ตอนที่ 3
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่มีใครรู้ แต่เท่าที่ผมรู้ตอนนี้ หนึ่งนาทีของผมยาวนานกว่าคนอื่นแน่นอน หลังจากที่ดิ้นรนขัดขืนแต่ทำอะไรไม่ได้จนหมดแรง ผมทำได้เพียงนอนไม่ไหวติงอยู่บนที่นอน หยาดน้ำตาค่อย ๆ รื้นผ่านหางตาลงขมับ เม็ดเหงื่อผุดขึ้นจากความร้อนอบอ้าวภายในร่างกาย อาการของคนโดนขืนใจมันเป็นแบบนี้นี่เอง ผมได้แต่นอนสมเพชตัวเองที่ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง แถมเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ไอ้ที่ข่มขืนผมดันไม่ใช่คนอีกต่างหาก
“แค่นี้ก็ยอมแล้วเหรอ ไม่หนุกเลยว่ะ”
ผีตัวเดิมพูดเสียงเนือย ๆ ก่อนกะพริบหายไปจากผมในพริบตา รู้สึกได้ว่าแขนขากลับมามีความรู้สึกได้เหมือนเดิมอีกครั้ง แต่ใครสนุกกับคุณครับไอ้ผี
“ไอ้ผีบ้า มึงกลับมานี่เลยนะ”
ผมตะโกนด่าอากาศ ดันตัวลุกขึ้นนั่งเพื่อปรับร่างกายให้ชินกับที่เคยโดนผีอำ
“เรียกผีอีกทีกูกลับไปนั่งท่าเดิมนะ”
“ก็มึงเป็นผี”
ราวกับหนังผีก็ไม่ปาน กะพริบตาทีเดียว มันกลับมานั่งทับบนตัวผมอีกแล้ว! แต่คราวนี้กะพริบตาอีกที มันหายตัวขึ้นไปนั่งห้อยขาอยู่บนที่นอนชั้นสอง แสงสลัวจากหลอดไฟภายนอกสว่างพอให้ผมได้เห็นขาคู่หนึ่งไกวไปมาในอากาศ
“กูชื่อภพ” อยู่ ๆ คุณผีก็เปลี่ยนโทนเป็นเสียงดราม่าขึ้นมาเฉย ๆ “เป็นตัวอะไรไม่รู้ แต่ที่รู้ ๆ กูไม่ใช่ผี อยู่ดี ๆ วันนึง กูก็พบว่าตัวเองตกลงมาจากที่สูง หล่นตุ๊บลงมาอยู่บนเตียงมึงในห้องเมื่อคืน…”
“เชิญกลับฟ้ามึงไปเลย”
“อย่าขัด!” ไอ้ผีตวาด “กูพยายามแล้ว แต่กูไปไหนไม่ได้ แค่ออกห่างจากมึงเกินสามเมตรกูยังทำไม่ได้เลย... ใครจะไปอยากอยู่กับมึง”
มัดลดเสียงลงตรงประโยคสุดท้าย แต่ขอโทษทีที่ข้างนอกมันเงียบ ถ้าพูดกันตามจริงถ้าผีตดผมยังได้ยินเลย
“...กูคิดว่ากูไม่ใช่ผี แต่กูก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่ากูเป็นตัวอะไร กูรู้แค่ว่ามึงไปไหนกูก็ต้องไปกับมึงด้วย มึงเดินกลางแดดเปรี้ยง ๆ กูก็ต้องตามมึงไป มึงกินอะไรน่าอร่อยกูก็ได้แต่นั่งดู มึงคิดว่ากูสนุกเหรอวะ ...ตั้งแต่ที่มึงเปิดประตูห้องเข้ามาคราวนั้น กูแค่คิดว่ากูต้องซ่อน กูเลยมุดลงไปอยู่ใต้เตียง”
“...”
