็ซื้อให้เต็มที่”

“ถึงได้พีเป็นหมูไง”

“อย่าพูดเหมือนนุ้ยไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้จะได้มั้ย” วีร์พูดแทรกการสนทนาของสองพี่น้องขึ้นมา แล้วก็จับให้ธรนั่งบนตักของเขาดีๆจะได้กินขนมได้สะดวก แล้วจึงขยับแว่นสายตาของตัวเองให้อยู่กับที่ดีๆ

“แล้วงานที่มหา’ลัยเป็นไง” ธีร์จึงเปลี่ยนเรื่องพูดคุยแทน

“ก็ เริ่มมีสอนบ้างแล้ว แต่อาจารย์คนเก่าเขาก็ยังอยู่เพราะว่ายังติดพันเรื่องทุนของปีหน้า อาจารย์แกบอกว่าอยากทำให้เสร็จก่อนค่อยวางมือ ก็เลยยังสอนสลับกัน”

“แล้วยังไม่เริ่มเรียนเหรอ” ธีร์ถามไปถึงการเรียนระดับดุษฎีบัณฑิตของภูมิ

“เรียนปีหน้า จริงๆค่อยมาปีหน้าก็ได้ แต่ตำแหน่งว่างบรรจุเข้าปีนี้ได้พอดีเลย แล้วก็รับเงินเดือนได้เลย ก็เลยมาเลย” ภูมิไกวแขนกล่อมเด็กน้อยเบาๆ

“ทุนจ่ายทั้งหมดเลยใช่มั้ย” ธีร์ถามลงลายละเอียด

“ใช่ แต่ก็ต้องอยู่เป็นอาจารย์สอนประจำต่อด้วย” ภูมิอธิบายเพิ่มเติม “ตอนแรกก็ว่าจะไม่เรียน กะว่าจะรับจ้างวิจัยเฉยๆแต่ทางนี้เขาเสนอมา แล้วก็เห็นนุ้ยจะเข้าเรียนที่นี่อยู่แล้วก็เลยตอบตกลง”

ธีร์มองดูน้องชายคนเล็กของเขาเล่นหูเล่นตากับลูกสาวตัวน้อยที่กำลังมองดูคนแปลกหน้าอย่างสงสัย

“มัวแต่เรียน ไม่สนใจจะมีเองสักคนบ้างเออ”

“ฮาย ก็เบ๋อของธีร์ก็ตั้งสามคนแล้ว แล้วมีของอรหล่าว แค่นี้พ่อแม่ก็บายใจแล้ว” ภูมิยังพยายามเรียกความสนใจจากเด็กอ่อนในอ้อมแขนของเขา

“ป้าอร” เมื่อได้ยินชื่อคนที่พอจะคุ้นเคยอยู่บ้าง ธรก็เรียกชื่อขึ้นมา

“ใช่ครับ ป้าอรกำลังจะมีน้องเหมือนกัน” วีร์บอกน้องชายตัวน้อย

“น้อง” ธรชี้ไปที่เด็กทารกที่ภูมิอุ้มอยู่

“ใช่ นี่น้องธารา เดี๋ยวป้าอรก็จะมีน้องให้พี่ธรอีกคนนึงนะ” วีร์บอกกับน้อง

“แล้วอรจะคลอดตอนไหน” ภูมิหันไปถามธีร์

“อีกสองสามเดือนมั้ง เห็นว่าทำห้องเด็กเสร็จแล้ว นี่ถ้าเรากลับบ้านกันตอนนี้คงจะต้องปูเบาะนอนรวมข้างล่างกัน” ธีร์ตอบ

“พูดยังกับจะมีใครได้ย้ายกลับบ้าน มาอยู่นี่กันหมดแล้วเบ๋อ สงสัยต่อไปอรกินรวบทั้งที่ดินพ่อที่ดินลุงเยี่ยมแล้วก็ที่ดินป้าเยาว์หมดคนเดียว” ภูมิส่งธารากลับไปให้ธีร์ แล้วก็กลับมานั่งสบายๆคนเดียว

“ก็แล้วแต่เขาแล ว่าจะยกให้ใคร” ธีร์ไม่ได้รู้สึกติดใจอะไรในมรดกที่ดิน เพราะตอนนี้เขาก็มีบ้านและครอบครัวเป็นของตัวเองแล้ว และมีหน้าที่การงานการเงินที่พอจะดูแลทุกอย่างได้

“แต่สงสัยว่าต่อไปคนที่จะได้มากที่สุดก็อาจจะเป็น...” ภูมิไม่ได้ออกเสียง แต่สายตาหันไปมองหลานชายคนโตที่พ่วงตำแหน่งหนูนุ้ยอยู่นานหลายปี

“อะไรหล่าว” วีร์ถามหยั่งเชิงว่าพี่ชายคนเล็กจะพูดเรื่องอะไร

“เห็นนะ ในทวิตเตอร์ VVGo4Launch อะไรนี่แหละ” ภูมิพูดแหย่น้องหนูนุ้ยของเขา

“คืออะไร” วีร์ถามด้วยความสงสัยจริงๆ เพราะไม่ใช่ที่ติดตามโลกสื่อสังคมออนไลน์

“กลับไปเล่นทวิตเตอร์เหมือนเดิมซะก็หมดเรื่อง”

“ไม่เอาอะ ขี้คร้าน” วีร์ตอบปฏิเสธ เขายัคงไม่รู้สึกสนใจที่จะกลับไปเล่นแอพลิเคชั่นชื่อดังอีก

“คืออะไร VVGo4Launch” ธีร์ถามคนเปิดเรื่อง

“อ้าวธีร์ไม่รู้เออ ตอนนี้คนนี้เขามีแฮชแท็กคู่จิ้นในโลกโซเชียลแล้วนะ” คำตอบของภูมิทำเอาธีร์หันไปมองวีร์ด้วยความแปลกใจ

“กับใคร” ธีร์ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นบวกกับความตื่นเต้น

“นักศึกษาที่คณะ เป็นนักเรียนทุนซะด้วย เท่าที่เคยคุยก็โอเคดี เรียนเก่งพอตัวเลย อนาคตสดใสแน่ๆ” ภูมิบรรยายสรรพคุณว่าที่หลานเขยให้ธีร์ฟัง

“คนที่เคยเจอกันที่ห้างใช่มั้ย” ธีร์ถามวีร์

“เคยเจอกันแล้วเออ” ภูมิถามแทรกขึ้นมาก่อนที่วีร์จะตอบ

“บังเอิญเจอกันที่ห้าง นานแล้ว เขาเข้ามาทักวีร์” ธีร์ตอบ

“นั่นน่ะปันปัน” วีร์พูดแย้งขึ้นมาก่อนที่จะเข้าใจผิดกัน “เพื่อนที่คณะ ที่เป็นลูกของป้าชื่นไง”

“อ้าวเหรอ งั้นก็ผิดคน” น้ำเสียงของธีร์ดูผิดหวังไปสักหน่อย “แต่ก็ดีแล้ว ถ้าลูกเขยเป็นลูกเจ้าของบริษัทขึ้นมา ธีร์กับวาคงจะทำงานกันลำบาก”

“พรือหล่าวอะ งานการก็ทำตามหน้าที่ไปเหมือนเดิมทุกคน” ภูมิไม่เห็นด้วยกับความคิดของธีร์

“ก็เวลาจะปรับย้ายตำแหน่งเลื่อนขั้นเลื่อนเงินเดือน เดี๋ยวเขาจะหาว่าเราใช้เส้น” ธีร์ก็พยายามจะอธิบายให้เข้าใจ

“ทำไม หรือว่าบริษัทเขามีประวัติมาก่อน” ภูมิตั้งข้อสันนิษฐานที่น่าจะทำให้ควรกังวลในเรื่องนี้

“ก็ไม่เชิง” ธีร์หันไปเล่นกับลูกสาวคนเล็กแสร้งว่าไม่ต้องการจะต่อความยาวในเรื่องนี้ แต่ก็หันไปเห็นภูมิที่กำลังจ้องมองอยู่ใกล้ๆ “เดี๋ยวค่อยเล่าให้ฟัง”

“เสร็จแล้วจ้า” วนกรเดินลงมาจากบันไดพร้อมชุดสวย เปลี่ยนอารมณ์วงสนทนาไปในทันที

“โอ้โห คุณแม่ลูกอ่อน คืนสภาพเร็วเหมือนกันนะ” ภูมิออกปากแซวอดีตเพื่อนร่วมชั้นเรียน

“มีประสบการณ์แล้วไง เตรียมตัวไว้ตั้งแต่ก่อนท้อง พอคลอดปุ๊บสลัดคราบปั๊บได้เลย” วนกรเท้าสะเอวโชว์รูปร่างในตอนนี้

“เห็นแม่บอกว่าเดี๋ยวนี้อรก็จ้ำบึ้ดๆอยู่เหมือนกัน” ภูมิพูดไปถึงพี่สาวคนโตที่ได้ยินมาว่ากำลังชวนกันออกกำลังทั้งคุณสามีและศรีภรรยา

“พี่อรก็โทรมาถามอยู่เรื่อยๆนั้นแหละ เราก็แอบออกตัวไปก่อนว่าแล้วแต่คนนะคะ อันนี้ได้ผลกับเราแต่ไม่รู้จะได้ผลกับพี่อรมั้ย” วนกรเดินไปรับเด็กน้อยมาจากธีร์ “พี่ธีร์เอาคาร์ซีตขึ้นรถยัง”

“เรียบร้อยแล้วจ๊ะ เนี่ยไปกันได้เลย”

ทุกคนจึงลุกขึ้นเตรียมตัวออกเดินทางไปรับประทานอาหารกัน วีร์เดินปิดประตูหน้าต่างทุกบานให้เรียบร้อยโดยมีเด็กตัวน้อยเดินตามไปด้วย ส่วนธีร์ก็เดินออกไปพร้อมกับวนกรเพราะต้องคอยกันไม่ให้สุนัขตัวใหญ่ทั้งสองที่ยังเห่อกับก้อนนุ่มนิ่มจะกระโดดยกตัวขึ้นก่ายหวังจะดมกลิ่นใหม่ให้คุ้นเคย แต่เมื่อภูมิเดินออกมา ทั้งสองตัวก็เปลี่ยนเป้าหมายในทันที

“นั่ง” เสียงคำสั่งดังตามไล่หลังมาโดยมีเสียงเล็กๆลอกเลียนแบบดังตามมา สุนัขทั้งสองตัวก็ทำตามคำสั่งแต่โดยดี

“มันยังเชื่องอยู่เหมือนเดิมนะ” ภูมิรู้สึกทึ่งในความสามารถของคนที่ฝึกสุนัขทั้งสองตัวมาเป็นอย่างดี

“ก็นี่ไง” วีร์ชูถุงขนมไข่ในมือให้ดูถึงสาเหตุที่แท้จริงที่สุนัขทั้งสองตัวยังเชื่อฟังอยู่ “พี่ภูมิพาธรออกไปขึ้นรถเลย เดี๋ยวนุ้ยล่ามไอ้สองตัวนี้ก่อน”

เมื่อเด็กน้อยทั้งสองคนอยู่ในรถและสุนัขทั้งสองตัวถูกล่ามไว้เรียบร้อยแล้ว ประตูรั้วจึงเปิดออกได้ รอจนรถขยับออกไปข้างนอกและปิดประตูรั้วกลับดังเดิมไว้ดีแล้ว วีร์จึงปล่อยสุนัขทั้งสองตัวให้เป็นอิสระในเขตรั้วบ้าน จากนั้นก็ตามทุกคนไปขึ้นรถโดยไม่ลืมให้รางวัลแก่สุนัขทั้งสองตัว


*****


มื้ออาหารเต็มไปด้วยความสนุกสนาน ธรที่เริ่มจะคุ้นเคยกับภูมิมากขึ้นก็เลิกเขินอาย กล้าเข้าไปพูดคุยกับคุณอาคนใหม่ ส่วนเด็กตัวเล็กสุดนอนหลับสบายเพราะว่าได้เลือกร้านที่ไม่มีคนพลุกพล่านมากนัก มีมุมเงียบสงบไม่มีเสียงรบกวน

รูปภาพระหว่างมื้ออาหารถูกส่งเข้าไปในแอพลิเคชั่นไลน์ในกลุ่มครอบครัวเพื่อส่งข่าวให้รับรู้โดยทั่วกัน ทางด้านอีกฝากหนึ่งถึงแม้ว่าจะไม่ได้ออกนอกบ้านไปไหน แต่โต๊ะอาหารจัดเต็มจนแถบจะไม่เหลือที่ว่าง ผู้คนก็พร้อมหน้าทั้งยุทธ นุช อร และเอก รวมไปถึงพ่อและแม่ของเอกก็มาร่วมโต๊ะอาหารด้วย

ต่างฝ่ายต่างก็เกทับกันไปมาอย่างสนุกสนาน ถึงแม้ว่าตัวจะอยู่ไกลกัน แต่เทคโนโลยีปัจจุบันก็ช่วยย่นระยะทางให้อยู่ใกล้กันได้ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าอะไรก็ตามถ้าใช้ให้เกิดประโยชน์ก็เป็นของดีได้ทั้งหมด แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าของสิ่งเดียวก็ใช้ให้เกิดโทษได้เช่นกัน

หลังมื้ออาหารเสร็จสิ้น วีร์และครอบครัวก็ใช้เวลาเดินเล่นภายในห้างสรรพสินค้ากันต่อก่อนจะกลับ เพราะว่าเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์จึงทำให้มีคนมากหน้าหลายตาเข้ามาใช้พื้นที่เพื่อความสำราญในแบบฉบับของแต่ละคน มากับแบบกลุ่มเพื่อนบ้าง มากับแบบคู่รักบ้าง หรือมากันแบบครอบครัวอย่างของวีร์

ธีร์เดินเข็นแปลเด็กอ่อนและพูดคุยไปกับภูมิ โดยมีวนกรที่สะพายย่ามขนาดใหญ่ที่ใส่ของใช้จำเป็นสำหรับลูกน้อย ส่วนวีร์ก็เดินจูงธรนำหน้าทุกคนไป หรือควรจะบอกว่าธรจูงมือวีร์แล้วลากไปยังทิศทางที่เด็กน้อยต้องการจะไปดูร้านโน้นบ้างร้านนี้บ้าง ผู้ใหญ่ทั้งสามคนก็เดินตามทันบ้างไม่ทันบ้าง และเมื่อเจอที่นั่งว่างก็ขอแวะพัก ปล่อยให้เด็กๆสนุกสนานกันไป

ธีร์ วนกร และภูมินั่งพูดคุยกันไปได้ไม่นานเท่าไหร่ก็ได้ยินเสียงร้องดังลั่นมา เมื่อหันไปมองก็เห็นธรกำลังนอนดิ้นร้องไห้โวยวายอยู่บนพื้น โดยมีวีร์นั่งยองๆอยู่ใกล้ๆ ผู้คนที่เดินผ่านไปมาก็มีหยุดมองบ้าง หรือแค่มองดูเฉยๆแล้วก็เดินต่อไปตามปกติ

“เฮ้อ เอาอีกแล้ว” ธีร์ถอนหายใจ

“ไม่ต้องไปดูเออ” ภูมิถามทั้งพ่อและแม่ของเด็กเล็ก

“ปล่อยให้พี่เขาจัดการเอง อย่าเพิ่งเข้าไป”

“เอางั้นเออ” ภูมิถามให้แน่ใจ

“เรากับพี่ธีร์ก็เคยพยายามเข้าไปคุยเองนะ ไม่รอด” วนกรรำพันให้ฟัง “นี่ถ้าเข้าไปเองตอนนี้นะ ไม่ว่าธรจะอยากได้ชิ้นไหน ได้ใจอ่อนซื้อกลับบ้านแน่ๆ”

“แล้วก็จะไปโดนวีร์นั่งสวดร่ายยาวที่บ้านต่ออีก”

“เหมือนมีพ่ออยู่ที่บ้าน ไม่ได้รู้สึกเหมือนมีลูกชายคนโตเลย”

ภูมิหันไปมองดูธรที่ยังคงร้องเสียงดังและวีร์ก็ยังพยายามพูดอะไรบางอย่างกับธรอย่างใจเย็น

“เดาได้เลยนะว่าวีร์ต้องบอกว่า ร้องได้ตามสบายเลยนะ พี่รอได้เป็นชั่วโมง เหนื่อยเมื่อไหร่ก็บอก” วนกรบรรยายตามภาพที่เห็น

“ไอ้หยา หรอยจริงหลานเรา” ภูมิทำสีหน้าชื่นชมปนกับความขำขัน

“อันนี้โทษคุณครูนุชเลย สำเนาถูกต้องเป๊ะๆ” ธีร์อธิบายเสริม

“เออ ก็ว่าคุ้นๆอยู่ว่าวิธีการของใคร”

ธรยังคงร้องเสียงดังเรียกความสนใจต่อเนื่อง วีร์ก็นั่งมองดูเฉยๆ รอดูว่าเด็กน้อยจะทำอะไรต่อ จนเมื่อธรเห็นว่าวีร์ยังคงนิ่งเฉยจึงเริ่มลดลงมาเป็นสะอื้นแต่ก็ยังคงไม่ยอมแพ้อยู่เหมือนเดิม

“เราตกลงกันแล้วนะว่าจะได้ของเล่นใหม่เดือนละชิ้นเท่านั้น เดือนนี้ธรก็ได้ไปแล้วหนึ่งชิ้น ถ้าอยากให้ชิ้นใหม่ต้องรอเดือนหน้า” วีร์อธิบายให้เด็กน้อยเข้าใจและทำตามข้อตกลงที่เคยบอกกล่าวกันไว้ก่อน

ธรก็กลับมาเรียกร้องจะเอาของเล่นชิ้นใหม่ต่ออีก

“ธรครับ...”

“น้องธรเป็นอะไรครับ ทำไมร้องไห้ใหญ่เลย”


[อ่านต่อด้านล่าง]

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
เสียงของเด็กน้อยเงียบลงทันทีที่อยู่ๆก็มีคนแปลกหน้ามานั่งข้างๆพี่ชายคนโตของเขา นอกจากหน้าตาที่ไม่คุ้นแล้ว ก็มีสีผมที่แปลกประหลาดไปจากคนอื่นๆอีกด้วย

“มา ลุกขึ้นมาคุยกันดีๆกันดีกว่า” วีส์ยื่นมือออกไปหวังให้เด็กน้อยจับเพื่อนยกตัวเองขึ้นมา แต่ธรกลับพลิกตัวแล้วโผเข้าหาพี่ชายของตัวเองแทน

วีร์ก็รับกอดจากน้องชายที่กำลังจ้องมองดูคนแปลกหน้าโดยที่น้ำตายังเปื้อนแก้มทั้งสองข้างอยู่

“โอ้ คนเก่งไม่ร้องแล้ว” วีส์ยิ้มและปรบมือชมเชยเบาๆให้กับเด็กน้อย “ไหนบอกพี่สิว่าอยากให้ชิ้นไหน”

สายทั้งสองคู่กำลังจ้องมองชายหนุ่มผมสีเทา คู่หนึ่งมองอย่างสงสัยว่าคุณเป็นใคร อีกคู่หนึ่งมองอย่างไม่พอใจเพราะนอกจะยังไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันแล้วยังจะมาขัดหลักการเลี้ยงเด็กเล็กของเขาอีก

“เร็ว มาเจรจาตกลงกับพี่กันก่อน น้องธรอยากได้ชิ้นไหนเหรอครับ” วีส์รอฟังคำตอบจากเด็กน้อย

ในตอนแรกเองธรก็ไม่แน่ใจแต่ชายหนุ่มแปลกหน้าก็คะยั้นคะยอให้เลือก ธรจึงชี้ไปที่รถบังคับวิทยุคันหนึ่งซึ่งมีขนาดใหญ่พอสมควร

“นี่ เรื่องนี้พวกเราตกลงกันแล้วว่าจะได้ของเล่นเพิ่มเดือนละชิ้นนึงเท่านั้น คุณอย่ามา...”

วีส์เอานิ้วชี้ป้องปากตัวเองให้วีร์หยุดพูดก่อน พร้อมทั้งขยิบตาส่งสัญญาณให้เขาเป็นคนจัดการเอง

“รถคันใหญ่นะเนี่ย...” วีส์ทำท่าทางว่ากำลังคิด “เอาอย่างนี้ ถ้าวันนี้น้องธรเป็นเด็กดี เดี๋ยวพี่ให้รถคันเล็กก่อน แล้วเดี๋ยวเดือนหน้าพี่ซื้อคันใหญ่ให้เลย เอามั้ยครับ” วีส์ชี้ให้ธรดูรถจำลองขนาดไม่เกินอุ้งมือ

ธรปาดหน้าปาดจมูกไปพลางชั่งใจไปพลางคิดว่าเป็นข้อเสนอที่ดีหรือไม่ ส่วนวีร์ก็ยังคงไม่พอใจ ถึงของที่จะซื้อให้เป็นเพียงรถคันเล็กๆ แต่ก็ถือว่าเป็นการซื้อของเล่นชิ้นใหม่สำหรับเขา

โดยที่ไม่รอคำตอบ วีส์ลุกขึ้นไปหยิบรถจำลองคันเล็กแล้วเดินไปจ่ายเงินกับพนักงานร้านก่อนที่จะโดนโต้แย้งจากพี่ชายคนโต แล้วก็เดินกลับมาหาเด็กน้อยที่ดูเหมือนจะอารมณ์ดีขึ้นแล้ว

“อ่า… คุณพ่อคุณแม่ครับ ขอแนะนำให้รู้จักว่าที่ลูกเขยคนใหม่ครับ” ภูมิเอียงตัวไปกระซิบบอกธีร์และวนกรที่สังเกตุชายหนุ่มแปลกหน้ามาตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้

“คนนี้เออ ที่บอกว่าเป็นนักเรียนทุนด้วย” ธีร์เบี่ยงหน้ามาถามภูมิ

“ใช่ คนนี้แหละ”

“โห ทรงผมขนาดนี้เลยนา เขาไม่ว่าอะไรเออ” ธีร์และวนกรมองดูสีผมของชายหนุ่มที่ยังคงนั่งคุยอยู่กับลูกชายทั้งสองคนของพวกเขา

“จะว่าอะไร ทรงผมไม่เกี่ยวอะไรกับการเรียน” ภูมิตอบแบบที่เหมือนกับว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร

“ก็ถ้าเป็นคนอย่างภูมิพูดเอง มันก็ไม่อะไรไง” ธีร์พยายามอธิบายความคิดของเขาเอง

“จะใครพูดก็เหมือนกันนั่นแหละ” ภูมิพิงหลังไปนั่งสบายๆก่อนที่จะอธิบายต่อ “ใครที่เรียนได้จะไว้ผมแบบไหนมันก็ยังเรียนได้ ส่วนใครที่เรียนไม่ได้ ไม่ว่าจะไว้ผมทรงไหนมันก็เรียนไม่ได้เหมือนเดิม”

ในตอนนั้นแว่นตาสามคู่ก็กำลังเดินมาหาพวกผู้ใหญ่ที่นั่งพักกันอยู่ ในมือของเด็กน้อยกำลังถือรถยนต์จำลองขนาดเล็กมาด้วย

“เดือนหน้างดของเล่นนะ เดือนนี้ได้ไปสองชิ้นแล้ว” วีร์บอกทั้งธีร์และวนกร

“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวเดือนหน้าพี่ซื้อให้เอง” วีส์ก้มลงไปแอบกระซิบธร ซึ่งก็ได้รับสายตาเฉียบคมมองมาทันที วีส์จึงรีบเปลี่ยนเรื่องพูดคุยเสียก่อนโดยการหันไปทักทายภูมิ “อาจารย์ สวัสดีครับ”

“คุณมาทำอะไรที่นี่” ภูมิถามกลับ

“ผมมาเอาหนังสือที่สั่งไว้ครับ” วีส์หยิบหนังสือทั้งสองเล่มออกมาจากกระเป๋าสะพายให้ภูมิดู

“อันนี้ที่จะเอาไว้ทำปริญญานิพนธ์น่ะเหรอ” ภูมิเปิดดูเนื้อหาในหนังสือคร่าวๆ

“ใช่ครับ”

“ปริญญาตรีที่นี่ก็ต้องทำวิทยานิพนธ์ด้วยเหรอ” ธีร์ถามด้วยความสงสัย เพราะส่วนมากมักจะเป็นนักศึกษาระดับปริญญาโทหรือเอกเสียมากกว่าที่ต้องทำเพื่อจบการศึกษา

“เขาไม่ได้บังคับให้ทำหรอกพี่ธีร์” วนกรอาสาเป็นคนตอบในฐานะศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัย “แต่ว่าถ้าอยากจะได้เกียรตินิยม อันนั้นต้องทำ”

“ใช่ แต่นี่เขาเป็นนักเรียนทุน ยังไงก็ต้องทำ” ภูมิอธิบายเพิ่มเติมและยังคงเปิดดูหนังสือทั้งสองเล่มอยู่ “เดี๋ยวคุณวางโครงเสร็จแล้วก็เอามาคุยกับผมก่อนนะ ถ้าเริ่มทำไปก่อนแล้วต้องมาแก้หัวข้อใหม่ทีหลังมันจะเสียเวลาเปล่า”

“ได้ครับอาจารย์” วีส์รับหนังสือคืนมาจากภูมิ

แล้วภูมิเอียงหน้าหรี่ตามองเด็กตัวน้อยที่กำลังเล่นของเล่นชิ้นใหม่อยู่

“มีของเล่นแล้ว อย่างนี้อาภูมิไม่ต้องเลี้ยงไอติมแล้วมั้ง”

ธรมองตอบกลับแบบเสียดายแต่ก็ยังคงแสร้งทำเป็นสนุกสนานกับของเล่นชิ้นใหม่ โดยแอบบชำเลืองมองคุณอาเป็นระยะๆว่าจะไม่พาไปจริงๆหรือ

“อะๆ ไปๆ” ภูมิกวักมือเรียกธรให้เดินเข้ามาใกล้ๆ “กินเสร็จแล้วเดี๋ยวจะได้กลับบ้าน” ภูมิลุกขึ้นยืนแล้วจูงมือธรเดินนำหน้าคนอื่นๆไปยังร้านไอศกรีมชื่อดัง

วีร์ส่ายหน้าเบาๆก่อนที่จะก้าวเท้าออกเดินก็แต่ต้องหยุดชะงักและหันกลับมา

“รีบกลับรึเปล่า” ธีร์ลุกขึ้นแล้วจับเปลเด็กอ่อนหมุนเตรียมเดินตามลูกชายตัวน้อยไป แต่ก็ไม่ลืมหันไปถามผู้มาใหม่

“เออ... เปล่าครับ” วีส์ตอบอย่างสุภาพและเกรงใจและรู้สึกอยากจะเสนอตัวไปพร้อมๆกัน

“งั้นก็ไปด้วยกันสิ”

สิ่งแรกที่วีส์ทำคือหันไปมองเด็กหนุ่มที่กำลังขมวดคิ้วมองมาทำให้เขารู้สึกลังเลอยู่ไม่น้อยเพราะกลัวจะเสียคะแนนความนิยม แต่อีกใจหนึ่งก็อยากจะตอบตกลงในทันที

“ไปด้วยกันนี่แหละ ไป” วนกรออกปากชวนอีกคน แล้วสองสามีภรรยาก็เข็นแปลเด็กออกไปก่อน

วีส์หันไปถามความเห็นของวีร์อีกครั้ง เจ้าตัวก็แค่ถอนหายใจแล้วก็เดินออกไป ไม่ได้อนุญาตแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ วีส์จึงเดินถือโอกาสเข้าข้างตัวเองเดินตามไปด้วยแบบติดๆ


*****


Apollo20: (แนบรูปถ่าย ธรกำลังดีใจกับไอศกรีมถ้วยใหญ่โดยมีวีร์และวีส์นั่งขนาบซ้ายขวา) #VVGo4Launch
อุ๊ย เขาแอบไปมีลูกกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมลูกถึงโตเร็วแบบนี้
น่ารักทั้งครอบครัวเลย อิจฉาแต่ก็รู้สึกยินดีปนๆกัน
ไหนวีเสดสาดบอกว่าไม่ได้คบกับพี่วีไม่ใช่เหรอ แล้วนี่คืออะไร ต_แหลชัดๆ

Bhumi Vorarania: คุณ Apollo20 คุณเป็นใครครับ เอารูปนี้มาได้ยังไง


*****


ช่วงแดดร่มลมตกหลังเวลาเลิกเรียน นักศึกษาหลายคนก็มานั่งจับกลุ่มกันพูดคุยเฮฮาตามประสาคนไม่อยากอ่านหนังสือเตรียมสอบ ถึงแม้ว่าจะเป็นการสอบกลางภาคเรียนแต่ก็มีสัดส่วนต่อคะแนนรวมไม่น้อย ดังนั้นคนที่ยังนั่งใจเย็นอยู่ในเวลานี้ถ้าไม่ใช่คนเตรียมตัวดีอยู่ตลอดเวลาก็เป็นคนที่ปล่อยวางตัวเองให้คะแนนเป็นไปตามที่คณาจารย์จะประทานให้

“อ๋อๆๆ พวกนายใช่มั้ยที่เคยอยากจะเลี้ยงไก่ที่บ้าน” ปัญจวีส์ชี้ไปที่คู่แฝดนพชัยและชัยทิศ

“ใช่ แต่เรื่องมันนานมาแล้ว ชั่งมันๆ” “เออๆๆ ลืมๆไปเถอะ ยังไงไม่ได้ได้ทำอยู่ดี”

“ทำไมวะ” วิธูถามในขณะที่จิ้มผลไม้ที่แพรไหมซื้อมาหลากหลายอย่างขึ้นมากิน

“ก็แม่กูบอกว่าถ้าจะเลี้ยง ก็ต้องทำเล้าปิดมิดชิดไม่ให้ไก่เดินเพ่นพ่านไปทั่วไง” นพชัยอธิบายเป็นคนแรก

“แล้วยังไงวะ” วิธูถามต่อ

“ก็พวกกูอยากได้แบบปล่อยอิสระ ให้มันหากินเองบ้าง พวกกูให้บ้าง แล้วพอเย็นๆค่ำๆก็บินขึ้นนอนบนต้นไม้เอง” ชัยทิศขยายความเพิ่มเติม

“ไปเห็นมาจากไหนวะ” วิธูพอจะรู้คำตอบแต่ถามเพื่อต่อบทสนทนา

“แบบที่บ้านไอ้วีร์ไง พวกกูอยากได้แบบนั้น” “แต่ว่าโดนระงับ ถ้าไม่จับเข้าคอกก็ไม่ให้เลี้ยง”

สีหน้าน้อยใจผิดหวังของทั้งสองคนทำให้เพื่อนๆหัวเราะด้วยความสนุกสนานปนความสมน้ำหน้าไปในตัว

“พี่อัฐเรียกไปคุยด้วยใช่มั้ย” ปัญจวีส์ถามทั้งสองคนซึ่งก็พยักหน้ารับ “เหมือนเคยจะได้ยินพี่อัฐมาคุยกับแม่ ว่าสงสัยเครือล้ำเลิศจะได้เปิดฟาร์มไก่แข่งกับตระกูลอื่นแล้วละมั้ง”

“โอ้ย แค่เลี้ยงเล่นๆเองมึง” “ไม่ได้จริงจังอะไรขนาดนั้นสักหน่อย” “แล้วขืนทำขนาดนั้นจริงก็ดูจะลงทุนเยอะเกิน” “คือพวกกูก็พอจะรู้ตัวเองว่าแป๊บๆเดี๋ยวพวกกูก็เบื่อ”

“โอโห้ ดูเป็นการเป็นงาน พอต้องบริหารเงินตัวเองแล้วดูคิดเยอะขึ้นนะพวกมึง แต่ยังเป็นสายเปย์เกมส์อยู่รึเปล่าวะ” วิธูแซวเพื่อนทั้งสองคน

“มันก็ต้องมีบ้างครับคุณกระต่าย” “ลงทุนมายาวนานต่อเนื่องแล้ว จะทิ้งไปก็เสียดาย” ทั้งนพชัยและชัยทิศก็ยอมรับแต่โดยดี ถึงจะเพลาๆลงบ้างจากเมื่อก่อนตอนที่ยังแบบมือขอเงินใช้จากบุพการีอยู่

“เออจริงสิ ของปันปันก็ได้หุ้นล้ำเลิศรัตนทรัพย์ด้วยใช่มั้ย” แพรไหมหันไปถามปัญจวีส์ และเหมือนทุกคนจะย้ายสายตาไปทางเดียวกันรอฟังคำตอบ

“อันที่จริงก็ไม่น่าจะได้หรอก เพราะว่าปันปันเป็นหลานจากลูกสาวไง อย่างพวกลูกๆของป้าเกด พวกนายรู้จักรึเปล่า” ปัญจวีส์ถามคู่แฝด ทั้งนพชัยและชัยทิศต่างก็ไม่แน่ใจว่าพวกเขารู้จักหรือไม่ “นั่นแหละ ก็ถือว่าป้าเกดแต่งออกไปบ้านอื่นแล้ว พวกลูกๆป้าเกดก็ไม่ได้กันสักคนนะ แต่เท่าที่รู้ป้าเกดยังมีหุ้นอยู่นะ”

เพื่อนๆแต่ละคนก็พยักหน้ารับและรอฟังปัญจวีส์พูดต่อ

“แล้วทีนี่ที่ปันปันได้ด้วย คิดว่าเพราะแม่ของปันปันหย่ากับพ่อแล้วทั้งปันปันกับแม่ก็เปลี่ยนมาใช้นามสกุลล้ำเลิศรัตนทรัพย์ ก็เลยได้ด้วย... มั้งนะ”

“คือลูกสาวที่แต่งออกไปแล้วก็ยังถือหุ้นต่อได้เหรอวะ” วิธูถาม

“ใช่ แต่ขายโอนให้ใครไม่ได้ อันที่จริงไม่ว่าใครก็ขายโอนหุ้นตัวเองให้ใครไม่ได้ มีแต่ส่งคืนกลับเข้ากงสีอย่างเดียว” ปัญจวีส์ตอบ

“แล้วอย่างนี้... ซื้อเพิ่มได้รึเปล่า” วีร์เปลี่ยนมาเป็นคนถามบ้าง แล้วก็ใช้นิ้วดันตรงกลางกรอบแว่นสายตาให้ขยับเข้าที่

“ถ้าจะซื้อเพิ่มก็ต้องไปคุยกับคุณยายเอาเอง ซึ่ง.. ปันปันคิดว่าไม่น่าจะได้” ปัญจวีส์หัวเราะแหะๆก่อนที่เปลี่ยนท่าที “แต่... ไปซื้อหุ้นเครือล้ำเลิศได้นะ เนี่ยพี่อัฐยังแนะนำอยู่เลยว่าถ้าเงินเหลือแล้วไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไร ก็เอาไปซื้อหุ้นเครือล้ำเลิศเก็บไว้บ้างก็ได้”

“ความคิดดี เดี๋ยวเก็บเงินไว้ซื้อมั้ง” “ปันปันจะซื้อเมื่อไหร่บอกด้วยน้า”

“ได้เลย เดี๋ยวพี่อัฐกระซิบบอกมาเมื่อไหร่ ปันปันจะบอกกิ่งกับก้านด้วย”

ทั้งนพชัยและชัยทิศต่างก็ปรบมือแล้วยกนิ้วโป้งทั้งสองข้างให้ปัญจวีส์ ถือเป็นการให้คำมั่นสัญญาทางธุรกิจในครัวเรือน

“ไงเด็กๆ” เสียงทุ้มดังแทรกขึ้นมาจากด้านหลังของวิธูพร้อมกับแรงกดลงบนบ่า แถมยังย้ำอีกสองสามครั้งด้วย

“พี่ภูมิ สวัสดีค่ะ” แพรไหมทักทายผู้มาใหม่

“สวัสดีจะน้องแพร ไม่ได้เจอกันนานเลย นี่ก็ด้วยอีกคน” ภูมิยังคงออกแรงจับบ่าของวิธูอยู่ “ไง ได้เข้าถึงรอบไหน”

“ตกรอบรองครับพี่” วิธูหันไปคุยกับชายหนุ่มร่างสูงผิวเข้ม

“ได้ไง พี่เราเก่งอิตาย เสียชื่อหมดหล่าว” ภูมิยังคงตบบ่าของวิธูอยู่ “นี่ ให้นุ้ยไปช่วยฝึกมั้ยอะ เห็นว่าเพชรมันได้แชมป์ไปหลายรายการแล้ว”

“ถ้าเงินถึง เวลาซ้อมก็มีให้ได้” วีร์ขยี้นิ้วมือต่อหน้าวิธู

“กูไม่ใช่พี่เพชรนะ ที่จะจ่ายชั่วโมงละหกร้อย บอกเลย... เปลือง” วิธูสะบัดหน้าทำเป็นไม่สนใจ “แล้วกูก็มีคู่ซ้อมประจำอยู่แล้วจ้า กริ๊วๆ”

“ก็แล้วแต่นา กูก็ไม่ได้กะจะคิดเงินอะไรแค่พอดีว่ามีเวลาว่างอาทิตย์ละวันนึง กูได้ไปออกกำลังด้วยส่วนมึงก็ได้ไปซ้อม แต่ก็คงไม่ต้องแล้วมั้ง” วีร์ทำเป็นยกมือที่มาดูเล็บดูฝ่ามือดูหลังมือแล้วก็หมุนข้อมือไปมา

“โอ้ เพื่อนวีร์ครับ เพื่อนวีร์เป็นคนดีจริง ผมรู้สึกโชคดีที่มีเพื่อนวีร์เป็นเพื่อนแบบนี้” วิธูรีบเปลี่ยนท่าทางโดยทันทีและหันมาประจบเอาใจวีร์เป็นการด่วน

“อ้อร้อ” วีร์ก็ถือโอกาสทำเป็นไม่สนใจที่วิธูมาบีบมานวดแขนของเขาแถมยังสะบัดตัวหนีอีกด้วย

“นี่ๆ ไปเล่นกันเมื่อไหร่บอกด้วย” ปัญจวีส์รีบหันมาเขย่าแขนวีร์ขอตามไปด้วยคนซึ่งวีร์ก็ยิ้มตอบกลับเป็นอย่างดี

“เออนี่ นุ้ยเป็นคนถ่ายรูปงานนิทรรศการใช่มั้ย” ภูมิเห็นเด็กๆเล่นสนุกกันเสร็จแล้วก็หันไปถามหลานชายถึงจุดประสงค์ที่เขามาในวันนี้

“นิทรรศการอวกาศเออ ใช่ นุ้ยถ่ายเอง” วีร์ถามและตอบกลับเองให้คราวเดียวกัน

“วันนี้เอาไฟล์มาด้วยรึเปล่า ที่คณะจะเอาไปใช้แล้ว” ภูมิถามต่อ

“เอามา” วีร์หยิบกระเป๋าเป้มาแล้วล้วงเอาตัวเก็บข้อมูลออกมา สีสันของมันดูจะ...

“ชมพูหวานเลยนะ” ภูมิรับตัวเก็บข้อมูลจากวีร์

“ก็เขาให้มาแบบนั้น ใช่ของนุ้ยทีอะ แล้วนี่ก็หายหัวไปไหนไม่รู้ ไม่มาเอาไปสักที”

“ยุ่งอยู่กับการทำหัวข้อวิทยานิพนธ์นั่นแหละ คงจะให้เสร็จตอนที่รศ.กอบเกื้อยังอยู่” ถึงวีร์จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ภูมิก็รู้ว่าหมายถึงใคร

“ลุงเกื้อก็ยังอยู่ต่อไม่ใช่เหรอครับ แค่ไม่สอนแล้วเฉยๆ” ปัญจวีส์พูดแทรกขึ้นมา

ภูมิหันไปมองปัญจวีส์อย่างสงสัย แล้วก็นึกขึ้นมาได้ถึงเพื่อนใหม่ของวีร์ที่เคยได้ยินมา

“รู้จักกับ รศ.กอบเกื้อ ล้ำเลิศรัตนทรัพย์ ด้วยเหรอ” ภูมิถามถึงแม้ว่าจะคาดเดาคำตอบไว้แล้ว

“ครับ ลุงเกื้อเป็นพี่ชายคนละแม่ของแม่ผมครับ” ปัญจวีส์ตอบ

“ก็เนี่ยลูกหลานเครือล้ำเลิศ” วีร์อธิบายเพิ่มเติมแล้วก็ชี้ไปทางนพชัยและชัยทิศด้วย “สองคนนั้นก็ใช่”

“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง” ภูมิพยักหน้ารับไปด้วย “เครือล้ำเลิศเขาทำอะไรบ้าง ได้ยินชื่อมานานแล้ว”

“ของบ้านพวกผมทำออโต้พาร์ทครับ” “ผลิตเองด้วย แล้วก็นำเข้าด้วยครับ” ฝาแฝดตอบด้วยความกระตือรือร้นเพราะได้รู้จักเครือญาติคนใหม่ของวีร์

“ของบ้านผมทำรับเหมาก่อสร้างครับ” ปัญจวีส์ตอบ

“เหรอ ก็เหมือนกับบริษัทของอาวิรัชใช่มั้ย” ภูมิหันไปหาวิธู

“ของพ่อ จะหนักไปทางประมูลงานก่อสร้างของราชการซะมากกว่า” วิธูตอบ

ภูมิพยักหน้ารับรู้แล้วก็หันไปมองในเชิงถามปัญจวีส์

“ของที่บ้านผมก็ไปประมูลงานเหมือนกันครับ แล้วก็ทำอสังหาฯด้วยครับ” ปัญจวีส์ตอบ

“อืม เรียนจบแล้วก็ยังพอจะไปช่วยงานที่บ้านได้นะ แต่นี่...” ภูมิหันกลับไปหาวิธู “ต่อไปจะมีใครรับช่วงต่อกิจการที่บ้านมั้ยอะ”

“ไม่เห็นจะยากอะไรเลยพี่ภูมิ มีลูกสะใภ้และลูกเขยดีซะอย่าง เข้าไปช่วยดูแลต่อได้” วิธูผายมือไปทางแพรไหมและวีร์ โดยที่เจ้าตัวเองก็ไม่เคยรู้ก่อนว่าไปตกลงกันตอนไหน

“หวังแต่จะพึ่งคนอื่นนะ”

“ก็ไม่ได้คิดจะทำตั้งแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว ตอนแรกก็เออ... เดี๋ยวพี่วีคงจะดูต่อเอง เราก็ตะแล็ดแต็ดแต๋ตามบายเราเลยแล” วิธูยักไหล่ตอบแบบไม่ได้ยี่หระอะไร “พ่อก็บอกอยู่ว่าถ้าพ่อกับแม่ไม่อยู่แล้ว ก็ขายบริษัททิ้งแล้วไปทำอย่างอื่นก็ได้ เพราะเขารู้ว่าถ้าเราเอามาทำเองคงไม่รอด”

“ก็ลองดูก่อนแล ค่อยตัดสินทีหลังว่ารอดหรือไม่รอด”

“ไม่ต้องลองก็รู้ แต่ถ้าอีดำกับอีอ้วนไม่เอาอีกก็ไม่เป็นไร” วิธูก็ยังคงยืนยันความคิดของตัวเอง “หรือไม่ก็ ต่อไปก็ขายบริษัทไปควบรวมกับของบ้านไอ้ปันก็ได้”

“เอาจริงมั้ยละ เดี๋ยวจะได้พาไปคุยกับพี่อัฐ” ปัญจวีส์เสนอ

“ใจเย็นน้องบ่าว ยังก่อน ไว้รอตอนพ่อกับแม่ไม่อยู่ก่อน” วิธูรีบพูดดักปัญจวีส์ไว้เสียก่อน เพราะเห็นกำลังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้ว

“ก็คุยไว้ก่อน เผื่อพี่อัฐจะแนะแนวทางไว้ล่วงหน้าว่าต้องทำอะไรบ้าง แต่อย่าให้พี่โสฬสรู้นะ โดนจับแยกชิ้นส่วนแล้วขายต่อแน่ๆ” ช่วงท้ายปัญจวีส์เอียงไปหาวิธทำเป็นกระซิบกระซาบที่ได้ยินกันทุกคน

“ใครอะ อัฐกับโสฬส พี่ชายเราเหรอ” ภูมิถามปัญจวีส์

“ลูกพี่ลูกน้องครับ เป็นลูกของลุง พี่อัฏฐารส กับพี่โสฬส”

ภูมิขมวดคิ้วหรี่ตานึกตามชื่อที่ได้ยิน

“อัฏฐารส โสฬส แล้วก็ปัญจวีส์... ชื่อเป็นตัวเลขหมดเลยนี่นะ”

“ใช่ครับ พี่อัฐเกิดวันที่สิบแปด พี่โสฬสเกิดวันที่สิบหก ส่วมผมเกิดวันที่ยี่สิบห้า คุณยายเขาเอาไปให้พระตั้งชื่อให้ นี่ผมก็รู้สึกโชคดีมากว่าพระท่านตั้งชื่อให้ว่าปัญจวีส์ เพราะถ้าชื่อเบญจเพสคงจะแปลกๆ”

“อ๋อใช่ เบญจเพสก็คือยี่สิบห้าเหมือนกัน” ภูมิก็รู้สึกเห็นด้วยว่าถ้าชื่อตามนั้นก็คงจะโดนเพื่อนล้อเลียนบ้างตามประสาเด็ก และเมื่อไปมองกับคนอื่นๆก็เจอกับสายแปลก เหมือนกำลังสงสัยว่าสองคนนี้กำลังพูดเรื่องอะไรกัน “อะ เดี๋ยวพี่กลับไปทำงานดีกว่า... เออ นุ้ย เดี๋ยวพี่ค่อยแวะเข้าไปที่บ้านนะ”

“ครับ” วีร์พยักหน้ารับแล้วก็บอกลาภูมิ ก่อนที่ภูมิจะเดินจากไป

“อ้าว พี่ภูมิไม่อยู่ที่บ้านเออ” แพรไหมถามหลังจากที่ภูมิเดินออกไปแล้ว

“ม้าย ตอนนี้อยู่หอพักของมหาวิทยาลัย แต่เห็นว่าเดี๋ยวจะไปซื้ออพาร์ทเมนต์อยู่” วีร์ตอบกลับ

“เหรอ พี่เขาไปดูห้องไว้แล้วหรือยัง” ปัญจวีส์เป็นคนถาม

“น่าจะไปดูมาหลายที่แล้วมั้งนะ” วีร์ตอบแบบไม่แน่ใจ

“งั้น เดี๋ยวปันปันไปถามแม่ดูให้เผื่อว่ายังมีโครงการไหนยังว่างอยู่ เดี๋ยวให้แม่เซ็นอนุมัติราคาพิเศษให้” ปัญจวีส์ยื่นข้อเสนอ

“ไม่เป็นไร เราเกรงใจ เดี๋ยวพี่ภูมิเขาไปจัดการเอง” วีร์ตอบปฏิเสธโดยพยายามรักษาน้ำใจไปด้วย

“ไม่ต้องเกรงใจ ได้ผลยังไงเดี๋ยวปันปันมาบอกวีร์อีกทีนะ” ปัญจวีส์ยืนยันแบบไม่รับคำตอบปฏิเสธใดๆทั้งสิ้น ท้ายที่สุดวีร์ก็ยอมแพ้ไป เพราะอย่างไรเสีย คนตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าจะซื้อหรือไม่ก็คือภูมิ ไม่ใช่เขาอยู่ดี


