Top Secret
ความลับ
“คุณท่านครับมีจดหมาย”
จดหมายสีแดงสดถูกส่งไปยังชายหนุ่มดูมีอายุ ปีนี้เขาอายุสี่สิบเก้าแล้ว แต่ทว่ากาลเวลาไม่อาจพรากความเยาว์ไปจากเขาได้เลยจริง ๆ
เสียงลมปากพรูดออกหลังจากจดหมายสีแดงสดถูกเปิดผนึกอ่าน
“ถึงเวลาแล้วสินะ...”
“ราเชนทร์ ไปเรียกเด็ก ๆ มาพบฉัน”
“ครับนายท่าน”
ตระกูลลามัวร์เอลเป็นตระกูลติดอันดับรวยที่สุดในประเทศ อีกทั้งยังเป็นที่นับหน้าถือตา ไม่ว่าจะหยิบจับอะไร ทุกวงการสำนักข่าวต่างก็ให้ความสนใจเป็นพิเศษ
หลายบริษัทขนานนามว่าลามัวร์เอลเปรียบเสมือนราชสีห์ตัวแรกของวงการธุรกิจ แต่หารู้ไม่ ทุกความสำเร็จมีความลับซ่อนอยู่...
...
..
.
“นายน้อยถึงแล้วครับ”
“ขอบคุณครับ” ว่าจบผมก็เปิดประตูรถลงมา
ผมหยุดยืนมองปราสาทหลังใหญ่ ใครจะไปคิดกันว่าในป่าลึกขนาดนี้จะมีคนอาศัยอยู่
“คุณนาธานสินะครับ เชิญทางนี้” หลังลงจากรถได้ไม่นาน พ่อบ้านก็เดินออกมาต้อนรับ ปราสาทหลังใหญ่มาก แต่ทว่ามันกลับวังเวงอย่างบอกไม่ถูก
เพียงเท้าก้าวเข้ามาในตัวปราสาทความรู้สึกเย็นวาบก็ปะทะร่างกายให้รู้สึกหนาวสั่น ผมคิดว่าในนี้จะมีคนอยู่เยอะเสียอีก แต่เปล่าเลย ทุกอย่างดูสงบเงียบราวกับปราสาทร้าง
“นี่เป็นห้องของคุณ”
ผมยืนตะลึงกับห้องนอนของตัวเอง มันใหญ่ราว ๆ ห้องนอนที่บ้านผมสองห้องนอนเห็นจะได้ ทุกอย่างถูกตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สไตล์อังกฤษ กลางห้องมีเตียงนอนกว้างขวางผ้าปูสีแดงเข้มเข้ากับม่านสีครีมที่ย้อยลงมาอย่างสวยงาม บนหัวนอนมีหน้าต่างบานใหญ่ และมีผ้าม่านสีทึบขนาบอยู่ ในนี้มีของอำนวยความสะดวกครบแทบทุกอย่าง ต่อให้ต้องติดอยู่ในห้องเป็นเดือน ๆ ก็ไม่รู้สึกเบื่อ
“ขอบคุณครับ”
“รายละเอียดและข้อปฏิบัติอยู่ที่แฟ้มบนหัวนอน รบกวนคุณช่วยอ่านให้ครบด้วยนะครับ”
“ครับ”
“ส่วนกฎที่นี่มีเพียงข้อเดียว...”
“...?”
“ห้ามออกนอกห้องหลังพระอาทิตย์ตกดิน กฎเพียงข้อเดียวผมหวังว่าคุณจะทำได้”
“ทราบครับ” พ่อบ้านโค้งตัวลงหนึ่งครั้งก่อนจะเดินหายออกไปจากห้อง เหลือเพียงผมคนเดียว
ว่าแต่ผมคือใคร เหตุใดถึงต้องมาอยู่ที่นี่ล่ะ?
‘นาธาน’ มันคือชื่อที่ผมถูกเรียกตั้งแต่ที่ผมตัดสินใจมาที่นี่ แต่ความจริงแล้วนั่นไม่ใช่ชื่อผมหรอก เพราะผมชื่อ ‘นิโคลัส’
ตระกูลลามัวร์เอลเป็นตระกูลใหญ่ที่มีสิ่งที่สืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่น สำหรับพ่อกับแม่ผมเรียกมันว่าความสำเร็จ แต่ผมเรียกมันว่าคำสาป
เมื่อถึงเวลาที่ลูกของคนในตระกูลอายุครบสิบเก้าปี จะมีจดหมายส่งมาเพื่อให้ทางตระกูลส่งลูกชายมาที่ปราสาทแห่งนี้ เพื่อแลกกับความสำเร็จที่คนรุ่นแรกทำพันธสัญญาไว้
หากว่ารุ่นไหนมีลูกมากกว่าหนึ่งคน คนเป็นน้องจะต้องถูกส่งมาแต่กรณีผมกับนาธาน เราเป็นฝาแฝดกันจะถูกเลือกโดยใครบางคนที่ผมเองก็ไม่รู้จัก และเขาเลือกนาธาน
นาธานเป็นคนฉลาด เขามีความฝันและสิ่งที่อยากทำ ต่างจากผมที่ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร หรืออยากทำอะไรด้วยซ้ำ ผมจึงเสียสละที่จะมาอยู่ที่นี่เสียเอง ยังไงซะก็คงไม่มีใครแยกเราสองคนออกอยู่แล้ว คนที่ถูกส่งมาที่นี่จะถูกเรียกว่า อาหาร...
ผมเองก็ไม่เข้าใจคำนี่เหมือนกัน เขาจะกินผมงั้นเหรอ?
แฟ้มสีน้ำเงินวางอยู่บนหัวเตียงถูกกางออกเพื่ออ่านเอกสารข้างใน นั่งพิจารณาอยู่นานก็รู้สึกแปลกใจบางข้ออยู่บ้าง อย่างเช่นข้อสาม ทุก ๆ อาทิตย์ จะมีหมอเข้ามาเก็บเลือดของผม
ผมจะไม่ตายก่อนใช่ไหม ว่าแต่เขาจะเอาเลือดผมไปทำอะไรกัน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
“ขออนุญาตเข้าไปนะคะ”
“ครับ”
ประตูเปิดออกเพียงเล็กน้อย สาวใช้เดินเข้ามาสามคน ในมือของแต่ละคนถือของเข้ามาด้วย มันเป็นเสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยน
สาวใช้สองคนเดินแยกตัวไปยังอ่างอาบน้ำ เขาเปิดน้ำเสียงดังไปทั้งห้อง ที่เป็นอย่างนั้นเพราะอ่างแช่ของที่นี่อยู่กลางห้องน่ะสิ ดีที่ยังมีฉากกั้นเอาไว้ กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกไม้ลอยขึ้นมาแตะจมูก มันถูกผสมลงในอ่างอาบน้ำ
“ได้เวลาทานยาแล้วค่ะ” นี่ก็เป็นอีกข้อที่ผมไม่เข้าใจ ทำไมผมต้องทานยาแปลก ๆ นี่ทุกวัน
“ยาอะไรเหรอครับ” ผมว่า
“มันคือยาบำรุงเลือดค่ะ คุณท่านต้องทานทุกวัน พรุ่งนี้จะมีคุณหมอเข้ามารับเลือด”
“อ๋อ ครับ” ผมพยักหน้ารับ แล้วจัดการเอายาเม็ดสีแปลก ๆ กลืนลงคอพร้อมกับดื่มน้ำ “ดะ...เดี๋ยวว” ผมร้องเสียงหลงเมื่อจู่ ๆ เธอก็เดินเข้ามาจัดการกับเสื้อผ้าที่ผมสวมอยู่
“ดิฉันเพียงจะช่วยเท่านั้นค่ะ ไม่มีอะไร”
“คือผมทำเองได้ พวกคุณออกไปเถอะ”
“ไม่ได้ค่ะ นายท่านสั่งเอาไว้พวกเราขัดคำสั่งไม่ได้”
ให้ตาย ที่นี่อยู่กันโดยระบบเผด็จการหรือไง คนมีอำนาจสูงสุดจะทำอะไรก็ได้งี้เหรอ
“ผม...ผมถอดเองก็ได้ แต่พวกพี่ช่วยหลับตาก่อนได้ไหม ผมขอลงไปในน้ำก่อน” เธอยิ้มกลับมาก่อนจะเดินไปบอกให้สาวใช้อีกสองคนยืนหันหลัง
ผมจัดการปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกทีละชิ้นจนร่างกายเปลือยเปล่า ปลายเท้าค่อย ๆ สัมผัสกับผิวน้ำสีขาวนม แล้วจึงทิ้งตัวลงนั่ง กลีบดอกไม่สีสวยลอยอยู่ในน้ำให้กลิ่นหอมอ่อน ๆ สดชื่น
“ผมลงน้ำแล้วครับ” สาวใช้ทั้งสามหันหน้ากลับมา และเริ่มลงมือปรนนิบัติผิวอย่างเบามือ
ก็ถือว่าการมาที่นี่ก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิดไว้แฮะ...
...
..
.
“อ๊ะ!”
“ยังไม่ชินอีกเหรอครับ”
“เอ่อ คือผมแค่ตกใจน่ะ” ผมว่า
นี่เป็นอาทิตย์ที่สี่แล้วที่ผมอยู่ที่นี่ และนี้ก็เป็นครั้งที่สี่เช่นกันที่ผมต้องให้เลือด มันน่าแปลกมากที่ผมให้เลือดทุกอาทิตย์ แต่ผมกลับไม่รู้สึกว่าร่างกายผิดปกติ ตรงกันข้ามผิวพรรณกลับดูสดใสกว่าเมื่อก่อนด้วยซ้ำ มันจะเป็นไปได้ไหม ที่ผมไม่รู้สึกว่าร่างกายตัวเองแย่ลงจะเป็นเพราะยาบำรุงที่ทานอยู่ทุกวัน...
ทั้งหมดที่ว่ามามันเป็นเพียงการสันนิษฐานของผมเท่านั้น
เย็นวันนี้หลังจากทำกิจวัตรเช่นทุกวันเสร็จ ผมจึงหยิบหนังสือที่เอามาจากห้องสมุดเมื่อสองวันก่อนขึ้นมาอ่าน เนื้อเรื่องกำลังเข้มข้นจนไม่อาจวางมันลงได้ แต่ทว่ามันดันจบลงด้วยความค้างคาใจ ในวันนี้ทำให้ผมรู้ว่า ผมตัดสินใจผิด...
ผมแง้มประตูออกเล็กน้อยก่อนจะชะโงกหน้าออกไป “เอ่อ มีใครอยู่หรือเปล่าครับ”
เงียบกริบ...
สายตาพยายามปรับโฟกัสให้เข้ากับความมืด มันทั้งเงียบ ทั้งมืดราวกับว่าในที่แห่งนี้มีผมอยู่คนเดียว ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าข้างนอกห้องในยามที่ไร้แสงของดวงอาทิตย์จะมืดถึงเพียงนี้
ผมดึงตัวเองกลับเข้ามา ปิดประตูห้องอย่างเบามือ เอาอย่างไรต่อดี...เราจะเดินออกไป หรือว่าจะรอพรุ่งนี้เช้า
ในใจเขาคิดวกไปวนมาจนในที่สุดความต้องการมันมีมากกว่าความกลัว เขาตัดสินใจก้าวเท้าออกนอกประตูห้องของตัวเอง มีเพียงตะเกียงอันเล็กเท่านั้นที่พอให้แสงสว่างแก่เขา
ผมทำผิดกฎ แต่มันจะแค่ไหนกันเชียว เดินมาได้สักพัก เขาก็รู้สึกว่ามันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด คนแก่พวกนั้นคงกลัวผมจะขโมยของในบ้านแล้วหนีไปล่ะมั้ง ถึงได้สั่งห้ามไม่ให้ออกจากห้องหลังพระอาทิตย์ตก น่าแปลกหากพวกเขากลัวจะเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น ทำไมในตอนกลางคืนแบบนี้กลับไม่มีใครอยู่สักคนเดียว
ไม่นานผมก็พาตัวเองมาถึงห้องสมุดในตัวปราสาท เมื่อเปิดประตูเข้าไปด้านในกลับมีแสงเทียน มันไม่ได้มืดสนิท หรือสว่างจ้ามากนัก
ซวยแล้วนิโคลัสนายถูกพ่อบ้านจับได้...
ตึง!
เสียงจากมุมมืดดังขึ้นทำเอาคนที่ยืนอยู่หน้าประตูตัวเกร็ง
“ฉันได้กลิ่น...” เสียงทุ้มนิ่งเรียบเอ่ยออกมา ผมไม่คุ้นหูเลย แต่ทว่าร่างกายกลับมีปฏิกิริยาแปลก ๆ
มันรู้สึกหนาว ใจมันหวิว ร่างกายเหมือนกำลังสั่นอยู่หน่อย ๆ ผมรู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูก
“คุณ...คุณเป็นใครครับ” นิโคลัสทำใจดีสู้เสือถามออกไปตรง ๆ ไหน ๆ ก็ถูกจับได้แล้วนี่
“ฉันได้ยินเสียงหัวใจ...”
“คุณพูดอะไรผมไม่เข้าใจ”
พรึ่บ! เพียงชั่วพริบตา ผมก็ถูกอะไรบางอย่างเข้าจู่โจม จนล้มลงนั่งกับพื้น นิโคลัสกอดหนังสือที่ถือติดมาแน่นด้วยความกลัว
ตะเกียงที่ถือมาด้วยร่วงลงพื้นโชคยังดีที่มันยังไม่ดับ แต่นิโคลัสกลับคิดว่าหากมันดับลงแล้วรีบวิ่งหนียังจะดีเสียกว่า เงาของใครบางคนตรงหน้ากำลังเดินเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ เขาพยายามกระถดตัวหนี หัวใจก็พลันเต้นเร็วไม่เป็นจังหวะ
“เจ้าเป็นใคร”
“ผม...ผมชื่อนาธาน” เขาตอบเสียงสั่นเครือ
“โกหก คิดว่าข้าโง่งั้นเหรอ”
“ผมเปล่านะ” เขารู้ดีว่าเขาโกหก ก็ในเมื่อนาธานคือชื่อของน้องชายฝาแฝดของเขา
ร่างสูงหยุดลงตรงหน้า เขาคุกเข่าลงกับพื้นก่อนจะถูกฝ่ามือหนาช้อนปลายคางของคนที่กำลังหวาดกลัวจนตัวสั่น
ฝ่ามือนั่นเย็นราวกับร่างไร้วิญญาณ แต่เขาก็ต้องชะงักเมื่อสัมผัสถึงน้ำตาอุ่นที่ไหลลงมากระทบฝ่ามือ
“เจ้าร้องไห้ทำไม นิโคลัส”
คนตัวเล็กเบิกตาโพลง เขารู้ได้อย่างไรว่าผมไม่ใช่นาธาน ทั้งที่พ่อแม่แท้ ๆ ของเขายังเรียกชื่อลูกผิดในบางคราวเลยด้วยซ้ำ
“คุณทำให้ผมกลัว”
“หึ กลัวงั้นเหรอ” นั่นเป็นครั้งแรกที่นิโคลัสเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัด เพราะเขาขยับใบหน้าเข้ามาใกล้
ดวงตาสีน้ำเงินครามของเขาเหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่าง นิโคลัสถึงกับจ้องอย่างไม่ลดละ เขารู้สึกว่ามันคล้ายกับห้วงทะเลลึก ภายใต้ดวงตาสีครามแอบซ่อนบางอย่าง ผมสีแดงเพลิงยาวสลวยราวกับผมของสตรี มันช่างขัดรับกับดวงตาคู่นี้เหลือเกิน “กลัวแล้วไยเจ้าถึงได้แหกกฎออกมาจากห้องของตัวเอง”
“ผมแค่ต้องการมาเอาหนังสือ” นิโคลัสยื่นหนังสือส่งไป เป็นการยืนยันว่าตนไม่ได้เข้ามาเพื่อขโมยอะไร
“เจ้าอ่านมัน?”
“ใช่ มันจบแล้วผมต้องการเล่มสุดท้าย แต่ผมรอให้พระอาทิตย์ขึ้นไม่ไหว จึงยอมแหกกฎออกมา แต่ผมยืนยันได้นะครับ ผมไม่ได้มาขโมยอะไรในปราสาทหลังนี้แน่นอน”
“เจ้าจะเอาอะไรมายืนยันความบริสุทธิ์ แล้วทำไมข้าต้องเชื่อเช่นนั้น”
“ด้วยชีวิตของผม หากผมต้องการจะทำแบบนั้นจริง ผมคงไม่ปล่อยให้ตัวเองอยู่ที่นี่มาร่วมเดือน”
“ชีวิตงั้นเหรอ ช่างเป็นอาหารที่น่าขำเสียจริง...เอาเป็นว่าข้าถูกใจเจ้า" เขาว่าพลางยกยิ้มชวนสยอง เขาบอกว่าผมเป็นอาหารงั้นเหรอ "พรุ่งนี้เวลาเดิมออกมาพบข้าที่นี่อีกสิ ในห้องนี้ยังมีหนังสือที่เจ้าอาจจะชอบอยู่”
“คุณพูดว่าผมเป็นอาหาร คุณจะไม่กินผมใช่ไหม”
“คงต้องขุนให้อ้วนกว่านี้อีกสักหน่อย กินเจ้าตอนนี้ก็คงมีแต่กระดูก” ได้ยินดังนั้นนิโคลัสถึงกับหน้าซีดเผือด นี่เขาเป็นอาหารจริง ๆ งั้นเหรอ หรือว่ายาบำรุงนั่นจะทำให้ผมอ้วนขึ้น “อะไรกัน เจ้าเชื่อแบบนั้นจริง ๆ เหรอ ฮ่า ๆ ๆ” ชายแปลกหน้าหัวเราะรวนหลังจากเห็นสีหน้าของนิโคลัสเปลี่ยนไป
“ผมง่วงแล้ว ผมขอตัว...” ว่าจบนิโคลัสก็ลุกพรวดออกมาจากห้องสมุดทันที
เขาสาวเท้าตรงมายังห้องของตัวเองโดยไม่สนใจว่าตนเองจะเดินชนอะไรจนล้มลงในความมืด เมื่อเขาพาตัวเองมาถึงจุดหมาย กลอนประตูหน้าต่างทุกบานก็ถูกล็อกแทบจะในทันที ม่านหนาถูกรูดรั้งปิดสนิทจนมองไม่เห็นด้านนอก เขาทิ้งตัวนอนลงบนเตียงนุ่ม เปิดไฟบนหัวเตียงให้สว่างอยู่ตลอดเวลา
นิโคลัสพยายามข่มตาให้หลับลง ในหูยังได้ยินเสียงแววดังอยู่ เขาเป็นอาหารอีกไม่นานเขาต้องถูกกินแน่
คืนนี้ช่างเป็นคืนที่ยาวนานเหลือเกินสำหรับนิโคลัส แต่ในท้ายที่สุดก็ไม่มีอะไรหยุดธรรมชาติของมนุษย์ได้ ไม่นานเขาก็จมลงสู่ห้วงนิทรา...
อาเชอร์รู้สึกถูกใจอาหารคนใหม่ของเขาเป็นอย่างมาก แม้ประตูหน้าต่างจะถูกล็อกอย่างแน่นหนาก็ไม่สามารถปิดกั้นให้เขาเข้าไปได้ อาเชอร์เดินเข้าไปใกล้คนตัวเล็กที่กำลังหลับสนิท เขาเผลอหลุดยิ้มออกมาเพราะนิโคลัสเอาผ้านวมพันตัวเองจนม้วนกลม
เขารู้ว่านี่ไม่ใช่นาธาน คนที่ถูกเลือกให้เป็นอาหาร เขารู้ได้อย่างไรน่ะเหรอ
หึ! ไม่มีอะไรในปราสาทแห่งนี้ที่อาเชอร์จะไม่รู้
“เจ้าไม่ร้อนหรือไงกันนะ” เขาพูดออกมาในลำคอ ก่อนจะใช่ฝ่ามือเกลี่ยเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนก่อนจะใช้หลังมือคลอเคลียพวงแก้มใส
นิโคลัสสัมผัสได้ถึงความเย็นจึงยิ่งขยับใบหน้าตัวเองเข้าหา เมื่อหัวค่ำยังกลัวเขาจนร้องไห้อยู่แท้ ๆ ดูตอนนี้สิเจ้ามันเป็นอาหารที่โง่สิ้นดี แต่กลับถูกใจข้าอย่างบอกไม่ถูก
อาเชอร์ยังจำกลิ่นแรกที่เขาสัมผัสได้ กลิ่นผิวเนื้อที่ไม่ได้กลิ่นมาเนิ่นนาน เสียงหัวใจที่เต้นระส่ำด้วยความกลัว นี่สินะที่เรียกว่ามนุษย์ มีหัวใจ และวิญญาณ
เขายังคงรู้สึกได้ถึงหยดน้ำตาอุ่นที่ไหลลงมากระทบฝ่ามือ ทั้งที่ร่างกายเขาเย็นยะเยือก แต่อาเชอร์กลับรู้สึกราวกับว่าน้ำตาอุ่น ๆ นั่นมันยังไหลสัมผัสอยู่
ตระกูลอาเชอร์ วินเทอร์เป็นกลุ่มแวมไพร์กลุ่มสุดท้าย แต่ก็เป็นกลุ่มใหญ่ เราเลิกล่ามนุษย์ด้วยการฆ่า แต่หันมาใช้ประโยชน์จากความโลภของพวกเขา
ในโลกนี้ยังมีพวกเราแฝงตัวอยู่อีกจำนวนมาก และมีมนุษย์ที่ไม่รู้จักพอยอมขายวิญญาณของพวกเขา เราเรียกพวกเขาเหล่านั้นว่าอาหาร
เอาเชอร์เป็นคนเดียวที่เลือกอยู่ที่นี่ เพียงเพราะเขาเบื่อความมักมากของมนุษย์ เบื่อที่ต้องค่อยตอบสนองเมื่อพวกเขาเหล่านั้นต้องการมากขึ้นไปอีก ตระกูลที่เป็นอาหารให้แก่เขาจึงเหลือเพียงตระกูลลามัวร์เอลตระกูลเดียว เขาปลีกตัวจากพี่น้องทั้งหมดมาใช้ชีวิตเรียบง่ายในที่แห่งนี้
จนกระทั่งเมื่อประมาณสามสิบปีก่อนเคยมีมนุษย์ถูกส่งมาเป็นอาหาร เขาและอาเชอร์ตกหลุมรักกันโดยบังเอิญผ่านหนังสือในห้องสมุด คิดดูแล้วเขาก็เหมือนกับนิโคลัส มันก็ไม่แปลกนี่ก็เขาเป็นคนของตระกูลลามัวร์เอล...
จู่ ๆ มุมปากของเขาก็กระตุกยิ้มเย็นเหยียบ ความรู้สึกโกรธแค้นที่เคยถูกฝั่งลึกภายในใจเหมือนถูกขุดออกมาจนเขาเองอยากจะหักคอเล็ก ๆ นั่นให้แหลกคามือ
ดวงตาที่เคยเป็นสีครามดุจมหาสมุทรก็พลันเปลี่ยนเป็นสีแดงเพลิง นัยน์ตาดำกลมถูกความทรงจำกระตุ้นบีบเล็กเรียวราวกับสัตว์ป่าดุร้าย อาเชอร์ลุกพรวดพราดออกจากห้องนอนของนิโคลัสทันที ก่อนที่ตนเองจะขาดสติพลั้งมือหักคอเขาจริง ๆ อย่างที่คิด
“เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้วแท้ ๆ ทำไมถึงได้...”
ฝาก #นิยายสั้นของเปียกปูน ในทวิตเตอร์ด้วยนะฮับ
#อาเชอร์นิโคลัส
ตั้งใจว่าจะให้จบภายในตอนเดียว แต่คิดว่าสองตอนน่าจะกำลังพอดี
จะรีบมาอัปต่อนะครับ
>///<
ปล.นิยายสั้นแน่นแฟนตาซี