ผมพูดอะไรไม่ออก
“...วินาทีที่เราสบตากันครั้งแรก กูโครตดีใจเลยรู้ปะ ว่าอย่างน้อยกูก็ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในโลกมืด ๆ ของกูตรงนี้”
“ถ้ามึงไม่ใช่ผี ถ้างั้นทำไมมึงถึงหายตัวได้”
“กูไม่รู้ แต่ต่อให้กูหายตัวได้ กูก็หนีมึงไปไหนได้ไม่เกินสามเมตรอยู่ดี ชีวิตกูแม่ง...บัดซบจริง ๆ”
“ถ้ามึงไม่ใช่ผี ทำไมมึงถึงอ่านใจกูออก”
“กูไม่รู้ มึงจะถามอะไรเยอะแยะวะ หมดมู้ดเลยเนี่ย ต้องให้กูบินให้ดูด้วยเลยมั้ย”
“มึงบินได้ด้วยเหรอ”
“กูประชด”
ผมเอื้อมมือไปแหย่ข้อเท้ามันเล่นหวังให้มันจักจี้ คิดว่าตอนนี้ตัวเองสามารถปรับอารมณ์ได้ทันขึ้นมาหน่อย ๆ แล้วกับทุกอย่างที่ประดังเข้ามาเมื่อชั่วโมงที่ผ่านมา
“อย่าเล่น มันจักจี้” ภพว่าพลางหดขาขึ้นไปไว้บนเตียง
“แต่อย่างนึงที่กูคิดยังไงก็ไม่เข้าใจ ไอ้ภพ…”
“ว่าไง”
“ตะกี๊มึงนั่งขย่มกูทำไม”
“อุ่ย นึกว่าลืมไปแล้ว”
“กูไม่ลืมโว้ย” ผมร้อง “ยังไม่นับในโรงหนังอีกเรื่อง…”
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูทำเอาคนข้างบนสะดุ้งจนเตียงสั่น มันกระวีกระวาดกดสวิตช์ไฟจนสว่างโร่ทั้งห้องก่อนที่จะเงียบหายไป ผมเลยต้องลุกขึ้นออกมาเปิดประตูห้องอย่างทุลักทุเล
“ฝากไว้ก่อนเถอะมึง”
ผมพึมพำคนเดียวก่อนหมุนลูกบิดประตูเปิดออก ไททันยืนยิ้มสายตากุ้มกริ่มอยู่หน้าประตู
“มึงเป็นเชี่ยอะไรมาเคาะห้องคนอื่นตอนตีหนึ่งตีสองครับเพื่อน” ผมเอ็ดมันแต่ก็ยอมเปิดประตูให้มันเข้ามาในห้องแต่โดยดี
“กูก็แค่…” ปากมันพูดแต่ตามันล่อกแล่กยังไงพิกล “มาดูว่ามึงโดนผีหักคอไปแล้วหรือยัง เห็นเงียบหายไปตั้งแต่เย็น”
“อ้อ กูโอเค กูไหว แต่มึงพูดกับกูทำไมมึงไม่มองหน้ากูครับเพื่อน”
“กูก็หาว่ามึงแอบซุกใครไว้ในห้องกันผีน่ะสิ กูเคาะอยู่นานสองนาน มัวแต่ขย่ม ๆ อะไรกันอยู่นั่น”
“ขย่มอะไร ไม่มี้” ผมรีบปฏิเสธทันควัน แต่เสียงลงท้ายดันสูงไปหน่อย “กูอยู่คนเดียวเนี่ย สงสัยมึงหูแว่ว ผีหลอกแล้วเพื่อน”
“สาบาน”
“สาบานครับ”
. ”ถ้ามึงโกหกกูขอให้...”
“ก็มันไม่มีใครจริง ๆ ไม่เชื่อมึงดูนี่”
ผมทำทีเป็นเปิดประตูตู้เสื้อผ้าทุกบานให้มันดูเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ เท่านั้นยังไม่พอ ผมยังผลักให้มันก้มลงไปดูที่ใต้เตียงแถมอีก แต่หนนี้ผมเองก็ไม่เจอไอ้ภพแล้วเหมือนกัน ไม่รู้ตอนนี้มันหายตัวไปอยู่ไหน แต่เอ๊ะ! แล้วผมจะไปคิดถึงมันทำไมเนี่ย
“เออไอ้ทั่น ถ้าสมมตินะ แบบสมมติเลยอะ” ผมดันให้มันนั่งลงบนเก้าอี้ “ถ้าสมมติกูมีผีตามอยู่ กูควรทำยังไงวะ”
“ขนลุก”
“อย่าลีลา ตอบกู”
“มึงถามถูกคนแล้วครับ พระเด็ดอาจารย์ดังต้องกูนี่ เคสมึงกูแนะนำอาจารย์เฟือง เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้ากูจอง…”
พรึบ
ไม่ทันขาดคำ เกิดเสียงดังแก๊กที่สวิตช์ไฟ ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความมืดอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนเสียงแปีกจะดังขึ้นอีกครั้งและห้องกลับมาสว่างเหมือนเดิม สาบานว่าผมเห็นภพมันยืนป้องปากขำอยู่ข้างสวิตช์ไฟ
“เออ ๆ ไว้ว่ากันพรุ่งนี้ คืนนี้มึงไปนอนก่อน เจ้าที่กูไล่แล้ว”
“เจ้าที่อะไรวะ”
“เออเรื่องของกู ไปนอน!”
“อะไรของมึงวะธาม เมื่อเช้ายังคะยั้นคะยอให้กูมานอนด้วย ตกดึกมาไล่กูกลับห้องเฉย มึงมีอะไรในใจปะเนี่ย”
“เออ ไม่มี ๆ ไปนอนได้แล้ว กูง่วง”
ผมดันหลังเป็นสัญญาณไล่มันออกจากห้อง มันทำท่าอิดออดเล็กน้อยแต่ก็ยอมไปแต่โดยดี หลังจากนั้นผมก็รีบล็อกประตูแล้วเด้งตัวไปปิดไฟ แต่ปรากฎว่าภพหายไปแล้ว เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมออกมา ผมเลยต้องข่มตานอนทั้งที่ในหัวยังมีแต่เรื่องค้างคาเต็มไปหมด
วันรุ่งขึ้นผ่านไปไวเหมือนโกหก ไททัน เพื่อนสนิทผู้หลงใหลในไสยศาสตร์จัดแจงนัดหมายครูบาอาจารย์ที่ตัวเองเคารพนับถือให้เสร็จสรรพ มันยืนยันหนักแน่นเหมือนพราวทูพรีเซนต์ว่ายังไงผมก็ต้องมาให้ได้ เกิดมาชาติเรื่องผีต้องอาจารย์เฟืองเท่านั้น พร้อมใช้จิตวิทยาไซโคว่าต้องรีบไล่ผีตัวนี้ออกไปให้เร็วที่สุด ไม่น่าไปจุดประกายเรื่องนี้กับมันเลย
ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่ได้เล่าเรื่องภพให้มันฟัง ใจนึงก็คิดว่ารอให้ตัวเองได้ข้อสรุปที่ชัดเจนก่อน อีกใจก็กลัวมันจะหาว่าบ้า คุยกับผีเป็นวรรคเป็นเวร
ไททันเป็นคนอาสาขับรถพาผมมาเองถึงที่ บ้านอาจารย์คงทำด้วยไม้ทั้งหลัง ข้างล่างยกพื้นเป็นใต้ถุนโล่ง ส่วนด้านบนเป็นบ้านไม้โบราณธรรมดา ๆ ที่พบเห็นได้ทั่วไป กำแพงด้านหนึ่งในเรือนไม้แน่นขนัดไปด้วยบรรดา ‘สิ่งศักดิ์สิทธิ์’ ที่เจ้าของเคารพบูชาตั้งอยู่เรียงรายหลดหลั่นกันเป็นตั้งแต่ฝ้าเพดานจนถึงพื้นกระดาน กลิ่นกำยานลอยคลุ้งปนกับกลิ่นธูปหอมทำเอาผมเวียนหัวแทบอ้วก การตกแต่งที่ออกมืด ๆ ทึม ๆ เน้นควันไม่เน้นแสงทำให้สถานที่แห่งนี้น่าอภิรมย์น้อยลงไปอีก แถมรอบตัวยังผมเต็มไปด้วยเหล่า ‘ผู้ศรัทธา’ เบียดเสียดกันอยู่ในห้องแคบ ๆ ที่บ้างก็เดือดร้อนหาทางออกไม่ได้ บ้างก็ว่ากันว่าผีเข้าต้องวุ่นไล่ผีกันระงม บ้างก็มาขอเลขเด็ดไว้เสี่ยงโชคงวดหน้า บ้างก็ไม่มีที่ไป
คนอย่างผม!
ผมไม่รู้จริง ๆ ว่าตัวเองควรทำอย่างไร ควรใช้วิธีไหนชีวิตตัวเองถึงกลับไปปกติสุขได้อีกครั้ง แค่คิดว่าต้องมีใครก็ไม่รู้มาตามติดผมยี่สิบสี่ชั่วโมงแบบนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ คิดไปคิดมาชีวิตผมก็ไม่มีที่ไปจริง ๆ แหละ เพราะถ้ามี ที่แรกที่ผมไม่คิดจะมาเลยก็คือที่นี่ ต้องขอบคุณคำว่า ‘เอาน่ามึง ไม่เชื่ออย่าลบหลู่’ คือประโยคที่ไททันพร่ำสอนผมมาตลอดทางตลอดจนตอนนี้ที่ทำให้ผมยังข่มใจนั่งอยู่ได้
“เมื่อไหร่จะถึงคิวกูสักทีวะ กลับมั้ย”
ผมบ่นกับมันเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่นับได้แล้วตั้งแต่มาถึง ตามคำบอกเล่าของมันว่าที่นี่คนเยอะจึงต้องรีบมาจองที่ ทำให้ผมยอมแหกขี้ตาตื่นตั้งแต่ตีห้าเพื่อออกเดินทาง แต่ความไวก็ยังเป็นเรื่องของปีศาจ เมื่อป้าที่มาก่อนเผยสัมภาษณ์ว่ามารอตั้งแต่เที่ยงคืน อะไรมันจะขนาดนั้นครับคุณป้า!
นาฬิกาข้อมือผมบอกเวลาบ่ายโมงเศษ ๆ นั่นหมายความว่าหลังจากมือเช้าโง่ ๆ ผมก็ไม่ได้มีอะไรตกถึงท้องอีกเลยตั้งแต่เข้ามาในห้องนี้ นี่ถ้าผมสูดควันธูปแล้วอิ่มได้ก็คงไม่ต้องกินอะไรไปอีกหลายวัน
“เอาน่า…” ไททันพูดเสียงยาน “ของดีก็ต้องรอดิวะ เชื่อเพื่อนสิครับ ฮึบ!”
ไม่พูดเปล่า มือข้างหนึ่งยังเอื้อมมาลูบหลังผมราวกับคิดว่าจะช่วยให้อะไรดีขึ้นมาบ้างอย่างนั้นแหละ ก็ตั้งแต่ผมนั่งมามีทั้งเรื่องคนนั้นทะเลาะกับคนนี้ คนนี้อยากทำของใส่คนโน้นวุ่นวายไปหมด เรื่องแรก ๆ มันก็พอสนุกอยู่หรอกครับ แต่พอคิดว่าเราต้องนั่งดูเรื่องชาวบ้านกี่สิบเรื่องก็ไม่รู้โดยที่ลุกไปไหนก็ไม่ได้มันน่าอึดอัดดีเหลือเกิน
“เอ้า ไอ้หนุ่ม ขยับเข้ามา”
ชายชราเคราเฟิ้มในชุดสีขาวที่นั่งอยู่บนแคร่ไม้พยักเพยิดมาทางผม ไม้ตะพดในมือแกว่งไปแกว่งมาเป็นสัญญาณให้ผมขยับเข้าไปหา ในขณะที่ผู้ถูกเรียกอย่างผมได้แต่นั่งทำหน้าเลิกลั่ก ก็คนมันไม่เคยนี่หว่า ไททันที่เห็นผมนิ่งอยู่นานสองนานเลยต้องเอามือดันหลังให้ผมขยับไปข้างหน้า เพราะเริ่มมีเสียงก่นด่าจากคนที่รอคิวถัดไปบ้างแล้ว
“เพื่อนผมมันโดนของครับอาจารย์” ดันหลังไม่พอ พนมมือตอบคำถามแทนผมเสร็จสรรพ “ข้าวปลาก็กินไม่ได้ นอนก็ไม่ค่อยหลับ ช่วยมันด้วยนะครับอาจารย์”
“แล้วเพื่อนเอ็งมันเป็นใบ้รึไง”
“เปล่านี่ครับ”
“งั้นเอ็งก็ให้มันพูดเอง!”
อาจารย์เฟืองกระแทกเสียงหันหน้ามาทางผมแทน ส่วนไททันสะดุ้งเล็กน้อยแต่ไม่ได้อะไรพูดอะไรออกมาอีก
“ไหนเอ็งเล่ามาให้ข้าฟังใหม่ซิไอ้หนุ่ม”
“ก็ตามนั้นแหละครับ...”
“มึงสองคนกลับไปด้วยกันเลยมั้ย” ดูอาจารย์เริ่มจะหมดความอดทนกับพวกผมสองคนเต็มแก่ ปากบ้วนน้ำหมากทิ้งลงกระโถน “กวนประสาท”
ไททันแอบหยิกแขนผมเหมือนเป็นนัยว่าให้เล่าใหม่ ผมที่เลือกอะไรไม่ได้ก็จำเป็นต้องเปิดปากเล่า พยายามไม่ให้แกงค์คุณป้าข้างหลังที่กำลังคอยื่นคอยาวแอบฟังเรืองของผมเหมือนคนก่อน ๆ ที่ผ่านมาต้องเสียกำลังใจ
“ก็ช่วงนี้ผมกินข้าวไม่ได้ นอนก็ไม่ค่อยหลับครับ พักหลังมารู้สึกเหมือนมีคนแอบมองผมอยู่ตลอดเวลา...”
ผมเลี่ยงที่จะไม่พูดถึงภพให้อาจารย์ฟัง ใจนึงก็อยากจะลองของว่าจะแน่สักแค่ไหน
“เอ้า… รับไป” อาจารย์ส่งธูปกำหนึ่งมาให้ผม “เอ็งเดินลงไปจุดแล้วปักไว้กลางแจ้ง ยกมือไหว้ขอครูบาอาจารย์ให้ท่านเปิดทาง ปักเสร็จแล้วขึ้นมาหาข้า”
การเดินผ่าฝูงชนที่นั่งรายล้อมอยู่เต็มห้องทำให้ผมตกเป็นเป้าสนใจไม่น้อย ระหว่างทางได้ยินเสียงคุณป้าคุณยายหลายคนส่งเสียงให้กำลังใจผมเป็นระยะ ผมเดินลงไปข้างล่างเพื่อจุดธูปตามด้วยความเก้ ๆ กัง ๆ ระคนสงสัย นับตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงเดี๋ยวนี้ ผมต้องสารภาพว่าผมยังไม่ค่อยเชื่อสิ่งที่ตัวเองทำอยู่เท่าไหร่นัก
หลังจากจุดธูปเสร็จแล้วผมก็ยกมืออธิษฐานตามที่อาจารย์บอกเมื่อสักครู่ ผมจำแทบไม่ได้แล้วว่าตัวเองต้องพูดอะไรบ้าง ได้แต่ขอ ๆ ให้มันจบ ๆ ไป จากนั้นก็ต้องเดินผ่าฝูงชนกลับขึ้นไปนั่งที่เดิมอีกครั้ง
“ช่วงนี้เอ็งไปกินอะไรผิดมาหรือเปล่า”
“เปล่าครับ”
“ช่วงนี้เอ็งไปทำใครโกรธใครแค้นมารึเปล่า
“ก็เปล่าอยู่ดีครับ”
“เอ็งแอบไปทำอะไรพิเรน ๆ มาใช่มั้ย
“ก็เปล่าอีกนั่นแหละครับ”
ใช่ไหมหว่า
“แต่ข้าว่ามี....”
ผมหันไปสบตากับไททันที่ตอนนี้ทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ข้าง ๆ ผม น้ำตาเริ่มปริ่มออกมาคลอเบ้า สายตามองผมกลับราวกับจะบอกว่าขอโทษ
“แต่เอาเถอะ…” ชายชราพูดเสียงอ่อน “ข้ารู้”
อ้าว รู้แล้วถามทำแมวอะไรวะ...ครับ
“ครับ”
“จะว่ามีมันก็มี… จะว่าไม่มีมันก็ไม่มี”
“ผีเหรอครับ”
มั่วแล้ว เมื่อคืนมันบอกผมเองเลยว่าไม่ใช่ผี
“แล้วตกลงมันมีหรือไม่มีครับ”
“เออวุ้ย! มีก็มีสิวะ เพียงแต่มันไม่ได้อาฆาตรุนแรงถึงกับชีวิต คิดว่ามันคงมาขอส่วนบุญ วันพระวันโกนก็ไปทำบุญให้มันบ้างแล้วกัน แต่ไหน ๆ ก็ไหน ๆ…” อาจารย์มองหน้าผมก่อนจะนิ่งไปครู่หนึ่ง “เห็นว่าช่วงนี้ดวงเอ็งกำลังตก ข้ากลัววันหนึ่งมันจะเอาถึงชีวิต”
“ชีวิตเลยเหรออาจารย์”
ไททันโพล่งขึ้น บรรยากาศรอบตัวตกอยู่ในความเงียบเนื่องจากทุกคนกำลังตั้งใจฟังสิ่งที่อาจารย์เล่า
“เออ แต่ดวงไอ้นี่มันแข็ง ยังไงมันก็ไม่ตายเร็ว ๆ นี้หรอก”
ผมได้ยินแบบนั้นก็ค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อย
“แล้วแบบนี้...ผมต้องทำยังไงบ้างครับอาจารย์”
“เอ็งไม่ต้องทำอะไรเลย เดี๋ยวความช่วยเหลือมันมาเอง ส่วนวันนี้... รับนี่ไป” อาจารย์เฟืองยื่นขวดน้ำสีขาวขุ่นสภาพฝุ่นจับจนดูเก่ามาตรงหน้าผม ข้างในบรรจุน้ำไม่มีสีอยู่เกือบถึงคอขวด “น้ำมนต์นี่เอาไว้ผสมน้ำล้างหน้าก่อนนอน ตื่นเช้ามาจะได้สดชื่นแจ่มใส”
ผมเอื้อมมือไปรับขวดน้ำมนต์มาถือด้วยความเก้ ๆ กัง ๆ ส่วนไททันยังคงยกมือไหว้สาธุท่วมหัว เสียงร้องสาธุดังระงมอยู่ข้างหลังผมเป็นระยะ ๆ ผมหันไปเห็นพ่ออาจารย์โบกไม้กายสิทธิ์ในมือเหมือนเป็นทำนองให้ผมเตรียมตัวกลับได้แล้วจะได้ให้คิวคนอื่นต่อ
“อะแฮ่ม ๆ” อาจารย์กระแอมไล่หลังขณะที่ผมสองคนกำลังก้มต่ำเพื่อเดินออกจากห้อง “ค่าครู ๆ”
ไททันที่เดินตามหลังดึงชายเสื้อเพื่อบอกให้ผมหยุด ส่วนตัวเองง่วนกับการหยิบซองขาวที่ใส่ไว้ในกระเป๋าย่ามยื่นส่งให้กับอาจารย์ด้วยท่าทีนอบน้อม จากนั้นก็รีบดันหลังให้ผมรีบเดินออกจากห้อง สงสัยมันจะอายที่ลืมจ่ายเงิน ผมไม่อยากจะพูดว่าค่าครูที่นี่แพงเอาเรื่อง ชนิดที่ว่าถ้าให้ผมเสียเงินมาเองผมไม่ทางมาแน่นอน ดีนะที่เพื่อนเป็นสปอนเซอร์ มารอเป็นค่อนวัน ได้น้ำมนต์ขวดเดียว
เราสองคนเดินฝ่าแดดตามหลังกันขึ้นมานั่งอยู่บนรถญี่ปุ่นสีขาว เหงื่อผุดพรายบนใบหน้าด้วยความร้อนจากแดดที่เดินผ่านมา ผมโยนน้ำมนต์ในขวดไปวางไว้เบาะหลังอย่างไม่ใยดีเท่าไหร่นัก และคิดว่าตัวเองคงไม่ต้องใช้ ก็น้ำอะไรก็ไม่รู้ หน้าหล่อ ๆ อย่างผมจะพังไหมเนี่ย
“มึงว่าเป็นยังไงบ้างวะ”
ไททันเริ่มบทสนทนาขณะเลื่อนรถออกไปยังประตูรั้ว
“ยังไงเป็นยังไง” ผมทวนคำ “ก็ไม่ยังไงนี่”
“คุณธามครับ เพื่อนเสียเงินเป็นพัน ๆ เพื่อให้คุณมาบอกว่าไม่ยังไงเหรอครับ แม่นจะตายไป”
“แม่น? แบบนี้บ้านมึงเรียกแม่นเหรอวะ”
“ชู่ว์” ไททันทำท่านิ้วจุ๊ปากเป็นทำนองให้ผมเงียบเสียง “เดี๋ยวอาจารย์ก็เสกผีเข้าท้องมึงหรอก”
“ที่อาจารย์มึงพูดมาไม่ได้เข้าใกล้คำว่าเฉียดเลยด้วยซ้ำไป”
ผมยังคงบ่นต่อไปอย่างไม่ลดละ ไททันที่ทำอะไรไม่ได้ก็ได้แต่รีบบึ่งรถออกจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด นับตั้งแต่ตรงนั้นผมกับมันก็ยังคงเถียงกันเรื่องนี้ไปตลอดทาง