*****


ยามบ่ายหลังจากพักกลางวันที่ทุกคนแยกย้ายกันไปเรียน คงเหลือแต่วีร์ที่นั่งอยู่ตามลำพัง จึงใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ด้วยการเปิดการ์ตูนอ่านเล่นเพลินๆ แต่เพราะอากาศกำลังสบายอ่านไปเรื่อยๆก็เริ่มจะง่วงอยู่เหมือนกัน จึงเอามือข้างหนึ่งเท้าตรงขมับ แล้วก็หลับตาพักครู่หนึ่งก่อนที่จะลืมตาขึ้นมาอ่านต่อสลับกันไป

“ไม่ไหวก็กลับไปนอนไม่ดีกว่าเหรอ”

ชายหนุ่มร่างสูงที่มีผมยาวสีเทาเป็นเอกลักษณ์นั่งลงฝั่งตรงข้าม มาพร้อมกับขวดน้ำดื่มเย็นๆสองขวด ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ใครต่อใครเห็นแล้วใจจะต้องละลายลงต่อหน้า แต่วีร์เปลี่ยนอิริยาบทมานั่งหลังตรง ในตอนนี้ประสาทสัมผัสทุกส่วนกำลังตื่นตัวเต็มที่ จากที่รู้สึกง่วงอยู่ก่อนหน้านี้หายไปเกือบหมดแล้ว

“ผมรอเรียนอยู่” วีร์ตอบกลับ

“จะไหวเหรอ นั่งหลับสัปหงกอยู่อย่างนี้”

เพราะวีร์ไม่ได้ตอบกลับไปในทันที ต่างฝ่ายต่างก็นั่งมองหน้ากันไปมา

“มีธุระอะไรรึเปล่าครับ” วีร์เป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน

“ไม่เห็นจะต้องมีธุระอะไรเลย นึกอยากเจอก็เดินมาเลย” วีส์ยังคงยิ้มแย้มอยู่เหมือนเดิม แต่พอเห็นสายตาที่เด็กหนุ่มส่งมาแล้วก็ตัดสินใจเลิกแกล้งจะดีกว่า “อะๆ กูเอานี่มาให้”

วีส์หยิบเอกสารออกมาจากแฟ้มแล้วยื่นให้วีร์ วีร์รับมาแล้วก็อ่านดูรายละเอียด

“มึงลงชื่อรับเงินให้กูด้วย ต้องมีหลักฐานเอาไปส่งที่คณะอีก เดี๋ยวจะได้สรุปปิดโครงการนี้สักที” วีส์ชี้จุดลงในเอกสารที่วีร์ต้องลงลายมือชื่อไว้

“ยังมีโครงการอื่นอีกเหรอครับ” วีร์ถามในขณะที่ลงลายมือชื่อ

“มีตรงสนามหญ้าด้านหน้าอาคารใหม่ที่กำลังก่อสร้างอยู่ จะทำเป็นแบบจำลองตำแหน่งการโคจรของดวงอาทิตย์ โลก และดวงจันทร์ที่เกิดขึ้นจริง แถมยังจะเอาไปเทียบตำแหน่งกับจุดศูนย์กลางทางช้างเผือกอีก นี่ก็กำลังให้เขาออกแบบกลไกให้อยู่ เพราะว่าทางคณะอยากได้แบบว่าให้โลกหมุนรอบตัวเอง ดวงจันทร์หมุนรอบโลก แล้วก็โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ด้วย” วีส์รับเอกสารกลับคืนมาพร้อมกับยื่นซองสีขาวที่ใส่ธนบัตรไว้ตามที่ตกลงกัน

“ก็ไม่เห็นจะยากอะไร แค่ทำแกนตั้งจากพื้นแล้วก็มีกลไกหมุนอยู่ข้างล่างก็ได้แล้วมั้ง” วีร์รับซองมาแล้วก็เก็บใส่กระเป๋าเป้ของเขาเลย ไม่ได้สนใจจะเปิดดูข้างใน

“ถ้าแค่นั้นก็ดีสิ แต่ผู้ใหญ่เขาอยากได้แบบว่า โลกหมุนตามเวลาจริง ตอนนี้ส่วนไหนของโลกกำลังหันเข้าหาดวงอาทิตย์ก็ต้องเป็นไปตามนั้น ตอนนี้ดวงจันทร์อยู่ตำแหน่งไหน แล้วก็โลกกำลังอยู่ตรงไหนของวงโคจรรอบตัวอาทิตย์อีก”

“มันเยอะไปไหม ถ้าจะทำถึงขนาดนั้น” วีร์นึกสงสัย

“ยังมีมากกว่านั้นอีก แกนโลกต้องเอียงยี่สิบสามองศา ระนาบวงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ต้องเอียงหกสิบองศาจากระนาบวงโคจรของดวงอาทิตย์รอบศูนย์กลางกาแลกซี่”

วีร์ขมวดคิ้วเพราะพยายามนึกภาพตามคำบรรยายของนักเรียนทุนที่เริ่มจะตามไม่ทันแล้ว

“พวกผู้ใหญ่เขาก็เน้นย้ำนะว่า คนทั่วไปดูแล้วจะได้รู้ว่าตอนนี้โลกนั้นเอียงขั้วโลกใต้เข้าหาศูนย์กลางกาแลกซี่ แล้วช่วงฤดูใบไม้ผลิไปจนถึงใบไม้ร่วงโลกจะเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกับที่ดวงอาทิตย์เคลื่อนตัวรอบกาแลกซี่ ส่วนอีกครึ่งปีที่เหลือโลกจะเคลื่อนที่สวนทางกับดวงอาทิตย์”

วีร์ทำสีหน้าแบบว่าบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร

“นั่นแหละ กูก็ทำหน้าแบบมึงตอนที่เบื้องบนเขาบอกมา”

“รายละเอียดเยอะแบบนั้นมันจะทำได้เหรอ” วีร์ถามด้วยความสงสัยจริงๆ

“ยังไม่รู้ว่าจะได้ตามแบบที่เขาต้องการมั้ย แต่ที่รู้แล้วแน่ๆคืองบบานปลายแน่นอน”

วีร์ไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับแต่ทำเป็นเปิดโทรศัพท์ดูแทน เขาไม่ได้จะปิดกั้นการสนทนาแต่ก็ไม่ได้อยากจะต่อความ

“หายง่วงแล้วเหรอวะ” วีส์ก้มหน้าช้อนตามองคนที่กำลังก้มหน้าดูโทรศัพท์อยู่

“ก็ไม่ได้ง่วงตั้งแรกอยู่แล้ว” วีร์โต้แย้งกลับไป

“ก็นึกว่ายังง่วงอยู่  จะได้พาไปนอนพักก่อนแล้วค่อยกลับมาเรียน”

ทั้งวีร์และวีส์ต่างก็เงยหน้าขึ้นมองตรงพร้อมกัน สีหน้ากรุ้มกริ่มของชายหนุ่มร่างสูงทำให้เด็กหนุ่มผิวเข้มรู้สึกหมั่นไส้อยู่ไม่น้อย

“ได้นอน แต่จะไม่ได้เรียนน่ะสิ” วีร์เบ้ปากตอบเมื่อนึกไปถึงครั้งก่อนหน้าที่ชายหนุ่มรุ่นพี่อาสาช่วยเหลือเขา

“อ๋อ...” วีส์ยิ้มกรุ่มกริ่มอีกครั้ง “อยากจะไปอพาร์ตเมนต์กูอีกก็ไม่บอก ที่จริงกูจะชวนมึงไปนั่งพักที่ห้องอาจารย์ภูมิหรอกนะ มีเก้าอี้ให้นั่งเอนสบายๆได้ แต่ถ้ามึงอยากไปที่ห้องกูแทน เดี๋ยวกูพาไป”

“ใครจะอยากไป” วีร์ตอบแล้วก็เบนหน้าไปทางอื่น ส่วนวีส์ก็หัวเราะชอบใจที่ได้แหย่ได้แกล้ง

“ไม่ไปก็ไม่ไป... พูดถึงอาจารย์ภูมิ คนอะไรโคตรเก่งแบบสุดๆเลยว่ะ” วีส์ออกปากชื่นชมอาจารย์ที่ปรึกษาคนใหม่ของเขา

“พี่ภูมิเก่งมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ชีวิตนี้เกิดมารู้จักเกรดแค่อันเดียว คือ สี่” วีร์ก็โอ้อวดสรรพคุณพี่ชายที่พ่วงตำแหน่งคุณอาคนเล็กไปด้วย

“เกรดสี่หมดเลยเหรอวะ” วีส์รู้สึกทึ่งกับความฉลาดของภูมิ

“ก็ไม่เคยเห็นว่าจะได้เกรดอื่น” วีร์กดปิดหน้าจอโทรศัพท์หลังที่ไม่มีอะไรจะดูเพิ่มเติมอีก แล้วก็เงยหน้าขึ้นมาพบกับสายตาคู่เดิมที่ยังจ้องมองเขาอยู่อีก วีร์จึงสอดแว่นสายตาออกเผื่อว่าจะได้มองเห็นหน้าไม่ชัดจะได้ไม่รู้สึกรบกวนสายตา แต่ก็ไม่ได้ผลอะไรมากมายนัก “ไม่มีอะไรต้องไปทำเหรอครับ”

“ก็ไม่มีนะ สอบเสร็จหมดแล้ว งานก็ทำเสร็จแล้ว” วีส์ทำท่าทางนึกว่ายังเหลืออะไรที่เขาต้องทำอีก “ก็หมดแล้วนะ ช่วงนี้เลยว่าง”

“ไม่ไปซ้อมเทนนิสเหรอครับ”

“ช่วงนี้เขาไปลงแข่งตามล่ารายการกันหมด โค้ชเลยบอกงดซ้อมไปก่อน”

“แล้วไม่ไปแข่งกับเขาบ้างเหรอครับ” วีร์ยังคงถามต่อเนื่อง

“ไม่อะ ปล่อยให้พวกทุนนักกีฬาไปเก็บรางวัลดีกว่า กูก็ไม่ได้จะต้องไปเก็บพอร์ตอะไรพวกนั้นด้วย อยู่เป็นตัวสำรองง่ายๆสบายๆแบบนี้ดีกว่า”

“ไม่ใช่เพราะว่าฝีมือไม่ถึง โค้ชก็เลยไม่ส่งไปเหรอครับ” วีร์แกล้งทำเป็นส่งสายตาดูแคลน   

“ระดับกูน่ะ แชมป์เยาวชนแห่งชาติสองปีซ้อนนะขอบอก ถ้าไปแข่งยังไงก็ชนะ” วีส์โอ้อวดตัวเองกลับไป

“ใช่เหรอ” วีร์เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออก แต่ก็เหมือนจะติดอะไรบางอย่างที่ทำให้คิดไม่ออก แล้วก็มองตอบกลับอย่างที่ไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไหร่ อย่างน้อยเขาก็เอาชนะคนตรงหน้ามาได้แล้วครั้งหนึ่ง

“ไม่เชื่อเหรอ ลองแข่งกันดูอีกมั้ยละ” วีส์ท้าทายกลับไป

“กลัวจะแพ้อีกรอบน่ะสิครับ เดี๋ยวจะโดนโค้ชปลดออกจากทีมเปล่าๆ” วีร์เก็บสิ่งของของเขาเองเตรียมตัวจะลุกเดินออกไป เพราะก็ใกล้ถึงเวลาเรียนของเขาเองแล้ว

“แพ้ไม่กลัวหรอก กลัวไม่ยอมแข่งด้วยมากกว่า”

วีร์อยากจะบอกปัดไปเพราะไม่ได้อยากจะไปข้องเกี่ยวกับชายหนุ่มร่างสูงมากนัก แต่โดนท้าประลองถึงถิ่นขนาดนี้ ถ้าไม่ตอบรับคงจะเสียศักดิ์ศรีไป กระนั้นก็ยังไม่ได้ตอบรับไปในทันที

“ถ้ามึงชนะ กูให้มึงขออะไรก็ได้ กูทำให้ได้หมด” วีส์เพิ่มข้อเสนอเพื่อจูงใจให้เด็กหนุ่มยอมแข่งเทนนิสกับเขา

“แน่นะครับ ว่าจะขออะไรก็ได้” วีรถามย้ำอีกครั้ง

“แน่ อะไรก็ได้” วีส์ตอบยืนยันอย่างมั่นใจ

วีร์ชั่งใจว่าจะตอบตกลงดีหรือไม่ จากการที่ได้เคยแข่งขันในคราวก่อนก็พอจะรู้ว่าอีกฝ่ายที่ฝีมืออยู่พอตัว เขาคิดว่าตัวเองก็พอจะสู้ได้ นอกเสียจากว่าอีกฝ่ายไม่ได้ใช้ฝีมือเต็มกำลังในครั้งนั้น คราวนี้ถึงได้กล้ามาท้าประลอง วีร์คิดทบทวนแล้วทบทวนอีก ก่อนที่จะหยิบแว่นสายตาขึ้นมาสวมใส่ดังเดิม

“งั้นก็ได้ครับ นัดวันมาเลย” วีร์ตอบตกลงในที่สุด

ส่วนหนุ่มร่างสูงผมสีเทาก็ยิ้มหน้าบานอย่างดีใจสุดๆ ที่สามารถหลอกล่อให้เด็กหนุ่มผิวเข้มมาทำกิจกรรมร่วมกันกับเขาได้อีกครั้ง มันจะต้องเป็นเรื่องดีแน่ๆ

อยากจะตะโกนดังๆเลย ในตอนนี้


*****


#VVGo4Launch


[โปรดติดตามตอนต่อไป]

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ตอนที่ 6 วันโลกาวินาศ


หลังจากที่ได้ตกปากรับคำว่าจะแข่งเทนนิสกันอีกครั้ง วีร์ก็เริ่มหันมาซ้อมอย่างจริงจังมากขึ้น อาศัยที่ว่ายังคงไปช่วยฝึกซ้อมให้กับพีรพัชร์ทำให้สมรรถนะของร่างกายยังแข็งแรงดีอยู่ รวมถึงไปช่วยฝึกให้กับวิธูซึ่งมีปัญจวีส์ติดสอยห้อยตามไปด้วยอีกคน

“เฮ้ย อันนี้คือมึงมาซ้อมให้กู หรือกูมาซ้อมให้มึงกันแน่วะ” วิธูเริ่มบ่นเพราะจากเดิมที่โค้ชจำเป็นของเขาคอยโยนลูกกลับมาให้เขาฝึกซ้อม แต่ตอนนี้ต้องคอยโยนลูกกลับไปตามที่เจ้าตัวสั่งมา

“อะไร ก็มึงบอกเองว่าอยากจะฝึกวางลูกให้แม่น” วีร์สวนกลับไปทั้งคำพูดและลูกสักหลาด เมื่อเห็นว่าวิธูก็ยังแสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่ วีร์จึงเปลี่ยนแผนใหม่ “ปันปัน เข้ามาแทนเราหน่อย”

ปัญจวีส์ก็เดินเช้ามาเปลี่ยนตัวกับวีร์ในสนามแบบงงๆ

“ทำไงต่ออะ”

“เดี๋ยวปันปันใช้ลูกกราวด์สโตรกนะ เน้นตีเข้าหาตัว โฟร์แฮนด์บ้างแบ็กแฮนด์บ้างนะ” วีร์บอกแผนกับปัญจวีส์แล้วก็เดินไปเก็บลูกสักหลาดที่ตกอยู่ตามที่ต่างๆมาใส่ตะกร้าไว้ให้ปัญจวีส์ได้ใช้

“ตีมาเลยน้องบ่าว กูพร้อมแล้ว” วิธูตะโกนข้ามฝั่งมาพร้อมกับตั้งท่ารอรับ

ปัญจวีส์ตีลูกส่งไปตามแผนของวีร์ เน้นให้ลูกเข้าประชิดตัวเพื่อให้วิธูฝึกการรับลูก หากว่าวิธูส่งลูกกลับมาได้ก็จะตีกลับไปในทันที แต่ถ้าหากว่าไม่ได้ปัญจวีส์ก็จะใช้ลูกใหม่แทน เมื่อวิธูเริ่มคล่องขึ้น สามารถจับจังหวะได้แล้ว การตีโต้กลับไปมาก็เริ่มต่อเนื่องและนานขึ้นเรื่อยๆรวมถึงความแรงของการตีด้วยเช่นกัน

ฝีมือของวิธูและปัญจวีส์ต่างก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เรียกได้ว่าขับเคี่ยวสูสีกันเลยทีเดียว แต่ละคนก็อ่านเกมของอีกฝ่ายออกทำให้การฝึกไหลลื่นไปได้ด้วยดี

“เหนื่อยแล้วเหรอมึง” วีร์เห็นวิธูยกหน้าไม้ขึ้นส่งสัญญาณแล้วก็ยืนเท้าสะเอว

“กูเล่นกันมึงเสร็จ แล้วก็ไอ้ปันมาต่ออีก ไม่เหนื่อยก็แปลกแล้ว” วิธูเดินออกไปที่ข้างสนามแล้วก็หยิบขวดน้ำขึ้นมา “นี่ก็จะหมดเวลาแล้วด้วย”

วีร์และปัญจวีส์ก็เดินตามไปรวมกลุ่มกันละเริ่มเก็บอุปกรณ์ลงกระเป๋าใบใหญ่ แล้วแต่ละคนก็แยกย้ายไปเก็บลูกสักหลาดที่ตกกระจายอยู่ทั่วสนาม

“นี่มึงลงคะแนนหยั่งเสียงเสร็จแล้วยัง” วิธูถามเมื่อวีร์เดินกลับมาพร้อมกับกระป๋องใส่ลูกสักหลาดมาเต็มแล้ว

“เสร็จตั้งแต่เช้าก่อนออกจากบ้านแล้ว มึงยังไม่ทำทีหล่าวแล”

“กูคร้านอีทำ ไม่รู้จะอะไรนักหนา มีมาทุกอาทิตย์ มึงไม่เบื่อบ้างเออ” วิธูยกขวดน้ำดื่มซดที่เหลือจนหมดขวด

“เขาก็ให้มึงฝึกสิ่งที่นักการเมืองกลัวมากที่สุดไง” วีร์รูดซิปกระเป๋าเป้ใบใหญ่และยกขึ้นสะพายบ่าพร้อมเดินออกจากสนามแล้ว

“อะไรวะ” วิธูถามด้วยความสงสัย

“ให้มึงฝึกใช้สมองคิดบ่อยๆจนติดเป็นนิสัย” วีร์เอื้อมมือไปดีดหน้าผากวิธูเบาๆ

“ก็เหมือนที่พวกรุ่นพี่บอกไง ว่าไม่ค่อยจะมีนักการเมืองโผล่หน้ามามหาวิทยาลัยเรากันสักเท่าไหร่ มาแล้วก็โดนตอกกลับหน้าหงายทุกราย” ปัญจวีส์ก็ยืนสะพายกระเป๋ารอวิธูเป็นคนสุดท้าย จะได้เดินออกจากสนามไปพร้อมๆกัน “อ้อ วีร์ลงคะแนนรับรองให้ลุงเกื้อด้วยรึเปล่า”

“ลงไปเรียบร้อยแล้ว” วีร์ตอบปัญจวีส์

“ดีมาก ถ้าผ่านก็จะได้ไปแสดงปาฐกถาในฐานะอาจารย์มหาวิทยาลัยเรา”

“แล้วถ้าไม่ผ่านละวะ ก็ไม่ต้องไปเออ” วิธูเดินนำทุกคนออกไปจากสนาม

“ก็ไป แต่ว่าอ้างชื่อมหาวิทยาลัยไม่ได้ ใช่ได้แค่ว่าเป็นนักวิชาการเท่านั้น”

“เรื่องมากอิตาย” วิธูเดินห่างออกไปไม่กี่ก้าวก็หยุดแล้วหันกลับมาหาวีร์ “เออ กูลืมถามมึง”

“เรื่อง” ทั้งวีร์และปัญจวีส์ก็หยุดเดินตาม

“อีดำมันมีปัญหากับรูมเมทหอใน มันก็เลยจะย้ายออกเทอมหน้า”

“อ้าว ไม่เห็นมันเคยพูดถึง” วีร์มองอย่างสงสัย

“มันก็เรื่องเล็กๆน้อยๆแต่มันหลายเรื่อง รบกันหลายทีแล้ว เห็นว่า”

“แล้วมันจะย้ายไปอยู่ไหน” วีร์ถามต่อ

“นั่นแหละที่กูจะมาถามมึง”

“ถามกู... จะให้กูหาหอพักให้มันเออ” วีร์รอฟังคำตอบจากวิธูที่เหมือนกำลังคิดอยู่ว่าจะบอกเขาดีหรือไม่ ท่าทางจะพูดแต่ก็ไม่ยอมพูดออกมาเหมือนจะกลัวอะไร ทำให้วีร์ฉุกคิดขึ้นมาได้ “อย่าบอกนะว่าจะให้มันย้ายไปอยู่คอนโดมึง”

“ก็มีห้องว่างอยู่แล้ว จะได้ไม่ต้องไปเสียค่าเช่าที่ไหนอีก”

ถึงแม้ว่าที่พักของวิธูที่พ่อและแม่ของเขาซื้อไว้ตั้งแต่ตอนที่ย้ายวีรดนย์มารักษาตัวที่นี่จะเป็นห้องชุด มีหลายห้องนอนอยู่ในตัว แต่สำหรับวีร์ก็คือชายหญิงสองคนอยู่ด้วยกันลำพัง สีหน้าและท่าทางของวีร์ก็แสดงออกชัดเจนว่าไม่เห็นด้วย

“กูคุยกับพ่อแม่กูแล้ว อีดำก็คุยกับพ่อแม่มันแล้ว ก็เหลือแต่มึงนี่แหละจะโอเคมั้ย” วิธูอ้อมแอ้มถามในข่วงท้าย

“ถ้ากูไม่โอเค มึงจะให้อีดำไปอยู่ที่อื่นมั้ยละ” วีร์ถามไปโดยที่รู้คำตอบอยู่แล้ว

“มันก็...” วิธูไม่ได้คิดหาทางเลือกอื่นไว้เลย แต่ก็เข้าใจความคิดของเพื่อนสนิทเขาเป็นอย่างดี ที่มาของการมีวีร์ วรรัญญา บนโลกใบนี้นั้นเป็นมาอย่างไร เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่วีร์ต่อต้านมากที่สุด

วีร์หลับตาลงแล้วก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกับส่ายหน้าเบาๆ

“อย่าให้กูรู้นะว่ามึงทำอีดำท้องก่อนเรียนจบ กูเอามึงตายแน่” วีร์พูดอย่างหนักแน่นชัดเจนว่าเขาหมายความเช่นนั้นจริงๆ

“อันนั้นกูเชื่อว่ามึงเอาจริง แล้วกูรับรองได้ว่ากูจะป้องกันทุกครั้ง ไม่มีพลาดแน่นอน อุ๊บ..” วิธูรีบเอามือปิดปากทันทีที่เผลอพูดความตั้งใจที่แท้จริงออกไป

“แสดงว่าคิดเรื่องนี้มาแต่แรกแล้วใช่มั้ย” วีร์มองตอบกลับอย่างรู้ทันแล้วก็ยังรู้สึกเคืองอยู่

“บ้า ใครเขาคิดแบบนั้นกัน” วิธูทำท่าทางเป็นเด็กน้อยที่ถูกจับผิดซึ่งไม่ได้เข้ากับรูปร่างสูงใหญ่เลยสักนิด

“เฮ้อ” วีร์ถอนหายใจออกมาดังๆ “แล้วนี่อีดำมันคุยกับรูมเมทมันแล้วเออว่าจะย้ายออก”

“เสียงว่าบอกไปแล้วนะ แล้วก็ด่าไฟแล่บกันต่อ” ทั้งสามคนก็ออกตัวเดินต่อไปตามทางเดิน

“ถ้าเรื่องมันถึงขนาดนั้นแล้วก็ออกมาเลยก็ได้มั้ง เดี๋ยวได้รบกันจริงหล่าว รู้ๆอยู่ว่าหมัดมันแรงขนาดไหน” วีร์เห็นว่าถ้าเรื่องราวไปไกลขนาดนั้นแล้ว ก็ไม่ควรอยู่ต่อก่อนที่เรื่องจะใหญ่โตไปกว่านี้

“แพรไหมเขาทำไมเหรอ” ปัญจวีส์ถามแทรกขึ้นมา

“ก็มันโดนอีพริกลากไปต่อยมวย” วีร์หันไปเห็นคิ้วที่ขมวดกันของปัญจวีส์ เขาจึงต้องอธิบายเพิ่มเติม “เรามีเพื่อนที่บ้านเขาทำค่ายมวย เขาก็เลยชวนแพรไปซ้อมมวยด้วยกัน”

“จริงๆคืออยากได้ล่ามไว้คุยกับผู้ชายมากกว่า” วิธูพูดเสริมสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้

“ก็ประมาณนั้นแหละ แพรก็เลยเป็นมวยอยู่บ้าง เราก็เลยกลัวว่าถ้ามีเรื่องกันจริงๆ เดี๋ยวจะต้องไปจ่ายค่าปรับฐานทำร้ายร่างกายกันเปล่าๆ” วีร์สรุปความให้ปัญจวีส์เข้าใจ

“อ๋อ แฟนต่ายนี่ก็เอาเรื่องเหมือนกันนะ”

เมื่อทั้งสามคนเดินมาถึงที่ลานจอดรถ ปัญจวีส์ก็ล้วงเอากุญแจรถยนต์ออกมากดส่งสัญญาณเปิดล็อคประตู แสงวิบวับสีส้มสว่างขึ้นจากทั้งสี่มุมของรถยนต์หรูสีขาวที่มันวาววับไม่ต่างไปจากรถมินิแวนที่เคยมารับส่งนพชัยและชัยทิศอยู่เป็นประจำ ปัญจวีส์ไปเปิดกระโปรงท้ายรถเพื่อใส่กระเป๋าสะพายของแต่ละคนลงไป

“เดี๋ยวนี้มึงขับบีเอ็มแล้วเหรอวะ” วิธูทักขึ้นมาขณะที่ส่งกระเป๋าสะพายไปให้ปัญจวีส์

“ของแม่ แต่ว่าช่วงนี้แม่ไม่อยู่บ้าน ปันปันก็เลยขอยืมรถแม่มาใช้ชั่วคราว” ปัญจวีส์อธิบายให้ฟัง

“แล้วปกติปันปันขับรถอะไร” วีร์ถาม

“ปกติไม่ได้ขับ ตอนมาเรียนบางทีก็นั่งรถสองแถวมาเองบ้าง บางทีก็มีคนรถมาส่งบ้าง” ปัญจวีส์ปิดกระโปรงท้ายรถยนต์แล้วก็เดินอ้อมไปด้านหน้า สองคนที่เหลือก็เดินตามไปขึ้นรถ “ยังไม่อยากมีรถเองตอนนี้ ขี้เกียจล้างขี้เกียจดูแล แล้วถ้าไม่ทำก็จะได้ยินเสียงบ่นให้ฟังทุกวัน เลยยังก่อนดีกว่า”

“อ้าว ไม่คนช่วยล้างรถให้เหรอวะ” วิธูถามตอนที่นั่งรถเบาะด้านหน้าเรียบร้อยแล้ว

“รถบ้านน่ะมีคนทำอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นรถตัวเองก็ต้องทำเอง นอกจากจะไปช่วยแชร์เงินเดือนคนงาน อันนั้นถึงจะมีคนทำให้” ปัญจวีส์อธิบายสาเหตุที่แท้จริงว่าทำไมถึงยังไม่อยากมีรถยนต์เป็นของตัวเอง ไปพร้อมๆกับติดเครื่องยนต์ เปิดเครื่องปรับอากาศ คาดเข็มขัดนิรภัย และเตรียมออกเดินทาง

“คนตระกูลนี้ก็คิดอะไรแปลกๆนะ” วิธูนึกอยู่ในใจว่าโชคดีแล้วที่เขาไปเกิดที่บ้านอื่น

“นี่ยังน้อยไปนะ เคยได้ยินพี่อัฐเล่าสมัยที่คุณตายังอยู่นะ หนักกว่านี้อีก” ปัญจวีส์ขยับรถยนต์คันงามออกไปจากลานจอดรถ “แล้วนี่ จะให้ปันปันไปส่งใครก่อน”

“ไปส่งไอ้วีร์ก่อนก็ได้ จะได้ไปเยี่ยมน้องๆด้วย” วิธูเสนอความเห็น

“โอเค ปันปันจะได้รู้จักบ้านวีร์ด้วย” ปัญจวีส์หันมายิ้มให้กับวีร์

ในเมื่อไม่มีใครแย้ง ปัญจวีส์จึงขับรถมุ่งหน้าไปบ้านของวีร์ก่อน


*****


ส่วนทางด้านของวีส์ก็ยุ่งวุ่นวายอยู่กับการทำโครงเรื่องของปริญญานิพนธ์ให้เสร็จ จะได้เริ่มวางแนวทางที่ต้องศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติม จนไม่มีเวลาว่างแวะไปโรงอาหารหลักช่วงเที่ยงเหมือนที่ผ่านๆมา จนใครๆก็ถามถึงทั้งในโลกความเป็นจริงและในโลกสื่อสังคมออนไลน์

นี่ยังไม่รวมกับที่ต้องแบ่งเวลาไปซ้อมกีฬาสำหรับนัดหมายที่ได้ตกลงกันไว้แล้วกับเด็กหนุ่มรุ่นน้องที่มีข้อแม้ไว้ว่าห้ามบอกใครว่าจะมีการแข่งขันกัน ไม่ว่าจะเป็นวัน เวลา หรือสถานที่ อย่าให้มีหลุดลอดออกไปโดยเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นจะถือว่าการแข่งครั้งนี้ยุติโดยปริยาย

ดังนั้นความเอาจริงเอาจังในการฝึกซ้อมที่เปลี่ยนไปจากเดิมทำให้เพื่อนร่วมทีมรวมไปถึงผู้ฝึกสอนต่างก็รู้สึกแปลกใจไปตามๆกัน


*****


ภายในห้องพักคอนโดแห่งหนึ่งที่มีขนาดกว้างพอสมควรและมีห้องนอนแยกต่างหาก ส่วนพื้นที่โล่งด้านนอกแบ่งเป็นห้องครัวและห้องนั่งเล่น มีกล่องใส่ของวางเรียงรายอยู่ วีร์ แพรไหม และวิธูกำลังช่วยกันรื้อค้นของข้างในออกมา

“อันนี้เอาไว้ไหนวะมึง” วิธูยกแจกันใบหนึ่งขึ้นให้วีร์ดู

“ตั้งไว้บนโต๊ะก่อนตะ เดี๋ยวพี่ภูมิมาจัดการเอง มึงมาช่วยกูรื้อเอากุบเก็บเข้าตู้ก่อนดีกว่า” วีร์เรียกวิธูมาช่วยเขาและแพรไหมที่กำลังจัดพื้นที่ห้องครัวกันอยู่

“จริงๆพ่อกับแม่ว่าจะซื้อห้องแบบนี้แหละสองห้องติดกัน แต่พอไปเห็นว่าอีกตึกมีห้องชุดอยู่ก็เลยไปเอาอันโน้นแทน” วิธูมาช่วยรื้อแก้วน้ำจานชามใส่เข้าในในตู้ลอยเหนือพื้นที่ทำครัว “ห้องนี้พี่ภูมิได้มาเท่าไหร่วะ”

“เห็นว่าสองล้านเหลือ” วีร์ตอบไปพลางจัดของไปพลาง

“สองล้าน” วิธูถามกลับด้วยความแปลกใจ “ทำไมราคามันลงมาขนาดนั้นวะ”

“ก็ปันปันมันช่วยจัดการให้ ได้ลดอะไรบ้างก็ไม่รู้เกือบล้าน”

วิธูพยักหน้ารับรู้ แล้วก็จัดของที่เหลือใส่ตู้ให้หมด

“เออนี่ พวกแฝดมาชวนกูไปปาร์ตี้หลังสอบเสร็จที่บ้านพวกมัน มันบอกมึงยังวะ”

“บอกแล้ว เห็นว่าช่วงปีใหม่จะไปไหนก็ไม่รู้ ก็เลยจัดหลังสอบเสร็จนี่เลย” วีร์เก็บกระดาษที่ห่อแก้วน้ำและจานกระเบื้องใส่ในถุงใบเดียวกัน “แต่กูบอกพวกมันแล้วนะ ว่าไม่ต้องก่อกองไฟ เอาแค่เตาบาร์บีคิวก็พอ”

“กูก็ว่าจะถามอยู่ กลัวว่าพวกมันจะเล่นใหญ่เมื่อคราวก่อนหล่าว”

“อีดำ ชั้นไปขอพ่อแพรให้แล้วนะ ก็ค่อยให้ใครก็ได้ไปส่งแพรที่บ้านตอนสามทุ่ม” วีร์หันไปบอกกับแพรไหม

“แล้วเธอจะชวนแพรวามาด้วยมั้ย” แพรไหมถามกลับ

“ไม่รู้เหมือนกัน จะให้ชวนมั้ยอะ” วีร์หยุดจัดวางของแล้วก็ทำท่าคิดทบทวน

“ลองถามเจ้าบ้านดูก่อนตะ”

“เออใช่ เดี๋ยวจะเหมือนไอ้ต่ายเพื่อนมึง พอบอกว่าจะชวนพวกไอ้ปันมาด้วย มันรีบบอกเลยว่าไม่ต้อง” วิธูเน้นคำหลังเสียงดังฟังชัดเลียบแบบที่เจ้าตัวพูดไว้

“บ้านก็อยู่บริเวณเดียวกัน เดี๋ยวค่อยเดินไปตามเอาทีหลังก็ได้” วีร์เก็บช้อน ส้อม ตะเกียบ มีด และอื่นๆลงในลิ้นชัก “ยังเหลือว่างอีกตู้ใช่มั้ย เดี๋ยวพี่ภูมิค่อยไปซื้อเครื่องปรุงของแห้งมาใส่ทีหลัง”

“พี่ภูมิทำอาหารเป็นเออ” วิธูถาม

“เป็นแล บ้านกูทำเป็นหมดทุกคนนั่นแหละ” วีร์ตอบด้วยความโอ้อวดนิดๆแบบที่ไม่ได้มากเกินไป “ตอนปิดเทอมตอนเด็กๆ เหลือกูกับพี่ภูมิอยู่บ้านกันสองคน พี่ภูมิเลยเป็นคนทำให้กิน”

“ใช่ เธอชอบมาชวนชั้นไปกินข้าวบ้านเธอกัน” แพรไหมเสริมเรื่องราวสมัยวัยเยาว์

เสียงเคาะประตูดังขึ้นมาแล้วประตูก็เปิดออกตามมาไม่ช้า วีร์และเพื่อนสนิททั้งสองก็หันไปมองเจ้าของห้องวัยหนุ่มผิวเข้มกำลังดันเข็นรถเข็นที่มีกล่องกระดาษหลายใบวางซ้อนกันอยู่เข้ามาภายในห้อง

“เดี๋ยวคุณเอาไปวางข้างในก่อนเลยนะ” ภูมิหันกลับไปบอกคนที่ยืนอยู่ด้านนอก และก่อนที่วีร์และเพื่อนจะได้สงสัยว่าเป็นใคร คนดังกล่าวก็เดินไล่ตามเสียงของตัวเองมาติดๆ พร้อมเส้นผมสีเทาที่เด่นสะดุดตาถูกมัดรวบไว้ด้านหลังเรียบร้อยดี โคนเส้นผมก็เริ่มเห็นสีธรรมชาติงอกออกมาตามกาลเวลาบ้างแล้ว

“ได้ครับอาจารย์” วีส์เดินเข้ามาแล้วก็หันไปยิ้มให้เด็กๆทั้งสามก่อนที่จะเดินถือลังขนาดใหญ่ตามภูมิเข้าไปข้างใน ทั้งสามคนก็ค่อยๆเดินตามกันไปอย่างสงสัย

“ต่ายกับน้องแพรมาช่วยพี่จัดหนังสือเข้าตู้หน่อย” ภูมิเรียกเด็กหนุ่มสาวทั้งสองคนและยกลังกระดาษออกจากรถเข็น จากนั้นก็ล้วงเอากุญแจรถยนต์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วก็โยนไปให้วีร์ “นุ้ย ยังมีของในรถอีก เอารถเข็นลงไปขนขึ้นมาให้หน่อย”

“เยอะมั้ยอะ” วีร์ถามกลับ

“ก็อีกสามสี่ลัง”

“แล้วให้นุ้ยลงไปคนเดียวเออ”

“ใครบอกว่าคนเดียว คนช่วยก็มี” ภูมิบุ้ยหน้าไปทางชายหนุ่มร่างสูงผมสีเทาที่เตรียมพร้อมรออยู่แล้ว

เสียงถอนหายใจดังเบาๆแต่ก็คนใกล้ตัวก็พอจะได้ยิน แล้ววีร์ก็หันกลับไปจะเข็นรถ แต่ก็โดนแย่งไปเสียก่อน อีกฝ่ายเข็นรถออกไปที่ประตูห้องล่วงหน้าก่อนแล้ว วีร์ที่ไม่รู้จะโต้แย้งอะไรก็ได้แต่เดินตามไป

ระหว่างทางจากห้องพัก เรื่อยไปจนในลิฟต์โดยสาร ไปจนถึงรถยนต์ของภูมิ ไม่มีเสียงสนทนาใดๆเล็ดลอดออกมาจากปากของทั้งสองคน เพราะคนหนึ่งก็พยายามยิ้มให้ ส่วนอีกคนก็ทำเป็นไม่สนใจ

“ได้ข่าวว่าช่วงนี้ขยันซ้อมเหรอ” วีส์ถามเด็กหนุ่มที่กำลังส่งลังกระดาษที่เพิ่งจะยกออกมาจากในรถยนต์มาให้เขา

“คนที่ขยันซ้อมไม่ใช่ผมมั้งครับ” วีร์ยื่นลังกระดาษให้ชายหนุ่มที่ไม่ยอมรับไปดีๆ เขาจะได้หันกลับไปยกลังใหม่ออกมา

“หืม นี่ตามข่าวของกูด้วยเหรอ”

“ก็ไม่ได้อยากรู้หรอกครับ แต่มันชอบมาดังเข้าไปในรูหู” วีร์ก็ยังต้องออกแรงผลักลังกระดาษให้ชายหนุ่มรับไป ไม่อยากให้ชักช้าเสียเวลาอยู่กันแค่สองคนนานๆ

“ฮั่นแน่ ชอบได้ยินเรื่องกูก็ไม่บอก” ถึงจะโยกผลักมาจนตัวเซ แต่วีส์ก็ยังทรงตัวได้อยู่

“ผมไม่ได้ชอบ คนอื่นต่างหาก” วีร์สวนกลับทันที

“เอาน่ะ ฝึกให้ชอบเข้าไว้ ต่อไปมาเป็นแฟนกูเมื่อไหร่จะได้ยินจนชิน” วีส์หันกลับไปรับกล่องกระดาษแต่ก็ยังคงเอาแต่หยอกล้ออีกฝ่าย ไม่ยอมรับกล่องไปวางไว้ที่รถเข็นดีๆอย่างเดิม

“ผมไปพูดไว้ตอนไหนว่าผมจะไปเป็นแฟนคุณ” วีร์อยากจะส่งกล่องไปให้ชายหนุ่มแล้วปล่อยมือเลย แต่ก็กลัวว่ากล่องจะตกพื้นแล้วสิ่งของข้างในจะเสียหาย

“อ้าว ก็ถ้ากูแข่งชนะ มึงก็ต้องยอมเป็นแฟนกูไง”

“มันไม่เคยมีข้อตกลงอันนั้น” วีร์ยืนยันอย่างหนักแน่น และเขามั่นใจมากว่าไม่เคยไปให้สัญญาอะไรแบบนั้นกับชายหนุ่มรุ่นพี่ ซึ่งวีส์ก็หรี่ตามมองกลับมาอย่างคาดคั้น “คุณเป็นคนบอกเองว่าถ้าผมแข่งชนะ ผมขออะไรก็ได้จากคุณหนึ่งอย่าง แต่ไม่เคยบอกว่าถ้าคุณชนะแล้วคุณจะได้อะไร”

วีส์ทำท่าทางนึกทบทวนเรื่องราวในวันนั้น แล้วก็ทำเสียงจิ๊จ๊ะเพราะรู้สึกเสียดายที่ตัวเองพลาดเรื่องนี้ไปได้

“ได้ งั้นเอาเป็นว่า ถ้ามึงชนะมึงขออะไรจากกูก็ได้ แต่ถ้ากูชนะมึงต้องยอมมาเป็นแฟนกู” วีส์แสดงท่าทางดูเหนือกว่า เพราะเขาก็มั่นใจจากการฝึกซ้อมในช่วงที่ผ่านมาอยู่มาก

“ไม่ละครับ ข้อเดิมพันไม่น่าสนใจแล้ว” แต่วีร์ปัดตกไปเหมือนมันไร้ค่าไร้ความหมายใดๆ วีร์หันไปยกกล่องกระดาษสุดท้ายออกมาจากข้างในรถยนต์ แล้วก็จัดการปิดและล็อคประตูให้เรียบร้อย จากนั้นจึงวางกล่องซ้อนกันกับกล่องที่วางอยู่บนรถเข็นอยู่ก่อนแล้ว ไม่รอส่งต่อให้กับชายหนุ่มรุ่นพี่เพราะคิดว่าถ้าทำเช่นนั้นคงไม่เสร็จโดยง่าย

ส่วนวีส์ก็รู้สึกว่าเรื่องราวมันผิดไปจากสิ่งที่เขาคิดไว้ จากเดิมที่อย่างน้อยจะได้มีอะไรทำร่วมกัน ตอนนี้เริ่มจะไม่แน่ใจเสียแล้ว แต่ก็ยังพยายามทำใจดีสู้เสือตัวน้อยๆไปก่อน

“ไม่ยอมแข่งแสดงว่ากลัวแพ้ละสิใช่มั้ยละ”

“ก็แล้วแต่จะคิด” วีร์ไถ่กลบหลุมพรางที่อีกฝ่ายขุดไว้ ครั้งนี้เขาไม่ยอมพลาดอีกเป็นอันขาด และเตรียมตัวเข็นรถเข็นออกไปจากลานจอดรถ

“งั้นเอาอย่างนี้” วีส์ก็ยื่นข้อเดิมพันใหม่อีกครั้ง โดยหวังว่าจะได้ผล “เรามาแข่งกัน ถ้ามึงชนะ... กูให้มึงขออะไรก็ได้... สองอย่างเลย แต่ถ้ามึงแพ้... มึงต้องยอมลองมาเป็นแฟนกู... เดือนนึง”

พูดจบแล้ววีส์ก็ลุ้นรอฟังคำตอบจากเด็กหนุ่มจบแทบจะหยุดหายใจไปด้วย ถ้ามีอำนาจวิเศษใดในโลกนี้จริง เขาก็คงจะขอให้เด็กหนุ่มยอมรับข้อเดิมพันของเขา และถึงแม้ว่าวีร์จะไม่ได้ตอบในทันทีแต่อย่างน้อยก็ยังหยุดยืนอยู่เฉยๆ แถมยังเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่

“แค่หนึ่งเดือน ลองเป็นแฟนกันแค่หนึ่งเดือน หลังจากนั้นถ้ามึงไม่มีใจให้กูจริงๆ กูจะถอยออกมาเอง”

วีร์ยังคงนิ่งเงียบไม่ตอบรับใดๆแต่ก็ยังไม่ขยับตัวไปไหน ถือเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับวีส์

“แล้วถ้ามึงมั่นใจว่าชนะกูแน่ๆ ก็ไม่เห็นจะต้องกลัวอะไร”

เสียงถอนหายใจดังออกมาเบาๆ

“จะแข่งวันไหน”

เสียงพูดเรียบๆแต่ทำให้หัวใจของอีกคนพองโตขึ้นมาในทันที

“แล้วแต่มึงจะสะดวกเลย ก่อนสอบก็ได้ หรือรอหลังสอบเสร็จก็ได้” วีส์รีบตอบกลับกลัวอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจ

“ก่อนสอบจะดีกว่าครับ จะได้เสร็จเรื่องไป” วีร์ปรายตาหันมามองชายหนุ่มร่างสูง

“โอเค เดี๋ยวกูไปดูก่อนว่าสนามมีว่างวันไหนบ้าง แล้วกูจะมาบอกมึงอีกที”

วีร์แค่พยักหน้าตอบกลับแล้วก็ออกแรงเข็นรถเข็นเดินนำไป


*****


หลังจากที่กำหนดวันสำหรับการแข่งขันที่แน่นอน ทั้งสองคนต่างก็มุ่งมั่นฝึกซ้อมอย่างเป็นจริงเป็นจังมากขึ้นจนใครต่อใครก็พากันสงสัย แต่ก็ไม่มีใครง้างปากจากทั้งสองคนได้ ตามข้อตกลงที่ให้กันไว้ว่าจะเก็บเรื่องการแข่งขันเป็นความลับรับรู้กันแค่สองคนเท่านั้น

นอกจากนี้วันที่ตกลงจะแข่งขันกันนั้นเป็นวันเดียวกับวันจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ของนักศึกษาคณะแพทยศาสตร์ชั้นปีที่หนึ่ง ใครหลายคนในโลกสื่อสังคมออนไลน์ต่างมุ่งความสนใจไปที่คนที่ว่าที่คุณหมอทั้งหลายพาไปร่วมงาน ไม่มีใครมาสนใจเรื่องของพวกเขาเลย

จนถึงวันแข่งขัน วีส์อาสาขับรถไปรับวีร์ที่บ้าน แล้วจะมุ่งหน้าไปยังสนามเทนนิสที่ได้ไปจองไว้แล้ว วีส์เลือกใช้สนามที่อยู่นอกเมือง ถึงสภาพโดยรวมจะไม่ได้เหมือนสนามซ้อมของมหาวิทยาลัยแต่ก็ยังใช้งานได้เป็นปกติ ไม่เป็นอุปสรรคต่อการตีลูกสักหลาดต่างใด ที่สำคัญคือไม่ค่อยมีคนมาใช้งานที่สนามนี้สักเท่าไหร่ ตามที่วีร์ต้องการ

วีร์ออกมายืนรออยู่หน้าประตูรั้วบ้านไม่นานนักรถยนต์สีดำก็ขับเข้ามาเทียบจอดใกล้ แต่ผู้โดยสารที่มานั้นไม่ได้มีแค่คนขับเพียงคนเดียว

“โทษทีว่ะ กูลืมบอกว่าจะมีเด็กเก็บบอลมาด้วยสองคน” วีส์เปิดหน้าต่างรถยนต์คุยกับเด็กหนุ่มที่กำลังยืนสะพายกระเป๋าใบใหญ่และมองดูคนคุ้นเคยที่นั่งอยู่ด้านหลังรถ

ในตอนนี้ก็ทำได้แค่ส่ายหน้าแล้วก็เดินไปขึ้นรถฝั่งที่นั่งข้างคนขับ

“มึงมาได้ไงวะ” วีร์หันไปถามผู้โดยสารด้านหลัง

“มันเข้ามาถามกูเองตอนที่ซ้อมเมื่อวันก่อน” วีส์เป็นคนตอบในขณะที่เขาออกตัวรถยนต์มุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทาง

“กูเห็นว่าพักหลังมึงซ้อมโคตรหนัก แล้วก็สังเกตเห็นพี่เขาก็ดูซ้อมจริงจังกูเลยลองไปถามดูว่ามีอะไรกันรึเปล่า ก็ไม่คิดว่ากูจะแจ็กพ๊อตเดาถูก” วิธูอธิบายเพิ่มเติม

“แล้วเผอิญว่าปันปันไปดูโชกุนคัดตัวเข้าทีมมหาวิทยาลัยพอดี แอบไปได้ยินพี่เขากำลังคุยกับต่าย ปันปันก็เลยขอตามมาด้วยคน” ปัญจวีส์คลายข้อสงสัยในส่วนของตัวเอง

“ยังไงสองคนนี้ก็เพื่อนมึงอยู่แล้ว กูก็เลยคิดว่าคงจะไม่เป็นไรมั้ง แล้วแถมยังได้คนมาช่วยเก็บบอลให้ด้วย” วีส์หันไปมองคนนั่งข้างๆที่กำลังจ้องตาเขม็งใส่เขา “กูบอกพวกมันไปแล้วว่าถ้ามึงแพ้... พวกมันต้องหารค่าข้าวที่มึงจะเลี้ยงกูด้วย”

สายตาของวีร์อ่อนลงบ้าง เพราะอย่างน้อยข้อตกลงในส่วนสำคัญยังเป็นความลับอยู่ แต่ก็ยังรู้สึกไม่พอใจที่อีกฝ่ายไม่ได้บอกอะไรล่วงหน้าแบบนี้

“ก็โอกาสที่จะได้เห็นวีร์แข่งแบบจริงจังหาไม่ได้ง่ายๆ ยังไงก็ต้องมาดูให้ได้ ปันปันว่าตอนที่วีร์แข่งกับปันปันตอนกีฬาประเพณี วีร์ไม่ได้ใส่เต็มที่ใช่มั้ย” ปัญจวีส์ชะโงกหน้ามาคุยกับวีร์

“ก็... ไม่ถึงขนาดนั้น” วีร์ถ่อมตัวพอเป็นพิธี

“ปันปันไม่เชื่อ ดังนั้นวันนี้แหละปันปันจะได้เห็นฝีมือจริงๆของวีร์สักที” ปัญจวีส์พูดอย่างตื่นเต้น

“โอย... แค่พนันเลี้ยงข้าวเองมึง ใครเขาจะไปแข่งเอาเป็นเอาตาย ถ้าพนันว่าคบเป็นแฟนกันก็ว่าไปอย่าง”

ทั้งวีร์และวีส์ต่างก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป วีส์ตั้งใจขับรถไปดีๆ ส่วนวีร์ก็หันมองดูทิวทัศน์รายทาง ปล่อยให้สองคนที่นั่งด้านหลังส่งเสียงต่อไปเรื่อยๆ

“งั้นเอาเป็นร้านเปิดใหม่ที่ห้างมั้ย อยู่ตรงชั้นลอยชื่อ หรอยนิ” ปัญจวีส์เสนอความเห็น

“ชื่อร้านไรนะ” วิธูถามย้ำเพื่อความแน่ใจ

หรอยนิ เป็นร้านอาหารไทยแต่จัดเป็นคอร์สสไตล์ฝรั่ง เห็นแม่บอกว่ารสชาติใช้ได้ แม่เคยพาลูกค้าไปกิน” ปัญจวีส์อธิบายให้ฟัง

“แล้วราคามันประมาณไหนวะ” วิธูถามต่อ

“ก็มีหลายเซ็ตนะ มีตั้งแต่ชุดเล็กประมาณหกร้อยไปจนถึงชุดใหญ่ก็ประมาณ... สองสามพันมั้งนะ” ปัญจวีส์ตอบแบบไม่มั่นใจมากนัก

“หกร้อย!?” วิธูพูดเสียงดังขึ้นมา ปัญจวีส์ก็พยักหน้าหงึกๆ “ตั้งหกร้อย เราสี่คนไปกินร้านอร่อยๆทั่วไปนี่อิ่มพุงยานถึงพื้นเลยนะน้องบ่าว”

“แต่ร้านเขาเลือกวัตถุดิบอย่างดี มีเชฟชื่อดังระดับภูมิภาคอยู่ประจำร้านด้วย” ปัญจวีส์โอ้อวดสรรพคุณของร้านที่ตัวเขาเองก็ยังไม่เคยไปมาก่อน

“กูให้เชฟสุรศักดิ์ สืบวงศ์สกุล ทำให้กินก็ได้ อร่อยด้วย ไม่แพงอีกต่างหาก” วิธูส่ายหน้าแล้วหันมองไปนอกรถ

“ใครอะ” ปัญจวีส์ถามอย่างสงสัย

“ไอ้ใหญ่ไง” วิธูหันกลับมาเฉลยแต่เจอกับใบหน้าฉงนของปัญจวีส์ เขาจึงยื่นหน้าไปถามวีร์ “ไอ้ปันมันยังไม่เคยเจอไอ้ใหญ่เหรอวะ”

“ยังมั้ง” วีร์เองก็ไม่แน่ใจว่าปัญจวีส์เคยเจอสุรศักดิ์หรือไม่

“วันหลังพามันไปกินที่ร้านไอ้ใหญ่ดูสิวะ ขนาดกูกับอีดำยังขี่รถเครื่องไปหาข้าวเย็นกินที่ร้านมันบ่อยๆ ขี้เกียจทำกินเอง”

“อืม ไว้ว่างแล้วค่อยพาไป” วีร์ตอบแล้วก็เปิดประตูลงจากรถยนต์ตามวีส์ที่ออกไปยืนอยู่ข้างนอกรถแล้ว

“อ้าว ถึงแล้วเหรอวะ” ทั้งวิธูและปัญจวีส์ต่างก็มองซ้ายมองขวาไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนี้รถยนต์จอดสนิทและดับเครื่องยนต์เรียบร้อยแล้ว


[อ่านต่อด้านล่าง]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
สายรัดที่เสียบเข้ากับขาแว่นเรียบร้อยแล้ว ผมสีเทาที่ถูกมัดรวบไว้ด้านหลัง กำลังกระโดดบนปลายเท้ากระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อขาที่คาดว่าวันนี้จะต้องใช้เยอะเป็นพิเศษ วีส์เตรียมตัวอยู่หลายสัปดาห์มาเป็นอย่างดีก็เพื่อวันนี้โดนเฉพาะ

ส่วนวีร์ที่สวมแว่นสายรัดขาแว่นเสร็จแล้ว ก็เลือกสวมหมวกเพื่อรวบเก็บเส้นผมไม่ให้รำคาญลูกตา เพราะถ้าจะใช้ยางมัดผม ด้วยความยาวของเส้นผมในตอนนี้ก็คงจะทำได้แค่มัดจุกด้านหน้าเท่านั้น ซึ่งมันจะดูคิกขุอาโนเนะไปสักหน่อย

หลังจากที่ยืดกล้ามเนื้อและอบอุ่นร่างกายเสร็จแล้ว วีร์และวีส์ก็เตรียมพร้อมลงสู่สนาม มีการโยนเหรียญเสี่ยงทายว่าใครจะเริ่มเป็นฝ่ายเสิร์ฟลูกก่อนและใครจะเป็นคนเลือกแดนได้เรียบร้อยแล้ว ทั้งสองคนก็แยกย้ายไปยังเส้นท้ายของฝั่งตัวเอง

ส่วนเด็กเก็บบอลกิตติมศักดิ์ทั้งสองคนก็เข้าประจำที่ด้วยเช่นกัน

การแข่งเริ่มต้นที่วีส์เป็นผู้เสิร์ฟก่อน เขาเสิร์ฟลงใกล้เส้นกลางและเก็บคะแนนแรกไปได้ สร้างขวัญและกำลังใจให้ตัวเองไม่น้อย คะแนนต่อๆมาถึงแม้ว่าจะไม่ได้จากลูกเสิร์ฟแต่ก็สามารถเก็บเกมแรกมาเป็นของเขาได้ ทั้งคู่จึงเปลี่ยนฝั่งและวีร์จะเป็นคนเสิร์ฟคนต่อไป

วีร์เดินเก็บลูกสักหลาดที่ตกอยู่ตามพื้นมาใส่กระเป๋ากางเกงไว้สองลูก เหลือหนึ่งลูกในมือ เขาจับลูกหมุนดูลักษณะของลูกสักหลาด

“บอลใหม่หมด กูเพิ่งซื้อมา” วีส์ตะโกนบอกข้ามฝั่งมา

วีร์ชำเลืองตาขึ้นมองคู่ต่อสู้ก่อนที่จะทดลองโยนลูกสักหลาดเพื่อกะระยะการตีที่เขาถนัด โยนต่ำ ย่อตัว ตีลูกเร็ว เมื่อได้จังหวะแล้ว วีร์ก็เริ่มเสิร์ฟลูกแรกและเป็นเช่นเดียวอีกฝ่ายที่เลือกเส้นกลางสนาม แต่ต่างกันตรงที่วีร์เสิร์ฟลงเส้นกลางพอดี ลูกที่สองวีร์ก็ยังคงเลือกเสิร์ฟลงเส้นกลางและเก็บคะแนนได้ แต่หลังจากนั้นเริ่มมีการโต้ตอบกลับไปมาบ้าง เสียคะแนนบ้าง แต่สุดท้ายวีร์ก็เก็บเกมแรกของตัวเองได้

เหมือนว่าต่างฝ่ายต่างก็ต้องการดูเชิงการเล่นของอีกฝ่าย ยังไม่มีอาวุธหนักตีใส่กันมากนัก ทำให้ทั้งคู่ต่างก็เก็บเกมเสิร์ฟของตัวเองตีคู่สูสีกันจนมาถึง 4-4 และวีส์จะเป็นผู้เสิร์ฟคนต่อไป เกมนี้เป็นเกมสำคัญเพราะหากใครสามารถเก็บเกมนี้ได้ก็จะขึ้นแท่นรอปิดเซ็ตในเกมถัดไป แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าหากเสียเกมนี้ไปแล้วจะปิดโอกาสในการเก็บเซ็ตไปซะทีเดียว แต่ในเชิงจิตวิทยาจะรู้สึกถูกกดดันในการเล่นมากขึ้น

ลูกแรกนั้นวีร์ได้จังหวะที่อีกฝ่ายเสิร์ฟลูกมาทางด้านขวามือและไม่ได้เน้นฉีกลูกออกไปด้านข้างมากนัก จึงตีลูกสวนกลับเร็วแต่ไปไม่พ้นตาข่ายทำให้เสียคะแนนไปแบบหน้าเสียดาย ลูกต่อมาวีส์เสิร์ฟฉีกออกด้านข้างและรีบขึ้นมาใกล้ตาข่ายรอวอลเลย์ลูกหยอดกลับ แม้ว่าวีร์จะสับเท้าวิ่งไปจนถึงตาข่ายแต่ก็ไม่ทันที่จะเกี่ยวลูกกลับไปอีกฝั่งได้ ทำให้พลาดไปอีกหนึ่งคะแนน

“วีร์จะไหวรึเปล่า” ปัญจวีส์เดินมากระซิบถามวิธูหลังจากที่ส่งลูกไปให้ชายหนุ่มรุ่นพี่แล้ว

“ไม่รู้เหมือนกัน แต่เพิ่งเซ็ตแรกเอง” วิธูตอบกลับโดยมีสีหน้ากังวลอยู่บ้างว่าเพื่อนจะแพ้

ถึงแม้ว่าวีร์จะได้คะแนนจากการสวนลูกเสิร์ฟกลับไปในแต้มถัดไป แต่หลังจากนั้นก็ไม่สามารถทำคะแนนได้จนอีกฝ่ายขึ้นนำไปเป็น 5-4 แถมยังถูกเปลี่ยนรูปแบบการเล่นที่อีกฝ่ายขยับขึ้นมาเล่นลูกหน้าตาข่ายมากขึ้น ทั้งๆที่วีร์เป็นฝ่ายเสิร์ฟลูกเองแต่กลับโดนเบรกเกมเสิร์ฟและเสียเซ็ตแรกไปในที่สุด

1-0 6-4

วีร์และวีส์เดินออกมาข้างสนามเพื่อมาเช็ดเนื้อเช็ดตัว ดื่มน้ำ และพักหายใจก่อนจะเริ่มเซ็ตที่สอง

“ไง ไหวเปล่าเนี่ย” วีส์ออกปากแซวเบาๆ แต่วีร์ไม่ได้ตอบกลับอะไรนอกจากวางผ้าขนหนูพาดลงบนเก้าอี้ยาวที่วางกระเป๋าอยู่ แล้วก็เดินเปลี่ยนฝั่งของสนามไปในทันที

เข้าสู่เซ็ตที่สองยังคงเป็นวีส์ที่เก็บคะแนนได้มากกว่า เริ่มจากทำเกมเสิร์ฟของตัวเองได้และเบรกเกมเสิร์ฟของวีร์ได้อีกเกม ขึ้นนำเป็น 2-0 ทำให้เขาเริ่มเล่นอย่างสบายใจมากขึ้น เกมต่อไปเขาจะเป็นฝ่ายเสิร์ฟอีกครั้ง

วีร์พยามยามทำสมาธิ หายใจเข้าหายใจออก กระโดดเบาๆอยู่กับที่เพื่อกระตุ้นตัวเอง เขายอมรับว่าอีกฝ่ายมีฝีมือและตัวเขาเองก็จริงจังกับการแข่งขันมากจนเกินไป ยิ่งพยายามทำมากก็ยิ่งเล่นเสียมากตามไปด้วย วีร์พยายามตัดความคิดที่เกี่ยวการเล่นที่ผ่านมา และบอกกับตัวเองว่าเขาต้องทำได้

เทนนิสมันไม่ได้เอาชนะได้ด้วยการตีอัดไปอย่างเดียวหรอกนะ แล้วก็ไม่ต้องรีบ เล่นช้าๆลงบ้างก็ได้

คำพูดของใครบางคนที่เคยบอกเขาไว้ให้ใจเย็นๆ อย่ารีบร้อนไปตลอด ให้รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา แล้วคอยสร้างโอกาสจนกว่ามันจะเป็นของเรา

หลังจากที่วีร์รับลูกเสิร์ฟไปแล้ว ทั้งคู่ก็เริ่มตีลูกหน้ามือโต้กันไปมาอย่างต่อเนื่อง วีร์เปลี่ยนน้ำหนักในการตีลูกให้เบาลงแต่ความแม่นยำยังคงเหมือนเดิม บางครั้งก็ยกลูกให้สูงขึ้นบ้าง บางครั้งก็ตีเลียดตาข่ายบ้าง บางครั้งก็ตีให้ลูกตกใกล้เข้ามาในพื้นที่สนามบ้างแล้วก็ดันลูกให้ไปตกเส้นท้ายสุดในลูกถัดไป

จนวีส์เปลี่ยนใจสวนลูกไล่ขนานเส้นข้างกลับมา ซึ่งวีร์ก็เตรียมพร้อมก้าวเท้ามารอพร้อมเงื้อแร็กเก็ตมาทางด้านซ้ายมือ แล้วส่งลูกหลังมือพุ่งผ่านเหนือขอบตาข่ายไปอย่างฉิวเฉียด ลูกสักหลาดแตะพื้นสนามก่อนถึงเส้นเสิร์ฟไปนิดเดียวแล้วพุ่งออกไปในทันที

วีร์รู้สึกมั่นใจในการเล่นมากขึ้น รู้สึกผ่อนคลายความคิดกังวลไปได้มากขึ้น พยายามไม่คิดถึงผลสุดท้ายไม่ว่ามันจะออกมาเป็นอย่างไร เอาใจจดจ่ออยู่คะแนนปัจจุบัน ทำให้เขาทำคะแนนมาได้ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ในเกมนั้นวีร์ก็เสียไปให้ฝ่ายตรงข้ามขึ้นนำไปเป็น 3-0

หลังจากที่เดินเปลี่ยนฝั่งสนามกันแล้ว เกมต่อไปวีร์เป็นคนเสิร์ฟ เพราะรู้สึกว่าตัวเองเล่นได้อย่างสบายใจมากขึ้น ลูกเสิร์ฟแต่ละลูกก็ออกมาดีขึ้นตามอย่างเห็นได้ชัด มีเพียงลูกแรกที่โดนตีรับกลับมาได้ ลูกที่สองที่ถึงอีกฝ่ายจะเกี่ยวกลับมาแต่ก็ไม่ได้ข้ามตาข่าย แต่หลังจากนั้นไม่มีลูกไหนที่ชายหนุ่มร่างสูงรับได้เลย

เมื่อกลับมาเป็นฝ่ายรับลูก วีร์ไม่ได้เน้นที่จะต้องปิดเกมเร็วเหมือนเซ็ตแรก การตีพลาดก็น้อยลงไปเรื่อยๆ จากเดิมที่ชายหนุ่มรุ่นพี่เอาชนะไปได้ง่ายๆ ก็ถูกทำคะแนนตีเสมอจนต้องเล่นจนกว่าใครจะได้คะแนนได้เปรียบ ซึ่งวีร์ก็เก็บไปได้ในที่สุดและตามมาเป็น 3-2

หลังจากนั้นรูปแบบเกมก็เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน คนที่คุมจังหวะการเล่นกลายเป็นวีร์ ทั้งน้ำหนักและทิศทางถูกปรับเปลี่ยนตามที่วีร์ต้องการ ไล่ต้อนฝ่ายคู่แข่งไปทั่วสนามตามที่ตัวเองถนัด ค่อยๆตามเก็บที่ละคะแนนที่ละเกม จนวีร์สามารถทำคะแนนขึ้นนำและปิดเซ็ตไปได้ในที่สุด

1-1 6-4 4-6

วีร์และวีส์เดินออกมาข้างสนามพักดื่มน้ำ เช็ดเหงื่อบนใบหน้าและตามมือและแขนรวมไปถึงด้ามแร็กเก็ต ถึงแม้ว่าจะเพิ่งเสียเซ็ตมาแต่วีส์ยังคงแสดงท่าทางมั่นใจไม่เปลี่ยน ส่วนวีร์ก็พยามยามทำสมาธิไม่ให้วอกแวกเพื่อเซ็ตสุดท้าย

“เตรียมเลือกร้านอาหารไว้เลยนะ เราได้ไปกันหลายร้านแน่ๆ” วีส์แอบกระซิบบอกก่อนจะแยกเดินไปยังฝั่งสนามของตัวเองและเดินเก็บลูกสักหลาดเตรียมพร้อมสำหรับเซ็ตตัดสิน

“นี่เขาพนันกันไว้กี่มื้อกันละเนี่ย” ปัญจวีส์ยืนคุยอยู่กับวิธูข้างสนาม

“ไม่รู้เหมือนกัน” วิธูยักไหล่ตอบก่อนที่จะแยกตัวไปรอทำหน้าที่เก็บลูกสักหลาด

ท่าทางที่เต็มไปด้วยความมั่นใจก่อนหน้านี้ไม่ได้แปรเปลี่ยนมาเป็นคะแนนได้อย่างที่ต้องการสักเท่าไหร่ ถึงจะเก็บเกมเสิร์ฟแรกของตัวเองได้ แต่วีส์ไม่สามารถทำเกมได้อีกเลยหลังจากนั้น

ความสูงที่น้อยกว่าไม่ได้เป็นข้อเสียเปรียบของวีร์แม้แต่น้อย วีร์สามารถเคลื่อนที่ไปทั่วทุกจุดบนสนามได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว คงเป็นเพราะได้ออกกำลังอย่างหนักต่อเนื่องทำให้รู้สึกเหมือนกำลังกายเริ่มอยู่ตัวคล้ายกับเครื่องยนต์ที่เข้าที่เข้าทางแล้ว บวกกับความแม่นยำตามแบบฉบับของวีร์ ทำให้ตามเก็บคะแนนได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นลูกหลังเส้นท้ายหรือลูกใกล้ตาข่าย

“โห ปันปันสู้วีร์โหมดนี้ไม่ได้แน่ๆ” ปัญจวีส์ถือโอกาสที่เดินมาเก็บลูกสักหลาดใกล้วิธูแลกเปลี่ยนทัศนคติต่อการแข่งขันกัน

“นี่ยังไม่ใช่ท๊อปฟอร์มของมันนะ” วิธูก็แอบโอ้อวดเพื่อนของเขาไปบ้าง

“มียิ่งกว่านี้อีกเหรอ” ปัญจวีส์หันไปถามด้วยความตื่นเต้น เป็นจังหวะเดียวกับที่วีร์กำลังวิ่งขึ้นไปใกล้ตาข่ายเพื่อรับลูกกลับไป และเกิดการโต้ลูกวอลเล่ย์กันไปมาอย่างรวดเร็วและวีร์เป็นคนทำคะแนนได้ “ว้าว สุดยอด”

“ตอนมันท๊อปฟอร์ม สู้กับนายหัวได้สบายเลย”

“จริงอะ” ปัญจวีส์ร้องอย่างไม่เชื่อหูตัวเองแต่ท่าทางของวิธูก็ยันยืนคำพูดของเขา “อยากเจอวีร์ตอนท๊อปฟอร์มจัง”

“ก็ไม่แน่หรอก ช่วงนี้มันมาเล่นบ่อยขึ้น อาจจะเรียกฟอร์มเก่งกลับมาก็ได้”

“แต่ตอนนี้ สงสัยว่าเราสองคนจะรอดไม่ต้องไปช่วยหารค่าข้าวแล้วละมั้ง 5-2 แล้วนิ”

วีส์เดินมาหยิบขวดน้ำขึ้นดื่มแล้วก็เดินเปลี่ยนฝั่งไปโดยไปพูดอะไรเลยแถมยังมีสีหน้าเคร่งเครียด ส่วนวีร์เองถึงจะไม่ได้พูดอะไรเหมือนกันแต่ก็รู้สึกถึงความอึมครึมอยู่ไม่น้อย

เกมต่อเป็นเป็นเกมเสิร์ฟของวีส์ ถึงเขาจะระมัดระวังในการเล่นและพาตัวเองมีคะแนนนำจนเกือบจะปิดเกมได้แล้ว แต่ก็โดนวีร์ไล่ตามจนเสมอ 40-40 คะแนนต่อไปจึงสำคัญมาก

หลังจากที่วีส์เสิร์ฟลูกแล้วก็เกิดการตีโต้ไปมาต่อเนื่อง วีส์สามารถทำโอกาสเพื่อขึ้นหน้าตาข่าย แต่ก็โดนโยนลูกสูงกลับมายังเส้นท้ายและตีโต้กันต่อ จนวีร์ได้โอกาสฟันสไลด์ลูกขนานเส้นข้างกลับไปแล้ววิ่งตามขึ้นไปใกล้ตาข่าย รอจังหวะตัดลูกหยอดลงใกล้ตาข่าย เก็บคะแนนขึ้นนำและได้แมชต์พอยต์

คะแนนต่อไปจะเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตของใครบางคนจากข้อเดิมพันตามที่สัญญากันไว้  ถึงแม้ว่าจะไม่รู้แน่ชัดว่าคำขอสองข้อที่ว่านั้นจะเป็นอย่างไรแต่วีส์เองก็พอจะเดาทางได้ ส่วนตัวเขาเองขอแค่โอกาส ไม่ใช่ข้อผูกมัด เป็นเพียงโอกาสเท่านั้น และโอกาสอันนั้นกำลังจะหลุดลอยจากมือเขาไปแล้ว

ลูกเสิร์ฟแรกถูกตีใส่เข้าไปยังตาข่ายอย่างหน้าเสียดาย วีส์พยายามทำสมาธิแล้วจึงเสิร์ฟครั้งที่สอง ถึงแม้ว่าลูกจะพุ่งลูกพื้นและกระดอนออกไปอย่างสวยงามแต่ขอบตาข่ายที่กำลังสั่นไหวบอกให้เขารู้ว่าจะต้องเสิร์ฟใหม่อีกครั้งตามกติกา

วีส์คอยบอกกับตัวเองให้ใจเย็นๆ มีสมาธิ แล้วเสิร์ฟใหม่อีกครั้ง

ขอเพียงโอกาสเท่านั้น

ร่างกายช่วงบนยังโถมตัวลงไปด้านหน้า กำลังจะยกตัวเพื่อกลับมายืนลงน้ำหนักจมูกเท้าทั้งสองข้าง แต่ลูกสักหลาดถูกตีแรงและเร็วข้ามกลับมาตกที่ใกล้กับปลายเท้าและกระดอนออกไป โดยที่ยังไม่ได้เตรียมท่ารับได้ทัน

1-2 6-4 4-6 2-6

โอกาสหลุดลอยไปแล้ว

เสียงปรบมือของผู้ชมกิตติมศักดิ์ทั้งสองแสดงความยินดีกับชัยชนะของเพื่อนรุ่นเดียวกัน โดยไม่ได้ล่วงรู้ความคิดในใจของผู้แพ้เลยสักนิด เจ้าตัวก็พยายามเก็บอาการและแสดงออกอย่างเป็นปกติ เดินไปเก็บอุปกรณ์และลูกสักหลาดทั้งหมดให้เรียบร้อย เตรียมพร้อมเดินทางกลับ ท่างกลางเสียงชื่นชมยินดีไม่ขาดปากจากเด็กหนุ่มรุ่นน้องทั้งสองคน

วีร์เองก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่าย แต่การแข่งขันย่อมมีผลแพ้และชนะ และตัวเขาเองก็ต้องการความสงบสุขในการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยด้วยเช่นกัน ดังนั้นวีร์เองก็ไม่ได้แสดงความเห็นอะไรนอกจากจะเก็บอุปกรณ์ของตัวเองแล้วเดินตามเจ้าของรถยนต์ออกจากสนามไป

แต่กระนั้นวีร์ก็แอบชำเลืองมองสายสะพายกระเป๋าของคนตรงหน้า ว่าทำไมถึงมีลวดลายเดียวกับของเขาและของวีรดนย์ เป็นความสงสัยที่เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าอยากจะรู้ความจริง


*****


รถยนต์สีดำมันวาบวับขับมาจอดตรงหน้ารั้วบ้านที่มีต้นมะขามต้นใหญ่ จนถึงตอนนี้คนที่นั่งมาด้านหน้าไม่มีใครเอ่ยปากอะไรปล่อยให้สองคนด้านหลังคุยกันอย่างออกรสออกชาติถึงการแข่งที่เพิ่งผ่านไป ทั้งวิเคราะห์ทั้งทบทวนการเล่นลูกต่อลูก

วีร์เปิดประตูแล้วลุกออกไปจากรถยนต์ คนอื่นๆที่เหลือก็เดินตามกันมา วีร์หันกลับมาก่อนที่จะถึงประตูรั้วบ้าน คนอื่นๆก็หยุดเดินไปตามๆกัน

“ก็ตามสัญญา แล้วแต่มึงเลย” วีส์ยังยึดตามข้อเดิมพันที่ตกลงกันไว้ แม้ว่าจะไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการก็ตาม

“ถ้าอย่างนั้น...” วีร์คิดทบทวนคำขอเป็นอย่างดีแล้ว “เราสองคนก็ต่างคนต่างอยู่กันจะดีกว่าครับ”

วีส์ที่คาดเดาคำตอบไว้อยู่ก่อนแล้วแล้วพยักหน้ารับอย่างจำนนว่าสุดท้ายเรื่องของเขากับเด็กหนุ่มก็ต้องจบแบบนี้ ส่วนสองคนที่เหลือต่างก็หันมามองหน้ากันอย่างงงๆว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมสถานการณ์ที่ผิดไปจากที่พวกเขาคิด

“หมายความว่าไงวะ” วิธูถามเพื่อนของเขา

“นั่นสิวีร์ หมายความว่ายังไง” ปัญจวีส์ก็สงสัยอีกคน

วีร์ไม่ได้ตอบเพื่อนของเขา แต่ยังคงมองคนตรงหน้าด้วยสีหน้าปกติ ไม่ได้แสดงอาการเหนือชั้นอย่างผู้ชนะแต่อย่างใด

“หวังว่าจะทำตามสัญญานะครับ” วีร์ย้ำอีกครั้ง

“แล้วอีกข้อละ” วีส์ถาม

“ข้อเดียวก็พอแล้วครับ” วีร์ตอบกลับ

วีส์พยักหน้ารับแล้วก็หันเดินกลับไปที่รถยนต์ของเขา รอจนเห็นว่าเดินกลับเข้าบ้านไปก่อนที่จะขับออกไป ทิ้งสองหนุ่มให้ยืนงงว่าเกิดอะไรขึ้น วิธูจึงรีบเดินตามวีร์เข้าไปข้างในบ้าน ส่วนปัญจวีส์นั้นเลือกไม่ถูกว่าจะเอาอย่างไรแต่ก็เดินตามเพื่อนทั้งสองคนไป


*****


ช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นพี่วี วิดยาอวกาศเลย พี่เขาไม่อยู่หรอ
ก็ยังเห็นไปเรียนปกติอยู่นะ แต่เรียนเสร็จแล้วหายตัวไวมาก
แต่ไม่เห็นพี่วีที่คณะเสดสาดเลย หรือว่า...
ใกล้สอบแล้วจ๊ะหนู อ่านหนังสือกันบ้างแล้วยัง อย่ามัวแต่สนใจเรื่องอื่นกันอยู่



*****


สัปดาห์สุดท้ายก่อนสอบปลายภาคเรียน นักศึกษาหลายคนมุ่งมั่นกับการเตรียมตัวสอบวัดผล ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นแต่นักศึกษาจับกลุ่มรวมตัวกันทบทวนวิชาเรียน แต่ก็มีบ้างบางคนที่ปลีกวิเวกใช้เวลาฝึกฝนด้วยตัวเอง และยังเหลือส่วนน้อยที่ยังใช้ชีวิตปกติไม่ว่าจะด้วยเพราะเป็นคนที่เตรียมตัวอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้วจึงหาเวลาผ่อนคลายก่อนสอบ หรือไม่ก็เป็นคนที่ปลงชีวิตและคิดหาทางเลือกอื่นไว้แล้วก็ตาม

นับตั้งแต่การแข่งขันจบไป วีร์ก็ไม่ได้เจอกับชายหนุ่มร่างสูงผมสีเทาที่มักจะคอยมาวนเวียนอยู่รอบตัวบ่อยๆอย่างแต่ก่อนเลย ไม่ว่าจะแบบตั้งใจหรือแบบบังเอิญเจอ ไม่แม้กระทั่งเวลาที่วีร์จะต้องไปเรียนที่ตึกคณะวิทยาศาสตร์ฯก็ตาม สำหรับความคิดของวีร์แล้วนี่อาจจะเป็นเรื่องที่ดีแล้วก็ได้

ช่วงเวลาว่างก่อนถึงวิชาสุดท้ายที่จะต้องเรียนในภาคเรียนนี้ วีร์อยากจะใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ทบทวนวิชาเรียน จึงคิดหาที่เงียบสงบ และถึงจะได้ไม่เจอกันตลอดทั้งสัปดาห์ การนั่งอยู่ใต้คณะอาจจะสร้างโอกาสนั้นขึ้นมาได้ วีร์จึงเลือกใช้ห้องสมุดเป็นที่นั่งอ่านหนังสือ

ภายในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยมีทั้งมุมอ่านหนังสือ มุมโสตทัศนศึกษา มีแม้กระทั้งห้องวิดีทัศน์ให้หยิบยืมวิดีโอรายการต่างๆหรือละครภาพยนตร์ให้เปิดดูได้

วีร์เลือกเดินไปยังมุมอ่านหนังสือที่มีโต๊ะที่ติดตั้งฉากกั้นล้อมไว้รอบทิศทาง แบ่งสัดส่วนแยกกันไปไม่ให้รบกวนกัน วีร์มองหาโต๊ะที่ยังว่างอยู่ เมื่อเดินไปถึงแล้วและกำลังจากถอดกระเป๋าเป้วางลงบนโต๊ะ ห่างไปไม่ไกลนัก สายตาก็เหลือบไปเห็นเส้นผมสีเทาที่มีประกายสีน้ำเงินออกมายามสะท้อนกับแสงไฟ โคนผมที่เป็นสีธรรมชาติดั้งเดิมเริ่มเห็นชัดมากขึ้น ผมยาวปลกใบหน้าที่กำลังสวมแว่นสายตาและก้มมองสลับไปมาซ้ายทีขวาที

และเหมือนเจ้าตัวจะรู้สึกได้มีคนกำลังมองเขาอยู่จึงเงยหน้าขึ้นมาดู ทั้งอาการและแววตาที่แสดงออกมาว่าตกใจซึ่งก็เป็นไปตามที่เขารู้สึกจริงๆ หลังจากวันแข่งขัน วีส์ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับเรื่องเรียนที่ห้องสมุดแห่งนี้ เพราะไม่คิดว่าจะได้เจอกันแบบนี้จึงรู้สึกทำตัวไม่ถูกไปบ้าง

วีร์เองก็รู้สึกอ้ำอึ้ง แต่ก็พยายามทำตัวปกติ และกำลังตัดสินใจว่าตัวเขาเองจะทำอย่างไร

“มาอ่านหนังสือใช่มั้ย” ชายหนุ่มร่างสูงเอ่ยปากถามเบาๆเพื่อไม่ให้รบกวนคนอื่นๆ

วีร์แค่พยักหน้าตอบกลับ ไม่ได้พูดอะไรออกไปและกำลังคิดจะเปลี่ยนที่อ่านหนังสือใหม่แทน

“มึง นั่งนั่นแหละ เดี๋ยวกูไปเอง” วีส์ตัดสินใจจากท่าทางของเด็กหนุ่มแล้วและคิดว่านี่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว ที่ผ่านมาเขาพยายามหลบเลี่ยงไม่ให้เจอหน้าอีกฝ่ายให้ได้มากที่สุด ไม่ไปในที่ที่อีกฝ่ายมักจะไป หากเห็นเดินมาอยู่ไกลๆก็จะรีบเบี่ยงออกไปอีกทาง ในครั้งนี้ก็ถือซะว่าทำงานพลาด ดังนั้นจึงควรรีบแก้ตัว และถึงอย่างไรเสียเขาก็ใช้เวลาห้องสมุดมานานมากแล้วสำหรับวันนี้ หากได้ขยับเขยื้อนตัวบ้างก็คงจะดีเหมือนกัน จึงลุกขึ้นเก็บหนังสือเตรียมตัวออกไปจากห้องสมุด

“อ่า... ไม่ต้องก็ได้ครับ ต่างคนต่างอ่าน... คงจะไม่เป็นอะไร” วีร์พูดตอบกลับเบาๆ

วีส์เงยหน้ามามองถามให้แน่ใจว่าเด็กหนุ่มไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไรจริงๆหรือไม่ เขาเห็นวีร์นั่งลงที่โต๊ะที่อยู่เยื้องกันกับเขา และหยิบสมุดหนังสือออกมาจากกระเป๋าเป้ วีส์จึงนั่งลงตามเดิมและคอยลอบชำเลืองมองดูสถานการณ์ เมื่อเห็นว่าวีร์ก็อ่านหนังสือไปตามปกติ ไม่ได้มาสนใจอะไรเขาจริงๆ วีส์จึงกลับมาอ่านหนังสือของเขาเองตามเดิม


*****


เวลาผ่านไปไม่นานนัก บรรยากาศรอบๆห้องสมุดก็ยังคงเป็นไปอย่างปกติ แต่ละคนจดจ่ออยู่กับกิจกรรมของตัวเอง ไม่ได้สนใจอะไรรอบตัวมากนัก

วีร์ฝึกฝนทำโจทย์คณิตศาสตร์เตรียมพร้อมสำหรับการสอบปลายภาค ทำได้บ้าง ทำไม่ได้บ้างก็ลองเปิดดูสูตรแล้วลองทำใหม่อีกครั้ง ข้อไหนที่ทำไม่ได้จริงๆก็ข้ามไปเสียก่อนและเน้นข้อความไว้ให้กลับมาทบทวนใหม่อีกครั้ง แต่เมื่อเริ่มมีข้อที่แก้ไขไม่ออกมากขึ้นเรื่อยๆ มันก็รู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจ

ทางเลือกแรกคือหยุดพักไว้แค่นี้ก่อนเพราะสมองอาจจะไม่รับข้อมูลอะไรในตอนนี้แต่ก็จะรู้สึกค้างคาต่อไป หรือทางเลือกสองคือถามคนอื่น โดยปกติหากมีข้อสงสัยเรื่องเรียนวีร์มักจะหันไปพึ่งพาวีรดนย์เป็นคนแรก เพราะไม่ว่าจะเป็นเวลาไหนคนๆนั้นก็พร้อมจะช่วยเสมอ ดังนั้นคนที่น่าจะเป็นไปได้ในตอนนี้คือภูมิ คนที่เรียนเก่งที่สุดของครอบครัว แต่อาจจะต้องรอสักหน่อยเพราะตอนนี้ภูมิคงจะยุ่งอยู่กับงาน ถ้าอยากจะได้คำตอบเร็วๆคงจะต้องเป็นคนอื่น

นักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์และเทโนโลยี เอกฟิสิกส์ แถมยังเป็นนักเรียนทุนอีกด้วย ต้องเก่งเรื่องตัวเลขอยู่แล้วใช่หรือไม่ นั่นคือสิ่งที่ผุดขึ้นมาในความคิดของวีร์

วีร์แอบเงยหน้าขึ้นมองโต๊ะที่เยื้องกันอยู่ เส้นผมสีเทายังโผล่ขึ้นมาให้เห็นเหนือคอกกั้น วีร์คิดตัดสินใจไปมาอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะลุกขึ้นยืนพร้อมกับปึกกระดาษแล้วก็เดินไปที่โต๊ะอ่านหนังสือไม่ไกลนัก เมื่อเดินไปถึงใกล้ๆก็เห็นว่าชายหนุ่มร่างสูงมีท่าทางกำลังตั้งใจอ่านหนังสือ จึงเริ่มรู้สึกไม่อยากจะรบกวน กำลังคิดจะเดินถอยกลับแต่อีกฝ่ายก็เงยหน้าขึ้นมามองพอดี

วีส์ที่กำลังจดจ่อก็เนื้อหาตรงหน้า ความคิดของเขากำลังดำดิ่งลงไปในตัวหนังสือ แต่ก็มีอะไรบางอย่างมาสะกิดใจให้เขาเงยหน้าขึ้นมา แล้วเขาก็ชะงักไปเมื่อเห็นว่าใครกำลังยืนมองเขาอยู่ใกล้ๆ

ฝ่ายหนึ่งรู้สึกสงสัยแต่ก็พยายามทำตัวปกติ ส่วนอีกฝ่ายก็กำลังตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไรต่อดีในเมื่อถูกจับได้แล้ว จะถอยกลับตอนนี้ก็คงจะแปลกๆไปสักหน่อย

“มีอะไรรึเปล่า” เป็นฝ่ายคนพี่ที่ถามก่อนด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่ไม่ได้พยายามทำตัวสนิทสนมเหมือนก่อน แต่ก็ไม่ถึงกับทำตัวเหินห่างเหมือนคนไม่รู้จักกัน

“เอ่อ ยุ่งอยู่รึเปล่าครับ” วีร์ยังรู้สึกเกรงใจอยู่

“ก็นิดหน่อย แต่ก็...”

“งั้น ไม่เป็นไรครับ” วีร์ไม่ได้อยากรบกวนถ้าหากชายหนุ่มรุ่นพี่นั้นไม่ว่างจริงๆ เรื่องที่สงสัยรอเก็บไว้ถามภูมิก็ได้

“เดี๋ยว... มีอะไรก็ว่ามาสิ” วีส์เรียกรั้งตัวไว้ก่อนเด็กหนุ่มรุ่นน้องจะเดินออกไป แม้ว่าจะรู้สึกเหมือนมีน้ำทิพย์จากสวรรค์หยดลงชโลมให้ชุ่มชื้นหัวใจ แต่ก็ไม่อยากตั้งความหวังไว้มากเกินไป

วีร์ยังไม่แน่ใจนักเพราะไม่อยากรบกวนเวลา แต่ว่าถามกลับไปกลับมาถึงขั้นนี้แล้ว ยังไงก็ทำอีกฝ่ายเสียเวลาไปแล้วอยู่ดี วีร์จึงวางปึกกระดาษลงบนโต๊ะและชี้ให้อีกฝ่ายดู

“ช่วยดูข้อนี้ให้หน่อยได้มั้ยครับ”

วีส์อ่านโจทย์ที่เด็กหนุ่มชี้ให้ดู แล้วก็สงสัยว่ามีอะไรให้สงสัย

“จำสูตรพื้นฐานได้รึเปล่า”

วีร์พยักหน้าแต่ก็ยังคงขมวดคิ้วอยู่ สูตรพื้นฐานนั้นเขาจำได้แต่ยังไม่ค่อยจะแน่ใจสักเท่าไหร่ว่าจะเอามาใช้กับข้อนี้ได้อย่างไร

“กูเขียนในนี้ได้ใช่มั้ย” วีส์ถามเพื่อความแน่ใจเพราะเห็นมีเนื้อที่ว่างอยู่ แต่เจ้าของอาจจะไม่ต้องการให้มีรอยเปื้อนก็เป็นไปได้

ส่วนวีร์ก็ตอบด้วยการดึงกระดาษเปล่าที่ซ้อนอยู่แผ่นล่างออกมาให้ แล้วก็มองดูชายหนุ่มร่างสูงลงคาถาในกระดาษ ปรับรูปสมการใหม่แล้วแก้โจทย์ตั้งต้นจนได้คำตอบให้ดู

“พอจะเข้าใจมั้ย” วีส์ยื่นกระดาษที่เขาเขียนให้วีร์อ่าน เด็กหนุ่มใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็พยักหน้า วีส์จึงหันกลับมาอ่านที่กระดาษโจทย์คำถาม ก็สังเกตเห็นว่ามีข้ออื่นๆที่มีเครื่องหมายเขียนกำกับเช่นเดียวกับข้อที่เด็กหนุ่มเพิ่งจะถามถามเขา “ข้อพวกนี้ด้วยใช่มั้ย”

“อ่า ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยว...” วีร์กำลังจะบอกปฏิเสธ

วีส์ดึงกระดาษที่เขาเพิ่งแก้โจทย์ให้กลับมาจากมือของวีร์ แล้วมองดูโจทย์คำถามทีละข้อ จากนั้นก็เริ่มเขียนแนวทางการหาคำตอบให้ลงในกระดาษแผ่นนั้น

น้องน่ะชอบคนเก่ง แต่... ไม่ชอบคนโม้ว่าตัวเองเก่ง ถึงจะเก่งจริงก็เหอะ
มิน่าละ ถึงไปหลงเสน่ห์ไอ้หมอนั่น ทำไงได้อะนะ ตัวท๊อปตั้งสามวิชา
เราเองก็ตัวท๊อปมาสองวิชาไม่ใช่รึไง
แล้วก็ไม่เห็นจะช่วยอะไรได้ เดินมาชนจนตัวเราเซ เงยหน้าขึ้นมามองสักนิดก็ยังไม่มี


วีส์ชะงักไปกับคำสนทนาเก่าๆในอดีต ทำให้ฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ แต่ก็ตัดสินใจเขียนต่อจนหมดทุกข้อที่มีเครื่องหมายกำกับไว้อยู่ เขาไม่ได้หาคำตอบให้ทั้งหมด เขาไม่ได้อวดฉลาดถึงแม้ว่าเขาจะมีดีให้อวดจริง เขาก็เป็นคนแบบนี้แหละ

วีส์ยื่นกระดาษกลับไปให้วีร์และรอดูปฏิกิริยาของเด็กหนุ่มว่าจะเป็นอย่างไร ส่วนวีร์อ่านทีละข้อ บางข้อเขาก็เข้าใจได้ในทันทีแต่บางข้อก็ยังรู้สึกสงสัยอยู่ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดีเพราะไม่มีสัญญาณที่ไม่ดีอะไรแสดงออกมา

“เข้าใจมั้ย” วีส์เสี่ยงลองถามโดยไม่ได้คาดคิดว่าจะได้คำตอบกลับมาแบบไหน ไม่อยากคาดหวังสูงแต่ก็ไม่ได้คาดหวังไว้ต่ำขนาดนั้น เพราะถ้าจะบอกว่าไม่คาดหวังอะไรเลยก็คงจะโกหกตัวเองไปสักหน่อย

“ครับ ขอบคุณครับ” วีร์ตอบขอบคุณสั้นๆ

คนนั่งรอก็รอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ เพราะคนยืนก็ยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับตัวไปไหน ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เขาก็คงออกปากแซวความน่ารักของเด็กหนุ่มไปแล้ว เพราะยังไม่อยากจะผิดคำพูดของตัวเอง แต่ถ้ายังยืนต่ออยู่นานๆกว่านี้ก็ไม่แน่เหมือนกัน

วีร์เหมือนจะรู้สึกได้ จึงลอบเบนสายตามองแล้วเห็นว่าชายหนุ่มรุ่นพี่กำลังจ้องเขาอยู่

“เอ่อ งั้น... ขอบคุณครับ ผมไม่รบกวนแล้วจะดีกว่า”

ว่าแล้ววีร์ก็เดินกลับไปที่โต๊ะของตัวเอง ตอนนี้ยังพอมีเวลาเหลือที่จะทบทวนต่อได้อีกหน่อย จากแนวทางที่ชายหนุ่มผมสีเทาเขียนมาให้ วีร์ก็พยายามทำโจทย์ดู พอแก้สมการได้ข้อหนึ่งก็รู้สึกโล่งใจและยืดตัวขึ้นแอบมองเหนือขอบฉากกั้น แต่ก็แล้วก็รีบก้มหน้าลงกลับตามเดิม เพราะเจอสายตาคู่เดิมมองกลับมาที่เขาเหมือนกัน

โคร้ม!


