รักสุดหัวใจแวมไพร์สุดที่เลิฟ *Love passion vampire my darling* /12 (01/08/2564)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: รักสุดหัวใจแวมไพร์สุดที่เลิฟ *Love passion vampire my darling* /12 (01/08/2564)  (อ่าน 2645 ครั้ง)

ออฟไลน์ AUGUSTLOVE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะ ครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรัก ชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้าม แจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะ ปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของ แต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้าม จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิด เดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การ พูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอม ให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้าม ลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อ ขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ด นิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยาย ที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยาย เรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วน หรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด ออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้าม แจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใคร จะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17

เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-08-2021 22:19:45 โดย AUGUSTLOVE »

ออฟไลน์ AUGUSTLOVE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-0
   


    คุณเคยรู้สึกว่าตัวเองถูกพันธนาการอยู่กับใครบางคนบ้างหรือเปล่า


   คุณเคยรู้สึกโหยหาอะไรบางอย่างที่คิดว่ายังคงขาดหายไปบ้างไหม


   คุณเคยคิดถึงใครคนหนึ่งทั้งในยามฝันและในยามตื่นขึ้นหรือไม่


   คุณเคยเชื่อในเรื่องพรมลิขิต ปาฎิหารย์ หรือไม่ก็เรื่องเหลือเชื่ออะไรบ้างมั๊ย


   คุณอาจจะหาว่าผมบ้า แต่ผมขอยืนยันว่าทุกอย่างเป็นเรื่องจริง ความรู้สึกเหล่านี้เกิดขึ้นกับผม


   ผมหลงรักเขา และเขาเป็น .. แวมไพร์ !


ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ AUGUSTLOVE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-0



รักสุดหัวใจ .. แวมไพร์สุดที่เลิฟ
Love passion .. vampire my darling


เคยคิดไหมอะไรที่ทำให้เราต้องมาพบกัน

อยู่ต่างคนละมุม เราสองไม่เคยคาดฝันที่จะเจอ

ผูกพันกันเรื่อยไป เราสองมอบใจไม่น่าจะเชื่อเลย

ดังโชคชะตาขีดมาให้เรา

และวันนี้ได้ลงเอย สุดท้ายคือเรารักกัน

ไม่ใช่ฝัน นี่เรื่องจริงที่เราได้อยู่ตรงนี้ด้วยกัน

ต่อจากนี้ฉันสัญญาจะมีเธอทุกลมหายใจ

ไม่ว่าทุกข์สักแค่ไหนให้มั่นใจเรามีกัน

อยากให้เธอมั่นใจและจงไว้ใจในคนอย่างฉัน

ไม่มีทางทิ้งกันและฉันจะสร้างความฝันของเรา

ให้มันเป็นจริงอย่างที่ต้องการ





1


ร่างสูงนั่งนิ่งอยู่ตรงหน้าหญิงสาวหน้าตาสะสวยที่เพื่อนในกรมตำรวจแนะนำให้ เธอมีรูปร่างบอบบาง ใบหน้าเรียวเล็ก ดวงตากลมโตสองชั้น จมูกโด่ง ผิวขาวเนียนเหมือนผิวเด็ก ผมยาวประบ่าพลิ้วไหวไปมาเมื่อขยับตัว

ชายหนุ่มหัวเราะร่าอยู่ในใจ รู้สึกว่าการดูตัวในครั้งนี้ออกมาเข้าท่าเลยทีเดียว ไม่แน่ว่าผู้หญิงตรงหน้านี้อาจจะเป็นคนที่ตามหามานานก็เป็นได้ ในที่สุดเวลาสละโสดก็มาถึงเสียที

ตลอดเวลาตั้งแต่เรียนจบมาก็เข้าทำงานในกรมตำรวจ สังกัดหน่วยสืบสวนพิเศษ ไล่จับคนร้ายและอาชญากรมานักต่อนัก ไม่มีเวลาได้หาแฟนเป็นตัวเป็นตนเสียที ไม่รู้ว่าบ้างานมากขนาดไหน มารู้ตัวอีกที ก็อายุ 31 กลายเป็นหัวหน้าหน่วยสืบสวนพิเศษไปเสียแล้ว

พ่อกับแม่ของเขาเสียชีวิตไปด้วยอุบัติเหตุหลังจากนั่งเรือไปเที่ยวภูเก็ต เรือเกิดมีปัญหาจมกลางทะเล ไม่มีใครรอดชีวิตเลยสักคน จึงต้องเลี้ยงดูตัวเองอยู่ในทาวเฮ้าส์หลังเล็กๆ แม้ว่าจะเป็นหัวหน้าหน่วย แต่เงินเดือนก็ได้เยอะกว่าตำรวจทั่วๆ ไปไม่เท่าไรนัก
ล่าสุดเมื่อสองเดือนก่อน ก็เพิ่งจะผ่อนทาวเฮาส์หมดไปหมาดๆ เท่ากับว่ามันกลายเป็นบ้านของเขาเรียบร้อยแล้ว ส่วนรถที่กำลังผ่อนอยู่ ก็ใกล้จะหมดลงในเดือนหน้า ก็เท่ากับลดภาระลงไปอีกอย่าง

สำหรับการดูตัวครั้งนี้ ก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะแต่งงานเลย เพราะอย่างน้อยก็อยากจะลองคบหากับผู้หญิงที่ถูกใจสักปีสองปี เพื่อใช้เวลาเก็บเงินแต่งงาน เพราะเขามีเงินเก็บอยู่ไม่มากเท่าไรนัก เอาไว้ใช้ยามฉุกเฉินเวลาเจ็บป่วยหรือมีปัญหาเร่งด่วนขึ้นมา จะได้มีไว้สำรองจ่าย

ส่วนเงินประกันชีวิตของพ่อกับแม่ เขาก็ไม่กล้าที่จะเอามาใช้สักแดงเดียว อาจจะเป็นเพราะคิดว่าเงินก้อนนั้น เป็นของดูต่างหน้าที่พ่อกับแม่ทิ้งเอาไว้ให้ก็ได้กระมัง

“อ้าว ไอ้สิงห์ !”

เสียงเปิดประตูร้านตามด้วยเสียงโมบายตามแบบฉบับของร้านกาแฟดังกรุ๊งกริ๊ง มาพร้อมเสียงทักทาย ทำให้คนในร้านต่างพากันหันไปมอง

ดวงตาคู่คมหันไปตามเสียง เห็นคนที่ปรากฏกายอยู่เบื้องหน้า ก็ถึงกับหน้าซีด ผู้มาใหม่ถือวิสาสะเดินตรงเข้ามาหา จากนั้นก็ลากเก้าอี้จากโต๊ะข้างๆ ที่ไม่มีคนนั่งมานั่งร่วมโต๊ะด้วย ใบหน้ายิ้มกริ่ม พร้อมกับปรายตามองสำรวจหญิงสาวคนเดียวในโต๊ะอย่างสนใจ

“สวัสดีครับ ผมภาคิณ เป็นเพื่อนของลายสิงห์ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”

ร่างสูงถอนหายใจเบาๆ อย่างเอือมระอา ไม่ว่าเมื่อไรที่ไปดูตัว ถ้าหากมีภาคิณโผล่เข้ามามีเอี่ยวด้วย ผู้หญิงที่มาดูตัวกับเขา เป็นอันต้องเสร็จมันทุกรายไป ไม่รู้ว่ามันมีทีเด็ดอะไร จากที่ลองวิเคราะห์ดูแล้ว ก็อาจจะเป็นเพราะพูดคุยเก่ง เอาใจสาวๆ เก่ง ก็เท่านั้น ซึ่งคงเรียกได้ว่าแตกต่างกับเขาจนแทบจะสิ้นเชิง

“เฮ้อ”

ลายสิงห์ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ ขยับเสื้อสูทตัวนอกให้เข้าที่ จากนั้นก็ทำท่าจะเดินจากไปเสียเฉยๆ

“อ้าว จะไปไหนล่ะ ?”

ภาคิณหันมาเลิกคิ้วถาม เมื่อเห็นเพื่อนกำลังจะเดินออกไปดื้อๆ

“กลับล่ะ โชคดีนะ”

น้ำเสียงราบเรื่อยเอ่ยตอบ ก่อนจะเดินออกมาจากร้านอย่างคนที่นึกปลงตก แต่ก็ไม่ได้อารมณ์เสียหรือโกรธเพื่อนคนนี้จริงๆ จังๆ หรอกนะ เพราะภาคิณเป็นเพื่อนที่เรียนด้วยกันจากโรงเรียนตำรวจมาตั้งแต่ปีแรก รู้จักกันยันเข้าทำงาน ก็สิบกว่าปีมาแล้ว ทำคดีใหญ่ๆ ด้วยกันมาก็มาก จนได้เลื่อนตำแหน่งด้วยกันทั้งคู่

ภาคิณเป็นรองหัวหน้าหน่วยซึ่งเขาประจำเป็นหัวหน้า เป็นคนที่ซื่อสัตย์ไม่คดโกง หนำซ้ำยังมีใจกว้างขวาง ครั้งหนึ่งตอนที่ทำคดีทำลายบ่อยคาสิโนลอยน้ำที่อ่าวไทย ตอนนั้นเขาพลาดท่าและคิดว่าตัวเองจะต้องถูกยิงแน่ๆ แต่ภาคิณกลับกระโดดเอาตัวเข้ามาบังไว้ ไม่คิดเลยว่าเพื่อนคนนี้จะยอมรับลูกกระสุนแทน ทำให้ซาบซึ้งใจและเห็นว่าภาคิณเป็นเพื่อนตายตลอดมา

ดวงตาคู่คมก้มลงมองสำรวจตัวเอง ร่างสูงอยู่ในชุดสูทสีดำขลับมันเข้ารูป เสื้อเชิ้ตสีขาว สวมเนคไทสีครามสว่าง ไม่รู้ว่าจะแต่งตัวหรูหราแบบนี้มาเพื่ออะไรกัน ในเมื่อท้ายที่สุดแล้ว ผู้หญิงคนนี้ก็ต้องตกไปเป็นของคนอื่นอยู่ดีเหมือนที่ผ่านๆ มา ชายหนุ่มยกมือขึ้นคลายเนคไทเพื่อให้หายใจได้สะดวกขึ้น ก้าวขายาวเดินตรงไปที่รถยนต์สีขาวที่จอดอยู่ตรงด้านหน้า

พอมานั่งประจำอยู่หลังพวงมาลัย ก็สตาร์รถ เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่รถจะแล่นออกไปจากร้านกาแฟ ในเมื่อวันนี้ไม่มีอะไรทำแล้ว และเนื่องจากว่าเป็นวันอาทิตย์ไม่ต้องไปทำงาน อีกทั้งการดูตัวยังเริ่มไปไม่ถึงห้านาทีก็ต้องล้มเลิกไปเสียก่อน เลยตัดสินใจจะกลับบ้านไปอาบน้ำแล้วนอนพักผ่อนเอาแรงเสียหน่อย

จะว่าไปแล้วชีวิตที่ไร้เงาคนเคียงข้างก็ทำให้รู้สึกเงียบเหงาและว่างเปล่าซะเหลือเกิน เขาไม่เคยมีแฟน ไม่เคยแม้แต่จะไปเดทกับผู้หญิงสักคนเลยด้วยซ้ำ จับมือกับผู้หญิง หรือถูกเนื้อต้องตัวยิ่งไม่เคยใหญ่

เฮ้อ .. ดูท่าว่า เขาคงจะไม่มีดวงเกี่ยวกับด้าน “ความรัก” จริงๆ นั่นแหละ



ดวงตาคู่คมมองไปรอบๆ ในระหว่างที่นั่งรอให้สัญญาณไฟที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียว ก่อนจะรับรู้ได้ถึงความสั่นสะเทือนจากในกระเป๋ากางเกงแสลค ตอนที่นัดดูตัว เขาเปลี่ยนเป็นระบบสั่นเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวน มือหนาล้วงหยิบเอาโทรศัพท์ออกมา ครั้นพอเห็นชื่อที่โทรเข้าก็รีบกดรับทันที

“สวัสดีครับ สารวัตร”

เสียงทุ้มกรอกไปตามสายพร้อมกับนั่งตัวตรง ประหนึ่งท่านสารวัตรมาปรากฏอยู่ตรงหน้า

“ตอนนี้นายอยู่ที่ไหน ?”

ปลายสายถาม เสียงทุ้มต่ำทรงพลังบ่งบอกถึงความน่าเกรงขรามที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้ใครง่ายๆ

“ผมเพิ่งออกมาจากร้านกาแฟ แถวๆ กรมตำรวจครับ”

“ได้ยินว่านายไปดูตัว”

คำถามจากสารวัตร ทำเอาเกือบจะสำลักน้ำลาย

“อ่า ก็ประมาณนั้นแหละครับ”

“แล้วผลเป็นยังไงบ้างล่ะ ?”

“คือ ก็เหมือนเดิมครับ”

ทันทีที่ได้ยิน ปลายสายก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น ชายหนุ่มนึกอยากจะตัดสายทิ้งเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่เพราะว่าเคารพและกลัวเกรง ทำให้ไม่อาจทำแบบนั้นได้

“แล้วท่านสารวัตรมีอะไรหรือเปล่าครับ ?”

เมื่อเอ่ยคำถามนี้ไป สารวัตรก็เงียบไปพักใหญ่ๆ

ลายสิงห์หยุดหายใจไปชั่วขณะเพื่อรอคอยคำตอบ ไม่ช้าคำพูดที่จริงจัง ไร้วี่แววล้อเล่นแบบเมื่อครู่ก็ดังขึ้น

“มีสายรายงานว่าอาชญากรรายใหญ่ที่ไปขุดขโมยของโบราณที่โบสถ์คาทอลิกซิดนีย์ มาปรากฏตัวอยู่ที่ร้านอาหารใกล้ๆ นี้น่ะ”

“แล้วของโบราณที่ว่านี่มันคืออะไรครับ ?”

ลายสิงห์เอียงคอถามอย่างสงสัย

“ได้ยินว่าพวกนั้นกำลังขุดหาของในสุสานของโบสถ์”

“ห๊า สุสานเนี่ยนะ”

ลายสิงห์อุทานอย่างแปลกใจหนักกว่าเก่า ยังมีมนุษย์บ้าๆ ที่กล้าไปขุดซากศพที่ถูกฝังอยู่อีกอย่างนั้นหรือ ขุดเพื่อเอาเหรียญจากปากของศพหรือยังไงกัน

“ใช่ จากที่องค์กรบูรณะวัตถุโบราณรายงานมา บอกว่าที่นั่นมีโลงศพยุโรปเก่าแก่ซ่อนอยู่”

โลกนี้ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ฟังแล้วอยากจะหัวเราะ แต่กลับหัวเราะไม่ออก ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่านอกจากจะมีคนกล้าไปขุดสุสานแล้ว ยังมีคนคิดที่จะไปขโมยโลงศพอีก ถึงจะเป็นของมีค่าราคาแพงหลายสิบล้านก็เถอะ แต่ใครจะซื้อโลงศพแพงๆ ขนาดนั้นล่ะ นอกจากพวกสติไม่ดีที่มีมันสมองพอๆ กับคนที่คิดจะขโมยนั่นแหละ

ลายสิงห์สลัดหัวเพื่อไล่ความคิดเพี้ยนๆ ออกไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประหลาดหลุดโลกยังไง ก็ต้องทำใจให้ว่าง เพราะยังไงก็เป็นงานๆ หนึ่ง

“เข้าใจแล้วครับ บอกชื่อร้านนั้นมาเลยครับ”

“หลังจากที่ไปถึงแล้ว ที่นั่นจะมีนักสืบรอนายอยู่ เขาจะมาเป็นคู่หูของนายในการสืบคดีนี้ คิดว่าคดีนี้น่าจะใหญ่เอาเรื่องนะ ได้ยินว่ากลุ่มที่คิดจะขโมยโลงศพ เป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลมาก โดยมีนักการเมืองหนุนหลังอยู่ด้วย”

เมื่อได้ยินว่าเป็นคดีใหญ่ เลือดในกายก็วิ่งพล่าน หัวใจเต้นสูบฉีดอย่างรุนแรง เพราะความรู้สึกนี้แหละที่ทำให้ตัดสินใจเลือกอาชีพนี้ ความตื่นเต้นที่แขวนไว้บนความยุติธรรม ทำให้พบเจอกับสิ่งแปลกใหม่ไม่จำเจ อีกทั้งยังได้กำจัดคนเลวออกไปจากสังคม นับว่าเป็นงานที่คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม ถึงแม้ใครจะบอกว่าอาชีพนี้ไม่ว่ามีกี่ชีวิตก็ไม่พอใช้ก็ตาม




รถเก๋งสีขาวแล่นมาจอดที่หน้าภัตตาคารแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มก้าวลงจากรถด้วยท่วงท่าสะดุดตา ทำให้คนที่เดินผ่านไปมาพากันมองด้วยความสนใจ เดินเข้าไปในร้านอาหารหรูหราด้วยชุดที่เหมาะสมกับสถานที่พอดี ทำให้รู้สึกมั่นใจไม่น้อย เพราะปกติแล้วเวลาจะออกไปไหนมาไหน ก็มักจะสวมเสื้อยืดกางเกงยีนส์เก่าๆ เท่านั้น นานๆ ทีจะแต่งตัวหรูหรา แถมนานๆ ครั้งที่จะได้เข้ามาในร้านไฮโซแบบนี้อีกด้วย นับว่าเป็นการแต่งตัวและกินอาหารอย่างหรูในรอบสิบปีเห็นจะได้

พนักงานต้อนรับในชุดยูนิฟอร์มคล้ายแอร์โฮสเตสกล่าวถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ เมื่อบอกถึงชื่อที่สารวัตรสั่งจองไว้ก่อนหน้า พนักงานคนเดิมก็ก้มลงไล่นิ้วตามรายชื่อที่จดเอาไว้ในสมุด ไม่นานก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มหวาน ก่อนจะผายมือเป็นการเชื้อเชิญให้เดินตามเพื่อนพนักงานต้อนรับอีกคนไป

ร่างสูงเดินตามไปยังโต๊ะที่จองเอาไว้ รู้สึกเหมือนทุกสายตากำลังจับจ้องมาที่เขาอย่างไรอย่างนั้น ห้องอาหารนี้มีขนาดใหญ่โตกว้างขวาง มีโต๊ะกลมหลายสิบตัวจัดวางทิ้งระยะห่างอย่างลงตัว ปูพื้นพรม เสิร์ฟด้วยไวน์อย่างหรู อีกทั้งยังมีเพลงคลาสสิกบรรเลงคลอเบาๆ นับว่าเหมาะสำหรับสังคมชั้นสูงมากเลยทีเดียว


ลายสิงห์ทิ้งตัวนั่งลงตรงโซฟาบุนวมนุ่มนิ่มอย่างดี ปรายตามองไปรอบๆ บริเวณอย่างสำรวจตามปกตินิสัยที่เป็นคนรอบคอบ เพื่อรอคอยเวลาที่คู่หูจะมาถึง ก่อนจะสังเกตเห็นหนุ่มน้อยคนหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามา และมานั่งลงร่วมโต๊ะเดียวกันโดยไม่ได้รับการเชื้อเชิญแต่อย่างใด

ดวงตาคู่คมมองคนตรงหน้าอย่างแปลกใจ ใบหน้าขาวใสหมดจด จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากชมพู รูปร่างบอบบาง สวมชุดสูทสีดำหรูหราราคาแพง ท่าทางเงินเดือนทั้งเดือนของเขาก็คงจะซื้อไม่ได้ จากที่ประเมินทางสายตาแล้วคงจะอายุยี่สิบต้นๆ

“คุณมีทักษะการต่อสู้อะไรบ้าง ?”

ประโยคที่ได้ยิน ทำให้คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างแปลกใจ

“ผมเหรอ ?”

“ก็คุณนั่นแหละ คิดว่าผมคุยอยู่กับใครล่ะ ?”

ลายสิงห์รู้สึกอึดอัดที่ถูกสายตาราวกับประเมินของคนที่กำลังจ้องมองมา อีกนัยหนึ่งก็รู้สึกไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก

“ผมเป็นมวยไทย แล้วก็เคยชกมวยสากลสมัครเล่นได้เหรียญทองของกรมตำรวจ ยิงปืนสั้นได้เหรียญเงิน ปืนไรเฟิลก็พอได้ ใช้อาวุธปืนได้แทบทุกอย่าง เทควันโดสายดำ ยูโดก็เคยหัดมาบ้าง อาวุธมีดก็คล่องครับ”

“โอ้โห คุณฝึกมาเพื่อเป็นเครื่องจักรมหาประลัยฆ่าคนหรือยังไง ทำไมต้องฝึกเยอะแยะขนาดนั้นด้วยล่ะ ?”

“ก็มันจำเป็นกับอาชีพของผมน่ะสิ”

“โอเค เป็นอันว่าคุณสอบผ่าน ผมจะรับคุณเข้ามาเป็นหัวหน้าบอดี้การ์ด”

“หืมม สอบผ่าน หัวหน้าบอดี้การ์ด ?”

คิ้วตรงขมวดมุ่น คนๆ นี้กำลังพูดบ้าบอคอแตกอะไรกันแน่ สอบผ่านเรื่องอะไร หรือกำลังจะทดสอบว่าเขามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นคู่หูอย่างนั้นหรือ แต่จะเป็นการทดสอบที่ง่ายดายเกินไปหรือเปล่า กับแค่การนั่งคุยกันเท่านั้นน่ะนะ แล้วที่สำคัญ หัวหน้าบอดี้การ์ดที่ว่านี่คืออะไรกัน

ในระหว่างที่กำลังฉงนงงงวยกับคำพูดที่ได้ยิน ปลายหางตาก็เหลือบไปเห็นกลุ่มคนร่างใหญ่ในชุดสูทสีดำที่กำลังเดินเข้ามา ใบหน้าของแต่ละคนบ่งบอกยี่ห้ออันธพาลหรือเป็นพวกกองโจร ใครเห็นเป็นอันต้องตัวสั่นระริก แต่อาจจะเป็นเพราะเขามีภูมิคุ้นกันในเรื่องหน้าตาของคนเหล่านี้ เพราะจับเข้าตารางมานักต่อนักแล้ว ทำให้ไม่เคยคิดหวาดหวั่นกับหน้าตาสุดโฉดของคนเหล่านั้น

“คุณหนูครับ ระวังครับ !”

เสียงแหกปากโวยวายดังขึ้น พร้อมกับการปรากฏตัวของชายชุดดำกว่าหกคน ท่าทางกลุ่มคนที่มาใหม่จะเป็นบอดี้การ์ดของหนุ่มน้อยอวดดีคนนี้ เมื่อเห็นชายฉกรรจ์ร่างใหญ่กำลังเดินมุ่งตรงเข้ามาหา พวกนั้นก็ชักปืนขึ้นมาจากเสื้อสูทเช่นเดียวกับชายฉกรรจ์ที่ก้าวมาถึงโต๊ะ

ลายสิงห์ตระหนักได้ว่าที่นี่กำลังจะกลายเป็นสมรภูมิรบ ร่างสูงหยัดยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว ล้มโต๊ะแล้วกลิ้งไปถูกขาของพวกมันสองคนทำให้เสียหลักล้มลงก่อนที่จะมาถึงตัว อาศัยจังหวะนั้นคว้าข้อมือของเด็กหนุ่มที่ตอนนี้หน้าซีดเป็นไก่ต้มมากำไว้แน่น จากนั้นก็ฉุดร่างโปร่งวิ่งหลบไปด้านข้าง อึดใจที่วิ่งพ้นออกมา เสียงยิงกันก็ดังสนั่น พร้อมกับเสียงกรี๊ดกร๊าดและร้องดังลั่นของคนที่ยังอยู่ภายในร้าน

ดวงตาคู่คมตวัดหันกลับไปมองข้างหลัง เห็นทั้งสองฝ่ายพากันล้มระเนระนาด บ้างก็หาที่กำบังแล้วยื่นมืออกมายิงฝ่ายตรงกันข้าม
ลายสิงห์พยายามรวบรวมสมาธิ เพราะรู้ดีว่าในสถานการณ์แบบนี้ หากวอกแวกเพียงวินาทีเดียวล่ะก็ อาจจะถูกฝ่ายศัตรูยิงเอาก็ได้ ด้วยเหตุนี้จึงใช้โอกาสที่กำลังมีอยู่วิ่งออกทางประตูด้านหลังของภัตตาคาร ไม่นานนักก็วิ่งมาถึงถนน ขายาวก้าวมาถึงรถของตัวเอง สั่งให้คนอวดดีรีบเปิดประตู้เข้าไปนั่ง



เพียงแวบเดียวที่รถเคลื่อนตัว เสียงปืนก็ดังลั่นไล่หลังมา กระจกหลังรถแตกละเอียดเป็นเสี่ยงๆ ร่างสูงก้มหลบหน้าหล่อขบกรามแน่น มือข้างหนึ่งบังคับพวงมาลัย ส่วนอีกข้างกดหัวหนุ่มน้อยที่นั่งข้างๆ ลง

ดวงตาแข็งกร้าวเหลือบมองกระจกหลัง เห็นรถเบนซ์สีดำมันวาวกำลังขับไล่ตามมา รถติดฟิล์มกรองแสงมืดทึบเสียจนมองไม่เห็นเลยว่ามีใครนั่งอยู่ในนั้นบ้าง พลางนึกอย่างโมโหว่าทำไมฝ่ายจราจรถึงได้สะเพร่าขนาดนี้กันนะ

กลางวันแสกๆ แท้ๆ ไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องมาเจอการยิงสนั่นเมืองในช่วงเวลาแบบนี้ ที่สำคัญเป็นการยิงกันหลังจากที่เพิ่งกลับมาจากการดูตัวเสียด้วย ช่างเป็นวันที่ฤกษ์งามยามดีเสียนี่กระไร

ลายสิงห์สันนิษฐานจากประสบการณ์ ดูเหมือนพวกนี้จะเป็นกลุ่มเดียวกันกับพวกที่ร้านอาหาร จากที่ไตร่ตรองดูแล้ว หากพวกนั้นมุ่งเป้ามาทางเขาก็แสดงว่าคงตั้งใจจะจัดการที่ร้านอาหารนั้นแล้ว แต่นี่ดูเหมือนว่ากลุ่มคนเหล่านั้นจงใจมาจัดการกับหนุ่มน้อยซะมากกว่า อาจจะเป็นไปได้ว่านายคนนี้คงจะมีปัญหาอยู่ก่อนแล้ว อีกทั้งจากจำนวนบอดี้การ์ดหลายคนเสียขนาดนั้น ก็เป็นไปได้สูงว่าพวกที่ตามหลังมาน่าจะเป็นคู่กรณีอย่างไม่ต้องสงสัย

“นายเป็นใครกันแน่ ?”

เสียงทุ้มเอ่ยถาม ในขณะที่เสียงปืนยังดังตามหลังมาไม่หยุด

“ผมชื่อต้นข้าว”

“ฉันไม่ได้ถามชื่อ ฉันถามว่านายเป็นใคร มาจากไหนกันแน่ แล้วทำไมถึงได้ถูกล่าเอาชีวิตแบบนี้ ?”

“ผมเป็นหมอผี”

“เป็นอะไรนะ ?”

คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันจนแทบจะมัดเป็นปม

“ผมเป็นหมอผี”

“พูดบ้าบออะไร นี่ใช่เวลามาพูดเรื่องล้อเล่นงั้นเหรอ ?”

“ผมพูดจริงๆ นะ”

ลายสิงห์ถอนหายใจออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ ขณะยังคงกดหัวของต้นข้าวเอาไว้ คิดแล้วก็อยากจะกดให้จมหายไปในเบาะรถเสียเลย ขนาดโดนไล่ฆ่าขนาดนี้ยังมีอารมณ์ขันอีก ท่าทางคงจะเป็นพวกคุณหนูเอาแต่ใจเสียกระมัง

“เอาล่ะ นายหมอผี ถ้าหากเป็นจริงอย่างนั้น ทำไมนายถึงได้ถูกไล่ตามเอาชีวิตอย่างนี้กันล่ะ ?”

“สองสามวันก่อนมีคนกลุ่มหนึ่งไปหาผมที่ตำหนัก แล้วก็จ้างให้ไปทำงานด้วย พอผมปฏิเสธไป พวกนั้นก็ฆ่าหัวหน้าบอดี้การ์ดของผม แล้วก็ขู่ว่าจะฆ่าผม หากไม่ยอมร่วมมือด้วย”

ต้นข้าวพูดเสียงสั่น ราวกับกำลังใกล้จะร้องไห้เต็มที

“แล้วนายไปทำอะไรที่ร้านอาหาร ?”

“ผมนัดกับคนที่มาสมัครเป็นหัวหน้าบอดี้การ์ด”

“นายนั่งผิดโต๊ะน่ะสิ”

“ผมเองก็ตกใจเหมือนกัน ไม่คิดเลยว่าจะเป็นแบบนี้”

ต้นข้าวยังคงเสียงสั่นเครือ ท่าทางดูตกอกตกใจมากจริงๆ

“ในเมื่อเป็นหมอผี แล้วไม่รู้หรือไงว่าตัวเองกำลังอยู่ในอันตราย”

“ขอโทษเถอะคุณ ผมเป็นหมอผีนะ ไม่ใช่หมอดู ถึงจะได้รู้อนาคต”

“เดี๋ยวนี้มันมีแยกสาขากันแล้วเหรอ ?”

เปรี้ยงงง !

เสียงปืนดังขึ้นอีก หลังจากหยุดไปพักหนึ่ง สอยเอากระจกมองข้างด้านซ้ายของรถสีขาวแตกละเอียดไม่มีชิ้นดี เห็นแล้วก็พานเดือดดาล ในเมื่อรถคันโปรดยังผ่อนไม่หมด แต่กลับต้องเตรียมเรียกประกันแบบนี้ มีหวังได้เสียเงินเพิ่มอีกแน่ๆ

มือหนากดศีรษะหนุ่มน้อยลงอีกครั้ง พร้อมกับก้มหมอบขณะขับรถไปอย่างชำนาญ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ต้องขับรถหนีลูกกระสุน พยายามเร่งความเร็วของรถเพิ่มขึ้น ก่อนจะหักเลี้ยวหลบเข้าตรอกเล็กๆ พร้อมกับนึกบ่นด่า นึกสรรเสริญบรรพบุรุษของพวกนั้นไปตลอดทาง

“ถ้าอย่างนั้นพอจะบอกได้ไหมว่างานที่พวกมันต้องการให้ทำน่ะ มันคืออะไร ?”

เขาเริ่มซักถาม แม้จะอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน แต่ด้วยสัญชาตญาณการเป็นตำรวจก็ยังคงมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม

“พวกเขาต้องการให้ผมตามหาโลงศพ”

“โลงศพ !”

เสียงทุ้มอุทานอย่างแปลกใจ เมื่อได้ยินเรื่องเกี่ยวกับโลงศพถึงสองครั้ง ในหนึ่งวันติดๆ จะบังเอิญเกินไปหน่อยล่ะมั๊ง หรือว่าช่วงนี้พวกโจรจะนิยมขโมยโลงศพกันนะ เป็นเทรนด์ใหม่หรือยังไง

“เอาล่ะๆ นายหมอผี ตอนนี้ฉันชักอยากจะรู้ซะแล้วสิว่าในโลงศพนั่น มันมีอะไร ?”

ต้นข้าวกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงเบาหวิว แต่คนที่รอฟังอยู่สามารถได้ยินอย่างชัดเจนจนต้องอ้าปากค้าง รู้สึกอยากจะเป็นบ้าขึ้นมาให้รู้แล้วรู้รอดไปซะเลย

“แวมไพร์”





ออฟไลน์ AUGUSTLOVE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-0
2

   ลายสิงห์ถอนหายใจยาวๆ หลังจากที่สามารถสลัดกลุ่มคนที่ไล่ตามจนหลุดได้ในที่สุด ก็ต้องมาใช้พลังงานไปกับการเล่าถึงเหตุการณ์ยิงกันสนั่นภัตตาคารหรูใจกลางเมืองให้กับสารวัตรฟัง
และสาเหตุสำคัญที่ทำให้ต้องถอนหายใจอย่างปลงๆ เช่นนี้ อาจจะเป็นเพราะเรื่องเล่าเกี่ยวกับหมอผีหนุ่มที่ตามติดเขาอย่างกับตังเม แล้วยังพูดพล่ามเรื่องไร้สาระอย่างแวมไพร์หรือผีดูดเลือด อะไรทำนองนั้น
   “พาตัวเด็กคนนั้นมาที่กรมตำรวจด้วยเลย”
   สารวัตรที่อยู่ปลายสายสั่งเสียงเฉียบ
   “จะให้พาไปเหรอครับ แต่ว่า”
   “ใช่ ฉันอยากจะคุยด้วยสักหน่อย อย่างน้อยเด็กนั่นก็เป็นนักศึกษาโบราณคดี แล้วยังเป็นที่หมายตาของอาชญากรกลุ่มนั้นอีกด้วย ยังไงก็ต้องเป็นกุญแจดอกสำคัญ”
   เป็นภาระที่หนักอึ้งสำหรับลายสิงห์ยิ่งนัก เคยคุมตัวอาชญากรฆ่าคนมาจนนับไม่ถ้วน แต่กับคนธรรมดาที่เพ้อเจอเรื่องเหลวไหล ทำให้รู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ถ้าหากเป็นชาวต่างชาติ คงจะรู้สึกได้ว่าเหนื่อยกับการสื่อสารและการพยายามจะฟังภาษาอังกฤษให้เข้าใจ แต่ที่น่าอึดอัดกว่า คือการที่คนด้วยกัน พูดภาษาเดียวกัน แต่กลับคุยกันคนละเรื่องนี่สิ


   ต้นข้าวยังคงยืนยันว่าตัวเองไม่ได้โกหก แม้ชายหนุ่มจะฟังบ้างไม่ฟังบ้าง แต่ก็พยายามจะอธิบายว่าสิ่งที่คนพวกนั้นต้องการ ไม่ใช่โลงศพ แต่เป็นสิ่งที่อยู่ในโลงศพนั่นต่างหาก
   “จริงๆ นะ ผมพูดจริงๆ”
   “แล้วไงอีก ?”
   “คนพวกนั้นคงต้องการใช้เขาเพื่อทำอะไรสักอย่าง”
   “ใช้เขา ?”
   ลายสิงห์ทวนคำจากสิ่งที่ได้ยิน ในขณะที่กำลังขับรถไปด้วย สภาพรถคันโปรดที่เป็นอยู่ ทำให้คนที่เดินผ่านไปมาพร้อมกับรถที่จอดติดอยู่ข้างๆ พากันหันมามองดูด้วยความสนใจ
   ชายหนุ่มเป่าลมออกจากปากเพื่อระบายความเครียด ดวงตาคู่คมมองสำรวจความเสียหายของรถ แล้วหันไปตรวจดูสภาพของคนด้านข้าง เด็กหนุ่มยังคงปลอดภัยดี ไม่มีร่องรอยบาดเจ็บใดๆ แต่ไม่คิดเลยว่าพวกนั้นจะใจดำอำมหิตถึงขนาดลงไม้ลงมือกับเด็กตัวเล็กๆ ได้ขนาดนี้
   “ใช่ครับ เขาเป็นแวมไพร์ที่หลับใหลในห้วงนิทราอยู่ในโลงศพกว่าห้าร้อยปีแล้ว”
   ลายสิงห์มองท่าทางของหนุ่มน้อยแล้วก็นึกขัน คนอะไรปั้นน้ำเป็นตัวได้ขนาดนี้ จะโกหกอะไรไม่โกหก ดันโกหกเรื่องบ้าๆ บอๆ คิดว่าเด็กคนนี้ไม่เหมาะที่จะเป็นหมอผีหรอก แต่เหมาะที่จะเป็นนักเขียนนวนิยายลึกลับระทึกขวัญอะไรพวกนั้นเสียมากกว่าจากจินตนาการสุดลึกล้ำขนาดนี้ นับว่าเป็นคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมและเหมาะสมที่สุดแล้ว


   ทั้งสองเข้ามาในอาคารสูงตระหง่านอันเป็นที่ตั้งของกรมตำรวจ ทันทีที่ก้าวเข้ามา นายตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบ ต่างก็กล่าวทักทาย บางคนก็ทำความเคารพ
ต้นข้าวหรี่ตามองสำรวจร่างสูงที่เดินอยู่เคียงข้าง ดูท่าทางเขาคงเป็นคนใหญ่คนโตน่าดู เพราะได้ยินมีคนเรียกว่า “ลูกพี่” หรือไม่ก็ “หัวหน้า”
ทั้งคู่ขึ้นลิฟต์ไปยังที่ทำการชั้นห้า เมื่อไปถึง สภาพของทั้งชั้นถูกเนรมิตเป็นออฟฟิศทำงานที่มีโต๊ะรกๆ ตามแบบฉบับของนายตำรวจจัดเรียงเป็นทิวแถว
ตำรวจหลายนายหันมามอง ลุกขึ้นทำความเคารพ ลายสิงห์พยักหน้าตอบ ก่อนเดินตรงไปที่ห้องทำงานด้านในสุด ซึ่งเป็นห้องทำงานเดี่ยวห้องเดียวที่มีอยู่
‘ลายสิงห์ โรจนราชน์ หัวหน้าหน่วยสืบสวนสอบสวนพิเศษ’
ป้ายสีน้ำเงินสลักตัวหนังสือสีขาวแปะอยู่บนประตูไม้โอ๊กสีน้ำตาลอ่อน
มือหนาผลักเปิดเข้าไปในห้อง พร้อมกับตรงไปที่โต๊ะทำงาน ถอดเสื้อสูทตัวนอกออก คลายเนกไทแล้วดึงออกในที่สุด เสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวเปียกโชกไปด้วยเหงื่อจนพื้นผิวเสื้อแนบติดเนื้อ
ร่างสูงเดินไปหยิบรีโมตแอร์ กดปุ่มทำงาน จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ เบื้องหลังโต๊ะทำงานมีแฟ้มเอกสารวางเป็นกองพะเนิน
ต้นข้าวมองสำรวจรอบๆ ในห้องนี้มีตู้เอกสารเหล็ก ตู้เซฟ ชั้นวางหนังสือไม้ โต๊ะกินกาแฟ โทรทัศน์หนึ่งเครื่อง หน้าต่างกระจกที่พอให้เห็นวิวด้านนอกห้อง แอร์หนึ่งตัว คอมพิวเตอร์หนึ่งเครื่อง โน้ตบุ๊คบนโต๊ะทำงานอีกเครื่อง ตู้เสื้อผ้าที่ดูคล้ายล๊อกเกอร์ของนักกีฬา ตู้เย็นขนาดกะทัดรัด ที่นอนปิกนิกที่ถูกพับวางไว้มุมหนึ่งของห้อง
“มีอะไรจะพูดหรือเปล่า ?”
ต้นข้าวมองใบหน้าหล่อเหลาอย่างชั่งใจ ก่อนจะส่ายศีรษะเบาๆ ตัดสินใจที่จะไม่พูดหรืออธิบายอะไรอีก ในเมื่อพูดความจริงไปหมดแล้ว แต่ก็ไม่สามารถทำให้คนตัวโตเชื่อได้เลย
ลายสิงห์ยักไหล่แล้วบุ้ยหน้าให้เด็กหนุ่มนั่งลงที่เก้าอี้ในฝั่งตรงข้าม ขายาวก้าวเดินไปที่เครื่องชงกาแฟ จัดแจงชงกาแฟให้หนุ่มน้อยแก้วหนึ่งและของตนเองอีกแก้วหนึ่ง
เมื่อกลับมานั่งพักดื่มกาแฟจนหายเหนื่อยแล้ว ลายสิงห์ก็พาต้นข้าวออกมาจากห้อง เดินผ่านห้องทำงานขนาดใหญ่ของตำรวจในหน่วยสืบสวนภายใต้การดูแลของเขาเข้ามาในลิฟต์
ทั้งสองคนก้าวออกมาเมื่อถึงชั้นที่เป็นเป้าหมาย เบื้องหน้าปรากฏโถงทางเดินคล้ายทางเดินของโรงแรมที่ปูด้วยพรมสีแดง ซ้ายและขวามือมีประตูหลายบานเรียงราย
ต้นข้าวเหลือบมองป้ายที่ติดอยู่บนประตูในระหว่างเดินผ่านประตูแต่ละบาน ก่อนจะพบว่าดูเหมือนชั้นนี้ทั้งชั้นจะเป็นที่ทำงานของนายตำรวจที่มียศเป็นสารวัตรด้วยกันทั้งนั้น เพราะทุกห้องมีแต่นายตำรวจตำแหน่งนี้กันทั้งหมด
เสียงเคาะประตูเบาๆ พร้อมกับกล่าวรายงานตัวเสียงดังฟังชัดอยู่หน้าห้องท่านผู้บัญชาการอย่างตัวตรงและสง่าผ่าเผย ดึงความสนใจของคนที่เดินตามมาได้อีกครั้ง
น้ำเสียงทุ้มต่ำแฝงไว้ด้วยบารมีน่าเกรงขรามดังออกมาจากห้องเป็นคำอนุญาต
ลายสิงห์ผงกศีรษะให้กับเสียงนั้น แล้วเปิดประตูเข้าไป
ภายในห้องกว้างขวางกว่าที่หนุ่มน้อยคิดเอาไว้ แต่ทุกซอกทุกมุมไม่ได้มีความแตกต่างอะไรกับห้องของลายสิงห์เลยสักนิด ดูเหมือนตำรวจในกรมตำรวจแห่งนี้ จะไม่ค่อยมีรสนิยมในการจัดแต่งห้องทำงานสักเท่าไรนัก มีนายตำรวจวัยกลางคนนั่งอยู่ที่โต๊ะกลางห้องทำงาน มองสำรวจดูแล้วเป็นคนค่อนข้างน่าเกรงขรามไม่ใช่น้อย
“เชิญนั่งก่อนสิ”
ท่านสารวัตรกล่าว ลายสิงห์ยกมือขึ้นทำความเคารพแล้วเดินมานั่งเก้าอี้ตรงหน้าท่านสารวัตร พร้อมกับเด็กหนุ่มที่เดินมานั่งตามหลัง
“สวัสดีครับ ผมสารวัตรอิทธิพล ประจำหน่วยสืบสวนสอบสวนพิเศษ ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
“สวัสดีครับ ผมต้นข้าวครับ ไม่ทราบว่าคุณมีเรื่องอะไรถึงเรียกตัวผมมาหรือครับ ?”
สารวัตรกระแอมเบาๆ ไม่คิดว่าหนุ่มน้อยคนนี้จะพูดเข้าเรื่องในทันที
“อันที่จริงคือ ผมทราบข่าวมาว่าแก๊งขโมยวัตถุโบราณกำลังตามล่าตัวคุณอยู่”
“ครับ”
“พอจะบอกได้ไหมครับว่าทำไมพวกเขาถึงต้องการตัวคุณ ?”
“พวกเขาอยากให้ผมช่วยหาโลงศพของแวมไพร์น่ะครับ”
ใบหน้าของสารวัตรเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามจากคำตอบที่ได้ยิน
“โลงศพของแวมไพร์งั้นเหรอครับ แสดงว่ามันคงจะมีราคาแพงมากสินะ”
“ท่านหมายถึงโลงศพน่ะเหรอครับ ?”
ต้นข้าวยกมือขึ้นแตะนิ้วที่ปลายคางอย่างใช้ความคิด
“ก็น่าจะแพงมากๆ เลยล่ะ จัดว่าเป็นของโบราณหายากเลยก็ว่าได้นะครับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็สรุปได้ว่าพวกนั้นต้องการโลงศพนั่นจริงๆ”
สารวัตรยิ้มกริ่ม เมื่อพอจะคิดหาเหตุผลได้
“แต่ผมว่าไม่ใช่นะครับ”
ต้นข้าวปฎิเสธทันควัน
“ผมคิดว่าพวกนั้นต้องการแวมไพร์ที่นอนหลับใหลอยู่ในโลงมากกว่า เพราะต้องการพลังอำนาจจากเขา”
“แล้วคนพวกนั้นรู้หรือเปล่าว่าโลงศพนั้นถูกซ่อนไว้ที่ไหน ?”
“ไม่รู้หรอกครับ พวกเขาถึงต้องมาหาผมยังไงล่ะ”
ลายสิงห์ลอบถอนหายใจเบาๆ ขนาดอยู่ต่อหน้าสารวัตร หนุ่มน้อยคนนี้ก็ยังกล้าพูดจาเหลวไหลสิ้นดี สงสัยคงจะเพี้ยนไปแล้วจริงๆ
“ดีล่ะ !”
ท่านสารวัตรอุทานเสียงดัง เมื่อนึกอะไรบางอย่างได้
“ลายสิงห์ นายจัดกำลังคนแล้วไปนำโลงศพนั่นกลับมาที่นี่”
“อะไรนะครับ ?”
ลายสิงห์ร้องถามอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
“ให้นายกับคนในหน่วยไปนำโลงศพนั่นมาเก็บไว้ในที่ปลอดภัย ก่อนที่พวกมันจะพบแล้วขโมยไปได้”
“เอ่อ”
ร่างสูงได้แต่ร้องตะโกนในใจกับสิ่งที่ได้ยิน ต้องล้อเล่นแน่ๆ กับการที่จะให้เดินทางไปขนย้ายโลงศพโบราณกลับมาเก็บไว้ที่กรมตำรวจเนี่ยนะ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้งานของเขาออกจะเสี่ยงอันตราย หนำซ้ำยังเคยเป็นบอดี้การ์ดของท่านนายกมาแล้ว แต่นี่กลับไม่ได้อารักขาคนใหญ่คนโต หากแต่เป็นโลงศพเก่าแก่ใบหนึ่งเท่านั้น
“มีอะไรสงสัยเหรอ ?”
ลายสิงห์ส่ายหน้าช้าๆ อย่างไม่อาจจะพูดอะไรออกไปได้อย่างใจคิด
“ผมจะดำเนินการเดี๋ยวนี้แหละครับ !”

ลายสิงห์จัดการคัดเลือกบุคคลกลุ่มหนึ่งเพื่อทำหน้าที่ขนย้ายโลงศพและทำคดีที่เพิ่งได้รับมอบหมายมา มีนายตำรวจทั้งหมดยี่สิบนาย ทุกคนล้วนเป็นนายตำรวจมือดีของหน่วยสืบสวนสอบสวนพิเศษ
เมื่อสั่งการเรียบร้อยแล้ว เขาก็พาต้นข้าวมาที่ลานจอดรถหน้ากรมตำรวจ รถสีขาวยังคงอยู่ในสภาพโทรมไม่มีชิ้นดี เลยต้องเลือกใช้รถของกรมตำรวจแทน


โบสถ์คาทอลิกซิดนีย์อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากกรมตำรวจเท่าไรนัก ใช้เวลาขับรถราวๆ สองชั่วโมง เลียบออกไปชานเมือง
รถตำรวจกว่าห้าคันจอดอยู่หน้าโบสถ์ สภาพของโบสถ์เหมือนหลุดออกมาจากภาพวาดจิตรกรรมบนฝาผนัง ให้กลิ่นอายยุโรป ในขณะที่รอบด้านเป็นลานกว้าง มีทั้งสุสาน ทุ่งนาและสวน บรรยากาศเงียบสงบอบอุ่น เหนือหลังคาขึ้นไปมีหอคอยซึ่งแขวนระฆังขนาดใหญ่สีทองสะท้อนแสงเอาไว้
“เอาล่ะ ทีนี้ก็ช่วยพาพวกเราไปที่โลงศพนั่นที”
ลายสิงห์หันมาบอกทันทีที่ดับเครื่องรถ
“ที่จริงแล้วโลงศพนี่เป็นสมบัติล้ำค่าของโบสถ์นี้ เราไม่ควรเคลื่อนย้ายไปไหนเลยนะ”
“แต่ถ้าไม่ทำแบบนั้น มันได้ถูกขายออกนอกประเทศไปแน่นอน เราต้องรักษาเอาไว้ อย่างน้อยถึงมันจะไม่ได้อยู่ที่นี่ ก็ควรจะได้รับการดูแลให้อยู่ในพิพิธภัณฑ์”
ต้นข้าวลังเลใจ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า ทั้งสองก้าวลงจากรถ นายตำรวจกลุ่มหนึ่งเดินสำรวจรอบๆ บริเวณ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งเดินเข้าไปสำรวจในโบสถ์
“โลงศพนั่นอยู่ข้างในใช่ไหม ?”
ต้นข้าวพยักหน้าเบาๆ เป็นคำตอบรับ
ลายสิงห์เดินนำเข้าไปด้านในโบสถ์ ตามด้วยตำรวจกลุ่มหนึ่งที่คอยระวังหลังให้
ประตูโบสถ์เป็นไม้โอ๊กแบบสองบานขนาดใหญ่ ครั้นพอเปิดเข้าไปแล้ว พื้นโบสถ์ก็สะท้อนแสงสีขาวสว่าง ภาพเบื้องหน้าเป็นลานกว้าง มีม้านั่งยาวเรียงจากซ้ายและขวาเป็นแถวตอนยาวจนนับไม่หวาดไม่ไหว มีช่องตรงกลางเอาไว้สำหรับเดินตรงไปยังแท่นพิธี บนฝาผนังปรากฏไม้กางเขนขนาดใหญ่และรูปปั้นพระแม่มารี
กำแพงรอบๆ ทำจากปูนสลักลวดลายงดงาม เป็นรูปของพระแม่มารี พระเยซู ไปจนถึงบุคคลสำคัญในศาสนา บนเพดานก็มีรูปวาด หน้าต่างกระจกมีแสงแดดอ่อนๆ ลอดผ่านเป็นลำเข้ามา ทำให้สภาพภายในไม่อบอ้าวจนเกินไป
ต้นข้าวเดินตรงมาที่กลางห้องโถงกว้าง จากนั้นก็กวาดสายตามองไปรอบๆ พักหนึ่งก็ก้าวเดินตรงไปที่แท่นพิธี ค่อยๆ เคลื่อนแท่นพิธีนั่น จากนั้นสิ่งผิดปกติก็เกิดขึ้น กำแพงด้านซ้ายเริ่มเกิดแรงสั่นสะเทือน นายตำรวจที่ยืนคุ้มกันอยู่ด้านหลังคว้าปืนขึ้นมาเล็ง กำแพงยังไม่หยุดเคลื่อนไหว จนในที่สุดก็เปิดออกจนเกิดเป็นประตูขนาดเล็กพอที่จะให้คนเดียวเข้าไปด้านใน
ลายสิงห์ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ประตูกลถือว่าเป็นเรื่องแหกตา ที่คิดว่าไม่มีจริงอยู่ในโลกใบนี้ จะมีก็แต่ในหนังเท่านั้น แต่นี่กลับได้เห็นกับตาตัวเอง จนทำให้ยืนตะลึงและถึงกับพูดไม่ออก นายตำรวจพากันลดปืนลง ยืนมองประตูกลนั้นอย่างไม่อยากจะเชื่อเช่นเดียวกัน
“อยู่ข้างในนั้น”
ต้นข้าวบอกและเดินตรงเข้าไปในประตูกลที่เพิ่งถูกเปิดออก
“พวกนายรออยู่ตรงนี้ ดูต้นทางไว้”
ลายสิงห์หันมาสั่งลูกน้องด้วยเสียงเฉียบ พร้อมกับเดินตามหนุ่มน้อยเข้าไปในประตูอันน่าเหลือเชื่อนั้น เมื่อผ่านเข้ามาก็พบบันไดขนาดเล็กทอดยาวลงไปยังเบื้องล่างอันมืดสนิท ไม่ช้านักข้างหน้าก็มีแสงไฟสว่างไสวอยู่ ดูท่าจะเป็นจุดมุ่งหมายในการเดินทางในครั้งนี้
เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอับชื้น เสียงร้องของหนูและเสียงวิ่งไปมายั้วเยี้ย นึกกังวลว่าจะมีตัวอะไรมาไต่ตามตัวหรือเปล่า โดยเฉพาะเจ้าแมลงสาบ สัตว์ชนิดเดียวที่เกลียดและกลัวที่สุดในโลก นั่นเป็นสิ่งที่หัวหน้าหน่วยสืบสวนสอบสวนพิเศษแห่งกรมตำรวจหวาดระแวงอยู่ในตอนนี้
เดินมาได้สักพัก ทั้งสองก็ออกมาสู่แสงสว่างท่ามกลางห้องรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส รอบๆ ห้องว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย แสงไฟที่เห็นเป็นแสงที่ส่องลอดมาจากช่องว่างบนกำแพงที่ดูเหมือนจะเป็นแสงจากภายนอก
กลางห้องมีโลงศพโบราณที่มีรอยสลักจารึกภาษาแปลกๆ ที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน จะเป็นภาษาอังกฤษก็ไม่ใช่ ภาษาสเปน ฝรั่งเศส หรือละติน ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่เหมือนเลยสักนิด สายตาคู่คมถูกดึงดูดด้วยภาษาแปลกๆ นั้น ผ่านไปพักหนึ่งก็เริ่มตระหนักได้ถึงเสียงฝีเท้าที่กำลังวิ่งตรงมา
“นั่นใคร !”
ลายสิงห์หยิบปืนออกมาจากซองที่เหน็บอยู่ที่เอว เมื่อไม่มีเสียงตอบรับ ก็จัดการปลดเซฟตี้ล๊อก จากนั้นก็ยิงเข้าไปในโถงทางเดินที่แสนมืดนั้น
“ทำอะไรน่ะ พวกนั้นอาจจะเป็นลูกน้องของคุณก็ได้นะ”
ต้นข้าวเบิกตากว้าง และร้องปรามด้วยความตกใจ
“ไม่มีทาง ลูกน้องของผมไม่มีทางละเลยคำสั่งของผม”
เสียงเรียบเอ่ยตอบ พร้อมกับระดมยิงเข้าใส่โถงทางเดินนั่นอีกครั้ง เสียงฝีเท้าเริ่มลดจำนวนลง ตามมาด้วยได้ยินเสียงร้องโหยหวนจากความเจ็บปวด ลายสิงห์จึงรีบจัดการรัวปืนใส่ไม่ยั้ง
“พอเถอะ !”
ต้นข้าวอดรนทนไม่ไหว คิดว่าชายหนุ่มอาจจะเสียสติไปแล้วก็ได้ รีบวิ่งเข้ามายื้อแย่งปืนในมือของเขา เวลาเดียวกันนั้นเอง ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ในชุดสูทสีดำก็พุ่งพรวดเข้ามาในห้อง
เปรี้ยงงง !
ร่างของลายสิงห์กระเด็นหงายหลังด้วยแรงปืนที่ปะทะมาอย่างแรงโดยไม่มีโอกาสได้ระวัง รู้สึกเจ็บแปลบไปถึงกระดูกบริเวณหัวไหล่
ต้นข้าวตาโตเบิกกว้างจากเหตุการณ์ระทึกขวัญตรงหน้า เมื่อกลางวันก็ถูกตามฆ่า มาตอนนี้ก็ได้เห็นคนยิงกันซึ่งๆ หน้าอีก หนุ่มน้อยรู้สึกวิงเวียน ก่อนจะหมดสติล้มลงไปในที่สุด
ชายหนุ่มพยายามจะลุกขึ้นยืน แต่อีกฝ่ายกลับไปยอมให้เป็นเช่นนั้น ชั่วพริบตากระสุนอีกนัดหนึ่งจึงพุ่งออกมาจากกระบอกปืน ฝังลงบนหน้าอกข้างซ้าย
ลายสิงห์รวบรวมสติที่เหลือเพียงน้อยนิด ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนายตำรวจฝีมือดีข้างนอก แต่ลางสังหรณ์บ่งบอกว่าไม่มีใครเหลือรอดอยู่เลยสักคนเดียว
“ไอ้บ้านี่ยิงลูกน้องเราไปตั้งหลายคน มันฉลาดนักที่รู้ว่าเป็นพวกเรา”
เสียงของชายฉกรรจ์แหบแห้ง หอบหายใจด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากการวิ่งตรงเข้ามา
“รีบจัดการมันซะ เรามีเวลาไม่มาก เดี๋ยวพวกมันจะแห่กันมาอีก !”
อีกเสียงหนึ่งดังขึ้น บ่งบอกถึงความร้อนรนใจไม่น้อย
“ทำยังไงดี เลือดเลอะโลงศพไปหมดแล้ว”
เสียงไม่พอใจของคนหนึ่งกล่าวขึ้น เมื่อเห็นเลือดสีแดงที่ไหลรินออกจากร่างนายตำรวจหนุ่มเลอะเทอะอยู่บนฝาโลง และไหลย้อยลงมาที่พื้น
“ให้ตายเถอะ รีบเช็ดเร็ว เดี๋ยวมันไหลเข้าไปข้างใน ราคาอาจจะตกได้”
ว่าแล้วชายฉกรรจ์คนหนึ่งก็จัดการผลักร่างสูงใหญ่ที่หอบหายใจรวยรินให้ร่วงหล่นลงมากองอยู่กับพื้น ส่วนที่เหลืออีกกว่าหกเจ็ดคนก็ถอดเสื้อสูทแล้วรีบเช็ดคราบเลือดบนโลง
ดวงตาคู่คมค่อยๆ หรี่ลงช้าๆ ราวกับใกล้จะหมดแรงลงเต็มที สติเริ่มพร่าเลือน แต่อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดังลั่นขึ้นราวกับมีแรงระเบิดจากอะไรบางอย่าง พร้อมกับที่เห็นชายฉกรรจ์กระเด็นกระดอนไปคนละทิศละทาง มานอนร้องโอดโอยอยู่กับพื้น
“นี่มันอะไรกันวะ !”
ชายร่างใหญ่หนึ่งในกลุ่มพยายามลุกยืนและตะคอกถามเสียงดัง
“ไอ้นี่มันออกมาจากโลงศพ มันระเบิดโลง ไอ้เด็กหนุ่มบ้านี่มันระเบิดโลงศพของเรา !”
ลายสิงห์รู้สึกเหน็บหนาวและปวดร้าวไปทั้งร่าง อาจจะเป็นเพราะว่าเสียเลือดไปมาก พอจะจับใจความสิ่งที่คนในห้องพูดกันได้บ้างไม่ได้บ้าง
“ฆ่ามันทิ้งเลยก็แล้วกัน !”
สิ้นคำสั่งที่ได้ยิน ลายสิงห์ก็เห็นร่างของคนๆ หนึ่งมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าและนั่งคุกเข่าลงใกล้ๆ
ดวงตาคู่คมมองหนุ่มน้อยหน้าตาอ่อนหวาน ผิวขาวราวกับไม่เคยโดนแสงแดด รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าน่ารัก เด็กหนุ่มคว้าข้อมือที่เปื้อนไปด้วยเลือดของเขามาจับไว้อย่างอ่อนโยน จากนั้นก็จุมพิตลงที่หลังฝ่ามือราวกับจะแสดงความรักและเคารพที่มีมอบให้
จากนั้นเสียงใสก็เอ่ยออกมาเพียงเบาๆ พร้อมกับสติที่ดับวูบลงในทันที
“สวัสดีขอรับ .. เจ้านาย”



ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ AUGUSTLOVE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-0
3

   ลายสิงห์รู้สึกตัวตื่นขึ้นด้วยความสะลึมสะลือ พบว่ากำลังนอนอยู่ในห้องบนเตียงของตัวเอง ค่อยๆ ยันตัวลุกนั่งพิงพนักด้านหลัง รู้สึกเวียนหัวจนต้องหลับตาลงอยู่ชั่วครู่
   หลังจากเวลาผ่านไปจนรู้สึกดีขึ้น จึงเริ่มกวาดสายตามองสำรวจทั่วห้องอย่างพิจารณา และก็มั่นใจว่านี่คือห้องนอนของเขาจริงๆ
   งั้นเรื่องที่ผ่านมาล่ะ .. ฝันอย่างนั้นหรือ
   มือหนายกขึ้นลูบคลำร่องรอยที่คิดว่าตัวเองถูกยิง แต่ก็ไม่พบบาดแผลใดๆ เลยสักนิด ร่างกายกำยำอยู่ในสภาพเปลือยเปล่าจนอดที่จะแปลกใจไม่ได้
   ดวงตาคู่คมเหลือบมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนัง บ่งบอกเวลาเที่ยงคืนแล้ว ก่อนจะถอนหายใจอย่างหนักหน่วง ยังจดจำความเจ็บปวดจากกระสุนปืนที่ผ่านทะลุลำตัวได้ไม่รู้ลืม ร้าวระบมราวกับว่าโดนจริงๆ อย่างนั้นแหละ
   แต่ไม่ว่าจะพยายามเค้นสมองเท่าไร ก็ไม่เข้าใจเลยว่าตัวเองกลับมาที่นี่ได้อย่างไร หรือหลังจากที่เจ้าเพื่อนรักแย่งคู่ดูตัวไปแล้ว เขาอาจจะแวะดื่มเหล้าที่ไหนสักแห่งแก้ช้ำใจก่อนกลับ ทำให้เมามายจนจำเหตุการณ์ในวันนี้ไม่ได้เลย คงจะเป็นอย่างนั้นสินะ
   ลายสิงห์ถอนหายใจอย่างโล่งอก พยักหน้าเห็นด้วยกับข้อสันนิษฐานนี้ ก็จะเป็นอย่างอื่นไปได้อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหมอผีบ้าบอ โลงศพ เรื่องที่ถูกยิงจนเกือบตาย แล้วไหนจะคนที่โผล่ออกมาจากโลงนั่นอีกล่ะ
   “ไร้สาระจริงๆ”
   ชายหนุ่มสบถเบาๆ อย่างหงุดหงิดที่ตัวเองฝันเรื่องไร้สาระได้ถึงขนาดนี้ พยายามเรียกสติกลับมา จากนั้นก็ขยับมาที่ขอบเตียง ระหว่างที่กำลังจะก้าวลงก็ก้มลงมองพื้น ก่อนจะเบิกตาโตด้วยความตกใจ
   “เฮ้ยย”
   ลายสิงห์กระโดดโหยงกลับขึ้นไปนั่งบนเตียงอย่างรวดเร็ว เมื่อมองเห็นที่พื้นข้างๆ เตียง มีโลงศพแนวยุโรปโบราณที่ทำจากหินอ่อนวางตั้งอยู่ ลวดลายแปลกตาที่เคยเห็นในความฝันปรากฏอยู่บนโลงศพราวกับเป็นพิมพ์เดียวกัน
   “นี่มันอะไรกันวะเนี่ย”
   หน้าหล่อเหลาเริ่มซีดเซียว พยายามประมวลผลความคิดและความทรงจำอีกครั้ง ก่อนจะเบิกตากว้างค้างไว้จนตาไม่กระพริบ เมื่อได้เห็นบุคคลหนึ่งที่กำลังก้าวเดินเข้ามาในห้อง
   เด็กหนุ่มอายุไม่น่าเกิน 20 ปี ผมสีทองยาวประบ่าพลิ้วไหวยามเคลื่อนกาย ใบหน้าน่ารักแต่ขาวซีดราวกับไร้สีเลือด จมูกเรียวเล็ก ดวงตากลมโตสีทองฉายแววอ่อนโยน ริมฝีปากแดงดุจผลเชอรี่ รูปร่างเพรียวบาง สูงราวๆ 175
   ไม่ผิดแน่ๆ คนๆ นี้ คือคนที่ได้มองเห็นก่อนที่จะหมดสติไป แต่กระนั้นก็ยังพยายามจะบอกตัวเองว่านี่อาจเป็นฝันซ้อนฝันก็ได้
   ลายสิงห์หลับตาลงสนิท จากนั้นก็ร้องเรียกสติกลับมา ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง หากแต่หนุ่มน้อยตรงหน้า กับโลงศพที่อยู่ข้างเตียงก็ยังไม่ยอมหายไป
   “อย่าเข้ามานะ”
   สัญชาตญาณตำรวจบอกให้กวาดสายตามองหาอาวุธคู่กาย แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้มันอยู่ที่ไหน
   “นายเป็นใคร”
   เด็กหนุ่มเอียงคอมองด้วยท่าทางน่าเอ็นดู ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงใส
“ข้าก็เป็นข้าน่ะสิ”
“เรื่องนั้นน่ะรู้แล้ว แต่ฉันอยากรู้ว่านายชื่ออะไร เป็นใคร และมาจากไหน”
“ข้าชื่อ .. เลโอซิส เป็นแวมไพร์ และมาจากอิตาลี”
ลายสิงห์อ้าปากค้างจากคำตอบที่ได้ยิน แม้จะคิดอยู่แล้วว่าคนที่ได้เห็นก่อนที่จะหมดสติไปต้องไม่ใช่คนธรรมดา เพราะจะมีคนปกติที่ไหน ที่อยู่ๆ ก็โผล่ออกมาจากโลงศพ แต่งตัวด้วยเสื้อผ้ายุโรปโบราณ ราวกับเป็นผู้ดีหรือชนชั้นสูงแบบในภาพยนตร์
แล้วไหนจะยังสามารถมีชีวิตรอดมาได้จากเงื้อมมือของชายฉกรรจ์ในสุสานนั่น จนมาอยู่กับเขาในตอนนี้ จะต้องไม่ใช่เรื่องปกติอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่คิดว่าจะเลวร้ายถึงขนาดนี้
นี่มันจะบ้าไปกันใหญ่แล้ว
ดวงตาคู่คมเหลือบเห็นหลวงพ่อเลี่ยมทองวางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง มือหนารีบคว้าหยิบมายกขึ้นพนมมือท่องคาถานะโมสามจบ จากนั้นก็ชูหลวงพ่อขึ้นตรงหน้า
“อย่าเข้ามานะเว้ยย”
เสียงทุ้มตวาดลั่นอย่างสั่นนิดๆ แววตาคมกล้าที่เคยมุ่งมั่นไม่เคยสั่นคลอนแม้จะอยู่ต่อหน้าวายร้ายตัวพ่อที่เอาปืนมาจ่อหัว กลับต้องมาสั่นเลิ่กลั่กเพราะเด็กหนุ่มตัวบางๆ แค่คนเดียว คิดแล้วถ้าหากลูกน้องในกรมมาเห็นสภาพในตอนนี้ คงจะนั่งหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็งเป็นแน่
“ให้ข้าเหรอ ขอบคุณมากนะ”
แวมไพร์หนุ่มน้อยฉีกยิ้มกว้างระบายอย่างน่ารัก พร้อมกับถลันเข้ามาคว้าสร้อยพระ สวมลงที่ลำคอระหง และลูบคลำด้วยท่าทางดีใจ ราวกับได้รับเช็คเงินสดหลายสิบล้าน
ลายสิงห์อ้าปากค้างพะงาบๆ ในสิ่งที่เห็น นอกจากไม่กลัวแล้ว แวมไพร์ตรงหน้ายังไปยืนส่องกระจกเพื่อชื่นชมสิ่งของที่เพิ่งได้รับไปด้วยท่าทางตื่นเต้นดีใจซะด้วย
คิ้วเข้มขมวดมุ่นพลางครุ่นคิด ก่อนจะนึกได้ว่าแวมไพร์คงไม่น่าจะกลัวพระ และใช้โอกาสที่หนุ่มน้อยกำลังเผลอ ก้าวกระโดดลงจากเตียง จากนั้นก็ยืนตั้งหลักอยู่ที่พื้น ยกมือทั้งสองข้างขึ้น มือข้างซ้ายตั้งเป็นมุมเก้าสิบองศา ส่วนอีกข้างตั้งขนานกับพื้น จากนั้นก็นำมาไขว้กันในลักษณะไม้กางเขน
เลโอซิสส่องกระจกด้วยใบหน้ายิ้มแย้มสดใส รู้สึกมีความสุขกับของขวัญชิ้นแรกที่เจ้านายมอบให้ ดูเหมือนว่าเจ้านายจะเป็นคนใจดี และให้การต้อนรับเป็นอย่างดีเลยเชียวล่ะ
“เอ๋ ท่านทำอะไรน่ะ”
แวมไพร์หนุ่มน้อยหันมาเห็นท่าทางของเจ้านายที่ดูแปลกๆ ดวงตาโตมองอย่างสงสัย
“ไม่เห็นเหรอไง นี่คือไม้กางเขน นายกลัวไม้กางเขนสินะ”
“หืม ทำไมข้าต้องกลัวไม้กางเขนด้วยล่ะ”
“เอ้า ก็เพราะว่านายเป็นแวมไพร์ ถ้านายเป็นแวมไพร์จริงๆ ก็ต้องกลัวไม้กางเขนสิ”
คิ้วเรียวขมวดมุ่นอย่างประหลาดใจหนักกว่าเก่าจากสิ่งที่ได้ยิน ยืนนิ่งประมวลผลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วอยู่ดีๆ ร่างบางๆ ก็ทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น ดิ้นทุรนทุรายไปมาพร้อมกับเสียงร้องโอดโอย
“โอ๊ยยย กลัวแล้ว ข้ากลัวแล้ว กลัว โอย”
ลายสิงห์ยิ้มกว้าง ได้ผลจริงๆ ด้วย ว่าแล้วก็ย่างสามขุมเข้าไปใกล้แวมไพร์หนุ่มน้อยที่นอนดีดดิ้นอยู่กับพื้น โดยยังคงทำมือรูปไม้กางเขนอยู่แบบนั้น
“ฮ่าๆๆๆ”
ลายสิงห์หัวเราะร่าอย่างชอบใจ ทุกคนก็ย่อมมีจุดอ่อนเป็นของตัวเอง เหมือนอย่างเขาที่ทั้งเกลียดและกลัวแมลงสาบที่สุด ส่วนแวมไพร์ก็ต้องกลัวไม้กางเขนจริงๆ สินะ
“พอหรือยังขอรับ เจ้านาย"
จู่ๆ ร่างที่นอนอยู่กับพื้นก็หยุดดิ้น และลุกยืนขึ้นด้วยท่าทางเรียบเฉย
ชายหนุ่มพยายามยื่นมือที่ทำไม้กางเขนเข้าไปจ่อตรงหน้าแวมไพร์หนุ่มน้อยอีกครั้ง หากแต่เลโอซิสกลับใช้มือปัดแขนแข็งแรงทั้งสองข้างออก แล้วปัดฝุ่นตามเสื้อผ้าและผมเผ้าของตัวเองจนเรียบร้อย
“นะ นายไม่กลัวแล้วเหรอ”
ลายสิงห์อ้าปากค้างไม่รู้เป็นรอบที่เท่าไร
“ไม่ ไม่กลัวเลยสักนิด”
“แต่เมื่อกี้ฉันเห็นนายลงไปนอนดิ้น”
“นั่นเป็นเพราะเจ้านายบอกให้ข้ากลัว ข้าเพียงทำตามคำสั่งเท่านั้น”
ลายสิงห์ใจเต้นระทึกจากคำตอบที่ได้ยิน คนทั่วโลกรู้ดีอยู่แล้วว่าแวมไพร์กลัวไม้กางเขน แต่นี่มันบ้าบอคอแตกอะไรกัน แวมไพร์หนุ่มตนนี้ถึงไม่กลัวพระ ไม่กลัวไม้กางเขน และดูเหมือนว่าจะไม่มีจุดอ่อนเลยสักนิด
ร่างสูงผงะถอยหลังไปตั้งหลัก มองสำรวจร่างบางๆ ตรงหน้าอย่างพิจารณา
“เจ้านาย”
“หะ ห๊ะ”
เสียงทุ้มขานรับอย่างตะกุกตะกัก
“ข้าคิดว่าเจ้านายควรจะสวมเสื้อผ้าซะก่อน ข้าเกรงว่าท่านอาจจะเป็นไข้”
ลายสิงห์มองตามดวงตากลมโตที่กำลังจับจ้องอยู่ที่ร่างกายของเขา ก่อนจะผวาสะดุ้งด้วยความตกใจ เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองตื่นขึ้นมาอยู่ในสภาพที่เปลือยเปล่า ไม่มีอะไรปกปิดเรือนร่างเลยแม้แต่ชิ้นเดียว
“ฮะ เฮ้ยยย“
ร่างสูงก้าวกระโดดพรวดไปจนถึงตู้เสื้อผ้าใบใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลกันนัก รีบจัดการเปิดตู้และเลือกๆ เสื้อผ้าที่อยู่ในนั้นออกมาสวมใส่อย่างลวกๆ ด้วยความรวดเร็ว
รู้สึกอยากจะเป็นบ้าขึ้นมาอย่างกะทันหัน แทนที่จะได้แก้ผ้าต่อหน้าผู้หญิง นี่กลับต้องเป็นเด็กหนุ่มที่ได้เห็น ที่สำคัญคือดันไม่ใช่คน แต่เป็นแวมไพร์ซะอีก



ร่างสูงมาทรุดตัวนั่งลงอยู่บนโซฟาภายในห้องนั่งเล่น โดยสั่งให้เด็กหนุ่มนั่งที่โซฟาตัวตรงกันข้าม พยายามเก็บอาการประหม่าและหวาดหวั่นเอาไว้อย่างมิดชิด ก่อนจะเปิดประเด็นสนทนา
“นายเป็นแวมไพร์จริงๆ เหรอ”
“ขอรับ”
“ทำไมถึงพูดภาษาไทยได้”
“ข้าสามารถพูด อ่าน และเขียน ได้ทั้งหมด 431 ภาษา”
“ห๊า”
ลายสิงห์พูดไม่ออก มาถึงตอนนี้ก็ยังไม่อยากจะทำใจยอมรับเลยว่าตัวเองกำลังสนทนาอยู่กับสิ่งมีชีวิตที่น่าจะมีอยู่แค่ในนิยาย อยากจะหัวเราะเหลือเกินแต่ก็หัวเราะไม่ออก ถ้าหากตอนนี้เขาโทรไปบอกใครสักคนว่ากำลังคุยอยู่กับแวมไพร์ ก็คงจะถูกกระแทกหูวางสายใส่ หรือไม่ก็บอกให้เขาไปหาหมอโรคประสาทเสียกระมัง
“นายเป็นแวมไพร์มานานแค่ไหนแล้ว”
“ตั้งแต่คริสต์ศักราช 1505”
“1505 ห๊ะ 509 ปี”
“ขอรับ ไม่รวมอายุตอนเป็นมนุษย์นะ”
“หืมม หมายความว่าไง นายเคยเป็นคนมาก่อนอย่างนั้นรึ”
“ใช่ ข้าเป็นมนุษย์จนอายุ 16 จากนั้นก็กลายเป็นแวมไพร์อย่างตอนนี้”
“แล้วทำไมถึงกลายเป็นแวมไพร์ได้ล่ะ”
เสียงทุ้มถามด้วยความข้องใจ ไหนๆ ก็ไหน ก็ต้องพยายามหาเรื่องคุยเอาไว้เพื่อสร้างสัมพันธ์อันดี เพราะกลัวว่าหากไปพลั้งเผลอทำให้แวมไพร์ตรงหน้าโกรธล่ะก็ คงจะไม่ใช่เรื่องดีหรือสมควรอย่างแน่นอน
“มีแวมไพร์มากัดและปล่อยพิษให้ข้า”
“จากนั้นนายก็กลายเป็นแวมไพร์น่ะเหรอ”
“ขอรับ”
“แล้วทำไมถึงไปนอนหลับอยู่ในโลง”
“หลังจากข้ากลายเป็นแวมไพร์มาได้ราวๆ ร้อยกว่าปี ก็มีแวมไพร์ตนหนึ่งมาหลงรักข้า แต่ข้าไม่ได้รักตอบ เขาจึงใช้อำนาจสาบแช่งให้ข้าหลับใหลไปตลอดกาล”
“อ้าว แล้วถ้างั้นทำไมนายถึงตื่นขึ้นมาได้ล่ะ”
“เรื่องนั้นข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่คิดว่าคงจะเป็นเพราะเลือดของท่าน”
“เลือด เลือดของฉันอย่างนั้นเหรอ”
“ขอรับ และข้าขอสัญญาว่าจะอยู่เป็นทาสรับใช้ของเจ้านายตลอดไป”
ลายสิงห์กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ก่อนจะส่ายศีรษะเบาๆ เพื่อขับไล่ความวิงเวียน พยายามรวบรวมกำลังใจและพูดออกไป
“เอ่อ คือ ไม่รับได้ไหม”
ดวงตากลมโตสีทองมองชายหนุ่มอย่างนิ่งคิด เอียงคอซ้ายที ขวาที ราวกับไม่เข้าใจในสิ่งที่ได้ยิน
“คือ แบบ หมายความว่านายไม่ต้องอยู่กับฉันได้ไหม ช่วยแล้วก็แล้วกันเถอะนะ นายก็ฟื้นมาแล้ว ก็ไปตามทางใครทางมันละกันนะ”
หน้าหล่อพยายามฉีกยิ้มด้วยท่าทางจริงใจ หวังว่าหนุ่มน้อยแวมไพร์จะยอมรับข้อเสนอนี้แต่โดยดี
“ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกขอรับ”
ลายสิงห์หุบยิ้มลงอย่างทันควัน จากคำปฏิเสธอย่างไม่ยอมเสียเวลาหยุดคิด
“ทำไมล่ะ ฉันช่วยนายก็ไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทนหรอกนะ จริงๆ นะ เชื่อสิ”
ชายหนุ่มยังคงพยายามหว่านล้อม หวังว่าแวมไพร์จะพอเข้าใจมนุษย์บ้าง
“ข้าไปจากเจ้านายไม่ได้ เพราะตอนนี้หัวใจของข้าอยู่กับท่าน”
“หะ ห๊ะ ว่าไงนะ”
“เจ้านายได้รับบาดเจ็บและเสียเลือดมาก หัวใจเกือบจะหยุดเต้นไปแล้ว ข้าจึงตัดสินใจมอบหัวใจของข้าให้กับเจ้านาย ส่วนหัวใจของเจ้านายก็อยู่กับข้า เลือดของแวมไพร์ในร่างของข้าจะช่วยรักษาหัวใจของเจ้านายให้แข็งแรงดังเดิม”
“เดี๋ยวๆ เดี๋ยวนะ นี่นายกำลังจะบอกว่าเราสองคน เอ๊ย ไม่ใช่ ฉันหนึ่งคน กับนายที่เป็นแวมไพร์น่ะ กำลังเปลี่ยนหัวใจกันใช้อยู่ในตอนนี้อย่างนั้นเหรอ”
“ขอรับ”
“บ้าไปแล้ว มันจะเป็นอย่างงั้นไปได้ยังไงกัน นี่หัวใจนะ นึกจะแลกก็สามารถแลกกันได้ง่ายๆ อย่างงี้เลยเหรอ”
เสียงห้าวตวาดลั่นด้วยความลืมตัว ลบเลือนความหวาดหวั่นที่มีต่อแวมไพร์ตนหนึ่งตรงหน้าไปจนหมดสิ้น รู้สึกว่าเรื่องที่ได้ยินช่างเป็นสิ่งที่เหลวไหลสิ้นดี
แค่ให้ทำใจยอมรับว่าหนุ่มน้อยหน้าหวานนี่เป็นแวมไพร์ก็แทบอยากจะเป็นลมซะสามสี่รอบแล้ว ยังจะมามีเรื่องเปลี่ยนถ่ายหัวใจกันใช้นี่อีก
เลโอซิสลุกจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่เมื่อครู่ ก้าวเดินตรงเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าร่างสูง มือขาวเนียนทั้งสองข้างยกมาประคองใบหน้าหล่อเหลาของเจ้านายหนุ่มเอาไว้
ลายสิงห์เบิกตาโตกว้างด้วยความตกใจ จากความเย็นที่ประทับอยู่บนผิวหน้า ไม่อยากเชื่อว่าแวมไพร์จะมีอยู่จริงบนโลกใบนี้ และที่น่าเหลือเชื่อมากกว่าก็คือแวมไพร์ตนนั้น กำลังประทับริมฝีปากสีสดลงมาที่ริมฝีปากของเขา
จูบ เขากำลังจูบกับแวมไพร์อยู่
ครู่หนึ่งก็รู้สึกเหมือนมีน้ำอุ่นๆ ไหลผ่านปากนุ่มส่งเข้ามาในปากของเขา ก่อนจะไหลลงสู่ลำคอ ความอุ่นที่รับรู้ได้ทำให้ถึงกับเหงื่อท่วมตัว พักหนึ่งก็รู้สึกเหมือนมีน้ำอุ่นอีกระลอกพุ่งออกมาจากในร่างกาย ผ่านขึ้นมาบนริมฝีปาก แล้วส่งออกไปยังปากของแวมไพร์หนุ่มน้อย
ทันทีที่น้ำอุ่นระลอกสองพ้นไปจากร่าง ก็ราวกับพลังงานชีวิตทั้งหมดก็พลอยไหลออกไปด้วย ร่างสูงทรุดตัวล้มลงไปนอนกองกับพื้น พยายามฝืนร่างกาย แต่ก็ไม่อาจขยับได้เลยสักนิด ความเจ็บปวดแสนสาหัสและหนาวเหน็บเสียดแทงเข้ามาจนถึงไขกระดูก
ลายสิงห์รู้สึกหวาดหวั่น ไม่เคยรู้สึกหนาวและเจ็บปวดเช่นนี้มาก่อน คล้ายมีใบมีดหลายพันล้านใบกำลังแล่ผิวเนื้ออยู่ก็ไม่ปาน เขาเข้าใจความรู้สึกนี้ดี
ใช่แล้ว เหมือนร่างกายจะหวีดร้องบอกเตือนว่าเขากำลังจะตายในไม่ช้า
“ข้าคืนหัวใจของท่านให้แล้ว แต่ยังอ่อนแอมากนัก จะรักษาหัวใจของเจ้านายให้หายก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามเดือน แต่ข้าไม่อาจรู้ได้ว่าหากอยู่ในร่างกายของท่านเช่นนี้ จะเป็นอย่างไร”
ร่างสูงกระตุกเฮือก พยายามจะเอ่ยปากพูด แต่ก็อ่อนแอเกินกว่าจะทำอย่างที่ใจคิดได้ นึกอยากจะให้ตัวเองตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด ดีกว่าต้องนอนรอความตายอย่างช้าๆ และทรมานแบบในตอนนี้
เลโอซิสย่อตัวลงและคุกเข่าลงบนพื้นตรงหน้าชายหนุ่ม จากนั้นก็ใช้สองมือประคองใบหน้าหล่อเหลา แล้วประทับริมฝีปากลงมาอีกครั้งอย่างแผ่วเบา
น้ำอุ่นระลอกหนึ่งส่งผ่านจากหนุ่มน้อยแวมไพร์มาที่ลายสิงห์ และไออุ่นระลอกสองส่งผ่านจากเขาไปยังเลโอซิส ทุกอย่างเกิดขึ้นผ่านทางริมฝีปากที่เป็นทางเชื่อม ตอนนั้นเองที่เขาเริ่มตระหนักได้ว่าทุกอย่างเป็นความจริง
แวมไพร์มีตัวตนอยู่จริง และกำลังอยู่ตรงหน้าในเวลานี้ ที่สำคัญก็คือแวมไพร์ตนนี้ก็ได้ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ด้วยการแลกเปลี่ยนหัวใจกันจริงๆ
ความอุ่นพิเศษพวยพุ่งไปตามกระแสเลือด ทำให้ร่างกำยำกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง คล้ายจู่ๆ พลังทั้งหมดก็กลับคืนมาอย่างไรอย่างนั้น
ลายสิงห์ยันตัวลุกขึ้นนั่ง มือไม้และเนื้อตัวสั่นสะท้านด้วยความหวาดหวั่น เขาไม่เคยรู้สึกเกรงกลัวต่อความตาย แต่เรื่องพิลึกพิลั่นเหล่านี้กลับทำให้กลัวจนขนหัวลุกซู่ไปหมด สารภาพตามตรงว่ากลัวจนสุดชีวิต
“อย่างที่เจ้านายเห็นนั่นแหละขอรับ ด้วยเหตุนี้หัวใจของท่านจึงอยู่กับข้า และหัวใจของข้าจึงอยู่ที่ท่าน”
ชายหนุ่มอยากจะหัวเราะให้ฟันร่วง แต่กลับหัวเราะไม่ออกเสียอย่างนั้น ทำไมต้องเป็นเขาด้วยล่ะ คนอื่นมีตั้งเยอะแยะ ทำไมถึงต้องเป็นเขาที่มาเจอกับเรื่องประหลาดแบบนี้ด้วย
“ข้าหิวแล้ว”
“แล้วยังไง”
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย
“ข้าขออนุญาต”
หนุ่มน้อยแวมไพร์เขยิบเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วเพียงชั่วพริบตา จากนั้นก็จับใบหน้าหล่อเหลาให้เอียงออกเผยให้เห็นต้นคอขาว เขี้ยวเล็กๆ งอกออกมาจากริมฝีปากสีสดและค่อยๆ ฝังลงบนต้นคอหนา
“เฮ้ย”
ลายสิงห์ใช้มือดันศีรษะทุยๆ ของหนุ่มน้อยออก ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น รู้แค่ว่าแวมไพร์ตนนี้กำลังทำอะไรบางอย่างกับลำคอของเขาอยู่
“ฮ้า อร่อย”
ในที่สุดเลโอซิสก็ผละออกจากคอของชายหนุ่ม มีรอยเลือดสีแดงสดติดอยู่ที่ริมฝีปาก
“นี่ นาย กินเลือดของฉันเหรอ”
ลายสิงห์ยกมือจับต้นคอที่ยังรู้สึกเสียวแปลบ ไม่รอฟังคำตอบ ร่างสูงพุ่งไปที่กระจกในห้องน้ำ ดวงตาคู่คมมองสำรวจคอของตัวเอง ก็พบรอยแดงเป็นจ้ำสองจุด
“หมายความว่าไงเนี่ย”
“ข้าเป็นแวมไพร์”
“แล้วยังไง”
“ต่อจากนี้ไป ข้าจะอยู่กับท่าน และเลือดที่ข้าสามารถจะกินได้ คือเลือดของท่านเพียงผู้เดียวเท่านั้น”





****คอมเม้นท์ติชม แนะนำ เป็นกำลังใจให้กันด้วยนะคะ กราบบบบบบบบ****





 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:



ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ AUGUSTLOVE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-0
4

   ร่างสูงนั่งอยู่บนเตียงพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ อยากจะเอ่ยปากไล่สุดชีวิต แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะว่าหัวใจของเขาอยู่กับแวมไพร์ และมันก็อ่อนแอซะเหลือเกินจนน่าหวั่นกลัว และกว่าหัวใจจะกลับมาแข็งแรงได้อีกครั้งก็ต้องใช้เวลากว่าสามเดือน นั่นเท่ากับว่าตลอดเวลาต่อจากนี้ เขาต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับแวมไพร์อย่างนั้นหรือ
   เรื่องราวมากมายที่ประดังเข้ามาทำให้อยากจะบ้า รู้สึกอ่อนเพลียและเหนื่อยล้า ก่อนจะหันไปมองด้านข้างเตียงที่มีโลงศพวางตั้งอยู่ นี่เป็นอีกภารกิจหนึ่งที่ได้รับมอบหมาย จะต้องนำโลงศพกลับไปให้สารวัตรที่กรมตำรวจ หนำซ้ำยังต้องรายงานเรื่องนี้กับเจ้านายอีกด้วยว่าคนของเขาเสียชีวิตจากการปฏิบัติภารกิจนี้หมดแล้ว มีเพียงเขาเท่านั้นที่รอดชีวิตมาได้ราวกับปาฏิหารย์
   ลมหายใจหนักๆ ถูกพ่นออกมาเป็นรอบที่ร้อยกว่า หลังจากได้ฟังวีรกรรมการต่อสู้ที่เกิดขึ้นภายในสุสานจากปากของหนุ่มน้อยแวมไพร์ ชายฉกรรจ์กว่าสิบคนไม่มีใครมีลมหายใจอยู่รอด เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตที่น่าหวั่นกลัวเฉกเช่นนักล่าแห่งรัตติกาล
   เลโอซิสบอกให้เขาพอคลายกังวลได้ว่าหมอผีหนุ่มเป็นอีกคนหนึ่งที่ยังมีชีวิตรอด และถูกนำตัวกลับไปส่งที่บ้านอย่างเรียบร้อย ด้วยฝีมือ ไม่ใช่สิ ด้วยการใช้จมูกเพื่อตามกลิ่น
   ชายหนุ่มค่อยๆ เอนตัวลงนอนบนเตียงกว้างอย่างอ่อนแรงอ่อนใจ กว่าจะตกลงกันรู้เรื่องจนหนุ่มน้อยแวมไพร์ยินยอมออกไปนอนที่ห้องนั่งเล่นก็เล่นเอาดึกดื่นเกือบครึ่งค่อนคืน ดวงตาคู่คมเริ่มปรือปรอยจากความง่วงงุน วันนี้คงเป็นวันที่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยที่สุดในชีวิต จนไม่อาจฝืนต้านทานร่างกายไว้ได้ไหวจนผล็อยหลับไปในที่สุด


   ลายสิงห์ถูกปลุกด้วยกลิ่นอาหารหอมตลบอบอวลไปทั่วห้อง ดวงตาคู่คมเหลือบมองดูนาฬิกาบอกเวลาเจ็ดโมงกว่าแล้ว เมื่อวานนี้มีเรื่องมากมายเกิดขึ้นจนถึงกับเอาไปฝันร้ายและสะดุ้งตื่นครั้งแล้วครั้งเล่า
   ชายหนุ่มนั่งเหม่อลอยตั้งสติอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะย้ายร่างจากเตียงไปยังห้องครัว ซึ่งเป็นที่มาของกลิ่นหอมหวาน อาหารมากมายถูกจัดวางเอาไว้บนโต๊ะเรียงราย ราวกับจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับแขกสักสิบคน
   “อรุณสวัสดิ์ เจ้านาย”
   เลโอซิสหันมาเอ่ยทักเสียงใส ก้าวเดินเข้ามาใกล้ และจูบเบาๆ ที่แก้มของชายหนุ่ม ก่อนจะผละออก พร้อมกับยิ้มกว้าง
   ร่างสูงยืนนิ่งราวกับกลายเป็นรูปปั้นหิน มือหนายกขึ้นลูบที่แก้มซ้ายของตัวเองอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก
   “นะ นายทำอะไร”
   “เอ๋ ข้าก็ทักทายเจ้านายยังไงล่ะ”
   ลายสิงห์ขับไล่ความงุนงงจากคำตอบที่ได้รับ พยายามตั้งสติก่อนที่จะกระเจิดกระเจิงไปมากกว่านี้ ไม่อยากจะลุกมาเต้นตามแวมไพร์หนุ่มน้อยนี่อีก เพราะแค่นี้ก็แทบอยากจะบ้าตายสักสามเวลาหลังอาหารอยู่แล้ว
   ดวงตาคู่คมมองเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงเบื้องหน้า หากมองเผินๆ เลโอซิสก็เป็นเหมือนเด็กผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่ง ไม่ได้มีรูปลักษณ์ที่เหมือนแวมไพร์จากในจินตนาการของเขา หรือตามที่เคยเห็นจากในภาพยนตร์เลยสักนิด
   เด็กคนนี้มีรูปร่างสูงเพรียว อาจจะด้วยวัยตอนเป็นมนุษย์ที่เพิ่งจะ 16 ปีเท่านั้น ทำให้ยังโตเป็นหนุ่มไม่ทันจะเต็มตัว คิดไปแล้วก็น่าสงสารคนๆ หนึ่ง ที่ต้องมาจบชีวิตในแบบมนุษย์ที่น่าจะสดใส และก้าวเข้าสู่อีกโลกหนึ่งในรูปแบบที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
   ลายสิงห์มองหนุ่มน้อยที่อยู่ในเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีฟ้าอ่อนที่ทั้งใหญ่และยาวเกินตัว กางเกงยีนส์ก็หลวมจนแทบจะหลุดแหล่มิหลุดแหล่อยู่แล้ว ก็แน่อยู่ล่ะที่ชุดนี้น่าจะใหญ่กว่าตัวเลโอซิสอยู่หลายเท่า เพราะว่ามันเป็นชุดของเขานั่นเอง
   หน้าตาของหนุ่มน้อยดูน่ารักและน่าหลงใหล อ่อนเยาว์ราวกับเด็กเล็กๆ ที่ไร้เดียงสาและไม่มีพิษมีภัยกับใคร ยิ่งยามที่ใบหน้านี้ระบายไปด้วยรอยยิ้ม ก็ยิ่งทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดูสดใสชวนมองขึ้นไปอีก
   แต่เมื่อตระหนักได้ว่าเลโอซิสไม่ใช่มนุษย์ ความคิดทั้งหมดก็พลันเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าหนุ่มน้อยจะน่าเอ็นดูขนาดไหน สำหรับเขาแล้ว แวมไพร์ก็คือแวมไพร์ ไม่มีทางที่จะเป็นคน และไม่มีทางที่จะอยู่ร่วมกันได้แบบคนปกติ
   เขาต้องพยายามอดทน อีกแค่สามเดือนเท่านั้น และเมื่อหัวใจของเขากลับมาแข็งแรงได้อีกเหมือนเดิมเมื่อไร เมื่อนั้นเขาจะหาทางไล่หนุ่มน้อยแวมไพร์ให้ออกไปจากชีวิตอันสงบสุขนี้ทันที
   “เชิญทานขอรับ”
   ลายสิงห์รู้สึกตัวจากภวังค์แห่งความคิดทั้งมวล เมื่อเสียงใสมาดังอยู่ใกล้ๆ พร้อมกับเลื่อนเก้าอี้ออกเพื่อให้เขานั่งลง
   “นายไปหัดทำอาหารพวกนี้มาจากไหน”
   ร่างสูงหย่อนตัวนั่งลงอย่างว่าง่าย รู้สึกราวกับตัวเองกลายเป็นผู้ดีที่อยู่ในสังคมชั้นสูงขึ้นมาอย่างกะทันหัน
   “จากในนี้ขอรับ”
   เลโอซิสเดินไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากในครัวและยื่นส่งให้ ก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็นและยกเหยือกใสมารินน้ำใส่แก้วที่วางอยู่บนโต๊ะอาหาร
   “ล้อเล่นหรือเปล่า นายทำตามในหนังสือคู่มือทำอาหารเนี่ยนะ”
   “ขอรับ และในตู้ที่เย็นๆ นั่น มีของกินมากมายเลยด้วย”
   แวมไพร์หนุ่มน้อยยืนยัน และพยายามอธิบายถึงตู้สี่เหลี่ยมที่ไม่เคยเห็น แต่พอเปิดออกก็พบว่าด้านในมีส่วนผสมที่จะใช้สำหรับทำอาหารอยู่เต็มไปหมด
   “แต่นายมาจากเมื่อห้าร้อยปีก่อนไม่ใช่เหรอ ไม่น่าจะรู้จักวิธีใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์พวกนั้นนี่”
   ลายสิงห์ถามอย่างสงสัย พลางชำเลืองสายตาไปทางหม้อหุงข้าว เตาแก๊ส และเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ
   “ข้าจำมาน่ะ”
   “จำ จำมาจากไหน จากใคร”
   “เมื่อคืนที่เจ้านายไล่ข้าออกมาจากห้อง ข้าไปข้างนอกมา เห็นผู้คนตามที่อยู่ในสถานที่แปลกตา บางที่ก็เรียงๆ กัน ไม่เหมือนที่อาศัยของเจ้านาย และข้าก็เห็นบางคนทำอาหาร ทำนู่นทำนี่หลายอย่าง และข้าก็เพิ่งจะกลับมาถึงที่นี่ตอนรุ่งสางนี่เอง”
   “อืม งั้นเหรอ ว่าแต่ .. นายโดนแสงแดดได้ด้วยเหรอเนี่ย”
   เสียงทุ้มถามทันควันเมื่อคิดอะไรขึ้นมาได้ บางทีนี่อาจจะเป็นจุดอ่อนของแวมไพร์ก็ได้มั๊ง
   “สบายมาก ข้าไม่มีวันตายเพราะแสงแดดหรอก ท่านอย่าห่วงเลย”
   เลโอซิสฉีกยิ้มหวานจนดูน่ารัก แตกต่างกับอีกคนที่เบือนหน้าหนีไปทางอื่นพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างหงุดหงิดที่ความหวังต้องพังทลายลงอีกครั้ง
   ลายสิงห์จัดแจงกินอาหารที่วางเรียงรายอยู่ ไม่อยากเชื่อว่าฝีมือทำอาหารของแวมไพร์จะอร่อยสุดๆ ถึงขนาดนี้ เหมือนกับว่าไปเข้าโรงเรียนสอนทำอาหารมา มากกว่าจะอ่านจากในหนังสือ และรสชาติแบบนี้เรียกได้ว่าสามารถใช้เปิดร้านได้เลยด้วยซ้ำไป
   หลังจากกินเสร็จและอิ่มจนพุงกาง เลโอซิสก็ทำหน้าที่เก็บจานชามไปล้างอย่างเรียบร้อย ชายหนุ่มรู้สึกสะดวกสบายขึ้นเยอะ ไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะมีแวมไพร์หนุ่มน้อยคอยจัดการให้ทั้งหมด
   ร่างสูงเดินกลับเข้าไปในห้องเพื่ออาบน้ำ หยิบเสื้อเชิ้ตสีเทาอ่อนออกมาจากตู้เสื้อผ้าใบใหญ่ ตามด้วยกางเกงสแล็กสีดำ พอแต่งตัวเสร็จก็หวนนึกถึงชุดที่หนุ่มน้อยสวมใส่อยู่ ยืนใช้ความคิดอยู่สักพักก็ตัดสินใจอะไรบางอย่างได้
   “นาย”
   “ขอรับ”
   เลโอซิสคว่ำจานใบสุดท้ายลงบนที่คว่ำจานข้างๆ อ่าง และขานรับเสียงใส
   “เดี๋ยวเราออกไปข้างนอกด้วยกัน”
   “ขอรับ”
   แวมไพร์หนุ่มน้อยรับคำอย่างว่าง่าย
   “ฉันต้องไปทำธุระก่อน พอเสร็จงานเรียบร้อยแล้วจะพานายไปซื้อเสื้อผ้าใหม่”
   เลโอซิสมีท่าทีกระตือรือร้นขึ้นมาทันที หน้าหวานยิ้มแก้มแทบปริ พร้อมกับโผเข้าหาและหอมแก้มชายหนุ่มเบาๆ อย่างเอาอกเอาใจ
   ลายสิงห์ตกใจนิดๆ เมื่อได้รับสัมผัสจากวิธีการที่ไม่ค่อยจะคุ้นชินเอาเสียเลย ก่อนจะมองหนุ่มน้อยอย่างหวาดระแวง เมื่อเริ่มมีลางสังหรณ์บางอย่าง
   “มีอะไร”
   “ข้า .. หิวแล้ว”
   แล้วก็ต้องถอนหายใจหนักๆ จากคำตอบที่ได้ยิน จริงอยู่ที่ข้าราชการอย่างเขามักจะบริจาคเลือดให้กับสภากาชาดอยู่บ่อยๆ เป็นการกุศล ถึงกระนั้นตลอดสามเดือนต่อจากนี้คงต้องของดบริจาค เพราะรู้สึกเหมือนมีรถรับบริจาคเลือดเคลื่อนที่กำลังอาศัยอยู่ร่วมบ้าน
   หลังจากให้อาหารเช้ากับเลโอซิสเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องเดินมาส่องกระจกเพื่อสำรวจต้นคอของตัวเองก่อนที่จะออกจากบ้าน และพบว่ารอยช้ำปรากฏขึ้นเป็นจ้ำชัดเจนขึ้นกว่าเมื่อวานนี้ซะอีก
   
   ร่างสูงโบกรถแท็กซี่ที่วิ่งผ่านมา พอรถจอดก็เปิดประตู ก่อนจะดันไหล่หนุ่มน้อยที่ยืนนิ่งให้เข้าไปนั่งด้านใน จากนั้นก็ก้าวตามเข้าไปนั่งเคียงข้างกันและปิดประตูรถ
   “ไปกรมตำรวจแห่งชาติครับ”
   ลายสิงห์เอ่ยบอกคนขับถึงจุดหมายปลายทางที่ต้องการจะไป ดวงตาคู่คมเหลือบมองหนุ่มน้อยที่นั่งข้างๆ ซึ่งมีท่าทางที่ดูประหม่าไม่น้อย เห็นแล้วก็ไม่อยากจะเชื่อว่าจะเป็นแวมไพร์จริงๆ นี่แวมไพร์กำลังตื่นเต้นที่ได้นั่งรถยนต์เป็นครั้งแรกอย่างนั้นเหรอเนี่ย
   “เราต้องตกลงกันก่อน นายต้องทำตัวเหมือนคนปกติ ห้ามทำตัวเหนือมนุษย์ หรือทำในสิ่งที่มนุษย์ทำไม่ได้อย่างเด็ดขาด เข้าใจไหม”
   “เข้าใจขอรับ”
   “นี่ก็เหมือนกัน ต่อไปนี้ให้ใช้คำว่าครับ แทนคำว่าขอรับ และให้เรียกตัวเองว่าผม หรือแทนด้วยชื่อว่าเลโอ ใช้แทนคำว่าข้า แล้วก็ห้ามเรียกฉันว่าเจ้านาย แต่ให้เรียกว่า เอ่อ เรียกว่า .. พี่ ก็แล้วกัน”
   “ขอรับ อ่า ครับ”
   “อืม ดีมาก แล้วถ้าเกิดใครถามว่านายเป็นใคร ให้บอกว่าเป็นน้องชายของฉัน”
   “แต่ข้า .. เลโอเป็นทาส”
   “ไม่มีทาสในยุคสมัยนี้หรอกนะ แล้วที่สำคัญก็คือนายดูดีเกินกว่าจะเป็นทาสหรือข้ารับใช้ เอาเป็นว่าถ้าใครถามก็บอกว่าเราเป็นญาติห่างๆ กัน”
   ลายสิงห์ถอนหายใจเบาๆ อย่างเหน็ดเหนื่อย รู้สึกได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่จับจ้องมองมาทางด้านหลัง ไม่แปลกหรอกที่คนขับแท็กซี่จะหลงเสน่ห์หนุ่มน้อยหน้าหวาน เพราะหากตัดเรื่องที่ว่าเลโอซิสเป็นแวมไพร์ออกไป เด็กหนุ่มก็จัดได้ว่าหน้าตาน่ารักไม่แพ้ผู้หญิง จมูกนิด ดวงตากลมโต ริมฝีปากจิ้มลิ้มสีสด เรียกได้ว่าดาราชั้นนำชื่อดังของโลกยังต้องชิดซ้ายเลย แถมบางครั้งยังดูลึกลับ ทำให้น่าหลงใหลและมีเสน่ห์มากขึ้นไปอีก
   สิ่งหนึ่งที่กังวลมากที่สุดก็คือ เพื่อนในกรมตำรวจทุกคนต่างก็เป็นนายตำรวจที่ผ่านการไต่สวน สืบสวนสอบสวนผู้ต้องหา หรืออาชญากรหัวแถวมาแล้วนักต่อนัก กลัวว่าสายตาแหลมคมของพวกนั้นจะจับได้ว่าทุกอย่างเป็นเรื่องโกหก
   หากมีคนรู้ว่าเลโอซิสไม่ใช่คน อะไรจะเกิดขึ้นก็สุดที่จะกล้าคาดเดา
   

   รถแท็กซี่แล่นมาจอดที่หน้าตึกกรมตำรวจ ชายหนุ่มเปิดประตูแล้วก้าวลงจากรถ หันไปคว้าข้อมือของหนุ่มน้อยพร้อมกับจับศีรษะเล็กให้ก้มลงก่อนจะดึงออกมาจากตัวรถ
   ลายสิงห์ยืนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเรียกขวัญและกำลังใจให้กับตัวเอง ก่อนจะเดินนำหน้าเข้าไปในตัวอาคาร โดยมีแวมไพร์หนุ่มน้อยคอยเดินตามมาติดๆ ราวกับเป็นทาสรับใช้ผู้ซื่อสัตย์และจงรักภักดี
   ประตูลิฟต์ถูกเปิดออก นายตำรวจทั้งแผนกพากันหันมามองตามเสียงโดยอัตโนมัติ หากแต่ทุกคนกลับถลึงตาโต บ้างก็เบิกกว้างอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง เมื่อเห็นหนุ่มน้อยหน้าตาน่ารักราวกับตุ๊กตา รูปร่างบอบบางก้าวออกมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าลิฟต์
   ดวงตากลมโตแววหวานราวกับมีประกายอะไรบางอย่างอยู่ในนั้น อาจจะเป็นความตื่นเต้น ดีใจ และสนุกสนาน จากความแปลกใหม่ที่กำลังได้พบเจอ
   เสียงร้องทักทายบ้างก็กล่าวทำความเคารพดังขึ้นไม่หยุดหย่อนไปจนตลอดทาง ลายสิงห์ทำเพียงพยักหน้ารับเบาๆ แล้วเดินนำหน้าหนุ่มน้อยไปยังห้องทำงานของตัวเอง
   ชายหนุ่มปิดประตูลง พร้อมกับรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ กับสายตาจ้องจับผิดของบรรดาลูกน้อง ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นถึงหัวหน้า แต่ความรู้สึกในตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากสุนัขบ้านที่หลงเข้าไปในฝูงหมาป่าเลยทีเดียว
   “เจ้าบ้าพวกนั้นก็จ้องราวกับไม่เคยเห็นคน”
   เสียงสบถเบาๆ อย่างไม่ได้จริงจังนัก แต่เรียกให้แวมไพร์หนุ่มน้อยที่ยืนนิ่งอยู่ตรงประตู้ก้าวเข้ามาประชิดในทันที
   “ให้เลโอจัดการดีไหมครับ”
   “นายจะทำยังไง”
   คิ้วเข้มเลิกขึ้นข้างหนึ่งอย่างสงสัย
   “เลโอจะควักลูกตาของพวกนั้นทิ้งให้หมด”
   ร่างสูงชะงักจากคำตอบที่ได้ยิน
   “บ้าหรือเปล่า ฉันเพิ่งจะบอกให้นายทำตัวเหมือนมนุษย์ จะไม่มีการควักลูกตาหรือทำอะไรทั้งนั้น อย่าทำ ถ้าฉันไม่ได้สั่ง เข้าใจไหม”
   “ครับ”
   ลายสิงห์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ นี่ถ้าหากหนึ่งลมหายใจที่ถูกระบายออกไปเปรียบเป็นดั่งอายุชีวิต ท่าทางชีวิตของเขาคงจะสั้นลงจนใกล้ตายแล้วกระมัง
   ชายหนุ่มเดินมาทิ้งตัวนั่งลงตรงเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน จากนั้นก็บอกให้เลโอซิสนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
   “ฉันคงต้องให้นายรออยู่ที่นี่ก่อน”
   “ได้ครับ”
   เลโอซิสพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างตื่นตาตื่นใจกับข้าวของเครื่องใช้แปลกตาที่ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน
   “ฉันกังวลว่าหากปล่อยให้นายอยู่ในนี้ นายจะโผล่ออกไปก่อเรื่องวุ่นวาย”
   “เลโอไม่ทำอย่างนั้นหรอก เลโอจะอยู่แต่ในห้องนี้”
   “ก็ดี ฉันหวังว่านายจะทำตัวอย่างที่มนุษย์เขาทำกัน และไม่อยากให้นายออกไปไหน รอฉันกลับมา เข้าใจนะ”
   “ครับ”
   “เวลารับปากน่ะ ช่วยหันมามองหน้าฉันแล้วพูดให้มันหนักแน่นหน่อยได้ไหม”
   เลโอซิสหันกลับมามองใบหน้าหล่อเหลาเมื่อได้ยินคำสั่ง ดวงตากลมโตแป๋วแหววจนดูใสซื่อไร้พิษภัย หน้าหวานๆ ยิ้มระบายจนดูน่ารักขึ้นเป็นกอง
   ลายสิงห์สะบัดศีรษะเบาๆ เพื่อเรียกสติกลับมา รู้สึกราวกับตัวเองกำลังโดนมนต์สะกดอะไรบางอย่างเข้าให้ พลางเตือนตัวเองให้ระลึกอยู่เสมอว่าความสวยงามตรงหน้าไม่ใช่ของจริง หากแต่เป็นหน้ากากที่ฉาบอยู่บนร่างของสิ่งมีชีวิตที่น่าเหลือเชื่อและน่ากลัวที่สุดต่างหาก

   “เฮ้”
   เสียงร้องทักดังขึ้นทันทีที่ร่างสูงก้าวพ้นประตูห้องออกมา ภาคิณกำลังเดินตรงมาตามทางเดิน โดยมีลูกน้องในแผนกยืนขึ้นกล่าวทักทายรองหัวหน้ากันมาตลอดทาง
   “อืม”
   ลายสิงห์ทักกลับเสียงเรียบ เหลือบมองแฟ้มเอกสารในมือภาคิณที่หอบมาเป็นกองพะเนิน
   “ฉันจีบสาวคนเมื่อวานของแกติดแล้วนะ หลงคารมฉันเข้าเต็มๆ เลยล่ะ”
   “งั้นเหรอ”
   ดวงตาคู่คมมองสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสของภาคิณอย่างหมั่นไส้ มีอย่างที่ไหนเป็นเพื่อนกัน แต่ดันมาแย่งสาวที่เขาเพิ่งไปดูตัวมา แล้วหนำซ้ำยังมาบอกว่าจีบสาวคนนั้นติดแล้ว น่าจะอัดเข้าให้สักหมัดจริงๆ
   “เฮ้ยเพื่อน”
   ภาคิณใช้มือข้างหนึ่งหอบกองเอกสาร ส่วนอีกข้างเอื้อมไปลูบลำคอที่มีรอยช้ำเป็นจ้ำของเพื่อนรักซึ่งสามารถเห็นได้อย่างเด่นชัด
   “ไปโดนสาวที่ไหน”
   ลายสิงห์ยักไหล่ ก่อนจะสะบัดมือของภาคิณออกจากคอของตัวเอง
   “แกมีแฟนแล้วเหรอวะ”
   “ไม่ใช่หรอก อย่างฉันน่ะเหรอจะมี”
   “นั่นสิ ในบรรดาตำรวจในแผนก ก็มีแกที่เป็นหัวหน้าอ่อนเรื่องผู้หญิงที่สุด แล้วฉันก็ไม่คิดว่าแกจะหาสาวได้ ที่สำคัญเรื่องสาวๆ สวยๆ แกยิ่งไม่มีปัญญาหาใหญ่ เอาแต่ทำงานท่าเดียว จะแต่งกับงานหรือยังไง .. แม่เจ้าโว๊ย”
   คิ้วเข้มเลิกขึ้นอย่างแปลกใจจากเสียงอุทานดังลั่นที่ได้ยิน ดวงตาคู่คมหันกลับไปมองทางด้านหลังตามสายตาของเพื่อน ก่อนจะเห็นหน้าขาวๆ ใสๆ ที่กำลังชะโงกหน้าออกมาจากรอยแง้มของประตู
   ลายสิงห์ขมวดคิ้วมุ่นอย่างหงุดหงิด ถ้าจำไม่ผิดเขาบอกว่าห้ามหนุ่มน้อยออกมาจากห้องไม่ใช่เหรอ แล้วนี่มันอะไรกันเนี่ย
   “ใครวะน่ะ น่ารักสุดๆ ไปเลย”
   ภาคิณตะลึงงันราวกับต้องมนต์สะกด ไม่ใช่แค่นั้น ตำรวจทั้งแผนกพากันชะเง้อคอจากโต๊ะทำงานและมองดูหน้าหวานๆ ของหนุ่มน้อยจนตาไม่กระพริบ
   เลโอซิสกวักมือเรียกเมื่อเห็นเจ้านายหนุ่มหันมามองทางนี้ แต่ร่างสูงยังคงยืนนิ่งไม่ยอมขยับเขยื้อน
“มีอะไร”
“เข้ามาในห้องหน่อยได้ไหมครับ”
ลายสิงห์ยอมเดินกลับมาหา พร้อมกับที่แวมไพร์หนุ่มน้อยก้าวออกมายืนตรงหน้าห้อง
“ถ้าจำไม่ผิด ฉันบอกให้นายรออยู่ในห้องไม่ใช่หรือไง”
“ครับ แต่ว่า”
“ทำไม”
ลายสิงห์ขมวดคิ้วมุ่น พยายามปรับเสียงให้ดูราบเรียบที่สุด เพราะเพื่อนตัวแสบรวมทั้งทุกคนทั้งแผนกกำลังจ้องมองอยู่ ถ้าทำท่าทางมีพิรุธขึ้นมาล่ะก็ อาจจะโดนจับได้
“คือว่า .. เลโอหิว”
“ห๊ะ แต่ว่านายเพิ่งจะ”
“สงสัยเพราะว่าเลโอเพิ่งจะมอบหัวใจให้พี่ไปแล้ว ร่างกายก็เลยยังปรับสภาพไม่ได้”


   และจากคำตอบที่หลุดมาจากริมฝีปากจิ้มลิ้มของหนุ่มน้อยแวมไพร์ ก็เรียกได้ว่าเปลี่ยนแปลงชีวิตของมนุษย์ธรรมดาๆ คนหนึ่งไปจนแทบจะสิ้นเชิง




CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ AUGUSTLOVE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-0
5

   ร่างสูงยืนนิ่งค้าง ดวงตาคู่คมเบิกกว้างจากคำพูดที่แสนจะสื่อความหมายชวนให้คนอื่นเข้าใจผิดซะเหลือเกิน ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างไม่สบอารมณ์หนักขึ้นไปอีก เมื่อได้ยินเสียงผิวปากพร้อมทั้งคำแซวต่างๆ นาๆ ที่ผ่านเข้าหู
   “ว้าวว”
   “วี๊ดวิ๊ว”
   “ร้ายจริงๆ เลยหัวหน้า”
   “น่าอิจฉาสุดๆ ไปเล้ย”
   “แฟนน่ารักบาดใจจังเลยหัวหน้า”
   ทุกคนในห้องส่งเสียงแซวกันอย่างเซ็งแซ่ เพราะฟังยังไงๆ สิ่งที่ได้ยินก็คือประโยคหวานแหววสำหรับคนมีความรักใช้พูดกัน
   “สวัสดีครับ”
   ภาคิณดึงสติตัวเองให้กลับมาและกล่าวทักทายเสียงเข้ม สีหน้ายังไม่คลายความตกตะลึงในเสน่ห์และความน่ารักของหนุ่มน้อยตรงหน้า
   “ครับ”
   “ผมชื่อภาคิณนะ เป็นเพื่อนของไอ้สิงห์ ไม่ทราบว่าคุณคือ”
   “ผมชื่อเลโอซิสครับ เป็น”
   “เอ๊ะ ชุดที่คุณใส่นี่มันชุดของไอ้สิงห์มันนี่นา หรือคุณจะเป็น”
   “เอาไว้ค่อยคุยกันนะ”
   ลายสิงห์พูดแทรกขัดจังหวะ ผลักเพื่อนตัวดีออกไปพ้นทาง แล้วคว้าข้อมือเรียวของหนุ่มน้อยแวมไพร์วิ่งกลับเข้าไปในห้องทำงาน ปิดประตูล๊อกกลอนเสร็จสรรพ ก็ระบายลมหายใจอย่างหนักหน่วง งานต้องเข้าแน่ๆ เพราะเจ้าเพื่อนรักเป็นประเภทหญิงหรือชายก็ได้ไม่มีเกี่ยง ที่สำคัญจากท่าทางที่ได้เห็นก็สามารถฟันธงได้เลยว่าภาคิณคงจะหลงรักเลโอซิสเข้าให้แล้ว แบบนี้มีหวังถูกจับได้กันพอดี
   “อ๊ะ”
   ร่างสูงสะดุ้งเฮือก รู้สึกได้ถึงสัมผัสทางริมฝีปากนุ่มนิ่มที่ประทับลงบนต้นคอ เสียงจ๊วบๆ เหมือนดูดน้ำจากหลอดทำให้ชายหนุ่มยืนตัวเกร็ง อย่างไรเสียก็ยังไม่เคยชินซะที หัวใจเต้นรัวแรงระส่ำ หลังจากผ่านไปชั่วอึดใจ หนุ่มน้อยแวมไพร์ก็ผละออก
   “ฮ้า”
   เลโอซิสร้องขึ้นอย่างอารมณ์ดี
   “อร่อย”
   “นี่”
   ลายสิงห์หน้าแดง พลางยกมือขึ้นลูบต้นคอของตัวเอง
   “ทีหลังจะทำอะไรก็บอกให้ฉันรับรู้ก่อนสิ”
   “ครับ”
   “ฉันจะออกไปพบกับเจ้านาย ส่วนนายก็”
   “อยู่ในห้อง และจะไม่ออกไปไหนครับ”
   เลโอซิสพูดอย่างรู้งาน หน้าหวานดูสดชื่นสดใสขึ้นอย่างทันตาหลังจากได้ลิ้มรสชาติเลือดที่ทั้งหอม หวาน และแสนอร่อยของเจ้านายหนุ่ม
   ร่างสูงเดินไปหยุดอยู่หน้าประตูแล้วหันกลับมาอีกครั้งเมื่อนึกอะไรบางอย่างได้
   “แล้วก็อย่าไปยุ่งกับใครล่ะ ถ้าไม่อยากให้ตัวตนของตัวเองถูกเปิดเผย”
   แวมไพร์หนุ่มน้อยเอียงคอซ้ายทีขวาที ก่อนจะถามในสิ่งที่ข้องใจ
   “ทำไมล่ะครับ”
   “ก็แล้วแต่นายละกัน ถ้าคนอื่นเขารู้ว่านายเป็นอะไร ก็คงจะเลิกยุ่งไปเอง”
   พูดจบชายหนุ่มก็เปิดประตูออกไป เห็นลูกน้องทั้งแผนกพากันมายืนออที่หน้าประตูห้องพร้อมทั้งแนบใบหูอยู่กับบานประตู พอประตูถูกเปิด หลายร่างก็ถึงกับถลาหน้าทิ่มเข้ามาในห้อง ไม่ต้องรอให้ลายสิงห์โวยไล่ บรรดาลูกน้องที่ถูกหัวหน้าจับได้ก็พากันวิ่งกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานอย่างรวดเร็วราวกับติดปีกบิน จะเหลืออยู่ก็แต่ภาคิณที่ยืนยิ้มหน้าบานอยู่คนเดียว
   “นั่นเด็กแกเหรอ”
   ภาคิณชะเง้อคอมองเข้าไปในห้อง ลายสิงห์เดินออกมาและปิดประตูตามหลังดังโครม
   “อย่ายุ่งกับเขาจะดีกว่า”
   “โอ๊ะโอ หวงซะด้วย”
   “ก็ไม่เชิงหรอก ฉันกับเด็กนั่นไม่ได้เป็น .. คือเรื่องค่อนข้างซับซ้อนน่ะ”
   “แต่ฉันสนใจมากเลยนะ เรียกว่ารักแรกพบเลยก็ได้ ถ้าไม่ได้เป็นแฟนกัน งั้นฉันขอนะ”
   “มันนิสัยของแกอยู่แล้วนี่ แต่ระวังเอาไว้เถอะ เห็นหน้าหวานๆ แบบนี้ ขอบอกว่าอันตรายยิ่งกว่าอาชญากรระดับโลกซะอีก”
   “หึๆ”
   ภาคิณยักไหล่และเปิดประตูห้องพร้อมทั้งฮัมเพลงเบาๆ อย่างอารมณ์ดี ไม่ได้นึกสนใจหรือเอะใจสักนิดจากคำเตือนที่ได้ยิน
   ลายสิงห์มองตามเพื่อนที่หายเข้าไปในห้องทำงาน มองดูจนประตูปิดสนิท ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ อย่างจนปัญญา ถือว่าได้เตือนแล้วก็แล้วกันนะ บางทีนิสัยเสียๆ จีบไม่เลือกของเพื่อนอาจจะแก้ให้หายได้ก็คราวนี้กระมัง


   ร่างสูงออกมาจากห้องทำงานของท่านสารวัตรหลังจากที่รายงานเรื่องราวเสร็จสิ้น เขารายงานว่านายตำรวจทุกนายที่ติดตามไปด้วยเสียชีวิตทั้งหมด มีเพียงเขาคนเดียวที่รอดชีวิตมาได้พร้อมกับโลงศพโบราณที่ตอนนี้อยู่ในทาวเฮาส์ของเขา
   ท่านสารวัตรบอกเพียงว่าจะสั่งกำลังคนไปนำโลงศพใบนั้นมา ซึ่งเป็นอันหมดเรื่องเพียงเท่านี้ ส่วนที่ว่ามีแวมไพร์หนุ่มน้อยนอนหลับอยู่ในโลงศพนั้นถึงห้าร้อยปี เขาไม่ได้รายงานออกไปด้วย เพราะเกรงว่าขืนรายงานไปแบบนั้น มีหวังคงได้ถูกสั่งให้ไปพักร้อนแน่ๆ
   ชายหนุ่มยืนอยู่ในลิฟต์ด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง แม้ว่าจะรายงานเรื่องราวทั้งหมดจบไปแล้ว แต่การมีแวมไพร์มาคอยตามติด และต้องอาศัยกินเลือดจากร่างของเขาอยู่ทุกวัน และไหนจะต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันนานถึงสามเดือน แค่นั้นก็ทำให้รู้สึกทรมานใจจนแทบจะเป็นบ้า
   นึกถึงวันธรรมดาๆ ที่ผ่านมา ได้ไปนั่งกินข้าว อยู่บ้าน ดูหนัง พักผ่อน ทำอะไรคนเดียวแบบปกติที่ไม่มีอะไรอยู่เหนือจินตนาการ แค่วันสบายๆ ของข้าราชการคนหนึ่งเท่านั้น
   ประตูลิฟต์ถูกเปิดออก พร้อมกับเสียงถอนหายใจยาวๆ ดูเหมือนเป็นเสียงถอนหายใจอย่างปลงตกในชีวิต เพราะวันดีๆ เหล่านั้น คงจะไม่มีอีกต่อไปแล้วนับตั้งแต่วันนี้
   “คุณลายสิงห์”
   เสียงร้องเรียกของใครบางคนทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาคู่คมมองเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งในเสื้อยืดแขนยาวและกางเกงแสล็คสีขาว เรียบๆ แต่ดูดีมีชาติตระกูลกำลังวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหา
   “นายหมอผี”
   ดวงตาของชายหนุ่มเบิกกว้าง เมื่อจำคนตรงหน้าได้อย่างไม่มีวันลืม
   “เลิกเรียกผมแบบนั้นซะทีเถอะครับ”
   ต้นข้าวยืนเท้าเอว ขมุบขมิบปากบ่นอย่างไม่พอใจ
   “มาที่นี่ทำไม”
   “ก็เรื่องโลงศพนั่นน่ะครับ”
   ลายสิงห์นึกขึ้นได้ทันทีที่ได้ยินเด็กหนุ่มพูด เป็นเรื่องดีมากทีเดียวที่ได้เจอกันอีกครั้ง เพราะต้นข้าวเป็นคนที่พูดพล่ามเรื่องแวมไพร์ในโลงนั่นอยู่ตลอดเวลา แสดงว่าจะต้องรู้เรื่องอะไรอีกมากมายเลยแน่ๆ
   “มานี่ก่อน”
   มือหนาคว้าจับข้อมือเรียวไว้และลากเข้าไปในลิฟต์ กดไปยังชั้นบนสุด ประตูลิฟต์ปิดสนิทท่ามกลางสายตาสงสัยของบรรดาลูกน้องในแผนก พลางนึกแปลกใจที่มีหนุ่มน้อยหน้าตาน่ารักถึงสองคนปรากฏตัวขึ้นในวันเดียวกันแบบนี้
   “แวมไพร์ตัวนั้น ตอนนี้อยู่ในห้องทำงานของฉัน”
   ชายหนุ่มเปิดประเด็นพูดอย่างอึดอัดใจ ตอนนี้เรียกได้ว่าต้นข้าวเป็นเพียงคนเดียวที่เขากล้าจะเอ่ยปากพูดถึงเรื่องนี้
   “อะไรเหรอครับ”
   ต้นข้าวหันมามองใบหน้าหล่อเหลาด้วยความฉงน
   “แวมไพร์ในโลงศพนั่น ตอนนี้อยู่ในห้องทำงานของฉัน เมื่อคืนที่เกิดเรื่อง นายสลบไป แล้วจู่ๆ ก็มีแวมไพร์โผล่พรวดออกมาจากโลงศพ แถมยังเรียกฉันว่าเจ้านาย”
   “เป็นความจริงเหรอ”
   ต้นข้าวร้องเสียงดัง สีหน้าตกใจราวกับไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
   “นายพูดถูกทั้งหมด เรื่องแวมไพร์ เรื่องโลงศพ นี่นายคงจะเป็นหมอผีตัวจริงเสียงจริงสินะ”
   “ผมก็บอกตั้งหลายครั้งแล้ว แต่คุณก็ไม่ยอมเชื่อ”
   “ฉันเชื่อแล้ว”
   แม้ไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นความจริง แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว จะโกหกตัวเองอีกต่อไปก็ไม่ได้ ร่างสูงหันมาหาเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ มือหนาคว้าไหล่เล็กๆ ทั้งสองข้างแล้วบีบเบาๆ
   “นายต้องช่วยฉันนะ แวมไพร์ตัวนี้ไม่กลัวไม้กางเขน ไม่กลัวพระ ไม่กลัวแสงแดด ไม่กลัวอะไรเลยสักอย่าง ฉันจะทำยังไงดี”
   “แล้วกระเทียมล่ะ”
   ต้นข้าวเอ่ยถาม ตั้งใจรอฟังคำตอบอย่างลุ้นระทึก
   ลายสิงห์ส่ายศีรษะเบาๆ ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงอ่อย
   “เมื่อเช้านายนั่นเพิ่งจะทำหมูทอดกระเทียมให้ฉันกิน”
   ร่างสูงคอตก ก่อนจะชี้มาที่คอของตัวเองที่ยังมีรอยช้ำเป็นจ้ำอยู่
   “ดูนี่สิ แวมไพร์นั่นกินเลือดของฉันด้วย ที่สำคัญ หัวใจของฉันก็อยู่ที่นายนั่น และอีกตั้งสามเดือน หัวใจของฉันถึงจะแข็งแรงเป็นปกติเหมือนเดิม แต่ถ้ารอจนถึงวันนั้น ฉันคงต้องเข้าไปอยู่หลังคาแดงเสียก่อนแน่ๆ ฉันยังไม่อยากเป็นบ้า เพราะฉะนั้นนายต้องช่วยฉันนะ”
   “แล้วคุณจะให้ผมช่วยยังไง จะให้ผมกำจัดแวมไพร์ตนนั้นหรือ”
   ต้นข้าวเลิกคิ้วถาม
   “แล้วนายทำได้ไหมล่ะ”
   ดวงตาคู่คมฉายประกายแห่งความหวังอยู่ลึกๆ
   ต้นข้าวมีสีหน้าครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ๆ ก่อนจะส่ายศีรษะ
   “ไม่ได้หรอก ผมเป็นหมอผีก็จริง แต่เคยปราบแค่ผีไทย”
   “โธ่ ก็คงเหมือนๆ กันนั่นแหละ นายจับใส่หม้อแล้วถ่วงน้ำไปเลยได้ไหม”
   “บ้าเหรอ นี่แวมไพร์นะ”
   ร่างสูงทรุดตัวนั่งลงกับพื้นอย่างหมดแรง ดูเหมือนว่าหมอผีคนนี้ก็จะช่วยเหลืออะไรไม่ได้สินะ
   “จริงสิ”
   ต้นข้าวตาโตลุกวาว เมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
   “หือ”
   ลายสิงห์เงยหน้าขึ้นมองหนุ่มน้อยด้วยใบหน้าหม่นหมอง ราวกับเพิ่งโดนไล่ออกจากงานและไม่มีเงินจะซื้อข้าวกินก็ไม่ปาน
   “ผมพอจะรู้จักหมอผีฝรั่งอยู่คนหนึ่ง ผมจะติดต่อเขาให้ก็แล้วกัน”
   “จริงเหรอ”
   ชายหนุ่มยิ้มกว้าง ลุกพรวดขึ้นมาด้วยท่าทางดีใจ
   “ว่าแต่ว่า ถ้ากำจัดแวมไพร์นั่นจริงๆ คุณจะไม่เป็นอะไรเหรอ”
   “ทำไมฉันต้องเป็นอะไรด้วยล่ะ”
   “ก็คุณบอกเองว่าหัวใจของคุณอยู่ที่แวมไพร์ตนนั้น แล้วถ้ากำจัดเขาทิ้งไป แล้วหัวใจของคุณล่ะ”
   เพราะต้องการอิสรภาพและชีวิตธรรมดาๆ มากเกินไป ทำให้คิดแต่จะกำจัดหนุ่มน้อยแวมไพร์ออกไปโดยเร็ว จนลืมคิดไปว่ากว่าจะได้หัวใจคืนมาก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามเดือน แล้วถ้าหากเอาหัวใจคืนกลับมาก่อน มีหวังคงต้องได้ลิ้มรสชาติความเป็นความตายอย่างในตอนนั้นอีกอย่างแน่นอน
   คิดแล้วก็ได้แต่นึกโทษดินโทษฟ้าที่กลั่นแกล้งเขา อดไม่ได้ที่จะสมเพชตัวเอง คนมีอีกตั้งมากมายเป็นแสนล้าน ทำไมต้องเป็นเขาด้วยนะที่เคราะห์ร้าย
   “ฉันต้องเป็นบ้าแน่ๆ”
   “ผมก็ว่าอย่างนั้นแหละ”
   ต้นข้าวพยักหน้าเห็นด้วย สีหน้าเต็มไปด้วยความวิตกกังวลระคนเป็นห่วง ก่อนหน้านี้ตอนที่เจอกัน ผู้ชายคนนี้ดูเป็นสุภาพบุรุษ หนำซ้ำยังองอาจกล้าหาญ แต่มาวันนี้กลับดูเหมือนคนสติไม่เต็ม เหมือนกับเด็กที่ร้องโวยวายไม่พอใจอะไรสักอย่าง ผิดกันจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว
   “แค่วันเดียว คุณก็เปลี่ยนไปขนาดนี้ คิดว่าสามเดือน ผมคงต้องแวะไปหาคุณที่โรงพยาบาลบ้าอย่างไม่ต้องสงสัย”
   “นี่นายกำลังซ้ำเติมกันอยู่ใช่ไหม”
   “เปล่านะครับ เอาเป็นว่าผมขอไปเจอแวมไพร์ตนนั้นหน่อยได้ไหม”
   “เอาสิ”
   ลายสิงห์ถอนหายใจ วันนี้อายุของเขาคงสั้นลงไปหลายสิบปีเพราะการถอนหายใจหลายครั้ง และที่สำคัญ ดูเหมือนว่าจะลืมอะไรบางอย่างไปเสียสนิท
   

   ชายหนุ่มกับต้นข้าวออกมาจากลิฟต์อีกครั้ง บรรดาลูกน้องหยุดมือจากการทำงานแล้วหันมามองเป็นสายตาเดียวกัน เป็นครั้งที่สองที่ลายสิงห์รู้สึกหงุดหงิดกับสายตาจ้องจับผิด เริ่มตระหนักและเข้าใจแล้วว่ามันรู้สึกกดดันแค่ไหน เวลาที่ผู้ร้ายต้องถูกจ้องมองโดยตำรวจหลายๆ คน
   “ผมรู้สึกตื่นเต้นจริงๆ เลย”
   ต้นข้าวพูดพลางยกมือขึ้นแนบหน้าอกข้างซ้าย
   “เข้าไปกันเถอะ”
   ร่างสูงหยุดยืนอยู่ตรงหน้าห้อง คิ้วเข้มกระตุกยิกๆ เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะดังลั่นลอดผ่านมาจากด้านใน มือหนาผลักบานประตูให้เปิดออกอย่างรวดเร็ว
   ต้นข้าวมองเด็กหนุ่มผมสีทองที่นั่งอยู่บนโซฟาสีเทาเข้ม น่ารักและน่าหลงใหล แม้กระทั่งผู้ชายด้วยกันยังต้องอ้าปากกว้างและมองตาค้างด้วยความชื่นชม
   “เฮ้ มาแล้วเหรอ เรากำลังคุยกันสนุกเลย”
   ภาคิณหันมาฉีกยิ้มกว้าง ดูท่าทางมีความสุขและอารมณ์ดีซะเหลือเกิน จนชายหนุ่มอีกคนรู้สึกหมั่นไส้
   “สวัสดีครับ”
   เลโอซิสหันมามองต้นข้าวที่กล่าวทักทายด้วยท่าทีเก้ๆ กังๆ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเด็กหนุ่มหน้าใส คือคนที่ตัวเองเป็นคนแบกกลับไปส่งที่บ้านหลังจากเกิดเหตุการณ์นองเลือดในสุสานเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมานั่นเอง
   ภาคิณใช้โอกาสที่สองหนุ่มน้อยกำลังมองจับจ้องซึ่งกันและกัน ถลามาคว้าตัวลายสิงห์ให้ไปคุยกันตรงมุมหนึ่งของห้อง
   “นี่มันวันนัดรวมตัวเด็กในสต๊อกของแกหรือยังไงกันวะ”
   ภาคิณถามน้ำเสียงกระซิบกระซาบ ไม่ต้องการให้หนุ่มน้อยทั้งสองได้ล่วงรู้ถึงความคิดของตน
   “พูดบ้าอะไรของแก”
   ลายสิงห์เค้นเสียงถามลอดไรฟัน ไม่เข้าใจสิ่งที่เพื่อนพูดพล่ามเลยสักนิด
   “ก็แกควงเลโอซิสมา แล้วตอนนี้ก็พาหนุ่มน้อยอีกคนมาด้วย แกโง่หรือเปล่าวะ แบบนี้รถไฟก็ชนกันพอดี ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ”
   “แกเข้าใจผิดไปใหญ่แล้วล่ะ”
   เสียงทุ้มบ่นเปรยๆ อย่างนึกรำคาญความคิดบ้าๆ ของภาคิณ
   “เข้าใจผิดอะไรวะ แกก็ดูหนุ่มน้อยที่เพิ่งมาใหม่นั่นสิ มองหน้าเลโอซิสราวกับตกตะลึงไปแล้ว”
   “นายเป็นคนพาฉันกลับไปส่งที่บ้านใช่ไหม”
   ต้นข้าวเริ่มเปิดประเด็น แม้สติจะไม่ค่อยเต็มที่นัก แต่ก็พอจะนึกออกได้อย่างรางเลือนว่ามีเด็กหนุ่มหน้าหวานๆ เป็นคนแบกตัวเองกลับไปส่งถึงที่บ้าน
   “เห็นมั๊ย เริ่มแล้ว เดี๋ยวห้องทำงานแกจะต้องกลายเป็นสนามรบขนาดย่อมแน่ๆ”
   “หุบปากเถอะน่า”
   ลายสิงห์ใช้ศอกกระทุ้งสีข้างเพื่อนให้หยุดพูดมากเสียที
   “ใช่ครับ”
   เลโอซิสพยักหน้ารับเป็นคำตอบ
   “นายจริงๆ ด้วย ต้องขอบคุณมากๆ เลยนะครับ”
   ต้นข้าวฉีกยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตร เดินเข้าไปใกล้อย่างตื่นเต้น ก่อนจะจับมือของหนุ่มน้อยหน้าหวานแล้วเขย่าเบาๆ เป็นการทักทายแบบตะวันตก
   “ฉันชื่อต้นข้าวนะ ยินดีที่ได้รู้จัก”
   “ผมชื่อเลโอซิส ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน”
   ภาคิณแอบไปยืนหลบอยู่ด้านหลังลายสิงห์ เพื่อเอาตัวร่างสูงผู้เป็นต้นเหตุของสงครามที่ใกล้จะเกิดขึ้นเป็นโล่ห์กำบัง เมื่อเห็นเด็กหนุ่มสองคนก้าวเข้าไปยืนประชิดติดกัน แต่เรื่องทุกอย่างกลับผิดจากที่คาดไว้จนรู้สึกสงสัย
   “ฝากเลโอซิสด้วยนะ”
   ลายสิงห์เอ่ยบอกเสียงเรียบ และหันกลับไปด้านหลังพร้อมกับคว้าคอเจ้าเพื่อนตัวแสบเอาไว้
   “เดี๋ยวก่อนสิ ฉันยังอยากคุยกับเลโอซิสอยู่ นายจะ”
   “ไม่ได้ นายต้องออกไปกับฉัน”
   ภาคิณพยายามขัดขืนเต็มกำลัง แต่ก็สู้แรงของลายสิงห์ไม่ไหว ต้องยอมเดินตามออกจากห้องไปในที่สุด ทิ้งให้สองหนุ่มน้อยต่างก็มองสำรวจซึ่งกันและกันด้วยความสนใจต่อไป



   รถเบนซ์สีบรอนซ์เทาแล่นมาจอดเทียบด้านหน้าโบสถ์คาทอลิกซิดนีย์ ชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบต้นๆ ก้าวลงจากรถ ร่างสูงสวมชุดสูทสีดำขลับเข้ากันกับรองเท้าหนังสีน้ำตาลเข้ม มือข้างหนึ่งยกมาถอดแว่นกันแดด เผยให้เห็นนัยน์ตาสีฟ้าใส กระชับเสื้อสูทให้เข้ารูป ปิดประตูรถ แล้วเดินตรงเข้าไปยังทางเดินเล็กๆ ซึ่งเชื่อมไปยังประตูโบสถ์
   “อ้าว ริชาร์ด”
   บาทหลวงประจำโบสถ์คาทอลิกกล่าวทักทายชายหนุ่มอย่างเป็นมิตร ระหว่างกำลังนั่งอธิษฐานวิงวอนต่อพระเจ้าอยู่ภายใน เพราะเสียงประตูที่ถูกเปิดเข้ามา ทำให้ท่านต้องหันไปมอง
   “สวัสดีครับท่าน”
   ชายหนุ่มต่างชาติกล่าวทักทายบาทหลวงอย่างสุภาพด้วยท่าทางคุ้นเคย สำเนียงภาษาไทยจัดได้ว่าดีมากทีเดียว
   “คราวนี้ก็จะมาเก็บข้อมูลอีกเหรอ”
   “เปล่าครับ ผมแค่ได้ยินข่าวเรื่องที่ตำรวจกับผู้ร้ายยิงกันที่โบสถ์ ก็เลยแวะมาดูเพราะเป็นห่วงน่ะครับ”
   “พ่อไม่เคยรู้เลยว่าที่โบสถ์แห่งนี้จะมีช่องทางลับสร้างอยู่ด้วย”
   บาทหลวงกล่าวเสียงเรียบ สีหน้ายังคงตกตะลึงไม่หายเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่เพิ่งผ่านไป
   “ช่องทางลับอย่างนั้นหรือครับ”
   “ใช่แล้วล่ะ พ่อตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงปืน แล้วพอออกมาก็พบศพของทั้งตำรวจและคนชุดดำ พ่อเลยโทรแจ้งตำรวจ”
   “หลวงพ่อครับ ผมขอตัวสักครู่นะครับ”
   ริชาร์ดรีบเดินออกจากห้องโถงของโบสถ์ไปยังด้านข้าง ร่องรอยการเปิดห้องลับยังมีให้เห็น ซึ่งยังถูกเปิดอ้าเอาไว้ ขายาวก้าวเข้าไปในอุโมงค์ทางเดิน แล้ววิ่งตรงไปยังแสงสว่างด้านหน้าอย่างรวดเร็ว และก็วิ่งมาถึงห้องกว้างที่อยู่ในสุด
   “ไม่มี”
   เสียงร้องอุทานดังลั่นด้วยความประหลาดใจ
   “มันไม่อยู่แล้ว”
   ดวงตาสีฟ้าใสจ้องมองบริเวณที่เคยเป็นสถานที่ตั้งของโลงศพโบราณมาก่อน รู้สึกว่าเลือดในกายเย็นเฉียบ ก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆ อีกครั้ง ด้วยหวังว่าจะได้เห็นโลงศพที่ควรจะอยู่ที่นี่เหมือนแต่เก่าก่อน แต่มันไม่อยู่แล้วจริงๆ
   มันหายไป หายไปพร้อมกับอะไรบางอย่างที่อยู่ในนั้น !
   “ให้ตายสิ”
   ชายหนุ่มสบถ สายตาเหลือบไปเห็นคราบเลือดตรงจุดที่เคยวางโลงศพไว้ ขายาวเดินตรงไปแล้วนั่งยองๆ ใช้มือลูบร่องรอยของเลือดที่ตอนนี้เริ่มแห้งกรัง
   เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ หัวสมองเริ่มทำงานอย่างรวดเร็ว พยายามคิดวิเคราะห์พิจารณาจากเหตุการณ์ต่างๆ สถานการณ์ที่น่าจะเกิดขึ้นภายในห้องนี้ รวมทั้งผลลัพธ์ที่ได้มองเห็น
   “ดูเหมือนจะมีคนปลุกให้ฟื้นคืนชีพแล้วสินะ”
   ริชาร์ดผุดลุกขึ้นยืน จากนั้นก็เดินกลับออกมายังห้องโถงอีกครั้ง เห็นบาทหลวงกำลังนั่งมองมาด้วยความฉงนสงสัย
   “มีอะไรหรือเปล่า”
   “ไม่ครับหลวงพ่อ ผมคงต้องขอตัวก่อน”
   “ขอพระเจ้าอวยพรนะ”
   “ครับ ผมเองก็หวังว่าพระเจ้าจะอวยพรคนที่เข้ามาเกี่ยวของกับเรื่องนี้ด้วย”
   ชายหนุ่มกลับออกมาจากโบสถ์ ทิ้งตัวลงนั่งในรถ ทุบพวงมาลัยรถอย่างขัดใจ ก่อนจะเปิดลิ้นชักหน้ารถหยิบเอาลูกกระสุนเงินสองสามลูกที่อยู่ในนั้นขึ้นมา
   “นานแล้วสินะ ที่ไม่ได้ใช้”
   ริชาร์ดโยนกระสุนเก็บเข้าที่ สตาร์ทเครื่องรถด้วยใบหน้าขมวดมุ่นจนยุ่ง ท่าทางอารมณ์ไม่ค่อยสู้ดี ผิดกับตอนแรกที่เข้ามาด้วยท่าทางอ่อนโยนสุภาพ เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มไปทั่ว ก่อนจะได้ยินเสียงล้อบดกับพื้นถนน แล้วส่งเอารถเบนซ์สีบรอนซ์เทาพุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว

Love passion .. vampire my darling




ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :pig4:
  :3123:
ติดตามค่ะ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ AUGUSTLOVE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-0
6

   เสียงเคาะประตูดังขัดจังหวะการพูดคุยอันถูกคอระหว่างสองหนุ่มน้อย ก่อนที่จะถูกเปิดออกพร้อมกับร่างสูงที่โผล่เข้ามาในห้อง
   “คุยกันเสร็จหรือยัง ฉันอยากเข้าไปดื่มกาแฟแล้ว”
   เสียงทุ้มเอ่ยบอก พร้อมกับหยุดยืนอยู่ตรงประตูเพื่อรอฟังคำตอบ
   “ก็ไม่มีใครบอกให้คุณออกไปตั้งแต่แรกแล้วนี่”
   ต้นข้าวยักไหล่ตอบ ก่อนจะหันมากลั้นยิ้มอย่างขำนิดๆ เมื่อเห็นท่าทางที่แสนน่ารักของเลโอซิสที่ยักไหล่บ้าง ราวกับเลียนแบบท่าทางที่ไม่เข้าใจความหมายว่าแสดงออกถึงอะไรเหมือนกัน
   ลายสิงห์พยักหน้าเป็นการรับรู้ ก่อนจะก้าวเข้ามาในห้องอย่างเต็มตัว แต่ในระหว่างที่หันไปจะปิดประตู ภาคิณก็วิ่งพรวดแทรกผ่านช่องประตูเข้ามาอย่างรวดเร็วราวกับเป็นแมลงสาบ นึกอยากจะตบหัวเจ้าเพื่อนตัวแสบจอมเจ้าชู้นี่ซะจริงๆ แต่ก็ต้องพยายามระงับอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ ทั้งๆ ที่ถึงขนาดจับใส่กุญแจมือทั้งสองข้าง มันก็ยังทะลึ่งวิ่งตามเข้ามาจนได้ในสภาพแบบนี้ ท่าทางคงจะไม่มีอะไรสามารถเป็นอุปสรรคของคนที่พยายามอย่างเอาเป็นเอาตายเกี่ยวกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ อย่างหมอนี่ได้
   “นายคงเข้าใจหมดทุกอย่างแล้วสินะ”
   เสียงทุ้มเอ่ยถามต้นข้าว เด็กหนุ่มพยักหน้าตอบรับ
   “เคลียร์กันลงตัวเรียบร้อยแล้วอย่างนั้นเหรอ”
   ภาคิณเลิกคิ้วถามด้วยความสนใจ หากแต่ลายสิงห์กลับไม่ใคร่จะใส่ใจเท่าไรนัก เดินตรงเข้าไปหาสองหนุ่มน้อยและกระซิบบอก
   “ไอ้นี่มันค่อนข้างจีบไม่เลือกน่ะ ระวังไว้หน่อย แล้วมันก็ไม่รู้เรื่องที่เลโอซิสเป็น .. ด้วย”
   ลายสิงห์เลือกที่จะเว้นเอาไว้อย่างรู้กัน ไม่ค่อยอยากจะเอ่ยถึงเพื่อตอกย้ำ
   “ผมรู้แล้วล่ะครับ ท่าทางแบบนั้นดูก็รู้แล้วว่าเป็นคนประเภทไหน”
   ต้นข้าวยักไหล่อีกครั้ง อย่างเห็นเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ
   “เอาล่ะ ในเมื่อรู้เรื่องหมดแล้วก็ดี ฉันต้องขอตัวก่อนล่ะนะ”
   ลายสิงห์บอกเสียงเรียบ และหันไปหาหนุ่มน้อยหน้าหวานที่ยืนนิ่งอยู่
   “ไปกันเถอะ ฉันต้องพานายไปซื้อของอีก”
   “ผมไปด้วยสิ”
   ต้นข้าวบอกอย่างเสนอตัว
   “นายจะไปด้วยทำไม”
   “อย่างน้อยๆ ผมกับเลโอซิสก็วัยใกล้ๆ กัน น่าจะรู้ใจกันได้มากกว่าคุณล่ะน่า”
   “เฮอะ”
   ชายหนุ่มสบถเบาๆ อย่างไม่สบอารมณ์นัก นี่เด็กต้นข้าวกำลังหลอกด่าหาว่าเขาแก่ใช่มั๊ยนะ
   “รู้ใจกันสนิทกันงั้นเหรอ ถ้างั้นก็พาเลโอซิสไปอยู่ที่บ้านนายด้วยซะเลยสิ”
   “ผมลองชวนแล้วล่ะ แต่เลโอซิสบอกว่าจะไม่ยอมไปไหนไกลห่างจากคุณ”
   พอได้ยินคำตอบแล้ว ลายสิงห์ก็ถึงกับหัวเราะไม่ออก ได้แต่เพียงกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่กับความโชคร้ายของตัวเองที่ยังคงดำเนินต่อไปอย่างที่ไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อไร



   ร่างสูงนั่งไขว่ห้างใบหน้าหล่อเหลาบอกบุญไม่รับอยู่บนโซฟาตัวยาวที่อยู่ทางหน้าห้องลองชุด ในร้านเสื้อผ้าแห่งหนึ่งของห้างสรรพสินค้าใหญ่โต พนักงานสาวหาน้ำหาท่ามาให้ดื่มเป็นการต้อนรับอย่างดี พลางมองสำรวจรูปร่างหน้าตาของชายหนุ่มด้วยความชื่นชม บ้างก็แอบไปซุบซิบกันด้านหลังเคาท์เตอร์ แต่ลายสิงห์กลับไม่ได้สนอกสนใจต่อท่าทางของคนรอบข้าง สิ่งเดียวที่กำลังรออยู่คือคนที่กำลังอยู่ด้านในห้องแต่งตัวต่างหาก
   ครู่หนึ่งประตูห้องลองก็เปิดแง้มออกมานิดหนึ่ง พร้อมกับใบหน้ายิ้มแป้นของต้นข้าวที่ชะโงกออกมา
   “พร้อมหรือยัง”
   “เลิกเล่น แล้วรีบๆ ออกมาซะทีเถอะ”
   เสียงทุ้มพูดอย่างไม่สบอารมณ์ เกิดมาในชีวิตไม่เคยต้องนั่งรออะไรนานขนาดนี้มาก่อนเลย ทำไมเด็กวัยรุ่นถึงได้ยุ่งยากเรื่องมากขนาดนี้นะ ลมหายใจเฮือกใหญ่ถูกระบายออกมาตามความหงุดหงิด แวมไพร์กับคนก็คงเหมือนกันสินะ เพราะทันทีที่มาถึง ต้นข้าวก็ลากเลโอซิสเข้าไปเลือกชุดกันยกใหญ่ ตอนแรกเขาเสนอให้เข้าร้านเสื้อผ้าในแบบที่ตัวเองสวมใส่อยู่ แต่ต้นข้าวไม่ยอมและบอกให้มาที่ห้างสรรพสินค้า แถมยังเลือกเข้าร้านแบรนด์เนมเสียด้วยสิ
   ลายสิงห์คิดว่าคงต้องกระเป๋าฉีกเป็นแน่ แต่ต้นข้าวบอกว่าจะเป็นคนจ่ายค่าเสื้อผ้าทุกอย่างให้เลโอซิสเอง เพื่อเป็นการตอบแทนและขอบคุณที่ได้ช่วยชีวิตเอาไว้ หนำซ้ำดูเหมือนต้นข้าวจะชอบใจเหลือเกินกับการมีเพื่อนเป็นแวมไพร์
   “เอาล่ะ”
   ต้นข้าวพูดแล้วหายกลับเข้าไปในห้องลองชุดอีกครั้ง พักหนึ่งประตูห้องก็เปิดออก ชายหนุ่มยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ อย่างเซ็งในอารมณ์ ทว่าพอหันไปมองยังร่างเพรียวที่ก้าวออกมาจากห้อง พลันดวงตาคู่คมก็เบิกกว้าง อ้าปากค้าง ความหงุดหงิดที่ต้องรอนานมลายหายไปอย่างสิ้นเชิง
   ถ้าหากไม่คิดว่าหนุ่มน้อยตรงหน้าเป็นแวมไพร์ แต่เป็นเพียงเด็กผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่ง คงต้องยอมรับอย่างไม่มีข้อโต้แย้งเลยว่าเลโอซิสเป็นเด็กหนุ่มที่จัดว่าน่ารักสุดๆ หน้าหวานๆ ที่ราวกับตุ๊กตาซึ่งถูกปลุกปั้นมาจากจิตกรเอกชื่อดังของโลก ผิวที่ขาวเรียบเนียนราวกับมีออร่าเปล่งประกายอยู่ตลอดเวลา เขาเคยแอบสังเกตว่าผิวนี้เวลาโดนแดดเหมือนมีประกายทองเรื่อเรืองอยู่รอบๆ อีกด้วย หุ่นที่เพรียวบางระหงพอถูกจับมาแต่งตัวด้วยชุดเสื้อผ้าที่ดูสดใสสมวัย ทำให้ยิ่งดูราวกับเป็นนายแบบบนแคทวอร์กลงมาเดินอยู่ริมถนนก็ไม่ปาน เล่นทำเอาพูดไม่ออก มัวแต่ตกตะลึง จนเกือบจะหยุดลมหายใจไปเลยทีเดียว
   “อึ้งไปเลย”
   ต้นข้าวเท้าเอวและหัวเราะคิกคัก เชิดใบหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ ที่สามารถจับหนุ่มน้อยหน้าหวานมาแปลงโฉมจนราวกับกลายร่างเป็นเจ้าชายจากราชวงศ์เก่าแก่สูงศักดิ์ ซึ่งทรงสง่าไร้ที่ติ จนเหลือเชื่อว่าจะมีเด็กผู้ชายที่หน้าตางดงามขนาดนี้อยู่บนโลก
   “เป็นยังไงบ้างครับ”
   ต้นข้าวเอ่ยถาม ในขณะที่ชายหนุ่มยังคงอ้าปากค้างอยู่อย่างเดิมราวกับร่างทั้งร่างถูกสต๊าฟเอาไว้
   “นี่คุณ”
   ต้นข้าวเรียกเสียงดังจนลายสิงห์รู้สึกตัวหลุดจากภวังค์สะดุ้งโหยงแล้วกระแอมเบาๆ อย่างกลบเกลื่อนแก้อาย ก่อนจะลุกยืนทำท่าทางบิดขี้เกียจ เสียงกระดูกลั่นดังกรอบแกรบ ทำให้เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าต้องนั่งรอแบบนี้มานานสองนานแล้ว
   “จะเลือกกันอีกนานแค่ไหน”
   เสียงทุ้มเอ่ยถามอย่างห้วนสั้น
   “ก็คงอีกสักสองสามชุดนั่นแหละครับ”
   “ฉันไม่มีเวลามานั่งรอทั้งวันหรอกนะ”
   “งั้นคุณก็ช่วยเลือกหน่อยสิว่าชุดไหนที่เลโอซิสใส่แล้วดูน่ารัก ช่วยๆ กันตัดสินใจ จะได้เสร็จเร็วๆ ไง”
   “ไม่ใช่หน้าที่ของฉัน”
   ลายสิงห์พูดสวนขึ้นมาอย่างทันควัน
   “ในเมื่อนายอาสาจะมาช่วย ก็รีบๆ จัดการเข้าแล้วกัน ฉันจะออกไปเดินเล่นซะหน่อย”
   ไม่ทันที่สองหนุ่มน้อยจะได้พูดอะไร ร่างสูงก็รีบชิงหนีและเดินจ้ำพรวดออกมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมายืนหลบมุมอยู่ที่นอกร้าน ยกมือขึ้นจับหน้าอกตัวเองที่ตอนนี้ได้ยินเสียงหัวใจเต้นถี่ระรัวชัดเจน
   เสียงลมหายใจถูกพ่นระบายอย่างหนักหน่วง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันจนมุ่นอย่างพยายามอดทนอดกลั้นทุกความรู้สึกที่กำลังประทุขึ้นมาจนรู้สึกจุกแน่นอยู่ในอก
   นี่กำลังเกิดอะไรอยู่กันแน่ นั่นแวมไพร์นะ ไม่ใช่คน แล้วยังจะมาคิดอะไรบ้าๆ บอๆ แบบนี้ได้ยังไง
   “บ้า ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ”
   ร่างสูงยืนกระฟัดกระเฟียดอย่างหงุดหงิด แถมอยากจะดึงทึ้งเส้มผมของตัวเองเพื่อดับความร้อนรุ่ม จนลืมไปว่ากำลังยืนอยู่ในห้างสรรพสินค้า กว่าจะรู้สึกตัวก็ต่อเมื่อได้เห็นสายตาแปลกๆ ของคนรอบข้างที่มองมา จนทำให้ต้องรีบเดินจ้ำอ้าวหนีไปยังที่อื่นทันที
   ลายสิงห์ตรงไปยังแผนกกีฬา เดินๆ ดูชุดกีฬาอย่างครุ่นคิดว่านานแค่ไหนแล้วที่ตัวเองไม่ได้แวะไปโรงยิมของกรมตำรวจเพื่อฝึกฝนศิลปะการต่อสู้เพิ่มเติมเลย รู้สึกอยากจะออกกำลังกายเพื่อดับความคิดฟุ้งซ่านขึ้นมาตงิดๆ ระหว่างเลือกดูนั่นดูนี่ เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เป็นท่านสารวัตรนั่นเองที่โทรมาหา เพื่อแจ้งว่าโลงศพถูกย้ายออกจากบ้านของเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และอยู่ในระหว่างการคุ้มกันเพื่อนำกลับมายังกรมตำรวจ
   ชายหนุ่มจ้องมองโทรศัพท์ในมือที่ตอนนี้วางสายไปแล้วด้วยความรู้สึกประหลาดๆ กับภารกิจคุ้มกันโลงศพด้วยตำรวจฝีมือดีของกรม อันที่จริงควรจะให้คนเหล่านั้นมาคุ้มกันตัวเขาน่าจะเป็นการดีซะกว่า หากใครได้รู้ว่ามีอะไรที่เคยอยู่ในโลงศพ และบัดนี้ก็มาคอยตามเขาอยู่แทบจะทุกฝีก้าวแบบนี้
   “จะไม่ห่างจากฉัน กินเลือดฉันเป็นอาหารจนคอเป็นรอยช้ำไปหมด ไหนจะต้องนอนอยู่ด้วยกัน จะไล่ยังไงก็ไม่ไป และต้องรออีกตั้งสามเดือน”
   ลายสิงห์บ่นพึมพำกับตัวเองอย่างไร้หนทางออก หวนนึกถึงตอนที่เลโอซิสคืนหัวใจของเขามาให้ ความเจ็บปวดแสนสาหัสที่ได้รับรู้ คือสุดยอดของความทุกข์ทรมานที่ไม่อยากจะได้ลิ้มรสอีกแล้ว ที่ทำได้ตอนนี้คือต้องอดทนรอ ต้องรออย่างเดียวเท่านั้น คงเป็นทางออกสุดท้ายแล้วจริงๆ
   ช่วยไม่ได้ .. เพื่อให้มีชีวิตรอด แม้ต้องอยู่กับสิ่งมีชีวิตที่ไม่อยากจะรู้จักที่สุด แต่ก็ต้องอดทน
   ร่างสูงเดินทอดน่องอยู่ในแผนกกีฬาพักใหญ่ๆ ดวงตาคู่คมพลันเหลือบไปเห็นฝั่งตรงข้ามกันเป็นจุดที่ให้บริการอินเตอร์เนต ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในสมอง ก่อนที่จะรีบสาวเท้าเดินตรงไปยังคอมพิวเตอร์อย่างรวดเร็ว
   ชายหนุ่มทรุดตัวนั่งลง มือหนาคลิกเม้าส์เข้าไปยังหน้าจอเว็บไซด์เพื่อค้นหาข้อมูล
   “อะไรวะ”
   เสียงสบถเบาๆ อย่างไม่สบอารมณ์นัก เพราะตลอดสิบนาทีที่นั่งอยู่หน้าจอ เขาพยายามค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับแวมไพร์ รวมทั้งวิธีการที่จะกำจัด แต่ไม่ว่าข้อมูลจากเว็บไหนๆ ก็บอกแบบเดียวกันว่าแวมไพร์กลัวแสงแดด ไม้กางเขน และกระเทียม
   “ไม่รู้จริงนี่หว่า มั่วชะมัด พวกแกเคยเจอแวมไพร์ตัวเป็นๆ หรือเปล่าวะ จะมาเขียนส่งเดชอย่างนี้ได้ยังไง”
   เด็กสาววัยรุ่นที่นั่งเล่นอยู่เครื่องข้างๆ พากันหันมามองร่างสูงด้วยสายตาระแวดระวัง ก่อนจะพร้อมใจกันลุกเดินหนีไป ด้วยเกรงว่าผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาแต่กลับมีท่าทางเหมือนคนบ้าคนนี้จะเกิดคุ้มคลั่งชักมีดออกมาไล่จับคนเป็นตัวประกัน
   ลายสิงห์ลุกออกมาและเดินคอตกราวกับหมดเรี่ยวแรง คิดถึงอนาคตที่ต้องใช้ชีวิตร่วมกับแวมไพร์หนุ่มน้อย
   “โอ๊ะ”
   เสียงอุทานเบาๆ เมื่อกำลังคิดอะไรเพลินและไม่ทันระวัง จนเดินชนเข้ากับชายร่างใหญ่คนหนึ่งซึ่งจงใจเข้ามาขวางทางเอาไว้
   ดวงตาคู่คมมองประสานสายตากับชายใส่สูทสีดำตรงหน้า ด้านหลังมีผู้ชายแต่งกายด้วยชุดคล้ายคลึงกันอยู่อีกราวหกถึงเจ็ดคน
   “มีอะไร”
   เสียงทุ้มเอ่ยถามด้วยท่าทางสงบนิ่ง พยายามตั้งสติ และมองใบหน้าของกลุ่มคนเหล่านั้นอย่างพิจารณา
   “บอกที่อยู่ของโลงศพมาซะ ถ้ายังไม่อยากเป็นศพซะเอง”
   ชายร่างใหญ่พูดเสียงราบเรียบ หากแต่แฝงไว้ด้วยความหนักแน่นจริงจัง
   “ตอนนี้มันถูกย้ายไปที่กรมตำรวจเรียบร้อยแล้ว พวกแกมาสายไป”
   “ฉันจะจับตัวแกไป แล้วบอกให้พวกนั้นส่งโลงศพมาให้”
   “ฮ่าๆ ตลกชะมัด”
   ลายสิงห์หัวเราะเสียงดังอย่างขำขันในสิ่งที่ได้ยิน คนรอบข้างที่เดินผ่านไปมา พยายามจูงลูกจูงหลานหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว เพราะรู้สึกได้ถึงบรรยากาศอันคุกรุ่น
   “ค่าตัวของฉันได้แค่ไอ้โลงศพใบนั้นน่ะเหรอ แล้วอีกอย่างนี่คิดจะลักพาตัวตำรวจอย่างงั้นเชียว อย่ามาดูถูกกันหน่อยเลย”
   “ปากดีนักนะแก”
   หน้าหล่อเหลาหันขวับเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าจากทางด้านหลัง และพบเห็นกลุ่มชายชุดดำอีกห้าคน เท่ากับตอนนี้ตัวเขากำลังถูกล้อมไว้เรียบร้อยแล้ว
   ดวงตาคู่คมหันกลับมาประจันหน้ากับชายร่างใหญ่ที่คาดว่าคงจะเป็นหัวหน้ากลุ่มโจรอีกครั้ง ก่อนจะถูกลากพาตัวเดินออกมายังบริเวณลานจอดรถ
   ลายสิงห์ยอมเดินตามมาแต่โดยดีอย่างไม่ได้ขัดขืน เพราะเกรงว่าจะมีคนที่ไม่เกี่ยวข้องพลอยโดนลูกหลงไปด้วย หากเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงที่ไม่ทันคาดคิดขึ้น
   “จัดการมัน”
   สิ้นสุดคำสั่ง หมัดตรงๆ ก็พุ่งเข้าหาลายสิงห์อย่างรวดเร็ว พร้อมกับลูกน้องทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
ชายหนุ่มก้มหลบแล้วสวนกลับด้วยการงัดหมัดขึ้นกระแทกเสยใส่ปลายคางของชายร่างใหญ่ จากนั้นก็พุ่งผ่านไปยังพวกลูกน้องทั้งหกเจ็ดคนทางด้านหน้าที่กำลังกรูกันเข้ามา กระโดดขึ้นถีบใส่หน้าของคนๆ หนึ่ง เอี้ยวตัวหลบหมัดของอีกคน แล้วไถลหลบลูกเตะของอีกคนอย่างคล่องแคล่วว่องไว หากแต่รับรู้ได้ว่าร่างกายของตัวเองยังไม่ค่อยตอบสนองได้ดีเท่าไรนัก อาจจะเป็นเพราะยังอยู่ในช่วงพักรักษาตัวอยู่ด้วยกระมัง
   ลายสิงห์ตวัดขาเตะเข้าที่ท้องของชายชุดดำจนตัวงอ ใช้โอกาสของคนที่กำลังงอตัวอยู่เป็นแท่นกระโดดด้วยการใช้มือข้างหนึ่งเป็นแรงผลักร่างให้ตัวเองลอยขึ้นเหนือพื้น จากนั้นก็ฟาดฝ่าเท้าใส่หน้าของพวกที่วิ่งดาหน้าเข้ามา ใช้หมัดหวดเข้าที่ใบหน้าของอีกคนหนึ่ง
   ชั่วอึดใจต่อมา หมัดหนักหน่วงก็ปะทะเข้าที่ใบหน้าหล่อเหลาจนเซแทบหงายหลัง ร่างสูงม้วนตัวถอยกลับมาตั้งหลักแล้วยืนขึ้นอีกครั้ง
   “เก่งนักนะ”
   หัวหน้าของพวกโจรนั่นเอง ดูเหมือนว่าหมัดหนักๆ เมื่อครู่จะใช้กับมันไม่ได้ผล
   ลายสิงห์ได้กลิ่นคาวเลือดในปากและที่ไหลออกมาทางจมูก หมัดที่ได้รับมีน้ำหนักรุนแรงจนเทียบได้กับนักมวยรุ่นเฮฟวี่เวทเลยทีเดียว ท่าทางเหมือนดั้งจมูกของเขาจะหักเสียแล้ว เพราะรู้สึกได้ถึงอาการเจ็บแปลบๆ และพอลองย่นจมูกดูก็เจ็บเสียจนน้ำตาแทบไหล
   ดูเหมือนจะให้เก่งฉกาจแค่ไหน แต่ก็เป็นผู้ชายธรรมดาๆ เพียงคนเดียว และในความเป็นจริงก็ไม่มีใครสามารถล้มคนกว่าสิบชีวิตด้วยตัวเองเพียงลำพังได้ และยิ่งเป็นพวกมืออาชีพแบบนี้ยิ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ใหญ่
   ลูกน้องคนหนึ่งซัดหมัดเข้าใส่หน้าท้องที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม อีกคนตวัดขาเตะเข้าที่ท้องซ้ำอีกครั้งจนสามารถงัดร่างสูงขึ้น ก่อนจะร่วงหล่นลงมากระแทกและนอนกองอยู่กับพื้น
   เสียงอะไรบางอย่างแล่นผ่านไปวูบหนึ่ง พร้อมกับลมพัดผ่านลำตัวไปอย่างรุนแรงและรวดเร็วทั้งๆ ที่อยู่ภายในห้าง ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงอะไรหนักๆ ร่วงหล่นลงสู่พื้นเป็นจังหวะต่อเนื่องกว่าสิบครั้ง
   ร่างสูงนอนนิ่งหอบหายใจแรงอย่างเหนื่อยอ่อน อยากจะมองดูว่ามีอะไรที่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่มีเรี่ยวแรงหลงเหลือเพียงพอที่จะทำแบบนั้น ดวงตาคู่คมปรือปรอยใกล้จะหมดสติลงเต็มที
   “พี่ไม่เป็นไรนะครับ”
   น้ำเสียงหวานใสคุ้นหูที่ได้ยิน พร้อมกับวงแขนที่ค่อยๆ โอบประคับประคองตัวเขาให้ลุกยืน ทำให้ลายสิงห์พยายามรวบรวมสติที่เหลือน้อยนิด และเพ่งมองคนตรงหน้า
   เลโอซิสนั่นเอง หน้าหวานๆ มีท่าทางแข็งกร้าวแต่แฝงไว้ซึ่งความอ่อนโยนที่สามารถสัมผัสได้
   “เกิดอะไรขึ้น”
   ชายหนุ่มเอ่ยถาม เมื่อเหลือบสายตามองไปรอบๆ และเห็นชายชุดดำนับสิบคนนอนสลบเหมือดกันอย่างเรียงรายอยู่บนพื้น
   “เลโอจัดการคนที่ทำร้ายพี่ให้แล้ว”
   “ไม่เป็นอะไรกันใช่ไหม”
   ต้นข้าววิ่งหอบของพะรุงพะรังและตามมาถึงเป็นคนสุดท้าย ยืนหอบหายใจจนตัวโยนอย่างเหน็ดเหนื่อย จะว่าไปแล้วระยะทางจากร้านเสื้อผ้าจนมาถึงที่นี่ก็เรียกได้ว่าห่างกันมากพอสมควร โชคยังดีที่เลโอซิสบอกไว้ก่อนว่าให้ตามมาที่ไหน ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีทางหากันเจออย่างแน่นอน
   ในเมื่อแวมไพร์หนุ่มน้อยทั้งรวดเร็วและว่องไวราวกับสายลมปานนั้น เพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้นเลโอซิสก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงนี้ แตกต่างจากต้นข้าวที่ต้องวิ่งไปหอบไป
   ร่างสูงถูกยกจนตัวลอยด้วยมือแข็งแรงเพียงข้างเดียว ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของตัวเขาเองและต้นข้าวที่รู้สึกทึ่งกับพลังมหาศาลนี้
   เลโอซิสก้าวเดินยาวๆ ลงไปที่ชั้นล่าง ซึ่งเป็นชั้นที่จอดรถของเจ้านายหนุ่มอยู่ ลายสิงห์อยากจะดิ้นรนลงจากสภาพที่หน้ากระอักกระอ่วนใจเช่นนี้ แต่ก็ไม่อาจทำได้อย่างใจคิด ด้วยรู้ดีว่าตอนนี้ตัวเองบอบช้ำแค่ไหน ความรู้สึกหวาดกลัวเริ่มตีตื้นกลับมาอีกครั้ง เพราะไม่รู้ว่าแวมไพร์หนุ่มน้อยสามารถทำอะไรได้บ้าง
   ความหวาดกลัวที่สุด ก็คือความที่ .. ไม่รู้
   ดูอย่างตอนนี้สิที่ผู้ชายร่างสูงใหญ่น้ำหนักกว่า 70 กิโลกรัม สูงถึง 189 เซน กลับต้องมาถูกแบกอยู่บนร่างของเด็กหนุ่มหน้าหวานตัวผอมบางราวกับผู้หญิง ไหนจะเดินจากชั้นบนลงมาชั้นล่างด้วยท่าทางสบายๆ ราวกับเพียงกำลังถือถุงชอปปิ้งอยู่อย่างไงอย่างงั้น

   “พวกนั้นเป็นใครกันครับ”
    ต้นข้าวเอ่ยถาม ในขณะที่ขับรถแล่นออกมาได้สักพักแล้ว
   “พวกที่จ้องจะเอาโลงศพน่ะ”
   “แล้วทำไมพวกนั้นถึงรู้จักคุณด้วยล่ะ”
   “หึ ฉันว่าดีไม่ดีพวกมันอาจจะรู้จักนายด้วยก็ได้”
   ลายสิงห์เค้นเสียงพูด ก่อนจะร้องโอยเบาๆ รู้สึกจุกเสียดท้อง ท่าทางกระดูกซี่โครงคงจะหัก รวมทั้งดั้งโด่งๆ ของตัวเองด้วย
   “ผมว่าไปโรงพยาบาลก่อนดีไหม ท่าทางคุณดูไม่ค่อยดีเลย”
   ต้นข้าวเหลือบมองใบหน้าหล่อเหลาผ่านทางกระจกมองหลัง ร่างสูงนั่งอยู่ที่เบาะโดยที่ข้างๆ มีเลโอซิสนั่งอยู่เคียงข้างอย่างไม่ยอมห่าง
   “ไม่เกินพรุ่งนี้พี่ก็จะหายเป็นปกติแล้วครับ”
   “จริงเหรอ แต่ฉันว่าอาการเขาดูสาหัสมากเลยนะ”
   “ครับ ตอนนี้หัวใจของเลโอในตัวของพี่ จะช่วยรักษาบาดแผลให้หายเร็วขึ้น”
   ลายสิงห์ไม่ได้พูดแสดงความคิดเห็นใดๆ รู้สึกเหนื่อยและอ่อนเพลีย รวมทั้งเจ็บเกินกว่าจะถ่างตาเอาไว้ได้ไหวอีกต่อไป ไม่ช้านัก ดวงตาคู่คมก็ปิดสนิท เสียงลมหายใจสม่ำเสมอ
   เลโอซิสจับศีรษะของเจ้านายหนุ่มให้เอนลงมาหนุนนอนที่ตักเล็ก ก่อนจะใช้นิ้วมือเรียวเกลี่ยปอยผมสีดำสนิทที่นุ่มลื่นมือให้พ้นจากหน้าผากกว้าง ดวงตาสีทองมองใบหน้าหล่อเหลาที่หลับตาพริ้มพราวของชายหนุ่มด้วยหลากหลายความรู้สึก
   
   อยากอยู่ใกล้ๆ ไม่อยากห่างจากคนๆ นี้เลยจริงๆ อยากอยู่ด้วยกันแบบนี้ .. ตลอดไป
   
Love you .. vampire my darling
   




ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ AUGUSTLOVE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-0
7

   ร่างสูงถูกวางลงบนเตียงนอนด้วยความทะนุถนอมจากฝีมือของแวมไพร์หนุ่มน้อย จากนั้นต้นข้าวก็ใช้เวลาที่เหลือจัดแจงสอนรายละเอียดทุกอย่างเกี่ยวกับเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์และข้าวของภายในบ้าน
   ร่ายยาวตั้งแต่ของชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่างเครื่องชงกาแฟ เครื่องดูดฝุ่น โทรทัศน์ เครื่องซักผ้า โทรศัพท์ และทุกสิ่งทุกอย่างที่ควรจะรู้ในการดำเนินชีวิตประจำวันแบบมนุษย์ปกติธรรมดาทั่วไป
   โชคดีเหลือเกินที่เลโอซิสมีความจำเป็นเลิศและสามารถเรียนรู้ได้รวดเร็วจนน่าอัศจรรย์ใจเหลือเกินสำหรับคนสอน จนต้นข้าวต้องเอ่ยปากชมอย่างไม่หยุดหย่อน
   “ถ้าอย่างนั้นฉันกลับก่อนแล้วกันนะ พรุ่งนี้จะมาหาใหม่ ถ้ามีปัญหาอะไรก็โทรหาได้ตลอด”
   “ครับ”
   “อ้อ แล้วก็ .. ฉันรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้มีเพื่อนเป็นแวมไพร์อายุห้าร้อยกว่าปีอย่างนาย”
   ต้นข้าวโค้งตัวลงราวกับทำความเคารพ เลโอซิสก็ทำตามเช่นกันด้วยท่าทางสง่างาม
หลังจากเดินไปส่งต้นข้าวที่หน้าประตูบ้านและร่ำลากันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แวมไพร์หนุ่มน้อยก็กลับเข้ามาในบ้าน และเริ่มจัดการข้าวของให้เข้าที่เข้าทาง ซักเสื้อผ้าและนำไปตาก ใช้เครื่องดูดฝุ่นเพื่อทำความสะอาดบ้านทั้งหลัง ล้างจานที่อยู่ในครัว ทำความสะอาดตู้เย็นแล้วจัดของใส่เข้าไปใหม่ ถูพื้น ขัดห้องน้ำ ไล่ตั้งแต่งานเล็กๆ น้อยๆ และอีกสารพัด
“ฮ้า เสร็จเรียบร้อยแล้ว”
เลโอซิสฉีกยิ้มกว้าง ดวงตาสีทองมองไปรอบๆ อย่างชื่นชมผลงานจากฝีมือของตัวเอง ก่อนจะมาทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาภายในห้องนั่งเล่น
“โอ๊ะ”
เสียงร้องอุทานเบาๆ เมื่อเผลอไปนั่งทับอะไรบางอย่าง จนมีภาพเกิดขึ้นบนหน้าจอกล่องสี่เหลี่ยมๆ ตรงหน้า ซึ่งต้นข้าวบอกว่าเจ้าสิ่งนี้เรียกว่าโทรทัศน์
มือเนียนขาวหยิบรีโมตที่กำลังนั่งทับอยู่ขึ้นมาถือไว้ จากนั้นก็กดไปตามที่ต้นข้าวได้สอนไว้หากต้องการเปลี่ยนเป็นช่องอื่น ถ้าไม่อยากดูสิ่งที่กำลังฉายอยู่
หนุ่มน้อยแวมไพร์หยุดมือค้างไว้ ดวงตาโตจ้องมองภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าในตอนนี้ เป็นภาพของหญิงชายคู่หนึ่ง ที่ร่างกายกำลังเปลือยเปล่าและนัวเนียกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ตามด้วยเสียงร้องครางเครือด้วยท่าทางสุขสม
เลโอซิสกลืนน้ำลายลงคอเสียงดังเอื๊อก ดวงตาเบิกกว้างเป็นระยะๆ ด้วยความตกใจ ไม่เคยคาดคิดว่าจะได้มาเห็นการร่วมรักแบบร้อนแรงอย่างนี้ต่อหน้าต่อตา เสียงหัวใจเต้นแรงอย่างลุ้นระทึกไปตามบทรักที่ได้พบเห็น นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่มีชีวิตเป็นมนุษย์จวบจนกลายเป็นแวมไพร์
หนุ่มน้อยกดปุ่มรีโมตปิดทีวีแล้วลุกพรวดขึ้นจากโซฟา เดินตรงไปที่ห้องนอนของเจ้านายหนุ่มที่ยังคงหลับใหลไม่รู้เรื่องรู้ราว
ร่างเพรียวทรุดนั่งลงเคียงข้างชายหนุ่มบนเตียงนอนกว้าง มือเนียนขาวลูบไล้ใบหน้าหล่อเหลาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะฝังคมเขี้ยวลงไปบนต้นคอแข็งแรง แม้จะไม่ได้รู้สึกหิวเท่าไร แต่พอเห็นใบหน้าที่กำลังหลับใหลอยู่แบบนี้ กลับรู้สึกได้ถึงความเย้ายวนใจจากบางอย่างที่ทำให้อดใจไม่ไหว
เลโอซิสดื่มด่ำเลือดที่ทั้งหอมและหวานอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนเขี้ยวออกมา ดวงตาสีทองมองใบหน้าสงบนิ่งอย่างพิจารณาตั้งแต่คิ้วเข้ม เปลือกตาที่พริ้มหลับซึ่งซ่อนนัยน์ตาคู่คมเอาไว้ จมูกโด่งเป็นสัน และริมฝีปากเนียนนุ่มซึ่งเคยได้สัมผัสมาแล้ว
แวมไพร์หนุ่มน้อยจ้องมองริมฝีปากของเจ้านายหนุ่มอยู่เนิ่นนานราวกับต้องมนต์สะกด ยิ้มบางๆ ระบายบนใบหน้าน่ารัก และตัดสินใจประกบริมฝีปากชมพูระเรื่อลงบนริมฝีปากอิ่มแสนยั่วยวนตรงหน้า
ตอนนั้นเองที่หัวใจพลันเต้นแรงขึ้นมา รู้สึกได้ถึงความร้อนรุ่ม ทำให้ต้องรีบผละออกและยกมือขึ้นกุมหน้าอกข้างซ้ายของตัวเองด้วยความตกใจ
“เกิดอะไรขึ้น”
เลโอซิสเม้มปากแน่น พยายามทำความเข้าใจกับความรู้สึกแปลกใหม่ที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน เมื่อครู่นี้ตอนที่มีโอกาสได้ดูบทรักร้อนแรงของคู่ชายหญิงในโทรทัศน์ หัวใจก็เต้นแรงเสียจนเหมือนจะหลุดออกมาเต้นข้างนอก หนำซ้ำมาตอนนี้หัวใจก็กลับมาเต้นระรัวเสียจนน่าหวั่นกลัวอีก
“หรือจะเป็นผลข้างเคียงจากการแลกหัวใจอย่างงั้นหรือ”
หน้าหวานเต็มไปด้วยความฉงนสงสัยและไม่แน่ใจ เพียงครู่จึงตัดสินใจโน้มใบหน้าลงไป และประกบริมฝีปากของตัวเองกับปากของชายหนุ่มอีกครั้ง
แวมไพร์หนุ่มน้อยผละออกมาอย่างรวดเร็วเมื่อสัมผัสได้กับเสียงหัวใจที่เต้นแรงระทึกและบีบแน่นราวกับใกล้จะตาย หน้าใสซีดเซียวด้วยความตกใจ เพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวเองเรียกว่าอะไรกันแน่


ลายสิงห์รู้สึกเจ็บระบมไปทั้งตัว ได้ยินเสียงกระดูกแล่นแปลบปลาบตามกล้ามเนื้อคล้ายกับว่ากำลังจะแหลกเป็นเสี่ยงๆ ดวงตาคู่คมค่อยๆ ลืมขึ้นช้าๆ พลางสำรวจว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหนกันแน่
หลังจากที่ลืมตาขึ้นจนเต็มตา ก็พบว่ากำลังนอนอยู่ในบ้านของตัวเอง อาการมึนหัวยังคงมีอยู่ พยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็เริ่มคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นว่าเพราะอะไร ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่และในสภาพเจ็บระบมเสียขนาดนี้ ใช้เวลาไม่นาน ภาพตอนที่ถูกกลุ่มชายชุดดำล้อมรอบและรุมทำร้ายก็โผล่เข้ามาในหัว
“จริงด้วย”
เสียงทุ้มโพล่งขึ้นมา จากนั้นก็ยกมือลูบดั้งจมูกที่คิดว่าหักเสียแล้ว แต่เปล่าเลย ดั้งจมูกที่เคยหักไป บัดนี้กลับสมานกลับเป็นเหมือนเดิมเรียบร้อยแล้ว หลงเหลือเพียงความเจ็บๆ แปลบๆ นิดหน่อยเท่านั้น
“เกิดอะไรขึ้นครับ”
เลโอซิสถลาออกมาจากห้องน้ำในสภาพเนื้อตัวเปลือยเปล่า วิ่งตาเหลือกตาโตออกมาและกวาดสายตามองไปรอบๆ เพื่อระแวดระวังภัย
ลายสิงห์มองหนุ่มน้อยตรงหน้าตาค้างเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง วันนั้นเขาเป็นคนโป๊ก็จริง แต่ก็ไม่คิดอยากจะเอาคืนด้วยวิธีนี้หรอกนะ
แวมไพร์หนุ่มน้อยมองสำรวจและเห็นว่าไม่มีอันตรายอะไร จึงรีบพุ่งพรวดเข้ามาหาร่างสูงที่นั่งนิ่งอยู่บนเตียง
   “พี่เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
   เสียงใสถามอย่างห่วงใยและอาทร ตามเนื้อตัวมีหยดน้ำเกาะพราวอยู่บนผิวขาวเนียนผุดผาด จนคนที่มองเห็นรู้สึกวูบไหวแปลกๆ อดไม่ได้ที่จะต้องกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่
   “มะ ไม่เป็นไร”
   ชายหนุ่มพยายามรวบรวมเสียงให้ออกมาเป็นคำพูด แต่ก็ประหม่าและสั่นเต็มที
   “งั้นก็นอนก่อนนะครับ ตอนนี้ร่างกายของพี่ยังต้องการการพักผ่อน”
   ไม่พูดเปล่า มือเนียนจับร่างสูงให้ล้มตัวลงบนที่นอนอย่างเช่นเดิม ลายสิงห์เผลอสูดดมความหอมหวานจากผิวกายละเอียดของเด็กหนุ่มเข้าไปเฮือกใหญ่จนชื่นใจ
   “ทำอะไรน่ะ”
   เมื่อสติกลับคืนก็รีบปัดมือบอบบางทิ้งไป รู้สึกอึดอัดและร้อนรุ่มอย่างบอกไม่ถูก หัวใจเต้นแรงระส่ำจนน่ากลัวเหลือเกิน
   “นายบ้าหรือไงถึงออกมาในสภาพแบบนี้”
   เลโอซิสก้มลงมองตัวเอง ก่อนจะเงยมองสบดวงตาคู่คม พลางเอียงคอซ้ายทีขวาทีอย่างไม่เข้าใจ
   “ทำไมเหรอครับ”
   “ยังจะถามอีก นายโตแล้วนะ ควรจะแต่งตัวให้เรียบร้อยซะก่อนสิ”
   “หืม แต่เลโอมีทุกอย่างเหมือนพี่นะ นี่ไง ดูสิ”
   มือเนียนคว้าข้อมือแข็งแรงไว้ ก่อนจะจับให้มือหนามาวางทาบบนผิวกายเรียบลื่นเนียนละเอียดของตัวเอง
   ลายสิงห์เผลอลูบไล้ไปตามการชักนำของหนุ่มน้อย ความนุ่มนิ่มที่ไม่มีรอยสะดุดทำให้รู้สึกหลงใหลและเคลิบเคลิ้ม จากลำคอระหง เลื่อนลงมาตรงแอ่งชีพจร ก่อนจะถึงเนินอกที่มีเม็ดเล็กๆ สีชมพูอยู่ทั้งสองข้างและปัดป่ายลงไปเพียงแผ่วเบา
   “อาห์”
   “เฮ้ย”
   ร่างสูงสะบัดมืออกจากการกอบกุม พร้อมกับกระเด้งตัวถอยหลังเมื่อได้ยินเสียงผ่อนลมหายใจของหนุ่มน้อยแวมไพร์ สติที่กระเจิงไปเมื่อครู่ถูกดึงให้กลับมาโดยเร็ว
   “ไปแต่งตัวให้เรียบร้อยเดี๋ยวนี้นะ”
   เลโอซิสลุกยืนขึ้น และก้าวเดินไปทำตามคำสั่งอย่างไม่มีเกี่ยงงอน แม้จะยังไม่ค่อยเข้าใจอะไรเท่าไรนัก
ดวงตาคู่คมมองตามร่างเพรียวที่เดินไปทางตู้เสื้อผ้า ก่อนจะรีบเบือนหน้าหนีจากความขาวผุดผาดที่ปรากฎล่อตาล่อใจอยู่ คิ้วคมเข้มขมวดเข้าหากันจนยุ่งไปหมด พร้อมกับยกมือมาลูบหน้าลูบตาตัวเองเพื่อรวบรวมกำลังใจอยู่อีกพักใหญ่
   เฮ้อ .. บ้า บ้าที่สุด ฉันต้องใกล้จะบ้าแล้วแน่ๆ


   เสียงโหวกเหวกโวยวายที่ดังมาจากในห้องน้ำ ทำให้เลโอซิสต้องรีบผลักบานประตูเข้าไปอย่างรวดเร็ว และก็เห็นร่างของเจ้านายหนุ่มในสภาพหน้าซีดปากสั่น ยืนหลบมุมอยู่ทางฝั่งหนึ่ง
   “มีอะไรเหรอครับ”
   “มะ แมลงสาบ นายช่วยเอามันไปที”
   ดวงตาสีทองมองเจ้าสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ที่เดินดุ๊กดิ๊กอยู่บนพื้นหินอ่อน จากนั้นก็ย่อตัวนั่งลงและหยิบเจ้าแมลงสาบที่พยายามจะคลานหนีขึ้นมาด้วยมือเปล่า ลุกยืนขึ้น และมองดูหยดน้ำที่เกาะอยู่ตามเรือนร่างกำยำของชายหนุ่มด้วยความสนใจ
   “มองอะไร เสร็จแล้วก็รีบออกไปสิ ฉันจะอาบน้ำ”
   ลายสิงห์ดึงม่านในห้องน้ำให้บดบังร่างกายของตัวเองเอาไว้ เพื่อไม่ให้เป็นที่เปิดเผยต่อสายตาของแวมไพร์หนุ่มน้อยที่กำลังจับจ้องอยู่อีกต่อไป
   ชายหนุ่มระบายลมหายใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งอก เมื่อเลโอซิสยอมเดินออกไปแต่โดยดี พร้อมกับเจ้าแมลงสาบที่ทั้งเกลียดและกลัวที่สุด


   “เลโอจับเจ้านั่นได้อีก 2 ตัว”
   มือหนาที่กำลังถือผ้าขนหนูผืนเล็กๆ เช็ดผมอยู่ชะงักค้างในขณะที่เปิดประตูออกมาจากห้องน้ำ ดวงตาคู่คมมองร่างเพรียวที่นั่งอยู่บนเตียง ก่อนจะเอ่ยถาม
   “เจ้านั่น หมายถึงอะไร”
   “ก็เจ้าตัวเมื่อกี้ ที่พี่ไม่ชอบ เลโอเจอในห้องครัว”
   “อ๋อ ก็ดีสิ แล้วจัดการกับมันยังไงล่ะ”
   ลายสิงห์ก้าวเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า เปิดตู้และเลือกหยิบเสื้อยืดกับกางเกงวอร์มขายาวออกมาใส่
   “เลโอเอาไปปล่อยข้างนอกแล้ว ท่าทางมันจะชอบ เห็นวิ่งกันใหญ่เลยล่ะ”
   หน้าหล่อเหลาระบายรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปากอย่างนึกขำจากคำตอบที่ได้ยิน เด็กหนอเด็ก แม้จะเป็นแวมไพร์ที่มีอายุกว่าห้าร้อยปี แต่จริงๆ แล้วก็เป็นเพียงเด็กที่ยังไม่ทันโตเป็นหนุ่มซะด้วยซ้ำสินะ
   “นายเป็นอมตะใช่ไหม”
   ร่างสูงก้าวเดินมานั่งตรงเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง และเริ่มสนทนากับหนุ่มน้อยแวมไพร์อีกครั้ง อย่างไรเสียก็คงต้องอยู่กันอีกนาน ก็ควรจะหาข้อมูลเพิ่มเติมเอาไว้บ้างก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร
   “ใช่ครับ”
   “อมตะ ก็หมายถึงไม่มีวันตาย และไม่หวาดกลัวอะไรอย่างนั้นสินะ”
   เสียงทุ้มบ่นพึมพำ พลางนึกถึงสิ่งของต่างๆ ที่เคยขนเอามาใช้เพราะคิดว่าแวมไพร์จะกลัว แต่ก็ต้องล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า
   “มีครับ เลโอมีสิ่งที่กลัว”
   “จริงเหรอ แล้วมันคืออะไรล่ะ”
   ลายสิงห์ลุกพรวดเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าหนุ่มน้อย และถามด้วยความตื่นเต้น นึกขอบคุณพระเจ้าที่ในโลกนี้ยังมีสิ่งที่แวมไพร์ผู้เป็นอมตะนึกหวาดกลัวอยู่บ้าง
   “เลโอกลัว .. การจองจำ”
   คิ้วเข้มขมวดมุ่นอย่างแปลกใจในสิ่งที่ได้ยิน
   “แล้วใครล่ะที่จะสามารถทำอย่างนั้นได้”
   “เลโอก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ว่าเขามีหน้าที่คอยจับแวมไพร์ทุกตนขังไว้ ซึ่งมีมานานนับพันๆ ปีแล้ว”
   “หืมม แล้วเจ้านั่นมันเป็นตัวอะไรกัน ทำไมถึงอยู่ได้เป็นพันๆ ปี เพื่อไล่จับแวมไพร์”
   “เขาเป็นลูกครึ่งระหว่าง .. มนุษย์กับแวมไพร์ครับ”
   สิ่งที่ได้รับรู้ทำให้ลายสิงห์รู้สึกราวกับว่าตัวเองหลุดเข้าไปอยู่ในโลกพิลึกพิลั่นเกินกว่าจะจินตนาการเข้าไปทุกที
   “เลโอไม่อยากเป็นอมตะ”
   ดวงตาคู่คมก้มลงมองแขนเรียวที่สวมกอดตัวเขาเอาไว้ด้วยท่าทางหวั่นกลัวอะไรบางอย่าง
   “ทำไมล่ะ”
   เสียงทุ้มถามอย่างอ่อนโยน ไม่ได้คิดจะผลักใสร่างเล็กๆ นี้ให้ถอยห่างออกไปเหมือนในทุกครั้ง ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน
   “เลโอต้องมีชีวิตอยู่อย่างยาวนาน ในขณะที่คนรอบๆ ข้างค่อยๆ ตายจากไป สุดท้ายเลโอก็ไม่เหลือใคร”
   ดวงตากลมโตสีทองสว่างเงยขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังก้มลงมองอยู่เช่นเดียวกัน สายตาสองคู่สบประสานกันอยู่เนิ่นนานราวกับมีแรงดึงดูดจนยากที่จะทอดถอน
   ลายสิงห์ยืนนิ่งราวกับร่างกายขยับเขยื้อนไม่ได้ไปชั่วขณะ สมองสั่งให้ถอยห่าง แต่หัวใจกลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามและรอรับสัมผัสแผ่วเบาที่หนุ่มน้อยแวมไพร์มอบให้ผ่านทางริมฝีปากสีชมพูระเรื่อ
   ความอบอุ่น นุ่มนวล และอ่อนหวานแผ่ซาบซ่านเข้ามาในเรือนร่างและกระจายไปทุกอณูขุมขน ก่อนที่เสียงใสจะเอื้อนเอ่ยกระซิบตรงเนินหัวใจของชายหนุ่มที่กำลังเต้นแรงระรัว   
   “เลโออยากอยู่กับพี่ .. พี่อย่าทิ้งเลโอนะครับ”

Love you .. vampire my darling



ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ AUGUSTLOVE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-0
8

   ลายสิงห์ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเสียวแปลบที่ต้นคอ พยายามเปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ ก่อนจะพบว่าร่างเพรียวกำลังนั่งคร่อมร่างของตัวเองอยู่ ช่างเป็นสภาพที่น่าวาบหวิวซะเหลือเกิน ใบหน้าน่ารักค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกจากคอหนา บ่งบอกได้ว่าหนุ่มน้อยได้ดื่มเลือดจนหนำใจแล้ว
ความรู้สึกเจ็บเมื่อครู่เริ่มจางหายไป แต่กระนั้นก็ยังไม่คุ้นเคยอยู่ดี ชายหนุ่มลุกขึ้นจากเตียง เดินตรงไปยังห้องน้ำ จ้องมองตัวเองผ่านหน้ากระจกใสและเห็นรอยช้ำที่ต้นคอก็ถอนหายใจ
นี่เขาต้องบริจาคเลือดแบบนี้ไปตลอดสามเดือนอย่างนั้นสินะ

“อาหารเช้าพร้อมแล้วนะครับ”
เสียงใสดังเข้ามาในห้อง เป็นเวลาเดียวกันกับที่ชายหนุ่มก้าวออกมาจากห้องน้ำ หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วก็เปลี่ยนมาสวมเสื้อยืดกางเกงยีนส์เรียบง่าย เปิดประตูเดินออกมาและตรงไปทางห้องครัว เดินมาหยุดลงตรงโต๊ะกินข้าว มองเห็นอาหารเช้าในรูปแบบฝรั่งถูกเตรียมเอาไว้พร้อมกับกาแฟและหนังสือพิมพ์ จานอาหารตรงหน้าเป็นขนมปังปิ้ง เบคอนทอด ไข่ดาว และไส้กรอก กาแฟเอสเพรสโซ่ส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ว
ลายสิงห์รู้สึกตะขิดตะขวงใจอย่างบอกไม่ถูก ปกติแล้วอาหารเช้าของเขามักจะเป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปง่ายๆ ถ้าพิเศษหน่อยก็อาจจะตอกไข่ใส่ลงไปด้วย แต่การมีคนมาคอยทำอาหารให้กินตอนเช้า และการที่มีอีกหนึ่งชีวิตมาร่วมอยู่ด้วยภายในบ้านหลังเดียวกัน ทำให้รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอย่างแปลกประหลาด
“ทานให้อร่อยนะครับ”
เสียงหวานพูดบอก พร้อมกับก้มลงหอมแก้มคนตัวโตที่นั่งอยู่ฟอดใหญ่ ก่อนจะผละเดินจากไปอย่างอารมณ์ดี ทิ้งให้ร่างสูงนั่งตัวแข็งค้างกับความรู้สึกบางอย่างที่กำลังเกิดขึ้น
“หงุดหงิดชะมัด”
มือหนายกลูบที่แก้มตัวเองเบาๆ เพื่อเรียกสติ ความรู้สึกชวนยุ่งเหยิงต่างๆ ค่อยๆ ถูกขจัดให้หายไปด้วยกาแฟแสนอร่อยและอาหารเช้าสุดหรู เมื่ออิ่มเรียบร้อยแล้วก็ลุกเก็บจานและถ้วยกาแฟไปไว้ในอ่างล้างจาน ก่อนจะเดินออกมาจากห้องครัว
“เลโอซิส นายอยู่ไหนน่ะ”
เสียงทุ้มขานเรียกและกวาดสายตามองหา ไม่นานเสียงประตูห้องน้ำก็เปิดออก แต่คราวนี้หนุ่มน้อยพันผ้าเช็ดตัวออกมาอย่างลวกๆ บนศีรษะยังมีฟองแชมพูสีขาวติดออกมาด้วย คล้ายกับว่ากำลังสระผมอยู่ ตามเนื้อตัวมีฟองสบู่และหยดน้ำเกาะพราวระยับ ท่าทางคงจะรีบพุ่งออกมาทันทีที่ได้ยินเสียงเรียก
“อ่า”
ลายสิงห์ตกตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะตั้งสติและรีบหันหลังอย่างรวดเร็ว สูดลมหายใจเข้าปอดลึกยาว
“กลับไปอาบน้ำให้เสร็จก่อน แล้วค่อยมาคุยกัน”
พูดจบร่างสูงก็รีบพุ่งพรวดหนีไป และก้าวเข้ามานั่งที่โซฟาในห้องนั่งเล่นด้วยหัวใจที่เต้นดังโครมคราม ในชีวิตหนุ่มโสดเช่นเขา ไม่เคยที่จะต้องมาเห็นใครเปลือยกายต่อหน้าต่อตา อันที่จริงครั้งนี้ก็ไม่เรียกว่าเปลือยหรอก เรียกว่ากึ่งๆ ละกัน เพราะเลโอซิสทำตามคำสั่งด้วยการพันผ้าเช็ดตัวออกมา ไม่ได้แก้ผ้าเหมือนเช่นทุกที แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิตอยู่ดี เขามักจะถูกเพื่อนๆ ในกรมตำรวจล้ออยู่เสมอเรื่องที่ไม่เคยดูหนังอย่างว่า และไม่เคยมีสัมพันธ์สวาทกับใคร เพราะมัวแต่หมกมุ่นและจริงจังกับเรื่องงานเกินกว่าจะมาทำอะไรแบบนั้นได้
บางครั้งภาคิณก็มักจะบอกว่าเขาเคร่งเครียดมากจนไม่มีเวลาหาความสุขให้ตัวเอง บางสิ่งที่เพื่อนพูดอาจจะเป็นความจริง เพราะเขาทุ่มเทให้กับการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้เพื่อรับใช้ชาติ และกำจัดอาชญากรมาก็มากมาย แต่ยังไม่เคยมองเห็นความสุขที่แท้จริงเลยสักนิด มองไม่เห็นอนาคตข้างหน้าว่าจะต้องอยู่เพียงลำพังคนเดียวแบบนี้ไปอีกนานสักแค่ไหน หรือไม่ก็อาจจะตายในหน้าที่เข้าสักวัน
นั่งคิดอะไรเพลินๆ สักพัก ร่างเพรียวก็เดินเข้ามาด้วยชุดเสื้อเชิ้ตตัวใหญ่โคร่งสีฟ้าอ่อน รวมทั้งกางเกงขาสั้น ซึ่งมองยังไงก็เป็นชุดของเขาเองอย่างแน่นอน
“นายมีเสื้อผ้าแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงเอาเสื้อฉันมาใส่อีกล่ะ”
“เลโอชอบกลิ่นของพี่ เลโอจะไปเปลี่ยนเดี๋ยวนี้”
“ไม่ต้องๆ ช่างมันเถอะ”
เสียงทุ้มเรียกรั้งไว้ เมื่อหนุ่มน้อยหันหลังเตรียมจะเดินกลับไปอีก
“ฉันสงสัยว่านายเอาของที่ไหนมาทำอาหาร มีเงินเหรอ”
ลายสิงห์ถามอย่างสงสัย เพราะเท่าที่จำได้ก็คือเขาไม่ได้ออกไปจ่ายตลาดหรือซื้อของเข้าบ้านมานานมากแล้ว
เลโอซิสเอียงคอน้อยๆ เมื่อได้ยินคำถาม ขาเรียวก้าวเดินไปหยิบอะไรบางอย่างที่วางไว้อยู่ข้างๆ ทีวีมายื่นส่งให้
มือหนารับมา ก่อนจะมองเห็นบัตรเครดิตสีทอง คิ้วเข้มขมวดมุ่นอย่างประหลาดใจ
“นายไปเอามาจากไหน”
“ต้นข้าวให้เลโอ และบอกให้เอาไว้ใช้เวลาอยากได้อะไร”
ลายสิงห์ขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด ไม่เข้าใจว่าต้นข้าวทำแบบนี้เพื่ออะไร และเอาเงินมาจากไหนมากมาย ทั้งเรื่องที่ซื้อเสื้อผ้าแบรนด์เนมให้หนุ่มน้อย แล้วนี่ยังให้บัตรเครดิตไว้ใช้อีก ซึ่งดูท่าว่าแวมไพร์ผู้ไม่เคยมีคงจะรูดใช้จนเพลินไปเลยทีเดียวล่ะ พลางคิดอย่างสงสัยว่าอาชีพหมอผีนี่ได้เงินดีขนาดนี้เชียวหรือเนี่ย
ดวงตาคู่คมจ้องมองใบหน้าหวานอย่างเรียบนิ่ง พักหนึ่งเสียงถอนหายใจยาวๆ ก็ระบายออกมา พร้อมกับเสียงทุ้มที่เอ่ยทำลายความเงียบ
“นายจำเป็นต้องอยู่กับฉันไปตลอดสามเดือนนี้สินะ”
“ใช่ครับ”
“แล้วหลังจากนั้นล่ะ”
เลโอซิสเอียงคออย่างไม่เข้าใจ
“ก็หลังจากสามเดือนที่เราคืนหัวใจให้กันแล้ว นายจะทำอะไรต่อไป”
“เลโอก็จะอยู่กับพี่ต่อไป”
หนุ่มน้อยเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มสว่างสดใสคล้ายแสงแดดยามเช้าที่เปล่งประกาย
“เรื่องนั้นคงเป็นไปไม่ได้หรอกนะ”
ลายสิงห์ตัดสินใจที่จะพูดในสิ่งที่คิดออกไปเสียที
“ฉันไม่อยากให้มีตัวประหลาดเข้ามายุ่งวุ่นวายในชีวิต พอมีนายเข้ามา ฉันก็รู้สึกว่าชีวิตมันเปลี่ยนไปหมด ผิดปกติไปทุกอย่าง ฉันขอบใจที่นายช่วยชีวิต และช่วยรักษาหัวใจของฉันไว้ แต่ฉันลำบากใจกับการที่มีนายอยู่ด้วยแบบนี้”
“หมายความว่ายังไงครับ”
“หลังจากสามเดือน ฉันอยากจะขอให้นายไปจากชีวิตฉัน ทำได้ไหม”
ไม่มีคำพูดใดๆ หลุดออกมาจากริมฝีปากสีชมพูระเรื่อ ดวงตาสีทองสุกสกาวมองใบหน้าหล่อเหลาด้วยหลากหลายความรู้สึก
ร่างสูงนั่งนิ่งอย่างอึดอัดใจ ไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าหนุ่มน้อยแวมไพร์กำลังรู้สึกอย่างไร บางทีอาจจะอยากจับเขากินเสียให้รู้แล้วรู้รอดที่บังอาจเอ่ยปากไล่ หรือไม่ก็อาจจะเสียใจอยู่จากดวงตาคู่สวยที่กำลังสั่นระริก
แต่จะเสียใจเรื่องอะไรล่ะ ในเมื่อเขากับเลโอซิสเพิ่งจะอยู่ด้วยกันได้แค่ไม่กี่วันเท่านั้นเอง
“แต่เลโอไม่มีที่ไปแล้ว”
เสียงหวานเอ่ยออกมาอย่างสั่นเครือ ไม่เหลือภาพความเป็นอมตะ หรือแวมไพร์ที่มีเรี่ยวแรงมหาศาล เหลือเพียงเด็กหนุ่มบอบบางที่น่าสงสาร
“นั่นมันเป็นปัญหาของนาย”
เขารู้ว่าสิ่งที่พูดออกไปราวกับเป็นคนใจดำ แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะ ในเมื่อไม่อาจทำใจอยู่ร่วมกันกับแวมไพร์ได้จริงๆ
“เลโออยากอยู่กับพี่ ให้เลโออยู่ที่นี่เถอะนะครับ”
เสียงเว้าวอนอย่างน่าหดหู่ที่ได้ฟัง พร้อมกับดวงตากลมโตที่สั่นไหว ทำให้ความตั้งใจที่เคยคิดไว้ลดหายไปกว่าครึ่ง
“เฮ้อ เอาไว้ค่อยคุยเรื่องนี้กันทีหลังละกัน วันนี้ฉันต้องไปทำงาน”
“เลโอไปด้วย”
“นายจะไปทำไม อยู่บ้านเนี่ยแหละ”
“แต่เลโอจะไม่อยู่ห่างจากพี่”
“นั่นสินะ”
ลายสิงห์ถอนหายใจอย่างปลงตก สรุปก็คือจากนี้เขาจะมีแวมไพร์เป็นเงาตามตัวในระยะใกล้ชิดอย่างนั้นสินะ
ชายหนุ่มไล่เลโอซิสให้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นของตัวเองซะ เพราะเบื่อกับสายตาจ้องจับผิดของบรรดาลูกน้องในกรมที่อาจจะกำลังเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเขากับเด็กหนุ่มคนนี้


ทั้งสองออกจากทาวเฮ้าส์ รถตำรวจที่ยืมมาใช้ยังจอดอยู่หน้าบ้าน ร่างสูงเปิดประตูให้หนุ่มน้อยเข้าไปนั่ง ปิดประตูให้อย่างเรียบร้อย ก่อนจะเดินไปนั่งประจำที่นั่งคนขับ
“รัดเข็มขัดด้วยสิ”
เลโอซิสเอียงคอมองอย่างไม่เข้าใจ
ลายสิงห์ตัดสินใจเอื้อมมือไปคว้าสายเซฟตี้เบลท์มาคาดให้ซะเอง เพราะไม่รู้จะอธิบายเรื่องเข็มขัดนิรภัยให้แวมไพร์อายุกว่าห้าร้อยปีเข้าใจได้อย่างไร
ดวงตากลมโตลุกวาว จากนั้นใบหน้าหวานก็ระบายรอยยิ้มอย่างน่ารักส่งมาให้อย่างอารมณ์ดี อาจจะเป็นเพราะท่าทางที่แสนอ่อนโยนและใจดีของเจ้านายหนุ่มก็ได้กระมัง
“เรื่องที่เราคุยกันเมื่อคืนน่ะ คนที่จะมาจองจำนาย เขาจะสามารถหานายเจอได้อย่างนั้นเหรอ”
เสียงทุ้มเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนา หลังจากที่รถแล่นออกมาจากบ้านได้สักพัก
“ครับ”
“จะหาเจอได้ยังไง โลกนี้ออกจะกว้าง”
“เขาสามารถทำแบบนั้นได้ เพราะว่าเขามีพลังพิเศษ”
เลโอซิสบอกเสียงเรียบ แต่ใบหน้าใสที่ขาวซีดกลับยิ่งซีดมากกว่าเก่าราวกับหวาดกลัวว่าสิ่งที่คิดกำลังจะเกิดขึ้นจริงๆ
“ยิ่งฟังก็ยิ่งไม่อยากจะเชื่อ”
ลายสิงห์พยายามประมวลผลจากเรื่องที่กำลังไหลเข้าสู่สมอง ไม่อยากจะรับรู้เรื่องราวประหลาดให้มากไปกว่านี้ เพราะกลัวว่าเรื่องบ้าๆ นี่จะทำให้เสียสติไปสักวัน
“เขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้เราถูกเลือดของเขา เมื่อแวมไพร์ถูกเลือดของเขา พลังก็จะหมดไป แล้วเขาก็จะสามารถจองจำเราได้ด้วยการให้ดื่มเลือดนั้น”
“ฟังดูไม่ค่อยดีเลยนะ”
“มันไม่ดี ไม่ดีเลยสักนิด พี่คงจินตนาการไม่ออกหรอกว่าการหลับใหลอย่างยาวนานมันเป็นยังไง เราต้องถูกกักขังให้อยู่ในที่มืดๆ ที่มองไม่เห็นแม้แต่ตัวเอง ทั้งเงียบ หนาว เหงา ไม่มีแสงไฟ ไม่มีเสียง มีเพียงความืดมิดที่ยาวนานและหนาวเหน็บ”
ชายหนุ่มรู้สึกหดหู่ขึ้นมาทันที จากที่ได้ฟังทำให้คิดตามไปโดยปริยาย และทำให้รู้สึกว่าการติดคุกยังดูเหมือนสวรรค์ยิ่งกว่าต้องตกอยู่ในสภาพแบบนั้น ความรู้สึกสงสารและเห็นใจเริ่มเคลื่อนไหวเข้ามาสู่หัวใจอย่างเนิบช้า
ดวงตาคู่คมเหลือบมองใบหน้าด้านข้างที่แสนอ่อนเยาว์ คล้ายกับไหล่บางๆ กำลังสั่นไหว ราวกับต้องแบกรับเรื่องราวยากลำบากและแสนเลวร้ายมากว่าห้าร้อยปี แม้ว่าเลโอซิสจะเป็นแวมไพร์ จะแข็งแกร่งกว่ามนุษย์หลายร้อยเท่า จะมีอายุยืนยาวเป็นอมตะ แต่ความจริงแล้วก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มตัวเล็กๆ เท่านั้นเอง
“ตลอดสามเดือน ฉันจะปกป้องนายเอง”
น้ำเสียงหนักแน่นเอ่ยบอกไปตามที่ใจคิด และตั้งมั่นเอาไว้ว่าจะต้องทำให้ได้อย่างที่พูด
“ฉันจะไม่ให้ใครมาจองจำหรือทำอะไรนายทั้งนั้น”
เลโอซิสรู้สึกอบอุ่นกับคำพูดที่ได้ยิน แม้ว่าจะไม่มีอะไรพิเศษ แต่ก็รู้ได้ว่าถ้าหากเป็นเจ้านายคนนี้ เขาจะพยายามดูแลและปกป้องอย่างสุดความสามารถตามที่เอ่ยปากพูดออกมา ไม่ใช่เป็นเพียงกระแสลมที่พัดผ่านไป หัวใจของหนุ่มน้อยแวมไพร์เต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณและซาบซึ้ง โน้มใบหน้าหวานเข้าไปใกล้ใบหน้าหล่อเหลา และจุมพิตลงที่แก้มของชายหนุ่มเบาๆ อย่างอ่อนโยนที่สุด


ลายสิงห์ก้าวออกมาจากลิฟต์พร้อมกันกับหนุ่มน้อยหน้าตาน่ารักที่เดินตามหลังมาติดๆ อย่างไม่ยอมห่าง สายตาของนายตำรวจทั้งแผนกหันมามองตามปกติ เมื่อเห็นว่าใครมาก็พากันกระดี๊กระด๊าเป็นแถวๆ
ในสายตาของลูกน้อง เลโอซิสคงเปรียบเป็นดั่งทูตสวรรค์จากหน้าหวานๆ ราวกับตุ๊กตา ทำให้ดูน่าเอ็นดูและน่าหลงใหลไปพร้อมๆ กัน
ร่างสูงก้าวเดินเข้าไปในห้องทำงาน และสั่งให้แวมไพร์หนุ่มน้อยนั่งรออยู่ในห้องตามเดิม แม้จะนึกหวั่นใจอยู่เล็กๆ ที่ต้องทิ้งเลโอซิสเอาไว้ตามลำพัง แต่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เมื่อได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้เข้าไปพบ หากจะพาไปด้วยกันก็เห็นว่าคงจะไม่เหมาะกระมัง
ชายหนุ่มตรงไปยังห้องทำงานของท่านสารวัตรที่อยู่ชั้นบน เมื่อไปถึงก็เคาะประตูเบาๆ และเปิดเข้าไปทันทีที่ได้รับคำอนุญาต
ท่านสารวัตรกำลังนั่งกุมขมับอยู่ที่โต๊ะทำงานซึ่งมีแฟ้มเอกสารวางเป็นกองพะเนิน นอกจากเขาและสารวัตรแล้ว ยังมีนายตำรวจในเครื่องแบบอีกสองนายนั่งอยู่ที่เก้าอี้ฝั่งตรงกันข้ามกับสารวัตร
“เรามีเรื่องต้องคุยกันหน่อยนะ”
“ครับ มีปัญหาใช่ไหมครับ”
ถึงไม่ต้องถามก็พอจะเดาได้ว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นบรรยากาศภายในห้องคงไม่ตึงเครียดขนาดนี้ รู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาลจากนายตำรวจในเครื่องแบบทั้งสองที่หันมามอง
“ดูเหมือนพวกมันจะเริ่มเคลื่อนไหวแล้วนะ”
ท่านสารวัตรกล่าวเสียงเครียด
“พวกมัน พวกไหนเหรอครับ”
“ก็พวกที่พยายามจะแย่งโลงศพไปยังไงล่ะ มันรู้การเคลื่อนไหวของพวกเราทั้งหมด ดูเหมือนมันจะมีสายอยู่ในกรมตำรวจด้วย”
“หมายความว่ายังไงครับท่าน”
ลายสิงห์ขมวดคิ้วมุ่น สีหน้าเคร่งเครียดไม่แพ้กัน
“เราเพิ่งได้รับแจ้งจากชุดนายตำรวจที่ทำหน้าที่ป้องกันโลงศพ บอกว่าโลงศพถูกขโมยไปแล้ว”
“เป็นไปได้ยังไง วางกำลังกันไว้แน่นหนาไม่ใช่หรือครับ”
“เท่าที่รู้มา ดูเหมือนว่าพวกมันจะเป็นมืออาชีพ มากันเป็นกลุ่ม และจัดการคนของเราให้หมดสติลงได้ในพริบตา ตอนนี้เรากำลังทำการประชุมเพื่อหามือดีมาตามคดีนี้ และเราได้ข้อสรุปว่า .. คุณ .. คือคนที่เหมาะสมที่สุด”
ร่างสูงยืนนิ่งอึ้ง เอาอีกแล้ว ลายสิงห์ได้แต่ร้องบ่นอยู่ในใจ นี่จะต้องตามคดีพิลึกพิลั่นนี่ไปถึงไหนกันนะ แล้วจะมีเรื่องมหัศจรรย์พันลึกอะไรโผล่มาอีกหรือเปล่า ดูเหมือนว่าจะต้องใช้เวลาเตรียมใจ และต้องพยายามเข้าใจว่าจะต้องไม่จบเรื่องง่ายๆ เพียงแค่การบุกไปชิงโลงศพกลับคืนมาเป็นแน่
เฮ้อ .. ชีวิตนี้จะมีอะไรยุ่งเหยิงไปมากกว่านี้อีกมั๊ยเนี่ย




ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ AUGUSTLOVE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-0
9

   ร่างสูงเดินกลับมาที่ห้องทำงานของตัวเอง ยังไม่ทันที่ประตูจะเปิดออกดี ภาคิณก็พุ่งพรวดเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว
   “แกพาเลโอซิสมาด้วยเหรอ”
   ดวงตาคู่คมมองหน้าเพื่อนอย่างนึกรำคาญ ก่อนจะรับคำสั้นๆ
   “อืม”
   “ดีเลย กำลังคิดถึงอยู่เชียว”
   ภาคิณเดินนำหน้าเข้าไปในห้อง พร้อมกับโปรยรอยยิ้มหวานให้กับหนุ่มน้อยที่นั่งรออยู่บนโซฟาตัวเดิม
   “สวัสดีครับหนุ่มน้อยที่แสนน่ารัก”
   ภาคิณส่งสายตาพราวเสน่ห์ที่มักจะใช้ได้ผลกับทุกคนที่เป็นเป้าหมาย
   ลายสิงห์ขมวดคิ้วเข้มเข้าหากัน พลางมองเพื่อนอย่างนิ่งคิด ชักอยากจะรู้แล้วสิว่าเสน่ห์เล่ห์กลนี้จะใช้กับแวมไพร์ได้หรือเปล่า
   “สวัสดีครับพี่คิณ”
   เลโอซิสทักทายอย่างเป็นมิตร ดวงตากลมโตแป๋วแหววอย่างน่าเอ็นดู ทำเอาภาคิณยิ้มกว้างหน้าบานกว่าเก่า รู้สึกกระปรี้กระเป่าขึ้นมาราวกับได้รับยาชูกำลังอย่างดี
   “เฮอะ”
   ลายสิงห์สบถเบาๆ และเบะปากอย่างนึกหมั่นไส้ เมื่อได้ยินหนุ่มน้อยขานเรียกเพื่อนรักว่าพี่เช่นเดียวกับตัวเอง ไม่รู้ว่าไปนับญาติกันตั้งแต่ตอนไหน แต่พอมาคิดๆ ดูแล้ว อาจจะดีก็ได้ถ้าหากว่าภาคิณสามารถจีบเลโอซิสได้สำเร็จ เพราะเท่ากับว่าหนุ่มน้อยแวมไพร์ก็จะหันไปสนใจภาคิณแทนอย่างนั้นสินะ
   ชายหนุ่มเพิ่งรู้สึกภาคภูมิใจที่มีเพื่อนเป็นผู้ช่ำชองในความรักก็วันนี้ นึกอโหสิกรรมให้ในเรื่องราวมากมายที่ผ่านมา ที่เจ้าเพื่อนตัวแสบแย่งคู่ดูตัวรวมทั้งผู้หญิงทุกคนที่เคยรู้จักมานักต่อนัก ถ้าหากครั้งนี้ภาคิณจีบเลโอซิสได้ล่ะก็ จะยอมยกโทษให้อย่างหมดสิ้นเลยละกัน
   “วันนี้เลโอว่างหรือเปล่าครับ”
   “ไม่รู้สิครับ ต้องถามพี่ก่อน”
   ภาคิณถอนหายใจอย่างผิดหวัง หันมามองหน้าหล่อเหลา คิ้วตรงขมวดมุ่นจนแทบจะมัดเป็นปม ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ถึงนึกหงุดหงิดขึ้นมา
   “ทำไมต้องให้เลโอคอยเดินตามแกด้วยวะเพื่อน”
   “ฉันก็ไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้หรอกนะ”
   ลายสิงห์ถอนใจเบาๆ จะให้ทำยังไงล่ะ ในเมื่อหนุ่มน้อยไม่เคยคิดจะแยกห่างไปไหนเลยสักนิด
   “แล้วทำไมเวลาเลโอจะไปไหน ถึงต้องคอยถามหรือขออนุญาตแกด้วยล่ะ”   
   “ฉันอนุญาต”
   เสียงทุ้มเอ่ยขัดจังหวะ ก่อนที่เพื่อนจะซักไซ้ไล่เลียงให้มากความ
   “จริงเหรอวะเพื่อน”
   จากเมื่อครู่นี้สีหน้าของภาคิณแทบอยากจะงับหัวลายสิงห์อยู่แล้ว มาตอนนี้แทบอยากจะพุ่งมาจูบปากขอบคุณเสียด้วยซ้ำ
   ร่างสูงพยักหน้าหงึกหงักเพื่อเป็นการยืนยัน พลางเอื้อมมือไปตบไหล่เพื่อนอย่างเห็นใจ
   “ดูแลเลโอซิสดีๆ ก็แล้วกัน แล้วก็ดูแลตัวเองให้ดีที่สุดในชีวิตเลยนะ”
   ภาคิณมองหน้าเพื่อนอย่างไม่เข้าใจ แต่ถึงอย่างนั้นตอนนี้ในหัวก็มีแต่เพียงเสียงพลุจุดฉลอง ต้องยอมรับว่าในบรรดาหญิงสาวและเด็กหนุ่มที่เคยควงมามากมายนับไม่ถ้วน หากเอาทุกคนมารวมกัน ก็เทียบกับเลโอซิสเพียงคนเดียวไม่ได้ด้วยซ้ำ
   “แต่ว่าเลโอ”
   “ไปเถอะ ภาคิณมันจะพาไปเที่ยว ฉันจะรออยู่ที่นี่”
   หนุ่มน้อยแวมไพร์พยักหน้าเบาๆ อย่างยอมรับ เพราะไม่อยากขัดใจเจ้านายหนุ่ม แม้ว่าใจจะไม่อยากอยู่ห่างจากเขาเลยก็ตามที
   “ถ้าอย่างนั้นฉันไปก่อนนะ”
   ภาคิณยิ้มร่ามีความสุขอย่างออกนอกหน้า คว้ามือเรียวขาวมากอบกุมไว้ และจับจูงให้เดินออกไปจากห้องเคียงข้างกัน
   ร่างสูงยืนนิ่งอึ้งอยู่พักใหญ่ๆ กับภาพที่เห็น เมื่อได้สติอีกครั้งก็ไม่มีเงาของใครอยู่ในห้องนี้อีกแล้ว ห้องทั้งห้องหลงเหลือเพียงเขาคนเดียว เงียบสนิท แต่หัวใจกลับเต้นแรงพร้อมกับก่อเกิดประกายไฟโทสะเล็กๆ ที่เริ่มคุกรุ่นขึ้นมา
   “ไอ้เพื่อนบ้า ทำไมต้องจูงมือกันด้วยวะ”



   ลายสิงห์ทิ้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน หลังจากที่เดินวนไปเวียนมาอย่างหงุดหงิดใจกับความร้อนรุ่มที่เกิดขึ้นเมื่อได้เห็นภาพๆ นั้น
   เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น เสียงทุ้มขานรับ นายตำรวจชั้นผู้น้อยคนหนึ่งเดินถือแฟ้มเอกสารเข้ามาในห้องเพื่อให้ตรวจ หารู้ไม่ว่ากำลังจะได้เจอกับมรสุมลูกใหญ่อย่างไม่รู้ตัว ในเมื่อหัวหน้าหน่วยกำลังอยู่ในอารมณ์ที่ไม่สู้ดีนักซึ่งแสดงออกให้เห็นอย่างเด่นชัดบนใบหน้าหล่อเหลาที่ถมึงทึง
   “จะยืนมองหาพระแสงอะไรของนายวะ”
   ชายหนุ่มหันไปเอ็ดลูกน้องเสียงกร้าว ซึ่งร่างของนายตำรวจที่ยืนอยู่ถึงกับสะดุ้งโหยง ทำความเคารพ และรีบก้าวหายออกไปจากห้องอย่างรวดเร็วราวกับติดปีก
   ลายสิงห์ขจัดความฉุนเฉียวของตัวเองลงบนแฟ้มเอกสารที่กองเป็นพะเนินตรงหน้า หลังจากใช้เวลาจัดการเอกสารทางราชการอยู่เป็นนานสองนาน ก็ต้องระบายลมหายใจออกมาอีกเฮือกใหญ่ เมื่อค้นพบว่าภาพตอนที่หนุ่มน้อยถูกภาคิณเดินจับมือถือแขนออกไปต่อหน้าต่อตายังไม่จางหายไปเลยสักนิด



   ดวงตาคู่คมเหลือบมองนาฬิกาบนฝาผนังเป็นระยะ เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมง หนึ่งชั่วโมง สองชั่วโมงก็แล้ว แต่ไม่เห็นวี่แววว่าจะกลับกันมาเสียที
   หรือว่าบางทีภาคิณอาจจะล่วงรู้ความลับของเลโอซิสแล้ว หรือไม่สองคนนั้นอาจจะกำลังกินอาหารกันอยู่อย่างเอร็ดอร่อยในภัตตาคารหรูหราที่ไหนสักแห่ง หรืออาจจะกำลังไปเที่ยวสวนสนุก หรือว่ากำลังไปช๊อปปิ้งกันอย่างเพลิดเพลิน
   เอ .. หรือว่า
   “ไม่มั๊ง”
   ร่างสูงผุดลุกขึ้นยืนทุบโต๊ะดังโครม เมื่อความคิดหนึ่งแล่นวูบผ่านเข้ามาในสมอง
   “ไอ้ภาคิณมันคงไม่พาเลโอไปโรงแรมหรอกนะ ไอ้บ้านั่นมันจะทำอย่างนั้นจริงๆ เหรอวะ”
   ลายสิงห์คว้าเสื้อคลุมที่พาดอยู่บนพนักเก้าอี้ และรีบรี่พุ่งพรวดไปที่ประตูอย่างรวดเร็วว่องไว มือหนาเอื้อมไปเปิดประตูออก พร้อมกับหัวใจที่สั่นไหวและเต้นแรงระรัวอย่างน่าหวั่นกลัว
   “อ้าว”
   เสียงร้องอุทานเบาๆ เมื่อได้มองเห็นภาคิณยืนทำหน้าเซ็งๆ ส่งมาให้
   “เป็นอะไรวะ”
   เสียงทุ้มเอ่ยถามเพื่อนรักที่ทำหน้าซังกะตาย ผิดจากตอนที่จะออกไปอย่างลิบลับ
   “ตลอดเวลาที่อยู่กับฉัน เลโอเอาแต่พูดถึงแต่แก เรียกแต่ชื่อแก แล้วเนี่ย”
   ภาคิณยัดถุงกระดาษหลายใบมาใส่ในมือลายสิงห์ด้วยท่าทางหมั่นไส้
   “ของพวกนี้ ฉันก็ต้องเป็นคนแบกมาให้ ซึ่งเลโอบอกว่าซื้อมาให้แก”
   เมื่อได้ยินคำพูดของเพื่อน อารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ก็รู้สึกดีขึ้นมาภายในพริบตาอย่างไม่มีสาเหตุ จนเผลอยิ้มระบายออกมาบนใบหน้าหล่อเหลา
   “เฮอะ”
   ภาคิณสบถเบาๆ และทำปากขมุบขมิบด่าเสียยกใหญ่ ก่อนจะหันตัวเดินหนีหายไปด้วยท่าทางไม่พอใจเป็นอย่างมาก
   ลายสิงห์มองหนุ่มน้อยที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า ดวงตาสีทองมองหน้าหล่อเหลาแป๋วแหววก่อนจะฉีกยิ้มกว้างมาให้อย่างสดใส
   ความรู้สึกแวบหนึ่งที่เกิดขึ้นในหัวใจ คือ .. น่ารัก .. ว่ะ



   หนุ่มน้อยแวมไพร์นั่งอยู่บนพื้นพรมจดจ่ออยู่หน้าทีวีในห้องนั่งเล่น ดวงตากลมโตมองดูสิ่งที่มนุษย์เรียกว่าละครด้วยความตั้งอกตั้งใจ ศีรษะทุยซุกซบอยู่ตรงหัวเข่าของร่างสูงที่นั่งอยู่บนโซฟาด้วยท่าทางออดอ้อนเหมือนลูกแมวตัวน้อยที่ขาดความอบอุ่น ส่วนผู้เป็นเจ้านายกำลังขะมักเขม้นอยู่กับการอ่านแฟ้มเอกสารสืบหาเบาะแสของคดีโลงศพอยู่ใกล้ๆ กัน
   มือหนาวางแหมะอยู่บนศีรษะทุยและลูบไล้เส้นผมสีทองที่นุ่มลื่นมืออย่างเพลิดเพลิน ตอนแรกกลับมาถึงบ้าน ชายหนุ่มตั้งใจว่าจะดูรายการเพลงซะหน่อยเพื่อคลายเครียด หรือไม่ก็พวกข่าวสารบ้านเมือง แต่เลโอซิสชิงดูละครไปซะก่อนแล้วดันไม่ยอมลุกไปไหนอีกต่างหาก อีกทั้งยังเกาะติดเขาไม่ห่างอีกด้วย
   เสียงกริ่งประตูหน้าบ้านดังขึ้น ดวงตาคู่คมเหลือบมองนาฬิกาที่ติดอยู่บนผนังบ่งบอกเวลาหนึ่งทุ่มแล้ว พลางนึกอย่างแปลกใจที่ป่านนี้ยังมีคนมาหาอีกหรือ
   “พี่คิณน่ะครับ”
   เสียงใสเอ่ยบอก แต่ดวงตาสีทองไม่ยอมละไปจากหน้าจอทีวีเลยสักนิด ยอมขยับเพียงศีรษะของตัวเองให้พ้นจากขาของลายสิงห์ เพื่อให้เขาลุกไปเปิดประตู
   “หืม”
   คิ้วเข้มเลิกขึ้นอย่างแปลกใจ เมื่อเปิดประตูบ้านและได้พบกับภาคิณที่มายืนยิ้มแป้นแล้นอยู่จริงๆ
   “มาทำอะไรของแกวะ”
   ภาคิณเดินเข้ามาภายในบ้าน ก่อนจะตอบคำถาม
   “ท่านสารวัตรบอกให้ฉันมาเป็นผู้ช่วยแกตามคดีโลงศพนั่นน่ะ”
   “งั้นเหรอ ก็ดี”
   ร่างสูงเดินนำไปทางห้องทำงาน โดยมีภาคิณเดินตามหลังมาติดๆ ภายในห้องเต็มไปด้วยเอกสารของเหล่าอาชญากรมากมาย ทุกแฟ้มมีประวัติตั้งแต่เกิดจนปัจจุบัน อายุ และภูมิหลังทั้งหมด ซึ่งจัดได้ว่าเป็นเอกสารลับทางราชการทั้งสิ้น
   “นายสงสัยใคร”
   ภาคิณลากเก้าอี้ตรงมุมห้องมานั่งข้างๆ โต๊ะทำงานของลายสิงห์
   “เจ้าพ่อสะสมของเก่า กับเจ้าพ่อกลุ่มเงินทุนค้าวัตถุโบราณ”
   “ทำไมถึงสงสัยสองกลุ่มนี้ล่ะ”
   “ฉันจำหน้าคนที่เคยเล่นงานฉันที่ห้างได้ พวกมันเป็นคนของเจ้าพ่อสะสมของเก่า ส่วนกลุ่มที่ไปเจอที่โบสถ์ คลับคล้ายคลับคลาว่าน่าจะเป็นกลุ่มของเจ้าพ่อเงินทุนค้าวัตถุโบราณ”
   “อืม ถ้าอย่างนั้นเราจะทำยังไงต่อไปล่ะลูกพี่”
   ภาคิณพยักหน้าอืออาอย่างเข้าใจ ยกขาข้างหนึ่งขึ้นนั่งไขว่ห้างด้วยท่าทางสบายๆ
   “เราต้องส่งคนไปจับตาดูเจ้าพ่อสองกลุ่มนี้”
   “ไม่มีปัญหา”
   “ฉันจะนำลูกน้องไปตามเจ้าพ่อสะสมของเก่าเอง ส่วนนายก็พาลูกน้องไปจับตาดูเจ้าพ่อกลุ่มเงินทุนค้าวัตถุโบราณก็แล้วกัน”
   เสียงออดดังขึ้นอีกครั้งขัดจังหวะการสนทนาของชายหนุ่มทั้งสองเกี่ยวกับปัญหาระดับความมั่นคงของชาติ ทำให้ต้องลุกออกมาจากในห้อง ก่อนจะเดินออกไปทางหน้าประตูบ้านอีกครั้ง
   ต้นข้าวยืนฉีกยิ้มหวาน และเดินเข้ามาด้วยท่าทางสดใส ตามการเชื้อเชิญของเจ้าของบ้าน ก่อนจะรีบตรงรี่เข้าไปหาแวมไพร์หนุ่มน้อยที่ยังคงหมกตัวอยู่ภายในห้องนั่งเล่นอย่างไม่ยอมขยับเขยื้อนห่างจากหน้าจอทีวีเลยสักนิด
   “สรุปแล้วเรื่องเป็นยังไง”
   ภาคิณถามเสียงเรียบ เรียกสติของลายสิงห์ให้กลับมาสนใจเรื่องงานอีกครั้ง
   “ก็ต้องตามต่อไปจนกว่าจะได้เบาะแสนั่นแหละ”
   “ไม่ใช่เรื่องงานโว๊ย ฉันหมายถึงเรื่องเลโอน่ะ”
   “ทำไม”
   “ตกลงว่าแกกับเลโอเป็นอะไรกันแน่วะ ฉันสงสัยจริงๆ นะ"
   “ก็แค่คนรู้จัก”
   “ล้อเล่นน่า ฉันไม่ได้โง่นะเว้ย เห็นแบบนี้แล้วจะให้คิดว่าเป็นแค่คนรู้จักอย่างงั้นเหรอวะ เลโอออกจะคิดถึงแกอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกซะด้วยซ้ำ”
   ภาคิณขมวดคิ้ว เอียงคอมองเพื่อนอย่างไม่เข้าใจ ผู้หญิงสาวๆ สวยๆ มันก็ไม่สนใจ พอมีหนุ่มน้อยหน้าตาน่ารักมาคอยอยู่ใกล้ๆ ไม่ห่าง ก็ทำท่าทางเหมือนไม่พอใจซะอีก
   “อย่าบอกนะว่าอยู่ด้วยกันขนาดนี้แล้วแกยังไม่รู้สึกอะไรอีก”
   “ก็คงจะอย่างนั้นล่ะมั๊ง”
   ร่างสูงยักไหล่ตอบแบบขอไปที
   “งั้นเลโอเป็นใคร มาจากไหน แล้วไม่มีญาติพี่น้องหรือไง ถึงได้มาอยู่กับแกที่นี่”
   “มี แต่ว่าอยู่เมืองนอก ที่เมืองไทยไม่มีใคร มีแต่ฉันคนเดียวเนี่ยแหละ”
   “อ้อ แต่ดูเหมือนแกไม่อยากให้เลโออยู่ที่นี่เลยนะ อึดอัดเหรอวะ”
   “อืม”
   เห็นสีหน้าหนักใจของเพื่อนแล้ว ภาคิณก็เข้าใจในทันทีว่าลายสิงห์กับเลโอซิสคงไม่ได้มีอะไรเกินเลยไปกว่าคนรู้จักกันจริงๆ
   “ดีล่ะ”
   “อะไรวะ อยู่ๆ ก็แหกปาก”
   “ฉันจะช่วยแกกำจัดเลโอเอง”
   “หืมม ยังไง”
   ดวงตาคู่คมมองหน้าเพื่อนอย่างฉงนสงสัย
   “ถ้าหากฉันจีบเลโอได้ เลโอก็ต้องเลือกที่จะมาอยู่กับฉันแทนใช่ไหมล่ะ แกจะได้ไม่ต้องกังวลหรือรำคาญใจอะไรอีก ดีไหม”
   “อืม มั๊ง”
   ลายสิงห์ตอบเสียงเรียบ อย่างไม่ค่อยแน่ใจนักว่าจะดีหรือไม่ดีกันแน่หากเป็นแบบนั้นจริงๆ ยังงงๆ และไม่ค่อยเข้าใจความคิดหรือความรู้สึกของตัวเองสักเท่าไร
   “ถ้าอย่างนั้นแกก็ต้องช่วยฉัน”
   ภาคิณยิ้มกว้างด้วยท่าทางเจ้าเล่ห์
   “ช่วยยังไงวะ”
   “ก็ช่วยเปิดทางให้ฉันได้เข้าไปทำคะแนนกับเลโอยังไงล่ะ”
   ภาคิณมีสีหน้าฉายแววมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยว ราวกับเตรียมพร้อมสำหรับพิธีรับรางวัลเหรียญกล้าหาญอย่างไรอย่างนั้น
   แตกต่างกับลายสิงห์ที่มีท่าทางครุ่นคิด รู้สึกเหน็ดเหนื่อยใจกับความรู้สึกภายในที่กำลังตีกันอยู่อย่างยุ่งเหยิงไปหมด ไม่รู้ว่าควรจะจัดการกับปัญหาชีวิตและหัวใจของตัวเองอย่างไรดี
   ก็แค่อยากได้ชีวิตปกติๆ ของตัวเองกลับคืนมาเท่านั้น ชีวิตที่เคยอยู่เพียงลำพังคนเดียว โดยที่ไม่มี .. แวมไพร์

Love you .. vampire my darling



ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ AUGUSTLOVE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-0
10

   เช้าแล้ว กลิ่นหอมกรุ่นของกาแฟปลุกให้ชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงกว้างต้องตื่นขึ้น ยันตัวลุกนั่งด้วยอาการมึนงง อ้าปากหาววอดใหญ่ด้วยความง่วงงุน เพราะเมื่อคืนนี้หนุ่มน้อยแวมไพร์แอบหลบเข้ามานอนเตียงเดียวกันอีกแล้ว ทำให้แทบจะไม่ได้หลับได้นอนเลย
ร่างสูงบิดเนื้อตัวเพื่อคลายความปวดเมื่อย ก่อนจะเยื้องกรายลงจากเตียงหายเข้าไปในห้องน้ำ จัดแจงอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็เดินออกมาที่โต๊ะกินข้าว
   “อรุณสวัสดิ์ครับ”
   เลโอซิสหันมาด้วยรอยยิ้มสดใสเช่นเคย เดินเข้ามาใกล้และยืดตัวขึ้นเพื่อหอมแก้มของเขาดั่งเป็นกิจวัตรประจำวันไปแล้ว ซึ่งเขาเองก็เริ่มจะชินกับการทักทายยามเช้าแบบนี้เสียแล้ว
   จากนั้นขนมปังปิ้งทาแยมสตอเบอรี่ก็ถูกยื่นมาตรงหน้า พร้อมกับกาแฟกลิ่นหอมเย้ายวนใจและรสชาติดีเยี่ยม มือหนาหยิบหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมากางอ่านขณะดื่มกาแฟไปด้วย พลางนึกไปว่าหากมีใครเข้ามาเห็นก็คงจะคิดว่าเขากับหนุ่มน้อยเป็นพวกคู่รักข้าวใหม่ปลามันเป็นแน่
   จ๊อก .. จ๊อก
   เสียงท้องร้องดังขัดจังหวะ ลายสิงห์พับหนังสือพิมพ์เก็บ แล้วมองตรงไปยังใบหน้าหวานที่นั่งกระพริบตาปริบๆ อย่างน่าเอ็นดูที่สุด
   “หิวแล้วล่ะสิ”
   ชายหนุ่มพูดอย่างรู้ทัน ก็เสียงท้องร้องดังออกจะขนาดนี้ หนุ่มน้อยแวมไพร์หัวเราะแห้งๆ
   ดวงตาคู่คมมองเด็กหนุ่มแล้วก็ให้นึกขำ ถอนหายใจเบาๆ แล้วเอียงคอเผยให้เห็นรอยแดงจ้ำที่มีอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งไม่เคยจางหายไปสักที
   “รีบๆ กินซะ”
   “ครับ”
   สิ้นคำ หนุ่มน้อยก็ถลาเข้ามาประทับคมเขี้ยวลงบนต้นคอของผู้เป็นเจ้านาย
   อาการเสียวแปล๊บแล่นไปทั่วทั้งตัว ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงการดูดกลืน ได้กลิ่นคาวเลือดจางๆ เสียงลมหายใจระบายอย่างรุนแรงเช่นเดียวกันกับเสียงหัวใจที่เต้นระรัว ส่วนหนึ่งที่คิดอยากจะกำจัดหนุ่มน้อยแวมไพร์ให้ออกไปจากชีวิต ก็เพราะความรู้สึกบ้าๆ เวลาที่ได้ใกล้ชิดกันแบบในตอนนี้ เขามักจะรู้สึกแปลกๆ เสมอ และไม่นึกชอบเลยสักนิด
   เสียงออดดังขึ้น ทำให้ทั้งคู่ผละออกจากกันอย่างรวดเร็ว และก็เป็นต้นข้าวที่มาหาในตอนเช้าตรู่ด้วยท่าทางสดใสไม่เปลี่ยน
   “ผมมาขออนุญาตพาเลโอไปชอปปิ้งครับ”
   “หืม อีกแล้วเหรอ”
   ลายสิงห์ขมวดคิ้วมุ่น จะซื้ออะไรกันนักกันหนาก็ไม่รู้
   “ครับ อีกอย่างผมก็อยากให้เลโอได้ไปเที่ยวแบบมนุษย์ปกติทั่วไปด้วย”
   “อืม เอาสิ”
   “ไปเที่ยวกันนะเลโอ ฉันมีอะไรอยากให้นายเห็นเยอะแยะเลยล่ะ”
   ต้นข้าวเข้าไปคว้าจับแขนหนุ่มน้อยเอาไว้ ดวงตาพราวระยับอย่างซุกซน
   เลโอเหลือบมองหน้าเจ้านายหนุ่มอย่างขอความคิดเห็น ก่อนจะได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้าอย่างยืนยัน
   “ปะ เข้าไปแต่งตัวเถอะ จะได้ไปกัน”
   ต้นข้าวดันแผ่นหลังบอบบางของเลโอซิสให้หายเข้าไปในห้องนอนเพื่อแต่งตัวชุดใหม่ โดยมีตัวเองยืนรออยู่ที่เดิม
   “เรื่องหมอผีฝรั่งที่นายเคยพูดไว้น่ะ เป็นยังไงบ้างแล้ว”
   ต้นข้าวหันกลับมามองใบหน้าหล่อเหลาทันควันเมื่อได้ยินคำถาม
   “นี่คุณยังไม่เลิกคิดจะกำจัดเลโอซิสอีกอย่างนั้นเหรอ”
   “ฉันไม่ชอบให้มีใครมาตามตลอดเวลา หรือมายุ่งวุ่นวายกับชีวิต”
   เสียงเรียบพูดบอก ใบหน้าคมเข้มเฉยสนิทประดุจรูปปั้นหินที่แข็งกระด้าง
   “ทำไมคุณถึงเป็นคนแบบนี้”
   “เป็นแบบไหน ฉันก็แค่อยากได้ชีวิตอันสงบสุขกลับมาเท่านั้น”
   “แต่คุณเป็นคนทำให้เขาฟื้นขึ้นมานะ”
   “แล้วฉันตั้งใจซะที่ไหนล่ะ”
   ลายสิงห์ยังคงเถียงอย่างไม่ยินยอม
   “แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็ควรจะรับผิดชอบ แล้วก็ควรจะขอบคุณสวรรค์ที่ประทานเขามาให้คุณ”
   “ตลกหรือเปล่า ฉันสาปแช่งสวรรค์ทุกวันด้วยซ้ำไปที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น”
   “คุณนี่เห็นแก่ตัวสุดๆ เลย”
   “นายก็ลองรับเขาไปอยู่ด้วยกันซะสิ”
   “ถ้าผมทำได้ ผมคงทำไปตั้งนานแล้วล่ะ แต่นี่ผมไม่ใช่”
   ต้นข้าวชะงักหยุดคำพูดค้างไว้ ไตร่ตรองว่าควรจะพูดเรื่องที่เพิ่งจะรู้มาออกไปดีหรือไม่ดี
   “ไม่ใช่ ไม่ใช่อะไร”
   “หึ จำไว้ละกัน สักวันคุณจะต้องเสียใจที่คิดแบบนี้กับเลโอ”
   ต้นข้าวตะโกนเสียงดังลั่นเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหมุนตัวสะบัดหน้าหนีเดินไปยืนรออยู่ตรงหน้าบ้านแทน เพราะไม่อยากใช้อากาศหายใจร่วมกับคนใจร้าย



   หลังจากยืนระงับสติอารมณ์ของตัวเองอยู่พักหนึ่ง ร่างสูงก็เดินเข้าไปภายในห้องทำงาน ดวงตาคู่คมมองอย่างแปลกใจ ถ้าจำไม่ผิด เมื่อคืนนี้เขาไม่ได้จัดโต๊ะทำงานนี่นา แต่ตอนนี้แฟ้มเอกสารที่เคยกระจัดกระจาย ถูกจัดวางเอาไว้บนโต๊ะอย่างเรียบร้อย คงจะเป็นฝีมือของเลโอซิสที่เข้ามาจัดการทำความสะอาดให้อย่างไม่ต้องสงสัย
   มือหนาเลือกหยิบแฟ้มเอกสารที่จะเอาไปใช้คัดเลือกทีมงานพิเศษที่จะใช้ในการทำภารกิจเฝ้าติดตามผู้ต้องสงสัยในคดีโลงศพ ก่อนจะกลับออกมาข้างนอกอีกครั้งเมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้ว
   ลายสิงห์ยืนนิ่งค้างดวงตาคู่คมฉายแววตื่นตะลึง สะท้อนภาพของหนุ่มน้อยหน้าหวานที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า ร่างเพรียวสวมใส่เสื้อกล้ามสีขาวคลุบทับด้วยเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีเทาอ่อนๆ กางเกงยีนส์เดฟสีดำรัดรูปทำให้เห็นขาเรียวยาว
   “พี่ครับ”
   เลโอซิสเอียงคอมองอย่างแปลกใจอาการของชายหนุ่ม ที่เอาแต่จ้องมองนิ่งและไม่ยอมพูดยอมจา
   “พี่ครับ”
   “ห๊ะ”
   ลายสิงห์รู้สึกตัวและสะดุ้งเล็กน้อย มองหน้าใสๆ ที่ยื่นเข้ามาซะใกล้ หัวใจก็พลันเต้นแรงเมื่อได้สานสบกับนัยน์ตากลมโตและได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะประจำตัวของหนุ่มน้อย
   “รีบไปกันเถอะเลโอ”
   ไม่พูดเปล่า ต้นข้าวเข้ามาคว้าแขนเรียวเอาไว้ ก่อนจะส่งสายตาค้อนๆ อย่างขุ่นเคืองให้กับชายหนุ่ม ท่าทางเย็นชากว่าที่เคย เหมือนต้องการประกาศตัวเป็นศัตรูอย่างเป็นทางการ
   “เลโอไปก่อนนะครับ”
   “อืม”
   ไม่ทันจะได้พูดอะไรมากกว่านั้น ร่างเพรียวๆ ก็ถูกกึ่งจูงกึ่งลากออกไปจากบ้าน พร้อมกับเสียงปิดประตูดังโครมด้วยฝีมือของต้นข้าว
   “เสียใจงั้นเหรอ แล้วทำไมสักวันฉันจะต้องเสียใจด้วยล่ะ”
   ลายสิงห์มองประตูที่ปิดสนิท ถอนหายใจให้กับพฤติกรรมที่เรียกว่าการทำตัวเป็นเด็กของต้นข้าวอย่างระอาใจ ก่อนจะเลิกสนใจ และหันกลับมาใส่ใจงานที่คั่งค้างอยู่แทน

   วันนี้ลายสิงห์อารมณ์ดีเป็นพิเศษ เพราะมาทำงานคนเดียวโดยไม่มีเสียงหวานๆ มาคอยพูดอยู่ข้างๆ ไม่มีร่างเพรียวๆ เนื้อตัวหอมๆ มาคอยวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ให้รู้สึกปั่นป่วนไม่เป็นตัวของตัวเอง และไม่ต้องมาคอยหวาดระแวงว่าจะเกิดเหตุการณ์แปลกๆ อะไรขึ้นอีกดังเช่นหลายวันมานี้ที่ทำให้ปวดสมองและเครียดจนนอนไม่หลับ
   ทุกวันนี้เขารู้สึกเหมือนต้องใช้พลังอย่างมหาศาลในการรับมือกับแวมไพร์ ราวกับตัวเองเป็นซูเปอร์ฮีโร่ผู้คอยพิทักษ์โลกอยู่เบื้องหลัง แต่ในที่สุดก็มีโอกาสได้ใช้ชีวิตแบบปกติ แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าการมีเลโอซิสมาคอยตามติดชิดใกล้และสร้างความว้าวุ่นให้ไม่ว่าจะทั้งทางกายหรือว่าทางใจล่ะนะ
   ร่างสูงก้าวออกมาจากลิฟต์ บรรดาลูกน้องต่างชะเง้อมองจนคอยืดยาว หวังว่าจะได้เห็นใบหน้าหวานของหนุ่มน้อยตามหลังออกมาด้วย แต่เมื่อประตูลิฟต์ปิดลง โดยหลงเหลือหัวหน้าหน่วยจอมโหดยืนโดดเด่นเป็นสง่าอยู่เพียงลำพัง ทุกคนก็พากันถอนหายใจเสียงดัง ราวกับว่าการมาทำงานของชายหนุ่มในวันนี้ช่างน่าผิดหวังนัก
   “สวัสดีครับหัวหน้า วันนี้น้องเลโอไม่มาด้วยเหรอครับ”
   หนึ่งในลูกน้องทำใจกล้าและเอ่ยถามออกมา
   “เลโอซิสเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
   “หรือว่าไม่สบาย ทำไมถึงไม่มาล่ะ ผมอุตสาห์ซื้อของมาฝากน้องนะเนี่ย”
   เสียงของตำรวจในแผนกดังระงมอย่างวุ่นวาย หน้าหล่อเหลาขบกรามแน่นอย่างเก็บกดอารมณ์ นี่ขนาดเจ้าตัวไม่อยู่ให้ปวดหัว ชื่อก็ยังตามมาหลอกหลอนซะอีก
   “อย่ามัวไร้สาระ วันนี้ฉันจะคัดเลือกทีมพิเศษไปทำภารกิจสำคัญ”
   เสียงทุ้มตะคอกใส่ดังลั่น เพื่อให้ทุกคนหุบปากและกลับมาสนใจเรื่องงานกันต่อ ว่าแล้วก็เจาะจงเลือกคนที่บ่นถึงหนุ่มน้อยมากที่สุด นึกหมั่นไส้และคิดว่าจะใช้งานซะให้คุ้มเลยทีเดียว
   เมื่อเลือกสมาชิกหน่วยพิเศษที่จะทำคดีนี้ได้แล้ว ก็จัดการสั่งงานลูกน้องทั้งหมด ก่อนจะสั่งให้ทีมงานกลับบ้านเพื่อไปเตรียมตัวจับตาดูผู้ต้องสงสัยในคดีโลงศพ ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งอาทิตย์ เพื่อความสะดวกจึงให้ทุกคนกลับไปเตรียมความพร้อม รวมทั้งตัวเขาเองเช่นกัน
   ดวงตาคู่คมกวาดสายตาไปโดยรอบเพื่อมองหาเจ้าเพื่อนรักแต่ก็ไม่พบ พอกดโทรหาก็ดันปิดโทรศัพท์ เป็นตำรวจแท้ๆ แต่กลับปิดโทรศัพท์มือถือ ครั้นพอลองถามคนในแผนก ก็พบว่าภาคิณทำงานเร็วกว่าเขาก้าวหนึ่ง เพราะเข้ามาที่นี่แล้วจัดการเกณฑ์ทีมสืบสวนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
   “งั้นตอนนี้ภาคิณกับพรรคพวกก็ไปเฝ้าสังเกตการณ์แล้วสินะ”
   “ครับ ไปตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วครับ”
   นายตำรวจที่ถูกถาม เอ่ยตอบด้วยเสียงดังฟังชัด
   ลายสิงห์เดินเข้าไปที่ห้องทำงานของตัวเอง ครุ่นคิดถึงสิ่งของที่จำเป็นต้องใช้ในการเฝ้าสังเกต คำนวณงบประมาณที่ต้องเบิกจ่ายอย่างคร่าวๆ ระหว่างที่นั่งเคาะนิ้วลงบนโต๊ะอย่างเหม่อลอย ประตูห้องก็เปิดพรวดเข้ามาเรียกสายตาคู่คมให้หันไปมอง
   “พี่”
   ไม่รอช้า หนุ่มน้อยวิ่งพรวดเข้ามาในห้อง ทั้งที่ประตูยังถูกเปิดอ้าทิ้งไว้อย่างนั้น ร่างเพรียวกระโดดขึ้นนั่งคร่อมอยู่บนตักกว้างโดยไม่สนใจอาการตื่นตระหนกตกใจของชายหนุ่มที่นั่งนิ่งตัวแข็งทื่อเลยสักนิด
   ลายสิงห์ตาโตเบิกกว้างขณะที่ริมฝีปากจิ้มลิ้มประทับลงที่ต้นคอหนา ทำเอาขนลุกเกรียวไปทั่วทั้งตัว
   บรรดาลูกน้องที่นั่งอยู่ด้านนอกต่างตกใจจากการวิ่งเข้ามาปานสายฟ้าของหนุ่มน้อยหน้าหวานที่กำลังรอคอยอยู่ ทำให้รีบผุดลุกออกจากโต๊ะของตัวเอง และกรูมายืนออกันอยู่ตรงหน้าห้องอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่ได้นัดหมาย ทุกสายตามองมาด้วยความตื่นตะลึงกับภาพตรงหน้า
   ใคระจะไปคาดคิดว่าเด็กหนุ่มที่ทั้งน่ารักและน่าเอ็นดูจะจู่โจมหัวหน้าของพวกตนอย่างรวดเร็วด้วยท่าทางร้อนแรงและเย้ายวนใจขนาดนี้ ทุกคนต่างยืนจับจ้องมองดูด้วยความอิจฉา
“อื้อหือ”
“โอ้ว”
แต่ในที่สุดก็ต้องยอมเดินจากไปแต่โดยดี เมื่อได้มองสบสายตาคมกริบของหัวหน้าหนุ่มที่มองออกมา
   “ฮ้า”
   หนุ่มน้อยแวมไพร์ถอนริมฝีปากออกจากต้นคอหนา เมื่อลิ้มรสชาติเลือดหอมหวานจนอิ่มหนำสำราญแล้ว
   “นายทำบ้าอะไรเนี่ย”
   “ครับ”
   ดวงตากลมโตแป๋วแหววราวกับลูกแมวน้อยที่แสนเชื่อง แต่ลายสิงห์รู้ดีว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าไม่อาจเป็นได้แค่เพียงลูกแมวที่ควรจะเลี้ยงไว้ดูเล่นอย่างแน่นอน
   “ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีก อยากให้คนอื่นรู้หรือยังไง”
   “ขอโทษครับ เลโอจะระวัง”
   เลโอซิสรับคำอย่างว่าง่าย
   “งั้นเลโอไปก่อนนะครับ”
   “เดี๋ยวๆ จะไปไหนอีก”
   แขนแข็งแรงคว้าจับข้อมือเรียวเอาไว้ เมื่ออยู่ๆ หนุ่มน้อยก็ลุกขึ้นยืนและทำท่าจะกระโจนออกจากห้อง
   “เลโอต้องกลับไปหาต้นข้าว”
   “อ้าว แล้วไม่ได้มาด้วยกันเหรอ”
   คิ้วเข้มขมวดมุ่นอย่างสงสัย ก็ออกไปด้วยกัน แล้วทำไมถึงไม่กลับมาด้วยกันล่ะ พลางนึกหงุดหงิดที่ต้นข้าวไม่ยอมอยู่กับเลโอซิส แต่กลับปล่อยให้มาเพียงลำพังอย่างนี้
   “ต้นข้าวรออยู่ที่ห้างสรรพสินค้า เลโอหิว เลยกลับมาหาพี่”
   “หืม แล้วนายกลับมายังไง ทำไมถึงรู้ว่าฉันอยู่ที่นี่”
   “เลโอวิ่งมา เลโอจำกลิ่นพี่ได้”
   “กลิ่น”
   ลายสิงห์ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นเพื่อสูดดมกลิ่นของตัวเองรวมทั้งตามเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ นี่ตัวเขามีกลิ่นแรงขนาดสามารถได้กลิ่นจากระยะไกลเชียวเหรอเนี่ย
   “เอาเถอะๆ ดูแลตัวเองดีๆ ก็แล้วกัน แล้วก็อย่าเผลอไปทำอะไรเหนือมนุษย์ซะล่ะ”
   เสียงทุ้มเอ่ยบอก ราวกับเป็นพ่อหรือผู้ปกครองของหนุ่มน้อยแวมไพร์ไปโดยปริยาย
   “ครับ แล้วเลโอจะรีบกลับมาหาพี่นะ บ๊ายบาย”
   ริมฝีปากชมพูระเรื่อจูบเบาๆ ที่ริมฝีปากของชายหนุ่ม ก่อนจะเดินจากไปอย่างอารมณ์ดี ปล่อยคนตัวโตให้นั่งอึ้งมึนงงอย่างทำตัวไม่ถูก
   มือหนายกขึ้นมาแตะที่ริมฝีปากของตัวเองอย่างแผ่วเบา ราวกับหวาดกลัวว่าร่องรอยที่แสนอ่อนหวานซึ่งได้สัมผัสเมื่อครู่จะเจือจางหายไป ไม่เข้าใจความรู้สึกร้อนรุ่มในอก เป็นความรู้สึกแปลกใหม่ที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน
   ลายสิงห์นั่งงุนงงกับความรู้สึกวุ่นวายที่ก่อเกิดอยู่ในใจอีกพักใหญ่ๆ พยายามรวบรวมสติให้คืนกลับมา ตัดสินใจกลับบ้านไปเตรียมข้าวของสำหรับการเฝ้าสังเกตการณ์



   รถยนต์ที่มีตราสัญลักษณ์ของกรมตำรวจแปะอยู่ทางด้านข้างมาจอดลงหน้าทาวเฮ้าส์หลังเล็กๆ ร่างสูงเปิดประตูและก้าวลงมา ก่อนจะมุ่งหน้าเข้าไปยังห้องนอนของตัวเอง หยิบกระเป๋าเป้ที่วางอยู่บนหลังตู้เสื้อผ้า จากนั้นก็จัดแจงเลือกเสื้อผ้าออกมาสองชุด มีดสั้นเล่มโปรดขนาดกระชับมือ มีดทหารอีกหนึ่งเล่ม กระบองคู่อีกอันหนึ่ง ของทุกอย่างถูกนำมายัดใส่ไว้ในกระเป๋า ขายาวเดินออกมาทางห้องครัวและเลือกหยิบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป รวมทั้งขนมขบเคี้ยวอีกสารพัดเอาไปด้วย
   ลายสิงห์ยกกระเป๋าขึ้นพาดบ่ากว้าง ก้าวเดินไปที่รถ โยนกระเป๋าไปวางไว้ที่เบาะทางด้านหลัง สตาร์ทเครื่องรถ และล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา
   “นายอยู่ไหนวะ”
   เสียงทุ้มเอ่ยถามคนที่อยู่ปลายสาย
   “ห้างสรรพสินค้า”
   คิ้วเข้มขมวดมุ่นจากคำตอบที่ได้ยิน ก็แล้วไหนพวกลูกน้องบอกว่าภาคิณไปเตรียมเฝ้าสังเกตการณ์กลุ่มผู้ต้องสงสัยตั้งแต่เช้า แล้วทำไมตอนนี้ถึงไปโผล่อยู่ที่ห้างสรรพสินค้าได้ล่ะ
   “ไปทำไมวะ”
   “ฉันมาหาเลโอ”
   “ไอ้บ้า”
   เสียงแหกปากตวาดดังลั่น ทำเอาภาคิณต้องยื่นโทรศัพท์ให้ไกลออกห่างจากหูแทบไม่ทัน
   “นายไปทำบ้าอะไรวะ”
   “ไม่น่าถาม ฉันคิดถึงเลโอ ก็เลยต้องมาหาน่ะสิ”
   “แล้วเรื่องงานล่ะ”
   “เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะจัดการเองน่า วันนี้ฉันให้ลูกน้องไปเฝ้าแล้ว”
   ลายสิงห์สบถอย่างอารมณ์เสีย นึกโมโหที่รู้ว่าภาคิณทิ้งการทิ้งงานไปแบบนี้ และที่ทำให้หงุดหงิดหนักขึ้นกว่าเก่าก็ตรงที่ได้รับรู้ว่าเจ้าเพื่อนรักคอยไปตามเฝ้าหนุ่มน้อยแวมไพร์อยู่ในตอนนี้
   ภาพของภาคิณที่จับมือถือแขนเลโอซิสในวันนั้น ย้อนกลับเข้ามาในความทรงจำอีกครั้งจนรู้สึกกรุ่นโกรธ ไม่พอใจเลยจริงๆ แค่เพียงคิดว่าภาคิณกำลังพยายามทำตัวตามติดและคอยใกล้ชิดหนุ่มน้อยแวมไพร์ของเขา
   ของเขา ?
บ้าน่า .. บ้าๆๆๆ เขาต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ คิดแบบนั้นได้ยังไงกัน
   “นี่นายมีความรับผิดชอบหรือเปล่าวะ”
   “แน่นอน ฉันมีความรับผิดชอบอยู่แล้ว แต่สำหรับฉัน เรื่องของหัวใจสำคัญกว่าเรื่องอื่นใดทั้งหมด”
   “ไอ้”
   ภาคิณไม่รอฟังปลายสายด่าจนจบ ก็รีบชิงตัดสายไปเสียก่อน ทิ้งให้อีกคนฮึดฮัดกระฟัดกระเฟียดอย่างขัดใจ ก่อนจะขับรถพุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็วเพื่อระบายอารมณ์ที่กำลังฟุ้งซ่าน
   ใช่ หัวหน้าหน่วยสืบสวนสอบสวนพิเศษใกล้จะเป็นบ้าไปแล้ว

Love passion .. vampire my darling




ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ AUGUSTLOVE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-0
11

   หนุ่มน้อยแวมไพร์ก้าวเดินเข้ามาภายในห้างสรรพสินค้าชื่อดังที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวง หลังจากที่จู่ๆ ก็หนีหายไปหาเจ้านายหนุ่มโดยบอกต้นข้าวไว้เพียงสั้นๆ ว่าจะรีบกลับมา
   ขายาวก้าวเดินไปหยุดยืนอยู่หน้าร้านกาแฟร้านหนึ่ง ซึ่งเชื่อว่าต้นข้าวจะต้องนั่งรออยู่ภายในร้านนี้อย่างไม่ผิดแน่ เพราะมั่นใจในประสาทสัมผัสชั้นเลิศของตัวเอง
   “เลโอ เป็นยังไงบ้าง ฉันนึกว่านายจะหลงทางแล้วซะอีก”
   ต้นข้าวพุ่งพรวดออกมาทางหน้าร้านอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าแวมไพร์หน้าหวานๆ ที่กำลังรอคอยอยู่มาถึงแล้ว
   “ไม่ต้องห่วงหรอกครับ”
   เลโอซิสยิ้มหวานอย่างจริงใจ เหลือบมองไปทางด้านหลังเห็นชายหนุ่มอีกคนที่เดินตามต้นข้าวมาติดๆ
   “สวัสดีครับ เลโอ”
   ภาคิณก้าวเดินมาหยุดยืนใกล้ๆ หนุ่มน้อย ใบหน้าคมเข้มติดไปทางบึ้งตึงนิดๆ เพราะเขาบังเอิญเจอกับต้นข้าวเมื่อวานนี้ หลังจากที่ได้พูดคุยทักทายกันตามประสาคนรู้จัก ก็ทำให้ได้รู้ว่าวันนี้ต้นข้าวจะพาเลโอซิสมาเที่ยวที่ห้างสรรพสินค้า ทำให้เขาถึงกับหนีงานตามมาด้วย แต่พอมาถึงกลับไม่พบหนุ่มน้อยผู้น่ารัก รวมทั้งยังต้องมารับรู้ว่าเลโอซิสหนีกลับไปหาเพื่อนรักซะอีก นึกอิจฉาอยู่ลึกๆ ที่เลโอมักจะให้ความสำคัญกับลายสิงห์ราวกับเป็นคนพิเศษที่สุดอยู่เสมอ
   ร่างเพรียวถูกต้นข้าวจับจูงมือให้เดินกลับเข้าไปภายในร้านอีกครั้ง จากนั้นทั้งสามก็นั่งลงตรงโต๊ะตัวเดิมที่มีแก้วกาแฟกำลังส่งกลิ่นหอมกรุ่นวางอยู่ก่อนแล้ว
   “พี่คิดถึงเลโอนะครับ”
   ภาคิณพูดโพล่งตัดสินใจบอกความรู้สึกให้หนุ่มน้อยได้รับรู้ ต้นข้าวอ้าปากค้างอย่างตกใจจนเกือบจะสำลักกาแฟ ไม่คาดคิดว่านายตำรวจหนุ่มจะหน้าด้านหน้าทนขนาดนี้
   เลโอซิสเอียงคอซ้ายทีขวาที ก่อนจะรับคำเพียงสั้นๆ
   “ครับ”
   “แล้วเลโอล่ะ คิดถึงพี่บ้างหรือเปล่า”
   “ไม่ครับ”
   “อ้าว ทำไมล่ะ สักนิดก็ไม่มีเลยเหรอ”
   ภาคิณมีสีหน้าจืดเจื่อนลงจนดูน่าสงสาร เหมือนแสงสว่างที่เคยเรืองรองอยู่ตรงหน้าพลันดับวูบลงในทันที ไม่เข้าใจว่าเสน่ห์มากมายที่เคยมี ทำไมถึงใช้ไม่ได้ผลกับหนุ่มน้อยคนนี้
   “เลโอคิดถึงแต่พี่ลายสิงห์”
   คำตอบที่ได้ยิน เล่นเอาหัวใจของนายตำรวจหนุ่มกระตุกวูบอย่างใจหาย อารมณ์อิจฉาก่อเกิดขึ้นในใจ ไม่รู้ทำไมไอ้ผู้ชายที่ไม่ประสีประสาเรื่องรักๆ ใคร่ๆ อย่างลายสิงห์ จู่ๆ ถึงได้มีหนุ่มน้อยหน้าหวานเจ้าเสน่ห์มาคอยเดินตามต้อยๆ ราวกับเป็นทาสผู้ซื่อสัตย์และจงรักภักดีแบบนี้ได้ เพราะไม่ว่าตัวจะอยู่ที่ไหน ไกลห่างสักเพียงใด เลโอซิสก็ทำประหนึ่งว่าหัวใจอยู่กับเจ้าเพื่อนรักตลอดเวลาอย่างไงอย่างงั้น
   “อย่าบอกนะว่าเลโอรักไอ้สิงห์มันน่ะ”
   ต้นข้าวมองหนุ่มน้อยแวมไพร์อย่างลุ้นระทึกไม่แตกต่างจากภาคิณที่เรียกได้ว่าลุ้นจนตัวโก่ง หวั่นกลัวว่าสิ่งที่กำลังคิดอยู่จะเป็นความจริงขึ้นมา
   หนุ่มน้อยแวมไพร์ยิ้มหวาน ขับให้ใบหน้าใสๆ ยิ่งดูน่ารักน่าเอ็นดูมากขึ้นไปอีก หัวใจของคนมองเห็นเต้นถี่รัวราวกับกลองที่กำลังโหมโรงแค่เพียงรอยยิ้มเดียวเท่านั้น
   “ครับ เลโอรักพี่ลายสิงห์”
   ชั่วพริบตาโลกก็พลันมืดสนิทลง หูอื้อไปชั่วขณะ อีกทั้งลมหายใจก็เกือบจะหยุดลงเช่นกัน
   “ล้อเล่นหรือเปล่า”
   ภาคิณพยายามจะแย้ง อย่างไม่สามารถทำใจยอมรับความจริงนี้ได้ แต่เลโอซิสกลับเพียงส่ายหน้าเบาๆ ดวงตาสีทองเป็นประกายใสแจ๋วราวกับยืนยันคำพูดของตัวเองอย่างชัดเจน
   “รู้หรือเปล่าว่าความรักคืออะไร รักจะต้องหมายถึงการที่เราคิดถึงอีกฝ่ายเสมอ อยากปกป้อง อยากสัมผัส อยากอยู่ใกล้ๆ ตลอดเวลา ตื่นเต้นดีใจเวลาที่มีสิ่งดีๆ ร่วมกัน หัวใจจะเต้นแรงผิดปกติ แล้วก็อีกสารพัด”
   ภาคิณพยายามพูดจาหว่านล้อมเพื่อเปลี่ยนความคิดของหนุ่มน้อย คิดว่าเลโอซิสยังเด็กนัก อาจจะไม่รู้จักคำนี้ดีสักเท่าไร
   เลโอซิสหลับตาพริ้มลง พลางหวนคิดถึงความทรงจำต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงตลอดระยะเวลาหลายวันที่ผ่านมา ก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าหวานระบายรอยยิ้มกว้าง จนคนที่ลอบแอบมองหนุ่มน้อยอยู่แทบจะทั้งร้านต้องเผลอมองตาค้างด้วยความหลงใหล
   จากนั้นเสียงใสก็เอ่ยออกมาด้วยใบหน้ามุ่งมั่นและจริงจัง
   “พี่ลายสิงห์เป็นคนทำให้เลโอรู้จักกับคำว่ารัก”
   
   ลายสิงห์กลับมาถึงที่กรมตำรวจแห่งชาติอีกครั้ง จัดการเบิกอุปกรณ์นานาชนิดเพื่อใช้สำหรับการเฝ้าสังเกตการณ์ในครั้งนี้ เขาค่อนข้างจะจริงจังและกังวลใจในเวลาเดียวกัน นึกหงุดหงิดใจระหว่างเดินมาที่ลานจอดรถของกรมเพื่อเลือกใช้รถสอดแนม ไม่เข้าใจว่าภาคิณเห็นการเฝ้าสังเกตการณ์เป็นเพียงเรื่องล้อเล่นหรือเห็นว่างานเป็นอะไรไปแล้ว ถึงยอมละทิ้งหน้าที่สำคัญไปแบบนี้ คิดไว้ว่าเจอกันเมื่อไร จะหาทางเล่นงานให้หนักเลยทีเดียว
   “มันน่านัก ฮึ้ย”
   ใบหน้าหล่อเหลาขบกรามจนสั่นและบ่นงึมงำอยู่ตลอดเวลาอย่างอารมณ์เสีย แต่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าที่ตัวเองกรุ่นโกรธและโมโหจนแทบจะเป็นบ้าอยู่ในตอนนี้ เป็นเพราะห่วงงาน หรือว่าห่วงอย่างอื่นกันแน่
   ลายสิงห์ฮึดฮัดอย่างอึดอัดใจจนไม่มีใครเข้าหน้าติด ความรู้สึกที่กำลังเกิดขึ้นเป็นสิ่งแปลกใหม่ซึ่งไม่เคยเป็นมาก่อน นั่นทำให้ไม่รู้ว่าควรจะหาทางแก้ไขความว้าวุ่นนี้ให้คลายลงได้ยังไง
   “บ้าชะมัด โว๊ยยย”
   ร่างสูงสบถเสียงดังลั่น ก่อนจะปิดประตูรถเสียงดังโครมแล้วขับออกมาอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ  ระหว่างที่รถกำลังจะเลี้ยวออกจากหัวมุมตรงไปที่ถนนสายหลัก ก็ต้องรีบแตะเบรกกะทันหัน เพราะมีชายคนหนึ่งวิ่งมาตัดหน้า
   คิ้วเข้มขมวดมุ่นอย่างหงุดหงิด ลดกระจกทางฝั่งตัวเองลง และชะโงกหน้าออกไป ดวงตาคู่คมมองคู่กรณีที่หยุดยืนนิ่งและกำลังเดินเข้ามาใกล้ เป็นชายต่างชาติท่าทางอายุยังน้อย
   “เป็นอะไรหรือเปล่า”
   ลายสิงห์ถามเสียงเรียบเพื่อแสดงความมีน้ำใจและรับผิดชอบ โชคยังดีที่เขาเป็นคนมีสติและรอบคอบอยู่เสมอ ไม่งั้นคนๆ นี้อาจจะถูกชนจนบาดเจ็บไปแล้วก็ได้
   “ไม่เป็นอะไรครับ ขอบคุณนะครับ”
   ชายต่างชาติพูดภาษาไทยชัดแจ๋วจนน่าตกใจ
   “ครับ งั้นผมขอตัวก่อนนะ”
   “เดี๋ยวครับ”
   ชายต่างชาติเรียกรั้งไว้ ดวงตาสีฟ้าใสมองใบหน้าหล่อเหลาอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเลื่อนระดับสายตาลงมาที่ต้นคอหนาซึ่งมีร่องรอยเป็นจ้ำๆ ปรากฏอยู่
   ลายสิงห์มองตามสายตาคนตรงหน้า เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังมองมาที่ลำคอของเขา ก็รีบแสร้งยกมือขึ้นลูบไปมาและจับปกคอเสื้อเชิ้ตให้พับปิดเพื่อหลบหลีกสายตาที่จับจ้องมาด้วยท่าทางสนอกสนใจ
   “ช่วยหลบหน่อยครับ”
   เสียงทุ้มพูดบอก และเตรียมตัวจะออกรถ เมื่อไม่เห็นว่ามีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องสนทนากับคนแปลกหน้าอีกต่อไปแล้ว
   “ที่จริงผมควรจะเป็นฝ่ายพูดคำนั้นมากกว่านะครับ”
   แต่จู่ๆ ชายหนุ่มต่างชาติก็พูดอะไรแปลกๆ ออกมาจนลายสิงห์ต้องมองอย่างสงสัย
   “อะไรนะครับ”
   “ผมบอกว่า คุณควรจะหลีกไปให้พ้นซะ อย่าเข้ามาขวาง”
   “คุณกำลังพูดเรื่องอะไรน่ะ”
   คิ้วเข้มขมวดมุ่นอย่างสงสัยและไม่เข้าใจเลยสักนิดจากสิ่งที่ได้ยิน สงสัยอากาศคงจะร้อนจนเพี้ยนไปแล้วล่ะมั๊ง
   “ผมขอเตือนคุณด้วยความหวังดี”
   “เอาเถอะๆ ขอบคุณที่เตือน ผมไปล่ะ”
   ลายสิงห์เลื่อนกระจกขึ้นปิด เลือกที่จะทำเป็นเข้าใจเพราะไม่อยากต่อล้อต่อเถียงอะไรด้วยอีก ก่อนจะเหยียบคันเร่งออกมา
   ดวงตาคู่คมตวัดมองไปทางกระจกมองหลัง แล้วก็ต้องขมวดคิ้วจนยุ่งอย่างแปลกใจ พยายามมองอย่างละเอียดและกวาดสายตาไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นชายต่างชาติคนเมื่อครู่อีกแล้ว ราวกับจู่ๆ ก็หายวับไปเสียเฉยๆ ครั้นจะเข้าใจว่าตัวเองเจอผีก็คงไม่ใช่เรื่องตลกอะไร เพราะแวมไพร์ก็ยังเคยเจอตัวเป็นๆ มาแล้ว แถมยังใช้ชีวิตร่วมกันอยู่ทุกวันเสียด้วย

   
   ลายสิงห์ขับรถมาถึงหน้าบ้านของกลุ่มคนที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัย ร่างสูงเอนกายลงพิงเบาะ ยกขาทั้งสองข้างเหยียดไว้บนเบาะเพื่อลดอาการเมื่อยล้า ตัดสินใจที่จะมาสอดส่องดูลาดเลาเพียงคนเดียวก่อน
   หลังจากนั่งจ้องอยู่หน้าประตูรั้วบ้านหลังใหญ่หรือที่ควรจะเรียกว่าคฤหาสน์มาได้นานสักพัก ก็ยกหูโทรศัพท์ขึ้นโทรหาบรรดาลูกน้องที่มีหน้าที่จับตาดูผู้ต้องสงสัย และบอกให้พวกนั้นมาก่อนเวลาที่ได้นัดกันไว้แต่แรก เมื่อคุยจบก็นึกขึ้นได้ว่าควรจะจัดการเจ้าเพื่อนตัวดีที่ป่านนี้ไม่รู้ว่ากลับไปทำงานต่อแล้วหรือยัง แต่ยังไม่ทันที่จะโทรไป ภาคิณก็เป็นฝ่ายโทรมาเสียก่อน
   “ไอ้สิงห์ ช่วยด้วย”
   ปลายสายร้องโพล่งขึ้นมาเสียงดังลั่น
   “เกิดอะไรขึ้น”
   ชายหนุ่มตอบกลับด้วยความตกใจไม่แพ้กัน
   “รีบมาที่บ้านฉันเลยนะ เลโอกำลังจะแย่แล้ว ไอ้บ้านั่นมัน มัน”
   แล้วสายก็ตัดไปเสียเฉยๆ ทิ้งให้ร่างสูงนั่งงุนงง จนต้องตัดสินใจโทรกลับไปอีกครั้ง หวังจะถามให้รู้เรื่อง แต่กลับไม่มีคนรับสาย
   ลายสิงห์พยายามมองโลกในแง่ดีว่าคงไม่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นหรอก แต่อาจจะเป็นภาคิณที่ทำตัวเป็นพวกกระต่ายตื่นตูมไปเอง หากแต่ลางสังหรณ์บางอย่างกลับร้องเตือน ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาเริ่มเคร่งเครียด เพราะทบทวนถึงคำที่ว่าหนุ่มน้อยแวมไพร์กำลังแย่ มีอะไรกันแน่ หวังว่าคงจะไม่ใช่อย่างที่กำลังนึกหวั่นกลัวอยู่หรอกนะ
   รถยนต์ถูกสตาร์ทเครื่องและเหยียบคันเร่งจนมิดออกไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับหัวใจของชายหนุ่มที่เต้นแรงและหนักอึ้งด้วยความหวาดกลัว
   อย่าเป็นอะไรไปนะ .. เลโอซิส

   หลังออกมาจากห้างสรรพสินค้าชื่อดังด้วยความรู้สึกเจ็บจี๊ดๆ ในหัวใจ ภาคิณก็ชักชวนต้นข้าวกับเลโอให้แวะมาที่บ้านพักของเขาก่อน ด้วยหวังเพียงว่าอยากจะมีเวลาอยู่กับหนุ่มน้อยให้นานขึ้นไปอีกสักนิดก็ยังดี
   บ้านของเขาเป็นหมู่บ้านจัดสรรที่อยู่ไม่ไกลจากกรมตำรวจมากนัก แม้จะราคาไม่แพงเท่าไร แต่ก็ค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัวและเงียบสงบ
   สองหนุ่มน้อยก้าวลงจากรถของต้นข้าวที่ขับตามหลังรถสีดำของภาคิณมาติดๆ และเดินเข้ามาในบ้านหลังขนาดกระทัดรัดตามคำเชื้อเชิญของเจ้าของบ้าน
   ภาคิณไปยกน้ำดื่มมาต้อนรับ ปล่อยให้สองหนุ่มน้อยเดินสำรวจรอบๆ บ้านด้วยความสนใจ โดยเฉพาะเลโอซิสที่มีความสนใจปลาคาล์ฟที่ถูกเลี้ยงอยู่ในบ่อข้างบ้านเป็นพิเศษ
   เสียงกดออดดังขึ้นหน้าบ้าน ภาคิณเดินออกไปดูและต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นชายหนุ่มชาวต่างชาติคนหนึ่งยืนอยู่
   “มีอะไรเหรอครับ”
   “สวัสดีครับ ผมชื่อริชาร์ด”
   ภาคิณขมวดคิ้วมุ่น เมื่ออยู่ๆ ก็มีคนไม่รู้จักมาหา แถมยังแนะนำตัวอย่างเป็นทางการซะด้วย
   “สวัสดีครับ ผมภาคิณครับ คุณมีธุระอะไรหรือเปล่า”
   ริชาร์ดยิ้มนิดๆ ก่อนจะกล่าวต่อเสียงเรียบ
   “ไม่ทราบว่าคุณเกี่ยวข้องยังไงกับเลโอซิส”
   ภาคิณมีสีหน้างุนงงหนักกว่าเก่า
   “ก็เป็นคนรู้จักกัน เลโอมาอาศัยอยู่กับเพื่อนของผมน่ะ”
   “อ้อ ครับ แต่ถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องพาเลโอซิสกลับบ้าน ถ้ายังไงก็ขอให้พวกคุณอยู่เฉยๆ อย่าเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยนะครับ”
   ริชาร์ดเอ่ยบอก ก่อนจะยันตัวกระโดดขึ้นข้ามรั้วมาด้วยความว่องไว จนภาคิณต้องอ้าปากค้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ ราวกับได้เห็นพวกนินจาตัวเป็นๆ อย่างไงอย่างงั้น
   “นี่คุณจะทำอะไรน่ะ”
   ภาคิณตวาดเสียงลั่น เมื่อเห็นการบุกรุกเข้ามาอย่างอุกอาจของชายหนุ่มต่างชาติ ข้องใจความสัมพันธ์ของริชาร์ดกับเลโอซิสว่าเกี่ยวข้องกันยังไง ทำไมถึงบอกว่าจะพากลับบ้าน จะว่าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งก็ได้ว่าทั้งสองจะรู้จักกันจริงๆ เพราะเท่าที่จำได้ลายสิงห์เคยบอกว่าเลโอมีญาติ แต่อยู่ต่างประเทศทั้งหมด หรือว่าพวกเขาเหล่านั้นจะมาพาตัวกลับไปหรืออย่างไรก็ไม่รู้ แต่ที่ติดใจที่สุดก็คือคำพูดที่หนุ่มฝรั่งบอกว่าไม่ให้เข้ามายุ่งเกี่ยว ฟังดูแปลกๆ ชอบกล นี่แสดงว่าเลโอคงไม่ยินยอมที่จะกลับไปอย่างนั้นสินะ
   “ก็เป็นอย่างที่คุณคิดนั่นแหละครับ”
   จู่ๆ ริชาร์ดก็พูดขึ้น
   “อะไร”
   ภาคิณขมวดคิ้วถามอย่างสงสัย
   “ที่คุณคิดน่ะคือถูกต้องแล้วครับ ผมกำลังจะพาเลโอซิสกลับบ้าน โดยที่เขาไม่เต็มใจ”
   ภาคิณตะลึงงัน ถ้าจำไม่ผิด เขาเพียงแค่คิดเท่านั้น ไม่ได้พูดอะไรออกมาไม่ใช่หรือ แต่ทำไมชายหนุ่มต่างชาติคนนี้ถึงล่วงรู้ถึงความคิดได้ล่ะ หมอนี่อ่านใจคนได้งั้นเหรอ จะเป็นอย่างนั้นไปได้ยังไง
   “เชื่อเถอะว่าถ้าหากคุณยังก้าวเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ คุณจะเจอเรื่องที่ไม่น่าจะมีอยู่ในโลกนี้จนไม่อยากจะเชื่อเลยล่ะ”
   ราวกับสัญชาตญาณการเป็นตำรวจทำงานโดยอัตโนมัติ ถึงหนุ่มฝรั่งตรงหน้าจะมีท่าทางและบุคลิกดี มองเผินๆ เหมือนเป็นมิตร แต่ส่วนลึกของจิตใจกลับบอกว่าคนๆ นี้เป็นบุคคลที่อันตรายมาก
   ภาคิณชักปืนจากซองใส่ปืนที่เหน็บอยู่ข้างเอวออกมาปลดเซฟตี้ แล้วจ่อเล็งไปทางชายต่างชาติด้วยท่าทางมุ่งมั่นไม่มีวี่แววล้อเล่นอย่างเช่นเคย
   “มีอะไรกันน่ะ”
   ต้นข้าวเดินออกมาจากในตัวบ้าน มองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยใจหวาดหวั่นที่อยู่ดีๆ ก็กำลังจะมีคนมายิงกันต่อหน้าต่อตาอีกแล้ว
   ต้นข้าวใช้สายตาเพ่งพิจารณาหนุ่มต่างชาติ ก่อนจะรู้สึกขนลุกวาบไปทั่วทั้งตัวเมื่อสัมผัสได้กับพลังงานบางอย่างจากชายหนุ่ม ไม่ใช่คนธรรมดา นั่นคือความรู้สึกแรกที่ได้รับ ความคิดต่อมาทำให้ต้องไตร่ตรองว่าเขาจะเป็นอะไรกันล่ะ อาจจะเป็นภูตผีปีศาจปลอมตัวมา เป็นแวมไพร์เหมือนเลโอซิส แต่จากพลังที่แสนจะแข็งแกร่งซึ่งถูกส่งออกมาจากตัวของชายหนุ่ม ก็รู้สึกราวกับว่าเขากล้าแกร่งราวกับเป็นอมตะ
พอคิดมาถึงตรงนี้ ต้นข้าวก็เบิกตาโพลงกว้าง ดวงตาโตประสานกับดวงตาเย็นเยือกของริชาร์ด พร้อมกับรอยยิ้มนิดๆ ที่มุมปากซึ่งถูกส่งมามีอำนาจราวกับสามารถสะกดทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นดั่งที่ต้องการได้ง่ายดาย เป็นสายตาที่บ่งบอกว่าริชาร์ดเป็นบุคคลอันตรายอย่างไม่ต้องสงสัย
“ถูกต้อง”
ริชาร์ดปรบมือเบาๆ ด้วยท่าทางชื่นชมหนุ่มน้อยผู้มาใหม่อย่างต้นข้าว
“ข้อแรก ผมไม่ใช่แวมไพร์ ข้อสอง ผมจัดอยู่ในบุคคลประเภทที่สองที่คุณคิด ข้อสาม ที่คุณคิดว่าผมเป็นน่ะ ถูกต้องที่สุดแล้ว”
ริชาร์ดคลี่ยิ้มบนใบหน้าและขยิบตาให้อย่างอารมณ์ดี ก่อนจะพูดต่อเพื่อเป็นการบอกถึงเป้าหมาย
“ผมเป็นอมตะ เป็นนักล่าแวมไพร์ และผมมาที่นี่เพื่อทำหน้าที่ของตัวเอง”
“แกกำลังพูดบ้าอะไรวะ”
ภาคิณกระชับปืนมั่น เพราะคำพูดของอีกฝ่ายแสดงออกถึงการคุกคามอย่างชัดเจน ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องทุกอย่างนัก แต่สีหน้าและท่าทางของต้นข้าวที่ได้มองเห็นอยู่ในตอนนี้ ก็บ่งบอกได้ว่าหนุ่มต่างชาติคงไม่ได้มาดีอย่างแน่นอน
“ถ้าผมเป็นคุณ ผมจะไม่ทำแบบนั้นหรอกนะครับ”
“ลองดูไหมล่ะ”
ภาคิณตั้งท่าเตรียมพร้อม แม้จะนึกหงุดหงิดที่คนตรงหน้าสามารถล่วงรู้ความคิดได้ทั้งหมด
“ตอนนี้ใจคุณกำลังสับสน”
ริชาร์ดยังคงพูดสิ่งที่อยู่ในใจชายหนุ่มออกมาราวกับเป็นเรื่องปกติ
“คุณกำลังงงว่าผมพูดถึงเรื่องอะไร ผมต้องการอะไร มาที่นี่ทำไม และเป็นศัตรูหรือไม่”
“ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าแกไม่ได้มาดีแน่”
ภาคิณตะโกนบอกเสียงก้องอย่างโมโห
ไม่ทันสิ้นคำ ริชาร์ดก็คว้าปืนในมือของภาคิณมาโยนทิ้งไปอีกทางอย่างรวดเร็ว เสี้ยววินาทีก็ขยับเข้ามาใกล้พร้อมกับใช้ฝ่ามือสับเข้าที่ท้ายทอยของนายตำรวจหนุ่ม
ภาคิณรู้สึกว่าหัวของตัวเองวูบวาบ มึนงง และทุกอย่างก็เปลี่ยนเป็นสีดำ เสียงรอบด้านอื้ออึงไปหมดและค่อยๆ เงียบลง จากนั้นก็หลับใหลและหมดสติไปในที่สุด
“ผมไม่ยอมให้คุณเอาเลโอซิสไปหรอก”
ต้นข้าวพูดเสียงสั่น นึกหวาดกลัวหนุ่มฝรั่ง เพราะไม่รู้ว่าคนๆ นี้สามารถทำอะไรได้บ้าง แต่ที่รู้ๆ คือเขาสามารถอ่านใจและอ่านความคิดของคนอื่นได้
“ไม่ต้องกลัวนะครับ ผมไม่ทำร้ายคุณหรอก ขอแค่คุณอย่าเข้ามายุ่งเรื่องนี้เท่านั้น”
“ไม่ เลโอซิสเป็นเพื่อนผม ผมไม่ให้คุณพาเขาไปไหน”
“เพื่อนงั้นเหรอ”
ริชาร์ดเลิกคิ้วถามด้วยความแปลกใจ
“คุณจะบอกว่าแวมไพร์ดูดเลือดเป็นเพื่อนของคุณอย่างนั้นเหรอ”
“ใช่ เลโอเป็นคนดี”
“ขอโทษนะครับที่ต้องขัด แต่ผมอยากจะบอกคุณว่าสิ่งที่คุณกำลังพูดถึงน่ะไม่มีวันเป็นจริงหรอก เลโอซิสไม่มีวันเป็นคนดี เพราะเขา ไม่ใช่คน”
“แล้วคุณล่ะ คุณก็ไม่ใช่คนเหมือนกันนั่นแหละ”
เกิดความเงียบขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง เหมือนกับต้นข้าวปล่อยหมัดหนักๆ ใส่หน้าของหนุ่มต่างชาติ ริชาร์ดยืนนิ่งเงียบไปพักใหญ่ จ้องมองหนุ่มน้อยตรงหน้าด้วยความว่างเปล่า
“ที่คุณพูดมาก็ถูก ผมไม่ใช่คน แต่ผมไม่ได้เป็นแวมไพร์ ผมมีเลือดเนื้อมีหัวใจ เพียงแต่ไม่มีวันตายเท่านั้น”
พูดจบริชาร์ดก็มุ่งหน้าเดินไปทางที่สัมผัสความรู้สึกได้ว่าแวมไพร์หนุ่มน้อยกำลังอยู่ ต้นข้าววิ่งมาขวางหน้าไว้พร้อมทั้งกางแขนทั้งสองข้างออกเหยียดตรง เป็นการบ่งบอกว่าไม่มีวันยอมให้เขาผ่านไปได้เป็นอันขาด
“ผมไม่ยอมให้คุณทำร้ายเพื่อนของผม”
“มีอะไรกันเหรอ”
เสียงใสเอ่ยถาม พร้อมกับหนุ่มน้อยแวมไพร์ก้าวเดินออกมาหยุดยืนอยู่ไม่ไกลกันนัก ใบหน้าหวานฉายแววสงสัยเมื่อเห็นว่ามีคนแปลกหน้าอยู่ด้วย รวมทั้งเห็นภาคิณที่นอนหมดสติกองอยู่กับพื้นปูนซีเมนต์
“สวัสดี”
ริชาร์ดตะโกนทักทายด้วยรอยยิ้มเย็นเยียบ
“ท่าน”
ดวงตาสีทองเบิกกว้าง ขนในร่างกายพร้อมใจกันลุกชันด้วยความหวาดกลัว เมื่อสัญชาตญาณร้องบอกเตือนให้รับรู้ว่าบุคคลตรงหน้าเป็นใคร และมีอันตรายมากน้อยแค่ไหน
“คุณต้องไปกับผม”
“ไม่ ข้าไม่มีวันไปกับท่าน”
“ผมก็คิดเอาไว้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้”
ริชาร์ดยื่นมือมาข้างหน้า มีดสั้นเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ
“คุณเป็นตัวอะไรกันแน่”
ต้นข้าวร้องถามเสียงหลงอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น ผู้ชายคนนี้สามารถเสกมีดได้ ราวกับว่าตอนนี้ตัวเองกำลังหลุดเข้ามาในโลกที่เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์อย่างกับในการ์ตูน อยากจะคิดว่าทุกอย่างเป็นแค่ความฝัน แม้ว่าจะเป็นหมอผี แต่การจะให้ยอมรับเรื่องแบบนี้ ก็ต้องใช้เวลาไม่น้อยเลยทีเดียว
“มีดเล่มนี้มีไว้เพื่อสะกดแวมไพร์ ผมแค่ต้องการสะกดคุณ ไม่ได้ต้องการฆ่า แต่ถ้าหากคุณบีบบังคับให้ผมต้องทำอย่างนั้น มันก็อีกเรื่องหนึ่ง”
ริชาร์ดพุ่งแหวกอากาศด้วยความเร็วเหนือมนุษย์ทันทีที่พูดจบ และมุ่งตรงเข้ามากระแทกศอกใส่แวมไพร์หนุ่มน้อย เลโอซิสเอียงตัวหลบได้ทันด้วยความว่องไวไม่แพ้กัน และใช้สันมือฟาดลงบนต้นคอของนักล่าแวมไพร์อย่างแรง
ต้นข้าวฉีกยิ้มกว้างเมื่อเห็นริชาร์ดร่วงลงไปนอนกองอยู่กับพื้น แต่เพียงแวบเดียวเท่านั้น หนุ่มต่างชาติก็ผุดลุกยืนราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ดูเหมือนผมจะประมาทไปหน่อย คงต้องเอาจริงล่ะนะ”
สายลมวูบหนึ่งพัดผ่านไป ร่างของริชาร์ดหายไปแล้ว ดวงตาสีทองมองไปรอบๆ หากแต่ไม่พบนักล่าแวมไพร์แต่อย่างใด พริบตานั้นเองเงาดำทมิฬก็ทาบทับมาจากด้านบน เลโอซิสแหงนหน้าขึ้นไปมองอย่างรวดเร็วก็เห็นร่างของริชาร์ดพุ่งลงมา
หนุ่มน้อยแวมไพร์รีบกระโดดถอยมาตั้งหลัก ริชาร์ดพุ่งลงมาปลายเท้าทั้งสองข้างเหยียบยืนบนพื้นอย่างนุ่มนวล รอยยิ้มบนใบหน้าเต็มไปด้วยความมั่นใจที่สุด
อึดใจต่อมาริชาร์ดก็พุ่งตรงดิ่งเข้ามาหาเลโอด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นจากเดิมจนสายตาของคนธรรมดาไม่สามารถมองได้ทัน มือกำยำคว้าคอบอบบางของหนุ่มน้อยแวมไพร์ได้สำเร็จ
เลโอซิสพยายามดิ้นรน เงื้อมือขึ้นเพื่อชกสวนกลับไปที่ใบหน้าของหนุ่มต่างชาติ หากแต่เขากลับหลบได้อย่างง่ายดาย พายุหมัดระลอกต่อมาถูกกระหน่ำใส่แบบไม่ยั้ง แต่ริชาร์ดสามารถหลบหลีกได้อย่างสบายๆ
ต้นข้าวมองเห็นเลโอซิสที่กำลังเสียเปรียบก็รีบกระโจนเข้ามาหาและกระโดดขึ้นขี่หลังของหนุ่มต่างชาติ ทั้งจิกทึ้งศีรษะและข่วนตามใบหน้ารวมทั้งเนื้อตัว หากแต่ริชาร์ดกลับไม่ได้สะดุ้งสะเทือนเลยสักนิด ในมือของเขากำมีดสะกดแวมไพร์ไว้แน่น และตั้งท่าเงื้อขึ้นราวกับกำลังจะกระหน่ำแทงลงมา ต้นข้าวรีบคว้าข้อมือหนาเอาไว้และกัดเข้าไปอย่างเต็มแรง
ทว่าพลังของคนธรรมดาหรือจะสู้พลังของคนเหนือมนุษย์ ต้นข้าวหงายหลังร่วงหล่นลงไปกระแทกพื้นก้นจ้ำเบ้า เมื่อริชาร์ดเพียงสะบัดตัวเบาๆ เท่านั้น ส่วนมือก็ยังคงกำต้นคอของแวมไพร์หนุ่มน้อยไว้แน่น
   ใบหน้าหวานที่ซีดอยู่แล้วกลับซีดกว่าเก่า รู้สึกหายใจไม่ออก หัวใจพลันเต้นรัวแรงด้วยความหวาดกลัวจับขั้วหัวใจ ที่รู้ว่าตัวเองกำลังจะต้องกลับไปนอนในโลงศพที่มีแต่ความเงียบ เหงา หนาว และอ้างว้างอีกแล้ว อีกนานแค่ไหนกันถึงจะหลุดพ้นจากชีวิตแบบนี้
   หยดน้ำใสๆ ไหลรินจากดวงตาสีทองคู่สวยอย่างช้าๆ ภาพความทรงจำตอนที่ได้พบกันกับชายหนุ่มคนหนึ่งผุดเข้ามาในสมองให้ได้ระลึกถึง ตอนที่ได้อยู่ด้วยกัน ได้มองใบหน้าหล่อเหลาทั้งในยามตื่นและยามหลับใหล ความใกล้ชิด ทุกสัมผัสที่น่าตื่นเต้น ทุกวันและเวลาที่อยู่เคียงข้างกันไม่ได้ห่าง ได้ยินเสียงหัวใจอีกดวงที่เต้นอยู่ในร่างกายนี้
   แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ที่ได้กลับคืนมามีชีวิตอีกครั้ง แต่ก็เป็นความสุขที่ไม่เคยพบเจอและคิดว่าคงหาจากที่ไหนไม่ได้อีกแล้วบนโลกใบนี้
   “พี่ลายสิงห์ .. เลโอรักพี่”




ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ AUGUSTLOVE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-0
12

   เปรี้ยงงง
   เสียงปืนดังสนั่นพร้อมกับลูกกระสุนที่แหวกผ่านอากาศไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำราวกับจับวาง มีดในมือของนักล่าแวมไพร์ร่วงหล่นลงบนพื้นจากแรงกระแทกอย่างมหาศาล
   เลโอซิสหันไปมองยังที่มาของกลิ่นหอมหวานที่คุ้นเคย พลางคิดว่าตัวเองกำลังฝันไป เมื่อเห็นใครบางคนที่แสนคิดถึงมาปรากฎตัวอยู่ตรงหน้าในขณะนี้
   ร่างสูงยืนนิ่งสงบเล็งปืนมาในมาดตำรวจสุดเท่ห์ประหนึ่งพระเอกหนุ่มจากหนังบู๊แอกชั่นหลุดมานอกจอ ดวงตาคู่คมมองสำรวจชายต่างชาติที่รู้สึกคุ้นหน้าอย่างระแวดระวัง แล้วเหลือบมองเพื่อนซี้ที่นอนมึนงงอยู่กับพื้น แต่จากที่สำรวจดูแล้วภาคิณคงไม่ได้เป็นอะไรมากนัก เพราะก่อนหน้านี้ยังสามารถงัดเอาแรงกับสติเฮือกสุดท้ายโทรไปหาเขาจนได้
   “ปล่อยมือ”
   เสียงทุ้มเอ่ยสั่งด้วยท่าทางจริงจัง
   “ผมว่าคุณอย่ามายุ่งเรื่องนี้”
   เปรี้ยงง
   กระสุนนัดที่สองถูกส่งออกไปจากปลายกระบอกปืนและเฉี่ยวแขนของนักล่าแวมไพร์ที่กำลังบีบคอหนุ่มน้อยอยู่
   ริชาร์ดยอมปล่อยมือโดยอัตโนมัติ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เลโอซิสรีบผละตัวหนีและมายืนหลบอยู่ข้างหลังร่างสูงอย่างรวดเร็ว
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
ลายสิงห์ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนกว่าทุกครั้ง ลึกๆ ในจิตใจยอมรับว่ารู้สึกกลัว แต่ไม่รู้ว่ากำลังกลัวอะไรกันแน่
“ไม่ครับ”
“นายเป็นใคร”
“ผมเป็นนักล่าแวมไพร์ และคุณไม่ควรเข้ามายุ่ง”
ริชาร์ดมองสบสายตาคมกล้าของชายหนุ่มผู้มาใหม่อย่างแปลกประหลาดใจระคนสงสัย เพราะไม่สามารถอ่านความคิดหรือจิตใจของลายสิงห์ได้เหมือนคนอื่นๆ ในแววตาของชายหนุ่มมีแต่ความแน่วแน่และไม่มีความลังเลใดๆ เลยสักนิด
   “เขาเป็นของผม คนอื่นไม่มีสิทธิ์”
   พูดจบเสียงปืนก็ดังขึ้นอีกนัด คราวนี้ลูกกระสุนถูกเล็งไปที่ต้นขาของหนุ่มต่างชาติจนร่างทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น จากนั้นเสียงปืนก็ดังขึ้นอีกหลายนัดติดๆ กัน ฝังลงบนขาอีกข้าง แขนทั้งสองข้าง และอีกลูกหนึ่งฝังที่สะโพก
   ลายสิงห์เลือกที่จะเล่นงานตรงจุดที่ไม่สำคัญ เพราะไม่คิดที่จะฆ่าใคร และรู้ดีว่าคนตรงหน้าคงไม่ตายง่ายๆ จึงหวังเพียงแค่ต้องการสะกดการเคลื่อนไหวของหนุ่มต่างชาติเอาไว้เท่านั้น
   ต้นข้าวรีบเข้าไปประคองร่างของภาคิณที่ยังนั่งมึนงงให้ลุกขึ้น ก่อนจะก้าววิ่งออกมาพร้อมๆ กันกับเลโอซิส ทั้งหมดมาขึ้นรถที่สตาร์ทจอดรออยู่ตรงหน้าบ้าน โดยมีลายสิงห์เป็นคนระวังหลังให้
   “เราต้องหาที่หลบก่อน อย่างน้อยก็หวังว่าเขาจะใช้เวลาพักรักษาตัวนานหน่อย”
   “หนึ่งวัน”
   เลโอซิสพูดแทรกความคิดเห็นของต้นข้าว
   “ว่าไงนะ”
   “เขาเป็นอมตะครับ”
ลายสิงห์นิ่งเงียบไปจากสิ่งที่ได้ยิน ตกลงผู้ชายคนนั้นเป็นตัวอะไรกันแน่ก็ไม่รู้ แล้วถูกยิงจนพรุนขนาดนั้น แต่จะใช้เวลาในการรักษาแค่หนึ่งวันเนี่ยนะ บ้าไปแล้ว
   หน้าหล่อเหลาสลับเปลี่ยนไปมาครุ่นคิดไปตลอดทาง และตัดสินใจขับรถออกมาที่เขตนอกเมือง เลือกหาโรงแรมที่ไร้ระดับ จากนั้นก็เลี้ยวเข้าไปจอดเทียบด้านหน้า สั่งให้ต้นข้าวเข้าไปจัดแจงเช็คอิน ส่วนตัวเองก็ขับรถเข้าไปวนหาที่จอดในชั้นใต้ดิน
   โรงแรมแห่งนี้เป็นโรงแรมสองชั้นขนาดไม่ใหญ่นัก คาดคะเนจากสายตาแล้วมีประมาณชั้นละสิบห้องเห็นจะได้ มีโรงจอดรถให้ที่ชั้นใต้ดินของโรงแรม แต่ไม่จำเป็นต้องหาที่จอดรถนานนัก เนื่องจากมีรถยนต์จอดอยู่เพียงสามสี่คันเท่านั้น แสดงให้เห็นว่าโรงแรมนี้ไม่ค่อยมีใครนิยมมาพักกันสักเท่าไร
   “คืนนี้เราคงต้องนอนที่นี่”
   เสียงทุ้มเอ่ยบอก พลางเดินสำรวจไปรอบๆ ห้อง
   “แล้วถ้ามันตามมาเจอล่ะ”
   ต้นข้าวถามอย่างหวาดหวั่น ดวงตาแสดงออกอย่างชัดเจนถึงความกลัว
   “หมอนั่นคงไม่ตามมาเร็วๆ นี้หรอก อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลารักษาตัวไม่ใช่หรือไง ระหว่างนี้เราก็มาช่วยกันคิดหาทางออกละกัน”
   ลายสิงห์บอกด้วยท่าทางสงบนิ่ง ก่อนจะหยิบปืนที่เหน็บอยู่กับสะโพกออกมายื่นส่งให้ต้นข้าว
   “อะไรน่ะ”
   ต้นข้าวตาโต และจ้องมองเจ้าอาวุธสีดำมันวาวตาปริบๆ
   “ปืนไง นายไม่รู้จักหรือ”
   “รู้น่ะรู้ แต่คุณเอามาให้ผมทำไม”
   “เอาไว้ป้องกันตัว รับไปสิ”
   “แต่ว่าผม”
   ลายสิงห์จับมือของต้นข้าวให้แบออก และวางอาวุธคู่กายลงไปบนมือขาวๆ สัมผัสได้ถึงความสั่นน้อยๆ ทันทีที่ต้นข้าวรับไว้ เขาก็ปล่อยมือออก
   ต้นข้าวรับรู้ได้ถึงความหนักเสียจนมือข้างเดียวถือไว้ไม่ไหว ต้องใช้มืออีกข้างหนึ่งช่วยยก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าปืนที่เห็นในโทรทัศน์บ่อยๆ จะหนักขนาดนี้ ไหนจะบอดี้การ์ดของเขาที่พกมันเป็นประจำอีก พวกนั้นทำอย่างกับมันเบาเหมือนทำจากพลาสติกอย่างไงอย่างงั้น
   “เดี๋ยวก่อนนะ ใครช่วยอธิบายให้ฉันฟังทีว่านี่มันกำลังเกิดอะไรขึ้น”
   ภาคิณเพิ่งรู้สึกตัวเต็มที่ พยายามรวบรวมสติให้กลับคืนมา แม้จะยังมึนงงอยู่บ้างก็ตามที แต่ก็รู้ดีว่าตอนนี้ตัวเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่เรียกได้ว่าไม่ธรรมดาเสียแล้ว
   “มีคนตามล่าเรา”
   ลายสิงห์เอ่ยตอบเสียงเรียบ
   “ใคร เจ้าบ้านั่นน่ะเหรอ แล้วมันจะตามล่าเราทำไม”
   ดวงตาคู่คมมองไปทางหนุ่มน้อยหน้าหวานที่ยืนกระพริบตาปริบๆ อยู่ข้างๆ อย่างไม่ยอมห่างไปไหน
   “มันต้องการตัวเลโอ”
   “เหอะ ถ้างั้นก็ข้ามศพฉันไปก่อนเถอะ”
   ภาคิณรีบชักปืนออกมาเพื่อตรวจความพร้อมด้วยท่าทางมุ่งมั่น ลายสิงห์ถอนหายใจเฮือกใหญ่จากอาการของเพื่อนรัก
   “นายจะไม่ถามเหตุผลหน่อยเหรอว่าทำไมมันถึงต้องการตัวเลโอ”
   “แน่นอน ก็ต้องเป็นเพราะเลโอน่ารักอย่างไงล่ะ จากที่ดูท่าทางมันแล้ว แสดงว่าไอ้บ้านั่นคงจะเป็นอาชญากรโรคจิตสินะ”
   ลายสิงห์ถอนหายใจยาวๆ อีกครั้ง เมื่อได้ฟังความคิดที่ราวกับพวกไอคิวต่ำของเพื่อน ไม่เข้าใจว่าภาคิณได้ขึ้นมาเป็นรองหัวหน้าหน่วยได้ยังไง นอกจากไม่ถามเหตุผลเพื่อเค้นเอาความจริง แล้วยังจะคิดเองเออเองเสร็จสรรพ แต่ถึงกระนั้นก็ยังนึกเบาใจที่ภาคิณเป็นคนแบบนี้ เพราะจะได้ไม่ต้องมานั่งเล่าหรืออธิบายอะไรให้ยุ่งยากเพิ่มขึ้น
   ร่างสูงชักปืนจากเอวกางเกงด้านหลังออกมาอีกหนึ่งกระบอก เช็คลูกปืนแล้วเหน็บกลับเข้าที่เดิม หยิบอีกกระบอกออกมาจากด้านหลังเช่นเดียวกัน เช็คลูกปืนแล้วเหน็บเก็บเข้าที่ ก้มลงนั่งย่อตัว เลิกขากางเกงขึ้นและหยิบปืนขนาดเล็กที่เหน็บอยู่ตรงถุงเท้าออกมา
   “ให้ตายสิ คุณอย่างกับคลังแสงเคลื่อนที่แน่ะ”
   ต้นข้าวอุทานตาโตอย่างตกตะลึง ลายสิงห์ยังคงมีสีหน้าเรียบนิ่ง ตอนนี้ต้องการทำสมาธิและตั้งสติให้มั่น เพราะไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง จึงควรจะเตรียมความพร้อมเอาไว้ก่อนก็ไม่เสียหลาย หลังจากเช็คปืนจิ๋วเสร็จแล้วก็ยัดมันใส่ไว้ในถุงเท้าตามเดิม จากนั้นก็เลิกขากางเกงอีกข้าง และหยิบมีดสั้นแบบทหารพรานซึ่งท่าทางคมเอาเรื่องออกมา
   ต้นข้าวได้แต่มองดูชายหนุ่มเบื้องหน้าตรวจเช็คอาวุธโดยไม่มีคำพูดใดๆ มาบรรยายได้อีกแล้ว ลายสิงห์ในตอนนี้ดูคล้ายกับนักล่าปีศาจในหนังไม่มีผิดเพี้ยน
   “พวกนายอยู่ที่นี่นะ ฉันจะออกไปสำรวจรอบๆ หน่อย”
   “เลโอไปด้วย”
   ลายสิงห์หันมามองหนุ่มน้อยหน้าหวานอย่างครุ่นคิด อยากจะเอ่ยปากห้าม แต่ก็เลือกที่จะเงียบเอาไว้และปล่อยเลยตามเลย เลโอซิสเดินตามหลังเจ้านายหนุ่มไปติดๆ อย่างไม่รอช้า ไม่มีทางจะยอมอยู่ห่างจากเขาอย่างเด็ดขาด
   ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มลง แสงดาวเริ่มจุดประกายระยิบระยับขึ้นบนฟากฟ้าอย่างงดงาม พระจันทร์เหลืองอร่ามทอแสงสีนวลอวดรัศมีอย่างน่าหลงใหล ลมเย็นโชยเอื่อยพัดผ่านมาเพียงแผ่วเบาเป็นระยะๆ ไปทั่วโรงแรมที่อยู่ในเขตห่างไกลความเจริญ
   ลายสิงห์ไม่ได้ซึมซับกับความงดงามที่ปรากฏตรงหน้าเลยสักนิด ดวงตาคู่คมแลดูเกรี้ยวกราดสอดส่ายไปมาอย่างสำรวจตรวจตราด้วยความรอบคอบ ในทางกลับกัน แวมไพร์หนุ่มน้อยกลับลืมเลือนเรื่องที่ตัวเองกำลังถูกตามล่าหมายเอาชีวิตไปจนเสียสนิท มือเรียวเอื้อมมาจับมือหนาจนร่างสูงสะดุ้งเฮือก ใจเต้นระส่ำด้วยความประหม่า
   “อะไร”
   ดวงตากลมโตสีทองสว่างมองจับจ้องใบหน้าหล่อเหลา ก่อนจะส่งยิ้มระบายมาให้อย่างน่ารัก
   “เลโอมีความสุข”
   “หืม นายจะบ้าเหรอ นี่ไม่ได้รู้สถานการณ์ตอนนี้เลยหรือไง"
   คิ้วเข้มขมวดมุ่นอย่างหงุดหงิดเมื่อได้เห็นใบหน้าหวานเปื้อนยิ้มราวกับมีความสุขอะไรนักหนา แก้มใสๆ ต้องแสงเหลืองนวลของพระจันทร์ ทำให้หัวใจของหัวหน้าหน่วยสืบสวนมาดเข้มของกรมตำรวจถึงกับหวั่นไหว
   “ขอบคุณนะครับ”
   แขนบอบบางทั้งสองข้างสวมกอดร่างสูงเอาไว้อย่างแนบแน่น เนื้อตัวอุ่นๆ กับผิวเนื้อเย็นจัดเบียดเสียดกันจนแทบไม่มีอากาศให้ลอดผ่าน
   ลายสิงห์นึกอยากจะสลัดแขนทั้งสองข้างรวมทั้งตัวของหนุ่มน้อยให้ออกห่าง แต่หัวใจกับความคิดกลับตีกันวุ่นวายอย่างไม่น่าเชื่อ ทำให้นึกหงุดหงิดในใจ ที่มาพร้อมกับความตื่นเต้นดีใจแบบแปลกๆ ที่ครอบคลุมอยู่รอบๆ กาย
   “ตอนที่เลโอกำลังจะตาย เลโอคิดถึงแต่พี่”
   ดวงตาสีทองเงยขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลา ก่อนจะสบประสานกันกับดวงตาคู่คมที่ก้มลงมาอย่างนิ่งงัน เสียงหัวใจทั้งสองดวงดังสอดคล้องจนกลายเป็นจังหวะเดียว
   ลายสิงห์อยากจะบ้าตายกับเสียงเต้นของหัวใจที่ดังระรัวจนน่าอับอาย คิ้วคมเข้มขมวดเข้าหากันพร้อมกับเปลือกตาที่ปิดสนิท ไม่กล้ามองใบหน้าหวานที่กำลังเคลื่อนเข้ามาชิดใกล้อย่างช้าๆ จนในที่สุดริมฝีปากทั้งสองก็แตะสัมผัสกัน
   แม้จะเพียงแค่แผ่วเบา แต่ความอุ่นซ่านก็แผ่กำจายไปทั่วเรือนร่างจนทำให้หัวสมองขาวโพลนไปหมด
   “ให้เลโออยู่กับพี่ตลอดไปนะครับ”
   ลายสิงห์ยืนนิ่งเงียบไม่พูดอะไร ได้แต่ฟังเสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นผสานสอดคล้องกับหัวใจของหนุ่มน้อยแวมไพร์ราวกับมันกำลังเชื่อมโยงกัน
   “เลโอรู้ว่าพี่อยากให้เลโอออกไปจากชีวิตของพี่”
   “นายก็รู้ดีนี่ ฉันคิดจะกำจัดนายมาตลอดนั่นแหละ”
   เสียงทุ้มพูดบอกอย่างยืนยืน เพื่อเป็นการเตือนสติตัวเองอีกครั้ง
   ใบหน้าหวานดูเศร้าสร้อยและหม่นหมองลงจนคนที่ได้มองเห็นรู้สึกใจหาย บรรยากาศโดยรอบที่เย็นสบายกลับเย็นยะเยือกขึ้นกว่าเก่า และเงียบสงบดั่งเหมือนไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต
   ดวงตาสีทองสั่นระริกพร้อมกับน้ำตาที่เอ่อคลอขึ้นมา จากนั้นเสียงใสก็เอ่ยถ้อยคำเพียงแผ่วเบาราวกระซิบ แต่กลับติดแน่นฝังลึกลงในหัวใจที่แสนเย็นชาของใครบางคนได้เป็นอย่างดี
   “เลโอรักพี่ลายสิงห์”
   ร่างสูงยืนตัวแข็งนิ่งค้างจากคำสารภาพรักที่ได้ยิน ควรจะดีใจไม่ใช่เหรอที่ได้รับฟังความรู้สึกดีๆ เช่นนี้ แต่ทำไมหัวใจกลับว้าวุ่น สับสน ก่อนจะหัวเราะเบาๆ ราวกับเย้ยหยันโชคชะตาที่แสนจะประหลาดของตัวเอง
   “เหอะ รักงั้นเหรอ รักได้ยังไง นายรู้จักเหรอว่าความรักเป็นยังไง รักฉัน แต่ฉันเป็นคน นายเป็นแวมไพร์ แล้วเราจะอยู่ด้วยกันได้ยังไง อยู่โดยการกินเลือดของฉันเป็นอาหาร และวันหนึ่งฉันก็ต้องตาย ส่วนนายไม่มีวันตาย !”
   ลายสิงห์โพล่งพูดความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในใจออกไป เสียงหัวใจยังคงเต้นแรงระรัวไม่ยอมหยุด ทั้งๆ ที่เลือกที่จะพูดความจริงออกไปจนหมดสิ้นแล้ว แต่ดวงใจกลับรู้สึกหนักอึ้ง เหมือนมีบางอย่างมากดทับเอาไว้จนรู้สึกเจ็บจุก
   ทรมาน และปวดร้าวเหลือเกิน
   ดวงตาคู่คมมองหนุ่มน้อยหน้าหวานที่ยืนก้มหน้านิ่ง ตัวบางๆ สั่นสะท้านน้อยๆ มือสองข้างตกอยู่ข้างลำตัวราวกับไร้เรี่ยวแรง ไม่มีวี่แววของแวมไพร์ผู้แข็งแรงและเป็นอมตะหลงเหลือสักนิด
   ภาพที่เห็นตรงหน้า ดูราวกับหนุ่มน้อยเป็นเพียงร่างที่ไร้วิญญาณเพราะหัวใจสลายไปแล้ว !
   ร่างสูงหลับตาลงชั่วขณะหนึ่งอย่างข่มใจอดกลั้น ความรู้สึกอึดอัดยังคงไม่ผ่อนคลายลงเลยสักนิด อดคิดไม่ได้ว่าตัวเองใช้คำพูดที่รุนแรงเกินไปหรือเปล่า เป็นห่วงว่าเลโอซิสอาจจะเสียใจ
แต่จะทำยังไงได้ดีไปกว่านี้ ในเมื่อทุกสิ่งที่พูดออกไปเป็นความจริงทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าอยากจะอยู่ด้วยกัน มีความสุขที่ได้อยู่ใกล้ชิด พึงพอใจเวลาได้เห็นหน้า แล้วยังไงล่ะ ในเมื่อการดำรงชีวิตระหว่างมนุษย์กับแวมไพร์เป็นเรื่องยากเกินไปกว่าที่จะคาดคิดได้
แม้จะเป็นห่วง แม้จะอยากดูแล แม้จะอยากปกป้องอย่างเฉกเช่นคนที่รู้สึกดีต่อกันพึงกระทำ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ตัวเขานั้นอ่อนแอกว่าหนุ่มน้อยไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเท่าเสียอีก
ชายหนุ่มระบายลมหายใจเบาๆ ก้มลงมองใบหน้าน่ารักอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจหมุนตัวหันเดินกลับเข้าไปในโรงแรม
“เลโอรักพี่”
ลายสิงห์ชะงักฝีเท้าค้างไว้เพียงครู่ ก่อนจะก้าวเดินต่อไปอีกครั้งด้วยท่าทางมั่นคงและสง่าผ่าเผย โดยเลือกที่จะทิ้งหนุ่มน้อยแวมไพร์ไว้ทางด้านหลังราวกับคนไร้หัวใจและแสนเย็นชา
แต่เปล่าเลย เขามีหัวใจ และที่สำคัญ หัวใจของเขามีหนุ่มน้อยที่เป็นแวมไพร์เข้ามาจับจองเป็นเจ้าของไว้เรียบร้อยแล้ว
รัก .. ทั้งๆ ที่ไม่อาจสมหวัง
รัก .. ทั้งๆ ที่ไม่อาจครอบครอง
รัก .. ทั้งๆ ที่ไม่อยากจะรัก
แต่รักไปแล้ว และตอนนี้ก็จำต้องตัดใจ .. ทั้งๆ ที่ทรมานเหลือเกิน


ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด