Page #3 เผลอ
‘ภูมิๆ’
‘มีอะไรหรอตรี’
‘ถ้าเกิดเราโตขึ้นไปเราจะแต่งงานกันได้ไหม’
เด็กน้อยถามเพื่อนที่กำลังเล่นด้วยกันอยู่
‘ไม่ได้หรอก เราแต่งงานกันไม่ได้หรอกตรี’
เพื่อนตัวน้อยตอบกลับ นั้นทำให้เกิดความสงสัยในใจของเด็กน้อยดนตรีเหลือเกิน
‘ทำไมละภูมิ แม่เราบอกว่าถ้าเรารักละก็จะผู้ชายหรือผู้หญิงก็ไม่เป็นไรหรอก’
‘เหมือนที่พ่อของตรีเป็นผู้หญิงเหมือนกับแม่ของตรีน่ะเหรอ’
‘...’ เมื่อได้ยินดังนั้นนั้นเด็กน้อยถึงกับพูดอะไรไม่ออก
‘หรือตรีเป็นกะเทยอย่างงั้นเหรอ’
‘...’
.
.
.
‘นี่มึงเป็นเกย์จริงด้วยสินะ’
“ว้ากกกกกกก!” ผมสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝัน มันคือเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อสมัยเด็ก ตอนนั้นผมยังไม่ต่อยรู้เรื่องอะไรเท่าไหร่นัก พอเป็นตอนนี้เป็นอยากกลับไปตบกระบาลตัวเองให้หายปาดกเสียสักทีเหลือเกิน...
โดยเฉพาะคำพูดสุดท้าายในฝันนั้น...
ผมจำได้ดีมันคือตอนดนตรีบอกรักผม ทั้งที่ตอนนั้นผมไม่ควรจะพูดแบบนั้นออกไปแท้ พอนึกขึ้นมาได้แบบนี้แล้วมันรู้สึกผิดชะมัด
ก๊อกๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เข้ามาเถอะ” สิ้นเสียงของดนตรีก็เปิดประตูก่องเข้ามาด้วยสีหน้าตกใจ
‘มึงเป็นอะไรรึป่าว’
‘กูได้ยินเสียงมึงร้อง’
‘ก็เลยเข้ามาดู’
“อ่อ ไม่มีอะไรหรอก แค่ฝันร้ายน่ะ” ผมลอกปัดไป ไม่อยากจะให้ดนตรีรู้ว่าทำนึกถึงเรื่องเมื่อสมัยก่อน ดนตรีตอนนี้อยู่ในชุกนักศึกษาแล้วสวมผ้ากันเปื้อนสีฟ้าสดใสทับ “ว่าแต่ มึง...ทำกับข้าว?”
‘อืม’
‘ทำเสร็จแล้วละ ไปอาบน้ำแล้วมากินสิ’
‘เดี๋ยวจะได้ไปเรียนทันตอนบ่าย’
ผมหันไปดูนาฬิกา ตอนนี้ก็เกือบจะเที่ยงแล้ว นี่เมื่อคืนผมคงเมาหนักน่าดู ตอนนี้ยังรู้สึกปวดหัวตุ๊บๆอยู่หน่อยๆเลย
“รู้ได้ไงเนี่ยว่ากูมีเรียนตอนบ่าย”
‘เมฆไลน์มาบอก’
ไลน์... ไอ้เมฆเนี่ยนะ ขนาดเพื่อนอย่างผมมันยังไม่ให้ไลน์เลยนะ แล้วทำไมดนตรีถึงมีได้เนี่ย ยังไม่ทันได้ถามต่อดนตรีก็ปิดประตูใส่ผมซะก่อน
ผมลุกไปอาบน้ำแต่งตัวตามที่ดนตรีบอก เมื่อผมออกมาจากห้องก็เห็น กับข้าวหน้าตาน่าทานวางอยู่เต็มโต๊ะ ดนตรีนี่มันก็มีฝีมือเรื่องงานบ้านเหมือนกันนะเนี่ย ไม่เหมือนกันผมที่ห้องนี่มีครัวไว้ประดับ เพราะไปหาของกินที่ขนาดนอกตลอด ไม่เคยคิดที่จะทำอาหารเองหรอก กลัวว่าเดี๋ยวเสียเงินเข้าโรงพยาบาลอีกมันจะไม่คุ้ม
“มึงทำอะไรเยอะแยะเนี่ย กูว่ามึงกับกูกินไม่หมดหรอก” อาหารที่อยู่บนโต๊ะ มีทั้งหมดสี่อย่างแถมแต่ละอย่างนี่เต็มจานทั้งนั้น
‘กินไม่หมดก็เก็บไว้กินตอนเย็นสิ’
“ก็ปกติตอนเย็นก็ซื้อเข้ามากินนิ”
‘เออๆ ไม่กินก็เก็บเข้าตู้เย็นละกัน’
‘เดี๋ยวพรุ่งนี้กูกินเอง’
หืม พรุ่งนี้เหรอ ผมนึกว่ามันงอนผมแล้วบอกว่าจะมากินเองเย็นนี้ซะอีก ด้วยความสงสัยผมจึงถามมันไป “อ้าวแล้วมึงไม่กินเย็นนี้เหรอ ทำไมอ่ะ?”
‘เย็นนี้กูมีนัด’
อะไรว่ะ เมื่อคืนชวนไปเที่ยวหน่อยเดียวเย็นนี้มีนัดซะละ มันนี่ก็ไม่เบาเหมือนกันนะเนี่ย
“นัดสาวไว้ป่าวว่ะ กูไปด้วยได้ป่าว?” ผมพูดแซว
‘ไม่ใช่หรอก’
‘นัดไอ้หมอไว้น่ะ’
“ไอ้หมอเหรอ!” เพื่อนกลุ่มเดียวกันกับผมและดนตรี ผมรู้ว่ามันตอนนี้เรียนแพทย์อยู่ที่มหาลัยในกรุงเทพ แล้วผมก็ไม่ได้เจอมันมานานแล้วเหมือนกัน ก็อยากเจออยู่เหมือนกัน “เฮ้ย ถ้างั้นกูไปด้วยสิ”
‘จะดีเหรอ’
“แล้วทำไมถึงจะไม่ดีละ... หรือมึงไม่อยากให้กูไป” ผมพูดเสียงอ่อย
‘ป่าว จะไปก็ได้’
‘แค่นึกว่ามึงอาจมีนัด’
‘กับแฟนอะไรแบบนั้น’
“แฟนอะไรละ กูไม่มีหรอก” ดนตรีทำท่าเหมือนอยากเขียนอะไรซักอย่าง แต่เขาขย้ำกระดาษหน้านั้นทิ้งแล้วยักใส่กระเป๋าเสื้อ
‘ถ้างั้นเดี๋ยวเย็นนี้’
‘เรียนเสร็จจะทักไป’
“โอเคเลย” จากนั้นผมกับดนตรีก็ทานข้าวแล้วเดินมาไปที่มหาลัย แต่ก็เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น เมื่ออาจารย์ของดนตรีประกาศ
ยกคลาส
...ตอนแรกดนตรีมันบอกจะไปนั่งรอที่ห้องสมุด แต่ผมก็ไม่อยากให้มันไปนั่งรอคนเดียว สุดท้ายก็เลยจบด้วยการให้มันมานั่งเรียนในคลาสของผมด้วย โชคดีที่วิชานี้เรียนรวมห้องใหญ่ แถมอาจารย์ก็ใจดีเลยไม่ได้ว่าอะไร
“อ้าว ทำไมดนตรีมาอยู่ที่นี่ละ” ไอ้เมฆเดินส่งเสียงมาจากด้านหลัง จากนั้นมันก็แทรกตัวผ่านหน้าผม แล้วไปนั่งที่ข้างๆดนตรี ปกตินี่แม่งไม่เคยหรอกนั่งข้างๆอ่ะ ไม่นั่งด้านหน้าก็ด้านหลัง เหตุผลคือไม่อยากโดนรบกวน “ผมนั่งนี่ได้ใช่ไหม”
‘อืม ไม่มีใครนั่งหรอก’
‘พอดีอาจารย์ยกคลาสน่ะ”
‘ภูมิเลยให้มานั่งเรียนด้วย’
“อ่อ กำลังคิดถึงอยู่พอดีเลย” ห๊ะ เมื่อกี้ไอ้เมฆามันพูดว่าอะไรนะ ผมได้ยินไม่ค่อยชัดเท่าไหร่
แล้วตลอดการเรียนนั้นผมก็เห็นไอ้เมฆานั่งก้มหน้าอยู่แต่กับโทรศัพท์ทั้งคาบ ดนตรีเองก็หัวเหราะคิกคักอยู่ในลำคอให้ได้ยินเป็นช่วง ผมก็พยายามจะแอบดูละนะว่ามันคุยอะไรกัน แต่พอดีดนตรีมันติดฟิล์มกันเสือก ผมก็เลยมองอะไรไม่เห็นสักนิดเดียว
“เหอะ จีบกันสนุกเลยนะพวกมึง” ผมเผลอพูดออกไปด้วยความหมั่นไส้ ทั้งเมฆและดนตรีก็เลยหันมามองผมเป็นตาเดียว
“มึงมีอะไร” แม่ง... สองมาตรฐานจนอยากจะลุกไปต่อย
“คุยกันกะหนุงกะหนิงจังนะพวกมึง ไอ้เมฆมึงพึ่งเจอดนตรีแค่วันเดียวมึงก็จะจีบมันแล้วเหรอว่ะ”
“ถ้ากูจะจีบแล้วมึงจะทำไม”
“นี่มึงเป็นเกย์หรอ!”
ด้วยความลืมตัวผมเลยเผลอพูดเสียงดัง จนเพื่อนที่อยู่แถวถัดไปสามสี่แถวยังหันมา นั้นทำให้ผมรีบหุบปากไม่พูดอะไรต่ออีก จากนั้นก็มีแรงสะกิดที่แขนเสื้อผมสองสามที
‘ขอโทษ’
“เออ คือ...กู...” ผมผมนั่งมองข้อความนั้นของดนตรี ทั้งที่คิดว่าควรจะพูดอะไรซักอย่าง แต่อยู่ดีๆคำพูดมันก็ผลุบหายเข้าไปลำคอ นึกแล้วก็โทษตัวเอง ไม่ว่าจะครั้งไหนผมก็พูดคำนั้นออกมาไม่ได้ แค่คำว่าขอโทษง่ายๆ ผมนี่แม่งโครตเหี้ยเลยเนอะ
เหี้ยมาตั้งแต่เมื่อสมัยก่อนแล้ว...
...เมื่อประมาณ 3 ปีก่อน
วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการสอบในภาคเรียนที่สอง หลังจากวันนี้ไปภาคภูมิจะต้องย้ายบ้านไปอยู่จังหวัดอื่นไกลจากที่นี่มาก ดนตรีอาจจะมีโอกาสได้เจอกับภาคภูมิยากขึ้น หรือถ้าโชคร้ายหน่อยก็อาจจะไม่ได้เจออีกเลย
ตอนนี้ทั้งสองคนกำลังนั่งพักเหนื่อยอยู่อัฒจรรย์ เวลานี้ไม่ค่อยมีนักเรียนอยู่แล้ว จะมีก็คงพวกเขากับพวกผู้ชายกลุ่มอื่นที่เล่นฟุตบอลอยู่ที่สนาม
“อ่า เหนื่อยชะมัดเลยแหะ” ภาคภูมิพูดพร้อมกับยกน้ำขึ้นดื่ม
“วันนี้มึงคึกอะไรเนี่ย เอ้า” ดนตรียื่นผ้าเช็ดเหงื่อให้
“ขอบใจ ก็ต้องคึกหน่อยสิว่ะ ก็...” ภาคภูมิมองไปที่รอบ ตั้งแต่วันนี้เขาก็ะไม่ได้กลับมาที่คุ้นเคยแห่งนี้อีกแล้ว “กูเหงาน่าดูเลย”
“งั้นก็อย่าไปสิ...” นั้นคำพูดหยอกที่ภาคภูมิได้ยิน แต่เขาไม่รู้หรอกว่าดนตรีภาวนาให้มันเป็นจริงขนาดไหน “ภูมิ...”
“หืม..”
“มึงจำตอนเด็ดๆได้ม่ะ ตอนนี้กูถามว่าถ้าโตไปแล้วเราจะแต่งงานไปกันได้ไหม”
“กูเลยถามมึงกลับไปว่ามึงเป็นกะเทยเหรอ”
“แล้วก็โดนกูเอาของเล่นฟาดจนร้องไห้”
“ฮ่าฮ่า/ฮ่าฮ่า”
“ตั้งแต่ตอนนั้นกูก็เข้าใจอะไรมากขึ้นหลายอย่างแล้วละ” ดนตรีพูดพร้อมกับยิ้มอย่างมีความสุข พร้อมมองไปยังภาคภูมิ
“ถ้างั้นกูจะรอไปงานแต่งมึงละกันนะ”
“มึงคงไม่ได้ไปหรอก... ไอ้ภูมิ” ภาคภูมิเงียบเพราะนัยน์ตาของดนตรีที่มองมาที่เขา
“...กูรักมึง”
หลังจากคำนั้นออกมาจากปากของดนตรี ทั้งสองคนก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนทีจะมีเสียงของคนหนึ่งดังขึ้น
“นี่มึงเป็นเกย์จริงๆสินะ” ดนตรีหน้าตึงไปหมด “ไอ้ตรีมึงเป็นเกย์จริงๆด้วย กูว่าแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เสียงของภาคภูมิดังไปทั่วสนามบอล ทำให้ผู้คนหันมาทางเขา ดนตรีหน้าเสียอายจนอยากกลั้นใจตามมันตรงนั้น คำพูดของภาคภูมิยังคงออกมาเรื่อยๆ จนหมอกับไกด์ต้องเดินมาห้าม
“ไอ้เหี้ยภูมิ! มึงเงียบปากเดี๋ยวนี้!” หมอเอามือปิดปากภาคภูมิอย่างแรง
“ตรีมึงไหวรึป่าว” ไกด์เข้าไปดูดนตรีที่ร่างสั่นเทาไปทั้งตัว “มึงกลับไปก่อไป เดี๋ยวพวกกูจัดการไอ้ภูมิเอง”
ดนตรีสะพายกระเป๋าแล้วเดินเข้าไปใกล้ๆภาคภูมิ ก่อนที่จะพูดออกมาเบาๆ
“ขอโทษ...”
จากนั้นเขาก็รีบวิ่งเพื่อออกไปจากที่ตรงนี้ ภาคูมิใช้แรงแกะปิดที่ปิดปากตัวเองเอาไว้ออก
“มึงปิดปากกูเอาไว้ทำเหี้ยไรเนี่ย!”
“มึงยังจะมีหน้ามาถามมีนะไอ้ชาติหมา มึงดู! มึงดูสิ่งที่มึงทำลงไป!” ภาคภูมิกวาดสายตาดูเหล่าผู้คนที่มองมายังตัวเอง และเมื่อกี้ดนตรีเองก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกัน “มึงจะประกาศให้คนอื่นเค้ารู้ทำไม! ไอ้เหี้ย!”
“กู...ไม่ได้ตั้ง ก็กูรู้สึกเขิน”
“แล้วไอ้ตรีมันเขินกับมึงไหมห๊ะ ชิบ! ไอ้เหี้ยภาคภูมิมึงจะไปไหน!” พาคภูมิอาศัยจังหวะที่หมอคลายแรง สลัดให้หลุดจากการถูกล็อค เขารีบตรงไปทางที่ดนตรีวิ่งไปทันที “ไอ้...!”
หมอหมดคำพูดที่จะด่า จะตามไปก็คงไม่ทันเพราะงั้นก็เลยทำได้แค่เก็บกระเป๋าเอาให้ ภาคภูมิวิ่งตามด้วยความเร็วที่มากกว่าของดนตรี ทำให้เขาตามได้ไม่นานนัก
“ไอ้ตรีรอกูก่อน!”
แน่นอนว่าคำพูดคงทำไม่ได้ ภาคภูมิจึงเร่งฝีเท้าให้ไวขึ้นจนพอที่จะคว้าแขนของดนตรีเอาไว้ได้ แรงทำให้ดนตรีเสียหลัก โชคดีที่ภาคภูมิใช้อ้อมแขนรับไว้ได้ทัน ดนตรีเงยหน้าที่คราบน้ำเปรอะตรงแก้มขึ้น เขารีบผละออกจากภาคภูมิ แล้วให้แขนเช็ดน้ำตาอย่างแรงจนใบหน้าแดงก่ำ
“ตรี คือ.. กูขะ” ยังไม่ทันทีจะได้พูดเขาก็ถูกเสียงของดนตรีแทรกขึ้นมาก่อน
“ไม่ มึงไม่ต้องขอโทษ ฮึก.. กูผิดเองแหละ”
“ดนตรี...”
“กูขอถามอะไรมึงหน่อยได้ไหม..”
“...”
“มึงกับกูจะยังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมได้รึป่าวว่ะ’
“...ทำไมมึงพูดแบบนั้นว่ะ”
“มึงก็รู้อยู่ว่าที่กูพูด...มันหมายถึงอะไร”
“เฮ้ย ทำไมพูดแบบนั้นว่ะ ถึงมึงจะเป็นอะไร มึงก็ยังเป็นเพื่อนกูเหมือนเดิมนั่นแหละ”
“กูขอโทษ...”
“ขอโทษ? ขอโทษเรื่องอะไรว่ะ?”
“ขอโทษที่กูเป็นแบบนี้...”
“…”
“ขอโทษที่กูรักมึง” การกล่าวโทษตัวเองของดนตรียังคงดำเนินต่อไปเรื่อย “ขอโทษที่กูเป็นเกย์! ขอโทษที่กูไม่เคยว่ากับมีงแค่เพื่อน! ขอโทษ...!”
เสียงของดนตรีหายไปเมื่อริมฝีปากเขาไปอาจขยับได้อีก เพราะมันได้ถูกประกบโดยคนที่อยู่ตรงหน้า ดนตรีตกใจมากเกินกว่าที่จะตอบสนองอะไร เมื่อภาคภูมิถอนริมฝีปากออก ดนตรีก็ยังคงยืนนิ่ง
“กูนึกไม่ออกว่าทำให้มึงหยุดพูดยังไง... ทีนี้มึงจะได้ฟังกูพูดบ้าง”
“...”
“มึงเป็นเพื่อนคนสำคัญของกู กูผิดเองที่พูดออกไปแบบนั้น กูก็แค่... เออ กูเขินน่ะ ที่มึงมาพูดกับกูตรงๆแบบนั้น”
“...”
“แต่ตอนนี้กูคงตอบรับรักของมึงไม่ได้จริงๆ...”
“มึงนี่มันเหี้ยจริงๆ ฮึก มาให้ความหวังกูแล้วก็มาหักอกกันแบบนี้”
“เออ ด่ากูมาเถอะ ...!”
คราวนี้เป็นดนตรีที่ประกบปากของภาคภูมิอย่างไม่ให้เขาตั้งตัว ก่อนที่จะผละออกมา น้ำตาของดนตรียังคงไหลอแกมาอยู่เรื่อย แต่มันต่างไม่จากเมื่อกี้
“กูจะถามมึงอีกครั้ง... กูกับมึงจะยังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมอยู่รึป่าว”
“เหมือนเดิมสิ” ภาคภูมิยืนยันอย่างหนักแน่นให้สมกับชื่อจองตัวเอง
“แต่เพื่อนเขาไม่จูบกันหรอกนะ”
“ถือว่าจูบให้กับมิตรภาพของเราละกันนะ”
“หึหึ แล้วกูจะตัดใจจากมึงยังไงดีละเนี่ย ไอ้บ้า”
รอยยิ้มและเสียงหัวเราะปรากฎบนใบหน้าของดนตรีอีกครั้ง ดนตรีน่ะเหมาะกับรอยยิ้มและความสุขมากที่สุด
แต่สิ่งที่ภาคภูมิยังไม่เข้าใจนั้นก็คือจูบแรกที่เขา เผลอทำไปโดยไม่ได้คิดนั้น สรุปแล้วมันมีความหมายว่าอะไรกันแน่ มันใช่จูบเพื่อปิดปากอีกฝั้งจริงๆเหรอ...
...ใช้ความรู้สึกของเพื่อนจริงๆรึป่าว