[อ่านต่อด้านล่าง]

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Artemis20: (แนบรูป) สายรายงานจากห้องสมุด เขาไปติวหนังสือสอบด้วยกันนะ #ไม่ต้องตาม #เรื่องเกิดเมื่อวาน #พี่วียังสบายดี #VVGo4Launch
เห็นแค่นี้ก็ชื่นใจ พี่วีปลอดภัยดีแล้ว น้องวีน่ารักเหมือนเดิม ยานอวกาศของเรายังแข็งแรงอยู่
วีวิดยาเป็นอะไร เห็นขึ้นเต็มฟีดเลย
ล้มเก้าอี้ในห้องสมุด แต่ว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก



*****


การสอบวัดผลปลายภาคเรียนที่หนึ่งเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว นักศึกษาแต่ละคนก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนยาวไปจนถึงช่วงปีใหม่ ก่อนจะกลับมาเผชิญกับการเรียนภาคสุดท้ายของปีการศึกษา

ตามที่ได้นัดหมายกันมานานแล้วโดยมีสองหนุ่มฝาแฝดลูกหลานเครือล้ำเลิศรัตนทรัพย์ที่ต้องการจัดปาร์ตี้ที่บ้านหลังสอบเสร็จ เนื่องจากติดภารกิจอื่นช่วงวันขึ้นปีใหม่ ทำให้ไม่สามารถเฉลิมฉลองในช่วงเวลานั้นได้ตามธรรมเนียมของเพื่อนๆที่ปฏิบัติสืบเนื่องกันมา

แต่ที่ต่างออกจากปกติคือมีแขกพิเศษเพิ่มขึ้นมา แพรไหมในฐานะแขกของวิธู และแพรพรรณในฐานะแขกของสุรศักดิ์มาร่วมงานด้วย วีร์เคยเปรยว่าจะชวนปัญจวีส์มาด้วยเพราะบ้านก็อยู่ในอาณาบริเวณเดียวกันอยู่แล้ว ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ยกเว้นก็เพียงแต่ศศิทัศน์ที่คัดค้านหัวชนฝา ว่าอย่างไรก็ไม่ให้ชวนมา

เพื่อนๆก็ไม่อยากจะให้มีเรื่องราวใหญ่โตจึงไม่ได้เห็นแย้งอะไร

นอกจากนี้กิจกรรมก่อกองไฟที่ทำมาทุกปีก็ปรับเปลี่ยนเหลือแค่เตาปิ้งย่างบาร์บีคิวเท่านั้น เพื่อไม่ให้เกิดการก่อมลพิษในเขตเมืองตามนโยบายของภาครัฐ แต่เหตุผลที่สำคัญมากกว่าคือการบริหารจัดการทุกอย่างในวันนี้ สองหนุ่มนพชัยและชัยทิศต้องลงมือทำเอง ไม่สามารถไปร้องขอให้คนอื่นช่วยได้เหมือนแต่ก่อนตอนที่ยังเป็นเด็กนักเรียนอยู่

กระนั้นพวกผู้ใหญ่ยังคงให้การสนับสนุนงบประมาณ เพราะถือว่าเป็นการกินเลี้ยงกันทั้งครอบครัว เด็กหนุ่มเด็กสาวแต่ละคนจะคอยบริการยกอาหารที่ทำเสร็จแล้วเข้าไปวางที่โต๊ะใหญ่ในบ้านด้วยเช่นกัน

กิจกรรมแรกของวันนั้นคือทุกคนไปช่วยกันเลือกซื้อของสดสำหรับมาทำอาหารกินกัน แหล่งวัตถุดิบก็หนีไม่พ้นซุปเปอร์มาร์เก็ตภายในห้างสรรพสินค้าของเครือล้ำเลิศที่อยู่ติดกับสวนด้านหลังของบ้านเครือล้ำเลิศนั่นเอง ก่อนที่จะกลับมาเตรียมหั่นผักหั่นเนื้อเพื่อเสียบไม้ไว้รอปิ้งย่างในตอนเย็น

รวมถึงรายการพิเศษที่ขาดไม่ได้คือ มันทิพย์ ที่กลายเป็นธรรมเนียมใหม่ของงานเลี้ยงไปแล้ว

“คุณกิ่งคุณก้านคะ น้ำแข็งมาส่งแล้วคะ” แม่บ้านมาตามตัวเจ้าภาพงานให้ไปจัดการนำแข็งสั่งไว้ให้มาใส่ถังน้ำแข็งขนาดใหญ่

“ขอบคุณครับ” สองหนุ่มกล่าวขอบคุณและเดินตามแม่บ้านออกไป

“ไอ้วีร์ จุดเตาได้เลยมั้ง กว่าจะติดไฟอีก” วิธูดูเวลาแล้วบอกเพื่อนสนิทในขณะที่เขากำลังช่วยแฟนสาวปั้นก้อนหัวมันเตรียมสำหรับย่างไฟ

“เอางั้นเออ” วีร์ถามเพื่อนๆคนอื่นๆด้วย

“เอาเลยมึง” สุรศักดิ์เองก็คิดแบบเดียวกันขณะที่กำลังเสียบเนื้อหมักเครื่องเสียบผักนานาชนิดด้วยแท่งเหล็กสำกรับปิ้งย่าง โดยมีแพรพรรณ ศศิทัศน์และพระยศเป็นลูกมืออยู่

วีร์จึงผละมือจากการปั้นก้อนหัวมัน แล้วก็เดินออกมาด้านนอกบ้านที่วางเตาปิ้งย่างขนาดใหญ่ เขายกฝาเตาเปิดขึ้นแล้วยะตะแกรงออกวางพิงขาตั้งเตา จากนั้นก็มองหาเชื้อไฟและไฟแช๊ก แต่ว่าสิ่งสำคัญที่สุดกลับหาไม่เจอ มองดูรอบๆแล้วก็ไม่เจอ เดินไปหาบริเวณอื่นแล้วก็ยังไม่เห็น จึงเดินกลับเข้าไปด้านในบ้านอีกครั้ง จังหวะเดียวกันกับที่สองหนุ่มเจ้าภาพงานกลับเข้ามาพอดี

“ไอ้กิ่งไอ้ก้าน ถ่านอยู่ไหนวะ” วีร์ถามทั้งสองคน

“ถ่าน” หนึ่งในฝาแฝดถามกลับอย่างงงๆ

“ใช่ ถ่าน อยู่ไหน” วีร์ถามไปอีกครั้ง

นพชัยและชัยทิศหันมามองหน้ากันเอง แล้วก็หันกลับไปหาวีร์

“ไม่ได้อยู่ที่เตาแล้วเหรอวะ” ฝาแฝดอีกคนถามกลับ

“ถ้าเห็นแล้วกูจะมาถามพวกมึงมั้ย” วีร์มองตอบกลับ โชคดีที่ยังไม่ถึงกับจ้องตาเขม็งให้เพื่อนกลัว

“ไอ้พวกแฝด พวกมึงสั่งถ่านมาด้วยรึเปล่าวะ” สุรศักดิ์ตะโกนถามมา

“สั่งแล้วสิวะ สั่งตั้งแต่เมื่อวานเลย” “ใช่ ย้ำแล้วด้วยว่าให้เอามาส่งก่อนห้าโมง”

เพื่อนๆหลายคนก็เข้าใจได้ในทันทีว่าทำไมถึงยังไม่มีถ่าน เพราะตอนนี้ยังไม่ทันจะสี่โมงเย็น ซึ่งก็ไม่ใช่ความผิดที่ร้านค้าแต่อย่างใด

“มึงโทรไปตามให้เขาเอามาส่งเลยมึง” สุรศักดิ์ออกปากไล่ให้เพื่อนเขารีบไปจัดการ

นพชัยและชัยทิศก็รีบโทรไปในทันที แต่เนื่องจากผิดเวลาที่สั่งไว้เดิม ทำให้ร้านค้าไม่คนส่งของว่างมาส่งให้ในตอนนี้ ทั้งนพชัยและชัยทิศต่างช่วยกันร้องขอให้ทางร้านช่วยอย่างเร็วที่สุดเพราะว่าเป็นลูกค้าชั้นดีที่สั่งซื้ออยู่เป็นประจำ ทางร้านรับคำว่าจะพยายามทำให้อย่างเต็มที่ แต่อย่างเร็วที่สุดต้องอีกรออีกครึ่งชั่วโมง ตอนนี้จึงทำได้แค่เตรียมวัตถุดิบให้เสร็จเรียบร้อยไปก่อน

เวลาผ่านไปจนถึงสี่โมงครึ่งแล้วก็ยังไม่มีวี่แววว่าคนส่งของจะมา แต่ของทุกอย่างเตรียมพร้อมหมดแล้ว เหลือแค่จุดไฟและลงมือย่างเท่านั้นเอง แค่ละคนจึงนั่งพักรอ ปล่อยให้สองหนุ่มฝาแฝดวิ่งวุ่นจัดการกันเอง

ระหว่างนั้นวีร์ก็ตัดสินใจขอออกไปเดินเล่นดูสวนดอกไม้ภายในบ้านล้ำเลิศรัตนทรัพย์ที่มักจะตกแต่งไว้สวยงามตลอดเวลา ก่อนไปก็เอ่ยปากชวนสองสาวเดินไปด้วยกันแต่ก็ได้รับคำปฏิเสธมาจากทั้งสองคน วีร์จึงไปเดินชมสวนคนเดียว

สวนไม้ดอกยังคงเน้นดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมหลากหลายพันธุ์เป็นหลักเหมือนเดิม แต่ก็มีดอกไม้ที่เน้นสีสันที่แข่งกันชูช่ออวดโฉมล่อให้แมลงต่างๆเข้ามาดอมดม ถึงแม้ว่าจะไม่ได้พกกล้องถ่ายรูปติดตัวมาด้วย แต่เมื่อเจอดอกไม้ชนิดไหนที่สวยงามถูกใจก็ใช้กล้องถ่ายรูปจากโทรศัพท์เก็บภาพไว้ไปก่อน

“โฮ่ง โฮ่ง”

วีร์เงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆทั้งทางด้านซ้ายและขวา มองหาทิศทางของเสียงสุนัขที่เห่าดังมา

“โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง”

วีร์หันหลังกลับมาก็เจอกับสุนัขสีดำตัวใหญ่ ท่าทางกำลังพิจารณาตัวเขาอยู่ว่าเป็นมิตรหรือว่าผู้บุกรุกกันแน่ มันก้มหัวลงทำท่าเหมือนว่ามีกลิ่นสูดดมแล้วก็เดินอ้อมมาทางด้านขวามือของวีร์

“โฮ่ง โฮ่ง”

สุนัขสีดำตัวใหญ่ส่งเสียงเห่าอีกครั้งเมื่อวีร์ลุกขึ้นยืนแล้วหัวตัวไปเผชิญหน้ากับมัน เจ้าสัตว์หน้าขนก็หยุดมองอย่างระวังตัว แต่ปลายหางกลับเริ่มเหวี่ยงไปซ้ายทีขวาที แต่กระนั้นก็ยังไม่เดินเข้ามาใกล้วีร์

สำหรับวีร์เองก็ระมัดระวังตัวกับสุนัขแปลกหน้า ไม่รู้ว่ามันจะมาดีหรือมาร้ายกับเรา จึงเตรียมพร้อมหากเกิดเหตุไม่คาดฝันจะได้วิ่งหนีทัน แต่เมื่อมองดูลักษณะของสัตว์ตรงหน้าแล้วก็รู้สึกเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออก ลวดลายที่หลังของมันช่างคุ้นตาเสียเหลือเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งรอยแผลเป็นที่ลากผ่านจากกลางสันจมูกผ่านใต้ดวงตาลงไป ยิ่งดูดีๆแล้วก็ยิ่งใช่

“ตะโก” วีร์ส่งเสียงเรียกชื่อ แล้วก็สังเกตเห็นว่าหางของมันแกว่งเร็วขึ้นถึงจะไม่มากนัก “ตะโก” วีร์ส่งเสียงเรียกอีกครั้งพร้อมย่อตัวลงและยื่นมือข้างหนึ่งออกไป เขาเองก็ไม่แน่ใจนักเพราะความเป็นไปได้ที่พ่อพันธุ์ที่ให้กำเนิดต้าวและเติบจะมาอยู่ที่นี่ได้แทบจะติดลบ “ตะโก”

หูของสุนัขสีดำตัวใหญ่ลู่พับไปด้านข้าง หางของมันแกว่งเร็วขึ้นอีก มันค่อยๆเดินย่องเข้าใกล้วีร์มากขึ้นเรื่อยๆ จนเข้ามาอยู่ในระยะที่จมูกของมันสามารถรับกลิ่นเฉพาะตัวของแต่ละบุคคลได้ ลำตัวของมันก็เริ่มบิดซ้ายบิดขวาตามแรงสะบัดของหางแข็งๆของมัน ขาทั้งสี่ข้างย่อลงและคลานเข้าไปใกล้ๆให้มนุษย์ตรงหน้าที่มันคุ้นเคยได้จับตัวลูบคลำ แล้วมันก็กระโดดวิ่งกระโจนไปรอบๆตัววีร์อย่างดีใจ พร้อมกับส่งเสียงเห่าเสียงร้องอย่างตื่นเต้น

วีร์พยายามจับตัวสุนัขสีดำให้อยู่กับที่ พยายามลูบหัวลูบลำตัวให้สุนัขคลายความตื่นเต้น เพราะว่าถ้าสุนัขตัวนี้คือตะโกที่เป้ฯพ่อของต้าวและเติบจริง ก็จะเป็นสุนัขที่มีอายุพอสมควรแล้ว

“ไอ้โก!” เสียงร้องเรียกที่ไม่ได้ออกมาจากปากของวีร์ดังมา

เจ้าสัตว์หน้าขนก็รับคำสั่งแล้วผละออกจากตัววีร์ แล้วก็วิ่งไปหาต้นเสียง ชายหนุ่มร่างสูงผมสีเทาที่โคนผมเห็นเป็นธรรมชาติมากขึ้นแล้วเดินออกมาพอดีกับที่สุนัขตัวใหญ่กระโจนเข้าใส่แล้วก็ดีดตัวออกทันทีไม่ให้ถูกจับตัวไว้ แล้วก็วิ่งไปรอบๆชายหนุ่มคนนั้นก่อนที่จะวิ่งกลับมาหาวีร์

เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง

ได้แค่สงสัยแต่ยังไม่ทันได้ถาม เพราะเจ้าสุนัขตัวใหญ่ฤทธิ์มากกำลังตื่นเต้นดีใจสุดๆอยู่ กำลังจะวิ่งกลับไปหาชายหนุ่มแต่ก็เปลี่ยนกลับมาหาวีร์ดังเดิมและพยายามกระโดดเกาะขึ้นเลียหน้าเลียตา และ...

“พี่ หาเจอยัง เดี๋ยวมันวิ่งไปบ้านโน้น เขามีงานกั...นอยู่” เสียงของปัญจวีส์ขาดหายไปตอนที่เขาเดินมาเห็นว่ามีใครอยู่ในบริเวณนี้บ้าง แล้วเขาก็ยืนอยู่นิ่งๆเพราะไม่รู้ว่าจะรับมือกับสถานการณ์ตอนนี้อย่างไรดี

คำถามมากมายเริ่มผุดขึ้นมาในความคิดของวีร์ จนไม่รู้ว่าจะถามอะไรก่อนดี และไม่รู้จะถามใครก่อนดี ทั้งสามคนก็ต่างรักษาความเงียบของตัวเองไว้ รอดูว่าใครจะเป็นคนเริ่มพูดก่อน

“ปันปัน” วีร์หันไปหาปัญจวีส์และถามด้วยความคลางแคลงใจ “ทำไมเขามาอยู่ที่นี่”

ปัญจวีส์มีท่าทางตะกุกตะกักเหมือนจะตอบแต่ก็ไม่ตอบกลับไปกลับมา ทำให้วีร์เริ่มรู้สึกสงสัยมากขึ้นไปอีกว่ามีเรื่องปิดบังอะไรถึงบอกไม่ได้

“นี่คือตะโกใช่มั้ย” ในเมื่อคำถามแรกไม่ได้ความอะไรกลับมา วีร์จึงเปลี่ยนคำถามใหม่ แต่คราวนี้หันไปถามชายหนุ่มร่างสูง เพราะอย่างน้อยเขาก็เรียกชื่อสุนัขตัวนี้ออกมาก่อนหน้านี้ ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรแล้ว

วีส์พยักหน้ารับว่าสุนัขที่กำลังโลดเต้นดีใจคือตะโกจริงๆ

“เฮ้ย เกิดอะไรขึ้นวะ เป็นอะไรมั้ยมึง” วิธูที่วิ่งตามเสียงของสุนัขมาและเห็นมันกำลังจู่โจมเพื่อนสนิทของเขาจึงถามด้วยความเป็นห่วง แต่ก็รู้สึกตกใจว่ามีคนอื่นอยู่ด้วยอีกสองคน และเพิ่งจะสังเกตว่าเจ้าสัตว์หน้าขนกำลังดีอกดีใจต่างหาก โดยเฉพาะในตอนนี้ที่มีเพื่อนเล่นคนใหม่มาอีกคน

วีร์มองตามสุนัขที่วิ่งไปหาวิธูด้วยท่าทางที่เป็นมิตรอย่างมาก จากนั้นมันก็พยายามสะบัดตัวออกจากวิธูแล้ววิ่งไปหาคนอื่นๆต่อไปอีก

“ตะโก นั่ง” “ไอ้โก นั่ง” เสียงคำสั่งดังพร้อมกันทำให้สุนัขตัวใหญ่หยุดนิ่งและหันมองว่าจะฟังคำสั่งใครดี แต่สุดท้ายมันก็หย่อนขาหลังนั่งลงแต่โดยดี

“ไอ้วีร์ มึง...” วิธูรีบเดินไปหาเพื่อนของเขา แต่วีร์ก็ยกฝ่ามือขึ้นห้ามไว้

“มึ้งยุด ม้ายต๋องแล่ง” วีร์พูดเสียงแข็ง “กูรู้แล้ว”

“มึงรู้แล้วเออ” วิธูถามย้ำให้แน่ใจ

“เออ” วีร์ก็กระแทกเสียงตอบกลับอย่างคนโมโหแต่ก็พยายามเก็บอารมณ์ไว้ “มึงไม่ต้องปิดแล้ว”

วิธูหันไปมองดูสองคนที่เหลือเพื่อความแน่ใจ วีส์นั่นยืนอยู่นิ่งๆ ส่วนปัญจวีส์นั้นกำลังแอบโบกมือให้เขาอยู่

“งั้นก็ดี กูก็คร้านอีปิดมึงต่อไปอีกว่าเราสามคนเป็นพี่น้องกัน”

ทันทีที่วิธูพูดจบปัญจวีส์ก็มีสีหน้าเหยเก ส่วนวีร์ก็สะบัดหันกลับมามองเขาและมองด้วยแววตาคาดคั้น ในเสี้ยววินาทีนั้นวิธูก็ยกมือขึ้นปิดปากตัวเองเพราะรู้ตัวว่าได้เผลอพูดสิ่งที่ไม่ควรเปิดเผยออกไป

“พี่น้องกันเออ” ถึงวีร์จะยิ้มมุมปากแต่กับแววตาที่ไม่ได้รู้สึกดีใจไปด้วยทำให้ดูน่ากลัวมากขึ้นไปอีก

วิธูอ้ำๆอึ้งๆไม่รู้ว่าจะแก้ตัวอย่างไรดี จะหันไปขอความช่วยเหลือจากพี่น้องอีกคนซึ่งก็คงจะช่วยอะไรไม่ได้มากนัก เขาไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังเรื่องนี้ไว้นาน ก็แค่คิดว่ารอเวลาที่เหมาะสมก่อนแล้วจึงจะบอก ตอนนี้ทำได้แค่ต้องพยายามให้เพื่อนของเขาใจเย็นลงก่อน

“ถ้าจะพูดให้ถูก” เสียงของชายหนุ่มร่างสูงผมสีเทาเรียกความสนใจจากคนที่ยืนอยู่ตรงกลางในวงสนทนานี้ให้หันไปมอง “ต้องบอกว่า... เราสี่คนเป็นพี่น้องกันต่างหาก”

วีร์จ้องมองไปในดวงตาของชายหนุ่ม แล้วก็คิดอยู่ในใจว่า ใช่สินะ สี่คน วีรดนย์ วิธู ปัญจวีส์ และวีส์


*****

#VVGo4Launch

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ตอนที่ 7 ครั้งแรกที่เรา...


วิธู:
ขอโทษครับ ไม่ได้ตั้งใจ
ก็นึกว่ามันรู้แล้ว

Pun Pun:
ปันปันพยายามส่งซิกให้แล้วนะ

Yobortsa:
ช่างเหอะ ยังไงก็ต้องรู้อยู่ดี


*****


งานเลี้ยงในวันนั้นจบลงอย่างไม่ราบรื่นสักเท่าไหร่ เริ่มจากวีร์เดินหน้าตึงกลับมาจากการเดินเล่นชมสวนภายในบ้านล้ำเลิศรัตนทรัพย์โดยที่ไม่พูดไม่จากับใคร แล้วก็เดินตรงไปหยิบกระเป๋าเป๋ของตัวเอง จากนั้นก็เดินออกไปจากบ้านทันที สวนทางกับนพชัยและชัยทิศที่กำลังขนกระสอบถ่านโดยที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรและพยายามร้องบอกวีร์ว่าพร้อมจะจุดไฟกันแล้ว

ตามมาไม่ห่างกันก็คือวิธูที่วิ่งหน้าตาตื่นกลับมาพร้อมกับมองหาวีร์ แต่เมื่อรับรู้ว่าวีร์เดินออกไปแล้ว ก็รีบคว้ามือแฟนสาวและวิ่งตามออกไปและไล่ตามทันตรงประตูรั้ว แต่ว่าโดนชี้หน้าและส่งสายตาดุดันกลับมาจนต้องพับแผนถอยกลับทันที เพราะหากไปตามตอแยต่อในตอนนี้คงจะทำให้พายุพัดรุนแรงขึ้นไปอีก และเมื่อวีร์ไปแล้ว วิธูก็ยังต้องเจอกับสายตาคาดคั้นจากแฟนสาวต่อ

ที่ตามมาไม่ห่างกันมากนักก็คือปัญจวีส์ ที่เมื่อมาถึงแล้วก็โดนยิงคำถามใส่รัวๆว่าเกิดอะไรขึ้นจนไม่รู้ว่จะตอบคำถามใครก่อนดี โดยเฉพาะจากศศิทัศน์ที่หมายหัวตัวผู้ร้ายในวันนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว

สุดท้ายแล้ววิธูและแพรไหมตัดสินใจลาเพื่อนกับก่อนที่งานเลี้ยงจะเริ่มต้นขึ้น พร้อมกับขอโทษเพื่อนทุกคนที่ทำให้งานเลี้ยงวันนั้นหมดสนุกและขอยอมรับผิดว่าเป็นต้นเหตุของเรื่องวันนี้แต่เพียงผู้เดียว ส่วนรายละเอียดนั้น เขาขอไว้ว่าให้เขาคุยกับวีร์ให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยมาอธิบายให้เพื่อนๆฟังทีหลัง


*****


ภายในห้องพักขนาดไม่ใหญ่มาก มีกระเป๋าอุปกรณ์กีฬาและกระเป๋าเสื้อผ้าที่เปิดวางอยู่บนเตียง รองเท้าและถุงเท้าวางอยู่บนพื้นข้างเตียง ชายหนุ่มผิวเข้มที่เพิ่งจะอาบน้ำเปลี่ยนชุดเสร็จเรียบร้อยแล้ว กำลังจัดเตรียมสิ่งที่ต้องใช้ในวันรุ่งขึ้น ก่อนที่จะได้พักผ่อนเพื่อฟื้นฟูร่างกายสำหรับวันต่อไป

เสียงสัญญาณดังมาจากโทรศัพท์ที่กำลังเสียบสายไฟที่วางอยู่ข้างเตียง พีรพัชร์จึงเดินไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วถอดสายไฟออก กลางหน้าจอโทรศัพท์ปรากฏชื่อที่เขาบันทึกไว้ว่า V น้อง

“ว่าไง” พีรพัชร์เลื่อนหน้าจอตอบรับการโทรด้วยภาพวิดีโอ

(ยุ่งอยู่ปะ) ชายหนุ่มที่รวมผมสีเทาไว้เรียบร้อย แต่งตัวด้วยชุดนอน และสวมแว่นสายตา

“ก็... กำลังจะนอนแล้ว” พีรพัชร์เก็บเสื้อผ้าสิ่งของที่รื้ออกมาจากกระเป๋า เปิดพื้นที่ว่างบนเตียง แต่เห็นว่าปลายสายเงียบไปจึงหันไปสนใจหน้าจอโทรศัพท์อีกครั้ง “มีอะไรก็ว่ามา”

(น้องรู้แล้ว) วีส์ตอบแล้วก็ถอนหายใจ

“รู้อะไร” พีรพัชร์ถามกลับด้วยความสงสัย

“ก็... เรื่องสี่คนพี่น้อง” วีส์อธิบายสั้นที่คิดว่าอีกฝ่ายก็น่าจะรู้ได้ในทันที เพราะนอกจากเพื่อนสนิทอย่างกฤษณะแล้วก็มีพีรพัชร์ที่รู้เรื่องความสัมพันธ์ของสี่พี่น้อง และพีรพัชร์ก็เป็นคนที่สนิทกับพี่ชายคนโตของเขาด้วย

พีรพัชร์อึ้งไปเล็กน้อยไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องนี้ทั้งๆที่อีกฝ่ายเคยหว่านล้อมไม่ให้เขาบอกเรื่องนี้กับวีร์เองด้วยซ้ำไป

“อ้าว เหรอ บอกน้องไปแล้วเหรอ” พีรพัชร์นั่งลงบนเตียงเพราะคิดว่าคงจะต้องคุยกันอีกนาน

(เปล่า)

“แล้วน้องรู้ได้ยังไง” พีรพัชร์ถามกลับด้วยความสงสัย ถ้าไม่มีใครบอก วีร์ก็ไม่น่าจะระแคะระคายอะไรได้เลย

(ไอ้ต่ายมันเผลอหลุดปาก)

“ฮา แล้วน้องว่าไง” พีรพัชร์หัวเราะออกมาก่อนที่จะถามต่อ พอจะนึกท่าทางของวิธูออกจากที่รู้จักกันมานาน

(ไม่รู้เหมือนกัน เห็นว่าลงใต้ไปแล้ว แม่เฒ่าไม่สบาย) วีส์มองตอบกลับว่าเขาไม่ได้รู้สึกขำไปด้วย

“แม่เฒ่าเป็นอะไร” พีรพัชร์หยุดหัวเราะและถามด้วยความเป็นห่วงผู้สูงอายุที่เขารู้จัก

(ยังถามคนที่รู้เรื่องไม่ได้ นายลองถามให้หน่อย)

“โอเค เดี๋ยวลองโทรไปถามน้องดู”

(แต่ห้ามพูดเรื่องเราสี่พี่น้อง) วีส์รีบพูดดักทางไว้เสียก่อน เพราะไม่อยากให้เรื่องมันลุกลามจนแก้ไขอะไรไม่ได้

“รู้หรอกน่า ขืนพูดไปเดี๋ยวก็ได้โดนซักกลับว่าไปรู้มากจากไหนอีก”

(ก็บอกว่ารู้มากจากไอ้ต่ายก็ได้ เดี๋ยวมันก็บินไปถึงพรุ่งนี้) เมื่อพูดถึงน้องชายคนละแม่ วีส์เลยถือโอกาสฝากฝังเพื่อนที่เคยร่วมสนามแข่งกันมาก่อน (เออ ฝากช่วยดูมันด้วยนะ ชาเลนเจอร์สนามแรก มันน่าจะตื่นเต้นพอสมควร)

“ได้ เดี๋ยวช่วยดูให้” พีรพัชร์รับปากรับคำ แล้วก็รอฟังว่าคนปลายสายจะพูดอะไรอีกหรือไม่ แต่ต่างฝ่ายก็เงียบกันไป พีรพัชร์จึงตัดสินใจพูดก่อน “เคยคิดมั้ยว่า ตอนนั้นถ้าให้เขาช่วยแนะนำตัวนายให้น้องรู้จักไปซะก็หมดเรื่องไปแล้ว”

(ช่วยแล้วได้อะไร นี่ๆน้องพี่เอง เดี๋ยวถ้าพี่ไปแล้ว เขาจะมาช่วยดูแลเราต่อให้เอง เอาแบบนั้นเหรอ เห๊อะ! ความคิดของคนใกล้ตาย แล้วเป็นไง สุดท้ายคนที่ก็ฝากไว้ก็ไปอีกคนอยู่ดี) วีส์พ่นลมหายใจออกมาแล้วก็เบะมุมปาก ถึงปากจะพูดออกมาแบบนั้น แต่ในใจก็ไม่คิดแบบนั้นซะทีเดียว

พีรพัชร์ส่ายหน้าให้กับการแสดงออกเดิมๆของอีกฝ่ายที่ยังไม่ยอมเปลี่ยนไปสักที

“ก็ถ้ายอมไปแต่แรก มันก็ไม่มีคนอื่นไม่ใช่รึไง” พีรพัชร์ย้อนถามกลับ เพราะมัวแต่ไปยึดติดกับความคิดสมัยเด็กจนตัดโอกาสของตัวเองและเปิดโอกาสให้คนอื่น ซึ่งพีรพัชร์เองก็ยอมรับว่าการที่วีส์ปฏิเสธไปคราวนั้นสร้างความหวังให้เขาอยู่ไม่น้อย แต่กระนั้นต่อมาอีกฝ่ายก็เป็นคนที่ทำให้เขาตัดใจจากเด็กหนุ่มได้เร็วขึ้นด้วยเช่นกัน

(ช่างเถอะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว และเขาก็ไม่อยู่แล้ว) วีส์บอกปัดอยากเปลี่ยนเรื่องพูดคุย โดยเฉพาะเรื่องของคนที่ไปไม่กลับแล้ว

“ถามจริงๆนะ” พีรพัชร์รอดูอาการของอีกฝ่ายก่อนที่จะพูดต่อ “นายเชื่อเรื่องอาถรรพ์มั้ย”

วีส์มองตอบกลับมาว่าเขาอยากจะพูดเรื่องนี้จริงๆหรือ แต่พีรพัชร์ก็มองตอบกลับไปว่าอยากรู้คำตอบจริงๆ

(ไม่ มันก็แค่เกิดขึ้น คนเอาไปจับโยงมั่วกันเอง ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันเลย)

พีรพัชร์พยักหน้ารับรู้กับคำตอบ

“ขอให้คิดอย่างนั้นได้จริงๆนะ” พีรพัชร์สังเกตว่าวีส์มีท่าทางผิดปกติอะไรหรือไม่เพื่อยืนยันคำตอบของเขา “แล้ว... มีอะไรอีกมั้ย”

วีส์ทำท่าทางนึก มองไปทางซ้ายแล้ววนขึ้นไปด้านบนแล้วก็มองไปทางขวา จากนั้นก็กลับมามองโทรศัพท์แล้วก็ส่ายหน้า

“ไม่มีก็ดีแล้ว ก็ไม่คิดหรอกนะว่าตอนนี้ก็ยังต้องมานั่งเป็นคนกลางให้พี่น้องเข้าใจกัน เรื่องของผู้ใหญ่ก็ปล่อยให้เขาจัดการกันเอง เราไม่ต้องไปต่อความให้มันยาวไปอีกก็ได้”

(เราไม่เคยมีปัญหาอะไรกับมัน เราแค่ไม่อยากจะต้องถูกเอาไปแทนที่ใครที่ไม่ใช่ที่ของเรา ถ้าจะต้องเป็นเรา ก็เพราะเขาอยากให้เป็นเราตั้งแต่แรกเท่านั้น)

พีรพัชร์ได้ยินแล้วก็พยักหน้าเบาๆกับความคิดหนักแน่นของอีกฝ่าย ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นลูกคนเดียวแต่ก็พอจะมีลูกพี่ลูกน้องรุ่นราวคราวเดียวกันอยู่บ้าง เวลาพบปะญาติผู้ใหญ่เมื่อไหร่ก็จะโดนพูดถึงเปรียบเทียบกันไปมาอยู่เสมอ ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม โดยเฉพาะตอนที่เราทำได้ดีน้อยกว่าคนอื่นๆ


*****


ช่วงเวลาสายๆแดดยังไม่แรงมากนัก ที่ลานหน้าบ้านครึ่งปูนครึ่งไม้หลังเก่า มีรถจักรยานยนต์เลี้ยวเข้าไปจอด สองหนุ่มสาวก้าวลงจากรถแล้วก็มองดูซ้ายขวาหาเจ้าบ้านว่าอยู่ที่ไหน ไม่นานนักก็มีหญิงสาวสูงวัยเดินออกมา

“หน่านงค์ วัดดี๋คับ” วิธูทักทายเจ้าของบ้าน

“เอ้า ม๋าพรือหล่าว ม๋าห้าไอ่หนุ่ยเออ” อนงค์รับไหว้จากเด็กหนุ่มสาวแล้วก็ตะโกนเรียกวีร์

วีร์เดินโผล่หน้าออกมาแล้วก็เปลี่ยนสีหน้าในทันทีที่เห็นว่าใครมาหาเขาที่นี่ อันที่จริงก็พอจะนึกออกอยู่ก่อนแล้วว่าเป็นใคร เพราะมีเพื่อนน้อยคนที่รู้จักบ้านทวดน้อยของวีร์

“แหมเฒ้าอะ” อนงค์หันไปถามวีร์

“อาบน้าม แตงตั๋ว ทาแปง แล่วกะลับแล่ว” วีร์ยืนตอบอนงค์อยู่ที่เดิม

“โอเค ซักตี๋ซิบเลื้อข่อยปลุกแก๋นะ”

“ได๋คับ” วีร์รับคำและมองดูอนงค์เดินกลับไปทำขนมไว้ส่งขายต่อ ส่วนเขาก็หันกลับมาหาแขกที่มาโดยไม่บอกล่วงหน้าทั้งสอง แล้วก็เดินนำไปยังโต๊ะม้าหินใต้ร่มต้นไม้ “มาไซ”

วิธูและแพรไหมเดินตามวีร์ไปนั่งที่โต๊ะ วิธูเลือกนั่งฝั่งตรงข้ามกับวีร์แต่แฟนสาวของเขากลับไปเลือกไปนั่งข้างๆเพื่อนของเขาแทน ทำให้วิธูนึกขึ้นมาในใจว่าวันนี้คงจะต้องโดนรุมแน่นอน

“มีอะไรก็ว่ามา” วีร์เริ่มบทสนทนา

“กู มีเรื่องจะบอกมึง” วิธูพยายามนึกจุดเริ่มต้นที่เขาควรจะพูดก่อนเป็นอย่างแรก

“กูฟังอยู่”

วิธูมองหน้าสลับไปมาระหว่างวีร์และแพรไหม นับตั้งแต่ก่อนเดินทางไปแข่งขันรายการใหญ่ครั้งแรกในชีวิต ก็รู้ข่าวแล้วว่าวีร์เดินทางกลับบ้านในวันรุ่งขึ้นทันทีพร้อมกับแพรไหมที่ตามไปด้วยกัน เขายังไม่มีโอกาสจะได้อธิบายอะไรเลย แม้แต่กับแพรไหมที่ไม่ยอมพูดจาอะไรกับเขาเลย เนื่องจากเขาขอให้ได้มาพูดกับวีร์ก่อนแล้วค่อยเล่าเรื่องให้ฟังทั้งหมดภายหลัง

แต่วันนี้จึงเป็นวันแรกนับตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นที่เขาได้เจอหน้าทั้งวีร์และแพรไหม จึงใช้โอกาสนี้อธิบายเรื่องราวให้ทั้งสองคนฟังไปพร้อมๆกัน

“มันเริ่มต้นจากสมัยปู่กูทำงานก่อสร้าง เขารู้จักกับเจ้าสัวเครือล้ำเลิศสมัยที่ยังไม่มีเครือล้ำเลิศทีอะ แล้วก็ติดต่อค้าขายกันมาอยู่เรื่อยๆ” วิธูมองดูวีร์และแพรไหมที่ฟังเขาพูดอย่างตั้งใจ หมายถึงท่าทางแสดงออกมาว่าตั้งใจฟังแต่คงจะสงสัยอยู่ในใจว่ามันเกี่ยวข้องอะไรกัน “แล้วทีนี่พวกผู้ใหญ่เขาเลยคิดจะดองกันเป็นญาติ ฝ่ายปู่กูก็มีพ่อกูว่างอยู่ ส่วนฝ่ายโน้นก็มีลูกสาวคนเล็กว่างอยู่ เขาก็เลยจับแต่งงานกัน ก็คนสมัยโน้นอะนะ คำพ่อแม่เป็นใหญ่ปฏิเสธได้ที่ไหน”

วีร์รอฟังอย่างใจเย็น ทุกคำพูดมีความหมาย และถ้าต้องเล่าย้อนเวลาไปขนาดนั้นก็คงจะมีเหตุผลอยู่พอสมควร

“แล้วทีนี้คือ พ่อกับแม่แอบคบกันมาอยู่ก่อนแล้ว ก็อย่างที่มึงรู้ว่าบ้านปู่กับบ้านตากูไม่ค่อยจะกินเส้นกัน ตอนที่พ่อต้องไปแต่งงาน แม่ก็ท้องพี่แล้วแต่แม่ไม่ได้บอกใครแม้แต่กับพ่อ จนเรื่องมาแดงเอาทีหลัง แต่ตอนนั้นฝ่ายโน้นเขาก็ท้องแล้วเหมือนกัน พ่อกับแม่เคยคิดจะหนีไปอยู่กันเองแต่ปู่กูไปตามจนเจอ แล้วยื่นคำขาดให้พ่อจัดการเรื่องแม่ให้เรียบร้อบแล้วให้กลับไปอยู่กับทางโน้น”

“จัดการอะไรวะ” วีร์ถามแทรกขึ้นมา วิธูก็แค่ยักไหล่ตอบละไว้ในฐานที่เข้าใจตรงกัน จัดการตัดภาระผูกพันให้เด็ดขาดอย่าให้เหลือหน่อเนื้อเยื่อใย

“แต่พ่อก็แอบไปหาที่อยู่ใหม่ให้แม่ แล้วก็ไปๆมาๆระหว่างสองบ้าน จนต่อมาก็มีกูกับไอ้ปันเพื่อนมึงโผล่ออกมาอีก”

“แลัวยังไง” วีร์ยังไม่เห็นความเชื่อมโยงอะไรที่มาเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้น

“กูก็ไมได้อยากจะปิดบังอะไรเรื่องนี้กับมึง กูก็แค่ไม่รู้จะพูดยังไงตอนไหน อยู่ๆกูจะไปบอก...เฮ้ยมึง พ่อกูมีเมียอีกคน แล้วกูก็เลยมีพี่น้องอีกสองคน...งั้นเออ เอาจริงๆ กูก็เพิ่งจะมารู้เรื่องก่อนกูรู้จักมึงไม่นานเอง” วิธูมองตอบสายตาวีร์ที่จ้องเขาอยู่ “แล้วก็ ตอนนี้มึงก็รู้แล้วที่กูเข้าไปตีสนิทกับมึงคือพี่เขาอยากให้กูไปสืบข่าวมึงให้เขา” แล้ววิธูก็พูดเสียงอ่อนลงและชำเลืองตามองแพรไหม “แล้วกูก็อยากจะรู้จักกับเพื่อนมึงด้วย”

“ตอนป.5 อะนะ” วีร์นึกย้อนความหลังที่เขารู้จักกับวิธูเป็นครั้งแรก

วิธูก็พยักหน้าตอบยืนยัน ส่วนวีร์ก็รอฟังว่าเพื่อนของเขาจะพูดอะไรต่อ แต่ระหว่างนั้นอนงค์ก็เรียกให้วีร์เดินไปเอาขนมที่เธอทำมาให้เพื่อนๆได้กินกัน

ไม่นานนักวีร์ก็เดินกลับมาแล้วก็วางจานใส่ขนมไว้กลางโต๊ะ แต่ตอนนี้ยังไม่มีใครอยากจะหยิบมากินสักเท่าไหร่

“มีอะไรอีกมั้ย” วีร์ถามเพราะวิธูยังนั่งเงียบอยู่

“อย่างแรกมึงต้องรู้ก่อนว่าพวกกูไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังมึง แค่คิดว่าถ้าโอกาสมันได้เมื่อไหร่ค่อยบอก ยังไงก็ต้องบอกอยู่ดี” วิธูเน้นย้ำประโยคท้ายกลัวว่าเพื่อนเขาจะไม่เชื่อที่เขาพูด “อย่างที่สอง เรื่องนี้ต้องโทษไอ้ปัน มันเป็นตัวต้นคิดเลยว่าไม่อยากให้เรื่องมันซ้ำรอย กลัวว่าพี่มันจะเป็นอะไรขึ้นมาอีกคน”

ถึงจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่วีร์ก็พอจะเข้าใจได้ว่าวิธูหมายถึงอะไร ผ่านมาหลายปีแล้วแต่ก็ยังมีคนหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ เรื่องของคนมีดวงชาตรีพิฆาต คบกับใครแล้วต้องมีอันเป็นไปกันทุกคน หลายคนพยายามสร้างทฤษฎีความน่าจะเป็นว่าอะไรเป็นเหตุหลักให้เกิดความบังเอิญอันนี้ โดยเฉพาะเรื่องชื่อของแต่ละคน

“ถ้ามึงไม่เชื่อ เดี๋ยวกูคอลหาไอ้ปันให้”

ว่าแล้ววิธูก็เปิดโทรศัพท์และต่อสัญญาณไปหาน้องชายคนเล็กทันที รอเพียงไม่นานภาพของคนที่อยู่ไกลออกไปก็โผล่มาให้เห็น

(ว่าไง พี่บ่าว ตอนนี้อยู่ที่ไหน)

“กูอยู่กับไอ้วีร์” วิธูตอบสั้นๆแล้วก็กดสลับกล้องโทรศัพท์ให้คนปลายสายได้เห็นเพื่อนของเขาที่กำลังนั่งอยู่กับแฟนสาวของเขา

(วีร์ หวัดดี แพรด้วย) ปัญจวีส์ทักทายทั้งสองคน

“นี่ไอ้ปัน กูเล่าเรื่องที่มึงไม่อยากให้ไอ้วีร์รู้ว่าพวกเราเป็นพี่น้องกันแล้วอะนะ” วิธูกดสลับกล้องโทรศัพท์กลับมาตามเดิม

(อ้าว ได้ไงอะ ก็มันเป็นข้อตกลงร่วมกัน แล้วทุกคนก็เห็นดีเห็นงามกันหมดไม่ใช่รึไง อย่าโทษปันปันคนเดียวดิ) ปัญจวีส์รีบร้องค้านในทันที

“อย่ามา มึงเป็นคนต้นคิดเลย กลัวว่าเดี๋ยวเจ้าสัวจะเป็นอะไรไปเหมือนนายหัวอีกคน”

(ไม่จริงนะวีร์ ปันปันไม่ได้เชื่อเรื่องพวกนั้นสักหน่อย)

“แหม... อย่างมึงเนี่ยอะนะไม่เชื่อ” วิธูหัวเราะหึๆแทรกขึ้นมาทันที “มึงน่ะตัวดี ไอ้คุณปันปัน บันนี่”

(ก็กันไว้ดีกว่าแก้ไง) ปัญจวีส์รีบแก้ต่างให้ตัวเอง (อีกอย่างนะ เจ้าสัวเขาก็บอกเองว่าอยากให้วีร์รู้จักเขาที่เป็นเขาก่อน ไม่ใช่เพราะว่าเขาเป็นลูกใครหรือพี่น้องใคร)

วีร์ได้ยินแบบนั้นก็พอจะเข้าใจเหตุผลอยู่บ้าง ไม่ว่าใครก็อยากให้คนอื่นเห็นเราที่เป็นเรา แต่ถามเขาก่อนหรือยังว่าอยากจะรู้จักอีกฝ่ายหรือไม่

“เดี๋ยวก่อน อะไรคือนายหัวอะไรคือเจ้าสัว” แพรไหมถามแทรกระหว่างสองพี่น้อง

“ก็ ชื่อพี่ๆมันคล้ายกันไง เวลาพูดถึงแล้วมันงง เวลาคุยกันเองสองคนก็จะเรียกพี่ว่านายหัว แล้วก็เรียกพี่ไอ้ปันว่าเจ้าสัว จะได้แยกกันออกว่าพูดถึงใคร” วิธูอธิบายให้แฟนสาวของเขาฟัง

“ดีนะ ที่ชื่อน้องไม่เหมือนกันอีก ไม่งั้นยุ่งตายโหง” แพรไหมเอื้อมมือไปหยิบขนมที่อนงค์ทำมาให้กิน

วิธูมองหน้าตายิ้มชื่นบานของปัญจวีส์ในโทรศัพท์แล้วก็นึกหมั่นไส้เบาๆ

“แล้วมีอะไรอีกมั้ย” สีหน้าของวีร์แสดงออกชัดเจนว่าถ้ามีเรื่องอะไรปิดบังอยู่อีกให้พูดออกมาให้หมด ไม่เช่นนั้นก็กลับไปได้แล้ว

“ก็...” วิธูขยับตัวไปนั่งข้างๆแพรไหมแล้วก็จัดมุมโทรศัพท์ให้ปัญจวีส์สามารถเห็นพวกเขาทั้งสามคนได้พร้อมๆกัน “ตอนนี้มึงก็รู้แล้วว่าไอ้ตะโกเป็นหมาของใคร”

วีร์ก็พยักหน้าตอบ

“พ่อเขาก็ประมาณว่าอยากให้ลูกๆมีอะไรทำด้วยกัน ก็เลยเสนอไอเดียจับหมาผสมพันธุ์กัน เอาไอ้ตะโกมาเจอกับอีอ้อย แล้วก็ได้ลูกครอกนั้นมานั่นแล” วิธูพูดไปถึงบรรดาพี่น้องของต้าวและเติบที่เกิดมาจากตะโกที่เป็นสุนัขของบ้านล้ำเลิศรัตนทรัพย์ และอ้อยที่เป็นสุนัขของบ้านกิจการเรืองฤทธิ์

(เนี่ย ปันปันยังเสียดายอยู่เลยที่ตอนนั้นไม่ได้ลงใต้ไปด้วย ก็ไม่มีใครมาเอาปันปันออกจากโรงเรียน) ปัญจวีส์พูดเสริมเรื่องราวในฝั่งของเขาในตอนนั้น

“ก็ใครใช้ให้มึงไปอยู่โรงเรียนประจำ”

(ก็ตอนนั้นเจ้าสัวเรียนโรงเรียนประจำ พ่อกับแม่ก็เอาปันปันเข้าตาม)

“ไอ้ปัน ตอนนั้นเจ้าสัวไม่เรียนโรงเรียนประจำแล้ว” วิธูแก้ไขข้อมูลของปัญจวีส์ให้ถูกต้อง

(หมายถึงก่อนหน้านั้น พี่อัฐพี่โสฬสก็เรียนโรงเรียนประจำ มีพี่อัฐคนแรกที่ออกมาตอนม.4 แล้วเจ้าสัวก็ออกตั้งแต่ตอนขึ้นม.1เลย)

“ก็นั่นแหละ ตอนที่พ่อเอาไอ้ตะโกลงมาเจอกับอีอ้อย เจ้าสัวไม่ได้เรียนโรงเรียนประจำแล้ว”

“เออ... เปลี่ยนเรื่องตะ พูดซ้ำกันไปมาหลายหนแล้ว” แพรไหมห้ามสองพี่น้องโต้ตอบเรื่องเดิมๆ

“ก็นั่นแหละ ครอกนั้นอีอ้อยออกลูกมาห้าตัว สีน้ำตาลสี่ตัวแล้วก็สีดำหนึ่งตัว นายหัวก็บอกไว้แต่แรกแล้วว่าเขาขอหนึ่งเอาไว้ให้มึงไง ไอ้อ้วน”

(แล้วก็ ก่อนหน้านั้นตอนที่เจ้าสัวยอมให้เอาตะโกลงไปน่ะ เจ้าสัวบอกพ่อว่าให้เอาไปได้แต่ถ้ามีตัวสีดำล้วน เขาขอ)

“อ้าว แล้วทำไมอีอ้วนได้ไอ้เติบมาด้วยอะ” แพรไหมถามด้วยความสงสัย มองสลับไปมาระหว่างแฟนหนุ่มของเธอและคนทางไกลในโทรศัพท์ เธอยังจำวันแรกที่เพื่อนข้างบ้านเอาลูกสุนัขทั้งสองตัวมาอวดเธอและชวนเธอไปเล่นกับพวกมันด้วยกันได้เหมือนเพิ่งจะผ่านไปไม่นาน

(เอาเรื่องตอนนั้นนะ อยู่ๆไม่รู้ทำไมเจ้าสัวก็บอกพ่อว่าไม่อยากได้ลูกหมาแล้ว บอกว่าขี้เกียจเลี้ยง ให้เอาแค่ตะโกกลับมาก็พอ)

“เอาตอนนี้นะ เพราะกูก็มารู้ทีหลังเหมือนกัน นายหัวไปขอกับเจ้าสัวว่าไอ้อ้วนมันก็ชอบตัวสีดำเหมือนกัน เห็นไปจับเล่นด้วยอยู่บ่อยๆ ก็เลย...นั่นแหละ” วิธูละส่วนท้ายที่ทุกคนก็รู้เรื่องราวอยู่แล้ว

(ไม่รู้เหมือนกันนะว่าอะไรทำให้เจ้าสัวเปลี่ยนใจ แต่ก็...นั่นแหละ)

สองพี่น้องวิธูและปัญจวีส์รอดูปฏิกิริยาของวีร์ว่าจะเป็นอย่างไร แต่วีร์ก็แค่นั่งฟังเฉยๆ มีการพยักหน้ารับรู้เป็นครั้งคราว นอกเหนือไปจากนั้นก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมาเป็นพิเศษ

“ก็คือ... จะบอกว่าพี่เขาก็ชอบอีอ้วนมานานแล้ว ว่างั้น” แพรไหมถามทั้งสองคนแทนเพื่อนของเธอ

“มั้ง” (มั้ง)

ท่าทางการแสดงออกของวีร์ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงอะไร จนวิธูและปัญจวีส์เริ่มใจเสียไปบ้าง เพราะคิดเอาไว้ว่าถ้าวีร์รู้ความจริงจะทำให้เข้าใจพี่ชายของพวกเขามากขึ้น เผื่อว่าวีร์อาจจะยอมเปิดใจออกบ้าง แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เป็นไปอย่างที่หวังไว้

“แล้วทำไมพี่เขาถึงนามสกุลไม่เหมือนกัน” แพรไหมถามข้อสงสัยของตัวเธอเอง

(เนื้อนาดีเป็นนามสกุลเก่าของยาย แต่ว่าทำไมพี่ถึงไปใช้นามสกุลนั้น อันนี้ปันปันเองก็ไม่แน่ใจ ตั้งแต่จำความได้ก็เห็นพี่ใช้นามสกุลนั้นแล้ว เมื่อก่อนปันปันยังเคยคิดเลยว่าสงสัยแม่จะเก็บพี่มาเลี้ยง)

“แล้วอย่างนี้ พี่เขาจะได้หุ้นเหมือนปันปันมั้ยอะ ในเมื่อไม่ได้ใช้นามสกุลล้ำเลิศรัตนทรัพย์” แพรไหมถามต่อด้วยความสงสัย

(เจ้าสัวได้หุ้นไปตั้งแต่ตอนได้แชมป์เยาวชนแห่งชาติแล้ว เหมือนว่าจะได้เป็นรางวัลอะไรนี่แหละ ก็อย่างว่าอะนะ จะซ้อมให้เล่นได้ขนาดนั้น ค่าใช้จ่ายก็เยอะเหมือนกัน คุณยายก็เลยแบ่งหุ้นให้ก่อนเลย)

“เหรอ... แต่เอาตะ ก็ยังไม่เห็นว่าจะต้องปิดอะไรขนาดนี้ ขนาดพวกเธอสองคนก็บอกเองว่ายังไงก็ต้องรู้อยู่ดี” แพรไหมมองทั้งคนนั่งข้างๆและคนที่อยู่ในจอโทรศัพท์

“ไอ้อ้วนรู้ดีว่าไซถึงไม่บอก” วิธูมองข้ามไปหาเพื่อนของเขา ซึ่งก็เบี่ยงหน้าหันมามองกลับเขาเช่นกัน “เพราะถ้าบอกเรื่องนึง มันก็ต้องเล่าอีกเรื่องนึงยาวไปหล่าว แล้วก็เป็นเรื่องที่คนอื่นไม่จำเป็นมารู้เรื่องอะไรในครอบครัวกู ใช่มั้ย”

วีร์เข้าใจสิ่งที่วิธูพูด เขาเองก็ไม่ค่อยชอบที่ต้องมาสาธยายให้ใครต่อใครฟังว่าพ่อแม่เขาเป็นใคร ทำไมเขาถึงเกิดมาแบบนี้ เขาเติบโตมาอย่างไร ถ้าไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นก็ไม่ได้คิดจะแจกแจงอะไรให้ฟังแม้แต่น้อย

“แต่อีอ้วนไม่ใช่คนอื่น” แพรไหมสวนกลับในทันที

“แต่อยู่ๆมันก็ไม่โพล่งออกมาว่าพี่ธีร์คือพ่อของมันนิเบ๋อ ช้ายม้ายอะ” วิธูก็ตอบกลับเร็วเช่นกัน

(พี่ธีร์คือพ่อของวีร์เหรอ แล้วอย่างนี้อาจารย์ภูมิก็...)


*****


ลุ๊คใหม่ของวีวิดยาอวกาศ โคตรเท่เลย
ใช่ๆ ตอนผมสีเทาก็ดูลึกลับมีเสน่ห์ ผมทรงใหม่นี่กร้าวใจมากๆเลยอะ
อยากรู้จริงๆว่าวีเสดสาดเห็นแล้วยัง
เขาอาจจะชวนกันไปตัดผมก็ได้ เห็นในไอจีสตอรี่ของหมอต่าย น้องวีก็ตัดผมสั้นแล้วนะ]/i]


*****


ผ่านช่วงเวลาปิดภาคเรียนไปไม่นาน วีร์ก็เดินทางกลับขึ้นมาก่อนช่วงวันส่งท้ายปี ทวดน้อยมีอาการดีขึ้นมามากแล้ว กล้ามเนื้อแขนขาแข็งแรงขึ้นจนสามารถเดินไปไหนมาไหนได้เองแล้ว แม้ว่าจะมีอาการมึนงงสับสนอยู่บ้างเนื่องจากการที่ต้องนอนพักอยู่ในโรงพยาบาลอยู่หลายสัปดาห์ แต่แพทย์ยืนยันว่าอาการจะค่อยทุเลาจนเป็นปกติเอง จึงไม่มีอะไรน่าห่วงอีก

อีกทั้งวีร์ยังต้องกลับมาดูแลสุนัขตัวใหญ่ทั้งสองตัวที่ฝากธีร์ให้ช่วยดูแลระหว่างเขาเดินทางกลับใต้ แต่ธีร์เองก็มีภาระกิจเรื่องงานอื่นๆอีก วีร์จึงไม่อยากจะผลักภาระให้ไปนานๆ รวมทั้งยังมีน้องๆตัวเล็กๆทั้งสองคนที่ต้องช่วยกันดูแล

และเพื่อเป็นการไถ่โทษที่ทำให้งานเลี้ยงหมดสนุก วีร์จึงนัดเพื่อนๆมาพบปะกันและเตรียมของฝากจากทางใต้มาให้ทุกๆคน โดยเฉพาะสุรศักดิ์ที่ได้รับเครื่องแกงใต้ชุดใหญ่จากนุช และศศิทัศน์ที่ยังเคืองที่วีร์ผิดนัดกิจกรรมสัปดาห์บริจาคโลหิตครั้งที่สองไปแบบไม่บอกกล่าวอะไรล่วงหน้า ซึ่งวีร์ให้คำยืนยันไปว่าจะไม่พลาดครั้งต่อไปแน่นอน

ธีร์เดินออกมาหน้าบ้านพร้อมหนูน้อยตัวเล็กๆที่ยังกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่บนบ่า ไม่สามารถวางลงได้ ไม่เช่นนั้นก็จะตื่นร้องขึ้นมาในทันที เขามองดูวีร์ที่กำลังลูบหัวสุนัขสีดำตัวใหญ่ที่กำลังนอนหมอบอยู่ใกล้ๆไม่ห่างไปจากพี่น้องของมัน

ทั้งต้าวและเติบยกหัวขึ้นมาและกระดิกหางพร้อมกันก่อนที่จะนอนลงไปไปตามเดิม ทำให้วีร์รู้สึกตัวว่ามีคนเดินมาใกล้

“ไง จริงๆไม่ต้องรีบกลับมาก็ได้ จะอยู่ดูแม่เฒ่าต่อก็ไม่มีใครว่าอะไร” ธีร์นั่งลงตรงขอบประตูหน้าบ้านข้างๆวีร์

“ก็แม่เฒ่าดีขึ้นแล้ว ยอมออกกำลังฝึกเดินเองได้จนคล่องก็สบายน้านงค์แล้ว” วีร์จับอุ้งเท้าหน้าของเติบ ลูบไล้ไปทีละนิ้วเท้า “แต่ก็นั้นแหละ ยังบ่นๆอยู่ว่าได้โรคกลับบ้านเพียบ”

“โรคมันมีอยู่แล้ว แค่ไม่เคยไปตรวจก็เท่านั้นเอง ก็เหมือนเวลาดูข่าวคนที่อยู่ๆก็ตาย แล้วญาติๆชอบบอกว่าปกติเป็นคนแข็งแรงไม่มีโรคประจำตัว แต่จริงๆคือไม่เคยไปหาหมอตรวจมาเป็นสิบๆปี เลยไม่รู้ว่ามี”

“เลยเป็นความโชคดีในความโชคร้ายใช่มั้ย แม่เฒ่าเบ๋อดื้ออิตาย”

“ก็ดีแล้วที่วีร์ลงไปช่วยดู แม่เฒ่าไม่ใช่ฟังใคร” ธีร์เอียงตัวมองว่าธาราหลับแล้วหรือยังก่อนที่จะหันมาคุยกับวีร์ต่อ “แกเลี้ยงลูกคนเดียวตั้งแต่ยังสาว ทำงานเก็บเงินงกๆให้ลูกได้เรียนทุกคน เจ็บป่วยก็ไม่เคยไปหาหมอ”

“แล้วดูลูกแต่ละคน โตแล้วมาแย่งสมบัติกัน ดีนะไม่มารบกันให้เห็นต่อหน้าหล่าว”

“ก็เหลือแม่กับน้านงค์นี่ไง”

วีร์ถอนหายใจ รู้สึกรำคาญกับเรื่องของผู้ใหญ่อยู่เหมือนกัน ทรัพย์สมบัติที่ว่าก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย ไม่ต้องเอาไปเทียบกับตระกูลเศรษฐีอย่างล้ำเลิศรัตนทรัพย์ แต่ก็แย่งกันเหมือนว่ามีเยอะเท่าเขาจนพี่น้องร่วมสายเลือดมองหน้ากันไม่ติด

เขาคงไม่อยากได้สมบัติใครมั้ง เลยไม่ใช่นามสกุลใคร

“วีร์” ธีร์ทั้งเรียกทั้งกระทุ้งศอก

“หือ อะไร” วีร์หันไปมองอย่างงงๆ

“เป็นอะไรเรียกแล้วไม่ตอบ”

“เปล่า” วีร์ตอบสั้นๆ

“นี่ อาหารหมาหมดแล้ว ออกไปซื้อหน่อยสิ” ธีร์มองอย่างสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไร

“ยังเหลืออีกถุงนึงไม่ใช่เออ” วีร์ถามกลับ เพราะเขามั่นใจว่าก่อนกลับลงใต้ยังเหลืออาหารสุนัขพอไปจนถึงหลังช่วงวันหยุดปีใหม่

“โดนธรเทเกลี้ยงแล้ว” วีร์ขมวดิ้วมองธีร์ เพราะถึงจะเทออกมาก็เก็บกลับไปได้ไม่ใช่หรือ “เทลงถังน้ำเกลี้ยงจนเม็ดมันพองหมดเลย”

“ไอ้ธร...” วีร์พ่นลมหายใจออกมาแรงๆ

“สงสัยจะคิดว่าต้าวกับเติบชอบกินโกโก้ครันช์มั้ง เทซะหมดถุงเลย”

“งั้นก็เอากุญแจมา” วีร์แบมือที่ตรงหน้าธีร์

“อ้อ แล้วก็ถามวาด้วย เผื่อว่าจะซื้ออะไรเพิ่ม” ธีร์วางกุญแจรถยนต์ใส่มือของวีร์

“โอนตังค์มาด้วย เดี๋ยวไม่มีเงินจ่าย” วีร์ลุกขึ้นยืน สุนัขทั้งสองตัวก็ลุกขึ้นยืนตามโดยคิดว่าถึงเวลาเล่นสนุกและรอคอยอย่างคาดหวัง วีร์จึงต้องลูบหัวปลอบใจพวกมันแทน “เดี๋ยวเอ๋าหน้มห้ายกิ๋นนะ”


[อ่านต่อด้านล่าง]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-01-2024 01:37:19 โดย sarawit »

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
วีร์เข็นตะกร้ารถเข็นไปตามซอกซอยต่างๆภายในซุปเปอร์มาเก็ตที่ตกแต่งไปด้วยสายรุ้งฉลองวันขึ้นปีใหม่ อาหารสุนัขถุงใหญ่วางอยู่ในตะกร้าเรียบร้อยแล้ว รวมถึงแชมพูสำหรับอาบน้ำสุนัขด้วย จากนั้นก็เดินเลือกซื้อของตามที่วนกรฝากรายการมาและสิ่งของที่เขาต้องการเอง

“วีร์” เสียงตะโกนดังจนใครๆก็หันมองตาม

วีร์หันมองซ้ายแล้วก็หัวไปทางขวา เจอหนุ่มร่างสูงกำลังโบกไม้โบกมือขณะที่มาเดินเล่นที่สวนหลังบ้านตัวเอง มาพร้อมกับหญิงสวยสมวัยแต่งตัวภูมิฐานที่หันมาส่งยิ้มให้เขาเหมือนกัน วีร์จึงไสตะกร้ารถเข็นเข้าไปใกล้ๆ

“สวัสดีครับป้าชื่น” วีร์ทักทายผู้อาวุโสที่คุ้ยเคยกันมาบ้าง

“แม่” ปัญจวีส์รีบแก้ไขสถานะความสัมพันธ์ให้ถูกต้อง

วีร์เลิกคิ้วขึ้นมองตอบอย่างสงสัย ว่าเพื่อนของเขาหมายถึงอะไร

“แม่ไง นี่แม่ของปันปัน” ปัญจวีส์ขยายความเพิ่มเติม

“ก็ใช่ไง ป้าชื่นไง” วีร์ไม่เข้าใจว่าปัญจวีส์หมายถึงอะไร เขารู้อยู่แล้วว่าชื่นฤทัยเป็นแม่ของปัญจวีส์

“แต่ตอนนี้เป็นแม่ของปันปันไง เรียกแม่สิ” ปัญจวีส์บอกในสิ่งที่เขาต้องการสื่อสารออกไป

“แต่เรารู้จักว่าเป็นป้าของพวกแฝดก่อนไง” วีร์ก็ตอบตามความคิดของเขา

“เอาเถอะ เพื่อนเขาจะเรียกอะไร มันก็เหมือนกันนั่นแหละ” ชื่นฤทัยตัดสินความให้เด็กๆทั้งสองคน

“ไม่ได้ไม่เหมือน” ปัญจวีส์ร้องคัดค้านทันที “ตอนนี้แม่มากับปันปัน ก็ต้องเรียกแม่สิ ฝึกไว้ก่อน ต่อไปจะได้ชินปาก”

ทั้งชื่นฤทัยและวีร์ต่างก็หันไปมองปัญจวีส์เป็นตาเดียวกัน

“เอ่อ... แล้ววีร์มาทำอะไร” ปัญจวีส์รีบเปลี่ยนเรื่องคุยในทันที

“อ๋อ อาหารหมาที่บ้านมันหมดก็เลยออกมาซื้อ แล้วก็ซื้ออย่างอื่นด้วย” วีร์พเยิดหน้าไปที่ตะกร้ารถเข็นที่มีของเต็ม

“มาคนเดียวเหรอ” ปัญจวีส์ถามไปด้วยสำรวจของที่อยู่ในตะกร้ารถเข็นไปด้วย แล้วก็ยกถุงอาหารสุนัขขึ้นมาดู “โอ้ เยี่ยม ยี่ห้อเดียวกับของตะโกเลยนี่”

“ก็ พี่วีแนะนำซื้อยี่ห้อนี้ ก็ซื้ออันนี้ให้มาตลอด” คราวนี้เป็นสายตาของปัญจวีส์และชื่นฤทัยที่หันมาทางเดียวกัน “หมายถึง... พี่วี” วีร์พูดเสียงเบาลง

“อ๋อ...” ปัญจวีส์ร้องแก้เก้อ “เออๆ ของยี่ห้อนี้ดีนะ สารอาหารครบถ้วนและไม่มีสิ่งแปลกปลอมเจือปน แถมยังมีคุณภาพเชื่อถือได้ นี่ไง” ปัญจวีส์หันด้านท้ายของถุงอาหารให้วีร์ดู ซึ่งบ่งบอกข้อความว่าเป็นสินค้านำเข้าและจัดจำหน่ายโดย ล้ำเลิศเพ็ดโปรดักส์

“อ้าว เหรอ” วีร์ก็เพิ่งจะสังเกตเห็น

“บอกแล้วว่าเชื่อถือได้” ปัญจวีส์วางถุงอาหารสุนัขลงในตะกร้ารถเข็นของวีร์ตามเดิม “แล้วนี้เดี๋ยววีร์รีบกลับรึเปล่า ไปกินอะไรด้วยกันมั้ย”

“ไม่เป็นไร พอดีว่า...”

“แม่ แบบเดิมมันหมด แม่เอาแบบอื่นได้มั้ย”

ชายหนุ่มร่างสูงอีกคนเดินเข้ามาหาผู้เป็นมารดาและน้องชายโดยที่ไม่รู้ว่ามีคนอื่นยืนอยู่ด้วย ในมือถือขวดสีเข้มมาข้างละขวด กำลังจะยื่นให้ชื่นฤทัยดูแต่ก็ชะงักไปตอนที่เห็นว่ามีใครอีกคนยืนรวมกลุ่มอยู่ด้วยกัน

วีร์ไม่ได้ตกใจเพราะว่ามาเจอกับชายหนุ่มร่างสูงโดยบังเอิญ ถึงแม้ว่าเขาจะแอบคิดอยู่ในใจตอนที่เจอกับปัญจวีส์และชื่นฤทัยพร้อมกันแบบนี้ ก็มีโอกาสสูงที่จะเจออีกคนด้วยเช่นกัน แต่เหตุผลจริงๆที่ทำให้เขาชะงักค้างไปเป็นเพราะรูปลักษณ์ภายนอกที่เปลี่ยนไปของคนตรงหน้าต่างหาก

ไม่ใช่แค่ความยาวของเส้นผมที่สั้นลงมากกว่าแต่ก่อนเท่านั้น ยังมีสีผมที่เปลี่ยนเป็นสีธรรมชาติน้ำตาลเข้มไม่ต่างไปจากสีผมของปัญจวีส์ ไม่เหลือเส้นผมสีเทาที่ออกประกายสีน้ำเงินอยู่เลย นอกจากนี้ถ้าตัดเรื่องสีผิวที่จะดูสว่างกว่าอย่างเห็นได้ชัดออกไปแล้ว เพราะหากเป็นผิวสีเข้มมากกว่านี้ วีร์คงจะเห็นว่าคนที่เดินมาคือ วีรดนย์

“อ่า...” ปัญจวีส์พยายามทำลายความเงียบ แล้วก็ดึงขวดสีเข้มมาจากพี่ชายของเขาหนึ่งขวด “อันนี้ก็โอเคนะแม่ ปี 1986 ใช้ได้อยู่” ปัญจวีส์หันขวดไวน์ให้ชื่นฤทัยดู

“ก็พอได้นะ” ชื่นฤหัยอ่านฉลากที่กำกับไว้บนขวดไวน์แล้วก็พยักหน้าว่าเห็นด้วย

“งั้น ถ้าแม่เอาอันนั้น เดี๋ยววีเอาอันนี้ไปเก็บก็แล้วกัน”

ไม่ทันได้รอคำตอบจากใคร ชายหนุ่มร่างสูงก็หันตัวกลับแล้วเดินจากไปทันที ปล่อยให้เด็กหนุ่มผิวเข้มมองตามอย่างไม่ละสายตา ภายในใจก็นึกสงสัยว่านี่ความฝันหรือว่าความเป็นจริง

“พี่เขาเป็นอะไร” ชื่นฤทัยถามลูกชายคนเล็กของเธอ

“ไม่รู้เหมือนกันครับ” ปัญจวีส์บอกปัดไปแม้ว่าจริงๆแล้วจะพอเดาออก เพราะว่ามาเจอกับคนที่ไม่ได้ตั้งใจและไม่ได้เตรียมใจจะมาเจอกันโดยบังเอิญแบบนี้ อาจจะต้องมีการถอยไปตั้งหลักกันบ้าง แล้วปัญจวีส์ก็เปลี่ยนความสนใจกลับมาที่เพื่อนของเขาอย่างเดิม “จริงสิวีร์ สรุปว่ารีบกลับรึเปล่า”

“โทษทีนะ บอกที่บ้านไว้จะมาซื้อของไม่นาน” วีร์ตอบปฏิเสธ

“อ้าวเหรอ” ปัญจวีส์ตอบกลับอย่างเสียดาย

“งั้น เราไปจ่ายเงินก่อนนะ” วีร์ถือโอกาสรีบบอกลาและรีบเดินออกไปก่อนใครอีกคนจะเดินกลับมา เขารู้สึกว่าเขาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมอีกฝ่ายถึงต้องการให้เขารู้จักในฐานะตัวตนของเขาเองก่อนที่จะรู้ว่าพี่น้องหรือเป็นลูกของใคร


****


วิธู:
พี่ บอกไอ้วีร์ด้วยนะ

Pun Pun:
ใช่ รีบบอกก่อน เดี๋ยวจะลืม
วันนี้ก็อุตส่าห์ได้เจอกันแล้วแท้ๆ

Yobortsa:
แล้วทำไมไม่บอกเอง

วิธู:
ก็หาข้ออ้างไปคุยกับมันให้แล้วไง
ใช้ให้เป็นประโยชน์ซะ

Pun Pun:
ส่วนไอ้ที่ลงมือทำไปแล้วก็ช่างมันเหอะ
ปล่อยเน่าคาแปลงไปแบบนั้นแหละ


*****


บรรยากาศยามเช้าช่วงเปิดภาคเรียนใหม่ มีนักศึกษาเดินทางมาเป็นจำนวนมากแล้ว ไม่ว่าจะรีบมาเพื่อพบปะกับเพื่อนๆที่แยกย้ายกันไปในช่วงปิดภาคเรียน หรือจะรีบมาเพื่อมาเรียนวิชาในช่วงเช้าก็ตาม แต่ก็ถือว่าเยอะกว่าช่วงเวลาอื่นๆ

วีร์เดินทอดน่องไปตามทางเดินที่มีหลังคาคลุมไปตลอดแนว ในใจก็นึกไปถึงคืนก่อนหน้าที่ความฝันเดิมๆกลับมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาไม่แน่ใจว่าคนที่เขาเห็นในฝันเป็นใครกันแน่ คนพี่ หรือว่า คนน้อง

“วีร์”

แต่ถ้าจะพูดตามความเป็นจริงแล้ว เขาไม่เคยฝันถึงวีรดนย์เลยต่างหาก ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่วีรดนย์จากไปใหม่ๆหรือจะเป็นตอนไหนก็ตาม

“วีร์”

ถ้าคนเราสามารถบังคับความฝันของตัวเอง เขาก็คงจะถามให้แน่ชัดไปแล้วว่าคนในความฝันนั้นเป็นใครกันแน่ จะได้ไม่ต้องมาสงสัยเอาจนถึงตอนนี้

“วีร์”

วีร์สะดุ้งตัวและหันตัวตามแรงดึงแขนข้างหนึ่งของเขาไว้ เมื่อหันมาแล้วก็เจอกับรุ่นพี่ชมรมสมัยมัธยมศึกษาอย่างกรรณิการ์และชายหนุ่มอีกคน

“เป็นอะไร ทำไมเรียกไม่ตอบ”

“อ้าว พี่กิ๊บพี่แบงก์ สวัสดีครับ” เมื่อเห็นแล้วว่าเป็นใคร วีร์ก็ทักทายตามปกติ

“ใจลอยไปไหน พี่เรียกตั้งหลายครั้ง” กรรณิการ์มองอย่างสงสัยแต่ก็ไม่ได้ติดใจมากมายอะไรนัก

“อ๋อ ก็ คิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ครับ”

“ดีนะ ไม่เดินเพลินจนลงไปบนถนน” กรรณิการ์บุ้ยหน้าไปทางถนนเล็กๆสำหรับรถจักรยานที่ขนานไปกับทางเดิน “แล้วนี่เป็นไงบ้าง อยู่มหา’ลัยมาเทอมนึงแล้ว เรียนไหวมั้ย”

“ก็พอได้ครับ เอาตัวรอดได้อยู่” วีร์ตอบแบบประมาณตน

“ไม่จริงมั้ง พี่ว่าอย่างวีร์ทำได้ดีกว่าแค่พอเอาตัวรอดนะ” กรรณิการ์เอียงหน้ามองในเชิงหยอกเอิน เธอเชื่อจริงๆว่ารุ่นน้องของเธอมีความสามารถพอตัว

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ” วีร์ก็ยังคงไม่โอ้อวดตัวเอง

“เออ จริงสิ ได้เจอเราพอดีเลย พี่ว่าจะชวนเรามาอยู่ชมรมถ่ายรูป สนใจรึเปล่า”

“อืม...” วีร์ยู่หน้าคิดว่าจะตอบอย่างไรดี “อาจจะยังก่อนครับพี่กิ๊บ เทอมนี้ที่คณะก็มีงานเยอะอยู่เหมือนกัน”

“เหรอ ไม่เป็นไร ไว้ถ้าสนใจเมื่อไหร่ก็ไลน์มาบอกพี่ได้เลยนะ” กรรณิการ์นึกเสียดายอยู่บ้างแต่มันก็เป็นเรื่องที่จะไปบังคับกันไม่ได้ กิจกรรมชมรมเป็นกิจกรรมนอกหลักสูตรที่นักศึกษาแต่ละคนเลือกจะทำหรือไม่ก็ได้ตามความสมัครใจ

“เออจริงสิ เดือนหน้ามีประกวดภาพถ่ายนะ สนใจรึเปล่า” ชายหนุ่มที่เดินมากับกรรณิการ์บอก

“ใช่ๆ ไม่ต้องเป็นสมาชิกชมรมก็ส่งภาพเข้าประกวดได้ ลองดูมั้ย” กรรณิการ์พูดเชิญชวนเสริมขึ้นมา

“อืม... มีหัวข้อรึเปล่าครับ” วีร์ถามรายละเอียกเพิ่มเติม

“ยังไม่สรุปนะ แต่มีแนวโน้มว่าจะเป็นฟรีสไตล์”

วีร์มีสีหน้าครุ่นคิดว่าจะเอาอย่างไรดี ซึ่งถ้าหากว่าหัวข้อภาพถ่ายเป็นอิสระตามแต่ผู้ส่งประกวดต้องการ เขาสามารถเลือกรูปที่ถ่ายเก็บไว้มาใช้ส่งประกวดได้ แต่ในเวลาเดียวกันการที่ไม่ได้กำหนดหัวข้อที่แน่ชัด แนวทางการตัดสินผลงานของกรรมการก็ไม่อาจคาดเดาได้เช่นกัน

“ไอ้วี”

วีร์สะดุ้งตัวตามเสียงตะโกนดังของชายหนุ่ม ตอนแรกวีร์ว่าอีกฝ่ายจะเรียกชื่อเขา แต่ทิศทางของสายตากลับมองข้ามเลยเขาไป วีร์จึงหันไปมองตามทำให้เห็นชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งที่กำลังจะเดินตรงมาตามทางที่พวกเขาสามคนกำลังยืนอยู่ แต่กลับเปลี่ยนใจเดินเบี่ยงออกไปคนละทางหลักจากที่โบกมือทักทายคนที่ตะโกนเรียกเขา

“ไปไหนของมันวะ” ชายหนุ่มบ่นพึมพำ

“พี่แบงก์รู้จักพี่เขาด้วยเหรอครับ” วีร์ถามเมื่อหันตัวกลับมาดังเดิม

“รู้จักสิ ก็เรียนห้องเดียวกันมาก่อน”

“พี่เขาจบจากโรงเรียนเราเหรอครับ” วีร์ขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัย

“ใช่ วีร์ไม่รู้เหรอ” กรรณิการ์มองตอบอย่างงงๆ “เป็นไปได้ยังไง”

“ทำไมเหรอครับ” วีร์มองสลับไปมาระหว่างชายหนุ่มและหญิงสาวที่กำลังสื่อสารผ่านสายตาระหว่างกันเอง

“ก็ตอนที่น้องย้ายโรงเรียนมาใหม่ๆน่ะ ไอ้วีก็เป็นคนมาถามพี่เองว่าชมรมเรายังว่างอยู่รึเปล่า ก็รู้ๆอยู่อะนะว่าไม่เคยเต็มสักปี แล้วมันก็บอกพี่ว่าให้ไปลองถามกับเราว่าอยากเข้าชมรมถ่ายรูปมั้ย พี่ก็เลยให้กิ๊บไปคุยกับน้องดูไง พี่ก็นึกว่ารู้จักกันอยู่ก่อนแล้ว”

วีร์ไม่แน่ใจว่าเขาควรจะตอบสนองกับข้อมูลใหม่อันนี้อย่างไรดี ในตอนนั้นเขาเองก็นึกสงสัยอยู่บ้างว่าทำไมกรรณิการ์ถึงรู้ว่าเขามีกล้องถ่ายรูปอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรไป

“วีร์ไม่เคยเจอพี่วีที่โรงเรียนเลยเหรอ” กรรณิการ์ถามย้ำอีกครั้งซึ่งวีร์ก็ส่ายหน้าตอบกลับ “เหรอ... แต่น่าจะได้ยินข่าวบ้างนะ”

“นั่นสิ เป็นเพราะมัน ทำให้โรงเรียนเราชนะเทนนิสตอนกีฬาประเพณีติดกันสองครั้ง แล้วก็มีเรานี่แหละไปได้ครั้งที่สามมา” ชายหนุ่มพูดเสริม

“เอ่อ เคยแต่ได้ยินว่าเป็นแชมป์เยาวชนแห่งชาติที่ไปแข่งชนะมา...” วีร์จึงนึกขึ้นมาได้ในตอนนั้นว่าอีกฝ่ายนั้นเคยบอกว่าเขาได้ตำแหน่งชนะเลิศเทนนิสเยาวชนระดับชาติมาก่อน อย่างไรเสียในตอนนั้นเขาไม่ได้สนใจอะไรรอบตัวจริงๆ เพราะเป็นกังวลอยู่กับอาการของวีรดนย์

“ก็มันนั่นแหละ ปีหน้านี่ก็ไม่รู้ว่าโรงเรียนเราจะได้อีกสักครั้งมั้ย” ชายหนุ่มบ่นเสียดาย

“แบ่งๆให้โรงเรียนอื่นบ้างก็ได้พี่แบงก์” กรรณิการ์ตบบ่าของชายหนุ่มเบาๆก่อนที่จะหันมาคุยกับเด็กหนุ่มรุ่นน้อง “แล้วนี่วีร์จะไปไหนเหรอ”

“เดี๋ยวผมมีเรียนสถิติครับ”

“อ๋อ ตึกคณะวิทยฯใช่มั้ย ทางเดียวกัน เดินไปด้วยกันเลย” กรรณิการ์ถาม ตอบ และเสนอครบจบในคราวเดียวกัน


*****


ช่วงหลังมานี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุผลกลใดก็ตาม ทำให้ไม่ว่าวีร์จะไปทำอะไรที่ไหนเมื่อไหร่ก็มักจะได้พบกับรุ่นพี่ร่างสูงอยู่เรื่อยๆ และดูเหมือนจะพบเจอบ่อยครั้งกว่าตอนที่ชายหนุ่มเข้ามาหาเขาตรงๆเสียอีก แต่ทุกครั้งที่เจอกันโดยบังเอิญ อีกฝ่ายก็มักจะหลบเลี่ยงหนีหายไปในพริบตา

จากข้อตกลงที่วางไว้แค่ว่าให้ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปใช้ชีวิตของตนเอง และอีกฝ่ายก็เหมือนจะทำตามที่สัญญาไว้ได้ดีเกินความจำเป็น ขนาดเจอกันในโรงอาหารอีกฝ่ายก็เลือกไปนั่งตรงจุดที่มีเสาหรือชั้นเก็บจานชามที่ใช้แล้วบังอยู่ระหว่างเขาสองคน จนวีร์เริ่มสงสัยว่าอาจจะมีเรื่องอื่นเจือปนเข้ามาด้วย

แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ ทำไมเขาต้องมากังวลเรื่องพวกนี้ด้วย

วีร์ปัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไป แล้วก็หยิบหนังสือมาเปิดอ่านรอเวลาเรียนวิชาต่อไป ถึงแม้ว่าจะเป็นภาคเรียนใหม่แล้ว แต่วีร์ก็ยังคงมีช่วงว่างที่ไม่ตรงกับเพื่อนๆอยู่เหมือนเดิม ในวันนี้วีร์เลือกจะมานั่งรอเพื่อนๆล่วงหน้าที่ตึกภาษาศาสตร์สำหรับวิชาภาษาอังกฤษสำหรับนักศึกษาเศรษฐศาสตร์

เหมือนจะมีอะไรมาดลใจให้วีร์เงยหน้าขึ้นมองดูรอบๆ และโชคชะตาฟ้าลิขิตให้เห็นชายหนุ่มร่างสูงที่ตอนนี้ไม่มีมีเส้นผมสีเทาอีกแล้วกำลังยืนมองเขาอยู่ไม่ไกล ท่าทางดูลังเลว่าจะตัดสินใจเดินต่อไป หรือเดินหนี หรือ... เดินมาหาเขา

ใช่ เขาเลือกข้อสุดท้าย

วีส์ไม่คิดว่าเขาจะมาเจอกับเด็กหนุ่มที่นี่ เขาไม่ได้คิดจะตามติดจนรู้ตารางเวลาทั้งสัปดาห์ของอีกฝ่ายเหมือนอย่างภาคเรียนก่อนหน้า เขาไม่อยากผิดคำพูดของตัวเอง ถึงแม้ว่าจะเคยเกือบทำพลาดอยู่หลายครั้งก็ตาม หรือว่าครั้งนี้เขาควรจะลองเสี่ยงอีกครั้ง

ในตอนที่กำลังตัดสินใจ สายตาคู่นั้นก็มองมาทางเขาพอดี

งั้นก็เอาวะ


[อ่านต่อด้านล่าง]

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
วีส์ตัดสินใจเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่มผิวเข้มในที่สุด แม้ว่าจะไม่ได้รีบร้อนก้าวเดินเข้าไปหา แต่อัตราการเต้นของหัวใจกลับแรงและถี่ขึ้นทุกที

“อ่า... สะดวกมั้ย มีเรื่องจะคุยด้วย แป๊บเดียวไม่นานหรอก” วีส์ออกปากขออนุญาตก่อน ด้วยเกรงว่าเด็กหนุ่มอาจจะไม่ได้อยากพูดกับเขาก็เป็นได้

“ได้ครับ” วีร์ตอบสั้นๆ แล้วมองดูชายหนุ่มร่างสูงค่อยๆนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับเขา เหมือนกำลังเห็นภาพอีกคนซ้อนทับกัน วีร์ยังไม่รู้สึกชินกับรูปลักษณ์ปัจจุบันของคนตรงหน้า ทำไมเขาถึงไม่สังเกตเห็นความเหมือนกันของทั้งสองคนก่อนหน้านี้เลย

แต่ที่แน่ๆคือ คนที่บอกว่าเรื่องจะพูดคุย พอนั่งลงแล้วกลับไม่พูดอะไรสักที

“คือ...” ทั้งสองตัดสินใจส่งเสียงออกมาพร้อมกัน

“เชิญก่อนเลยครับ” วีร์รีบออกปากให้ชายหนุ่มรุ่นพี่พูดได้เลย ในเมื่อเขาแจ้งจุดประสงค์ไว้ก่อนแล้วและคงพร้อมที่จะบอกแล้ว

“สองคนโน้นมันบอกมึงแล้วยัง ว่าสิ้นเดือนนี้ พ่อจะขึ้นมาทำบุญวันเกิด... ให้... มัน” เสียงของวีส์แผ่วลงไปในช่วงท้าย ตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะใช้สรรพนามแทนตัวว่าอะไรดี โดยเวลาใช้เฉพาะใช้ต่อหน้าเด็กหนุ่ม และถึงจะไม่ได้เอ่ยชื่อออกไป แต่ก็มั่นใจได้ว่าอีกฝ่ายเข้าใจว่าเขาหมายถึงใคร

“ยังเลยครับ” วีร์เองก็มีแผนอยู่ในใจอยู่ก่อนแล้วว่าตั้งใจจะไปทำบุญอุทิศกุศลให้คนที่ล่วงลับไปแล้วทั้งสองคนที่เกิดวันเดียวกัน

“อืม ก็นั่นแหละ กูมาบอกแค่นั้น จะนัดกันอะไรยังไง เดี๋ยวเพื่อนมึงคงจะมาบอกเอง”

วีร์พยักหน้าตอบกลับว่าเข้าใจ แล้วต่างฝ่ายต่างก็มองกันไปมาแบบว่ายังตัดสินใจไม่ถูกว่าจะทำอะไรต่อไป มันไม่ใช่ความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจแต่ก็ไม่ถึงกับสนิทใจอะไร

“งั้น ไม่มีอะไรแล้ว กูไปก่อนนะ” วีส์ลุกขึ้นยืนเตรียมตัวเดินออกไป เพราะเขาได้ทำทุกอย่างที่คิดไว้แล้ว

“เอ่อ เดี๋ยวครับ” วีร์เรียกรั้งตัวไว้ก่อน เพราะถึงอย่างไรก็ได้โอกาสพูดคุยกันแล้วก็ควรจะพูดให้หมดซะทีเดียว จะได้ไม่รู้สึกค้างคาใจอะไรอีก โดยเฉพาะสำหรับตัวเขาเอง

วีส์นั่งลงไปเหมือนเดิม และกำลังลุ้นอยู่ในใจว่าเด็กหนุ่มมีเรื่องอะไรจะพูดกับเขา ความคิดเข้าข้างตัวเองมันก็มีอยู่บ้าง แต่ก็พยายามบอกกับตัวเองไว้ว่าอย่าเพ้อฝันเพราะมันคงเป็นไปได้ยากแล้ว

“ทำไมถึงชอบผม” วีร์ถามด้วยความสงสัย

“เรื่องแบบนี้มันมีเหตุผลด้วยเหรอวะ” วีส์รู้สึกอึ้งไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถาม เรื่องของความรู้สึกบางครั้งมันก็ไม่มีอะไรรองรับว่ามีที่มาอย่างไร มันก็แค่เกิดความรู้สึกนั้นๆขึ้นมา ไม่ว่าจะเกิดขึ้นมาแล้วควบคุมได้หรือไม่ได้ก็ตาม

“แต่... ยังไงมันก็ต้องมีต้นเหตุ แต่เรา... ไม่เคยได้ทำอะไรด้วยกันมาก่อน” วีร์พยายามจะเข้าใจว่าอะไรที่ทำให้ชายหนุ่มที่มีใบหน้าคล้ายกันวีรดนย์ถึงมาชอบเขาได้ “ขนาดตอนอยู่ที่โรงเรียน เราก็ไม่เคยได้เจอกันเลยใช่มั้ยครับ”

วีส์บ่ายหน้าไปมองอย่างอื่น เขาไม่แน่ใจว่าเขาควรจะพูดต่อไปดีหรือไม่ เพราะจากที่เด็กหนุ่มพูดมาก็แสดงให้เห็นชัดแล้วว่า ที่ผ่านๆมาเขาไม่เคยอยู่ในสายตาของคนตรงหน้าเลย แล้ววีส์ก็หันหน้ากลับมาอีกครั้งจนเจอกับสายตาคู่เดิมกำลังมองเขาผ่านแว่นสายตาอยู่

“มึงจำวันปฐมนิเทศน์... มึงน่าจะขึ้นม.5 ได้มั้ย ที่ไอ้หมอวีขึ้นไปรับสามรางวัล” วีส์ถามและมองดูวีร์พยักหน้า แต่เขาไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะจำได้จริงๆ “กูคือคนที่ถูกเรียกให้ขึ้นไปรับรางวัลต่อจากมัน”

วีร์พยายามนึกย้อนเวลาไปในวันนั้น เขาจำได้ว่าตอนที่วีรมาตุเดินลงมาจากเวทีแล้ว เขาต้องรีบไปเดินหาสาเหตุว่าทำไมแบตเตอรี่กล้องถ่ายรูปของกรรณิการ์กำลังจะหมดได้

วีส์เห็นสีหน้าของเด็กหนุ่มก็พอจะเดาได้ว่าคงจะนึกไม่ออกจริงๆ

“พี่แบงก์กับพี่กิ๊บบอกว่าคุณเป็นคนจัดการให้ผมได้เข้าชมรมถ่ายรูปใช่มั้ย” ในเมื่อพูดไปถึงช่วงเวลาสมัยตอนอยู่โรงเรียนมัธยมศึกษาแล้ว วีร์จึงถามเรื่องที่เขาเพิ่งจะรู้มาไม่นานเพื่อยืนยันให้แน่ใจ

“ก็... มั้ง” วีส์ตอบยอมรับ “เพราะมึงย้ายมาช้าเกินไป ชมรมส่วนใหญ่มีคนเต็มจำนวนหมดแล้ว โดยเฉพาะชมรมกีฬา ก็เหลือพวกชมรมเด็กคัดวิชาการที่ มัน บอกว่ามึงคงจะไม่เข้าแน่ๆ ก็เหลือชมรมถ่ายรูปที่ไม่เคยมีคนเต็มสักปีที่ มัน เคยบอกว่าเคยให้กล้องมึงไปใช้” วีส์เน้นย้ำคำทั้งสองครั้งให้รู้ว่า มัน นั้นหมายถึงใคร

“อืม พี่วีเขาคิดรอบคอบให้หมดแล้ว”

วีส์ยิ้มมุมปากพร้อมกับพ่นลมหายใจออกมาทางจมูก สุดท้ายแล้วความดีความชอบก็ไม่ใช่ของเขา

“มีอะไรรึเปล่าครับ” วีร์ถามหลังจากเห็นอาการของคนตรงหน้า

“เปล่า ไม่มีอะไร ช่างเถอะ” วีส์พยายามปรับสีหน้ามาเป็นปกติ “มึงมีอะไรอีกมั้ย เดี๋ยวกูมีเรียนภาษาจีน”

“ต้องเรียนภาษาจีนด้วยเหรอครับ” วีร์ถามด้วยความสงสัยปนความอยากรู้อยากเห็นแบบไม่ได้ตั้งใจ

“ต้องเรียนสิ เป็นหนึ่งในข้อกำหนดของทุน เพราะไปอยู่ที่โน้นต้องใช้ภาษาจีน” วีส์พยายามตัดความรู้สึกขุ่นมัวก่อนหน้านี้ออกไปแล้วตอบด้วยน้ำเสียงปกติ

“อ๋อ เคยเห็นพี่วีเริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่นอยู่เหมือนกัน อันที่จริงพี่วีบอกว่าตอนไปเรียนจะใช้ภาษาอังกฤษ แต่ยังไงก็จะไปอยู่หลายปีอยู่แล้ว ก็เลยฝึกภาษาญี่ปุ่นไปด้วยจะดีกว่า” วีร์แค่เล่าเรื่องเก่าๆออกมา ไม่ได้ตั้งใจไปกวนตะกอนน้ำให้ขุ่นขึ้นมาอีก

“อืม ใช่ มันเก่งไปหมดซะทุกอย่างนั่นแหละ” ถึงจะพูดด้วยน้ำเสียงปกติ ไม่ได้ใส่อารมณ์แต่ก็ปิดความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ไม่มิด วีส์พ่นลมหายใจออกมาเบาๆแล้วก็ตัดสินใจว่าต้องลุกออกไปจากที่นี่เสียที “มึงมีอะไรอีกมั้ย ไม่งั้นกูจะไปแล้ว”

“เดี๋ยวก่อนครับ” วีร์เรียกรั้งตัวชายหนุ่มรุ่นพี่ไว้อีกครั้ง แล้วก็มีท่าทางลังเลที่จะพูด

“มีอะไรก็ว่ามา” วีส์พยายามเร่งเร้าให้เด็กหนุ่มพูดธุระที่ต้องการให้เสร็จ

“คุณจะเอาไอ้เติบกลับไปมั้ย” วีร์ถามแล้วก็ลุ้นฟังคำตอบ ในใจก็นึกอยู่ว่าถ้าหากอีกฝ่ายต้องการสุนัขตัวสีดำกลับไปจริงๆ เขาจะทำใจยอมรับได้หรือไม่

“จะเอาไปทำไม” วีส์เลิกคิ้วขึ้นถามที่ไม่จำเป็นต้องถามว่า ไอ้เติบ คืออะไร

“ก็เดิมทีมันเป็นโควตาส่วนที่คุณจะได้ไป เผื่อว่าคุณอยากได้มันคืน” ถึงจะใจชื้นขึ้นมาบ้างแต่วีร์ก็ยังรู้สึกหวั่นๆอยู่ไม่น้อย จนกว่าชายหนุ่มจะตอบปฏิเสธตรงๆให้เขาแน่ใจก่อน

วีส์บ่ายหน้าไปทางอื่นแต่ก็ยังลอบมองอีกฝ่ายด้วยหางตา พยามยามแปลความหมายว่ามีอะไรแฝงอยู่หรือไม่ ว่าอยากคืนให้เขาจริงๆ หรือไม่อยากได้ของอะไรที่เป็นเขากันแน่

“มึงเลี้ยงมันมาตั้งหกเจ็ดปีแล้ว จะเอามาคืนกูทำไม”

“ก็ไอ้ต่ายกับปันปันบอกว่าเดิมทีคุณจองลูกหมาสีดำไว้ แล้วก็มีแค่ไอ้เติบตัวเดียว” วีร์อธิบายเหตุผลของเขา

วีส์ถอยหายใจออกมาดังชัดเจน

“ไม่อะ ของที่กูให้แล้ว กูไม่เอาคืน”

ในตอนนี้วีร์รู้สึกโล่งขึ้นมาที่ไม่ต้องคืนสุนัขตัวสีดำไป แต่ก็ยังรู้สึกผิดที่ไปเบียดบังส่วนของคนอื่น ถึงแม้ว่าเรื่องราวจะผ่านมานานแล้วก็ตาม

“แล้วทำไมถึงยกให้ผม”

“มึงอยากรู้จริงๆเหรอ” วีส์มองดูเด็กหนุ่มพยักหน้ารับ แล้ววีส์ก็ชั่งใจว่าควรจะให้คำตอบแบบไหนดี “มันมีเด็กอ้วนๆคนหนึ่งที่มาถึงแล้วก็ชอบอุ้มลูกหมาตัวสีดำก่อนตัวอื่นๆ แล้วก็พาเดินไปเดินมาไปทั่วไม่ยอมวาง”

วีร์รู้สึกวูบวาบหลังจากที่ได้ยิน เพราะนี่ถือเป็นคำยืนยันจากปากของชายหนุ่มร่างสูงว่าเคยเจอเขามาก่อนนานมากแล้ว แต่ก็สงสัยว่าทำไมเขาถึงไม่มีภาพจำของคนตรงหน้าในตอนนั้นเลย

“กูไปก่อนดีกว่า” วีส์ลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มไม่ได้มีการโต้ตอบอะไรกลับมา คาดเอาเองว่าคงจะหมดเรื่องที่จะพูดดุยกันแล้ว

“เอ่อ เดี๋ยวครับ อีกเรื่องนึง” วีร์รีบลุกขึ้นตามแล้วขว้าข้อมือของชายหนุ่มรุ่นพี่ดึงเอาไว้ก่อน

“มีอะไรอีก” วีส์ไม่ได้ตะคอกใส่แต่น้ำเสียงก็ดูห้วนๆสั้นๆ แล้วก็ก้มมองดูข้อมือของเขาที่ถูกจับไว้ จนอีกฝ่ายก็สังเกตเห็นและยอมปล่อยแต่โดยดี

“เรื่องที่เราตกลงกัน...” วีร์เกริ่นนำแล้วละส่วนใจความที่เข้าใจตรงกันไว้ ชายหนุ่มร่างสูงก็มองถามกลับว่าเด็กหนุ่มรุ่นน้องต้องการอะไรอีก หรือว่าต้องการข้อตกลงใหม่ที่เข้มข้นกว่าเดิม ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาก็พร้อมที่จะทำให้เลย

“ผมว่า... คุณไม่จำเป็นต้องหลบหน้าผมขนาดนั้นก็ได้มั้งครับ”

“ก็เปล่านี่” วีส์ตอบปฏิเสธและพยายามวางเฉยและเก็บอาการของตัวเองไม่ให้แสดงออกมา เดิมที่คิดไปถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายกว่านี้มาก ตอนนี้จะรู้สึกโล่งใจขึ้นก็คงจะไม่แปลก

“ตอนที่ผมบอกว่าต่างคนต่างอยู่ ไม่ได้หมายความว่าอย่ามาให้เห็นหน้ากันเลย” วีร์อธิบายให้ฟังเพิ่มเติม “ถ้าจะบังเอิญเดินสวนกันก็บ้างไม่เป็นไร ต่างคนต่างเดิน ต่างคนต่างกิน ต่างคนต่างใช้ชีวิตของตัวเอง ผมไม่อยากให้มันเป็นเงื่อนไขที่ทำให้ใช้ชีวิตประจำวันลำบากขึ้น”

วีส์นั้นเข้าใจสิ่งที่เด็กหนุ่มต้องการจะบอก แต่เขาไม่ได้คิดว่าสิ่งที่เขาทำจะทำให้ตัวเองลำบาก แถมยังดีกับตัวเขาเองด้วยซ้ำไป

“มึงทำได้ แต่กูทำไม่ได้ไง” วีส์ตอบกลับในส่วนของเขา ส่วนวีร์ก็มองตอบกลับอย่างสงสัยว่าทำอะไรได้และทำอะไรไม่ได้ วีส์เห็นแล้วก็อธิบายเพิ่มเติม “กูเห็นมึงแล้วกูอดคิดไม่ได้ ยิ่งเห็นก็ยิ่งคิด ทางที่ดีอย่าเห็นกันเลยจะดีกว่า จะได้ตัดใจให้ได้สักที”

วีร์เข้าใจสิ่งที่ได้ยินแต่ก็ไม่คาดคิดว่าตัวเขาเองจะมีอิทธิพลต่อชายหนุ่มตรงหน้ามากขนาดนั้น

“มึงวางใจได้ กูไม่ได้ลำบากอะไร มึงไม่จำเป็นต้องมาเป็นกังวลเรื่องของกูเลย”

“แต่ผมพูดจริงๆนะ ถ้าต้องถึงกับหลบหน้าทุกครั้งที่เจอกัน ต้องเดินอ้อมไปไกลเพียงแค่ไม่ต้องมาเดินสวนทางกัน มันดูจะมากเกินความจำเป็น”

“แล้วมึงจะให้กูทำยังไง”

“ก็ใช้ชีวิตไปตามปกติไงครับ อะไรที่เคยทำก็ทำไปตามปกติ”

“มึง กูบอกแล้วว่ากูไม่ได้ลำบากอะไรเลย” วีส์กรอกตามองบนที่เรื่องราวเริ่มจะวนอยู่ที่เดิม

“ผมแค่ไม่อยากเป็นต้นเหตุที่ทำให้คนอื่นใช้ชีวิตยุ่งยากขึ้นเท่านั้นเอง โอเคละ บางทีมันก็ดูขัดหูขัดตาไปบ้าง แต่ว่าไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้มั้ง...”

