อธิษฐาน
ตอนที่ 1 กลิ่นหอม
เช้าวันเสาร์ต้นน้ำและแม่จะนำขนมไทยที่ทำเองมาขายที่ตลาด พร้อมรถเข็นคันเก่าที่ถูกใช้งานมามากกว่า 10 ปี แต่ยังดูสะอาดตา เพราะเจ้าของช่วยกันดูแลเป็นอย่างดี สองแม่ลูกเข็นรถเข็นมายังบริเวณตลาดสดที่เคยทำมาหากินอยู่เป็นประจำ วันหยุดแบบนี้ชาวบ้านก็จะออกมาจับจ่ายใช้สอยกันมากกว่าปกติ ทำให้ขนมไทยถูกขายจนใกล้จะหมดแล้ว
“ อ้าวตะวัน มาหาน้ำหรอลูก ”
“ ใช่ครับแม่ ผมกะว่าจะมาช่วยแม่กับน้ำขายขนมครับ ”
“ ขายใกล้หมดแล้วหละ ซันนั่งพักเถอะ ” ต้นน้ำบอกเพื่อนออกไปแบบนั้น เพราะไม่อยากให้เพื่อนต้องเหนื่อยในวันหยุด
“ ไม่เอาอะ อยู่บ้านก็เบื่อมากพอแล้ว มาถึงที่นี่ยังจะให้อยู่เฉยๆ อีกหรอ ” ตะวันทำหน้าทำตาเซ็งๆ ใส่เพื่อนรัก จนต้นน้ำต้องยอมให้ตะวันได้ช่วยขายขนม
ขนมไทยถูกขายจนหมดในเวลาต่อมา ก่อนที่ทั้งสามคนจะช่วยกันเก็บร้านและพากันเข็นรถเข็นกลับบ้านซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตลาดมากนัก แม่ของน้ำเข้าครัวทำกับข้าวสำหรับมื้อเย็นในวันนี้ ปล่อยให้ลูกชายและเพื่อนสนิทได้พูดคุยกัน
“ นี่ซัน จะเล่นกับเจ้าตัวเล็ก เจ้าตัวใหญ่ ไปอีกนานมั้ย ” ต้นน้ำถามเชิงเอ็นดู เมื่อเห็นตะวันเล่นกับเจ้าตัวเล็กแมวน้อยน่ารัก และเจ้าตัวใหญ่สุนัขตัวโต มาซักพักนึงแล้ว ก่อนที่ตะวันจะปลีกตัวออกมาล้างมือแล้วไปนั่งกับต้นน้ำ
“ ช่วยไม่ได้นี่นา ก็เจ้าตัวเล็ก เจ้าตัวใหญ่น่ารักซะขนาดนี้เป็นใครก็ต้องติดลมทั้งนั้นแหละ ” ต้นน้ำยิ้มชอบใจที่เพื่อนรักยังคงเอ็นดูสัตว์เลี้ยงของเขาอยู่
“ แล้ววันนี้จะกลับบ้านรึป่าว ”
“ ไม่อะ ซันขอนอนกับน้ำแล้วกันนะวันนี้ พรุ่งนี้เย็นๆ ค่อยกลับ ” ต้นน้ำยิ้มรับและพยัคหน้าเบาๆ เป็นการตกลง
แม่ของต้นน้ำเดินออกมาจากในครัวพร้อมกับอาหาร เด็กทั้งสองคนจึงลุกขึ้นไปช่วยนำอาหารและข้าวจากในครัวออกมาจัดเรียงบนโต๊ะอาหาร ทั้งสามคนกินข้าวร่วมกันอย่างเอร็ดอร่อยและมีความสุข หลังจากกินข้าวกันอิ่มแล้วก็ช่วยกันล้างจาน และพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
เป็นเวลาสี่ทุ่มแล้ว แม่ของต้นน้ำเข้านอนก่อนเพราะต้องตื่นเช้ามาทำขนมไทย เหลือเพียงต้นน้ำกับตะวันที่ยังนั่งเล่นดูทีวีอยู่ด้านล่าง
“ ก๊อก ก๊อก ก๊อก ”
“ ใครกัน มาเคาะประตูดึกดื่นขนาดนี้ ปกติที่บ้านน้ำไม่น่าจะมีแขกมาเวลานี้นี่นา ”
“ เราก็ไม่รู้เหมือนกัน ” น้ำจึงเดินไปที่หน้าประตูและถามว่าใคร
“ พี่เอง ขอโทษนะที่มารบกวนเวลานี้ ” น้ำเสียงที่คุ้นเคยทำให้ต้นน้ำและตะวันถึงกับตกตะลึง ก่อนที่ต้นน้ำจะรีบเปิดประตูเพื่อต้อนรับแขกที่มาเยือน ด้วยความดีใจ
ปรากฏชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลา ร่างกายกำยำไปด้วยมัดกล้ามเนื้อที่ใหญ่กำลังดี แต่งกายด้วยเสื้อเชิตแขนสั้นสีขาวและกางเกงขายาวทรงกระบอกสีดำ แม้จะเป็นการแต่งกายแบบธรรมดาทั่วไป แต่เมื่ออยู่บนเรือนร่างของชายคนนี้แล้วกลับทำให้เขาดูดีเป็นอย่างมาก เขาคือคนที่ต้นน้ำคิดเอาไว้ไม่ผิดจริงๆ ต้นน้ำยิ้มแก้มปริและไหว้ผู้มีอายุมากกว่าอย่างนอบน้อม เขา ดีใจที่ชายหนุ่มมาเยือน
“ พี่ชาย หายไปนานเลยนะครับ เข้ามาข้างในก่อนสิครับ ” ต้นน้ำเชิญแขกเข้ามานั่งในบ้าน
ตะวันยิ้มและไหว้ผู้มาใหม่ด้วยความดีใจเช่นกัน แม้ว่าการมาเยือนของเขาคนนี้จะสร้างความดีใจให้กับต้นน้ำและตะวัน ทว่าก็สร้างความประหลาดใจให้กับพวกเขาทั้ง 2 คนเช่นกัน
“ พี่ชายสบายดีไหมครับ ” ตะวันเอ่ยถาม
“ พี่สบายดี แล้วเราสองคนหละเป็นยังไงกันบ้าง ”
“ พวกเราสบายดีครับ พี่ชายหายไปนานมาก นึกว่าลืมพวกเราไปซะแล้ว ” ต้นน้ำทักท้วงด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองเล็กน้อย
“ พี่ไม่ได้ลืมพวกเราหรอก ช่วงนี้งานพี่เยอะมาก เลยไม่ค่อยมีเวลามาหาพวกเราเลย แต่ที่ต้องมาครั้งนี้ เพราะพี่จำเป็นต้องมา พี่รู้สึกไม่สบายใจ ”
“ ไม่สบายใจเรื่องอะไรหรอครับ เล่าให้พวกผมฟังได้รึป่าว ” ตะวันแค่อยากให้พี่ชายได้พูดระบายความรู้สึก เผื่อความไม่สบายใจนั้นจะเบาบางลงบ้าง
“ ช่วงนี้พี่ฝันร้าย ไม่ใช่แค่คืนเดียวนะ แต่เป็นเวลา 7 คืนติดต่อกันแล้ว ที่พี่ฝันร้ายเกี่ยวกับพวกเราสองคน พี่พยายามหาคำตอบแล้ว แต่กลับมองไม่เห็นอะไรเลย พี่ก็เลยต้องมาที่นี่ เพื่อมาเตือนพวกเราทั้งสองคน ” ผู้เป็นพี่ชายเล่าด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล
“ ขอบคุณพี่ชายมากนะครับที่มาบอกและมาเตือนพวกเรา พวกเราสัญญาว่าจะระมัดระวังตัวให้มากขึ้นครับ ” ต้นน้ำให้คำมั่นสัญญาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
“ พี่ชายไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมจะไม่ยอมให้ใครมาทำอันตรายพวกเราสองคนได้ง่ายๆ แน่ ” ตะวันเองก็รับปากด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นเช่นเดียวกัน
“ พี่จะคอยดูอยู่ห่างๆ หากมีสถานการณ์ที่เหนือบ่ากว่าแรงของพวกเราสองคน พี่จะรีบมาช่วยทันที แต่ตอนนี้พี่ต้องขอตัวกลับก่อน ไว้เจอกันใหม่นะ ”
ต้นน้ำและตะวันก็เดินไปส่งพี่ชายที่หน้าบ้านและกล่าวคำร่ำลากัน แล้วบุคคลที่ทั้งสองเรียกว่าพี่ชายก็เดินจากไปในเงามืด ก่อนที่ต้นน้ำและตะวันจะเดินกลับเข้าไปในบ้าน ห่างออกมามีร่างสูงสวมชุดดำยืนอยู่หลังต้นไม้ในความมืด เขาเฝ้าดูเหตุการณ์ในครั้งนี้มาโดยตลอด นับตั้งแต่ชายรูปงามมาเยือนที่บ้านหลังนี้
เสียงอึกทึกกึกก้องของคมดาบที่กำลังฟาดฟันกันของกองทัพทั้ง 2 ฝ่าย ทำให้หลายชีวิตต้องบาดเจ็บล้มตายในการต่อสู้ครั้งนี้ แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีฝีมือในการต่อสู้ที่เก่งกว่า แต่การสู้รบนั้นก็ดำเนินมานานมากแล้ว จนทำให้พวกเขามีกำลังอ่อนล้าและพลาดท่าถูกฆ่าตายไปเป็นจำนวนมาก อีกฝ่ายแม้จะไม่ได้มีฝีมือที่เก่งกาจแต่มีจำนวนคนมากกว่าจึงเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบ และกำลังไล่ต้อนอีกฝ่ายให้จนมุม แม่ทัพมองเห็นแล้วว่าฝ่ายของตนกำลังจะพ่ายแพ้ จึงตัดสินใจถอยทัพกลับคืนสู่ปราสาท และนำความขึ้นรายงานกับองค์ราชินีถึงความพ่ายแพ้ที่ได้รับ และจำนวนทหารที่เสียชีวิต องค์ราชินีเสียใจมากทีเหล่าทหารมากมายต้องมาจบชีวิตลงในสงครามครั้งนี้ น้ำตาเอ่อล้นออกมาด้วยความเจ็บปวด
“ เราจะทำอย่างไรดีท่านราชครู เราไม่ต้องการสูญเสียชีวิตไปมากกว่านี้แล้ว ”
“ เราทำอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้เลยองค์ราชินี ท่านต้องรอให้ผู้ที่ถูกเลือกฝึกมนตราได้สำเร็จก่อน เราจึงจะสามารถต่อสู้กับศัตรูได้อย่างไม่เป็นรอง ”
“ เราหวังว่าพวกเขาจะฝึกมนตราได้สำเร็จในเร็วๆ นี้ ”
องค์ราชินีต้องสั่งให้จัดทัพออกไปต้านศัตรูเอาไว้ในขณะที่รอผู้ที่ถูกเลือกฝึกมนตราให้สำเร็จ วันเวลาผ่านไปไม่นานนัก ราชครูก็นำความมารายงานต่อองค์ราชินีว่าบัดนี้ผู้ที่ถูกเลือกได้ฝึกมนตราจนสำเร็จแล้ว องค์ราชินีดีใจมากจึงสั่งให้ทหารไปตามองค์รัชทายาท องค์ชายและองครักษ์มาเข้าเฝ้าเพื่อปรึกษาหารือกันเรื่องการทำสงครามครั้งใหญ่ครั้งสุดท้าย
ชายร่างสูงใหญ่ประดับด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สูงคักดิ์เดินนำเข้ามาก่อน ทำให้รู้ได้ไม่ยากว่าสองคนนี้คือองค์รัชทายาทและองค์ชายอย่างแน่นอน ทุกๆ คนต่างแสดงความเคารพต่อผู้มาใหม่ทั้งสอง ตามมาด้วยชายร่างเล็กประดับด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ในระดับทหารชั้นสูง พวกเขาทั้งสองคนน่าจะเป็นองครักษ์อย่างแน่นอน องค์รัชทายาทและองค์ชายเข้าไปนั่งที่ของตนเองที่อยู่ใกล้ๆ กับแท่นบัลลังค์ของราชินี แล้วจึงทำความเคารพผู้ที่เป็นทั้งแม่และประมุขแห่งนคร องครักษ์ทั้งสองยืนอยู่ต่อหน้าองค์ราชินีและทำความเคารพ ราชินียิ้มด้วยความปลื้มปิติดีใจ
“ ในที่สุด วันที่ข้าและชาวเมืองทุกคนรอคอยก็มาถึงสักที ข้าดีใจเหลือเกินที่พวกเจ้าทั้งสองฝึกมหามนตราสุริยันจันทราได้สำเร็จ ”
“ พวกเรารู้ว่าองค์ราชินีและชาวเมืองทุกคนรอพวกเราอยู่ พวกเราจึงทุ่มเทเพื่อการฝึกอย่างหนัก ” หนึ่งในองครักษ์กล่าวขึ้น
“ บัดนี้ พวกเราสองคนพร้อมที่จะต่อสู้แล้ว องค์ราชินีโปรดจงได้บัญชามาเถิด ” องครักษ์อีกคนกล่าวขึ้นเช่นกัน
“ ถ้าเช่นนั้นข้าขอบอกให้ทุกท่านได้รู้ว่า ในการศึกครั้งหน้า ข้าจะนำทัพใหญ่ออกสู้ศึกครั้งสุดท้าย เราทุกคนจะร่วมต่อสู้ไปด้วยกัน เพื่อหยุดความกระหายอำนาจของท้าวมหากาฬให้จงได้ ” องค์ราชินีพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้กับทุกคน
“ ลูกจะขอสู้เคียงข้างท่านแม่และเหล่าทหารกล้าทุกคนเช่นกัน ”
“ ลูกก็จะสู้เพื่อปกป้องชาวเมืองของลูกเช่นกัน ” เสียงคมเข้มของทั้งสองคนพูดขึ้นอย่างหนักแน่นไม่น้อยไปกว่าผู้เป็นแม่เลยทีเดียว
“ ท่านราชครู ช่วยดูฤกษ์ยามสำหรับการทำศึกครั้งหน้าให้ด้วย ส่วนท่านแม่ทัพ ให้รีบจัดเตรียมทัพให้พร้อม ” ราชครูและแม่ทัพน้อมรับคำบัญญาของราชินี
“ เมื่อข้าได้ฤกษ์ที่ดีที่สุดแล้ว จะรีบแจ้งให้องค์ราชินีได้รู้โดยทันที ”
“ ขอบใจท่านมาก ท่านราชครู ” ราชครูก้มศีรษะน้อมรับ “ การศึกครั้งนี้ ไม่ใช่การต่อสู้ด้วยอาวุธเพียงแค่นั้น แต่ยังเป็นการต่อสู้ด้วยพลังเวทย์อีกด้วย และพวกเจ้าทั้งสองคนคือความหวังสูงสุดของพวกเรา ข้าขอฝากด้วยนะองครักษ์ผู้ถูกเลือก ” องครักษ์ทั้งสอง ก้มศีรษะน้อมรับคำบัญชาจากองค์ราชินี
สงครามครั้งสุดท้ายได้เกิดขึ้นแล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างพากันนำกองกำลังที่มีเข้าประจันหน้ากัน และดูเหมือนว่าท้าวมหากาฬจะมีกองกำลังที่เหนือกว่าด้วยจำนวนที่มากกว่า แต่ถึงกระนั้นองค์ราชินีและเหล่าทหารกล้าก็มิได้หวาดกลัวแต่อย่างใด ท้าวมหากาฬที่ได้เห็นใบหน้าขององค์ราชินีก็แค้นใจเป็นยิ่งนัก เรื่องราวในอดีตผุดขึ้นมาให้ระลึกถึงอีกครั้ง มันช่างยากที่จะลืมเลือนเหลือเกิน และเสริมให้ความโกรธนั้นยิ่งเพิ่มทวีคูณมากขึ้นเรื่อยๆ จนอยากจะฆ่านางให้ตายคามือ เขาทนไม่ไหวจึงสั่งให้กองทัพของตนบุกเข้าโจมตีทันที เมื่อเห็นฝ่ายตรงข้ามกำลังวิ่งเข้ามาหมายจะเอาชีวิต องค์ราชินีจึงไม่รีรอและสั่งให้กองทัพของตนเข้าต่อสู้เช่นกัน เหล่าทหารของทั้งสองฝ่ายเข้าฟาดฟันกันอย่างดุเดือด กลุ่มผู้ใช้พลังเวทย์ก็เข้าต่อสู้โดยใช้พลังเวทย์ ผู้คนล้มตายไปมาก เลือดนองแผ่นดิน แต่การต่อสู้ยังไม่จบสิ้นและยังคงดำเนินต่อไป ท่ามกลางเสียงหัวเราะสะใจของท้าวมหากาฬ และน้ำตาที่ไหลอาบแก้มองค์ราชินี
แสงอาทิตย์ในยามเช้า คือสัญญาณการเริ่มต้นวันใหม่ ต้นน้ำ ตะวัน และแม่ของต้นน้ำออกมาทำบุญตักบาตและกรวดน้ำเพื่ออุทิศผลบุญให้แก่ผู้ล่วงลับ ก่อนจะนำน้ำที่กรวดแล้วไปเทที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ จากนั้นแม่ของต้นน้ำก็แยกตัวออกไปเพื่อไปเตรียมขนมไทยขายในวันนี้ เหลือเพียงต้นน้ำและตะวันที่ยังคงนั่งคุยกันอยู่
ตะวันครุ่นคิดจนคิ้วขมวดเข้าหากัน “ มันแปลกมากเลยนะน้ำ ที่จู่ๆ เราก็ฝันเหมือนกัน ในคืนเดียวกันแบบนี้ ”
“ ใช่ มันแปลกมากจริงๆ แล้วมันก็เหมือนจริงมาก อย่างกับไม่ใช่ความฝัน ” ต้นน้ำตอบพลางนึกสงสัยไม่หาย
ตากลมใสลุกวาว ราวกับนึกอะไรบางอย่างออก “ งั้นเสาร์หน้า เราไปทำบุญที่วัดกันดีไหม ”
“ อื้อ… ก็ดีเหมือนกันนะซัน เราไม่ได้ไปทำบุญที่วัดกันนานแล้ว ” แววตานั้นดูมีประกายขึ้นมาทันที
สองคนเพื่อนรักยิ้มดีใจ เพราะนานมากแล้วที่พวกเขาทั้งสอง มัวหมกหมุ่นอยู่กับการเรียน และการอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย จนลืมไปเลยว่าปกติแล้วพวกเขาจะต้องชวนกันไปทำบุญที่วัดสัปดาห์ละครั้งเป็นอย่างน้อย การได้กลับไปทำบุญที่วัดในครั้งนี้ คงทำให้พวกเขาคลายกังวลจากฝันร้ายนี้ได้บ้าง
การเรียนในหนึ่งสัปดาห์ผ่านไปอย่างรวดเร็วจนถึงวันศุกร์ เย็นวันนี้ตะวันหอบเสื้อผ้ามานอนค้างคืนที่บ้านของต้นน้ำเพราะพรุ่งนี้เช้าพวกเขาจะไปทำบุญที่วัดด้วยกัน ในค่ำคืนนี้พวกเขาได้ฝันถึงการต่อสู้ของทหารทั้งสองฝ่าย และเห็นทหารมากมายที่นอนตายกันเกลื่อนกลาด มันคือฝันร้ายที่กลับมาตอกย้ำพวกเขาอีกครั้ง
เช้านี้คนขับรถที่บ้านของตะวันขับรถมารับต้นน้ำกับตะวันไปทำบุญที่วัด ขณะที่รถกำลังแล่นไปสู่จุดหมายปลายทางนั้น ตะวันก็เล่าให้ต้นน้ำฟังว่าแม่ของเขาได้แนะนำให้ไปทำบุญที่วัดนี้กับหลวงตาท่านนึง ดังนั้นวันนี้พวกเขาจึงได้ไปทำบุญที่วัดแห่งใหม่ที่ไม่เคยไปมาก่อน
คนขับรถจอดรถที่บริเวณหน้าวัด ต้นน้ำกับตะวันเดินเข้าไปในวัดพร้อมกับสิ่งของที่เตรียมมาทำบุญ พอเดินเข้ามาในวัดได้สักพักตะวันก็เหลือบไปเห็นชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง ที่ยืนหันหลังให้และกำลังกวาดลานวัดอยู่ ก็นึกขึ้นได้ว่าน่าจะเป็นเด็กวัดจึงบอกให้ต้นน้ำรออยู่ตรงนี้ก่อน แล้วตะวันก็เดินไปหาเด็กวัดเพื่อจะสอบถาม
กลิ่นหอมละมุน ฟุ้งเข้าไปในโพรงจมูกของชายร่างสูง กลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายกลิ่นดอกไม้ แต่ก็ไม่เคยได้กลิ่นดอกไม้ใดที่ละม้ายคล้ายคลึงกับกลิ่นนี้มาก่อน มันช่างเป็นกลิ่นที่หอมหวานและชวนหลงใหล เขายิ้มน้อยๆ ด้วยความพอใจ แล้วร่างกายทุกส่วนก็หยุดเคลื่อนไหวไปชั่วขณะ
“ นี่นาย ”
เสียงใสของตะวันทำชายร่างสูงใหญ่สะดุ้งตื่นจากภวังค์ เหมือนมีใครบางคนเรียกเขาจากทางด้านหลัง แต่ไม่รู้ว่าเรียกมานานรึยัง เพราะมัวแต่เคลิบเคลิ้มกับกลิ่นหอมนั่นจนทำให้ไม่รู้สึกตัว เขากลืนน้ำลายลงคอด้วยความรู้สึกประหม่า ก่อนจะหันกลับไปด้านหลัง นัยน์ตาคมจ้องมองใบหน้าหวานที่อยู่ตรงหน้า กลิ่นหอมนั้นยิ่งหอมกรุ่นละมุนมากขึ้นเรื่อยๆ หรือกลิ่นหอมนี้จะมาจากเจ้าตัวเล็กคนนี้ ตะวันเองก็จ้องใบหน้าคมแทบไม่กระพริบตาเช่นกัน แต่มิใช่เพราะหลงใหล แต่เป็นเพราะรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาราวกับว่าเคยเห็นนายคนนี้จากที่ไหนมาก่อน
“ น้องเรียกพี่หรือป่าวครับ ” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่สุภาพ
“ ใช่ พี่พอจะรู้ไหมว่าหลวงตาบัวท่านอยู่ที่ไหน ” ตะวันตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบ และฟังดูไม่เป็นมิตรสักเท่าไหร่
“ รู้ครับ มาทำบุญกันหรอครับ ” นัยน์ตาคมก็ยังคงพยายามพูดคุยด้วยน้ำเสียงที่สุภาพเช่นเดิม
“ ใช่ งั้นพี่พาพวกเราไปหาหลวงตาบัวหน่อยได้ไหม ”
“ ได้สิครับ เดี๋ยวตามพี่มา มีสิ่งของให้พี่ช่วยถือไหมครับ ”
“ ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่รออยู่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวผมไปเรียกเพื่อนก่อน ”
“ ครับ ” เขาเพียงแค่คิดว่าหากเด็กคนนี้เป็นน้องเป็นนุ่งของตัวเอง จะจับมาตีก้นซะให้เข็ด โทษฐานที่พูดจาไม่มีหางเสียงกับผู้ใหญ่ แต่ก็นั่นแหละ ทำได้เพียงคิดเท่านั้น
ชายร่างสูงใหญ่เดินนำหน้าพาเด็กหนุ่มตัวเล็กทั้งสองไปหาหลวงตาบัวที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ในกุฏิ พอไปถึงหน้ากุฏิเขาก็เข้าไปกราบหลวงตาและแจ้งว่ามีคนมาทำบุญ หลวงตาบัวจึงออกจากสมาธิแล้วบอกให้ชายร่างสูงใหญ่ไปพาคนที่รออยู่ด้านนอกเข้ามาทำบุญ
ต้นน้ำและตะวันทำบุญถวายสังฆทานและกรวดน้ำอุทิศบุญกุศลเหมือนที่เคยทำมาตลอด และนำน้ำที่กรวดแล้วไปเทใต้ต้นไม้ใหญ่ ก่อนจะกลับเข้ามาสนทนากับหลวงตา
“ หลวงตาครับ พวกผมสองคน ฝันไม่ค่อยดีเลยครับช่วงนี้ จะมีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นกับพวกเราหรือเปล่าครับ ” ตะวันเอ่ยถามด้วยความสงสัยและเป็นกังวล
“ โยมจะอยากรู้เรื่องของกาลภายหน้าไปทำไมกัน จงทำทุกปัจจุบันขณะ ให้พร้อมไปด้วยศีล สมาธิ และปัญญาเถิด ความดีจะเป็นเกราะคุ้นครอง สติจะช่วยให้ผ่านพ้นปัญหาและอุปสรรคต่างๆ เมื่อเวลานั้นมาถึง โยมทั้งสองก็ จะได้รู้ทุกอย่างเอง ”
ต้นน้ำและตะวันเข้าใจในคำพูดของหลวงตาบัว จึงไม่ได้พยายามที่จะซักไซ้ความใดต่อไปอีก เขาสองคนกราบลาหลวงตาแล้วเดินออกจากกุฏิไป เด็กวัดผู้นำทางกลับไปที่กุฏิหลวงตาบัวเพราะอยากจะถามไถ่อะไรบางอย่างกับเด็กหนุ่มที่มีกลิ่นหอม แต่กลับไม่เจอแล้ว หลวงตาบัวบอกว่าพวกเขาออกจากกุฏิไปได้สักพักนึงแล้ว ชายหนุ่มจึงรีบวิ่งออกไปตามหา เพราะคิดว่าบางทีเด็กหนุ่มสองคนนั้นอาจจะยังนั่งเล่นหรือเดินเล่นอยู่ภายในบริเวณวัด เขาวิ่งตามหาทั่วทุกมุมวัด แต่ก็ไม่เจอ เขาได้แต่พร่ำคิดว่าจะมีโอกาสได้สัมผัสกลิ่นหอมละมุนแบบนั้นอีกไหม มันช่างเป็นกลิ่นหอมที่น่าหลงใหลและรู้สึกคุ้นเคยมากเหลือเกิน
*********************************************************