“พูดมากจังวะมึง”

วีส์ก็เริ่มจะรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้วที่เด็กหนุ่มเอาแต่ย้ำคำเดิมๆ ให้เขาใช้ชีวิตแบบเดิมๆเหมือนที่เคยทำมา ในเมื่อแบบเดิมที่เขาเคยทำมาตลอดคือการเข้าหาเด็กหนุ่มตรงๆ ลุยกันซึ่งๆหน้าแบบที่อีกฝ่ายไม่ได้ต้องการ และเมื่อเขาได้ปรับเปลี่ยนให้แล้วก็กลับมาบอกให้เลิกทำ

ริมฝีปากที่ยังขยับไม่หยุดพูดซ้ำไปซ้ำมาที่เห็นแล้วก็รู้สึกรำคาญสายตา จนต้องรีบจัดการให้มันหยุดนิ่งซะก่อนอย่างทันทีทันควันไม่ให้ได้ทันตั้งตัว ด้วยการยกมือทั้งสองขึ้นประคองแก้มทั้งสองข้าง จากนั้นก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้อย่างรวดเร็ว แล้วก็จัดการประกบปิดริมฝีปากนั้นด้วยริมฝีปากของเขาเอง จะได้จบเรื่องราวไปเสียที

ที่ใครๆบอกกันว่าตอนที่เราใกล้จะละกายหยาบจากโลกนี้ไป เรามักจะเห็นภาพความทรงเก่าๆจำผุดขึ้นมากมายนับไม่ถ้วน ในตอนนี้ถึงจะไม่ใช่เวลาใกล้ตายของเขา แต่วีร์กลับมองเห็นภาพความฝันครั้งแล้วครั้งเล่าทับซ้อนกันมา เริ่มตั้งแต่ความฝันครั้งล่าสุดไล่ย้อนกลับไปเรื่อยๆจนถึงความฝันครั้งแรกที่ตรอกถนนแห่งหนึ่ง

บรรยากาศมืดๆที่มีแค่ไฟถนนส่องสว่าง มีแสงวาบสีน้ำเงินและสีแดงหมุนวนสลับกันไป เด็กหนุ่มกำลังเขย่งเท้ายกตัวขึ้นให้สูงเท่ากับชายหนุ่มตรงหน้า แล้วหลังจากนั้น...

มันไม่ใช่ความฝัน

วีส์ถอนใบหน้าของเขาออกมามองดูดวงตาที่กำลังเบิกกว้าง ริมฝีปากที่ยังเผยอออกจากกันนั้นไม่มีเสียงออกมาแล้ว มือทั้งสองข้างของเขาก็สัมผัสได้กับความร้อนผ่าวจากแก้มทั้งสองข้าง นี่เขาตัดสินใจถูกแล้วหรือเปล่า แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ได้ลงมือทำไปแล้ว นอกเสียจากจะมีอำนาจวิเศษที่บังคับให้เวลาเดินย้อนกลับไปได้

“ทีนี้ เราก็เจ๊ากันแล้วนะ”

วีส์พูดทิ้งท้ายก่อนที่จะผละตัวออกมาแล้วก็เดินหายเข้าไปข้างในตึกเรียน ปล่อยทิ้งเด็กหนุ่มไว้ลำพังกับความรู้สึกที่เพิ่งจะได้ค้นพบความจริงที่สงสัยมานานร่วมปีสักที


*****


#VVGo4Launch


[โปรดอ่านตอนต่อไป]


ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ตอนที่ 8 ขาดทุนคือกำไร

เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมชาติที่ทุกคนจะต้องพบเจอ ไม่ว่าจะเจอเร็วหรือเจอช้าแต่ต้องได้เจอแน่นอน และเมื่อเจอแล้วเราจะสามารถรับมือได้มากน้อยแค่ไหน บางคนมีเวลามากพอให้ปรับเปลี่ยนตัวเอง บางคนก็มาแบบปัจจุบันทันด่วน แม้แต่คนที่อยู่ข้างหลังก็ไม่ทันคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น

ยามที่จากไปแล้ว ก็ไม่มีใครรรู้ว่าจะได้ไปไหน ยังวนเวียนอยู่หรือว่าไปเกิดใหม่ คนที่อยู่ด้านหลังก็ได้แค่อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้ โดยหวังว่าจะส่งไปให้ถึงดวงวิญญาณเพื่อให้พบกับความสงบที่แท้จริง ทั้งกับผู้ที่จากไปแล้วและผู้ที่ยังอยู่ในวังวนแห่งนี้

ช่วงเวลาสายก่อนที่กลองเพลจะถูกตีบอกเวลา เหล่าญาติมิตรทั้งหลายก็เดินทางมาพร้อมเพรียงตามวันเวลาและสถานที่ที่ได้นัดหมายกันไว้ วิรัช จิรัสย์ วิธู พร้อมด้วยแพรไหมมารอที่วัดอยู่ก่อนแล้ว ไม่นานนักธีร์ก็ขับรถยนต์เข้ามาจอดเทียบใกล้ๆกัน โดยมีวนกร วีร์ และเด็กตัวน้อยทั้งสองคนที่ถูกวิธูและแพรไหมแย่งตัวกันไปดูแลนับตั้งแต่ตอนที่เดินทางมาถึง และที่ตามมาไม่ห่างกันมากนักก็คือรถยนต์หรูยี่ห้อดังคันสีขาววาววับที่มีชื่นฤทัยและปัญจวีส์นั่งมาด้วยกันแค่สองคนก็เลี้ยวเข้ามาจอดภายในบริเวณอาราม

คนที่ดีใจมากที่สุดในตอนนี้ก็คงจะเป็นเด็กชายธรที่กวักมือและร้องเรียกปัญจวีส์ทันทีที่เห็นหน้าให้มาเล่นด้วยกัน

สำหรับอีกคนนั้น วีร์รู้สึกโล่งใจที่ไม่โผล่มาให้เห็นหน้าวันนี้ เพราะยังอยู่ในห้วงอารมณ์ที่ทำตัวไม่ถูกว่าควรจะแสดงออกอย่างไรดี จากเดิมที่ก็ยังไม่ชินตากับรูปลักษณ์ใหม่ ตอนนี้ก็มีความรู้สึกที่บอกไม่ถูกเพิ่มขึ้นมาอีก จากที่เคยบอกเขาว่าไม่ต้องหลบหน้าหลบตาแต่ตอนนี้ตัวเขาก็มามีอาการเอาเสียเอง

นอกจากเด็กชายสามคนที่กำลังเล่นสนุกกัน คนอื่นๆก็ช่วยกันยกอาหาร ดอกไม้ธูปเทียน ไปจัดเตรียมให้พร้อมด้านในศาลารอเวลาพระฉัน เหลือแม่ๆทั้งสองคนที่ยังยืนอยู่ด้านนอก

“ขอโทษนะคะที่มาช้าไปหน่อย” ชื่นฤทัยถามหลังจากที่ได้พบปะทักทายกันแล้ว

“ไม่เป็นไรค่ะ ยังมาทัน พระยังไม่ตีกลองเพลเลยค่ะ” จิรัสย์ตอบกลับอย่างเป็นกันเอง และมองดูลูกชายคนเล็กของแต่ละบ้านกำลังเล่นสนุกกับเด็กชายตัวน้อย “เวลาผ่านไปเร็วจังนะคะ แป๊บๆน้องธรจะสามขวบแล้ว” ซึ่งความหมายอีกนัยหนึ่งก็คือลูกชายคนโตของเธอจากไปสามปีแล้วเช่นกัน

“เอาเข้าจริง ตอนยังเป็นเด็กๆก็อยากให้โตไวๆ แต่พอโตแล้วก็อยากให้เป็นเด็กอย่างเดิม”

“คนเป็นแม่ก็อย่างนี้แหละค่ะ แต่พอถึงเวลาที่เขาต้องไปตามทางของเขา เราก็ได้แต่ทำใจแล้วก็เป็นห่วงอยู่ห่างๆ” จิรัสย์มองดูวิธูและปัญจวีส์กำลังหัวเราะสนุกสนานไปกับธร “ก็เหลือคนเล็กนี่แหล่ะ แค่เขาเอาตัวรอดได้ พ่อแม่อย่างเราก็หมดห่วงแล้ว”

สำหรับลูกคนเล็กของเธอ ชื่นฤทัยไม่ได้เป็นห่วงอะไรมากมาย ทั้งเรื่องการเรียนและเรื่องพฤติกรรมที่ไม่เคยมีปัญหาอะไรให้ลำบากใจเลย

เมื่อเห็นว่าชื่นฤทัยเงียบไป จิรัสย์จึงหันไปมองก็เห็นว่าชื่นฤทัยกำลังชะเง้อไปทางด้านหน้าประตูวัด ส่วนด้านในศาลานั้นมีวิรัชกำลังจัดโต๊ะอาหารและมีธรเป็นลูกมือ วนกรและแพรไหมกำลังจัดดอกไม้ ธูป เทียน หน้าโต๊ะหมู่บูชา ส่วนวีร์ที่กำลังอุ้มธารากำลังเดินถือคนโทกรวดน้ำและพานหมากพลูไปจัดวางไว้ที่โต๊ะหน้าเก้าอี้นั่งสวด

“แล้ว... อีกคนไม่มาเหรอคะ” จิรัสย์เอ่ยปากถาม

“เขาก็รับปากไว้แล้วนะคะว่าจะมา ไม่รู้ว่าติดอะไรอยู่รึเปล่า จริงๆก็บอกให้กลับมาค้างที่บ้านซะตั้งแต่เมื่อวาน วันนี้จะได้ออกมาพร้อมกัน” ชื่นฤทัยยังคงมองไปทางประตูวัด

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ได้ข่าวอยู่เหมือนกันว่าช่วงนี้ต้องทำหลายอย่าง” จิรัสย์ตอบกลับอย่างเข้าใจ

ตุ่ม ตุ่ม ตุ่ม...

“เข้าไปข้างในกันเถอะค่ะ คุณชื่น พระตีกลองเพลแล้ว อีกเดี๋ยวเขาคงจะมาถึงแล้วละคะ” จิรัสย์ชวนชื่นฤทัยให้เข้าไปในศาลาด้วยกัน เตรียมพร้อมทำพิธีพระสวดมงคลคาถา ให้ศีลให้พร แผ่เมตตาอุทิศส่วนบุญส่วนกุศล และประเคนอาหารเพลแด่พระสงฆ์ผู้เจริญ

ชื่นฤทัยหันไปมองดูอีกครั้งเผื่อว่าจะเห็นรถยนต์คันสีดำเลี้ยวเข้ามา แต่ก็เจอกับประตูทางเข้าที่ว่างเปล่า เธอจึงหันกลับมาพยักหน้าให้กับจิรัสย์แล้วก็พากันเดินเข้าไปด้านในศาลา

นอกจากกลุ่มของวีร์แล้ว ก็ยังมาบุคคลอื่นที่มาร่วมฟังสวดก่อนเพลด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นคนที่ตั้งใจมาทำบุญถวายเพลโดยเฉพาะ หรือญาติของผู้วายชนม์ที่กำลังตั้งศพบำเพ็ญกุศลที่ศาลาภายในวัดก็ตาม ต่างก็มาร่วมพิธีไปพร้อมกัน

บรรดาพวกผู้ใหญ่ทั้งสามนั่งเก้าอี้แถวหน้าสุด แต่ก็มีปัญจวีส์ติดสอยห้อยตามมารดาของเขานั่งไปด้วยกัน แถวถัดมาเป็นวนกรที่กำลังอุ้มธารานั่งอยู่เก้าอี้ริมสุด พร้อมลุกขึ้นเดินออกไปด้านนอกได้ตลอดเวลาหากว่าธารามีอาการอะไรขึ้นมาระหว่างการทำพิธี ถัดเข้าไปด้านในก็เป็นธีร์ วิธูและแพรไหม ส่วนวีร์นั้นอยู่อยู่กับธรที่แถวหลังสุด

ส่วนเก้าอี้ตัวอื่นๆในแถวเดียวกันนั้นก็แบ่งส่วนให้กับผู้มีจิตศรัทธาคนอื่นๆไป

วีร์กำลังตั้งใจนั่งพระสวดโดยกุมมือทั้งสองข้างของธรที่กำลังนั่งตักของเขาให้พนมมือไปด้วยกัน ไม่ทันได้สังเกตุว่ามีบุคคลอื่นเข้ามานั่งเก้าอี้ตัวถัดจากเขาไป จนถึงเวลาที่ต้องกรวดน้ำนั้นเอง ก็มีมือข้างหนึ่งมากุมทับมือของเขาที่กำลังยกคนโทกรวดน้ำขึ้นเท วีร์จึงได้หันไปมองและเห็นว่าคนที่เดินทางมาถึงทีหลังแล้วมานั่งอยู่ข้างๆเขาคือใคร

จังหวะการเต้นของหัวใจก็ถี่ขึ้นในทันที

ส่วนธรก็หันไปมองอย่างสงสัยว่าใครมาจับมือพี่ชายคนโตของเขา จากเดิมที่วางมืออยู่บนแขนของวีร์ก็ยกตัวขึ้นแล้วก็เอื้อมไปวางทับมือของพี่ชายทั้งสองคน

จนเสร็จสิ้นพิธีการ พระสงฆ์กราบลาพระพุทธรูปประธานก่อนที่จะเคลื่อนย้ายกันไปที่โต๊ะอาหาร ส่วนผู้ที่มาฟังธรรมก็เริ่มขยับตัว วิรัชและธีร์กำลังจะลุกขึ้นเพื่อไปยกอาหารประเคนถวายพระ ปล่อยให้เด็กๆเป็นคนเอาน้ำที่กรวดน้ำแล้วไปเทที่ต้นไม้ใหญ่ แต่ละคนจึงหันมาเห็นว่าวีส์นั้นมาถึงแล้ว

วีร์รีบคว้าพานรองคนโทแล้วก็จูงธรเดินออกไปที่ต้นไม้ใหญ่ด้านนอกศาลาด้วยกัน ที่ตามออกไปติดกันก็คือวิธูและปัญจวีส์ ในตอนที่พวกเขาเดินกลับมานั้นเป็นจังหวะเดียวกันกับวิรัชและธีร์เดินกลับมาถึงเช่นกัน

“ว่าไงเรา ช่วงนี้งานยุ่งเหรอ” วิรัชทักทายลูกชายคนรอง

“นิดหน่อยครับพ่อ ลุงเกื้ออยากให้เขียนโครงวิทยานิพนธ์ให้เสร็จเดือนนี้เลย เดี๋ยวมันจะไม่มีเวลา” วีส์ตอบกลับตามปกติ แต่เป็นการโต้ตอบที่ดูจะไม่ปกติสำหรับคนที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

“ไม่มีเวลาอะไรกัน เพิ่งจะเปิดเทอมสองเอง” วิรัชถามกลับอย่างสงสัย

“ก็เทอมนี้ลงไปเจ็ดวิชา ทั้งงานส่งทั้งอะไรๆอื่นอีก ก็เลยเยอะแยะไปหมด” วีส์ตอบกลับ

“ทำไมลงตั้งเจ็ดวิชา จะรีบไปไหน”

“ก็เผื่อว่าปีหน้าจะได้มีเวลาว่างให้กับวิทยานิพนธ์ได้เต็มที่ แล้วก็ไหนๆ ช่วงนี้ก็ว่างไม่ต้องไปทำอะไรแล้ว” วีส์ตอบแล้วก็นั่งพิงหลังไป เขาไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติมว่าช่วงเวลาก่อนหน้านี้เอาไปทำอะไรมาบ้าง และทำไมตอนนี้ถึงได้มีเวลาว่างลงแล้ว

“แล้วนี่ยังไปซ้อมเทนนิสอยู่รึเปล่า”

“ก็...ยังไปอยู่บ้าง แต่บอกโค้ชไปแล้วว่าคงจะออกจากทีมก่อนสอบมิดเทอม”

“อ้าว เหรอ” วิรัชมองดูลูกชายอย่างแปลกใจ “แล้วโค้ชว่ายังไง”

“จะว่าอะไร ปกติก็ไม่ได้ลงตัวจริงอยู่แล้ว แล้วนี่ไอ้ต่ายก็เข้ามาอยู่ในทีมแทนแล้ว”

“แต่หมอเขาบอกให้ออกกำลังกายอยู่เรื่อยๆนะ อย่าลืม” วิรัชพูดออกไปแล้วก็ได้รับสายตาแปลกๆจากลูกชายคนเล็กทั้งสองคน เหมือนว่าเขาพูดอะไรผิดไป

“ไม่ลืมหรอกน่ะพ่อ” วีส์ตอบด้วยท่าทางเหมือนจะไม่สนใจอะไร แต่ก็แอบลอบมองคนที่กำลังคุยอยู่กับเด็กตัวน้อยที่อยู่ไม่ไกลกันนัก

“เออจริงสิ” จิรัสย์พูดแทรกขึ้นมาระหว่างการสนทนาของพ่อและลูกๆ “น้องวีร์ เดี๋ยวไปเอาของฝากที่ท้ายรถด้วยนะ เดี๋ยวจะลืม”

“อ๋อ ได้ครับแม่ เดี๋ยวเอาใส่ท้ายรถพี่ธีร์ไปนะครับ” วีร์ลุกขึ้นยืนจะเดินไปของกุญแจรถยนต์จากธีร์ เดินผ่านปัญจวีส์ที่เดินเบะปากอยู่ วีร์จึงถามด้วยความสงสัย “เป็นอะไร”

“แหม พอเป็นแม่ของต่ายละเรียกแม่ได้เต็มปากเต็มคำเลยนะ แต่พอเป็นแม่ของปันปันละไม่ยอมเรียกเลย”

วีร์ส่ายหน้าเบาๆตอนที่รับกุญแจรถยนต์มาจากธีร์ สำหรับจิรัสย์นั้นเป็นความเคยชินที่เรียกมานานแล้ว แต่สำหรับชื่นฤทัย เขารู้จักในฐานะคุณป้าของนพชัยและชัยทิศมาก่อน และยังไม่มีสถานการณ์อะไรที่เด่นชัดที่ทำให้ต้องเปลี่ยนสรรพนามในการเรียกชื่อในตอนนี้ ถึงจะเป็นแม่ของปัญจวีส์แต่ก็ยังรู้สึกแปลกที่จะเรียก

“เดี๋ยววีร์จะกลับบ้านเลยมั้ย พี่จะได้วนรถไปส่งก่อน”

“ไม่เป็นไรพี่ธีร์ เดี๋ยววีร์ไปบ้านไอ้ตี๋เล็กต่ออีก” วีร์ตอบกลับ ทั้งธีร์และวนกรก็มองตอบกลับอย่างสงสัย วีร์จึงอธิบายเพิ่มเติม “วันนี้ก็วันเกิดเฮียวีเหมือนกัน อาม่าอยากให้ไปหาที่บ้าน”

“จริงๆพี่แวะไปส่งให้ก็ได้นะ” ธีร์ยืนยันข้อเสนอเดิม ถึงแม้ว่าจะเปลี่ยนจุดหมายปลายทางไปก็ตาม

“ไม่เป็นไร วีร์ไปเองได้ พี่ธีร์จะได้ไม่ต้องวนไปวนมา เดี๋ยวจะเข้างานไม่ทัน”

“ไม่เห็นจะต้องกลัวอะไรเลย เจ้าชองบริษัทก็อยู่นี่ทั้งคน สบายหายห่วง ใช่มั้ยแม่” ปัญจวีส์รีบขว้าแขนชื่นฤทัยมาแสดงตัวให้ทุกคนเห็น

ธีร์แค่ยิ้มตอบรับไปเท่านั้น ไม่ได้พูดอะไรออกไป ซึ่งวีร์ก็พอจะเข้าใจว่าธีร์ไม่ชอบเรื่องเส้นสายไต่เต้าเพื่อหน้าที่การงาน แม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆก็ตาม เหมือนตอนที่หลายๆคนพยายามช่วยหาโรงเรียนใหม่ให้กับวีร์และก็ได้มาอย่างรวดเร็ว ซึ่งธีร์นั้นไม่ได้คัดค้านวิธีการแต่ก็ไม่ได้ยินดีสนับสนุน เพราะไม่ถึงที่สุดจริงๆก็จะพยายามหลีกห่างจากเรื่องในลักษณะนี้ให้ไกลที่สุด

“ยิ่งเป็นเจ้าของบริษัท ยิ่งต้องรับผิดชอบต่อหน้าที่มากกว่าคนอื่นๆหลายเท่า” ชื่นฤทัยก็ตีมือปัญจวีส์เบาๆเป็นการปราม

“ไม่เป็นไรพี่ธีร์ วีร์ไปเองได้” วีร์ยืนยันคำตอบคำเดิม และทุกคนก็ไม่ได้คัดค้านอะไรอีก ยกเว้นเพียงเด็กชายตัวน้อยที่เดินเข้ามากอดขาของวีร์ วีร์จึงก้มลงมอง “มีอะไร”

“ไปด้วย” ธรเงยหน้าขึ้นตอบสั้นๆ

“ไปไหน” วีร์ถามกลับ

“อาม่า ไปกินหนม”

นับตั้งแต่ที่วีร์เคยพาธรไปในวันเกิดของอาม่าซิ่งฮวา คุณย่าของศศิทัศน์ ธรก็ติดใจขนมฝีมือของซิ่งฮวามาก และได้รับของฝากผ่านทางศศิทัศน์อยู่บ่อยๆ เมื่อคราวใดได้ยินเกี่ยวกับอาม่าขึ้นมา ก็รบเร้าจะให้พาไปหาให้ได้ทุกครั้งไป วีร์จึงหันไปถามธีร์และวนกรว่าจะเอาอย่างไร

“งั้นก็ เดี๋ยวพี่พาไปส่ง” ธีร์เป็นคนตัดสินใจ ในเมื่อลูกชายตัวน้อยอยากจะไป คนเป็นพ่อก็ไม่อยากจะขัดใจ

“ไม่ต้อง เดี๋ยววีร์พาไปเองได้ พี่ธีร์ไปทำงานได้เลย” วีร์บอกปัดไปอีกเช่นเดิม

“เอาน่ะ...”

“เอาอย่างนี้มั้ยครับ” ปัญจวีส์พูดเสนอแทรกขึ้นมา “พี่วีเอารถมา แถมนั่งมาคนเดียวอีก รถก็ว่างอยู่ คนก็ว่าง ให้พี่วีไปส่งก็ได้ครับ”

แต่ละคนก็มีปฏิกิริยาที่แตกต่างกันออกไป บรรดาพวกผู้ใหญ่ก็พยายามมองเป็นเรื่องปกติทั่วไปไม่ได้แสดงอะไรออกมาเป็นพิเศษ ส่วนแพรไหมขมวดคิ้วเข้าหากันเพราะเหมือนว่าเพื่อนของเธอกำลังจะถูกมัดมือชก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากมีใครแสดงความเห็นด้วยตามมา และมันก็มีความเป็นไปได้ที่...

“นั่นสิ ให้พี่วีไปส่งก็ได้ ธรจะได้ไม่ต้องไปลำบากต่อรถหลายเที่ยว” วิธูสนับสนุนความคิดของปัญจวีส์

หากว่าในตอนนี้มีแค่พวกเพื่อนๆหรืออาจจะรวมธีร์และวนกรไปด้วย มีกันอยู่แค่นี้เท่านั้น วีร์คงจะตอบปฏิเสธไปในทันที แต่เพราะว่ามีวิรัช จิรัสย์ และชื่นฤทัยที่ยืนอยู่ด้วยกันทำให้วีร์ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ แต่ก็รู้สึกไม่สะดวกใจที่จะตอบรับไปเช่นกัน อีกทั้งยังมีธรมาพ่วงข้างอยู่แบบนี้ด้วย ทำให้เขารู้สึกตัดสินใจลำบากมากขึ้น

วีส์สังเกตเห็นอาการของเด็กหนุ่มรุ่นน้องก็พอจะเดาออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เขาจึงล้วงกระเป๋ากางเกงเอากุญแจรถออกมาแล้วก็โยนให้กับวิธู

“มึงเอารถกูไปส่งเพื่อนมึงก็ได้”

ปฏิกิริยาตอบสนองอันรวดเร็วของวิธูทำให้คว้ากุญแจรถเอาไว้ได้ทัน แล้วเขาก็โยนกลับไปให้ปัญจวีส์โดยไม่ต้องคิดอะไร

“ผมขับเกียร์กระปุกเป็นซะที่ไหน ให้ไอ้ปันโน้น”

“ผมก็ขับเกียร์กระปุกไม่เป็นเหมือนกัน” ปัญจวีส์รีบบอกปัดในทันทีแล้วก็โยนกุญแจกลับไปให้กับพี่ชายของเขาเอง

เห็นสองคนพี่น้องเกี่ยงกันไปมา วีร์ก็แอบถอนหายใจเบาๆ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ต้องการ แต่ก็ถือเอาเสียว่าไม่พาน้องชายตัวน้อยไปลำบาก

“เดี๋ยวก็ให้พี่เขาไปส่งก็ได้” วีร์บอกตัดสินใจให้ทุกคนได้รับทราบ ซึ่งก็มีทั้งคนที่ใจจนออกนอกหน้าและคนที่เก็บอาการไว้จนมิดเป็นอย่างดี

“งั้นเดี๋ยวก็เอาคาร์ซีตไปตัวนึงด้วย” ธีร์บอกกับวีร์ สำหรับเด็กตัวน้อยที่ยังไม่ถึงวัยประถมศึกษาต้องมีที่นั่งพิเศษเพื่อความปลอกภัยในการเดินทาง

เมื่อตกลงกันได้แล้วจึงพากันเดินออกไปจากศาลา ธีร์รับเอากุญแจรถคืนมาจากวีร์เพื่อไปยกที่นั่งสำหรับเด็กออกมาหนึ่งตัวแล้วส่งต่อให้กับวีส์ เอาไปใส่ในรถยนต์ของเขา ส่วนวีร์เดินจูงมือธรตามจิรัสย์ไปเอาของฝากที่เตรียมมาให้ และเมื่อจัดการโยกย้ายถ่ายเทกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว รถยนต์ทั้งสี่คันก็แยกย้ายกันไปตามจุดหมายปลายทางของแต่ละคน


*****


บรรยากาศรอบตัวเริ่มเข้าสู่ฤดูแห่งความรัก หรือให้เข้าใจโดยง่ายก็คือกำลังใกล้ถึงวันวาเลนไทน์แล้ว สถานที่ต่างๆก็จัดตกแต่งที่เน้นสีแดง สีขาว สีชมพู ตามห้างร้านค้าต่างๆก็มีจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายถ้าหากมาเป็นคู่จะได้ราคาพิเศษ ทำเอาคนมาเดี่ยวหลายคนอยากจะหายตัวไปชั่วคราว

กระนั้นมันก็เป็นแค่วันๆหนึ่งที่ถูกระบบทุนนิยมใช้เป็นเครื่องมือสร้างมูลค่าเพิ่ม ไม่ต่างไปจากเทศกาลอื่นๆ แต่ก็ยังมีคนที่เชื่อในสาระสำคัญของวันนั้นๆ ไปจนถึงคนที่ไม่ได้สนใจเลยและไม่ปล่อยให้ตัวเองไหลไปตามกระแส แต่ไม่ว่าจะเป็นคนฝ่ายไหน ตราบใดที่ยังติดต่อกับโลกภายนอก ก็ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงบรรยากาศเหล่านี้ไปได้

หลังจากหมดคาบเรียนแล้ว วีร์ก็เดินกลับไปที่ตึกคณะเศรษฐศาสตร์พร้อมกับแพรวาและดวงใจ ระหว่างที่เดินคุยเล่นสนุกสนานกันนั้น วีร์ก็หันไปเจอกับเพื่อนโรงเรียนเก่าที่เห็นได้จากระยะไกลว่ากำลังนั่งเล่นไพ่กันอยู่ วีร์ก็มองอย่างสงสัยว่าอยู่ในเขตรั้วมหาวิทยาลัยที่คนเดินผ่านไปมาตลอดเวลา ทำไมสองคนนั้นถึงกล้าเปิดวงเล่นไพ่กัน อาจจะจริงอยู่ที่การเล่นไพ่ทุกครั้งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการพนันเสมอไป แต่ก็ยังรู้สึกแปลกใจอยู่ดี

วีร์จึงบอกกับแพรวาและดวงใจว่าเขาขอแวะทักทายเพื่อนของเขาก่อนที่จะเดินกลับไปที่ตึกคณะ

“เฮ้ย ทำอะไรกันวะ ใจกล้าตั้งวงไพ่ใจกลางมหาวิทยาลัยแบบนี้เลยรึ” วีร์ถามเพื่อนเก่าทั้งสองคน

“กีฬาประจำคณะเว้ย” ข้าวฟ่างตอบสวนกลับขณะที่กำลังพิจารณาไพ่ในมืองของเขา

“ไพ่เนี่ยอะนะ” วีร์ถามกลับให้แน่ใจ

“ใช่ ไพ่โปกเกอร์” ข้าวฟ่างตอบอย่างโอ้อวดเหมือนเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจอย่างยิ่ง ส่วนวีร์ก็มองตอบกลับอย่างไม่เชื่อสายตาและหูฟัง ข้าวฟ่างก็มีอาการฮึดฮัดออกมาเล็กน้อย “เดวิด มึงอธิบายให้มันฟังทีดิ”

“ศาสตร์และศิลป์ของไพ่โปกเกอร์คือการวางกลยุทธ์เพื่อเอาชนะคู่แข่งได้โดยที่บางทีเราไม่มีอะไรอยู่ในมือเลยก็ได้ เพราะการได้ไพ่มาอยู่ในมือเราตอนแรกอาจจะเป็นเรื่องของโชคของดวง แต่หลังจากนั้นคือหน้าที่เราจะบริหารโชคยังไงให้เราชนะได้” หนุ่มลูกครึ่งอธิบายให้ฟัง

“โปกเกอร์น่ะกูพอจะเข้าใจว่ามันเล่นยังไง แต่มันมาเป็นกีฬาประจำคณะพวกมึงไปได้ยังไงวะ” วีร์ยังคงสงสัย ทั้งแพรวาและดวงใจต่างก็ชะโงกหน้าไปดูไพ่ในมือของแต่ละฝั่ง

“ก็หลักการของโปกเกอร์กับเล่ห์เหลี่ยมทางการทูตกับการเมืองมันก็ไม่ต่างกันไง เข้าใจ๊” ข้าวฟ่างตอบกลับวีร์แล้วก็หันไปมองเดวิดอย่างพิจารณา

“แล้วมหาวิทยาลัยอนุญาตเหรอวะ” วีร์ถามเพิ่มเติม

“ก็เขายกให้เป็นกีฬาประจำคณะไปแล้วนี่ไง มีแข่งเป็นจริงเป็นจังด้วย เนี่ยพวกกูกำลังซ้อมอยู่ แต่ก็นั่นแหละห้ามมีเรื่องทรัพย์สินเงินทองเข้ามาเกี่ยวข้อง” ข้าวฟ่างยังมองเดวิดไม่วางตา คอยสังเกตท่าท่างและกิริยา

“โปกเกอร์แต่ไม่มีเรื่องเงิน มันจะสนุกตรงไหนอะ” แพรวาแสดงความเห็นของเธอ

“สนุกสิ” ข้าวฟ่างตอบกลับแพรวาแล้วก็หันไปหาเดวิดตามเดิม “กูว่าตานี้กูก็ชนะอีกรอบ”

เดวิดตวัดสายตาขึ้นมองข้าวฟ่างก่อนที่จะหลุบตากลับมามองไพ่ในมือของตัวเอง คราวนี้เขามีไพ่ที่ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ได้ดีถึงขนาดการันตีว่าจะชนะได้แน่นอน แต่ก็พยายามรักษาการแสดงออกของตัวเองไว้

“มึงแน่ใจ” เดวิดมองไปที่ข้าวฟ่างอีกครั้ง

“แน่” ข้าวฟ่างตอบอย่างฉะฉาน “ถ้ากูแพ้ กูทำรายงานคนเดียวเลยก็ได้ มึงแค่ใส่ชื่อมาก็พอ”

เดวิดหัวเราออกมาสั้นๆเบาๆ เกรงว่าถ้าให้ข้าวฟ่างทำรายงานคนเดียวส่งอาจจะได้คะแนนลดลงจากรายงานชิ้นก่อนหน้า ซึ่งดูจะไม่ใช่ข้อเดิมพันที่มีน้ำหนักอะไรเลย

“ทำหน้าแบบนี้กำลังดูถูกกูอยู่ในใจละสิ ว่าฝีมือกูไม่ถึงคะแนนระดับมึง” ข้าวฟ่างยังคงแสดงความเหนือชั้น “ไม่ต้องห่วง กูก็คิดอย่างนั้น เพราะกูมั่นใจว่ากูชนะ”

“มึงเอาอะไรมามั่นใจว่ามึงจะชนะ” เดวิดก็ต่อสู้กลับไปอย่างไม่สะทกสะท้าน

“เพราะถ้ากูชนะ...” ข้าวฟ่างกระหยิ่มยิ้มย่อง “มึงต้องตะโกนบอกรักคนที่มึงชอบ ตอนนี้เลย”

เดวิดเปลี่ยนสีหน้าไปเล็กน้อยแต่ก็ยังคงจ้องตาข้าวฟ่างอย่างไม่ลดละ พยายามอ่านสีหน้าและท่าทางของฝ่ายตรงข้าม ส่วนข้าวฟ่างเองก็พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะควบคุมสีหน้าของตัวเองให้เป็นปกติแต่ก็อดจะเผยรอยยิ้มออกมาเสียไม่ได้ ทั้งสองคนยังไม่ยอมลดละจนคนดูทั้งสามคนก็คอยลุ้นตามไปด้วย

ในที่สุด เดวิดก็ตัดสินใจคว่ำไพ่ในมือของเขาลงบนโต๊ะ

“กูหมอบ”

“อ้าว” วีร์ แพรวา และดวงใจร้องออกมาพร้อมกัน

ข้าวฟ่างยืดอกผายไหล่ออกว้างแสดงท่าทางอย่างผู้ชนะพรอ้มกับรวบไพ่ทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกัน เตรียมพร้อมสำหรับเกมรอบใหม่

“แล้วไม่ต้องเฉลยเหรอ” ดวงใจถาม

“ไม่ต้อง เพราะมันยอมแพ้แล้ว ไม่ได้ขอพิสูจน์ดู ดังนั้นไม่ว่าไพ่จะออกมาเป็นอะไรก็ไม่มีผลแล้ว รู้ไปก็เท่านั้น” ข้าวฟ่างยังคงยิ้มไม่หุบปาก แล้วกหันไปถามเพื่อนของเขา “เอาอีกรอบมั้ย”

“พอแล้ว” เดวิดถอยหายใจออกมาก่นที่จะตอบ

ข้าวฟ่างจึงก็เก็บสำรับไพ่ใส่กล่องไว้ให้เรียบร้อย

“เสียดายอะ เกือบจะได้รู้แล้วว่าเดวิดชอบใคร” แพรวาบ่นพึมพำ แต่เธอก็ไม่ได้ถึงขั้นอยากรู้อยากเห็นอะไรมากขนาดนั้น แค่เสียดาย

“ไอ้ฟ่าง มึงรู้อยู่แล้วใช่มั้ย บอกกันมั้งดิวะ” วีร์หันไปถามข้าวฟ่าง

“มันเรื่องส่วนตัวของเขา มึงอย่ารู้เลย” ข้าวฟ่างบอกปัด แต่ก็ส่งสายตาล้อเลียนเพื่อนฝั่งตรงข้าม

“แต่เมื่อกี้ มึงเพิ่งจะบังคับให้เพื่อนตะโกนบอกอยู่เลย” วีร์เอามือกอดอกมองตอบกลับข้าวฟ่าง

“กูไม่ได้บังคับอะไรนิ เพราะถึงกูจะเป็นชนะเดิมพัน คนตัดสินใจขั้นสุดท้ายคือมัน...” ข้าวฟ่างบุ้ยหน้าไปทางเดวิดที่ยังคงนั่งเงียบ “...ว่าจะบอกเขารึเปล่า”

ทั้งวีร์ แพรวา และดวงใจก็หันไปมองเดวิดตามข้าวฟ่าง

“บอกไม่หรือไม่บอกก็ไม่ต่างกันเหรอก” เดวิดพูดด้วยความรู้สึกปลงกับโชคชะตา

“ทำไมวะ หรือว่าเขาไม่ชอบมึง” วีร์ถามด้วยความสงสัย

เดวิดมีท่าทางนึกคิดอยู่และลังเลที่จะตอบ คนที่รอฟังก็รอลุ้นอย่างใจจดใจจ่อ

“มันกลัวสู้คู่แข่งมันไม่ได้ แต่ละคนระดับเทพทั้งนั้น” ข้าวฟ่างเป็นคนตอบให้แทน

“ขนาดนั้นเชียว” แพรวาหันไปถาม

“ใช่ เท่าที่รู้มา แต่ละคนนะ... เก่งเหี้ยๆ เหมือนเทพเจ้ากลับชาติมาเกิดกันทั้งนั้น”

“แต่เพื่อนเราก็ใช่ย่อยนะ ว่าไม่ได้” วีร์พยายามพูดให้กำลังใจหนุ่มลูกครึ่ง โดยไม่ได้ตั้งใจย้ำคำว่า เพื่อน ออกไป

“มันเป็นได้แค่เพื่อนนั่นแหละ” ข้าวฟ่างมองเดวิดอย่างเข้าใจ “ถึงอยากเป็นมากกว่านี้ แต่จะให้ทำไงได้ ยังไงก็ดีกว่าไม่ได้เป็นอะไรเลยใช่มั้ยมึง”

เดวิดพยักหน้ายอมรับสถานะของตัวเอง ไม่ใช่ว่าไม่อยากสู้ ไม่ใช่ว่าเขากลัวคู่แข่งอะไรขนาดนั้น แต่เพราะที่ผ่านมามันก็ไม่มีสัญญาณตอบรับอะไรกลับมาให้ดูมีความหวัง แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ไม่มีเลย

“เออจริงสิ เจอมึงก็ดีแล้ว กูว่าจะถามมึงว่าช่วงสิ้นเดือนนี้กลุ่มพวกมึงจะกลับไปงานคืนสู้เหย้ากันมั้ย” ข้าวฟ่างถามออกไปแล้วแต่ไม่มีเสียงตอบกลับมา จึงเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนเก่าที่กำลังสนใจอย่างอื่นอยู่ “ไอ้วีร์”

“ห๊ะ อะไร มึงว่าอะไรนะ” วีร์สะดุ้งตัวแล้วหันกลับมาหาเพื่อนของเขา

“กูถามว่ากลุ่มพวกมึงจะไปงานคืนสู่เหย้ากันมั้ย” ข้าวฟ่างถามพร้อมกันหันหน้าไปตามทิศทางที่วีร์เคยมองอยู่ แล้วก็เห็นชายหนุ่มร่างสูงที่เป็นรุ่นพี่โรงเรียนเก่าที่เคยย้อมผมเป็นสีเทาจนสร้างความเกรียวกราวในโลกสื่อสังคมออนไลน์มาแล้ว กำลังเดินตีคู่มากับสาวสวยน่ารักดีกรีดาวคณะแพทยศาสตร์เมื่อหลายปีก่อน

“เพิ่งจะเรียนจบมา มึงจะรีบกลับไปไหนวะ รอให้มีการมีงานทำสักสี่ห้าปีก่อนแล้วค่อยกลับไปก็ได้” วีร์ตอบกลับเพื่อนตรงหน้า แต่สายตาของเขายังคอยแอบมองตรงทางเดินอยู่เรื่อยๆ

“ก็แล้วแต่มึง” ข้าวฟ่างก็หันมองกลับไปกลับมาตรงที่ทางเดินเช่นกัน “นี่ถ้ากู้ไม่รู้มาก่อนนะ กูต้องคิดว่าพี่เขากิ๊กกันแน่ๆ เดือนวิดยากับดาวแพทย์”

“ทำไมคิดงั้นอะ” แพรวาถาม

“เมื่อวานก็เห็นว่าเขาอยู่ด้วยกัน ในทวิตลงกันเต็มเลย ไม่เห็นเหรอ” ข้าวฟ่างหันกลับมาถาม

“ไม่อะ ไม่ได้เล่น” แพรวาตอบพร้อมกับส่ายหน้า

“อ้าวเหรอ มิน่าละ ถึงเป็นเพื่อนกันได้” ข้าวฟ่างชี้นิ้วสลับไปมาระหว่างวีร์และแพรวา เขารู้ว่าเพื่อนของเขาเองนั้นก็ไม่ค่อยชอบอยู่ในโลกสื่อสังคมออนไลน์สักเท่าไหร่ “แต่ก็ไม่รู้ว่าเขามีอะไรกันนะ”

“เดี๋ยวก็ลองถามดูสิ โน้น เดินกันมาทางนี้แล้ว” ดวงใจบอกให้ทุกคนหันไปดู


[อ่านต่อด้านล่าง]

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
หญิงสาวที่เคยได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนนักศึกษาคณะแพทยศาสตร์ให้ไปประกวดตำแหน่งดาวมหาวิทยาลัย กำลังเดินยิ้มแย้มมาทางโต๊ะที่วีร์และเพื่อนๆรวมตัวกันอยู่ โดยเฉพาะเธอเห็นว่าวีร์นั้นรับรู้แล้วเธอกำลังเดินไปหา เธอก็โบกไม้โบกมือทักทายล่วงหน้ามาแต่ไกล

“น้องวีร์ เจอกันพอดีเลย”

“มีอะไรรึเปล่าครับพี่ชมพู่” วีร์ทักทายตอบกลับหญิงสาวอย่างสุภาพ แต่ก็แอบชำเลืองมองชายหนุ่มร่างสูงที่เดินตามมาติดๆ

“พี่จะมาเตือนน้องวีร์ว่าอย่าลืมสัปดาห์บริจาคโลหิตต้นเดือนหน้านะคะ คราวก่อนน้องวีร์พลาดไปไม่ได้มา”

“อ๋อ ครั้งก่อนผมมีเรื่องด่วนกะทันหันครับ ขอโทษด้วยนะครับ” วีร์อธิบาย

“ไม่เป็นไรคะ มีคนบอกพี่แล้ว” หญิงสาวไม่ได้เอ่ยชื่อและไม่ได้แสดงท่าทางบอกเป็นนัยอะไรให้สังเกตุเลย “ว่าแต่ คุณย่าทวดของน้องวีร์เป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นแล้วรึยัง”

“ก็ดีขึ้นแล้วครับ ตามสภาพคนสูงอายุ” วีร์ตอบกลับอย่างงงๆกับรายละเอียดที่หญิงสาวไปรับรู้มา

“ดีแล้วค่ะ งั้นไว้เจอกันในงานนะ พี่เชิญทุกคนเลยนะคะ ไปช่วยกันบริจาคโลหิตกันเยอะๆ จะได้มีโลหิตเพียงพอไว้รักษาผู้ป่วยนะคะ” ว่าที่คุณหมอถือโอกาสทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์งานไปในตัว

วีร์และเพื่อนๆทุกคนก็ยิ้มตอบรับบ้างพยักหน้ารับบ้าง ยกเว้นก็เพียงดวงใจที่ยังรู้สึกขยาดจากคราวก่อนที่ถึงกับเป็นลมไปเหมือนเห็นเลือดสดๆ แม้ว่าจะเป็นเลือกของตัวเองก็ตาม

“ขอบคุณล่วงหน้านะคะ งั้นพี่ไปก่อนนะคะ ไว้เจอกัน” หญิงสาวหันมาบอกลาวีร์ จากนั้นก็ชวนชายหนุ่มร่างสูงที่ยังไม่ได้เปล่งเสียงอะไรออกมาเลยให้เดินไปด้วยกันตามเดิม

เด็กหนุ่มสาวก็หันกลับมามองหน้ากันเอง ปรับโหมดความคิดและอารมณ์ให้กลับมาต่อเรื่องราวที่ค้างเอาไว้ หลังจากที่ได้ชื่นชมเหล่าเทวดาและนางฟ้าที่เพิ่งเดินจากไป

“เพิ่งจะรู้นะเนี่ยว่ามึงสนิทกับพี่เขาด้วย” ข้าวฟ่างถาม

“ก็พี่เขาเคยเป็นคู่ดาวเดือนคณะแพทยฯกับเฮียวีไง ก็เลยได้เคยเจอกันบ้าง”

“อ๋อ คู่กับท่านเทพอะนะ” ข้าวฟ่างก็เกือบจะลืมไปแล้วว่าหนึ่งในเทพเจ้าที่เขาพูดถึงก่อนหน้านี้มีท่านเทพวีรมาตุรวมอยู่ด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจกันภายในเด็กนักเรียนโรงเรียนเดียวกัน เหลือแต่แพรวาและดวงใจเท่านั้นที่ไม่รู้ถึงความหมายแฝง

แต่ก็ที่วีร์จะได้อธิบายเพื่อนร่วมคณะไป เขารู้สึกถูกกระชากแขนดึงตัวให้เดินห่างจากกลุ่มเพื่อนๆออกไป วีร์ไล่มองตั้งแต่มือที่จับต้นแขนของเขาไปตามกล้ามเนื้อแขนท่อนปลายขึ้นไปจนถึงหัวไหล่ เส้นผมสีน้ำตาลเข้มที่เริ่มยาวแตะใบหูแล้ว และใบหน้าที่กำลังหันมามองเขาอยู่ วีร์ไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนี้กำลังยืนอยู่นิ่งๆแล้ว และห่างจากกลุ่มเพื่อนไปพอประมาณ

วีร์หันกลับไปหาเพื่อนที่ต่างก็มองมาอย่างสงสัย และเมื่อมองไปอีกทางก็เห็นหญิงสาวดาวคณะแพทยศาสตร์และยืนยิ้มรออยู่ ส่วนคนที่กำลังจับแขนเขาอยู่หลังจากที่ลากเขาเดินออกมานั้น กำลังล่วงกระเป๋ากางเกงตัวเองเพื่อหาอะไรบางอย่าง

“อันนี้ของมึงรึเปล่า” วีส์ดึงมือออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วแบมือให้เด็กหนุ่มเห็น ในมือของเขามีของลักษณะคล้ายแหวนทำจากหยกสีแดง ตัวแหวนไม่ได้มีวงขนาดใหญ่มากแต่มีความหนาพอสมควร มันถูกคล้องด้วยเชือกไหมสีดำ

“คุณไปเอามาจากไหน” วีร์หยิบแหวนหยกแดงมาดูใกล้ๆให้ชัดเจน

“มันตกอยู่ในรถกู” วีส์บอกสถานที่ที่เขาเจอของสิ่งนี้

“แล้วคุณก็รู้เลยเหรอว่าเป็นของผม” วีร์ถามกลับ ถึงแม้ว่าจะยืนยันแล้วว่าแหวนวงนี้เป็นของเขาจริงๆ แหวนสำคัญที่เขาคิดว่าจะไม่ได้คืนแล้ว แต่มันก็เดินทางกลับมาหาเขาจนได้

“ก็มีแต่มึงที่มานั่งรถกู ถ้าไม่ใช่ของมึงก็ไม่รู้แล้วว่าเป็นของใคร”

ในตอนนี้ ระหว่างเรื่องที่เขาได้สร้อยแหวนกลับคืนมา กับเรื่องที่มีเขาคนเดียวที่ได้นั่งรถยนต์คันสีดำคันนั้น วีร์ไม่แน่ใจว่าเขากำลังดีใจเรื่องไหนกันแน่ ดีใจจนลืมไปแล้วว่าชายหนุ่มร่างสูงยังคงจับแขนของเขาอยู่

“ถ้ามันเป็นของมึงจริง ก็... โอเค งั้น กูก็หมดธุระแล้ว”

“ขอบคุณครับ” วีร์เอ่ยพร้อมกับรอยยิ้มที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา รอยยิ้มที่ทำให้โลกดูสดใสขึ้นทันตาแม้จะเป็นวันที่ฟ้าหม่นเมฆครึ้มอยู่ก็ตาม

วีส์พยายามรักษาความนิ่งของอวัยวะทุกส่วนบนใบหน้า ก่อนที่จะพยักหน้าสองสามครั้งแล้วก็ผละเดินออกไป และเมื่อหันกลับไปเจอรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของหญิงสาวที่ยืนรออยู่ วีส์ก็รีบเดินไปหาแล้วลากตัวหญิงสาวให้รีบเดินออกไปด้วยกันก่อนที่เขาจะปิดความรู้สึกไว้ไม่มิดได้อีกต่อไปแล้ว

ส่วนเพื่อนๆก็มองดูวีร์ที่มีท่าทางดีใจกำลังสวมสร้อยที่เพิ่งจะได้รับจากชายหนุ่มรุ่นพี่ โดยที่ไม่รู้รายละเอียดที่แท้จริงว่าเกิดอะไรขึ้น ความเข้าใจผิดจึงอาจจะเกิดขึ้นมาได้บ้าง

เสียงหายใจที่ถูกพ่นออกมาจากหนุ่มลูกครึ่งดังพอจะให้ได้ยินโดยทั่วกัน

“เอาน่ะมึง ยังไงก็ยังได้เป็นเพื่อนกัน” ข้าวฟ่างพยายามพูดปลอบใจเพื่อนสนิท เผลอลืมไปว่ามีคนอื่นอีกสองคนกำลังยืนอยู่ใกล้ๆ “เอ่อ... คือ...”

“แค่เห็นก็พอเดาได้ตั้งนานแล้ว” ดวงใจมองหนุ่มลูกครึ่งอย่างเห็นใจ

“ก็คงจะมีแต่เจ้าตัวที่ไม่รู้” ข้าวฟ่างพูดแล้วก็หันไปมองวีร์ที่กำลังเก็บสายสร้อยไว้ในเสื้อให้เรียบร้อยอยู่ ส่วนภายในใจก็คิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมาก็คงจะดีเหมือนกัน อาจจะทำให้เพื่อนของเขาตัดใจได้อย่างเด็ดขาดเสียที


*****


กิจกรรมในวันแห่งความรักสำหรับคนที่มีคู่รักอยู่แล้ว ก็คงจะหนีไม่พ้นการมอบดอกไม้ให้เป็นสิ่งแทนใจเพื่อแสดงความรัก และดอกไม้ที่ว่าก็คงจะหนีไม่พ้นดอกกุหลาบและต้องเป็นดอกกุหลาบสีแดง ไม่ว่าจะเป็นโทนสีอ่อนหรือเข้มก็ตาม นอกเหนือไปจากนี้ก็คือมื้ออาหารสุดพิเศษ อาจจะเป็นที่ร้านหรูมีเมนูเด็ด หรือจะเป็นอาหารฝีมือตัวเองล้วน

กระนั้นก็ยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้หลงใหลไปกับเทศกาลนี้ อย่างเช่นกลุ่มนักศึกษาที่ต้องทำงานส่งให้เสร็จเรียบร้อย เพื่อจะได้มีเวลาเตรียมตัวเพียงพอสำหรับการสอบวัดผลกลางภาคเรียน

วีร์ แพรวา ดวงใจ ปัญจวีส์ ไร้พ่าย และฐานันดร นั่งรวมตัวที่ใต้ตึกคณะ ที่บนโต๊ะนอกจากสมุดหนังสือ แล้วก็มีเครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องดื่มและของว่างก็จัดมาเตรียมพร้อมเพราะคิดว่าจะต้องนั่งกันอยู่นานจนกว่างานจะเสร็จ ต่างคนต่างก็ตั้งใจทำงานตามที่มอบหมายกันไว้ แล้วจึงค่อยนำเอางานของแต่ละคนมารวมกันเป็นไฟล์เดียวกันเพื่อนำส่งอาจารย์ต่อไป

“เฮ้ ทำอะไรกันวะ หน้าตาดูคร่ำเครียด”

วีร์เกือบหน้าคว่ำเพราะแรงตบบ่าของคนที่เข้ามาทักทายเขาแบบไม่ทันได้ตั้งตัว

“แล้วมึงอะ ไม่มีอะไรทำเออ” วีร์ตวัดสายตาหันไปถามกลับ

“กูว่างตลอดนั้นแหล่ะ” วิธูตอบกลับ นอกจากจะไม่สนใจสายตาที่เพื่อนมองมาแล้วแถมยังจะดันให้วีร์ขยับตัวเพื่อให้มีที่ว่างพอให้เขานั่งลงได้

“ก็ไปอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบก็ได้” วีร์ปรายมองวิธูก่อนที่จะหันมาตั้งใจทำงานต่อตามเดิม

“คณะกูมีสอบกลางภาคซะที่ไหน มีแต่เก็บคะแนนปฏิบัติ ข้อเขียนรอตอนปลายภาคอย่างเดียว” วิธูเท้าคางด้วยมือข้างหนึ่ง มองดูเพื่อนและเพื่อนของเพื่อน และน้องชายคนเล็กกำลังขะมักเขม้นทำงานกัน

“แล้วช่วงนี้ต้องสอบกีฬาอะไรวะ” วีร์ถามต่อ สายตาก็ยังคงสอดส่ายอ่านข้อมูลตรงหน้าอยู่เหมือนเดิม

“เพิ่งจะสอบตะกร้อไป เดี๋ยวเรียนลีลาศต่อ”

“ลีลาศ...” วีร์หันไปมองอย่างสงสัย “แล้วอีพริกว่าไง”

“ของโปรดมันเลยแล ได้กอดรัดฟัดเหวี่ยงกับผู้ได้เต็มที่ จำไม่ได้เออที่มันบอกว่ามันเลือกคณะนี้ก็เพราะมันจะได้อยู่กับผู้ล่ำๆเต็มคณะ สวรรค์ของมันเลย”

“แล้วเพื่อนที่คณะไม่ว่าอะไรมันเออ” วีร์เริ่มผละจากงานและหันมาคุยกับวิธูมากขึ้น แต่อย่างไรก็ไม่สามารถทิ้งงานไปได้

“เมื่อก่อนน่ะพอมี พอตอนอาจารย์ให้แบ่งทีมเล่นกัน ก็มีแต่กูนี่แหละที่ตะโกนเรียกมันก่อนใครเลย อีพริก! มึงมาอยู่กับกู” วิธูแสร้งทำเป็นตะโกนเสียงดัง แต่ก็ผ่อนเสียงลงไม่ให้ดังเกินไป “แต่ตอนนี้นะ แม่ง! มีแต่คนอยากได้มันร่วมทีม กูนี่แทบจะโดนถีบหลุดวงโคจร”

“แล้วนี่มันไปไหนวะ” วีร์ถามไปถึงบุคคลต้นเรื่องที่ไม่ได้เห็นหน้าตากันหลายสัปดาห์แล้ว

“ไปหาผัวมันแล เห็นว่าช่วงนี้ขึ้นมาอยู่ด้วยกัน” วิธูแอบนินทาเพื่อนเก่า แล้วเขาก็เอียงไปกระซิบเบาๆ “กูฝากบอกมันแทนมึงแล้วว่า ระวังตัวให้ดีอย่าปล่อยท้องเด็ดขาด”

วีร์เอียงหน้าหรี่ตามอง ส่วนวิธูก็ยืดตัวขึ้นนั่งหลังตรงปกติ

“พริกนี่คือพริ้งที่ตัวดำๆล่ำๆแต่ตุ้งติ้งหน่อยใช่มั้ย” ปัญจวีส์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับวีร์และวิธู ที่ก็เริ่มจะผ่อนการทำงานลงและหันมาตั้งใจฟังทั้งสองคนพูด

“ใช่ อมราไง” วีร์ตอบปัญจวีส์

“ที่บอกว่ามีแฟนเป็นคนเยอรมันใช่รึเปล่า” ปัญจวีส์ถามยืนยันให้แน่ใจ

“มั่นและ” วิธูตอบ

“ถ้าทางคนนี้จะอยู่อีกนานนะ ว่ามั้ย” วีร์ถามวิธู

“ไม่น่าจะไปง่ายๆ นี่ก็สามสี่ปีแล้วมั้ง อย่างน้อยก็เป็นคนที่ทำให้อีพริกเปลี่ยนใจเลิกคิดแปลงเพศ ตอนนั้นมันบอกอะไรนะ...” วิธูทำท่าทางคิดอยู่ครู่หนึ่ง “อิชมักดิช โซวีดู... อะไรสักอย่างนี่แหละ ไว้ค่อยให้อีดำมาพูดให้ฟัง อีพริกก็เขินม้วนแล้วม้วนอีก”

“สงสัยว่าจะได้ย้ายมาอยู่ไทยถาวรละมั้ง” วีร์พยายามจัดการงานตรงหน้าให้เสร็จ

“มันบอกว่าถ้าวันนี้แต่งงานกันได้เลย มันก็เอาเลย”

วีร์ขมวดคิ้วหันมาถามวิธู เขาไม่รู้มาก่อนว่าเพื่อนของเขาจะเริ่มคิดจริงจังไปไกลขนาดนั้นแล้ว

“จริงๆมันก็บอกว่าไปแต่งกันกับเขาที่เยอรมันก็ได้ แต่ยังไงซะตอนกลับมาไทยก็ยังไม่มีอะไรรับรองอยู่ดี” วิธูหยักไหล่ตอบปิดท้ายไปด้วย ส่วนวีร์ก็พยักหน้ารับรู้

“แล้ว... วีร์อะ พอถึงตอนนั้นวีร์จะแต่งงานมั้ย” ปัญจวีส์ถามขึ้นมา เรียกความสนใจจากเพื่อนคนอื่นอยู่ไม่น้อย

“อืม... คงไม่แต่ง”

“หมายถึงงานแต่งหรือว่าจะทะเบียน” ปัญจวีส์ถามต่อพร้อมเตรียมตัวเก็บข้อมูลไว้เต็มที่

“ทั้งสองอย่าง”

“อ้าว” ไม่ใช่แค่วิธูกับปัญจวีส์เท่านั้นที่ร้องอุทานออกมาพร้อมกัน แต่มีเพื่อนคนอื่นๆด้วย

“เห็นเขารณรงค์กันแทบตายให้ทุกคนสามารถจดทะเบียนแต่งงานกับใครก็ได้ แต่วีร์ไม่เอาเหรอ” ไร้พ่ายหันมาร่วมวงสนทนา

“ไม่อะ” วีร์ตอบสั้น

“วีร์ไม่กลัวมีปัญหาเรื่องทรัพย์สินในอนาคตเหรอ” ดวงใจก็อดไม่ได้ที่จะถาม และเผื่อเป็นข้อมูลให้กับตัวเอง

“สำหรับคนอื่น เราไม่รู้นะ แต่สำหรับเรา เรามั่นใจว่าพ่อแม่พี่น้องเราไม่มีใครคิดอยากเข้ามาวุ่นวายทรัพย์สินเงินทองของเรา และถ้าเราจะมีใครสักคน เราก็ต้องมั่นใจด้วยว่าทางบ้านเขาก็ไม่มีปัญหาอะไรเหมือนกันตั้งแต่แรก”

“กูไม่มีปัญหาอะไร พ่อแม่กูก็ไม่มีปัญหาอะไร ไอ้ปันมึงมีมั้ย” วิธูเสนอตัวขึ้นมาในทันที และถามต่อไปถึงปัญจวีส์ด้วย

“ปันปันก็ไม่มีปัญหาอะไรเหมือนกัน คิดว่าแม่ปันปันก็เหมือนกัน”

แม้ว่าคนอื่นจะไม่เข้าใจ แต่ทั้งวิธูและปัญจวีส์เข้าใจว่าวีร์นั้นเข้าใจสิ่งที่พวกเขาพูดอย่างแน่นอน

“แสดงว่าถ้าในอนาคตทางบ้านแฟนของวีร์เข้ามายุ่งวุ่นวายเรื่องเงินเรื่องทอง วีร์อาจจะเลิกคบกับแฟนเหรอ” ดวงใจถามเพิ่มเติม

“ก็คงต้องให้เขาไปเคลียร์ให้จบตั้งแต่แรก ไม่งั้นก็ไปต่อกันยาก” วีร์พยายามอธิบายความคิดของเขาให้เพื่อนๆฟัง “แต่ไหนแต่ไรมาการแต่งงานอยู่ด้วยกันไม่ใช่เรื่องของคนสองคน มันเกี่ยวข้องกับคนมากมาย ไม่งั้นเขาคงไม่พยายามทั้งผลักทั้งดันกกฎหมายเพื่อจะได้แบ่งแยกกีดกันคนอื่นไปแบบนี้หรอก ใช่มั้ย”

“มันก็อาจจะใช่” ดวงใจตอบเสียงเบาๆ กำลังใช้ความคิดคิดตามเหตุผลของเพื่อน

“ดังนั้นถึงจะมีกฎหมายให้จดทะเบียนได้ แต่ถ้าญาติฝ่ายเขาเกิดอยากแบ่งสมบัติขึ้นมา ยังไงซะเขาก็กระเสือกกระสนหาวิธีได้อยู่ดี ช่องทางมันก็พอมีอยู่ แค่เอาไปไม่ได้ทั้งหมดเท่านั้นเอง”

“ก็พอจะเข้าใจได้” ไร้พ่ายพยักหน้าเห็นด้วย

“แล้ววีร์ไม่เห็นด้วยที่เขาจะให้ทุกคนสามารถจดทะเบียนสมรสกับใครก็ได้เหรอ” ดวงใจถามอีกครั้ง

“เปล่า มีมันก็ดีสำหรับคนที่เขาต้องการไง แต่ไม่ใช่เรา และก็นะ ใช่ว่าคู่ชายหญิงทุกคู่ที่อยู่ด้วยกันจะแต่งงานจดทะเบียนสมรสกันหมด ใช่มั้ย” คำสุดท้ายวีร์หันกลับไปหาวิธู

“มันก็ใช่” วิธูอ้อมแอ้มตอบ เพราะหลังจากที่พ่อของเขาจดทะเบียนหย่าขาดจากแม่ของปัญจวีส์ ก็ไม่ได้มาจดทะเบียนสมรสกับแม่ของเอง ทุกวันนี้แม่ของเขายังคงใช้คำนำหน้าชื่อและนามสกุลเดิมอยู่ ไม่เคยเปลี่ยน

วีร์มองเพื่อนๆแต่ละคนว่ามีใครอยากจะถามอะไรเขาอีกหรือไม่ เขาจะได้มุ่งความสนใจไปที่รายงานต่อ ซึ่งทุกคนก็ไม่ได้คิดติดใจจะถามอะไรอีก

“แล้วนี่มึงมีอะไรต้องไปทำมั้ยนิ หรือมานั่งอยู่เฉยๆ” วีร์หันไปถามวิธู

แต่ก่อนที่วิธูจะได้ตอบกลับมานั้น ก็มีเสียงฮือฮาดังมาแต่ไกลไล่เข้ามาใกล้พวกเขามากเรื่อยๆ หลายคนไม่ใช่ทำเพียงแค่มองหาและส่งเสียง แต่ยังหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาบันทึกภาพ ไม่ว่าจะเป็นภาพนิ่งหรือภาพเคลื่อนไหว เป้าหมายของพวกเขาเป็นชายหนุ่มร่างสูงที่เคยถูกยกให้เป็นตัวเต็งในการประกวดเดือนมหาวิทยาลัยมาก่อน

วิธูและปัญจวีส์ก็หันมามองหน้ากันอย่างงงๆ ประหนึ่งว่ามันไม่เหมือนกับที่ตกลงกันไว้

ปฏิกิริยาโดยรอบในตอนนี้คงจะไม่ฮือฮาอะไรมากมายขนาดนี้ ถ้าหากเจ้าตัวเดินมาแบบธรรมดาๆ แต่เป็นเพราะช่อดอกกุหลาบสีแดงขนาดใหญ่เกือบเต็มวงแขนที่ถือมาด้วย จนทำให้ใครหลายคนนึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้เป็นวันที่เขากำหนดให้เป็นวันแห่งความรัก

ผู้คนรอบๆต่างก็พากันคาดหวังถึงภาพที่อาจจะเกิดขึ้นได้ บางคนก็มองสลับไปมาระหว่างชายหนุ่มร่างสูงกับเด็กหนุ่มที่เคยเป็นข่าวให้พูดถึงมาอยู่เสมอ บางคนก็เตรียมกล้องโทรศัพท์เตรียมบันทึกเหตุการณ์สำคัญ

ส่วนคนที่ถือช่อดอกไม้มานั้นกำลังสังเกตคนที่กำลังสนใจอยู่กับรายงานตรงหน้า แต่ก็เห็นว่ามีแอบขยับแว่นสายตาแล้วชำเลืองตามองอยู่เป็นระยะ เขาพยักหน้าเล็กน้อยให้กับน้องชายทั้งสองคน ในขณะที่ระยะทางตรงหน้าสั้นลงเรื่อยๆ

“อ้าว!”

ราวกับว่าได้นัดแนะซักซ้อมกันมาเป็นอย่างดี หลายคนส่งเสียงร้องออกมาพร้อมกันเมื่อชายหนุ่มร่างสูงกลับเลี้ยวไปอีกทางอย่างกระทันหัน แทนที่จะเดินตรงไปยังเป้าหมายที่พวกเขาคิดไว้ เป้าหมายใหม่ของชายหนุ่มร่างสูงเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง ผมยาวพอประมาณ แต่งตัวทะมัดทะแมง ดูลักษณะท่าทางแล้วไม่น่าจะให้นักศึกษาเพิ่งเข้าใหม่

“เจ้าสัวเขาจะทำอะไรวะ” วิธูก้มตัวไปใกล้ๆแล้วกระซิบถามน้องชายของเขา

“ปันปันไม่รู้เหมือนกัน ไม่เห็นบอกอะไรก่อนเลย” ปัญจวีส์ก็กระซิบตอบกลับมา

ชายหนุ่มร่างสูงยื่นช่อดอกไม้ช่อใหญ่ให้กับหญิงสาว พร้อมก้มตัวลงไปพูดอะไรบางอย่าง ไม่มีใครรู้ว่าข้อความที่ถูกสื่อออกไปนั้นมีรายละเอียดเป็นอย่างไร แต่มันก็ทำให้หญิงสาวดูมีความสุขมากจากรอยยิ้มที่เธอเผยออกมา จากนั้นชายหนุ่มร่างสูงก็แบมือยื่นออกไปเพื่อรับตัวหญิงสาวให้ยืนขึ้น แล้วทั้งคู่ก็พากันเดินออกไปจากบริเวณนั้น

วิธูและปัญจวีส์หันมามองหน้ากันอีกครั้งแล้วต่างก็หันไปสังเกตุอาการเพื่อนของพวกเขา วีร์ยังคงเปิดหาข้อมูลเพื่อทำรายงานตามปกติเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในขณะที่คนอื่นๆรอบตัวต่างก็พากันวิพากษวิจารณ์วิเคราะห์เรื่องราวไปหลายร้อยพันแบบ

“ปัง!”

เสียงทุบโต๊ะดังขึ้นหยุดเสียงกระซิบนินทาไปได้แบบชะงักในทันที

“โอ้ย เจ็บ” วิธูกัดฟันโอดครวญพร้อมกับกุมมือของตัวเอง

“แล้วจะทำเพื่อ เจ็บตัวเปล่าๆ” วีร์ยังคงสนใจอยู่กับเนื้อหาที่เขากำลังอ่านอยู่

“มึงโอเคปะ” วิธูถามเพื่อนของเขา ส่วนมือของตัวเองก็ยังรู้สึกเจ็บอยู่

“โอเคเรื่องอะไร” วีร์ยังคงจดจ่ออยู่กับรายงานที่ต้องทำให้เสร็จ

“ก็...” วิธูอยากจะถามให้แน่ชัดแต่ก็ไม่อยากจะพูดอะไรตรงนี้ที่มีคนอื่นๆอยู่กับเยอะแยะมากมาย

“ช่างเขาเหอะ” วีร์ยังคงสีหน้ายังคงเรียบเฉยเหมือนไม่ได้คิดอะไรจริงๆ เขาเอามือจับเสื้อตรงกระดุมเม็ดบนสุดที่กลัดไว้ ท่าทางที่ดูเหมือนปกติสำหรับคนทั่วไป แต่ก็คงจะมีแพรวาและดวงใจที่ยังคงเข้าใจผิดคิดว่าสร้อยที่วีร์กำลังสวมใส่คือของแทนใจที่เพิ่งจะได้รับมาไม่นาน


[อ่านต่อด้านล่าง]

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
หลังจากที่ทำงานกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เพื่อนๆหลายคนชวนกันไปกินอาหารด้วยกันก่อนกลับบ้าน แพรวาและดวงใจที่คะยั้นคะยอให้วีร์ไปด้วยเพราะเข้าใจไปว่าวีร์อาจจะยังรู้สึกผิดหวังน้อยใจอยู่ แต่วีร์ก็ตอบปฏิเสธไปคิดอยากจะกลับบ้านโดยทันที แต่ไม่นึกว่าสองพี่น้องจะมีแผนการที่ไม่บอกเขาล่วงหน้า

วีร์กำลังนั่งอยู่ที่เบาะด้านหลังบนรถยนต์คันสีขาววาววับที่ปัญจวีส์เอ่ยปากขอยืมแม่ของเขามาใช้เป็นกรณีพิเศษในวันนี้โดยเฉพาะ เขาไม่รู้ว่าในตอนนี้คนขับกำลังบังคับให้พาหนะคันนี้ไปทางไหน เพราะสายตาของเขาถูกผ้าหนาสีดำคาดปิดไว้อยู่

วิธูและปัญจวีส์ของร้องแกมบังคับว่าจะพาวีร์ไปสถานที่แห่งหนึ่ง แต่มีข้อแม้ว่าวีร์จะต้องถูกปิดตาไว้ก่อน เพราะสถานที่แห่งนี้เป็นความลับที่ยังบอกไม่ได้ ไม่ว่าวีร์จะถามอย่างไร ทั้งสองคนก็บ่ายเบี่ยงไม่ยอมบอก แต่ก็ยังคอยตามตื้อให้วีร์ยอมไปด้วยกัน จนวีร์ต้องเอ่ยปากถามว่าทั้งสองคนวางแผนจะพาเขาไปหาใครหรือไม่

“ไม่ พวกกูไม่ได้จะพามึงไปหาใคร แต่จะพาไปดูอะไรบางอย่าง พวกกูอยากจะให้มึงเห็นจริงๆ เห็นด้วยตาของมึงจริงๆ” นั่นคือสิ่งที่วิธูพูดขอร้องเอาไว้ จนในที่สุดวีร์ก็ยอมถูกจับผูกตาปิดไว้แล้วมานั่งอยู่ในรถคันนี้

วีร์พยายามนึกแผนที่การเดินในความคิดจากความรู้สึกที่รับรู้ได้ ไม่ว่าจะเป็นระยะที่รถวิ่งตรงไป หรือว่ารถจะเลี้ยวไปทางไหน มีขึ้นสะพานลงเนินตรงไหนบ้าง แต่ดูเหมือนปัญจวีส์จะรถวนไปมาอยู่หลายรอบ จนเขาเริ่มจับเส้นทางไม่ถูกแล้ว ในที่สุดเขาก็ล้มเลิกและนั่งรออยู่เฉยๆว่าสองคนพี่น้องจะพาเขาไปไหนกัน

ทั้งการเรียนและรายงานที่ต้องทำต่อเนื่องมาตลอดทั้งวัน อุณหภูมิในรถกำลังเย็นสบาย ตาที่ถูกปิดไว้สนิท วีร์เริ่มจะรู้สึกเคลิ่มหลับไป

วีร์รู้สึกตัวอีกครั้งตอนที่มีแรงสะเทือนจากประตูรถยนต์ที่ถูกปิดทั้งสองครั้ง วีร์พยายามจะลืมตาขึ้นมองดูแต่ก็นึกขึ้นได้ว่ามีผ้าปิดตาเขาไว้อยู่ แล้วประตูรถด้านข้างฝั่งของเขาก็ถูกเปิดออก วิธูบอกให้วีร์ลุกออกมาจากรถยนต์

“นี่กูเปิดตาได้แล้วยังวะ” วีร์ถามสองพี่น้อง

“ยัง ยังไม่ถึง ต้องเดินไปอีกหน่อย” ปัญจวีส์เดินมาจับต้นแขนของวีร์จากด้านหลังแล้วก็ดันตัวให้วีร์เดินไปตามทางที่เขาจะพาไป

เดินมาหลายก้าวแล้วก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะถึงที่หมายที่ทั้งสองคนต้องการจะพาวีร์ไป แต่วีร์ก็ยังยอมทำตามที่เพื่อนทั้งสองคนบอกไว้ อย่างน้อยถ้าทั้งสองคนยึดตามคำพูดของพวกเขาเองว่าไม่ได้กำลังจะแอบพาเขาไปหาใคร วีร์ก็ไม่มีปัญหาอะไร

ในที่สุดคนนำทางก็หยุดเดินเสียที ปัญจวีส์บอกให้วีร์ยืนรอก่อน  วีร์ก็เกือบจะสงสัยแล้วว่าอาจจะโดนหลอกให้เชื่อคำพูด แต่เพราะว่าวิธูยังยืนจับแขนของเขาอยู่อย่างเดิม ก็ทำให้เบาใจลงไปได้บ้าง

เสียงเหมือนกลอนประตูโลหะโยกขยับขั้นลงเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ตามมาด้วยเสียงบานพับประตู หลังจากนั้นก็เงียบหายไป มีแต่เสียงลมที่พัดผ่านหวิวๆไปอยู่เรื่อยๆ ไม่นานนักก็พอจะรู้สึกได้ว่าปัญจวีส์เดินกลับมาหาพวกเขา

“ไป ทางสะดวกแล้ว เข้าไปได้เลย” ปัญจวีส์พูด วีร์ไม่แน่ใจว่าปัญจวีส์พูดกับเขาหรือพูดกับวิธูกันแน่

“เดี๋ยว” วีร์ร้องห้ามทั้งสองคนที่กำลังจากลากเขาเข้าไปในสถานที่ไหนสักแห่ง “ทางสะดวกอะไร นี่พามาบุกรุกที่ใครรึเปล่า”

“ไม่ต้องห่วงเจ้าของเขาไม่ว่าอะไรหรอกน่า ปันปันรับรองได้” ปัญจวีส์ให้คำยืนยัน

“แน่นะ” วีร์ถามย้ำอีกครั้งให้แน่ใจ

“แน่ ไปกันเลยดีกว่า” ปัญจวีส์ก็ตอบยืนยันหนักแน่น แล้วก็ช่วยกันกับวิธูพาวีร์เดินผ่านประตูเข้าไป

วีร์รู้สึกได้ว่าเมื่อเดินผ่านช่องประตูเข้ามาแล้วก็รู้สึกว่าอากาศข้างในจะเย็นกว่าอยู่สักหน่อย ไม่ว่าที่นี่จะเป็นอะไรก็ตาม เขาโดนวิธูและปัญจวีส์ลากจูงไปตามทาง ระหว่างทางนั้นก็รู้สึกว่ามีอะไรมาปัดตามใบหน้าตามตัว ความรู้สึกที่ได้รับนั้นบอกกับเขาว่าน่าจะเป็นใบไม้ แต่เป็นใบไม้ที่ค่อนข้างใหญ่และมีความสากของขนบนใบไม้แต่ละใบ

วีร์พยายามปรับเปลี่ยนหันองศาของใบหน้าแบบสะเปะสะปะ เพราะไม่ว่าจะหลบไปทางไหนก็โดนใบไม้ใบใหญ่ปัดหน้าอยู่ดี

“จะถึงแล้วยังเนี่ย” วีร์ถามทั้งสองคนอีกครั้งหลังจากที่เดินเข้ามาหลายก้าวแล้วก็ยังไม่พ้นกลุ่มกอใบไม้พวกนี้ไปเสียที

“เกือบแล้ว” ปัญจวีส์กระซิบตอบ แล้วก็พาวีร์มาถึงที่จุดหนึ่ง “โอเค ยืนรอแป๊บนะ”

วีร์เองก็ไม่แน่ใจว่าเขาคิดถูกหรือเปล่าที่เชื่อสองพี่น้องนี้และยอมตามมาจนมายืนอยู่ท่ามกลางดงของต้นอะไรสักอย่าง

“แล้วนี่เปิดตาได้แล้วยัง” วีร์ถาม เพราะในตอนนี้เขาไม่ได้รับสัมผัสจากทั้งวิธูและปัญจวีส์แล้ว แต่ก็ยังรู้สึกได้ว่าทั้งสองคนนั้นยังยืนอยู่ใกล้ๆเขา

“เดี๋ยววีร์นับหนึ่งถึงสิบ เป็นจังหวะช้าๆนะ เหมือนนับตามเข็มวินาทีน่ะ แล้ววีร์ก็ถอดผ้าปิดตาออกได้ โอเคนะ” ปัญจวีส์พูดเสียงเบาๆอธิบายขั้นตอน แต่ดูเหมือนเสียงของเขาจะอยู่ห่างออกไปเรื่อยๆ

“เริ่มนับได้รึยัง” วีร์ถามแต่ไม่มีเสียงตอบกลับมา วีร์จึงติดสินใจเริ่มนับตัวเลขตามจังหวะหายใจเข้าหายใจออกปกติ

หนึ่ง... สอง... สาม... สี่... ห้า... หก... เจ็ด... แปด... เก้า... สิบ...

“นับครบแล้ว เปิดตาได้เลยใช้มั้ย” เป็นอีกครั้งที่ไม่มีเสียงตอบกลับมา วีร์สูดหายใจลึกอีกครั้งแล้วก็ยกมือขึ้นแกะปมผ้าปิดตาที่ถูกมัดไว้ด้านหลังศีรษะของเขา

ปมที่ถูกมัดไว้ถูกมัดทบกันสองชั้น จึงเสียเวลาแก้ออกพอสมควร

เมื่อผ้าปิดตาถูกถอดออกแล้ว วีร์เงยหน้ามองดูรอบๆในขณะที่ดวงตาของเขากำลังปรับให้เข้ากับแสงสว่าง รอบตัวเขารายล้อมไปด้วยต้นทานตะวันที่ถูกปลูกไว้เป็นแนวเป็นแถวเป็นระเบียบดีจำนวนมาก

ใบของต้นทานตะวันช่วยกันบังรอบทิศทางจนมองออกไปไม่เห็นขอบของเขตสถานที่นี้ ขนาดของลำต้นแต่ละต้นก็ใหญ่จนเกือบจะกำมือไม่มิด ความสูงของแต่ละต้นก็สูงพ้นจากศีรษะของเขา แม้แต่ปลายนิ้วมือที่เขาชูขึ้นสุดความยาวของแขนก็ด้วยเช่นกัน ดอกทานตะวันดอกใหญ่ ขนาดเท่ากับปลายนิ้วสุดปลายศอกของเขาได้ กำลังก้มลงมองเขาอยู่

วีร์พยายามแหวกใบไม้แหวกลำต้นมองหาทิศทางว่าเขาควรจะเดินไปทางไหนดี เขาจึงเลือกไปตามทิศที่ดอกทานตะวันหันหน้าไป ไม่ว่าจะเป็นทางออกหรือไม่แต่ก็ดีกว่าหลงอยู่ในดงทานตะวันต้นสูงใหญ่แบบนี้

เมื่อเดินต่ออกไปอีกสองสามก้าวก็เจอกับดอกทานตะวันที่ยังชูดอกขึ้นและหันหน้าไปคนละทิศทางกับดอกทานตะวันที่เขาเดินผ่านมา และเมื่อเดินต่อไปอีก ขนาดของดอกทานตะวันก็ดูจะเล็กลงแต่ก็ยังเป็นดอกทานตะวันดอกใหญ่กว่าปกติอยู่ดี

“ใครน่ะ”

เสียงร้องดังขึ้นมาจากทิศทางด้านหน้าทำให้วีร์หยุดชะงักไป อาจจะเป็นเจ้าของสถานที่นี้ที่ปัญจวีส์อ้างว่าไม่มีปัญหาอะไร เขาไม่แน่ว่าควรจะตอบกลับ เดินต่อไป หรือรีบเดินไปอีกทางแล้วหาทางออกให้เร็วที่สุด ความกังวลผุดขึ้นมาทำให้วีร์ไม่ทันได้สังเกตว่าเป็นเสียงที่คุ้นหู

“ถามว่าใคร เข้ามาได้ยังไง”

วีร์ยังลังเลอยู่ว่าจะทำอย่างไรดี แต่ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว จะหาทางออกไปในตอนนี้ก็คงจะไม่ทันแล้ว คงจะต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อนแล้วค่อยไปคิดคดีความกับสองคนนั้นภายหลัง

“เอ่อ ขอโทษครับ พอดีว่าไม่รู้...” วีร์ชะงักไปเมื่อเจ้าของเสียงเดินแหวกตามทางจนมาถึงตัวเขา

ความน่าจะเป็นหนึ่งที่วีร์ก็คิดเอาไว้อยู่ก่อน แต่ก็ปัดทิ้งไปเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าในวันนี้ ทำให้เขาไม่คิดว่าจะต้องมาเจอกับชายหนุ่มร่างสูง แต่อย่างน้อยก็สูงไม่เท่ากับต้นทานตะวันเหล่านี้

“มึง... มาอยู่นี้ได้ไง” วีส์เอ่ยปากถาม เขายังรู้สึกตกใจที่เห็นเด็กหนุ่มผิวเข้มมาอยู่ที่นี่

“เอ่อ... ไอ้ต่ายกับปันปันพามา” วีร์ตอบไปตามความจริง

แล้วทั้งสองก็หมดเรื่องที่จะพูดคุยต่อ เพราะต่างก็ไม่คิดว่าจะมาเจอกันที่นี่ จนตอนนี้ก็ไม่รู้วาจะต่อเรื่องราวต่อไปอย่างไร จะไล่ออกไปจากที่นี่ จะพาเดินดูให้รอบ หรือจะคุยเปิดใจ มันทำอะไรไม่ถูกเลยจริงๆ

“เอ่อ... ที่นี่คือที่ไหนครับ” วีร์ตัดสินใจถาม จะให้ตะโกนเรียกวิธูและปัญจวีส์ในตอนนี้ก็คงจะไม่มีปะโยชน์อะไรแล้ว เพราะไม่รู้ว่าทั้งสองคนหายไปไหนกัน

“โรงเรือนในบ้านกูไง” วีส์ตอบกลับอย่างสงสัยว่าทำไมเด็กหนุ่มถึงไม่รู้ว่าที่นี่อยู่ในอาณาบริเวณบ้านของเขา

“อ้าวเหรอ” วีร์มองดูรอบๆอีกครั้งแต่ก็ยังไม่ช่วยอะไรมากเพราความสูงของต้นทานตะวันบดบังทุกอย่างไว้ แล้วเขาก็ยกผ้าปิดตาขึ้นมาให้ชายหนุ่มรุ่นพี่เห็น “สองคนโน้นปิดตาแล้วพาผมมา ผมก็เลยไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน”

วีส์ก็พยักหน้ารับ เพราะเขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดคุยอะไรต่ออีก แล้วก็มองดูเด็กหนุ่มที่มองดูรอบเหมือนว่าให้ความสนใจกับต้นทานตะวันเหล่านี้

“ซันซิลล่า”

วีร์หันหน้ากลับมาหาชายหนุ่ม มองกลับอย่างสงสัยว่าหนุ่มรุ่นพี่พูดถึงอะไร

“ทานตะวันพันธุ์ซันซิลล่า กูสั่งเมล็ดมาจากเมืองนอกเอามาปลูก”

วีร์พยักหน้ารับรู้และเงยหน้ามองดูดอกทานตะวันที่ดูใหญ่โตกว่าดอกทานตะวันทั่วไปที่เขาเคยเห็น แต่คงจะยกเว้นดอกหนึ่งที่เขายังเก็บเอาไว้ในกล่องเป็นอย่างดี

“ซันซิลล่าเป็นพันธุ์ดอกใหญ่ ถ้าปุ๋ยดีดินดีดูแลดีๆ ต้นมันสูงได้ถึงหกเมตร ดอกใหญ่ได้ถึงสองฟุต”

ดวงตาของวีร์โตขึ้น ริมฝีปากห่อตัว จากความทึ่งของข้อมูลที่ได้ยิน ทำให้นึกไปถึงดอกทานตะวันดอกแห้งที่เขามี ซึ่งน่าจะกว้างประมาณหนึ่งไม้บรรทัดได้

“ก็กะว่าลงเมล็ดไว้ตอนช่วงต้นเดือนพฤศจิกาฯ จะให้ตัดดอกช่วงนี้ได้พอดี” วีส์เล่าเรื่องต่อ

“ทำไมต้องได้ตัดช่วงนี้พอดี” วีร์ถามออกไปด้วยความสงสัยจริงๆ แต่ก็ได้รับคำตอบมาเป็นสายตาที่มองกลับมาอย่างจริงจัง

“แต่กูไม่รู้ว่าดอกมันต้องบานขนาดไหนถึงจะสวย ก็เลยแบ่งปลูกแต่ละแถวเว้นช่วงไล่ๆกันมา”

นั้นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้มีดอกทานตะวันในช่วงอายุที่แตกต่างกัน วีร์มองออกไปก็เห็นดอกทานตะวันที่ดูเหมือนจะเพิ่งบานไม่นาน ไล่มาถึงที่พวกเขายืนอยู่ และย้อนกลับไปทางที่เขาเดินมาที่เป็นดอกที่โตเต็มวัยแล้ว

“แต่ก็นั่นแหล่ะ เดี๋ยวก็คงจะตัดทิ้งแล้ว เพราะว่าก็คงจะไม่ได้เอาไปทำอะไรแล้ว”

วีร์มองดูอย่างเสียดาย กว่าที่แต่ละต้นจะเติบโตมาได้ขนาดนี้ ลำต้นที่แข็งแรงเพื่อชูดอกขนาดใหญ่ให้ขึ้นไปรับแสงแดด คงจะต้องได้รับการดูแลมาเป็นอย่างดีเป็นแน่

วีส์มองดูสีหน้าของเด็กหนุ่มรุ่นน้องก็พอจะอ่านความคิดออกอยู่บ้าง เขาจึงคิดตัดสินใจลองเสี่ยงดู ถึงจะไม่ได้ผลแต่ก็ถือได้ลองแล้ว

“ถ้ามึงอยากได้ก็เลือกเอาก็ได้ ตัดไปได้เลย กูไม่ว่าอะไร”

เพราะว่าเขาไม่ได้เป็นคนเลือกให้ เด็กหนุ่มเป็นคนเลือกเอง เขาไม่ได้มอบเนื่องในโอกาสอะไร แค่บังเอิญมันเป็นวันนี้เท่านั้น ไม่ถือว่ามันมีอะไรเกี่ยวโยงกัน

“ไม่เอาอะ”

คำตอบของวีร์ทำเอาวีส์รู้สึกไปหวิวๆไปไม่น้อย แต่ก็พยายามไม่คิดอะไรมาก ในเมื่อไม่ได้หวังจะให้เป็นของพิเศษในวันพิเศษนี้อยู่แล้ว

“อยู่บนต้นมันก็สวยดี ผมว่าเก็บไว้บนต้นอย่างเดิมนี่แหละ เหมาะแล้ว”

วีส์มองดูเด็กหนุ่มอมยิ้มชื่นชมกับความสวยงานของดอกไม้ที่เขาดูแล ก็รู้สึกหัวใจพองโตขึ้นมาบ้าง ถึงแม้ว่าจะวางแผนการมาเป็นอย่างดีแต่กลับผิดพลาดพังทลายนับแต่ที่เขาพ่ายแพ้การแข่งขันเทนนิสแล้ว ทำให้ทุกอย่างล้มครืน แต่เมล็ดทานตะวันที่ลงแปลงไปแล้วก็รู้สึกเสียดายที่จะปล่อยทิ้งไปเลยจึงดูแลต่อเนื่องมาโดยตลอด ก็ไม่คาดคิดว่าถึงจะไม่ได้ตัดดอกเอาไปมองให้ แต่เขากลับมาเห็นด้วยตาทุกต้นในแปลงปลูกเลย

“งั้น เดี๋ยวกูเดินไปดูทางโน้นก่อนนะ เพื่อมีพวกแมลงหลงเข้ามากินใบ มึงเดินดูต่อได้ตามสบายเลยนะ”

“เอ่อ เดี๋ยวครับ”

วีส์กำลังจะเดินออกไปแต่ก็หันกลับมาเมื่อถูกเรียกตัวไว้เสียก่อน ถึงจะไม่อยากเข้าข้างตัวเอง แต่ก็มีความคาดหวังว่าเด็กหนุ่มรุ่นน้องอาจจะเปลี่ยนเลือกดอกทานตะวันกลับไปสักหนึ่งดอกก็คงจะดี

“ประตูทางออกอยู่ตรงไหนเหรอครับ”

วีส์อึ้งไปเล็กน้อย เพราะมันผิดไปจากความคิดของเขาเยอะไปพอสมควร

“ประตูอยู่ทางด้านที่มึงเดินมานั่นแหละ พวกต้นที่อยู่ติดประตูคือพวกที่กูลงแปลงปลูกแถวแรกสุด” วีส์ชี้นิ้วไปทางด้านหลังที่เด็กหนุ่มเดินมา

“อ๋อ ครับ ขอบคุณครับ”

เมื่อเห็นเด็กหนุ่มไปพูดอะไรต่อ วีส์เลยหันกลับแล้วเดินออกไป

“เดี๋ยวครับ”

วีส์หันกลับมาอีกครั้ง และความคาดหวังของเขาที่ค่อนข้างจะเข้าข้างตัวเองก็กลับมาอีกครั้งเช่นกัน

“ถามอะไรหน่อยได้มั้ยครับ” วีร์รู้สึกประหม่าขึ้นมาทำให้พูดติดๆขัดๆ

“ถามเรื่องอะไร” วีส์แปลกใจกับอาการของรุ่นน้องอยู่บ้าง

“เรื่องวันนี้...”

“เรื่องวันนี้...” วีส์ย้อนคำพูดเด็กหนุ่มและมองอย่างสงสัยว่าเด็กหนุ่มหมายถึงเรื่องอะไร ถ้าเป็นเรื่องในโรงเรือนนี้ก็ดูจะไม่น่ามีอะไรแล้ว เขาจึงนึกย้อนไปว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง

“เมื่อช่วงบ่ายอะครับ” วีร์ขยายความเพิ่มเติมให้จำเพาะเจาะจงมากขึ้น

“อ๋อ” วีส์เข้าใจแล้วว่าเด็กหนุ่มหมายถึงเรื่องไหน “ไอ้ปั๋งมันขอให้กูช่วยเอาดอกไม้ไปให้ผู้หญิงคนนึง มันบอกว่ามันเคยเจอเขาที่เมืองนอก ไม่คิดว่าจะมาเจอกันที่นี่อีก เห็นมันบอกว่าคุยกันมาสักพักแล้ว วันนี้มันอยากจะเซอร์ไพร์เขา ให้กูเอาดอกไม้ที่มันเตรียมไว้แล้วก็ให้กูช่วยพาเขาไปที่ลานหน้าตึกคณะ จริงๆถ้ามึงเปิดทวิตเตอร์มึงก็คงจะเห็นไปนานแล้ว”

”อ๋อ” วีร์พยักหน้าและตอบสั้นๆ

ส่วนวีส์ก็รอดูว่าเด็กหนุ่มจะมีอะไรสงสัยอีกหรือไม่ ถึงภายนอกจะไม่แสดงออกอะไร แต่ภายในใจกลับคิดเรื่องราวไว้ร้อยแปดพันประการไปแล้ว แต่เมื่อวีร์ไปได้มีท่าทีอะไรต่อ เขาก็ได้แต่ทำใจแล้วคิดจะเดินกลับไปสักที

“เดี๋ยวครับ”

ครั้งที่สามที่ถูกเรียกตัวไว้อีกครั้งแล้ว วีส์คิดอยู่ในใจว่าถ้าครั้งไม่มีเรื่องอะไรสำคัญอีก เขาจะลงมือเหมือนเมื่อคราวก่อนอีกครั้งแล้วนะ

“มีอะไรเหรอ” วีส์ถามกลับด้วยน้ำเสียงและท่าทางปกติ

“เรื่องที่เราตกลงกันไว้” วีร์เปิดประเด็นแล้วเงียบไป ทำเอาอีกฝ่ายใจเต้นไปเป็นส่ำ ไม่รู้แล้วว่าในตอนนี้เรื่องราวจะออกไปทางไหนกันแน่

“มึงไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น กูเป็นคนรักษาคำพูด กูบอกว่ากูจะทำให้ก็คือกูจะทำให้”

“ไม่ใช่ครับ”

วีส์เริ่มแปลกใจ ว่าเด็กหนุ่มหมายถึงอะไร

“ข้อตกลงเรามีสองข้อ ผมเพิ่งจะขอไปข้อเดียว ยังเหลืออีกข้อนึง” วีร์ไขข้อสงสัย แต่ก็ยังคาดเดาไม่ได้อยู่ดีวาจะเป็นอย่างไร

“ใช่ มึง... คิดออกแล้วเหรอว่าจะขออะไร”

วีร์พยักหน้าตอบกลับ ส่วนวีส์ก็รอลุ้นว่าคำขออีกข้อนั่นจะเป็นผลดีหรือผลเสียสำหรับเขากันแน่ แต่ไม่ว่าอย่างไร ในเมื่อเขาให้คำสัญญาไปแล้ว เขาก็พร้อมที่จะทำตาม

“คุณ... ช่วย... สอนขับรถให้หน่อยได้มั้ยครับ”

วีส์รู้สึกงงกับคำขออันนี้ เพราะเขารู้อยู่แล้วว่าเด็กหนุ่มนั้นขับรถเป็น แล้วทำไมถึงยังมาขอให้เขาสอบขับรถให้อีก เขาคิดเข้าข้างตัวเองได้หรือเปล่า

“สอนขับรถ... มึงขับเป็นอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ” วีส์ถามกลับไป

“เกียร์ออโต้น่ะใช่ แต่ผมอยากขับรถเกียร์กระปุกเป็น” เรียกได้ว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมา วีร์เคยนั่งแต่รถยนต์ที่ใช้ระบบเกียร์อัตโนมัติ เมื่อได้มานั่งรถของชายหนุ่มรุ่นพี่ทั้งสองครั้งก็รู้สึกอยากลองขับรถยนต์ระบบเกียร์ธรรมดาเป็นบ้าง แต่คนรู้จักที่วีร์รู้ว่ามีรถยนต์ที่ยังเป็นระบบเกียร์ธรรมดาก็มีแค่ชายหนุ่มร่างสูงเพียงคนเดียว

วีส์กำลังประมวลความคิดวิเคราะห์ความน่าจะเป็นถึงสาเหตุของคำขอข้อที่สองนี้ เพราะว่าอยากจะเรียนรู้การขับรถระบบเกียร์ธรรมดาจริงๆ หรือว่ามีความนัยแอบแฝงอื่นๆ

แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เขาก็ยินดีรับคำที่จะมีกิจกรรมที่ได้ใช้เวลาด้วยกัน ไม่ว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของอีกฝ่ายจะเป็นอย่างไรก็ตาม เพราะสำหรับตัวเขาแล้ว ได้แค่นี้ก็กำไรแล้ว



*****


#VVGo4Launch


[โปรดติดตามต่อไป]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-03-2024 22:23:48 โดย sarawit »

ออฟไลน์ evanescence_69

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-3

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ตอนที่ 9 เดินหน้าแล้วถอยหลัง


Apollo20: (แนบรูป) ใครเขาให้ดอกทานตะวันในวันวาเลนไทน์กัน เดี๋ยวนี้เขาต้องให้ทุ่งทานตะวันต่างหาก #VVGo4Launch
กรี๊ดดดดดดด เยียวยาจิตใจมาก ตอนบ่ายจิตตก ตอนคว่ำใจฟู รึชั้นเป็นไบโพลาร์
นี่มันไม่ใช่ต้นทานตะวัน แต่นี่มันคือต้นทานตะวั้นนนนนน ใหญ่โตมโหฬาร
ทั้งสองคนอย่าเล่นแบบนี้อีกนะ ลูกเรือหัวใจจะวาย เห็นแบบนี้เติมเชื้อเพลิงรอแล้ว ได้ฤกษ์ปล่อยยานสักที



*****


วิธูกำลังตกใจที่ถูกกระชากลากตัวออกมาจากสนามฝึกซ้อมเทนนิส ถึงแม้ว่าจะต้องโดนโค้ชตำหนิเป็นแน่ที่เดินออกไประหว่างการซ้อมโดยพละการ แต่คนที่กำลังลากเขาอยู่นั่นน่ากลัวมากกว่า คนรักของพี่ที่เคารพน่ากลัวยิ่งกว่าพ่อแม่เสียอีก

ออกมาได้ไม่ไกล วิธูก็เห็นปัญจวีส์นั่งรออยู่ที่ม้านั่งยาวคนเดียวด้วยท่าทางสงบเสงี่ยมเจียมตัว เมื่อเห็นวิธูแล้วก็แอบยกมือขึ้นทักทายเบาๆเหมือนกลัวใครเห็น

วีร์ผลักวิธูให้นั่งลงข้างๆปัญจวีส์ แล้วก็ยืนกอดอกจ้องมองทั้งสองคนแบบไม่วางตา ถึงแม้จะมีใครต่อใครบอกอยู่เสมอว่าเมื่อไรที่เขายิ้มแล้วโลกจะดูสดใสขึ้นทันที แต่หากหน้านิ่งขึ้นมาละก็ ไม่มีใครกล้ามองตากลับกันเลยทีเดียว

วิธูและปัญจวีส์เหมือนจะรู้ชะตากรรมของตัวเอง เพียงแค่ยังไม่รู้ว่าจะถูกดำเนินคดีข้อหาอะไรบ้าง

“มีอะไรจะสารภาพมั้ย” วีร์ถามสองคนพี่น้อง

ทั้งสองคนต่างก็หันมาหากันทันทีโดยไม่ต้องนัดล่วงหน้า เรื่องที่จะต้องบอกมันก็พอจะมีอยู่บ้าง แต่บางเรื่องก็ไม่อยากจะให้หลุดปากออกไปโดยไม่จำเป็น อย่างน้อยก็ในตอนนี้ อยากจะให้เพื่อนของพวกเขารู้เท่าที่จำเป็นต้องรู้ไปก่อน

“ตอนนี้ยังอารมณ์ดีอยู่ โทษหนักอาจจะเป็นโทษเบาได้ ถ้ายอมรับออกมาตรงๆแต่แรก” วีร์ส่ายสายตามองสลับไปมาระหว่างวิธูและปัญจวีส์

“เรื่องเมื่อวานเป็นเรื่องบังเอิญทั้งเพ” วิธูตัดสินใจพูดก่อน “พวกกูแค่อยากจะพามึงไปดูแปลงดอกทานตะวันเฉยๆ พี่เขาอุตส่าห์ดูแลแค่ตาย แต่...ก็นะ พวกกูเสียดาย อยากจะให้มึงเห็นกับตาตัวเอง ก็ไม่คิดว่าพี่เขาจะอยู่ในโรงเรือนด้วย”

“ใช่ ปันปันอุตส่าห์เข้าไปเช็คดูดีแล้วนะ ไม่คิดว่าพี่จะกลับบ้านเมื่อวาน” ปัญจวีส์ก็อธิบายเรื่องราวสนับสนุนวิธู

ส่วนวีร์ก็ยังยืนมองดูทั้งสองคนอย่างเงียบๆนิ่งๆอยู่อย่างเดิม วิธูและปัญจวีส์ก็หันมาสุมหัวคุยกันเบาๆว่ามีเรื่องอะไรไหนอีกที่ควรจะพูดในตอนนี้

“เรื่องช่อดอกกุหลาบเมื่อวาน อันนั้นปันปันกับต่ายไม่รู้เรื่องมาก่อนเลยนะ พี่เขาไม่ได้บอกอะไรก่อนเลย”

“อันนั้นเรารู้เรื่องแล้ว มันเป็นของพี่ปั๋ง”

“อ้าว มึงรู้แล้วเออ” วิธูถามย้ำให้แน่ใจ

วีร์พยักหน้าตอบ และรอดูต่อไปว่าทั้งสองคนจะคายความลับที่ยังปกปิดเขาไว้อยู่ออกมาอีกหรือไม่ ทั้งวิธูและปัญจวีส์ต่างก็ช่วยกันคิดว่าควรจะบอกเรื่องอะไรดี จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครพูดอะไร

วีร์ถอนหายใจออกมาดังๆ

“Apollo20 นี่คือใคร รูปถ่ายจากที่ส่วนตัวขนาดนั้น ไม่น่าจะเป็นคนอื่นไปได้”

วิธูและปัญจวีส์ต่างก็นิ่งเงียบไป แล้วก็หันมามองหน้ากันเอง จากนั้นก็พยักหน้าให้แก่กัน สีหน้าของแต่ละคนบ่งบอกว่าคงจะต้องยอมจำนนแล้ว

“ตอนแรกๆน่ะกูเอง” วิธูชูมือขึ้นแค่ระดับความสูงที่ยังไม่พ้นใบหน้าของเขา

“แต่นี้เราสองคนช่วยกันดู” ปัญจวีส์ก็ยกมือขึ้นด้วยเช่นกัน

“มิน่าละ” วีร์พยักหน้ารับรู้ “ก็ว่าอยู่ว่าทำไมบางทีสำนวนภาษามันไม่ค่อยเหมือนเดิม”

“มึง... ตามอ่านกันเออ” วิธูถามน้ำเสียงดูจะตื่นเต้นอยู่บ้าง แต่ก็ดูจะพยายามเก็บอาการตัวเองเอาไว้

“ม้าย แต่มีคนคอยเอามายื่นให้แลต่อหน้าทุกทีเลยนิ” วีร์ส่งสายตาบอกไปว่าเขายังไม่ค่อยพอใจอยู่ อย่างเพิ่งจะมาเหลิงอะไรเอาตอนนี้ แล้ววีร์ก็ถามต่อ “ถามจริง ทำไปเพื่อ”

“ก็... เผื่อยุขึ้น ก็ถ้าจะให้ยุกับมึงตรงๆ คิดว่าคงจะไม่ได้เรื่องหล่าว ก็เลยคิดกับไอ้ปันว่าคงจะต้องเปลี่ยนเป็นสร้างบรรยากาศโดยรอบให้ค่อยๆล้อมเข้ามา เผื่อจะสำเร็จ”

“แล้วสำเร็จมั้ย” ปัญจวีส์มองกลับมาเต็มไปด้วยความคาดหวัง

“เอาเป็นว่า... ที่ทำไปแล้วไม่ว่าอะไร แต่อย่าให้เห็นอีก ไม่งั้นจบไม่สวยแน่ เข้าใจ๊” วีร์ไม่ได้ตอบกลับแต่ยื่นคำขู่กลับไปแทน

ทั้งวิธูและปัญจวีส์ก็พยักหน้าตอบรับแต่โดยดี

“ให้กูไปโพสลงบอกลาก่อนมั้ย ว่าต่อไปคงจะไม่ได้โพสอะไรแล้ว” วิธูถาม

“ไม่ต้อง อยู่เงียบๆไปตะ เดี๋ยวคนก็เลิกถามถึงเอง” วีร์ตอบปฏิเสธในทันที แล้วก็มองดูสองพี่น้องมีกำลังบ่นว่าเสียดายแต่ก็ต้องยอมทำตามคำพูดของเขาอยู่ดี “แล้วทำไมถึงชื่ออะพอลโล”

“ก็... โครงการสำรวจดวงจันทร์ของนาซ่าไง มึงไม่เคยดูหนังเออ” วิธูตอบ

“เหรอ...” วีร์ตอบสั้นๆ เหมือนพอจะจำได้ว่าเคยได้ยินเรื่องราวนี้มาก่อนบ้าง

“แล้วต้องไปบอกอีกคนมั้ยด้วยมั้ยอะ” วิธูถามต่อ

“ใครหล่าว” วีร์มองตอบอย่างสงสัยว่าวิธูหมายถึงอะไร

“ก็มันมีอีกคนที่ใช้ชื่อ Artemis20 อันนี้กูไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่พี่เขาน่าจะรู้จัก เขาก็คอยอัพเดตเรื่องมึงกับพี่เขาอยู่เป็นประจำเหมือนกัน จริงๆมันก็มีคนอื่นอยู่อีกนั่นแหละ แต่เผอิญว่าพวกกูคือแหล่งข่าวที่เชื่อได้มากที่สุด”

วีร์ถอนหายใจอีกครั้ง เพราะคิดว่าจะจัดการเรื่องทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเสียอีก

“เดี๋ยวกูไปจัดการเอง”

“เอางั้นเออ” วิธูถามให้แน่ใจว่าเพื่อนของเขามีวิธีจัดการเองจริงๆหรือเปล่า

“เออ มึงอยู่เงียบๆไปตะ ไม่ต้องไปโพสอะไรอีกหล่าว”

“แต่ว่า...” ปัญจวีส์กำลังจะเสนอความเห็นแย้งแต่ก็โดนวิธูจับแขนแล้วกระตุกห้ามไว้เสียก่อน ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้เห็นด้วยไปซะทีเดียวจึงตัดสินใจพูดต่อ “...ถ้ามีเรื่องเข้าใจผิดอะไรขึ้นมา ขอโพสลงแก้ข่าวได้มั้ย”

วีร์คิดถึงเหตุและผลตามที่ปัญจวีส์เสนอ ถึงจะพอรับฟังได้บ้างแต่วีร์ก็ยังลังเลอยู่

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวถ้ามีอะไรขึ้นมาจริงๆก็ค่อยว่ากันหล่าว” วิธูเสนอทางเลือกอื่นๆ ซึ่งวีร์ก็พยักหน้าเห็นตาม ก็คงเหลือแต่ปัญจวีส์ที่ไม่คล้อยตาม

“ทำอะไรกันวะ”

เสียงดังแทรกขึ้นมาจนทั้งสามคนหันไปมอง ก็เห็นเหล่าหนุ่มๆดีกรีว่าที่คุณหมอสองสามคนยืนอยู่ด้วยกัน

“มานั่งทำอะไรอยู่แถวนี้วะ” พระยศถามอีกครั้งเมื่อยังไม่ได้รับคำตอบจากเพื่อนๆ

“เปล่า มาดูไอ้ต่ายมันซ้อมเฉยๆ” วีร์เป็นคนตอบพระยศไป “แล้วนี่พวกมึงจะไปไหนกันวะ”

“พวกกูกำลังจะไปหาอะไรกินกัน นั่งทำแล๊บมาทั้งวันแล้ว เบื่อ! เปลี่ยนไปทำอย่างอื่นบ้าง มึงไปด้วยกันมั้ย”

วีร์หันกลับไปหาวิธูและปัญจวีส์ เขาไม่ได้มองเพราะต้องการจะถามว่าทั้งสองจะไปด้วยกันกับเขาหรือไม่ แต่มองเพราะต้องการย้ำคำพูดสุดท้ายของเขาก่อนหน้านี้ว่ายังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

“พวกมึงไปกันเลย เดี๋ยวกูต้องไปซ้อมต่ออีก” วิธูตอบปฏิเสธพระยศไป

“โอเค แล้วมึงอะ” พระยศหันไปถามปัญจวีส์

“ไม่เป็นไร ไว้วันหลังก็ได้” ปัญจวีส์กำลังจะตอบรับแต่โดนกระตุกแขนไว้เสียก่อน จึงตอบปฏิเสธตามวิธูไป

“งั้นก็... ไว้เจอกัน”

พระยศจึงชวนวีร์และเพื่อนๆให้เดินกันต่อไปโดยไม่ลืมแนะนำเพื่อนร่วมคณะคนอื่นๆให้วีร์รู้จักด้วย ปล่อยทิ้งศศิทัศน์ให้อยู่รั้งท้ายที่แอบชำเลืองมองวิธูและปัญจวีส์ก่อนที่จะเดินตามทุกคนไป

“ต่ายจะห้ามปันปันทำไม” เมื่อเห็นว่าวีร์และเพื่อนๆเดินพ้นไปจากระยะที่น่าจะได้ยินพวกเขาแล้ว ปัญจวีส์ก็หันไปถามวิธู

“ห้ามเรื่อง...” วิธูถามละเอาไว้ “ถ้าเรื่องจะไปเมื่อกี้ มึงไม่เห็นหน้าไอ้ตี๋เล็กเออ กูว่ามันยังโกรธมึงไม่หายตั้งแต่งานปาร์ตี้บ้านไอ้พวกแฝดแล้ว ถ้ามึงจะไปกับเขาด้วยเดี๋ยวงานจะกร่อยเปล่าๆ ส่วนเรื่องที่ไอ้อ้วนบอกให้อยู่เงียบๆ กูว่ามันแปลกๆ”

“แปลกยังไง” ปัญจวีส์ถามด้วยความสงสัย

“เมื่อก่อนสิ่งที่ได้อ้วนไม่ชอบมากที่สุดคือเวลามีคนเข้ามาถามมันเรื่องนายหัว กูว่านะ... รอบนี้ก็อาจจะ...” วิธูเอานิ้วลูบคางตัวเองพลางคิดถึงรูปแบบสถานการณ์ต่างๆนานาที่น่าจะเป็นไปได้

“หรือว่าวีร์เขาจะ...” ปัญจวีส์ก็เริ่มคิดตามไปในทางเดียวกัน

“ก็ไม่แน่ ของแบบนี้ต้องรอดู... แบบห่างๆ” วิธูยักคิ้วหลิ่วตาให้น้องชายคนเล็ก “ฉะนั้น ช่วงนี้ทำให้เรื่องเงียบให้มากที่สุด แล้วเราอาจจะสมหวังก็ได้”

ปัญจวีส์ยิ้มออกกว้างตามวิธู ถ้าสิ่งที่วิธูคิดนั้นถูกต้อง ก็ถือว่าคุ้มค่ากับที่ได้ลงแรงมาทั้งหมดแล้ว


*****


ภายในร้านอาหารเจ้าเก่าชื่อดังฝั่งตรงข้ามโรงเรียนมัธยมศึกษามีลูกค้าเข้ามาจับจองที่นั่งเพื่อรับประทานอาหารกันไม่หนาตามากนัก เนื่องจากเป็นเวลาช่วงบ่ายที่เจ้าของรายเพิ่งจะตระเตรียมอาหารเสร็จหลังจากที่หยุดพักการขายไปและเริ่มรับลูกค้าชุดใหม่เรื่อยไปจนถึงช่วงค่ำของวันนี้

แต่วันนี้ก็มีความพิเศษที่ได้เห็นภาพที่ไม่คุ้นตามากนัก อย่างน้อยก็สำหรับวีร์ วีร์มองดูหญิงสาวกำลังสาละวนกับหม้อตุ๋นขนาดใหญ่ที่กำลังส่งกลิ่นหมอเครื่องเทศนานาชนิด วีร์จึงเดินเข้าไปใกล้แล้วก็ยืนกอดอกมองดู

“วันนี้ว่างเออ” วีร์ทักทาย

“มีเรียนแค่ช่วงเช้าเท่านั้นแหละ ชั้นขี้เกียจอ่านหนังสือเลยเข้ามาช่วยที่ร้านดีกว่า” แพรพรรณยิ้มต้อนรับลูกค้าที่พ่วงตำแหน่งเพื่อนสนิท

“แล้วนี่กะมาฝึกงานไว้รับช่วงต่อกิจการรึไง” วีร์เอ่ยปากแซวหญิงสาว

“เปล่า รอเวลาหนูเล็กกลับ หนูเล็กบอกว่าเดี๋ยวหนูเล็กจะสอนทำขนม” แพรพรรณตักน้ำซุปมาเทใส่ช้อนคันเล็กก่อนที่จะลองชิมสองสามคำ แล้วก็เงยหน้ามองหาคนตัดสินใจขั้นสุดท้ายแล้วก็กวักมือเรียก “ตัวเอง มาชิมหน่อย”

สุรศักดิ์ก็รีบวิ่งมาตามคำเรียกแล้วก็ชิมรสชาติของน้ำซุป

“อืม ได้แล้วนะ ตัวเองไปนั่งพักได้เลย เดี๋ยวเค้าจัดการต่อเอง” แล้วสุรศักดิ์ก็หรี่ไฟลงแค่พอให้คงความร้อนแก่หม้อใบใหญ่แต่ไม่ต้องการให้น้ำเดือดพล่านแล้วไปทำให้น้ำซุปขุ่นเอาได้ ในตอนนั้นจึงได้เห็นลูกค้าคนสำคัญกำลังยืนอยู่ “อ้าว มึงมาเมื่อไหร่”

“ยืนอยู่ตรงนี้สักพักแล้ว” วีร์มองดูทั้งสองคนด้วยความเอ็นดูปนความหมั่นไส้ “แหม เดี๋ยวนี้มีเค้ามีตัวเองแล้วนะ”

“บ้า!” แพรพรรณเขินอายจนแอบตีหลังสุรศักดิ์ไปหนึ่งครั้งเบาๆ สุรศักดิ์เองก็แกล้งทำเป็นลูบตัวจับแขนตัวเองเสมือนว่าโดนตีมาแรงๆ

“แล้วนี่แกมาทำอะไร” เมื่อจัดความรู้สึกของตัวเองได้แล้ว แพรพรรณก็ถามเพื่อนสนิทของเธอ

“มาเอาขนมไข่ที่น้องเฟิร์นมาฝากไว้ไง”

“อ๋อ เฟิร์นมาฝากไว้เมื่อเช้า มึงเดินเข้าเอาหลังร้านเลย วางอยู่บนโต๊ะกินข้าว” สุรศักดิ์กำลังเตรียมวัตถุดิบให้พร้อมปรุงเมื่อลูกค้าเข้ามา ส่วนแพรพรรณก็บุ้ยหน้าส่งสัญญาณให้วีร์แนะนำคนที่มากับเขาด้วย

“เออ เกือบลืม นี่ปันปันเพื่อนที่คณะ แล้วก็เป็นลูกพี่ลูกน้องไอ้พวกแฝดด้วย” วีร์แนะนำปัญจวีส์ให้เพื่อนทั้งสองคนรู้จัก

“ก็เจอกันตอนงานเลี้ยงที่บ้านพวกแฝดไง แค่ยังไม่เคยแนะนำตัวกัน” สุรศักดิ์เงยหน้าขึ้นมาทักทาย

“เออใช่” แล้ววีร์ก็หันไปหาปัญจวีส์ “ส่วนนี้ก็คือ ใหญ่กับแพร แพรคนนี้คือแพรพรรณที่ไม่ใช่อีดำแพรไหม”

“เคยได้ยินแพรพูดถึงอยู่ ได้เจอตัวเป็นๆกันสักที” ปัญจวีส์ยิ้มทักทายเพื่อนใหม่

“รู้จักแพรด้วยเหรอ” แพรพรรณถามด้วยความสนใจ

“รู้จักสิ ว่าที่พี่สะใภ้ ทำไมจะไม่รู้จัก” ปัญจวีส์ยังคงยิ้มแย้มดี ผิดกับแพรพรรณที่ขมวดคิ้วมองอย่างสงสัยไม่ต่างอะไรกับสุรศักดิ์

“ไว้ค่อยให้อีดำมันเล่าให้แกฟังก็แล้วกันนะ” วีร์อ่านสีหน้าเพื่อนเก่าของเขาแล้วก็พอจะเข้าใจ ถึงจะไม่ใช่ความลับอะไรแล้วแต่ถ้าจะอธิบายคงจะต้องใช้เวลาเพราะมันเกี่ยวโยงกับเรื่องอื่นๆอีกหลายเรื่อง แล้ววีร์ก็ขอตัวเดินเข้าไปเอาขนมด้านใน

ไม่นานนักวีร์ก็เดินกลับออกมาพร้อมกับถุงขนมใบใหญ่ในมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งกำลังเปิดโทรศัพท์อยู่ “กูไลน์บอกน้องเฟิร์นแล้วนะ”

“เดี๋ยวนี้มึงไม่ใส่แว่นแล้วเหรอวะ” สุรศักดิ์ถามเมื่อเห็นว่าเพื่อนของเขาอ่านโทรศัพท์ด้วยใบหน้าเปล่าเปลือยได้เป็นปกติดี

“ใส่เฉพาะตอนธรอยู่บ้าน เดี๋ยวนี้วันทำงานพี่ธีร์กับพี่วาพาธรไปอยู่เดย์แคร์ ก็เลยไม่ต้องมานั่งใส่แว่นเป็นเพื่อนมันอยู่ตลอดเวลาแล้ว” วีร์เก็บโทรศัพท์กลับลงในกระเป๋ากางเกงหลังจากที่ส่งข่าวให้เด็กสาวรุ่นน้องเรียบร้อยแล้ว

“แล้วธาราละ” แพรพรรณถามไปถึงเด็กอ่อนตัวน้อยๆที่เธอเคยไปช่วยวนกรเลี้ยงดูอยู่บ่อยๆตั้งแต่ช่วงแรกเกิด

“ก็ไปด้วยกันหมดนั่นแหละ”

“ที่บริษัทมีศูนย์รับเลี้ยงเด็กเล็กเด็กโตเตรียมพร้อมอยู่แล้ว มีมืออาชีพดูแลอยู่ หายห่วงได้” ปัญจวีส์อธิบายแทรกเพิ่มเติมขึ้นมา ทำให้แพรพรรณและสุรศักดิ์มีสีหน้าสงสัยอีกครั้ง

“พี่ธีร์กับพี่วาทำงานอยู่ที่บริษัทของบ้านปันปัน” วีร์ไขข้อสงสัยของทั้งสองคน

“แล้วนี่เดี๋ยวมึงจะไปไหนต่อมั้ย” สุรศักดิ์ถามต่อ เพราะตอนนี้ยังไม่มีลูกค้าเข้ามาสักเท่าไหร่ ยังพอมีเวลาว่างอยู่คุยกันได้อีก

“ไม่อะ เดี๋ยวก็กลับบ้านเลย อาทิตย์หน้าก็สอบกลางภาคแล้ว ต้องกลับไปอ่านหนังสือหล่าว” วีร์ตอบ

“แล้วจะกลับกันยังไงวะ เพื่อนมึงไปส่งเออ” สุรศักดิ์ถาม

“รถสองแถวนี้แหละ เดี๋ยวปันปันก็นั่งสองแถวไปลงบ้านเอง” วีร์ตอบไปตามปกติ

“อ้าวเหรอ กูก็นึกไปถึงไอ้พวกแฝดว่าเมื่อก่อนเห็นมีรถมารับส่งตลอด ก็นึกว่าเพื่อนมึงจะ...” สุรศักดิ์พูดถึงรถมินิแวนคันสีขาววาววับที่คอบมารับส่งนพชัยทิศอยู่เป็นประจำ

“ไม่หรอก ปกติปันปันก็นั่งรถสองแถวมาเรียนอยู่แล้ว นานๆทีถึงจะยืมรถของแม่มาขับ” ปัญจวีส์เป็นคนตอบเอง ถึงที่บ้านจะมีฐานะแต่เขาก็ใช้ชีวิตปกติเหมือนคนทั่วไป

“เดี๋ยวนี้ไอ้กิ่งไอ้ก้านก็นั่งรถมาเรียนกันเองนั่นแหละ แต่ได้ยินอยู่เหมือนกันว่าบ้านพวกมันกำลังจะเอารถไฟฟ้าเข้ามาขาย พวกมันก็กะจะซื้อไว้ขับเองสักคันอยู่”

“เอาเหอะ พวกคนมีตังค์” สุรศักดิ์ยิ้มเยาะเบาๆ

“กูว่าตอนนี้มึงหาเงินได้เยอะกว่าพวกมันอีก” วีร์ออกปากชมเพื่อนของเขาที่ชิงตัดหน้ารับผิดชอบชีวิตของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ก่อนเพื่อนๆทุกคน “แล้วนี่พ่อแม่มึงไปไหนวะ”

“อยู่ข้างบน ดูเขาตกแต่งห้องใหม่อยู่” สุรศักดิ์ชี้นิ้วขึ้นไปด้านบนแล้วจึงอธิบายเพิ่มเติม “บ้านกูเอาแค่สองคูหานี้ พวกกูก็อยู่กันครบจนห้องเหลือเฟือ แล้วก็เลยจะทำห้องที่เหลือเป็นห้องเช่า เนี่ยข้างหลังปรับเป็นที่จอดรถเสร็จแล้ว”

“โอ้โห เยี่ยมเลย” ปัญจวีส์รู้สึกทึ่งไปกับแผนการที่ได้ยิน

“พอว่างแล้วก็แบบนี้แหละมึง อยู่นิ่งไม่ได้ เป็นต้องทำโน้นทำนี่ไปเรื่อย” สุรศักดิ์ส่ายหน้าเล็กน้อย เดิมที่เขาไม่ได้คิดจะเรียนต่อระดับอุดมศึกษาเพราะต้องการช่วยผ่อนแรงของพ่อแม่ให้มีเวลาพักผ่อนมากขึ้น

“ก็คนทำงานมาตลอด อยู่ๆจะให้หยุดไปเฉยๆมันก็คงจะรู้สึกแปลกๆ เหมือนพ่อกับแม่กูเดี๋ยวก็จะเกษียณฯแล้ว ดีนะที่พี่อรมีลูกพอดี ได้ออกมาเลี้ยงหลาน” วีร์พูดอย่างเข้าใจ

“พูดถึงแล้วก็อยากจะลงไปเที่ยวบ้านมึงอีก” สุรศักดิ์บ่นเสียดาย

“ก็กูบอกให้ไปตอนปิดเทอม แต่ก็ไม่มีใครว่างกันสักคน”

“ก็พวกมึงมัวแต่วุ่นเรื่องสอบเข้าอยู่”

“กูกับไอ้ต่ายไอ้บิ๊กได้ตั้งแต่รอบโควตา ก็เหลือแต่ไอ้กิ่งไอ้ก้านเท่านั้นแหละที่มาสอบรอบหลัง” วีร์ตอบกลับทันที

“ก็ลองลงไปแล้วไม่มีพวกมันไปด้วย เดี๋ยวก็งอนร้องงอแงกันอีก” สุรศักดิ์ส่ายหน้าเบากับอาการลูกคุณหนูเอาแต่ใจที่นานๆจะเห็นสักครั้งหนึ่ง เรื่องอื่นใดไม่เคยเป็นปัญหาแต่เรื่องเพื่อนคือเรื่องใหญ่ที่จะพลาดไม่ได้เด็ดขาด

“ไว้ค่อยหาเวลาว่างตรงกันอีกทีก็แล้วกัน”

“แกๆ ครั้งหน้าชั้นลงไปด้วยนะ” แพรพรรณเอ่ยปากขอไว้ล่วงหน้า

“แล้วพ่อแกจะให้แกลงไปเที่ยวมั้ยละ” วีร์ถามกลับด้วยรู้นิสัยหวงลูกสาวของพ่อของแพรพรรณเป็นอย่างดี

“เดี๋ยวนี้พ่อชั้นปล่อยแล้วละจ๊ะ จะไปไหนมาไหนแล้วกลับผิดเวลาก็แค่บอกก่อนล่วงหน้าเท่านั้นเอง” แพรพรรณยิ้มหน้าบานกับอิสรภาพส่วนตัวที่ได้รับมา

“แล้วที่แกมาอยู่นี่วันนี้ได้บอกพ่อก่อนมั้ยหึ” วีร์ยิ้มมุมปากถามกลับ

“บอกสิ ก็ชั้นบอกพ่อไปแล้วว่าวันนี้จะมาให้หนูเล็กสอนทำขนม”

วีร์พยักหน้ารับรู้แบบรู้ทัน แพรพรรณเองก็ไม่ได้พูดผิดอะไร เธอต้องการจะให้สิริศักดิ์สอนทำขนมให้จริงๆ แค่สถานที่สอนทำขนมอยู่บริเวณเดียวกับร้านของสุรศักดิ์เท่านั้นเอง วีร์เองก็คิดว่าพ่อของแพรพรรณก็รู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว ความหมายโดยนัยที่ไม่ได้สื่อออกไปแต่ก็เข้าใจ แต่ก็ให้เกียรติและเคารพการตัดสินใจของกันและกัน

“เอาเหอะ ไว้จะไปแล้วค่อยนัดกันอีกที” วีร์สรุปปิดท้ายทำเอาหญิงสาวยิ้มตอบรับอย่างดีใจ และเมื่อเห็นว่าเสร็จสิ้นธุระที่มาทำในวันนี้แล้ว วีร์จึงบอกลาเพื่อนๆ “งั้นเดี๋ยวชั้นกลับบ้านแล้ว ไอ้ใหญ่เดี๋ยวกูกลับแล้วนะ”

วีร์และปัญจวีส์ก้าวออกมาไม่ทันจะพ้นประตูร้านก็หยุดชะงัก เพราะชายหนุ่มร่างสูงที่กำลังยืนอยู่ด้านหน้าฝั่งร้านขนม เขามองดูอย่างเสียดายแต่แล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไปเมื่อหันมาเห็นทั้งสองคน

“อ้าวพี่วี มาทำอะไรครับ” ปัญจวีส์เดินเขาไปทักทายพ่ายของเขา

“ก็... ลองแวะมาดูเฉยๆ คิดว่าร้านขนมจะเปิดแล้วซะอีก” วีส์มองดูเวลาจากโทรศัพท์แล้วก็มองดูป้ายหน้าร้านอีกครั้ง

“เออ... รีบกลับรึเปล่าคะ” แพรพรรณแอบเดินย่องตามมาดูจากด้านในร้านตั้งแต่เมื่อเห็นว่าเพื่อนของเธอยังไม่ไปไหน จึงตั้งใจจะออกมาสอบถาม ทันจังหวะได้ยินเสียงพูดคุยกันพอดี “พอดีว่าคนทำขนมกำลังเดินทางอยู่คะ อีกไม่นานก็ถึงแล้ว”

“อืม... นานมั้ย” วีส์ถามกลับแพรพรรณ

“ไม่เกินสิบนาทีคะ จะรอมั้ยคะ” แพรพรรณหันไปดูเวลาจากนาฬิกาเรือนใหญ่ด้านในของร้านอาหาร

ชายหนุ่มร่างสูงยังไม่ทันจะตอบ น้องชายของเขาก็ถามแทรกขึ้นมาเสียก่อน

“พี่มาทำอะไรเหรอครับ” ปัญจวีส์มองอย่างสงสัย

“ไอ้ปั๋งมันบอกว่ามีร้านทำขนมเปิดใหม่หน้าโรงเรียนอร่อยดี มันเคยมาสั่งทำเค้ก นี่ก็ว่าจะมาสั่งเค้กวันเกิดให้คุณยาย” วีส์มองดูรอบๆอีกครั้งและกำลังตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไรดี

“อ้าวเหรอ ไม่ใช่ว่าแม่จะสั่งจากที่ห้างเหรอครับ” ปัญจวีส์ถามต่อเนื่อง วีร์นั้นพอจะเข้าใจเนื้อหาที่ทั้งสองคนพูดคุยกัน เหลือแต่แพรพรรณที่จับยังต้นชายปลายไม่ถูกเพราะถึงจะรู้อยู่บ้างว่าทั้งสองคนเป็นใคร แต่ยังไม่รู้ความสัมพันธ์ที่แท้จริงของทั้งสองคน

“ร้านในห้างเนื้อครีมมันเยอะเกิน ก็เลยว่าจะมาลองร้านนี้ดู” วีส์ยังคงชั่งใจว่าจะอยู่รอต่อดีหรือไม่

“งั้นเดี๋ยวไปเอาเมนูมาให้เลือกดูก่อนดีมั้ยคะ เดี๋ยวคนทำขนมกลับมาถึงจะได้สั่งเลย ไม่เสียเวลา” แพรพรรณเสนอความเห็น และหันมองดูแต่ละคนว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ แต่เธอก็ไม่ทันรอฟังคำตอบก็รีบเดินกลับเข้าไปในร้านอาหาร แล้วก็เดินหายเข้าไปด้านหลังร้าน

รอไม่นานนัก แสงไฟในร้านขนมก็สว่างลอดผ่านประตูกระจกด้านหน้าร้าน แล้วหญิงสาวก็เดินถือพวงลูกกุญแจมาไขประตู จากนั้นจึงเชิญให้ลูกค้าคนสำคัญเข้าไปเลือกรูปแบบเค้กที่ต้องการด้านใน

“เลือกดูก่อนนะคะ” แพรพรรณยื่นใบรายการขนมให้กับชายหนุ่มร่างสูง “จะเอาขนาดเท่าไหร่ เนื้อเค้กรสชาติยังไง เนื้อครีมก็สั่งได้นะคะว่าจะเอามากน้อยแค่ไหน หรือจะเอาเป็นแยมก็มีนะคะ แล้วก็ท้อบปิ้งที่เป็นผลไม้ก็ได้ค่ะ”

วีส์ไล่ดูตามทีละรายการ โดยมีปัญจวีส์มายืนดูขนาบข้างด้วยความสนิทสนม ส่วนแพรพรรณก็แอบขยับตัวไปหาเพื่อนสนิทของเธอ

“เขาสองคน... แบบว่า...” แพรพรรณแอบกระซิบถามพร้อมกับกระดิกนิ้วชี้ไปมาระหว่างสองคนนั้น

“พี่น้องกัน” วีร์ตอบกลับสั้นๆเบาๆ

“หือ...” แพรพรรณมองตอบอย่างประหลาดใจและถามต่อด้วยความสงสัย เพราะเท่าที่เธอรู้มานั้นว่าทั้งสองใช้นามสกุลไม่เหมือนกัน “คนละพ่อเหรอ”

“พ่อแม่เดียวกัน” วีร์เองก็ไม่คิดว่าเขาจะต้องมาเป็นคนอธิบายในเรื่องนี้ ซึ่งแพรพรรณก็เลิกคิ้วขึ้นมองตอบกลับมา วีร์จึงตอบปัดส่งๆไป “อย่าถามเยอะ ชั้นก็รู้เรื่องแค่นี้”

“ก็ไม่คิดว่าพี่เขาจะเป็นลูกหลานเครือล้ำเลิศด้วยนะเนี่ย”

“เป็นมากกว่านั้นอีก” วีร์พึมพำเบาๆ ถึงจะไม่ใช่ความลับใหญ่โตอะไร แต่เขาไม่อยู่ในสถานะที่จะบอกว่านอกจากสองพี่น้องจะเป็นลูกหลานเครือล้ำเสิศแล้วก็ยังเป็นลูกบ้านกิจการเรืองฤทธิ์อีกด้วย

สองคนพี่น้องใช้เวลาเลือกอยู่ไม่นานนักก็ได้แบบขนมเค้กที่ต้องการ แพรพรรณจึงไปเตรียมกระดาษมาให้ทั้งสองคนกรอกรายละเอียด รวมถึงเบอร์โทรศัพท์สำหรับการติดต่อ และวันเวลาที่ต้องการจะมารับขนมเค้ก สำหรับส่งต่อให้กับคนทำขนมอย่างสิริศักดิ์ที่ยังเดินทางมาไม่ถึงสักที

“เดี๋ยวพี่กลับบ้านรึเปล่า” ปัญจวีส์ถามพี่ชายของเขาเมื่อส่งกระดาษคืนให้กับแพรพรรณไปแล้ว

“เปล่า” วีส์ตอบกลับสั้นๆ

“อ้าว นึกว่าจะกลับบ้านก็เห็นเอารถออกมา ปันปันกะว่าจะติดรถกลับไปด้วยสักหน่อย” ปัญจวีส์บ่นเสียดายอยู่บ้าง

“กูเอารถออกมาล้าง” วีส์ชำเลืองมองด้วยหางตา ถึงจะไม่ได้พูดออกไปแต่คนในเป้าหมายก็คงจะเข้าใจว่าทำไมเขาถึงเอารถยนต์ไปทำความสะอาด

“อ๋อ งั้นไม่เป็นไร เดี๋ยวปันปันกลับบ้านเองได้” ถึงอย่างไรเสียในวันนี้ปัญจวีส์ก็ตั้งใจจะเดินทางกลับบ้านเองตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

“งั้นกูไปแล้ว เดี๋ยวคิวจะเต็มซะก่อน” วีส์แอบชำเลืองมองดูเด็กหนุ่มผิวเข้มก่อนที่จะเดินออกจากร้านไป เขาไม่ได้พูดอะไรออกไปเพราะได้ให้คำพูดไว้ก่อนแล้วว่าจะไม่บอกใครเรื่องที่เขาจะสอบขับรถยนต์ให้ตามที่เด็กหนุ่มต้องการ ด้วยเหตุผลที่ว่าไม่อยากให้คนอื่นๆเข้าใจเรื่องราวผิดไปจากวามเป็นจริง ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร

“งั้น... เดี๋ยวชั้นกลับแล้วนะ รอบนี้ไปจริงๆแล้ว” วีร์บอกลาแพรพรรณหลังจากที่ชายหนุ่มร่างสูงเดินพ้นออกจากร้านไปแล้ว แต่เมื่อเห็นสีหน้าของแพรพรรณที่ดูเหมือนจะมคำถามมากมาย เขาจึงส่ายหน้าเบาๆ “อยากรู้อะไรก็ไปเม้าท์กับอีดำเอาเองก็แล้วกันนะ ถ้ามันถามมา ก็บอกไปเลยว่าชั้นอนุญาตให้เล่าได้”

แพรพรรณคิดพิจารณาตัวเลือกแล้วก็พยักหน้ายอมรับข้อเสนอของวีร์ อาจจะโทรศัพท์คุยกับแพรไหมในวันนี้เลย หรืออาจจะนัดเจอกันในวันหลังแทนก็ได้ แต่ในตอนนั้นสาวน้อยที่รูปร่างไม่น้อยแล้วก็เปิดประตูวิ่งเข้ามาในร้านขนมทำลายความคิดของเธอไปเสียก่อน

“พี่แพร พี่วี สวัสดีคะ” สิริศักดิ์ทักทายรุ่นพี่ทั้งสองคนที่รู้จักกันดี แล้วก็ยั้งไว้สำหรับคนสุดท้ายที่เพิ่งจะเคยเจอกัน แต่ก็พอจะรู้ว่าเป็นใคร “...ลูกค้าเหรอคะ”

“ลูกค้ากลับไปแล้วจะ” แพรพรรณยื่นกระดาษที่จดใบสั่งเค้กให้กับสิริศักดิ์ “นี่ออเดอร์เค้กที่เขาสั่งไว้ หนูเล็กตรวจดูอีกทีนะว่าจะคอนเฟิร์มรึเปล่า”

สิริศักดิ์รับใบสั่งมาดูและอ่านทบทวนอีกครั้งก่อนที่จะพยักหน้า

“ได้คะ ไม่มีปัญหา”

“ฝากด้วยนะหนูเล็ก” วีร์ย้ำคำพร้อมกับรอบยิ้ม

“มีปัญหาอะไรก็โทรมาหาพี่ได้เลยนะครับ” ปัญจวีส์ชี้นิ้วไปที่เบอร์โทรศัพท์ในกระดาษใบสั่งซื้อพร้อมกับรอยยิ้มด้วยเช่นกัน

“ค่ะ” หนูเล็กยิ้มปากค้างแม้ว่าชายหนุ่มสองคนจะเดินออกจากร้านไปแล้ว สำหรับวีร์ที่คุ้นเคยกันมานานแต่เมื่อใดที่ชายหนุ่มยิ้มให้ก็อดจะยิ้มตามไปด้วยแบบเสียไม่ได้ ส่วนอีกคนนั้นก็พอจะรับรู้ข่าวสารจากโลกสื่อสังคมออนไลน์ ไม่คิดว่าวันนี้จะได้เจอตัวเป็นๆแบบชิดใกล้

แพรพรรณมองดูน้องสาวคนเล็กของแฟนหนุ่มของเธอแล้วก็รู้สึกเอ็นดูแบบเข้าใจ น้องตัวน้อยตอนนี้โตเป็นสาวแล้ว


*****


เช้าวันเสาร์ที่อากาศยังเย็นสบายถึงแม้จะเป็นช่วงทิ้งท้ายก่อนจะเปลี่ยนเข้าสู่ฤดูร้อน วีร์เปิดโทรศัพท์ตรวจดูกิจกรรมต่างๆของคนรอบตัวให้แน่ใจอีกครั้งระหว่างนั่งรอคนมารับที่ป้ายรถประจำทาง

วันนี้ปัญจวีส์ติดตามชื่นฤทัยไปทำธุระที่กรุงเทพมหานคร อาจจะเดินทางกลับมาถึงช่วงค่ำไปจนถึงดึก จึงไม่น่าจะเข้ามายุ่มย่ามอะไรได้ ส่วนวิธูก็มีนัดกับแพรไหมชวนกันขี่รถจักรยานยนต์ออกไปเที่ยวนอกเมืองกันเองแค่สองคนไม่ไกลมากแบบไปเช้าเย็นกลับ แถมยังส่งส่งรูปมาให้ดูในกลุ่มสนทนาอยู่เป็นระยะ จึงมั่นใจได้ระดับหนึ่ง

ส่วนเพื่อนๆคนอื่นๆต่างก็มีธุระส่วนตัวของตัวเองกันหมดเช่นกัน นอกจากนี้วีร์ยังเปิดเข้าไปดูไปโลกสื่อสังคมออนไลน์โดยเฉพาะบัญชีเจ้าประจำว่ามีการเคลื่อนไหวใดๆหรือไม่ เท่าที่เห็นก็คงมีแค่การสอบถามว่าเหตุใดคนที่ใช้ชื่อว่า Apollo20 ที่มักจะคอยส่งข่าววงในอยู่เสมอถึงได้เงียบหายไป นอกเหนือไปจากนี้ก็ไม่มีประเด็นสำคัญใหม่ๆอะไร

ก็ทำให้รู้สึกสบายใจอยู่ไม่น้อย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด