- END - Love on the rocks รินรักลงแก้ว Epilogue (6/12/2020)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: - END - Love on the rocks รินรักลงแก้ว Epilogue (6/12/2020)  (อ่าน 3999 ครั้ง)

ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura

“แกจะวางมือ?” ชายหนุ่มใบหน้าคมคายผิวสีแทนที่นั่งเก้าอี้ขณะกำลังอ่านเอกสารอยู่ในมือถึงกับเงยหน้าขึ้นจ้องนักฆ่าใต้อาณัติของตน

“ได้ยินไม่ผิดหรอก ตามนั้นแหละ” ชายผมแดงในชุดสูทเนื้อดีนั่งเอนหลังพิงโซฟาคุยกับอีกฝ่ายเหมือนเพื่อนซี้เก่าแก่มากกว่าจะเป็นเจ้านายกับลูกน้อง

“ถ้าแกเบื่ออยากจะลาพักร้อนฉันก็ไม่ว่าอะไร แต่มุกนี้ไม่ขำว่ะ” นายเหนือหัวเอานิ้วมือเคาะโต๊ะที่มักจะทำประจำเวลาที่กำลังไม่สบอารมณ์

“ไม่ได้เล่นมุก ผมพูดจริง” ชายผู้เป็นลูกน้องลุกขึ้นแล้วยืนประจันหน้ากับคนที่ยังนั่งเคาะโต๊ะอยู่

“...ถ้าแกวางมือจากงานนี้แล้วแกจะไปทำอะไร อเวเค่น?” เอ่ยนามของนักฆ่าและถามถึงแผนการต่อจากนี้หากคิดที่จะไปจริงๆ

“ไม่รู้สิ ลอยชายไปจนกว่าเงินเก็บจะหมดนั่นล่ะมั้ง?” อเวเค่นยักไหล่พลางตอบอย่างไม่จริงจัง

“แกคงไม่ได้ลืมกฎสินะว่าถ้าคิดจะออกไปจากวงการนี้มีแต่ต้องตายหรือไม่ก็หายสาบสูญไปเท่านั้น” เจ้านายหนุ่มหยุดเคาะโต๊ะแล้วเอามือประสานกันไว้บนหน้าตักพลางเอนหลังไปกับเก้าอี้ตัวใหญ่

“จำจนขึ้นใจลึกถึงกระดูกดำเลยล่ะไอ้กฎคร่ำครึนั่นน่ะ” นักฆ่าหนุ่มถอนหายใจเหนื่อยหน่ายกับกฎเกณฑ์ที่ถูกบัญญัติในสังคมมืดแห่งนี้

“แต่กับแก ฉันจะยกเว้นให้เป็นกรณีพิเศษ”

ดวงตาสีทองของนักฆ่าหนุ่มถึงกับเป็นประกายไปชั่วพริบตาหนึ่งก่อนจะหรี่แสงลง“เพียงแต่มีข้อแลกเปลี่ยนนิดหน่อย”

“ว่า?” อเวเค่นกะแล้วว่าต้องมีเงื่อนไข ก็เจ้านายของเขาคนนี้ไม่เคยให้อะไรใครฟรีๆ อยู่แล้ว

“แกรู้จักเกาะเซฟิลรึเปล่า?” หยั่งเชิงคำถามเผื่อว่าลูกน้องที่อยู่ตรงหน้าจะพอได้ยินข่าวคราวมาบ้าง

“ที่ไหนล่ะนั่น?” นักฆ่าหนุ่มถึงกับไปไม่เป็นกับสิ่งที่เพิ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรก “มันเป็นเกาะส่วนตัวที่มีไว้จัดงานประชุมลับๆ หรือเกาะร้างที่มีสมบัติโบราณซุกซ่อนอยู่งั้นเหรอ?”

“แสดงว่าไม่รู้จักสินะ งั้นเอาเป็นว่าแกช่วยไปที่นั่นให้หน่อยก็แล้วกัน” ผู้เป็นเจ้านายเข้าประเด็นโดยไม่อ้อมค้อม ทั้งที่ลูกน้องยังทำหน้างงเป็นไก่ตาแตกอยู่เลย

“จะให้ผมไปในที่ที่ไม่รู้จักนี่มันน่าสงสัยอยู่นะ” ถึงจะเคยชินกับการที่บอสมักชอบสั่งงานไม่เคลียร์มาให้อยู่เรื่อย แต่กับเรื่องนี้ยังไงก็คงต้องขอคำอธิบายเพิ่มเติมหน่อยล่ะ

“เกาะเซฟิลเป็นเกาะแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่กลางทะเลโดดเดี่ยวและคนทั่วโลกเพิ่งได้รู้จักในช่วงไม่กี่ปีมานี้” เจ้านายหนุ่มเริ่มเล่าที่มาที่ไป “มันไม่ใช่เกาะล้าสมัยที่อารยธรรมเข้าไปไม่ถึง ตรงกันข้ามที่นั่นกลับมีวิทยาการที่ล้ำสมัยและยังผสมผสานเข้ากับภูมิปัญญาเก่าแก่อย่างเวทมนต์ได้อย่างลงตัว"

เอาแล้วไง...เริ่มโม้อีกละ 

อเวเค่น ซันไรส์ เป็นนักฆ่าระดับกลางๆ ของผู้มีอิทธิพลมืดในประเทศมหาอำนาจ เดิมทีแล้วเขาก็ไม่ได้มีความรู้เรื่องรอบตัวมากไปกว่าวิธีสังหารเป้าหมายหรอก ก็เลยไม่ได้สนใจว่าเกาะนั่นมันอยู่ที่ไหนของแผนที่โลก แล้วชายหนุ่มนักฆ่าก็ไม่ได้อยากรู้สักเท่าไหร่ แต่ถ้าไม่ฟังไว้บ้างเดี๋ยวจะเอาตัวไม่รอดก่อนจบงานเอาได้ ไม่รู้ด้วยว่าสถานที่ดังกล่าวเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนรึเปล่า

"เกาะเซฟิลนั้นว่ากันว่ามีผู้คนจากหลากหลายดินแดนมาอาศัยอยู่ร่วมกันจนเต็มไปด้วยผู้มีพลังพิเศษ ผู้คนที่ล้วนแตกต่างอย่างสิ้นเชิงแต่กลับสามารถอยู่ร่วมกันได้โดยแทบจะไม่เกิดความขัดแย้ง เพราะมีเจ้าเมืองที่เป็นผู้มีพลังเวทมนตร์สูงสุดบนเกาะคอยปกป้องคุ้มครองชาวเมืองและยังมีพรรคพวกสุดแกร่งมากมายคอยช่วยเหลือทุกครั้งที่มีอันตรายเกิดขึ้นกับเมืองแห่งนี้ให้รอดพ้นจากภัยพิบัติไปได้"

ฟังมาถึงแค่ตรงนี้ นักฆ่าผมแดงก็ไม่อยากเชื่อแล้วว่านี่มันเรื่องจริงหรือเรื่องแต่ง แต่ก็คงต้องทนฟังเจ้านายพล่ามต่อไปเพื่อประดับความรู้ คิดซะว่าไอ้เรื่องพรรค์นี้เป็นพล็อตนิยายแฟนตาซีที่หลอกขายฝันเด็กก็แล้วกัน

อเวเค่นยกกาแฟขึ้นดื่มแล้วฟังแบบเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา บอสหนุ่มอธิบายยาวไปร่วมสิบห้านาทีแต่ก็ยังไม่ยอมเข้าประเด็น ซึ่งอเวเค่นก็ทำหน้าขี้เกียจฟังไปตั้งแต่สองนาทีแรกแล้ว

"ในทุกๆ ปี เกาะแห่งนี้จะจัดงานแข่งขันเป็นเหมือนงานกีฬาประจำปี เกมการต่อสู้หลากหลายรูปแบบเป็นอีเวนท์สุดเร้าใจที่ใครๆ ต่างก็จับตามอง แถมผู้เข้าร่วมการแข่งแต่ละคนก็ล้วนไม่ธรรมดา...” บอสหนุ่มพยายามสรุปให้สั้นๆ แต่ก็ยังไม่หยุดคุยฟุ้ง จนอเวเค่นเริ่มหาวนิดๆ “แล้วทีนี้แกรู้มั้ยว่าในเกมกีฬานั้นทีมไหนจะชนะ?”

“ทีมที่มีผู้เล่นเก่งๆ?” นักฆ่าหนุ่มเดาเอา

“นั่นก็มีส่วนถูก แต่ยังไม่ใช่” เจ้านายส่ายหน้าและคลี่ยิ้มเล็กน้อย

“พวกที่มีความพร้อมและเตรียมแผนการมาอย่างดี?” อเวเค่นยังคงเดาต่อ

“เฉียดไปนิด ฉันให้โอกาสทายแกอีกครั้งหนึ่ง” ดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมยิ่งกว่านักฆ่าผมแดงจ้องมองรอดูว่าลูกน้องจะให้คำตอบแบบไหนออกมา

“...อ้อ” อเวเค่นลากเสียงยาวกว่าจะเข้าใจถึงสิ่งที่แฝงอยู่ในคำถามลวง “หลงคิดโง่ๆ อยู่ตั้งนาน”

“เหมือนจะรู้แล้วสินะ” บอสทำหน้าเสียดายนิดๆ คิดว่าจะได้เห็นคำตอบน่าสนใจอีกเรื่อยๆ แต่เพราะอเวเค่นหัวไวกับเรื่องแบบนี้นี่แหละเขาถึงไม่ต้องเสียเวลาแจกแจงรายละเอียดงานในหลายๆ ครั้ง

“อย่างที่แกคิดนั่นล่ะ ไม่ใช่พวกผู้เล่นหรอกนะที่จะมีสิทธิ์กำหนดชะตาในการตัดสินแพ้ชนะของเกม” ต่อให้ผู้เล่นแต่ละฝ่ายสู้กันจนเลือดตาแทบกระเด็น แต่ในหลายร้อยหลายพันครั้งที่ผลการแข่งกลับไม่เป็นไปอย่างยุติธรรมดังที่ควรจะเป็น

นั่นก็เพราะ...

“คนที่เล่นพนันต่างหากที่มีสิทธิ์เลือกผู้ชนะ” บอสหนุ่มเอ่ยถ้อยคำที่เป็นดั่งคำประกาศและความจริงเพียงหนึ่งเดียวในทุกเกมกีฬา

“แล้วคุณเดิมพันฝั่งไหนเอาไว้ล่ะ?”

“ฉันพนันว่าฝั่งเซฟิลจะชนะ” กล่าวถึงทีมที่เลือกและชี้ไปยังเอกสารประกาศที่อยู่บนโต๊ะของตนเพื่ออธิบายต่อ “และแกจะต้องไปเข้าร่วมกับฝั่งผู้ท้าชิง แกล้งทำเป็นว่าแพ้ในเกมนี้ซะ ว่ากันตรงๆ ก็คือให้นายไปล้มมวยนั่นแหละ”

“ยังชอบเล่นตุกติกเหมือนเคยนะบอส”

“ชัยชนะที่ขาวสะอาดมันไม่มีอยู่ในโลกนี้หรอกนะ”

“งั้นทำไมไม่ให้ผมเข้ากับฝั่งเซฟิลซะเลยล่ะ แบบนั้นยังจะดีกว่ามั้ย? ไหนๆ คุณก็แทงข้างนี้อยู่แล้วนี่”

“ฉันอยากเห็นแกแพ้หมดท่า มีอะไรมั้ย?”

“...ไอ้นิสัยเสียอย่างการชอบแกล้งลูกน้องของคุณนี่แก้ไม่เคยหายเลยน้า” อเวเค่นถอนหายใจกับความเอาแต่ใจของบอส

“หึๆๆ แต่แกก็ไม่เคยทรยศฉันสักครั้งนี่”

“แล้วรางวัลหลังเสร็จงานของผมล่ะ? ให้แค่สิบยี่สิบล้านจากส่วนแบ่งที่คุณจะได้ ผมว่างานนี้ไม่คุ้มเท่าไหร่มั้ง...ถ้าจะให้ผมไปแกล้งแพ้ให้ขายขี้หน้าต่อหน้าคนตั้งเยอะด้วย” นักฆ่าหนุ่มคำนวณคร่าวๆ การพนันแต่ละครั้งของเจ้านายตนไม่เคยต่ำกว่าพันล้าน แถมยังโชคดีที่ไม่เคยแพ้พนันเลยสักครั้ง

คราวนี้ก็คงฟันกำไรจนซื้ออาวุธสงครามได้อีกเป็นกองทัพ

“อิสรภาพ”

“....”

“ประวัติอาชญากรในโลกเบื้องหลังของแกจะถูกลบทิ้งทั้งหมด เท่านี้แกก็จะได้ไปเริ่มต้นใช้ชีวิตอย่างขาวสะอาดในโลกเบื้องหน้าอย่างที่แกต้องการ”

ชายหนุ่มผิวสีแทนยื่นข้อเสนอที่นักฆ่าหนุ่มไม่มีวันปฏิเสธ เพราะนั่นคือสิ่งที่อีกฝ่ายปรารถนามาทั้งชีวิต

“...จัดให้ซะขนาดนี้ คงไม่ใช่การแข่งทั่วไปแน่ๆ สินะ” อเวเค่นถึงกับเผลอซับเหงื่อที่ไหลออกมาโดยไม่ตั้งใจ

“แน่นอน เพราะว่านี่ไม่ใช่การแข่งของคนธรรมดา แต่ถึงอย่างนั้นผู้เข้าแข่งทุกคนก็มีสิทธิ์ตายในระหว่างการแข่งขันได้ตลอดเวลาเกินกว่า 40%” บอสหนุ่มให้ความกระจ่างแก่ลูกน้องที่ทำหน้าซีดนิดๆ อย่างไม่ปิดบัง

“อา...กะแล้วเชียว คิดอยู่แล้วว่าคุณน่ะไม่ได้ใจดีขนาดจะปล่อยผมไปง่ายๆ ก็ผมทำงานมาให้คุณตั้งไม่รู้เท่าไหร่ ขืนผมหลุดออกไปได้เกิดพลาดท่าโดนจับขึ้นมาคงโดนสอบสวนสืบสาวถึงตัวคุณก็ซวยแหง”

"เฮ้ยๆๆ ฉันก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้น ต่อให้แกตายระหว่างแข่งก็อาจจะโชคดีฟื้นขึ้นมาก็ได้"

"หมายความว่าไง?"

"บอกไปแล้วนี่ว่าเจ้าเมืองและคนพวกนั้นเป็นผู้มีพลังพิเศษ ขืนจัดการแข่งขันที่มีคนตายอนาถทุกปีแล้วใครมันจะถ่อไปเที่ยวเกาะกันเล่า มันก็มีวิธีเซฟผู้เข้าแข่งขันไม่ให้เอาชีวิตไปทิ้งง่ายๆ อยู่แล้ว"

"ฟังดูเหลือเชื่อเกินไปหน่อยนะ..." 

“แล้วตกลงแกจะรับงานนี้มั้ยล่ะ? อาจเป็นโอกาสครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิตที่ฉันจะให้แกเลือกแล้วนะ” ว่าพลางยื่นเอกสารที่อยู่ในซองสีน้ำตาลหนาปึ้กให้คนตรงหน้าเอาไปอ่านเพิ่มเติมเอง

“หึ คุณพูดอย่างกับไม่รู้จักผมดี ผมมันคนประเภทไม่เคยปฏิเสธแม้แต่งานเดียว” มือที่จับอาวุธมานับไม่ถ้วนยื่นออกไปรับมาแต่โดยดี

“ขอให้โชคดีล่ะ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดฉันจะให้คนจัดการให้ แกไปเตรียมตัวให้พร้อมเถอะ” ส่งลูกน้องด้วยคำพูดที่เอ่ยเป็นประจำยามส่งนักฆ่าหนุ่มไปทำหน้าที่

“งั้นนี่ก็เป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่จะได้คุยกับคุณแล้วสินะ?” อเวเค่นมองหน้าเจ้านาย บรรยากาศเป็นกันเองเมื่อครู่จู่ๆ ก็ถูกแทนที่ด้วยความเงียบกะทันหัน

“...อย่าได้คิดกลับมาเหยียบที่นี่อีกล่ะ ถ้าฉันหรือใครก็ตามเห็นหน้าแกในย่านนี้อีก ถึงตอนนั้นฉันไม่ปล่อยแกไว้แน่”

“ครับผม งั้นก็...ขอบคุณและลาก่อนครับ บอส” อเวเค่นโค้งคำนับแล้วหันหลังเดินไปเปิดประตูและปิดลงอย่างเบามือ

“ลาก่อนอเวเค่น”

...ลาตลอดกาล







ทว่า...เหตุการณ์กลับไม่เป็นไปอย่างที่คิด 

เมื่อเดินทางมาถึงเกาะแห่งความมหัศจรรย์ดังเทพนิยาย ชายหนุ่มนักฆ่าก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศหนักอึ้งผิดกับที่จินตนาการไว้ลิบลับ หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงต่อมาก็มีคำประกาศจากเจ้าเมืองถึงสถานการณ์วิกฤตที่เกิดขึ้นบนเกาะเซฟิลไปทั่วทุกสารทิศว่าเจ้านรกได้บุกมาชิงวิญญาณของผู้คนบนเกาะเซฟิลและได้บังคับจัดการแข่งขันโดยมีดวงวิญญาณของทุกคนบนเกาะเป็นเดิมพัน อีกทั้งยังมีเงื่อนไขว่าจะต้องหาตัวแทนผู้เข้าร่วมการแข่งนี้มาให้ทันในเวลาที่กำหนด

ถึงแม้ว่าทางเจ้านรกจะยอมเสียเปรียบไม่ใช้กองทัพในสังกัดนรกภูมิของตนนอกเหนือจากผู้คนในดินแดนอื่นมาลงแข่ง ทว่า...อย่างไรเสียก็ยากที่จะเชื่อว่าการแข่งขันนี้จะเป็นไปอย่างขาวสะอาดยุติธรรม ไม่อย่างนั้นคงไม่มัดมือชกให้เจ้าเมืองจัดการแข่งขันโดยมีตัวประกันเป็นชีวิตของคนทั้งเกาะแบบนี้

แต่ถึงกระนั้นก็เกิดความสงสัยไปทั่วว่าเหตุใดเจ้านรกถึงได้โผล่มาบังคับจัดการแข่งขันแบบนี้ ไม่มีใครรู้สาเหตุที่แท้จริงแม้แต่ตัวเจ้าเมืองเองก็ไม่ทราบถึงการกระทำอันไร้เหตุผลนี้ แต่ก็จำต้องยอมตอบตกลงและทำสัญญาลงนามร่วมกับเจ้านรกเป็นผู้จัดการแข่ง ชาวเมืองก็เลยได้รับวิญญาณกลับคืนมาชั่วคราว แต่ก็ไม่สามารถหลบหนีออกไปจากเกาะได้จนกว่าจะจบการแข่งขัน สถานที่ต่างๆ บนเกาะเองก็กำลังถูกจัดเตรียมให้เป็นสนามแข่ง

ผู้ประสบภัยส่วนใหญ่จึงต้องหลบไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัย เหลือแค่ผู้คนเพียงหยิบมือที่ยังเดินไปมาในเมืองอันเงียบสงัดไร้สีสันและขาดความมีชีวิตชีวาไม่สมกับชื่อเกาะแห่งความบันเทิงและสนุกสนานดังที่ได้ยินมา

เมื่อเดินสำรวจในเมืองจนเป็นที่พอใจแล้ว อเวเค่นก็นั่งเรือที่ขโมยมาไปยังปราสาทของเจ้านรกที่โผล่ขึ้นมาตั้งอยู่กลางอ่าว ที่จริงก็ไม่ได้อยากจะทำตัวเป็นโจรปล้นชาวบ้านกินในเวลาแบบนี้หรอก แต่พอลองจ้างคนแถวนั้นก็ไม่มีใครยอมขับเรือพาไปส่งที่ฐานบัญชาการของเจ้านรกนั่นน่ะสิ แล้วจะให้เขาทำยังไง?

พอเข้ามาถึงภายในปราสาทก็นึกอยากจะถอยหลังกลับลงเรือเสียให้รู้แล้วรู้รอด เหล่าตัวแทนผู้เข้าร่วมแข่งขันที่มาสมัครพรรคพวกกับเจ้านรกล้วนมีแต่พวกไม่ธรรมดาทั้งสิ้น อเวเค่นเริ่มรู้สึกว่าตนนั้นโคตรจะอยู่ผิดที่ผิดทาง

แต่ก็อย่างที่รู้ๆ กันอยู่...คนดีๆ ที่ไหนจะมาเข้าพวกกับฝั่งเจ้านรก ถ้าไม่ใช่พวกที่กระหายการต่อสู้โดยไม่เลือกเวทีก็ต้องเป็นคนที่อยากเห็นเกาะแห่งนี้ลุกเป็นไฟ บ้างก็เป็นปิศาจเผ่าพันธุ์อื่นที่ต้องการวิญญาณผู้มีพลังแก่กล้าของคนบนเกาะเป็นรางวัลส่วนแบ่งจากเจ้านรก หรือไม่ก็เป็นวิญญาณร้ายซึ่งมีความแค้นกับคนที่นั่นเมื่อครั้งอดีต เหล่าผู้เข้าร่วมต่างก็มีเหตุผลของตนทั้งที่ฟังขึ้นและไร้เหตุผลปนๆ กันไป กว่าครึ่งหนึ่งของผู้สมัครตัวแทนเจ้านรกจึงล้วนแล้วแต่ไม่ใช่มนุษย์ แม้แต่เทพแห่งความตายก็ยังโดดมาเข้าร่วมด้วยเพราะกฎเกณฑ์แห่งผู้วายชนม์ถูกบิดเบือน

ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะได้พบเจออะไรแฟนตาซีเหนือคำบรรยายแบบนี้ในภารกิจสุดท้ายของชีวิต

นักฆ่าที่เป็นแค่คนธรรมดาอย่างอเวเค่นรู้สึกราวกับหลงมาอยู่ในหนังผิดเรื่อง ต่อให้เป็นจอห์น วิค ก็เถอะ...ถ้ามาเจออะไรแบบนี้ก็อาจจะไปไม่เป็นแบบเขาก็ได้ บางคนซึ่งภายนอกว่าอันตรายแล้ว ลองมาดูพวกที่รูปร่างเหมือนมนุษย์มากจนแยกแทบไม่ออก แต่บรรยากาศรอบๆ ตัวกลับอันตรายยิ่งกว่าคนธรรมดาเสียอีก นี่แหละสาเหตุที่เขาไม่แม้แต่จะเฉียดเข้าไปใกล้ใครเลย

ทว่า..เมื่อก้าวเท้ามาเหยียบที่นี่แล้วถ้าเกิดหันหลังกลับคงถูกเชือดทิ้งตั้งแต่ยังไม่ทันก้าวออกจากปราสาท และการอยู่ตัวคนเดียวท่ามกลางพวกที่เหนือมนุษย์เหล่านี้คงไม่เวิร์คนัก อย่างน้อยๆ ก็คงต้องลองเสี่ยงวัดดวงสุ่มหาพวกพ้องสักคนที่พอจะคุยภาษาเดียวกันได้ เท่าที่เห็น...ก็พอจะมีมนุษย์คนอื่นนอกจากเขาที่มาเข้าพวกกับฝั่งนี้อยู่บ้าง

หลังจากประเมินด้วยสายตาอยู่เกือบสองวัน อเวเค่นก็ได้เป้าหมายที่จะไปตีซี้เพื่อความอยู่รอดจนกว่าจะเริ่มเกมการแข่งขัน นั่นก็คือ ชเนย์ เจอร์น็อท คนที่ดูจะเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุดในปราสาทเจ้านรกนี้แล้ว

แต่…ใครจะไปคิดล่ะว่าตัวเขาเองจะเผลอไปตกหลุมรักผู้ชายคนนั้นซะได้...





นักฆ่าหนุ่มเจ้าของดวงตาสีทองลืมตาตื่นขึ้นนานแล้ว แต่ยังคงนอนนิ่งอยู่บนที่นอน เขาคิดทบทวนเหตุการณ์ก่อนหน้าที่ตัวเองจะมาอยู่ที่ปราสาทแห่งนี้ และเป็นความลับที่เขาจะแพร่งพรายให้ใครก็ตามที่อยู่ที่นี่รู้ไม่ได้เด็ดขาดจนกว่าจะจบเกมการแข่งขัน แต่ถึงจะปิดไปก็เท่านั้นเพราะว่าทั้งไคม์ทั้งเจ้านรกมองออกหมดแต่แรกแล้วว่าเขามีแผนจะทำอะไร แต่อีกฝ่ายก็ไม่ขัดขวางราวกับว่าจะเป็นยังไงก็ช่าง เพราะแค่มนุษย์ธรรมดาคนเดียวคงไม่มีทางทำให้อะไรๆ สั่นคลอนได้หรอก

ร่างที่นอนอยู่บนเตียงนอนไม่สบายตัวนักเพราะร่างกายที่โดนล่วงเกินยังไม่หายเจ็บดี ทำได้แค่พาตัวเองลุกไปกินยาและนอนอยู่นิ่งๆ จนกว่าอาการจะทุเลาลง

หากว่าเขาไม่ถูกบอสสั่งให้มาที่นี่ก็คงจะไม่ต้องมาเจออะไรแบบนี้...

ถึงกระนั้นถ้าดูจากนิสัยของบอสแล้ว การที่ไม่ส่งนักฆ่าในสังกัดคนอื่นมาเก็บเขาแต่ให้มาดิ้นรนเอาชีวิตรอดเอาเองนี่...จะเรียกว่ายังมีน้ำใจต่อลูกน้องดีมั้ยนะ

ควรจะขอบคุณบอสสักหน่อยมั้ยนะ? คิดอีกทีคงไม่ล่ะ...ก็โดนสั่งว่าไม่ให้กลับไปอีกแล้วนี่

มีแต่ต้องไปข้างหน้าต่อเท่านั้น ต่อให้ต้องคลานไปเขาก็สาบานแล้วว่าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ในฐานะคนธรรมดาให้ได้




ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura
Re: Love on the rocks รินรักลงแก้ว Epilogue (6/12/2020)
«ตอบ #31 เมื่อ06-01-2021 14:33:32 »

Epilogue


เวลาเดินเร็วราวกับจะเร่งให้เช้าแสนสำคัญรีบมาถึงโดยไว

แต่กระนั้น...ทั้งตัวปราสาท โถงรวมผล หรือแม้แต่ผืนน้ำด้านนอกไปจนกระทั่งเมืองเซฟิลที่จะเป็นสนามรบก็เงียบสงัดเหมือนท้องทะเลก่อนพายุโหม

เจ้านรกนั่งอยู่กับไคม์เพียงสองคนที่ห้องอาหาร เหล่าปีศาจในบัญชาของเขาได้ปรี่ไปเตรียมตัวก่อนตั้งแต่ก่อนรุ่งสาง แม้จะไร้เงาของสมาชิกคนอื่น แต่อาหารบนโต๊ะกลับมากมายกว่าวันไหนๆ ที่ผ่านมา

ซาชิมิจากวัตถุดิบชั้นเลิศที่คนทั่วไปไม่มีทางจะได้ลิ้มรส ปูจักรพรรดิที่แค่นึ่งก็เพียงพอต่อการเป็นอาหารชั้นหนึ่ง สลัดไข่โรยด้วยคาเวียร์ และอีกหลายเมนูที่ดูราวจะจงใจเรียงรายมาเหมือนจะมอบแด่ราชาในวันประกาศชัยชนะ ทว่ากลับไม่มีสิ่งใดดึงดูดใจท่านเจ้าได้เท่ากับแจกันใสทรงสูงที่มีดอกเบญจมาศสีขาวปักอยู่อย่างเดียวดาย

“ความภักดีครับ…” ไคม์พูดทำลายความเงียบหลังจากกลืนอาหารลงคอไป “ความหมายของมันน่ะ…”

สายตาของเจ้านรกฉายแวววูบไหวบางอย่างซึ่งก็อยู่ในการสังเกตของไคม์ ร่างสูงใหญ่ละสายตาออกจากดอกไม้ที่กลางโต๊ะอาหารเพื่อจัดการทานให้อิ่มท้องก่อนที่จะเริ่มต้นเทศกาลนองเลือดในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า

“ให้ปรับเปลี่ยนกฎอะไรเป็นพิเศษมั้ยครับ?”

“ไม่ต้อง” ท่านเจ้าพูดเสียงหนักแน่นเหมือนที่ผ่านๆ มา “เจ้านั่นก็แค่หมากเบี้ยตัวหนึ่ง”

“แต่เป็นหมากเบี้ยที่จะไม่มีวันทรยศท่านอย่างแน่นอนนะครับ” คำพูดของไคม์ไปสะกิดความแคลงใจบางอย่างในหัวท่านเจ้านรก ทว่าไม่มีอาการของความสงสัยแสดงออกมาราวกับเป็นเรื่องปกติที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ทั้งนั้น

กลับกัน...เขายิ้มออกมาอย่างไม่ทุกข์ร้อน

“ถ้าให้สิทธิ์มากกว่าคนอื่นไปมันจะสนุกอะไรล่ะ ว่ามั้ย?”




“จะลงแข่งอยู่แล้วยังไม่ยอมมาทานอะไรอีก...”

ชเนย์ลอบถอนหายใจเพียงลำพังในครัวหลังจากปิศาจรับใช้มาเข็นอาหารเช้าออกไป ช่วงวันสองวันมานี้อเวเค่นขังตัวเองอยู่แต่ในห้องไม่ยอมออกมาคุยด้วย ทีแรกก็คิดว่าจะปล่อยไปสักพักจนกว่านักฆ่าคนนั้นจะอารมณ์ดีขึ้นเอง แต่...ทั้งๆ ที่คิดว่าไม่น่ามีอะไรน่าเป็นห่วงก็กลับมีเรื่องให้กังวลจนนั่งไม่ติด เพราะวันนี้เป็นวันเปิดศึก ทว่านักฆ่าคนนั้นแม้แต่จะโผล่หน้าออกมาทานอาหารก็ไม่โผล่มาให้เห็นแม้แต่เงา

ใจคอจะอดข้าวประชดกันหรือไง...

เมื่อความอดทนมาถึงขีดสุด ชเนย์ยกเอาถาดอาหารเดินบุกเข้าไปยังห้องพักของอเวเค่น พร้อมอาวุธลับคือกุญแจห้องที่ไปขอมาจากพ่อบ้านปิศาจ

พ่อครัวหนุ่มไขกุญแจเข้ามาและลอบมองคนที่นอนพลิกตัวหันข้างไปอีกทาง ดูท่าจะหลับลึกพอสมควรถึงไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่ามีคนลอบเข้ามาในห้องนอนแล้วถึงจะรู้สึกผิดนิดๆ ที่บุกมาโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ที่ทำก็เพราะกลัวเจ้าของห้องจะอดตายก่อนแข่งมากกว่า

ทว่าก่อนที่ชเนย์จะวางถาดอาหารลงบนโต๊ะ ดวงตาหลังกรอบแว่นสีเข้มก็บังเอิญสังเกตเห็นซองยาปริศนาที่วางอยู่ก่อน เมื่อลองอ่านฉลากถึงรู้ว่าเป็นยาแก้อักเสบและยานอนหลับ

“บ้าจริง...ป่วยแล้วทำไมถึงอุบเงียบไว้ล่ะ” ชเนย์สบถกับตัวเองเมื่อคิดถึงเหตุผลที่อเวเค่นไม่ยอมออกจากห้องมาเจอหน้าเขาเลยเป็นเพราะสาเหตุนี้เอง

"อเวเค่น ตื่นมากินอะไรก่อนเถอะครับ"ชเนย์นั่งลงข้างเตียงแล้วเอื้อมมือไปหาร่างที่นอนนิ่ง ทว่าเมื่อมือของเขาจับลงบนตัวอีกคน จู่ๆ ร่างที่นอนนิ่งก็ดึงแขนเขาไว้ก่อนที่มีดเล็บเหยี่ยวสีดำสนิทจะพุ่งตรงเข้าหาคอของเขา

"ชเนย์...? " โชคดีที่อเวเค่นหยุดมือก่อนที่มีดคมจะได้ทันเฉือนคอหอยคนที่มาปลุกเขา

"รุนแรงจังครับ ปกตินักฆ่าเขาระวังตัวแจขนาดนี้กันทุกคนเลยเหรอ? " ชเนย์ค้างนิ่งเพราะมีดที่กดไว้บนคอตนฝังคมลงกับเนื้อเล็กน้อย กลิ่นคาวเลือดทำให้รู้ว่าหยาดน้ำสีเข้มกำลังไหลรินจากคอเขาทีละนิด

"คุณเข้ามาได้ยังไงน่ะ? " อเวเค่นรีบชักมีดกลับและเก็บเข้าที่ซ่อนโดยไว

"ผมก็ขอกุญแจสำรองสิ คุณนั่นแหละ ป่วยแล้วทำไมไม่บอก" ร่างสูงโปร่งก้มลงหยิบเม็ดยาที่กระเป๋าข้างซ้ายตัวเองขึ้นมาสองสามเม็ดก่อนจะกลืนมันลงไป

"...ผมป่วยแล้วจะมีแรงลุกไปบอกคุณมั้ยล่ะ" นักฆ่าหนุ่มกำลังจ้องมองแผลที่ค่อยๆ สมานตัวกันอย่างน่าอัศจรรย์ "เอ๋ มีของดีอยู่ด้วยนี่นา! "

"หายดีหรือยังล่ะครับ? แล้วยาเนี่ย...อย่าเอามากินเองแบบนี้สิ! กระเพาะทะลุจะทำยังไงล่ะ!? " พ่อครัวกลายร่างเป็นคุณหมอทันตา ก่อนจะดุไปชุดหนึ่ง แถมยังทำท่าเหมือนกำลังจะโวยวายต่อด้วย

“...เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องบ่นเลย” อเวเค่นเอ่ยเสียงอ่อนและเบือนหน้าหลบสายตาของพ่อครัว “มาปลุกผมมีอะไรรึเปล่า หรือว่าการแข่งเริ่มแล้ว?”

“ยังครับ แต่ได้ยินว่าท่านเจ้าให้คนส่งจดหมายไปเชิญเจ้าเมืองเซฟิลมาตกลงกติกาการแข่งร่วมกัน เดี๋ยวทางนั้นก็คงจะมา”

ชเนย์เอาหลังมือแตะหลังหน้าผากอเวเค่น “ไม่มีไข้สินะครับ?”

“...อย่ามาใกล้ตัวผมนักสิ ทำแบบนี้เดี๋ยวผมก็ตัดใจจากคุณไม่ได้สักที”

นักฆ่าหนุ่มผละตัวออกมาจากมืออบอุ่น

“อา...ขอโทษครับ มันเผลอไปหน่อย” ชเนย์ที่เพิ่งจะรู้ตัวถอยตัวออกมา “ทานอะไรไหวมั้ยครับ? แต่ยังไงก็ต้องทานสักหน่อยก่อนแข่งล่ะนะ”

“ผมหายดีแล้วล่ะน่า” อเวเค่นลุกขึ้นบิดขี้เกียจก่อนจะไปล้างหน้าแล้วมานั่งทานอาหาร กระเพาะที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องมาหลายวันกลับทำงานได้ดีจนน่าแปลกใจ

หลังจากจัดการอาหารเช้าหมดไปเป็นที่เรียบร้อยก็หันไปเอ่ยแซวพ่อครัว “ช่วงที่ผมไม่ไปกวนใจ ได้สวีทกับท่านเจ้านรกหวานชื่นดีมั้ยล่ะหืม?”

ชเนย์ยิ้มบางๆ แล้วส่ายหน้าแทนคำตอบ"ผมไม่อยากไปรบกวนเขาตอนนี้หรอกครับ ส่วนทางนั้นจะมีก็แค่แวะมาหาอะไรเติมเวลากินอาหารไม่อิ่มเท่านั้นเอง"

"เหรอ..." อเวเค่นค่อยๆ ยัดอาหารสองสามจานตรงหน้าเข้าปาก ปริมาณเหมือนคาดการณ์ได้ว่าเขาต้องหิวแน่ๆ อย่างไรอย่างนั้น "แล้ว...คุณน่ะ ไม่เป็นไรแล้วเหรอ? "

"ครับ ไม่เป็นไรแล้วล่ะ" ร่างสูงโปร่งหันไปมองนอกหน้าต่างที่ทิวทัศน์หันไปยังเกาะเซฟิลพอดิบพอดี "ผมเองก็ตัดสินใจแล้ว...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมก็จะทำให้งานแข่งนี้สนุกสนานขึ้น"

"สนุกสนาน? " คนรอฟังถึงกับตวัดหน้าขึ้นมามองอย่างสงสัย "...นึกว่าจะพูดแบบ...ทำภารกิจให้ลุล่วงหรือยืนหยัดเคียงข้างไอ้คุณเจ้านรกอะไรแบบนั้น"

ชเนย์เลิกคิ้วขึ้นก่อนจะคลี่ยิ้มให้คนป่วยอย่างอ่อนโยน"คุณเองก็ไม่เห็นสินะ อืม...ไม่เป็นไรหรอก"

"อะไรล่ะนั่น มีอะไรที่ผมมองข้ามไปรึไง? "

"คุณเองก็ไม่เห็นความว่างเปล่าในสายตาของเค้าสินะ แต่ก็อย่างว่าแหละ... ผีมันมองเห็นผีด้วยกัน"

พ่อครัวเท้าคางลงกับโต๊ะแล้วเล่นผักประดับที่โดนอเวเค่นเขี่ยออกมานอกจาน

“ผมจะเอาตาไหนไปมองเจ้านรกนั่นได้กันล่ะ” ...แค่นี้ก็ไม่มีเวลาไปมองคนอื่นแล้ว...ประโยคหลังอเวเค่นไม่ได้กล่าวออกไป

“คุณนี่น้า...จวนเจียนจะแข่งอยู่แล้วก็ยังดื้อแพ่งกับท่านเจ้าเค้าไม่เปลี่ยนเลยนะครับ” ชเนย์ยิ้มอ่อนพลางส่ายหน้า “ทานให้อิ่มนะครับ มื้อนี้ผมทำสุดฝีมือเลย”

“เพราะอาจเป็นมื้อสุดท้ายก็ได้นี่นะ” นักฆ่าหนุ่มตักชิ้นเนื้อคำสุดท้ายเข้าปากและจบประโยคที่ฟังดูไม่น่าอภิรมย์เท่าไหร่นัก

“คุณเคยสัญญากับผมไว้ หวังว่าคงไม่แกล้งลืมหรอกนะ” พ่อครัวหนุ่มท้วงกันคนตรงหน้าเบี้ยวสัญญาก่อนหน้านี้

“อะไรๆ ก็ไม่แน่นอน แต่ถ้ารอดมาได้ ไว้มาดื่มฉลองกันอีกนะ” อเวเค่นยกแก้วน้ำขึ้นแล้วเอาไปชนกับเหยือกน้ำเหมือนกับเวลาชนแก้ว

“ฮะๆ ๆ อีกแล้วเหรอ แต่เอางั้นก็ได้ครับ” ชเนย์กอดอกแล้วหัวเราะเบาๆ ก่อนจะรวบจานทั้งหมดเก็บเข้าที่ "อีกไม่กี่ชั่วโมงท่านเจ้านรกคงจะเริ่มเจรจากับเจ้าเมืองนั้นแล้ว ผมว่าคุณเตรียมตัวไว้เลยดีกว่านะ"

เมื่อจานเปล่าทั้งหมดถูกเก็บซ้อนอย่างดีแล้วชเนย์ก็ลุกขึ้นเดินกลับไปที่ประตู"แล้วอย่าลืมมากินอาหารว่างก่อนเที่ยงด้วยล่ะ"

"ยังจะมีเวลามาทำให้กินอยู่อีกเหรอ? " อเวเค่นยันตัวเองขึ้นนั่งมองร่างสูงที่กำลังจะออกจากห้องเขาไป

"ทำรอไว้แล้วต่างหากครับ" พ่อครัวผู้ไม่ยอมละเว้นหน้าที่หันมายิ้มกว้างให้ราวกับแค่จะออกไปเดินเล่นเท่านั้น "จะว่าไป...ยาแก้อักเสบนั่น คุณเป็นอะไรเหรอ? "

“อ้อ...แค่เป็นแผลฉีกนิดหน่อย ไม่เป็นอะไรมากหรอก”

เอ่ยแค่นั้นโดยไม่ได้ระบุเจาะจงชัดว่าเป็นแผลที่ไหน นักฆ่าหนุ่มฉีกเอาเม็ดยามากินอีกครั้งแล้วทิ้งซองเปล่าลงถังขยะ

“ไปได้แผลมาจากไหนเหรอครับ? คุณก็ไม่ได้ออกไปไหนนี่” คนเคยเป็นหมอถามไถ่สาเหตุจากคนป่วย แต่อเวเค่นนอกจากจะไม่ตอบแล้วยังคลานขึ้นเตียงไปนอนต่อสบายใจเฉิบอีก

“ถึงเวลาแล้วปลุกด้วยล่ะ” ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงจนมิด ทำเอาพ่อครัวได้แต่ส่ายหน้าพร้อมกับปิดประตูล็อคกุญแจให้เสร็จสรรพ

นักฆ่าหนุ่มโผล่หน้าออกมาจากผ้าห่มหลังเสียงฝีเท้าของพ่อครัวเดินจากไปแล้ว ดวงตาสีทองเย็นยะเยือกมองมีดในมือของตนที่มีคราบเลือดของอีกคนติดอยู่ ก่อนที่ปลายลิ้นจะแลบเลียไปตามแนวความคมจนมีดคู่ใจปราศจากรอยเปื้อนใดๆ






อเวเค่นยืนมองภาพปราสาทเจ้านรกเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ขาทั้งสองจะก้าวเข้าสู่สนามการแข่งขันที่กำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า ในการแข่งที่อาจเรียกได้ว่าเอาชีวิตมาทิ้งอย่างสูญเปล่า

แต่หากโชคดีรอดไปได้จริงๆ ก็คงจะมีอนาคตที่ดีรอเขาอยู่

อิสรภาพที่เขาจะได้รับนั้น แม้แต่ตัวอเวเค่นเองก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะเป็นเส้นทางไหน ระหว่างการได้มีชีวิตอยู่ต่อไปโดยแบกรับบาปที่เคยทำมาเอาไว้ หรือปลดปล่อยจิตวิญญาณของตนด้วยการดับสูญไปจากโลกนี้









ชเนย์เก็บถาดและจานทั้งหมดเข้าที่พักจานหลังจากล้างจนสะอาดเอี่ยม มองนาฬิกาที่อีกไม่กี่ชั่วโมงก็เที่ยงแล้วถอนหายใจ...หน้าที่ในฐานะพ่อครัวคงจบลงแต่เพียงเท่านี้..

"คงหมดแล้วมั้ง? " สำรวจความเรียบร้อยของห้องที่ใช้ต่างห้องนั่งเล่นมานานวันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนประตูห้องครัวจะปิดลง…

ร่างสูงโปร่งเดินไปตามทางเชื่อมปราสาท ปกติจะมีอาหารหรือเครื่องดื่มสักอย่างติดมืออยู่ตลอด บัดนี้มีอาวุธคู่กายสวมไว้แทนที่ สองเท้าก้าวไปตามทางเดินเงียบสนิท น่าแปลกใจที่ใกล้จะถึงเวลาตัดสินแล้ว แต่ผู้คนกลับยิ่งห่างหายตัวตนจากกันและกัน

"อย่างกับปราสาทร้างเลยล่ะครับ" ชเนย์มาหยุดที่หน้าห้องบัลลังก์ที่มีเพียงเจ้านรกนั่งรอเวลาอยู่เพียงลำพัง "คุณไคม์ไม่อยู่? "

"ไปเตรียมการน่ะ ส่วนข้ารอเจ้าเมืองเซฟิลอยู่" เจ้านรกแสยะยิ้มน่าสงสัยพลางเท้าคางจดจ้องออกไปยังทะเลสงบเงียบ

"...ผมกลัวว่าจะไม่มีโอกาส เลยว่าจะมากล่าวลาไว้ก่อน" มนุษย์ผู้ไม่เกรงกลัวต่อตำแหน่งของบุคคลเบื้องหน้าเดินเอื่อยเฉื่อยเข้ามาหาและหยุดอยู่ตรงหน้าบัลลังก์ของอีกคน

"ทำตัวบ้าบิ่นแบบนี้เป็นด้วยรึ? " เจ้าของปราสาทพลันนึกถึงนักฆ่าอวดดีที่กล้ากระทำตัวคล้ายๆ กันแบบนี้ แต่กับชเนย์เขาไม่รู้สึกถึงความท้าทายในอำนาจดั่งเช่นคนก่อนหน้า

พ่อครัวที่บัดนี้แปรเปลี่ยนสถานภาพไปเป็นทหารสงครามผายมือมาด้านหน้าและค้อมตัวลง เจ้านรกเห็นท่าทางเช่นนั้นก็ทราบจุดประสงค์ทันทีก่อนจะยื่นมือของตนไปให้

"หากการแข่งครั้งนี้จบลง แล้วคุณจะทำตามความต้องการนั้นจริงๆ ...ผมก็จะยอมรับ" ชเนย์ก้มลงจูบบนหลังฝ่ามือหุ้มเกราะนั้นอย่างบรรจง "แต่หากว่าสักวัน..."

"..." ผู้ครองนรกมองกลับมาหาอย่างเฝ้ารอทุกคำที่อีกฝ่ายจะเอื้อนเอ่ย

"ถ้ามีโอกาสได้เจอกันอีกเป็นครั้งที่สอง ผมจะไม่ปล่อยมือนี้ไปแล้วนะครับ"

"...ข้าไม่ค่อยชอบเรื่องน้ำเน่า แต่กับเจ้า...ข้าจะปล่อยไปสักครั้งละกัน" ถึงจะพูดแบบนั้น ทว่ามือหนาที่วางอยู่กับฝ่ามือบางของอีกฝ่ายกลับกุมแน่น ใบหน้าคมเอียงซบกับฝ่ามือตนที่วางเท้าคางไว้ราวกับขวยเขินจนน่าเอ็นดู

"แหะแหะ... ส่วนของว่างน่ะ อยู่ในตู้เย็นนะครับ ระหว่างที่รอ ถ้าท้องหิวก็หาอะไรทานได้! " ชเนย์เก็บซ่อนแววตาเศร้าสร้อยไปกับเปลือกตาที่ปิดลงพร้อมรอยยิ้มกว้างส่งไปให้เจ้านรก

"เจ้าจะตายวันตายพรุ่งอยู่แล้ว ยังจะสนใจปากท้องคนอื่นอีก! "

"แหม ก็ทำทิ้งไว้แล้ว มันเสียดายอ่ะ" ชเนย์ถอยออกมายืนห่างๆ เว้นระยะ เกรงจะมีใครเข้ามาเห็น

"....ไว้จบการแข่งข้าจะกลับมากิน" เสียงทรงอำนาจเบาลงเล็กน้อย

"ไม่เอาสิครับ หลังจบการแข่งน่ะผมจะทำฟูลคอร์สชุดใหญ่ไว้ให้เลยนะ! " พ่อครัวยืนทำหน้าระรื่นนึกถึงเมนูที่จะทำให้

"....ฮื่อ....แล้วข้าจะกลับมากินนะ"

"....งั้นผมจะรอนะครับ"

สองเสียงเบาลงเสียแทบกลายเป็นเสียงกระซิบ เป็นครั้งแรกที่ดวงตาทั้งสองคู่จ้องตอบกันโดยไร้การปิดบังความรู้สึกใดๆ ก่อนรอยยิ้มปลอบโยนของแต่ละคนจะปรากฏขึ้นมาบนใบหน้า เพียงครู่เดียวทหารในนามของเจ้านรกก็โค้งคำนับและผละตัวออกจากห้องบัลลังก์ ...และเตรียมก้าวสู่การต่อสู้อย่างไร้ซึ่งความหวั่นเกรงต่อความตาย...





ถ้าเจ้าอยากเห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ก็ต้องรอดมาเห็นมันด้วยตาของตัวเองหากอยากรู้มากนักว่าข้าจะพอใจกับสิ่งที่เจ้าทำลงไปหรือไม่ก็จงอย่าตายซะล่ะ…ชเนย์




ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura
Re: Love on the rocks รินรักลงแก้ว Epilogue (6/12/2020)
«ตอบ #32 เมื่อ06-01-2021 14:40:06 »

2 years later


สองปีหลังสิ้นสุดสงคราม ทุกสิ่งเปลี่ยนไป แต่ความรู้สึกของบางคนไม่เคยเปลี่ยน


สำหรับบางคน การมีชีวิตอยู่ก็เหมือนกับตายไปแล้ว





กาลาเทียมองพี่ชายของเธอที่...จะว่าไงดี ถึงจะดีใจที่พี่ชายกลับมาได้ครบสามสิบสองและเลิกเที่ยวเอาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสนามรบ แต่บางครั้งก็รู้สึกเหมือนวิญญาณของพี่ชายไม่ได้กลับมาบ้านด้วย

ตั้งแต่กลับมาจากการแข่งที่เกาะเซฟิล ชเนย์พี่ชายของเธอก็มีท่าทีเปลี่ยนไป ปกติพี่มักจะปล่อยให้บ้านรกไม่เป็นระเบียบอยู่บ้าง แต่ทุกวันนี้หนักกว่าเดิม หากเธอไม่กลับมาบ้านแค่อาทิตย์เดียวข้าวของก็จะเละเทะไปทั่ว แถมที่แย่กว่าก็คือ...พี่ชายเธอเล่นพาผู้ชายเข้าบ้านแทบไม่ซ้ำหน้ากันเลย! แถมยังเปลี่ยนคนแทบจะรายวันยิ่งกว่าเปลี่ยนชั้นในอีก!

แรกๆ ก็พอจะเข้าใจหรอกว่าพี่คงต้องการอ้อมกอดของคนอื่นมารักษาแผลใจหรืออะไรก็ตามที่ไปเจอมา แต่เธอก็อยู่ที่บ้านไม่เป็นสุขเหมือนกัน วันดีคืนดีทำงานเหนื่อยๆ จากวังกลับมาบ้านก็ยังได้ยินเสียงครางสยิวกิ้วต้อนรับแทนที่จะเป็นเสียงพี่ชายกับกลิ่นอาหารหอมๆ ถึงเธอจะเป็นนักรบที่ต่อสู้อยู่ท่ามกลางเหล่าสหายชายล้วนมากมาย แต่มาเจอผู้ชายของพี่เดินล่อนจ้อนในบ้านทุกเช้าเย็นมันก็ไม่ไหวนะ!

ที่น่าปวดหัวก็คือ...ลำพังแค่พาผู้ชายมานอนด้วยคนเดียวยังไม่เท่าไหร่ ล่าสุดเธอนี่แทบช็อกเพราะเจอพี่ลากพวกเพื่อนๆ มาปิดบ้านเล่นเป็นหมู่คณะเสียงดังซะจนเพื่อนบ้านข้างๆ ต้องขนของย้ายหนีไปหมด

นี่บ้านนะไม่ใช่โรงน้ำชา!!

สุดท้ายกาลาเทียก็ทนไม่ไหวต้องลากพี่ชายมานั่งจับเข่าคุย ก่อนที่เธอจะเป็นตากุ้งยิงเข้าสักวัน!




สองปีก่อน หลังสิ้นสุดเกมการแข่งขัน ณ สุสานของผู้ล่วงลับบนเกาะเซฟีล

ดวงตาที่ปราศจากแว่นกันแดดลืมตาขึ้นมองไปรอบๆ ร่างกายที่หนักอึ้งจนขยับเขยื้อนแทบไม่ได้กลับมาเป็นปกติดังเดิมแล้ว แต่สภาพแผลที่บาดเจ็บหนักจากการต่อสู้ก็ยังสาหัสอยู่ดี บรรยากาศรอบๆ ที่ไม่น่าขนลุกเท่าตอนแรกที่มาเยือนเกาะ ท่าทางเรื่องทุกอย่างคงจบแล้ว แม้จะไม่รู้ว่าตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นก็ตาม…

เสียงจ้อกแจ้กรอบๆ และสถานที่เต็มไปด้วยกลิ่นฉุนของยาฆ่าเชื้อ ดูเหมือนว่าชเนย์จะอยู่ในเต็นท์พยาบาลชั่วคราวที่กำลังวุ่นวายกับการปฐมพยาบาลผู้คนที่บาดเจ็บ เขามองสำรวจไปรอบๆ แต่ไม่เจออเวเค่น แสดงว่าคงไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย เขาพยายามลุกขึ้นอย่างทุลักทุเลแต่พยาบาลนางหนึ่งได้เข้ามาห้ามไว้

“อย่าเพิ่งขยับนะคะ ต้องนอนพักนิ่งๆ ก่อน” น้ำเสียงของพยาบาลกล่าว แต่ชเนย์ไม่คิดจะฟังคำเตือนนั้น และพาร่างของตัวเองออกไปจากสถานที่แห่งนี้

ดวงตาที่ไร้กรอบแว่นกันแดดสีเข้มมองไปรอบสุสาน ไม่ได้มีเพียงแค่เขาคนเดียวที่มาไว้อาลัยให้แก่ผู้ล่วงลับทั้งมิตรและศัตรู เหล่านักสู้ผู้เข้าแข่งขันที่มารวมตัวกันในครั้งนี้บนเกาะเซฟีล มีตัวแทนของทั้งสองฝั่งที่เสียชีวิตไปในระหว่างแข่งเป็นจำนวนไม่น้อย แม้จะมีคนที่รอดเพราะถอนตัวกลางคัน แต่ทุกคนล้วนได้รับบาดแผลที่ยากจะเยียวยา และบทสรุปของเกมนรกกลับไม่ได้จบอย่างสวยงามนัก

เพราะ...ไม่มีฝ่ายไหนเป็นผู้ชนะในเกมนี้

ทุกๆ อย่าง ทั้งหมด...เป็นเพียงการละเล่นของปิศาจ

ก่อนจะเริ่มการแข่งขัน ไคม์ ได้ใช้เล่ห์กลลักพาตัวเจ้าเมืองไปซุกซ่อนไว้ยังมิติอื่นทำให้ไม่สามารถมาตกลงเจรจากติกาการแข่งกับเจ้านรกได้ทันเวลา ราชาแห่งนรกภูมิที่ถูกท้าทายจึงได้กำหนดกฎสุดแสนโหดร้ายเพื่อสนองความบ้าคลั่งของตน





...หากตายในการแข่ง วิญญาณจะถูกริบเป็นของกำนัล

...แม้จะสิ้นชีพสักกี่ครั้งก็จะต้องลุกขึ้นมาต่อสู้ไม่จบสิ้น

...สังเวยชีวิตเพื่อนพ้องหากถูกจับมาลงสนามต่อสู้เดียวกัน

...สุดท้ายก็ล้มหมากทุกตัวทิ้งแล้วปล่อยให้ฆ่ากันเองจนกว่าจะเหลือรอดคนเดียว!



แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะวอดวายสิ้นในเกมนรก ไคม์ได้โผล่มาขัดขวางความหฤหรรษ์ด้วยการท้าสู้กับนายเหนือหัว ด้วยแผนการที่วางไว้ตั้งแต่กาลก่อนจะมาเยือนเกาะเซฟีล เขาได้ช่วงชิงพลังของเจ้าเมืองและเจ้านรกมาเป็นของตัวเองและตั้งใจจะลบทุกอย่างในเหตุการณ์นี้ให้สิ้นไป นักสู้ที่ยังเหลือรอดอยู่ทั้งสองฝ่ายได้ร่วมมือกันใช้พลังเฮือกสุดท้ายและสละชีวิตของตนเพื่อหยุดยั้งหายนะ

แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะไม่สามารถโค่นไคม์ที่ครอบครองพลังที่เกินหยั่งถึงลงได้ แต่...ท่าทีของฝ่ายนั้นก็แตกต่างไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาที่ว่างเปล่านั้นไม่รู้เลยว่ากำลังคิดอะไรอยู่…ก่อนจะจากไปโดยที่ไม่พูดอะไร

เมืองเซฟีลจึงรอดพ้นจากหายนะครั้งนี้ไปได้ราวกับโชคช่วย

สภาพเมืองแต่ละพื้นที่ซึ่งถูกนำไปใช้เป็นสนามแข่งได้รับการซ่อมแซมฟื้นฟูด้วยพลังเวทมหาศาลของเจ้าเมืองที่ได้กลับคืนมาหลังจากถูกไคม์ดึงเอาออกไปใช้ก่อนหน้านี้

ชเนย์เองก็เข้าไปช่วยรักษาคนบาดเจ็บ เผื่อว่าจะบังเอิญเจออเวเค่นถูกส่งตัวมารักษาที่เต็นท์พยาบาล แต่สุดท้ายก็ไม่เจอจนต้องถอดใจ

แม้ผู้คนในเมืองส่วนใหญ่จะได้รับวิญญาณที่ถูกยึดไปก่อนหน้านี้คืนมา แต่ก็ยังมีตัวแทนนักสู้จากทั้งสองฝ่ายที่เสียชีวิตไปในระหว่างเกมการแข่งขันครั้งนี้ที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับ

ชเนย์ยืนนิ่งอยู่หน้าหลุมศพของอเวเค่นที่เขาทำขึ้นมาอย่างเรียบง่าย ทว่าถึงจะมีป้ายหลุมศพแต่ข้างใต้นั้นก็หาได้มีโลงศพหรือร่างไร้วิญญาณของเจ้าของชื่อฝังอยู่ เขาไม่รู้ว่าอเวเค่นยังมีชีวิตอยู่หรือว่าตายไปแล้ว เพราะไม่ว่าจะเดินตามหาจนทั่วเมืองเท่าไหร่ ชเนย์ก็ไม่พบแม้แต่เงาของนักฆ่าคนนั้นเลย

“หรือจะหนีออกจากเกาะไปแล้วนะ...” ชเนย์ได้แต่คิดถึงความเป็นไปได้หนึ่งเดียวนั้น ครั้นจะไปถามเอาจากเจ้านรก ทว่าก็หายเข้ากลีบเมฆไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้อีกคน

ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ เขาก็ไม่มีธุระอะไรบนเกาะนี้อีกแล้ว...

ดวงตาสีชมพูหม่นเอ่ยคำลากับป้ายหลุมศพว่างเปล่า

"ลาก่อนครับ อเวเค่น"





ปังงง!!



เสียงลั่นไกปืนของนักฆ่าที่ตั้งใจจะระเบิดสมองตัวเองเพื่อจบเกม ทว่ากลับไม่มีเลือดกระเซ็นแม้แต่หยดเดียว จะมีก็แต่ปืนและลูกกระสุนที่ลอยเคว้งอยู่กลางอากาศราวกับอยู่ในสภาวะไร้แรงโน้มถ่วง

“...ฝีมือคุณรึ? ชเนย์” อเวเค่นที่ตั้งใจจะปลิดชีวิตตัวเองหันมาถามหลังจากที่เจ้าของชื่อโผล่หน้าออกมาจากข้างหลังประตูดาดฟ้า มือข้างซ้ายที่วาดไปมาอยู่บนอากาศขยับเพียงเล็กน้อย กระบอกปืนอันตรายที่ลอยคว้างกลางอากาศก็โดนพัดหายไปราวกับเศษกระดาษที่โดนลมซัดปลิว

“...ก็ไม่ได้อยากจะใช้ของแบบนี้หรอกนะครับ แต่มันช่วยไม่ได้นี่” พูดจบก็วาดมืออีกข้างลง จู่ๆ นักฆ่าผมแดงก็รู้สึกเหมือนกับร่างกายหนักขึ้นหลายสิบเท่าจนขยับตัวไปไหนไม่ได้ ร่างสูงโปร่งพ่นลมหายใจยาวก่อนเปิดกระเป๋าหยิบยาฟื้นสภาพที่เหลือน้อยเต็มทีใส่ปากตัวเองเพื่อรักษานิ้วมือที่เสียไป ดวงตาที่อยู่หลังแว่นกันแดดสีเข้มจ้องมองเขม็งมาที่คู่แข่งของตน

“ทำหน้าโมโหแบบนั้นก็เป็นด้วยเหรอ? ” แม้ขยับตัวไม่ได้แต่ปากก็ยังพูดดีได้อยู่ แต่ไอ้ที่ขยับตัวไม่ได้ลุกก็ไม่ขึ้นนี่เพราะยาหมดฤทธิ์ร่างกายกำลังเป็นอัมพาตหรืออีกฝ่ายเล่นกลใส่เขากันแน่นะ

ถึงแม้จะเคยเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟังไปหลายครั้งแล้ว แต่เรื่องหนึ่งที่ชเนย์ยังไม่เคยเล่าให้อีกฝ่ายรู้ก็คือเรื่องที่เขาเป็นผู้ใช้เวทควบคุมแรงโน้มถ่วงด้วย ถึงจะไม่เก่งกาจเชี่ยวชาญนักเพราะทิ้งวิชาไปนาน แต่แค่ที่ใช้อยู่ตอนนี้ก็ทำให้นักฆ่าธรรมดาตรงหน้าลุกขึ้นมาทำอะไรเขาและฆ่าตัวตายไม่ได้แล้ว

ส่วนสาเหตุที่ไม่อยากใช้พลังนี้ในการแข่งก็เพราะเป็นเวทมนตร์ประจำตระกูลนี่แหละ ตัวเขาซึ่งต่อต้านครอบครัวของตัวเองยิ่งกว่าอะไรดีก็เลยไม่ยอมใช้มันจนถึงเมื่อกี้ คิดแล้วก็อดหงุดหงิดคนตรงหน้าไม่ได้ที่ทำให้เขาต้องงัดวิธีนี้มาใช้

“นี่...ถ้าไม่รีบลงมือเดี๋ยวจะหมดเวลาซะก่อนนะ” ดวงตาสีทองบอกคนที่ยืนค้ำหัวตนอยู่ พร้อมกับหลับตาลงรอรับชะตากรรม ไหนๆ ก็ฆ่าตัวตายไม่สำเร็จแล้วจะดิ้นรนต่อสู้ต่อไปก็ใช่ที่ เกมการแข่งนี่มันงานรวมตัวพวกเหนือมนุษย์ชัดๆ คนธรรมดาอย่างเขาจะเอาอะไรไปสู้ได้

“ไหนคุณบอกจะไม่ยอมให้ผมฆ่าคุณง่ายๆ ไงครับ” นักเวทหนุ่มทวนคำพูดที่อีกฝ่ายเคยบอกเขาไว้ในช่วงเวลาแสนสงบสุขในปราสาทที่เพิ่งผ่านพ้นมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้

“... รีบๆ ทำให้มันจบไปซะทีเถอะน่า” คนที่ขี้เกียจสู้แล้วพูดตัดรำคาญ

“...แล้วที่สัญญาไว้นั่นก็โกหกงั้นเหรอครับ? ”

“คนที่เชื่อสัญญาปากเปล่าพรรค์นั้นคงมีแค่คุณคนเดียวแหละ”

“คุณมัน...แย่ที่สุด”

เสียงพูดสั่นและเหมือนจะกัดฟันไว้แน่นแบบนั้น...ให้ตายสิ จะอ่านง่ายไปถึงไหน

“ฮะๆ ๆ ” แม้อเวเค่นจะไม่ได้ลืมตาขึ้นมามอง แต่ก็นึกหน้าอีกฝ่ายออกได้ไม่ยาก “เพิ่งจะรู้รึไง”

“.......”

“คุณกำลังทำให้เกมที่เจ้านรกของคุณดูอยู่กลายเป็นละครน้ำเน่านะ” นักฆ่าหนุ่มกล่าวด้วยเสียงที่อ่อนแรงลงเรื่อยๆ

มือที่ควบคุมคลายเวทออกและดึงคอเสื้อคนที่นอนหมอบขึ้นมาให้เผชิญหน้ากัน ดวงตาสีทองที่ตอนนี้มองเห็นได้แค่ข้างเดียวลืมตาขึ้นจ้องเพชฌฆาตที่เอาแต่รีรอไม่ยอมลงดาบเสียที

“...คุณจงใจรึเปล่าครับ? ”

“หือ? ”

“คุณน่ะไม่ได้คิดจะสู้กับผมจริงๆ เลยตั้งใจจะตายไปทั้งอย่างนี้ ใช่รึเปล่าครับ? ”

“คิดเข้าข้างตัวเองไปแล้ว” คนที่หมดแรงจะสู้หัวเราะออกมาจนคนที่ถามแอบหน้าเสียไปเล็กน้อย “...อา ก็นิดหนึ่ง”

พอได้ยินดังนั้น ชเนย์ก็มองหายาฟื้นสภาพที่เหลือในกระเป๋า และหยิบใส่ปากคนบาดเจ็บที่ไร้แรงต่อต้าน นักฆ่าหนุ่มจำใจกลืนเม็ดยาลงคอแม้ว่าใจจะไม่อยากได้ความเมตตานี้ก็ตาม

“...ยาเหลือน้อยแล้วยังจะใจดีไม่เข้าท่าอีกนะ” อเวเค่นถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายเมื่อความเจ็บปวดของร่างกายเริ่มบรรเทาลง เขาล่ะยอมแพ้ให้กับความใจอ่อนของอีกฝ่ายเลย

“ผมจะพาคุณออกไปเอง”

“ยังไงล่ะ? อย่าลืมสิว่าพวกเราติดอยู่ในโลกคนตายนะ นู่น...มากันให้เพียบแล้ว” นักฆ่าหนุ่มพยักหน้าไปทางประตูที่พวกคนตายในโลกนี้กำลังทยอยโผล่มา ชเนย์ลุกขึ้นยืนแล้วผสมวัตถุดิบทำลูกบอลน้ำแข็งปาใส่ประตูดาดฟ้าปิดทางไม่ให้พวกมันเข้ามาได้

“ก็...ไม่รู้สิครับ แต่มันต้องมีสักทางล่ะ” มือเปิดกระเป๋าที่ห้อยไว้ด้านข้างออกเพื่อเช็กปริมาณยาที่เหลือไปพลางๆ

“...คุณคิดว่ามันแปลกๆ มั้ย ทำไมเราทั้งคู่ถึงมาเจอกันเองล่ะ? ” นักฆ่าหนุ่มที่พอจะมีเรี่ยวแรงกลับมาหลังได้ยารักษาของอีกฝ่ายเอ่ยถามขึ้น “ฝีมือของเจ้านรกงั้นเหรอ? ”

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ เพราะงั้นเลยจะไปถามอยู่นี่ไงล่ะ”

“คุณบินได้รึไง? ” แขนขวาที่เหลือข้างเดียวชี้ไปบนฟ้า ร่างของเจ้านรกที่อยู่สูงเสียดฟ้าเหนือเกาะเซฟีลลอยอยู่ลิบลิ่ว

“ถ้าสูงแค่นั้นก็คงจะพอใช้เวทลอยขึ้นไปไหวอยู่นะครับ”

“เดี๋ยวก็โดนสอยร่วงเป็นดาวตกหรอก”

“ฮ่ะๆ ๆ หือ? ดาวตก…? ” ชเนย์หันมามองหน้าคนพูด แต่ยังไม่ทันจะได้ถามอะไรต่อ เสียงระเบิดกึกก้องกัมปนาทก็ดังไปทั่วทุกที่บนเกาะ

เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาหลังจากนั้น เขาก็ไม่พบอเวเค่นอีกเลย...





..นั่นเป็นภาพสุดท้ายก่อนที่เขาจะไม่ได้เห็นเจ้าของผมสีแดงที่เหมือนกับเปลวเพลิงคนนั้น





...ฉากเดิมๆ ที่วนลูปซ้ำในฝันราวกับจะตอกย้ำไม่ให้ลืมเลือน





...บางที อาจจะไม่อยู่ที่ไหนในโลกนี้แล้วก็ได้





...อย่างน้อยก็ช่วยมาเข้าฝันบอกกันหน่อยก็ยังดี







...







..







[ เจ้านั่นยังไม่ตายหรอก ]



ชเนย์สะดุ้งตื่นสุดตัวจนเพื่อนที่นอนอยู่ด้วยถึงกับถามว่าเป็นอะไร

“ฝันเหรอ? ” น้ำเสียงที่ยากจะลืมลงนั่น...จะเป็นใครไปได้นอกจากคนคนนั้น



[ ไปตามหาสิ ถ้าเจ้าอยากเจอล่ะก็นะ ]



หากว่าไม่ใช่ความฝัน แสดงว่าทั้งสองก็ยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่ง...

แต่...เขาคิดถึงใครกัน ระหว่างเจ้าของเสียงที่แว่วดังในภาพฝัน หรืออีกคนที่ซ่อนเร้นอยู่ในที่ห่างไกลสุดแสน






ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura
Re: Love on the rocks รินรักลงแก้ว Epilogue (6/12/2020)
«ตอบ #33 เมื่อ06-01-2021 14:43:04 »

ชเนย์ใช้ช่วงเวลาตลอดหลายวันมานี้พักฟื้นตัวเองให้กลับมาเป็นผู้เป็นคนและตัดสินใจอย่างเด็ดขาดก่อนออกตามหาอเวเค่นเพราะรู้แล้วว่าอีกฝ่ายยังไม่ตาย แต่เพราะไม่มีข้อมูลใดๆ ก็เลยเสียเวลาคิดอยู่นานว่าจะทำยังไงดี

เขาจึงใช้เส้นสายของตัวเองในหน่วยงานราชการของบ้านเกิดเพื่อขออนุญาตเข้าไปสืบค้นข้อมูลจากเมืองเซฟีล… แน่นอนว่าค่อนข้างยากและดำเนินการล่าช้าเพราะสถานที่ห่างไกลกันมาก แม้บ้านเกิดของเขาจะไม่ได้จัดว่าล้าสมัยแต่ก็ไม่ได้รับเอาเทคโนโลยีจากโลกภายนอกมาใช้ทั้งหมด แต่สุดท้ายก็ได้หนังสืออนุญาตมา

ชเนย์เก็บข้าวของบางส่วนและออกเดินทางกลับไปที่เกาะนั้นอีกครั้ง แม้จะรู้ว่าตอนนี้เป็นช่วงที่ปิดเกาะเพื่อฟื้นฟูเมือง แถมยัง….ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าทางนั้นจะมีเอกสารข้อมูลของผู้เข้าร่วมการแข่งขันฝั่งเจ้านรกเมื่อสองปีก่อนเก็บไว้หรือไม่

แต่เหมือนโชคจะเข้าข้างเขาล่ะมั้ง

“ใช่คนนี้หรือเปล่าคะ? ” เจ้าหน้าที่ในชุดคล้ายนักเวทตัวเล็กเดินกลับมาจากห้องเก็บเอกสารสำคัญของเมืองและยื่นแฟ้มบางๆ ให้กับชเนย์

“ใช่ครับ! ขอบคุณมากนะครับ! ” ชเนย์คลี่ยิ้มเมื่อพบทั้งชื่อและรูปติดใบสมัครของคนที่เขาตามหา

“เอกสารถูกจำกัดไม่ให้นำออกนอกอาคารนะคะ และต้องเอามาคืนก่อนห้าโมงเย็น รวมทั้งห้ามทำการคัดลอกเอกสารทั้งฉบับไม่ว่าวิธีการใดๆ แต่สามารถจดข้อมูลที่ต้องการใส่กระดาษนี้ออกจากที่นี่ไปได้” เจ้าหน้าที่อธิบายด้วยเสียงฉะฉานและยื่นกระดาษโน้ตแผ่นเล็กหลายแผ่นให้กับชเนย์ “เมื่อจดข้อมูลที่ต้องการครบแล้วขอให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบก่อนออกไปจากอาคารนี้นะคะ ขออภัยในความไม่สะดวกค่ะ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมขอดูครู่เดียว” ชเนย์ยิ้มตอบแล้วเดินมานั่งดูแฟ้มนั้นให้ละเอียดที่โต๊ะเล็กๆ ตัวหนึ่งจากโต๊ะจำนวนมากใจกลางโถงโอ่อ่าแต่กลับรกร้างผู้คนจนดูเงียบเหงา ชเนย์มองหาเบาะแสที่อาจจะเป็นประโยชน์ต่อการตามหาตัวอเวเค่น ที่อยู่หรือชื่อองค์กรก็เดาว่าคงเป็นของปลอม แต่เขาก็จำเป็นต้องจดไว้ เผื่อว่าจะมีความเชื่อมโยงอะไรในภายหลัง พูดตรงๆ ว่าแทบไม่มีความหวังเลย…จะว่าไปทั้งที่ทำงาน สังคม คนรู้จัก หรือข้อมูลที่จะสามารถระบุตัวตนของอเวเค่นได้นั้น เขาไม่รู้เลยสักอย่าง…







“เป็นยังไงบ้างคะพี่? ” กาลาเทียเดินมารับกระเป๋าจากพี่ชายเมื่อชเนย์เดินทางกลับมาถึงบ้านตามกำหนดการณ์ที่บอกไว้แต่แรก

“ได้ข้อมูลมาบ้าง แต่ยังไม่รู้ว่าจะเจอตัวมั้ย” ชเนย์ตอบเสียงเรียบ คงจะเหนื่อยจากการเดินทางจึงดูไม่ร่าเริงเป็นปกติเท่าใดนัก

“...พักก่อนนะคะ” น้องสาวไม่รู้จะปลอบอย่างไร เลยได้แต่ไปหาน้ำท่ามาให้แก้ดื่มกระหายก่อน รวมทั้งเอากระเป๋าสัมภาระไปวางรอไว้ที่หลังบ้านเพื่อรอการรื้อมาซักทำความสะอาดดีๆ อีกที “หนูทำอาหารง่ายๆ เองเป็นแล้วนะคะ อยากลองกินมั้ย? ”

“จริงเหรอ? เธอเนี่ยนะ? ” ชเนย์ทิ้งตัวลงบนโซฟาแล้วพูดแหย่น้องสาว “เอาสิ ขอพี่พิสูจน์หน่อย”

“เตรียมท้องรอไว้เลย” กาลาเทียเท้าสะเอวอย่างมั่นอกมั่นใจแล้วเดินหายไปในครัว เห็นน้องสาวแสนเข้มแข็งของตัวเองยังคงเป็นที่พึ่งพิงทางใจแบบนี้ ความรู้สึกตึงเครียดในใจก็เหมือนได้รับการบรรเทาลงมาบ้าง ชเนย์จุดไปป์ของตัวเองขึ้นมาสูบ กลิ่นดอกไม้ป่าแรงฉุนในคราแรกที่แตะจมูกรวมกับกลิ่นมิ้นท์ที่ผสมลงไปทำให้หัวสมองโล่งไปครู่หนึ่ง

“แล้วจะเริ่มตามหาเมื่อไหร่เหรอคะ? ” กาลาเทียตะโกนถามออกมาจากครัว

“พี่คิดว่าอาทิตย์หน้าจะลองไปตามหาที่เมืองที่เขาเขียนไว้ ถ้าไม่ได้อะไรก็จะไปหาที่ทำงาน… แต่พี่ก็คิดว่าข้อมูลพวกนี้คงเป็นของปลอมหมดนั่นแหละ” ชเนย์ตะโกนตอบพลางมองกระดาษในมืออย่างเลื่อนลอย

สักพักกลิ่นหอมของอาหารก็ลอยออกมาจากครัว กาลาเทียเดินกลับออกมาพร้อมข้าวผัดอย่างง่ายที่ทำออกมาได้ดูดีเกินคาด แถมเครื่องเคียงสองสามจานกะว่าเอามากินไปพลางคุยกันไปด้วย เครื่องดื่มผลไม้แบบผสมที่ช่วยให้ร่างกายชุ่มชื่นก็ถูกรินใส่แก้ว

“โห ข้าวทุกเม็ดเป็นสีทองสวยเชียว” ชเนย์ตักข้าวขึ้นมาหนึ่งช้อนและพิจารณา “ฮาเวนสอนเหรอ? ”

“มาร์โก้ต่างหากล่ะ”

“เขามาด้วย? ”

“ฮาเวนมาหา มาร์โก้ก็ตามมาประกบตลอดอ่ะ ภรรยาพี่มาร์โก้ก็มานะคะ มาช่วยดูแลเรื่องความสะอาดด้วย”

โอ้โห นี่หวงกว่าพี่ชายตัวจริงอีกนะ..

“ว่าแต่ เดี๋ยวนี้พี่ไม่หวงหนูแล้วแฮะ”

“ทำไงได้ล่ะ เห็นแอบชอบเธอมาตั้งหลายปีไม่มีไปหลีใครเลย… ก็คงไว้ใจได้มั้ง” ชเนย์ค่อยๆ ลองชิมอาหารฝีมือน้องทีละอย่าง รสชาติใช้ได้ทั้งนั้น ราวกับเตรียมตัวจะเป็นแม่ศรีเรือน

“เอ่อ….พี่คะ..”

“หือ? ”

“คือ.. หนูกับฮาเวน….คิดว่าจะแต่งกันในอีกสามเดือนข้างหน้าน่ะ…”

เสียงน้องสาวเบาลงเรื่อยๆ และไม่มีเสียงตอบรับอะไรออกมาจากชเนย์ พูดให้ถูกคือชเนย์ช็อกนิ่งไปเป็นที่เรียบร้อย พอกาลาเทียเห็นแบบนั้นจึงได้แต่ยิ้มแห้งๆ

การเดินทางตามหาอเวเค่นจึงโดนเลื่อนมาให้ไวขึ้น







สองวันหลังจากกลับบ้าน ชเนย์ก็แพ็คกระเป๋าและเอาของใช้จำเป็นบางส่วน รวมทั้งยาสำหรับใช้ชีวิตและป้องกันตัวติดไปด้วยจำนวนหนึ่ง สภาพเหมือนตอนที่เดินทางไปหาเบาะแสที่เกาะเซฟีล.. ต่างกันก็แค่ครั้งนี้สัมภาระสำหรับใช้ในชีวิตประจำวันมันเยอะกว่าเท่านั้น

“สัญญาจะกลับมาให้ทันวันแต่งนะครับ” ชเนย์ยกมือซ้ายขึ้นมาและชูนิ้วก้อยเพื่อเป็นเครื่องยืนยันคำพูดอีกที

“ม...ไม่ต้องขนาดนั้นหรอกค่ะพี่ เพื่อนพี่คนนั้นก็สำคัญนะ ถ้าพอจะได้เค้าลางอะไรแล้วก็รีบตามหาเถอะ”

“ไม่ได้หรอก…” ชเนย์ยิ้มอ่อนโยนให้น้องสาวก่อนหยิบมืออีกฝ่ายขึ้นมาเกี่ยวก้อยด้วย “พี่ไม่อยากให้เธอรู้สึกโดดเดี่ยวน่ะ”

“....ค่ะ” เห็นพี่ชายหัวดื้อขนาดนี้กาลาเทียก็ได้แต่ตอบรับไป “รักษาตัวดีๆ นะคะพี่”







ชเนย์เดินทางออกจากบ้านเกิดด้วยเรือและตรงไปยังเมืองท่าที่เป็นจุดหมาย เขาพักอาศัยในเมืองแห่งความมั่งคั่งและศิวิไลซ์นั้นและเทียวตามหาอยู่เกือบสัปดาห์ แต่ไม่ว่าจะหาเบาะแสเกี่ยวกับเคนเท่าไหร่เขาก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมเลย กระทั่งยอมเสี่ยงไปถามพวกคนน่าสงสัยและคนจรจัดว่าเคยเห็นคนผมแดงที่มีลักษณะดังกล่าวหรือไม่ แต่ก็ไม่มีใครรู้จัก...

อยากจะฟันธงแบบนั้น แต่ปฏิกิริยาของบางคนที่เห็นรูปถ่ายของอเวเค่นนั้นมองมาที่เขาอย่างระแวดระวัง พอบอกว่าจะจ่ายค่าตอบแทนให้อย่างงามถ้ายอมบอกในสิ่งที่รู้ แล้วก็ได้ข้อมูลมาว่าพวกที่สิ้นไร้ไม้ตอกจะไปกระจุกรวมกันที่ชานเมืองห่างไกลความเจริญไม่ก็ชายแดนที่เต็มไปด้วยเหล่าคนหลบหนีเข้าเมืองและพวกนอกกฎหมายที่ไร้ที่ไป

คุณหนีไปอยู่ที่นั่นจริงๆ งั้นเหรอ เคน…

ในที่สุดชเนย์ก็ตัดสินใจขึ้นรถไฟออกไปนอกเมืองตามคำบอกเล่า ดวงตาหลังแว่นกันแดดเหม่อมองออกไปยังหน้าต่างรถไฟ คำสัญญาที่อีกฝ่ายให้ไว้นั้น...ก็จริงที่เขาดันโง่หลงเชื่อไปกับคำสัญญาปากเปล่านั่น แต่ว่า.. จะให้ตัดใจโดยที่ยังไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำนี่ไม่เอาด้วยหรอก..

ในช่วงที่พักฟื้นตัวเองนั้น ชเนย์จมดิ่งทนทุกข์กับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่นานสองนาน นึกถึงตอนนั้นทีไรก็อยากลุกมาต่อยตัวเองที่ทำน้องสาวเป็นห่วงตั้งนานขนาดนั้น..

ช่วงที่เขาเสียใจเรื่องของเจ้านรกอยู่นั้น เขาใช้วิธีการรมยาเพื่อดึงตัวเองกลับออกมาจากความเศร้า อย่างน้อยก็เพื่อให้เขากลับไปใช้ชีวิตปกติได้ไวขึ้น แล้วสิ่งที่เขาพบในม่านหมอกความคิดนั้นกลับเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่จะเรียกว่ามีความสุขก็กระไรอยู่ แต่...เขาสบายใจเหลือเกิน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรแต่พอได้เห็นภาพความทรงจำในวันนั้น แถมภาพของเคนก็ชัดเจนมากในห้วงความคิด รอยยิ้มจริงใจที่นานๆ จะเห็นสักทีกับความใจดีที่ซ่อนอยู่ในนิสัยลึกๆ ของเขา

รู้ตัวอีกทีในหัวชเนย์ก็มีแต่เรื่องของเคนเต็มไปหมด เขาหลงรักปีศาจสูงส่งอย่างเจ้านรกทั้งที่รู้ดีว่าไม่มีทางสมหวัง แต่กับเคน...ชเนย์ไม่แน่ใจ มันซับซ้อนจนความรู้สึกหนักหน่วงในอกตีกันเสียจนคลื่นเหียน

ชเนย์ตัดสินใจไปหาคนรู้จักที่เป็นแม่หมอซึ่งถนัดเรื่องการควบคุมความฝัน โดยขอร้องให้นางช่วยจัดฉากความฝันให้เขาสักครั้ง โดยไม่ต้องบอกเขาว่าจะเกิดอะไรขึ้นในนั้น เมื่อชเนย์เข้าสู่ห้วงนิทราในความดูแลของแม่หมอไม่ห่าง ความฝันนั้นเป็นเหมือนฝันอื่นๆ ทั่วไป ต่างกันก็แค่ไม่มีใครที่เป็นมนุษย์อยู่ในนั้นเลยแม้แต่คนเดียว พูดให้ถูกว่าไม่มีใครเลยจะดีกว่า

ก่อนกลุ่มเมฆหมอกสีดำจะเริ่มรวมตัวกันและไล่ทำร้ายเขาเหมือนกับฝันร้ายอื่นๆ ที่ผ่านมา สองเท้าวิ่งหนีไปยังที่ปลอดภัยภายในความฝัน เป็นบ้านของเขาเองที่เหมือนมีคนกำลังเปิดประตูออกมารับเขาเข้าไป

มือเล็กกว่าที่ยื่นมาหา และช่วยดึงเขาเข้าไปในบ้านอีกแรงจนทั้งสองร่างถลาลงไปกองกับพื้น เงาดำมืดหายไปราวกับไม่เคยมีตัวตน ร่างที่นอนอยู่ใต้ตัวเขานั้นเป็นคนที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี

“ปลอดภัยแล้วนะ”

เมื่อตื่นจากความฝัน ชเนย์ก็ไม่รอช้าและเริ่มทำการตามหาคนหายในเวลาต่อมา..







เปรี้ยง!


เสียงสายฟ้าผ่าที่มาพร้อมลมกระโชกแรงปลุกให้เจ้าของห้องลืมตาตื่นขึ้นมาก่อนจะรีบลุกไปปิดบานหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ พื้นห้องเจิ่งนองด้วยน้ำฝนที่สาดเข้ามาตอนไหนไม่อาจทราบเพราะตัวเขากินยาแก้ปวดที่มีผลข้างเคียงช่วยให้หลับลึกเข้าไปตั้งแต่ช่วงหัวค่ำจึงได้ไม่รู้สึกตัวว่าฝนตกหนักขนาดไหน

ชายหนุ่มผมยาวสีแดงถอนหายใจเหนื่อยหน่ายด้วยเพราะยังมึนงงกับสมองที่ยังไม่ตื่นดี เขาเดินไปหาไม้ม็อบมาเช็ดถูพื้นห้องนอนก่อนที่ตนจะลื่นล้มหัวฟาดพื้นหลับไม่ตื่นไปจริงๆ

เมื่อแน่ใจว่าพื้นแห้งสนิทดีแล้วเจ้าของห้องก็เก็บเครื่องมือทำความสะอาดแล้วเดินกลับมานั่งที่ปลายเตียง ทบทวนเรื่องราวในความฝันที่เขาวิ่งหนีใครคนหนึ่งก่อนที่จะรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา

นี่มันลางบอกเหตุรึไงนะ?

ทั้งที่พักหลังๆ มานี้เขาแทบจะไม่ได้ฝันถึงคนคนนั้นอีกแล้ว แต่หนนี้กลับรู้สึกว่าภาพทุกอย่างมันปรากฏชัดเจนมากเสียจนเผลอนึกไปว่าเป็นความจริง

ตั้งแต่เหตุการณ์ในวันนั้นก็ผ่านมาสองปีกว่าแล้ว และเป็นช่วงเวลาที่เขาไม่เคยลืมเลยแม้สักวัน เกมการแข่งขันเอาชีวิตรอดที่เหมือนกับละครหุ่นเชิดซึ่งทุกอย่างถูกจัดฉากเอาไว้ กฎกติกาแสนโหดร้ายที่ทำให้ทั้งคู่ซึ่งมาจากฝั่งเดียวกันต้องมาต่อสู้ห้ำหั่นกันเองในตอนนั้นยังคงทำให้เขารู้สึกเจ็บแค้นใจมาจนถึงตอนนี้

แค้นใจตัวเองที่กระโดดลงไปวิ่งเต้นบนเกมกระดานของพวกปิศาจ กลายเป็นแค่ตัวหมากโง่ๆ ที่ไร้ค่า ในวินาทีนั้นเขาควรจะรู้สึกตัวว่ามันมีบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลตั้งแต่แรก

มือข้างขวาบีบต้นแขนซ้ายที่เหลือเพียงครึ่งเดียวตั้งแต่ศอกขึ้นไป แม้ว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่แต่สารรูปก็ช่างน่าอดสู เขาสูญเสียการมองเห็นของดวงตาข้างหนึ่งไปเช่นเดียวแขนอีกข้าง บาดแผลเหล่านี้หาใช่แผลที่มีเกียรติยศของทหาร เป็นเพียงหลักฐานของความโง่เขลา





บทสรุปจึงลงเอยที่กลายมาเป็นผู้พิการหลังสิ้นสุดสงคราม





“พี่ชายผมแดงนี่นา”

เสียงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นปลุกชเนย์จากห้วงความคิด เขาหันไปมองตามเสียงก็พบเด็กน้อยในชุดมอมแมม มือข้างหนึ่งถือตุ๊กตาไว้แน่น ดวงตากลมโตสดใสจดจ้องมาที่กระดาษที่อยู่ในมือเขา นอกจากที่อยู่แล้วชเนย์ก็ได้ใช้ความสามารถในการวาดที่ดูจะมีน้อยนิด สเกตภาพอเวเค่นที่อยู่ในใบสมัครติดมือมาด้วย แต่ท่าทางเจ้าหน้าที่ห้องเอกสารจะอดสูฝีมือเขามาก ถึงได้ยอมให้ภาพถ่ายของเคนติดมือมาด้วยแทน..

“รู้จักเหรอครับ? ” ชเนย์ยกภาพถ่ายขึ้นให้เด็กสาวเห็นชัดๆ

“อื้อ พี่ชายเค้าซ่อมตุ๊กตาให้หนู” เด็กน้อยยิ้มกว้างและโชว์ตุ๊กตาในมือให้ชเนย์ดู

ความหวังที่เกือบจะริบหรี่เมื่อครู่เริ่มส่องประกายออกมาอีกครั้ง รอยยิ้มแห่งความยินดีผุดขึ้นบนใบหน้าอย่างห้ามไม่อยู่ “จริงเหรอ พี่ชายคนนี้เขาอยู่ที่ไหน หนูพอจะจำได้มั้ย? ”

“เมืองสุดสถานีโน่นเลยค่ะ” อีกเสียงดังขึ้นจากอีกฝั่งทางเดิน ก่อนหญิงมีอายุจะเดินมาหาเด็กสาวที่ยืนอยู่ข้างที่นั่งของชเนย์

“แม่บอกแล้วว่าอย่าเดินเพ่นพ่าน รบกวนคนอื่นเขานะคะ”

จากการแต่งกายก็พอเดาได้ว่าเป็นแม่ค้าเร่ร่อน และ… “คุณขายสมุนไพรเหรอครับ!? ”

“ใช่ค่ะ? ” หญิงสาวตอบอย่างสุภาพแต่ก็ดูเว้นระยะห่างอย่างไม่อยากวางใจคนแปลกหน้า

“ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะครับ ถ้ายังไง...ขอซื้อของตามนี้ได้มั้ย? ”

เพราะความรีบร้อนจึงลืมหยิบวัตถุดิบทำยาสูบมาด้วย..ตอนนี้จึงขาดยา อยากได้อะไรสูบให้หัวโล่งสักหน่อย…





ชเนย์นั่งรถไฟต่อมาจนสุดสถานีตามที่หญิงสาวบอก ใช้เวลานานหลายวันเพราะแผ่นดินนี้กว้างใหญ่กว่าบ้านเกิดเขามากนัก รถไฟวิ่งจากเมืองท่ามาสุดทางใต้ใช้เวลาร่วมอาทิตย์ ทีแรกเขาคิดว่างานนี้จะง่าย...แต่ก็ไม่ เมืองที่เห็นได้จากไกลๆ ครั้งแรกก็เดาได้แล้วว่าใหญ่แน่ๆ และก็เป็นจริงตามนั้น เมืองการค้าชายแดนที่กว้างขวาง คนหลากหลายเชื้อชาติเดินขวักไขว่

เอาแล้วไงล่ะ จะเริ่มจากตรงไหนดี..

“....ขอไปหาที่อาบน้ำล้างตัวก่อนละกัน” ชเนย์ตรงดิ่งไปหาโรงแรมที่ใกล้ที่สุดในตอนนี้ แต่เท้าก็ยังอุตส่าห์พาเดินวนเพื่อเลือกโรงแรมที่ไม่ขี้ริ้วขี้เหร่มากนักอยู่ดี เมื่อเลือกได้อย่างที่ต้องการก็จัดการรีบเข้าไปจับจองห้องและกระโดดเข้าห้องน้ำไปขัดถูเนื้อตัวให้หายอยาก หลังจากหมกตัวอยู่บนรถไฟเพื่อมาที่เมืองสุดชายแดนนี้ด้วยเวลาเกือบหนึ่งอาทิตย์

หลังจากหายไปสิงสู่ในห้องน้ำเสียเนิ่นนานเพื่อขัดเอาเชื้อโรคทั้งหมดบนร่างกายออกจากตัวและซักฟอกตัวเองด้วยการแช่น้ำสมุนไพรสูตรเฉพาะของตัวเองจนเต็มอิ่ม ชเนย์ก็ไม่รอช้ารีบออกไปตามหาเบาะแสของเคนต่อแทบจะทันที



ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura
Re: Love on the rocks รินรักลงแก้ว Epilogue (6/12/2020)
«ตอบ #34 เมื่อ06-01-2021 14:45:40 »

“ไม่เคยเห็นหน้าเลยครับ”

“คนหายเหรอจ๊ะพ่อหนุ่ม แจ้งคุณทหารหรือยัง? ”

“ไม่คุ้นเลย”

“ไม่อ่ะ ไม่เคยเห็น ว่าแต่สนใจหนังสือพิมพ์สักฉบับไหม”

เมืองใหญ่ขนาดนี้ จะสุ่มหาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก… ชเนย์เดินแทบขาลากจนตะวันลับขอบฟ้าไปหลายชั่วโมง จึงตัดสินใจกลับไปนอนพักที่โรงแรมก่อนจะเริ่มออกตามหาใหม่วันพรุ่งนี้ แต่ระหว่างที่เขากำลังเข้าแถวซื้อของกินร้านแผงลอยที่ยังเปิดอยู่ไม่ไกลจากที่พักนัก ชเนย์ก็ได้ยินคนที่ท่าทางเป็นนักเดินทางสองคนข้างหน้าคุยกันพอดี

“พรุ่งนี้ข้าจะไปที่อยู่บ้านข้างๆ นี้นะ แกช่วยไปขายที่หมู่บ้านตรงเนินเขาทีละกัน”

“เออ เอาสิ แต่มะรืนสลับกันนะเว้ย อีกหมู่บ้านที่อยู่ติดทะเลสาบน่ะ แกต้องเป็นคนไปเองนะ”

“อ่ะ ขอโทษครับ ขอสอบถามอะไรหน่อย” ชเนย์โผล่มาแทรกการสนทนา “ที่นี่มีหมู่บ้านที่พวกคุณว่าอีกกี่แห่งเหรอครับ? ”

สองชายวัยดึกหันมามองหน้าชเนย์เป็นตาเดียวด้วยความสงสัยระคนหงุดหงิดเล็กน้อย ก็ไม่แปลกหรอก กำลังคุยกันอยู่แท้ๆ ดันเจอคนแอบฟังนี่ก็ไม่น่าจะรู้สึกดีนัก “เพิ่งเคยมาแถวนี้เหมือนกันเหรอไอ้หนุ่ม? ”

“ครับ”

“ก็มีเยอะนะ แถวนี้เป็นชายแดนนี่ หมู่บ้านเล็กๆ กระจายกันไปแทบทุกทิศทางจากเมืองนี้แหละ” ชายอีกคนที่ดูจะกรึ่มๆ เหล้ากว่าก็ตอบอย่างไม่ถือสามาก “นับๆ แล้วลุงว่ามีสักสิบที่ได้ แต่ไม่เกินนี้หรอก”

“ขอบคุณมากครับ” เอาวะ มันต้องมีสักที่แหละน่า…

“แต่การเดินทางมันลำบาก ไม่มีการขนส่งสาธารณะเข้าไปได้เลยเว้นแต่จะขอติดรถพวกพ่อค้าแบบพวกข้าเข้าไป” ชายอีกคนตอบพลางถอนหายใจ “จริงๆ ไม่ค่อยอยากรับคนเพิ่มหรอก ไม่อยากจะรับผิดชอบชีวิตคนอื่นๆ ”

“....คือ..” เล่นปฏิเสธตัดหน้ากันแบบนี้ใครจะไปกล้าขอติดรถพวกลุงไปเล่า!

“ที่จริงพวกลุงแนะนำร้านที่พอรับคนไปด้วยให้ได้นะ”

“จริงเหรอครับ!? ”

“แต่ก็นะ…”

“ครับ? ” ชเนย์เลิกคิ้ว มองหน้าสองลุงตรงหน้าที่มีสีหน้าลำบากใจจะพูดแบบสุดๆ

“เจ้านั่นน่ะหน้าเลือดเอาเรื่อง ถ้าเงินไม่หนาจริง อย่างมากมันก็พาไปส่งแค่หมู่บ้านเดียวแล้วไม่พากลับด้วย เพราะเปลืองที่ขนสัมภาระกับของขายมันน่ะสิ” ชายที่ทำหน้าหงุดหงิดในคราแรกยิ่งขมวดคิ้วย่นเข้าไปอีก

“อืม….”







“เอาจริงเหรอ? ”

“ครับ ถ้าพาผมไปได้หมดทุกหมู่บ้านผมจะให้เช็คเงินสดนี้กับคุณเลยครับ”

ชเนย์มาต่อรองกับเจ้าของคาราวานขายของที่กำลังจะออกจากเมืองตั้งแต่เช้าตรู่ด้วยความช่วยเหลือของคุณลุงทั้งสองเมื่อคืนนี้ ในมือยื่นเช็คใบหนึ่งที่เขียนจำนวนตัวเลขมากโขให้กับชายร่างท้วมที่แต่งตัวมีฐานะกว่าคนอื่นๆ โชคดีนะที่เมืองนี้ใช้สกุลเงินเดียวกับบ้านเกิดเขา

“ของจริง? ”

“เอาไปตรวจดูก่อนก็ได้ครับ”

“อืม….แต่ว่า แค่นี้ก็คงได้ไม่หมดทุกหมู่บ้านหรอกน่า” แม้จะเห็นเงินจำนวนมากแต่พ่อค้าก็ดูไม่ได้สนใจมากนัก “เงินแค่นี้ก็พอๆ กับที่ข้าขนของไปขายนั่นแหละ”

“อ่ะ ผมลืมบอก เช็คนั่นสำหรับหนึ่งหมู่บ้านครับ” พอชเนย์พูดแบบนั้นพ่อค้าคนกลางก็เลิกคิ้วสูงทันที “ผมต้องการไปทุกหมู่บ้านเพื่อตามหาคนคนหนึ่ง ไม่กระทบเวลาเดินทางคุณด้วยแน่นอน”

“เอ...แบบนี้ค่อยน่าสนใจหน่อย” พ่อค้ายังคงมองตัวเลขในเช็คเงินสดนั้นอย่างพินิจ “แต่ก็ใช่ว่าผมจะเห็นแก่เงินอย่างเดียว เอาเป็นว่าด้วยเงินจำนวนนี้ผมจะจัดการเรื่องอาหารการกินทั้งสามมื้อให้คุณด้วยเลยละกัน ส่วนเรื่องตามหาคนอะไรยังไงก็ตามสบาย แค่กลับมาให้ทันเวลาเดินทางรอบต่อไปก็พอแล้ว”

“งั้นเป็นอันตกลงครับ” ก็อยากจะบอกอยู่หรอกว่าเขาทำกินเองคงอร่อยกว่า… แต่กลัวจะเสียน้ำใจกันเกินไป

โชคดีที่เขาแทบไม่ได้ใช้เงินราชการในคลังส่วนตัวเลย ตอนนี้เลยพอจะมีเงินเหลือให้ใช้อีกเพียบ...

กองคาราวานออกเดินทางจากเมืองใหญ่สู่หมู่บ้านขนาดเล็กนอกเมืองเป็นสายเป็นทางยาว รายล้อมด้วยทหารยามคุ้มกันนอกเครื่องแบบหลายชีวิต ท่าทางเป็นคนมีอำนาจพอตัวแน่ๆ ถึงได้จ้างคนพวกนี้มารักษาความปลอดภัยได้ ภายในรถที่ชเนย์นั่งมามีผู้โดยสารสี่ห้าคนที่ขอติดมาด้วยอยู่เช่นกัน มีทั้งที่แต่งกายยากจนไปจนถึงคนที่ดูมีฐานะและท่าทางแค่ออกมาเดินเที่ยวชมป่าเขาเฉยๆ อยู่ด้วย

แต่ละหมู่บ้านห่างกันค่อนข้างมาก จากหมู่บ้านหนึ่งไปอีกหมู่บ้านใช้เวลาเดินทางเฉลี่ยสองวัน และจะหยุดขายของรวมทั้งซื้อสินค้าบางอย่างกลับไปขายที่อื่นอีก 2 วันเต็ม แต่ผ่านมาสามแห่งแล้ว ชเนย์ก็ยังไม่เจอใครที่รู้จักเคน...ไม่สิ ตอนนี้อาจจะเปลี่ยนไปเป็นชื่ออื่นแล้วก็เป็นได้… ตอนนี้เหลือเขากับนักท่องเที่ยวอีกหนึ่งคู่อยู่บนรถโดยสารเท่านั้น คนอื่นๆ ได้ลงตามหมู่บ้านไปจนหมดแล้ว

คุณจะสบายดีไหมนะ...ผมอยากเจอคุณจัง

ชเนย์ผล็อยหลับไปทั้งที่ในหัวคิดถึงแต่คนที่เขาตามหา ถ้าเจ้านรกไม่ได้โกหกและคุณยังมีชีวิตอยู่จริงๆ ..ผมก็ยังคงมีหวังให้ตามหาสินะ







พวกเขาเดินทางกันมาร่วมเดือนกระทั่งมาถึงหมู่บ้านเล็กๆ สงบเงียบแต่สวยงามน่าอยู่ในชนบทที่ห่างไกลอย่างมาก ‘ริบูริ’ คือหมู่บ้านแห่งที่แปดจากทั้งหมดเก้าแห่งที่หัวหน้ากองคาราวานบอกกับชเนย์ ยิ่งนานวันความหวังยิ่งริบหรี่ลงเรื่อยๆ ในอกจุกแน่นสั่นสะท้าน ถ้าหากเคนไม่ได้อยู่ที่นี่หรือไปอยู่ที่ไหนที่ไกลแสนไกลที่เขาตามหาไม่เจอจริงๆ จะทำยังไงดี มือที่ถือรูปถ่ายของนักฆ่าผมแดงอยู่สั่นอย่างช่วยไม่ได้ ดวงตาแดงก่ำจากการพยายามฝืนกลั้นอารมณ์ด้านลบที่ถาโถมใส่

กองคาราวานเข้ามาเทียบท่าอยู่ที่ทุ่งกว้างข้างๆ ตัวหมู่บ้านซึ่งเป็นที่สำหรับรองรับเหล่าพ่อค้าจากทุกสารทิศ แต่เนื่องจากระยะทางและความเจริญเข้ามาไม่ถึง นานๆ ครั้งจึงจะมีกองคาราวานใหญ่เข้ามาแบบที่ชเนย์ติดมาด้วยนี้ แต่ตัวหมู่บ้านนั้นค่อนข้างเล็กเพราะคนอาศัยไม่มาก ใช้เวลาเดินไม่ถึงสองชั่วโมงก็เที่ยวได้จนทั่วหมู่บ้าน ทว่าก็ไม่เจอวี่แววของคนที่ตามหาอยู่ดี

“ขอโทษครับ พอจะเคยเห็นคนคนนี้ไหม? ” ชเนย์ลองตัดสินใจถามคนที่ค่อนข้างมีอายุ เพราะคาดเดาว่าอาจจะอยู่ที่เมืองนี้มานานแล้ว

“อืม...เอ คุ้นๆ อยู่นะ”

“จริงเหรอครับ!? ”

“แต่ว่า...ไม่ใช่ว่าตาข้างหนึ่งมันบอดหรอกเหรอ? ”

“คุณพ่อคะ เขาแค่มองไม่ชัดเฉยๆ ไม่ได้ตาบอดสักหน่อย” หญิงสาวร่างบางในชุดกระโปรงพร้อมตะกร้าจ่ายตลาดก็เดินมาหาผู้ชายสูงอายุที่ชเนย์ยืนคุยด้วย “ขอโทษแทนคุณพ่อด้วยนะคะ ถ้าเป็นคุณคนนี้ เขาอยู่ที่กระท่อมถัดไปตรงตีนเขานั้นค่ะ”

ชเนย์ขอบคุณคนที่ช่วยบอกทางเสียยกใหญ่ ในใจเริ่มพองโต ทั้งตื่นเต้น ตื้นตัน หลากหลายความรู้สึกปะปนกันจนเผลอวิ่งสะดุดพื้นหินแทบล้มหน้าคะมำไปรอบหนึ่ง แต่เขาก็ไม่ยอมหยุดวิ่งเต็มฝีเท้าตรงไปตามทางที่หญิงสาวบอกราวกับกลัวว่าเคนจะหายไปจากตรงนั้นเสียก่อน

เคน… ผม.. ผมมาแล้วนะ!

ชเนย์วิ่งไปทั่วตามทางทิศทางที่ได้รับรู้มา จนมาเจอกระท่อมหลังน้อยสภาพทรุดโทรมเหมือนไม่มีคนดูแลอยู่หลังหนึ่ง ทว่า มีร่องรอยการกวาดพื้นและการตัดหญ้าบางส่วนอยู่ จึงเดาได้ว่าต้องมีคนอาศัยแน่นอน เขาตรงเข้าไปเคาะประตูบ้านหลายรอบอยู่นานสองนาน แต่ไร้เสียงตอบรับและดูเหมือนจะไม่มีใครอยู่ด้วย พอคิดจะหันหลังกลับก็เจอคนที่ตามหาพอดิบพอดี อีกฝ่ายก็ช็อกจนเผลอทิ้งถุงกระดาษใส่ของตกลงพื้นหมด มีแต่มันฝรั่งลูกเล็กๆ ทั้งนั้น…

ชายหนุ่มที่ไม่ได้เป็นนักฆ่า ชุดที่ใส่ก็ไม่เหมือนเดิม ไม่ใช่สูทเนื้อดีหรือเชิ้ตสีขาวสะอาดตัวเก่ง แต่เป็นชุดมอมแมมดังเช่นชาวบ้านห่างไกลความเจริญคนอื่นๆ ผมยาวสีแดงโดนรวบไว้ไม่เรียบร้อย...คงเพราะเหลือแขนแค่ข้างเดียวนั่นกระมัง.. ทั้งสองคนยืนจ้องตากันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนชเนย์จะได้สติก่อน

“เคน.. นั่นคุณจริงๆ ใช่มั้ย…”

แต่พอตั้งสติได้ แทนที่จะดีใจโผเข้ากอดเหมือนในละคร อีกคนกลับหันหลังและ...วิ่งหนีซะงั้น!!

“อ่ะ! เดี๋ยวสิครับ!! ” ชเนย์ใช้เวทของตัวเองยกร่างของคนที่กำลังจะวิ่งหนีเขาให้ลอยเคว้งอยู่ในอากาศในระดับที่ไม่สูงจนเกินไป เนื่องจากเขาแทบไม่เหลือแรงแล้วเพราะเดินจนขาลากตั้งแต่มาถึงหมู่บ้าน ถ้าจะให้วิ่งตามล่ะก็ใช้เวทยกไว้ไม่ให้หนีง่ายกว่า....

“มาได้ไง!? ” คนโดนยกลอยเท้งเต้งกลางอากาศถามเสียงแข็งใบหน้าตื่นตระหนกอย่างกับเจอผี..

“ขอชาถ้วยหนึ่งแล้วจะบอกครับ” ไม่พูดพร่ำทำเพลง แขกไม่ได้รับเชิญก็พาตัวเองเข้าไปในบ้านกระท่อมพร้อมเจ้าของบ้านที่ยังไม่ได้ลงมาแตะพื้นแล้วจัดแจงให้นั่งอยู่ในมุมอับห่างจากประตูและหน้าต่างพอสมควร แต่ต่อให้คิดหนีตอนนี้ก็ไม่แน่ว่าจะทำได้…

ชเนย์พินิจดูไปรอบๆ ข้าวของไม่ได้มีมากมายและจัดวางไม่เป็นระเบียบนัก ส่วนใหญ่เป็นของใช้จำเป็นไม่กี่อย่าง แต่ก็ไม่ได้รกจนสกปรกอะไร ก่อนจะหันมามองดูสภาพเจ้าของบ้าน

“ผอมลงรึเปล่าครับ? ”

ไม่ใช่แค่ผอมจนใบหน้าซูบลงเท่านั้น ผมสีแดงนั้นก็ยาวขึ้นแต่ดูกระเซิงกว่าเดิม ถ้าให้มองจากสายตาชเนย์คงเหมือนแมวโดนทิ้ง.. ชายหนุ่มร่างเล็กกว่าหันหน้าหนีไม่ยอมตอบทำตัวใบ้รับประทาน ชเนย์เลยถือโอกาสบุกห้องครัวแล้วก็พบว่ามีแต่อาหารสำเร็จรูป ส่วนอุปกรณ์ทำครัวนั้นแค่ดูก็รู้ว่าแทบไม่ได้ใช้งานเลย

“ตอนมาถึงหมู่บ้านน่ารักๆ แบบนี้ก็คิดว่าคุณคงมีความสุขดี แต่ดูท่า...ความเป็นอยู่เรื่องปากท้องจะแย่กว่าที่ผมคิดซะอีกนะ”

“ชงชาเสร็จก็รีบกลับไปได้แล้ว”

“เพิ่งมาถึงก็จะไล่แขกแล้วงั้นเหรอครับ? ”

“นี่มันเรียกผู้บุกรุก ไม่ใช่แขกแล้ว” เคนที่ทำท่าเหมือนแมวแยกเขี้ยวขู่พูดไล่ แต่คนบุกรุกบ้านก็ดูไม่ได้ใส่ใจนัก แหงสิ...คิดว่าเขาตามหาตัวมานานแค่ไหนแล้ว?

“กินอะไรรึยังครับ? แต่เดาว่าน่าจะยังนะ”

“จะทำอะไร? ”

“ทำอาหารไง” เปิดตู้เย็นเจอแต่ความโล่งที่น่าอดสู ช่องแช่แข็งที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากน้ำแข็ง ยิ่งช่องแช่ผักนี่ไม่ต้องพูดถึง “อืม...ไม่น่าคาดหวังยิ่งกว่าที่คิดอีก”

“ปิดตู้ได้แล้ว เปลืองไฟ”

“ช่วยไม่ได้ เดี๋ยวไปซื้อของมาทำแล้วกัน ช่วยพาไปที่ร้านขายของหน่อยสิครับ” ชเนย์หันมายิ้มให้เหมือนเช่นในอดีตเมื่อไม่กี่ปีก่อน ครู่หนึ่งเขาเห็นแววตาวูบไหวในดวงตาสีทองของอีกฝ่าย

“นี่ตกลงมาทำอะไรกันแน่เนี่ย? ”

“อารมณ์เสียขนาดนี้เพราะหิวสินะครับ โวยวายมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว”

พอนึกได้ว่าจะทำเมนูอะไรฉลองการกลับมาพบกันอีกครั้ง ชเนย์ก็ลากอีกฝ่ายออกจากบ้านกระท่อมและเดินเข้าไปในหมู่บ้านหาซื้อของมาทำอาหารตั้งแต่วัตถุดิบยันเครื่องปรุง เพราะแอบไม่มั่นใจว่าของที่มีอยู่ในครัวจะหมดอายุไปแล้วหรือยัง ซึ่งแน่นอนว่าเคนก็เดินตามมาอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก

ชเนย์ลอบสังเกตอยู่หลายครั้งว่าอีกฝ่ายไม่ยอมสบตาเขาด้วยซ้ำ.. ทำไมกันนะ? โกรธที่โดนเจอตัว? ก็ไร้เหตุผลไปหน่อย...ไม่สิ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเคนจะหนีมาทำไมตั้งแต่จบเรื่องบนเกาะนั่น..

เอาเถอะ ถ้าไม่อยากบอกตอนนี้เขาก็จะไม่ซักไซ้

ทั้งสองคนเดินมาถึงตลาดที่ค่อนข้างเงียบเหงาเพราะยังไม่ใช่เวลาจ่ายตลาดของผู้คน แถมตอนนี้กองคาราวานเองก็มาตั้งข้างหมู่บ้าน คนก็เลยแห่ไปสอดส่องดูของจากที่อื่นกันเพราะไม่ได้มีมาให้ซื้อบ่อยๆ

“ไม่ต้องจับมือก็ได้น่า” เคนพยายามดึงมือตัวเองออกจากชเนย์

“ก็เดี๋ยวคุณหนีไปอีก”

“วิ่งไปคุณก็จับผมได้อยู่ดี”

“ก็ได้ครับ” ชเนย์ยอมปล่อยมือจากอีกฝ่าย… ว่าไปทำแบบนี้มันรุกล้ำเกินไปมั้ยนะ พวกเขาก็...นั่นสิ ตอนนี้เป็นเพื่อนกันเฉยๆ นี่นา

“อ้าว? เคนนี่จัง มาซื้อของเหรอจ๊ะ? ”

ร่างสูงโปร่งหันไปมองดูเคนคุยอยู่กับเจ้าของร้านซึ่งเป็นหญิงมากวัย จากสายตาและดูท่าทางคงเอ็นดูเคนเหมือนลูกคนหนึ่งด้วยซ้ำ “นี่ๆ พ่อหนุ่มนั่นใครเหรอ? พี่ชาย? เพื่อน? ”

“คนรู้จักน่ะครับ”

หืม...อยู่ที่นี่ใช้ชื่อว่าเคนนี่งั้นเหรอ มิน่าล่ะถึงหาตัวไม่เจอ

“มองอะไร? ”

“เปล่าครับ เคนนี่จัง~”

“เคนนี่เฉยๆ เฟ้ย! ”

ชเนย์เดินหิ้วของนำหน้า ตลอดทางมีทั้งเด็กและคนแก่ทักทายเคน...ไม่สิ ‘เคนนี่’ ไม่ขาดสาย

อย่างน้อยคนที่หมู่บ้านนี้ก็ยินดีต้อนรับคุณสินะ...







“มาถึงนี่ได้ยังไง? ”

“นั่งมากับคาราวานครับ ผ่านมาก็น่าจะเกือบสองเดือนได้”

“...มาไกลเลยนะนั่น”

“คุณก็เหมือนกัน ทำไมมาอยู่ที่แบบนี้ล่ะครับ ถึงหมู่บ้านจะน่าอยู่จริงๆ ก็เถอะ” ชเนย์นึกภาพที่อีกฝ่ายถ่อสังขารมาที่หมู่บ้านนี้ด้วยสภาพร่างกายแบบนั้น ขนาดเขาเตรียมตัวมาแล้วก็ยังเดินทางมาอย่างยากลำบาก อีกฝ่ายจะไม่แย่ยิ่งกว่าได้ยังไง

“ไม่หนีมาขนาดนี้ก็ตายสิ เห็นแบบนี้โจทก์เก่าก็เยอะอยู่นะ”

เคนนึกย้อนไปในตอนที่เขาลอบหนีออกจากเกาะเซฟิลหลังห้ำหั่นกับชเนย์ แถมที่รอดมาได้หวุดหวิดก็เป็นได้เพราะยาฟื้นสภาพของอีกฝ่ายช่วยต่อชีวิตเขาเอาไว้ แต่เมื่อไปถึงที่ปลอดภัยปรากฏว่าเงินที่อยู่ในบัญชีลับซึ่งเขาตั้งใจจะเอาไปตั้งต้นเริ่มชีวิตใหม่กลับหายไปหมดไม่เหลือ เครือข่ายคนรู้จักก็ถูกตัดขาดทุกทาง บอสคงตั้งใจจะลบทิ้งทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเขาไปให้หมด ไม่ให้เหลือหลักฐานว่า ‘อเวเค่น ซันไรส์’ เคยมีตัวตนอยู่ในสังคมมืด

ตัวเขาสิ้นสภาพเกินกว่าจะกลับไปตายรังขอความเมตตาจากเจ้านายเก่า ยาของชเนย์นั้นก็ไม่ได้สารพัดประโยชน์ขนาดสามารถงอกแขนซ้ายที่เสียไปหรือรักษาตาข้างขวาที่มองแทบไม่เห็นนั้นได้ ขืนกลับไปองค์กรก็คงมีแต่ตายเปล่าเหมือนหมาข้างถนน ทำได้แต่ปล่อยตัวเองไปตามชะตากรรม เพราะไม่มีที่ไหนให้กลับไปได้อีกแล้ว

ทั้งๆ ที่คิดแบบนั้น แต่ก็ดันทุรังมีชีวิตอยู่ตามลำพังมาได้ร่วมสองปี แถมเจอคนที่คาดไม่ถึงอีกครั้ง...

“ว่าแต่...จะบอกได้รึยังว่าตามหาผมเพราะอะไร? ” เคนยกชาที่อีกฝ่ายชงมาให้ดื่ม ทั้งที่เป็นใบชาราคาถูกที่เขาชงดื่มเองอยู่ทุกวันแต่วันนี้กลับมีกลิ่นหอมและรสชาติกลมกล่อมกว่า

"แบบว่า…ผมจะมาลักพาตัวคุณไปอยู่ด้วยกันน่ะ"

พรวด…

"ก็...ผมเคยบอกแล้วว่าจะคิดเรื่องของคุณดู อีกอย่างตอนอยู่กับคุณก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไร"

“...สรุปนี่โดนเจ้านรกทิ้งมาจริงๆ ใช่มั้ยถึงได้จะมาเอาผมไปแทน? ”

“.....”

“เอ่อ...ขอโทษ” ดูท่าทางไอ้ที่พลั้งปากพูดไปนี่ถึงไม่ใช่ก็คงใกล้เคียง

“ไม่เป็นไรครับ จะเข้าใจแบบนั้นก็ไม่แปลกหรอก” บรรยากาศหนักอึ้งลงทันที "เอาล่ะ ผมตอบคำถามคุณแล้ว...แล้วคุณล่ะจะเอาไงต่อดี? "

"เอาไง? ผมกลายเป็นไอ้บอดแขนด้วนไปแล้วนะ คุณจะให้ผมไปเป็นภาระเหรอ? "

"เพราะแบบนั้นแหละผมเลยยิ่งปล่อยคุณไปไม่ได้ ถ้ากลับไปด้วยกันผมจะได้ปรุงยาฟื้นสภาพร่างกายให้ แต่มันต้องใช้เซลล์จากร่างกายคุณด้วย ยิ่งมีมากก็ยิ่งทำยาได้เยอะ แขนคุณจะได้งอกกลับมาไวขึ้น ตาอีกข้างของคุณก็น่าก็จะกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง"

“ทำแบบนั้นได้ด้วยเหรอ? ”

"ครับ อ้อ...แล้วเดือนหน้าน้องสาวผมก็จะแต่งงานแล้ว บ้านคงจะโล่งมากๆ เลยล่ะ"

“.....” เคนนึกหาเรื่องอื่นชวนคุย "ไม่รีบกลับไปที่กองคาราวานเดี๋ยวก็ถูกทิ้งไว้นี่หรอก"

"ผมเจอคุณแล้วก็ไม่คิดจะเดินทางไปไหนต่อแล้วล่ะครับ" ชเนย์เริ่มหันไปสนใจข้าวของที่ซื้อมาและเริ่มลงมือทำอาหารเที่ยงมือเป็นระวิง ส่วนเคนก็นั่งสงบเสงี่ยมบนเก้าอี้โต๊ะอาหารเพราะต่อให้พยายามลุกหนีก็จะโดนใช้เวทควบคุมยกตัวลอยกลับมานั่งที่เดิม

ภาพความทรงจำเก่าๆ ตอนที่มักจะขลุกอยู่ด้วยกันที่ห้องครัวในปราสาทของเจ้านรกวนกลับมาเป็นฉากๆ เหมือนแผ่นฟิล์ม

ชเนย์ทำไข่กวนกับเบคอนไส้กรอกผัดมาสคาโปนชีสอาหารจานแรกเป็นออร์เดิร์ฟเสร็จก็ยกจานมาวางที่โต๊ะ จานที่สองเป็นข้าวเนื้ออบที่ทำจากเนื้อสันในชิ้นหนานุ่ม พาสต้าครีมซอสเห็ดและแซลมอนสเต็กกับซอสครีมเลมอนถูกวางเป็นจานที่สามและสี่ แถมยังมีวุ้นผลไม้สดเป็นของหวานล้างปากอีก ทำให้ความอดทนของอดีตนักฆ่าพังทลายทีละนิด แม้จะพยายามเมินหน้าหนี แต่กลิ่นหอมหวนที่ไม่ได้ลิ้มรสมานานช่างยั่วยวนกระเพาะ

“ผมซื้อของมาเยอะไว้ทำเผื่อกินได้ถึงพรุ่งนี้เลย”

“หา? หมายความว่าคืนนี้จะค้างที่นี่? ”

“ครับ”

“ไม่มีห้องว่างหรอกนะ ไหนจะทั้งแคบทั้งสกปรก”

“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน มานั่งกินข้าวเถอะครับ”

แค่ชั่วโมงเดียวก็เสกอาหารคาวหวานมาเสิร์ฟจนเต็มโต๊ะ ฝีมือไม่เคยตกเลยจริงๆ แถมไม่รู้คิดไปเองรึเปล่าว่าทางนั้นอัพสกิลทำอาหารได้น่ากินยิ่งกว่าเดิมอีกจนเสียงท้องร้องของเคนประท้วงหนักมาก

“น้ำลายย้อยแล้วครับ” พอเคนทำท่าจะลุกขึ้น ชเนย์ก็ใช้มือคว้าจับแขนเสื้อที่ไร้แขนจริงเอาไว้ไม่ให้ไปไหน “ถ้าไม่มานั่งกินดีๆ ผมจะเททิ้งนะ”

"จะไปล้างมือ"

"อ่อ…"

เพราะว่ายังไม่มีอะไรตกถึงท้อง แถมกระเพาะก็ร้องหิวจนไส้กิ่ว แม้ใจอยากขัดขืนก็ทำไม่ได้ สุดท้ายจึงต้องยอมมานั่งกินอาหารแต่โดยดี ไข่กวนกับเบคอนจานแรกหมดอย่างรวดเร็วทำให้คนทำอาหารเริ่มใจชื้นที่คนกินมีความอยากอาหารดี

ชเนย์มองดูอีกฝ่ายใช้มือข้างเดียวหยิบช้อนตักข้าวก่อนจะเปลี่ยนไปใช้ส้อมจิ้มเนื้ออบเข้าปากสลับกันไปมา ก่อนจะตัดสินใจดึงจานเข้าหาตัวเองแล้วลงมือตักอาหารพร้อมกับป้อนให้

“เฮ้ ไม่ต้อง มือเดียวก็กินเองได้น่ะ”

“กว่าจะกินเสร็จทุกจาน อาหารของผมก็เย็นชืดหมดสิครับ” เคนเลยต้องนั่งเป็นเด็กน้อยที่มีคุณแม่คอยป้อนข้าวป้อนน้ำให้กิน ไม่นานทุกจานก็เกลี้ยงด้วยความที่เคนเป็นคนกินเร็วมาแต่ไหนแต่ไรแถมบวกความหิวที่ไม่ได้กินของดีๆ มานานอีก

“ขอถามอะไรหน่อยสิครับ เรื่องนี้คาใจผมมาตลอดเลย”

“เรื่องอะไร? ”

"ทำไมตอนอยู่ที่ปราสาทคุณถึงเข้าหาผมล่ะ? ” ชเนย์ถามด้วยความสงสัย ที่จริงแล้วก็เคยแอบคิดเอาไว้นะว่าตอนนั้นเคนตั้งใจหลอกเขาหรือเปล่า

“...เหมือนที่เคยพูดไง ถึงคุณไม่ได้โง่แต่ก็ไม่ฉลาดพอจะตามเกมคนเจ้าเล่ห์ทัน”

“...ใจร้ายจังนะครับ ว่าแต่ผมมีค่าให้คุณหลอกใช้ด้วยงั้นเหรอ? ”

เคนมองแก้วกาแฟในมือ ตอนที่เข้ามาในปราสาทเจ้านรกที่มีแต่ปิศาจและพวกอันตรายเต็มไปหมด เขาประเมินสภาพการณ์แล้วว่าควรหาทางเกาะใครสักคนที่มีแนวโน้มจะช่วยให้ตัวเขาเองอยู่รอดในปราสาทได้ตลอดรอดฝั่งได้ เอาจริงๆ แล้วก็กังวลว่าจะโดนฆ่าทิ้งตั้งแต่ยังไม่ถึงวันแข่งด้วยซ้ำเพราะดูท่าทางแล้วพวกปิศาจคงไม่มีใครอยากจะญาติดีกับมนุษย์อย่างเขา

ในจำนวนนั้นคิดว่าชเนย์น่าจะพอตีสนิทด้วยได้มากที่สุด ความที่เป็นมนุษย์เหมือนกันแถมเท่าที่ลองสังเกตห่างๆ ก็ดูจะเป็นคนโปรดของเจ้านรก อย่างน้อยๆ ก็คงเป็นโล่ให้ได้ชั่วคราว แล้วการที่จะตีซี้ได้เร็วที่สุดในเวลาสั้นๆ โดยเฉพาะกับชเนย์ที่ชอบผู้ชาย...มันก็มีอยู่แค่ไม่กี่วิธี

แต่...เขาก็ไม่เคยตกผู้ชายด้วยกันมาก่อน หลายครั้งมันเลยออกมาเป็นสถานการณ์พิลึกพิลั่นอย่างที่เห็น สุดท้ายเขาก็พลาดท่าเสียทีให้กับคนที่เขามองว่าเป็นแค่เหยื่อ

“วันนั้น...ผมตั้งใจจะระเบิดสมองตัวเองจริงๆ ”

ไม่ใช่แค่เพราะว่าต้องการให้เกมกระดานพลิก แต่เป็นเพราะ... “ผมฆ่าคุณไม่ลงจริงๆ …”

“คุณฆ่าผมไปแล้วครับ”

“!? ”

“ตลอดสองปีมานี้ภาพที่คุณยิงหัวตัวเองทั้งทำสำเร็จและไม่สำเร็จ มันวนเวียนอยู่ในหัวผมไม่ว่าตอนหลับหรือตื่น” เขายกนิ้วเคาะที่ขมับตัวเอง “หลอนจนแทบจะเป็นบ้า มีแต่ต้องหาวิธีลืมด้วยการไปมั่วเซ็กส์ถึงจะสลัดคุณกับมันสมองเละๆ ไปจากหัวได้”

“...จะให้ผมชดใช้ยังไง? ” เคนมองใบหน้าที่เหมือนจะยิ้มแต่ดวงตาไม่น่าไว้ใจ

“ชดใช้ด้วยการอยู่กับผมตลอดไปเลย”

"...........นี่คุณขอผมแต่งงาน? "

"คิดงั้นก็ได้นะ แต่ไม่มีแหวนแฮะ..." ชเนย์เริ่มมองหาอะไรที่จะมาประยุกต์ใช้แก้ขัด สุดท้ายเลยเอาเส้นพาสต้าที่เหลือมาม้วนเป็นวงกลมเล็กๆ ในจานจนดูเป็นแหวน

"ทำอะไรของคุณเนี่ย! " เคนกลั้นหัวเราะกับความมักง่าย

"ผมจะถามอีกครั้ง...อยากมาอยู่กับผมมั้ย" ชเนย์กล่าวตรงๆ ไม่อ้อมค้อม

“....ผม”

“หรือควรพูดกับสายกินอย่างคุณว่า ‘อยากให้ผมเป็นคนทำกับข้าวให้กินไปตลอดชีวิตมั้ย’ ดีกว่า? "

"คุณนี่มัน...เหลือเชื่อเลยจริงๆ " เคนนิ่งไปพลางยกมือปิดหน้า "ผมยอมแพ้คุณเลยจริงๆ "

ถึงจะฟังดูไม่เต็มใจนัก แต่แค่รอยยิ้มที่ตอบรับมาแค่นั้นก็เกินพอ

หลังจากกินเสร็จก็ช่วยกันล้างจาน แล้วพากันจูงมือออกมานั่งรับลมที่ม้านั่งในสวนหลังบ้าน ร่างโปร่งโอบไหล่อีกคนพลางคุยกันต่อถึงเรื่องราวตลอดสองปีที่ผ่านมาของแต่ละคน เคนจึงได้รู้ว่า ‘อดีตเจ้านรก’ ยังคงอยู่ที่ไหนสักแห่งเช่นเดียวกัน และคงจะคอยเฝ้าดูชเนย์อยู่ด้วย

"อาจจะทนดูผมใช้ชีวิตเสเพลต่อไปไม่ไหวมั้งครับ เลยมาเข้าฝันบอกว่าคุณยังมีชีวิตอยู่"

“...คุณโอเคนะ? ”

"ก็น่าจะรู้นิสัยเขาดีนี่ครับ เอาแต่ใจที่หนึ่ง แต่ก็นะ...ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเข้ามายุ่งป่านนี้ผมคงยังใช้ชีวิตเหมือนเดิมต่อไป"

"...ถอดแว่นให้ผมดูหน้าคุณชัดๆ หน่อยสิ"

ชเนย์ยิ้มแล้วถอดแว่นให้แต่ดูโดยดี เคนแอบสังเกตว่าดวงตาอีกฝ่ายช้ำและแดงจากการร้องไห้ ทั้งยังมีรอยคล้ำใต้ตานิดๆ เหมือนคนไม่ได้นอน แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป

"ที่นี่สวยนะ"

"...ใช่มั้ยล่ะ"

แขนอีกข้างสวมกอดเจ้าของกระท่อมหลังน้อย “จะให้ผมอยู่ที่นี่ก็ได้นะครับ”

“...แล้วน้องสาวคุณล่ะ? ”

“นานๆ กลับไปเยี่ยมทีก็ได้ เดี๋ยวพอเธอแต่งงานมีลูกก็ไม่มีเวลามาคิดเรื่องผมแล้ว”

“ไม่ไหวก็อย่าฝืนพูด…”

“.....”

“ถ้าไม่ให้ผมไปร่วมอวยพรงานแต่งน้องสาวคุณผมจะโกรธนะ”

ชเนย์อึ้ง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้าง "ถ้างั้น...ไปเก็บของกันมั้ยครับ เดี๋ยวผมช่วย! "

"รีบไปมั้ยเนี่ย! "

"เอ่อ ก็..." สรรหาคำพูดมาแก้ตัวไม่ได้เลยเขินหลบไปอีกทาง

"แต่ผมว่านะ ไม่ต้องเก็บของหรอก ใช้เวทของคุณยกบ้านผมไปทั้งหลังยังได้เลยมั้งเนี่ย"

“กว่าจะยกไปถึงบ้านเกิดได้ผมคงปล่อยกระท่อมนี่ทิ้งลงแม่น้ำสักที่ก่อนแหละ แต่ยกคุณไปที่เตียงตอนนี้เลยสบายมาก”

“เฮ้ย! เดี๋ยว! ” คนตัวเล็กกว่าโดนอุ้มไปที่ห้องนอนและวางลงกับเตียง ไม่สบอารมณ์ที่โดนอุ้มง่ายๆ เป็นแมว

“คิดถึงมาตลอดเลยครับ” ร่างโปร่งสวมกอดเบาๆ หอมแก้มเจ้าแมวอยู่หลายฟอดก่อนจะเริ่มเรียกร้องมากขึ้นเรื่อยๆ

“หยุดเลย!! ...คิดจะล่วงละเมิดคนพิการไม่มีทางสู้รึไง!? ” เคนหงายการ์ดทั้งที่ต่อให้พิการแต่อดีตนักฆ่าใช่ว่าจะยอมให้ใครมารังแกง่ายๆ เว้นเสียแต่เป็นคนที่ไม่อยากทำร้ายเท่านั้น

"คิดถึงกลิ่นนี้จัง..." ร่างสูงโปร่งกอดแล้วซุกหน้าลงไปที่คอแมวดื้อ

"แล้วนี่แขนผมจะงอกทันงานแต่งน้องคุณมั้ยเนี่ย? "

"ไม่เป็นไรหรอก คนในเมืองส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยจะครบสามสิบสองทั้งนั้น"

"โอเค อย่างน้อยผมก็คงมีเพื่อนที่แขนขาไม่ครบสักคนสองคน" เห็นเคนหัวเราะยิ้มกว้าง ชเนย์เลยเอาหน้าผากมาแตะชนกันแล้วนอนนิ่งอยู่อย่างนั้น แต่คราวนี้เคนไม่หลบสายตาเขาแล้ว จ้องมองมาตรงๆ แถมยังยิ้มอ่อนให้อีก

"....จ้องแบบนี้ผมเขินนะ" ชเนย์แกล้งพูดแหย่แต่ก็แอบเขินจริงๆ "ตอนแรกนึกว่าคุณจะพยศกว่านี้ซะอีก"

“อิ่มแล้ว ขี้เกียจ” มือขวาที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียวลูบไปตามกรอบหน้าและดวงตาสีชมพูหม่นที่ขยับเข้ามาใกล้ก่อนจรดริมฝีปากแลกสัมผัสของกันและกัน

สุดท้าย...ก็จบที่เอาแต่นอนคุยกัน ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น




ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura
Re: Love on the rocks รินรักลงแก้ว Epilogue (6/12/2020)
«ตอบ #35 เมื่อ06-01-2021 14:48:12 »

“เคน หลับแล้วเหรอครับ? ” เห็นอีกคนเงียบไปเลยนึกว่าหนังท้องตึงหนังตาหย่อนไปแล้ว

“เปล่า…” เคนเงยหน้าขึ้นถาม “คุณ...ตัดใจเรื่องหมอนั่นได้แล้วจริงๆ เหรอ? ”

“เอาจริงๆ ก็...ยังครับ”

“...ให้มันได้อย่างนี้สิ”

“ผมเลยมาทำให้มันชัดเจนนี่ไง” ปลายนิ้วเกี่ยวเอาเส้นผมสีแดงขึ้นมาและจูบเบาๆ "เคน ผมรักคุณนะ.."

"........." คนถูกสารภาพรักอ้าปากค้างไปหลายวินาทีจนแมลงวันแทบจะบินไปตีลังกาได้สามรอบ

"...ผมไม่เคยพูดคำนี้กับใครเลยนะ"

"คุณน่ะเหรอไม่เคยบอกรักใคร อำผมเล่นเหรอ"

ชเนย์ส่ายหน้า “กับเค้าคนนั้นผมก็ไม่เคยพูด..."

"...เพราะผม? ”

"เหตุผลที่ผมกับเค้าลงเอยกันไม่ได้มันไม่ได้เป็นเพราะว่าคุณหรอกนะครับ และอีกอย่าง...ผมรู้สึกว่าคุณน่ารักขึ้นด้วย"

“หา! สมองกระเทือนไปแล้วเรอะ" สภาพแมวจรจัดอย่างเขานี่ห่างไกลคำว่าน่ารักไปจม

"ทีแรกก็พยายามว่าจะไม่คิดอะไรแล้ว...แต่ตอนที่เห็นคุณคุยกับพวกชาวบ้านน่ะคุณดูใจดีแล้วก็อ่อนโยนขึ้นนะ"

“......” คนถูกชมไม่ได้พูดอะไรตอบไป

"แล้วนี่ก็เป็นความรับผิดชอบของผมด้วย" มือลูบไปที่ยังดวงตาข้างที่เสียไป

"...มีใครเคยบอกมั้ยว่าคุณมันโง่”

"ก็คุณไง"

“เออ ก็โง่จริงๆ นี่”

“เลยต้องให้คนฉลาดอย่างเคนมาคอยอยู่ข้างๆ ช่วยเตือนสติด้วยไงครับ”

"บอกผมทีสิว่าไม่ได้ฝันอยู่” พูดยังไม่ทันจบก็โดนหยิกแก้มจนยืด

"คิดว่าฝันอยู่มั้ยครับ? "

"เจ็บ..."

"หึหึ หุบยิ้มหน่อยสิครับ ซื่อตรงจนน่าเอ็นดูแล้วครับ"

"อุตส่าห์ถ่อมาไกลเพื่อจะบอกเรื่องนี้เลยเหรอ ลงทุนมากเลยนะ"

"แหม...คนที่รับอดีตผมได้แถมยังไม่วิ่งหนีรสนิยมผิดแปลกบนเตียงอีก มันหากันไม่ได้ง่ายๆ นะคุณ"

เคนแอบยกเท้าเตะหน้าแข้งอีกฝ่าย

“เจ็บครับ! ”

"ไอ้ข้อหลังน่ะไม่ต้องพูดก็ได้! "

"ก็...บางคนพอเค้ารู้ก็ไม่โอเค แถมยังเผ่นป่าราบเลยนะครับ!! " คนโดนเตะระบายความอัดอั้น

“ถ้าคุณยังไม่เลิกหิ้วใครต่อใครมากินในบ้านผมก็เผ่นเหมือนกันแหละ! ” พอพูดออกไปแบบนั้นก็โดนรวบกอดแน่นไม่ปล่อย

"ผมจะไม่ยอมให้คุณหายไปอีกแล้วนะ"

ร่างโปร่งขยับตัวขึ้นคร่อมทาบทับร่างเล็กกว่าและครอบครองทุกสิ่งทุกอย่าง

เคนจึงได้รู้ว่า...ตลอดเวลาที่ผ่านมา อีกฝ่ายคิดถึงและโหยหาเขามากแค่ไหน

เพราะตัวเขาเองก็ปรารถนาไม่ต่างกัน...






"สายแล้ว! ทำไมคุณไม่ปลุกผมเนี่ย!? " คนตื่นสายที่พุ่งออกมาจากห้องน้ำและแต่งตัวขณะวิ่งลงบันไดตะโกนบ่นขณะเปิดตู้เย็นคว้ากล่องนมมากระดกอย่างรีบร้อน ก่อนจะมานั่งกินขนมปังไข่ดาวเบคอนที่พ่อครัวเตรียมไว้ให้เป็นมื้อเช้า

"ผมปลุกแล้วนะครับ แต่เห็นคุณนอนหลับสบายก็เลยปล่อยให้นอนต่อ" ชเนย์คีบไส้กรอกรูปปลาหมึกลงกล่อง ก่อนจะปิดผนึกฝากล่องข้าว “เคนครับ ผมทำข้าวเที่ยงไว้ให้แล้วนะ”

"อ๋ายแอ๊ววววว! " คนที่เหลือเวลาไปทำงานอีกไม่ถึงสิบนาทีตอบทั้งที่ของกินเต็มปาก ก่อนจะลุกพรวดแล้วคว้ากล่องข้าวไปจากมือพ่อบ้าน

"ไปดีมาดีครับ" ชเนย์โบกมือให้แล้วลงมือเก็บล้างจานก่อนจะปลดผ้ากันเปื้อนออกเพื่อเตรียมตัวจะไปจ่ายตลาด

เคนออกจากหมู่บ้านในชนบทมาอยู่ที่เมืองกร็อกทาวน์บ้านเกิดของชเนย์ได้ปีกว่าแล้ว ร่างกายที่เคยหมดสภาพตอนนี้หากเปรียบกับตอนที่เจอกันในรอบสองปีนับว่าดีขึ้นมาก แขนซ้ายที่เคยเสียไปก็กลับมาปกติ ดวงตาที่เกือบบอดก็มองเห็นชัดโดยไม่ต้องรอการบริจาคเพื่อผ่าตัด เรียกว่าถ้าไม่บอกว่าเขาเคยเป็นคนพิการมาก่อนตัวเองก็คงแทบไม่เชื่อเหมือนกัน

ด้วยว่าทนเห็นเคนที่ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปทำงานเป็นอาสาสมัครช่วยเลี้ยงเด็กและกลับบ้านมานอนสลบจนบางวันไม่ได้กินข้าวเย็นไม่ไหว แถมมีวันหยุดแค่สัปดาห์ล่ะครั้งอีก บวกกับน้องสาวแต่งงานย้ายออกไปแล้วเลยมีพื้นที่เหลือให้ใช้สอย ชเนย์จึงเลือกที่จะปรับปรุงบ้านให้ชั้นล่างเป็นร้านอาหารสไตล์ครอบครัว ตกแต่งให้บรรยากาศเป็นกันเองเหมือนชวนเพื่อนมากินข้าวที่บ้าน ส่วนเมนูก็สลับเปลี่ยนกันไปตามฤดูกาลแต่กระนั้นถ้าลูกค้าอยากทานอะไรก็จะทำให้ตามที่สั่ง แถมเลือกที่จะเปิดร้านแค่สี่วันเพื่อจะได้แบ่งเวลาสำหรับวันไปจ่ายตลาดกับเตรียมวัตถุดิบ ถึงจะฟังดูจะเหนื่อยกว่าแต่ก็ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากกว่าตอนที่ต่างคนต่างทำงานของตัวเอง





หนึ่งปีต่อมา

รุ่งเช้ามาเยือนช้ากว่าปกติเพราะเข้าสู่ฤดูหนาวทำให้กลางคืนยาวนานกว่ากลางวัน อากาศภายในห้องเย็นกว่าปกติจนสองร่างที่นอนอยู่บนที่เตียงกระเถิบเข้าหาไออุ่นของร่างเล็กและซุกตัวแน่น

“ฮ้าว…” ดวงตาสีชมพูหม่นตื่นขึ้นก่อนอีกคน ก่อนจะเหยียดแขนคลายความเมื่อยล้าแล้วตลบผ้าห่มหนาออก ทันทีที่เท้าสัมผัสพื้นก็ต้องสะดุ้งเมื่อมันเย็นเฉียบซะเหลือเกิน พอลุกไปเปิดหน้าต่างถึงได้เห็นว่าปุยเมฆสีขาวเล็กๆ โปรยลงลงมาย้อมพื้นด้านนอกให้เป็นสีขาว

“หิมะตกตอนไหนเนี่ย? " ถึงแม้จะอยากโดดไปซุกตัวนอนต่อแต่จะปล่อยให้ในห้องหนาวต่อก็ใช่ที่ เลยหยิบผ้าผืนหนามาห่มตัวก่อนเดินไปจุดเตาผิงให้ความอบอุ่นภายในบ้าน แล้วก็เข้าครัวไปชงกาแฟพร้อมกับปิ้งขนมปังไว้เป็นมื้อเช้าง่ายๆ รองท้องให้กับตัวเองและคนที่ยังไม่ตื่น

มืออุ่นลูบไปบนแก้มของคนหลับตาพริ้มอย่างแผ่วเบา ทว่ามันก็ทำให้คนที่หลับอยู่รู้ตัวตื่นอยู่ดี

"อือ? "

"ขอโทษที่ทำให้ตื่นครับ" ชเนย์เลิกผ้าห่มแล้วลงมานอนกอดร่างเล็กให้เข้ามาหา อากาศหนาวเย็นภายนอกทำเอาคนเพิ่งรู้สึกตัวต้องกระชับผ้าห่มให้ปกปิดร่างกายไว้ทุกส่วน

"กี่โมงแล้ว? "

"เพิ่งตีห้ากว่าๆ เอง คุณนอนต่ออีกหน่อยก็ได้"

เคนงัวเงียก่อนซุกตัวหาไออุ่นจากคนที่นอนข้างๆ "ตื่นเร็วจัง หรือนอนไม่หลับ"

ชเนย์ส่ายหน้า ก่อนจะนอนมองอีกฝ่ายอยู่สักพักจนเคนต้องเงยหน้ามาถามด้วยสายตาเพราะหลับต่อไม่ลง

"มีอะไรรึเปล่า? "

"มันอาจฟังดูตลก เคนครับ คุณมีความสุขดีมั้ย? "

"หือ? " อดีตนักฆ่าขมวดคิ้วจนย่นอย่างสงสัยทั้งที่ยังหลับตาอยู่เพราะยังอยากนอนต่อ "ทำไมจู่ๆ ก็ถาม? "

"ก็...ไม่รู้สิครับ"

"กังวลอะไรเหรอ? "

ชเนย์หอมแก้มอีกฝ่ายฟอดใหญ่อย่างหมั่นเขี้ยวสองสามครั้ง "ก็อยู่ด้วยกันทั้งที ผมก็อยากให้คุณสุขสบายดีนี่นา"

"...เหนื่อยเป็นบ้าเลย" เคนแอบอมยิ้มพลางนึกถึงงานที่ต้องทำและสิ่งที่เจอแทบจะทุกคืน "โดนปลุกทุกเช้าแบบนี้ แถมบางคืนก็เกือบไม่ได้นอน"

"ง่ะ..."

"งานก็หนัก ไหนจะต้องทำงานบ้านแล้วออกไปจ่ายตลาดซื้อของสดเอากลับมาเตรียมของสำหรับเปิดร้าน ต้องคอยรับออร์เดอร์เสิร์ฟอาหารด้วย"

"จะ...จ้างคนเพิ่มก็ได้นะครับ"

เคนขยับตัวออกห่างและเริ่มบิดขี้เกียจเพราะคิดว่าคงนอนต่อไม่ลงแล้ว "บ้านช่องก็โคตรรก อยู่กันแค่สองคนแท้ๆ ..เก็บของหลังใช้เสร็จหน่อยก็ไม่ได้ เข้าห้องน้ำแต่ละทีก็นาน"

"อา..เอ่อ..." ชเนย์ยิ้มแห้งกะพริบตาปริบ รู้สึกเหมือนเริ่มโดนหลอกด่าอย่างไรไม่รู้ แต่ก่อนจะได้พูดอะไรต่อนั้น เคนก็เบียดซุกเข้ามากอดเขาไว้แน่นและนิ่งเงียบไปสักครู่ "...เคน? "

"แต่มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร" ร่างเล็กกว่าเอ่ยเสียงเบาทั้งที่หน้ายังแนบอยู่กับอกอีกฝ่าย รอยยิ้มจางระบายมุมปากอย่างปิดไม่อยู่ "อาหารอร่อย ที่นอนก็อุ่น บ้านเมืองสงบสุข ถึงจะมีคนประหลาดเยอะไปหน่อย แต่ว่า...ได้มีชีวิตเรียบง่ายเหมือนคนปกติเขาสักที"

ชเนย์เผลอยิ้มให้กับคำตอบอ้อมๆ นั้นแล้วกอดตอบอีกฝ่ายหลวมๆ ร่างเล็กกว่าขยับตัวขึ้นมาให้ใบหน้าอยู่ระดับเดียวกับอีกฝ่ายและบรรจงจูบริมฝีปากอีกคนเบาๆ

"ขอบคุณที่ตามหาผมจนเจอนะ"

คำบอกรักแผ่วเบากระซิบผ่านเข้ามาในห้วงความรู้สึกสุดท้ายก่อนเคนจะหลับไปพร้อมรอยยิ้มจาง ชเนย์ดึงผ้าห่มมาคลุมร่างจนมิดถึงคอให้คนรักก่อนจะหลับตามไปโดยที่มือของทั้งคู่จับประสานกันไว้แน่น…




End



:pig4:


ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura
Love all the cats

ดวงตาสีทองจ้องลูกแมวสี่ตัวตาเขม็ง คิ้วขมวดมุ่นจนแทบจะชนกัน ดวงตากลมโตสี่คู่ส่งสายตาเว้าวอนมายังมนุษย์หัวแดง เจ้าก้อนขนทุกตัวนอนเบียดกันเป็นก้อนกลมในลังตัวสั่น

“ผมไปเจอเจ้าพวกนี้ตรงที่ทิ้งขยะน่ะครับ"

เสียงร้องมี้ๆ อุ้งเท้าตะกุยฝากล่องพยายามจะออก ก่อนจะกลิ้งไปมาเมื่อขาสั้นเตี้ยนั้นปีนขึ้นไม่ถึง "ร้องกันใหญ่เลย สงสัยคงจะหิว...”

"เอาพวกมันกลับไปไว้ที่เดิมซะ"

"เคน..." ชเนย์ก็ทำหน้าเว้าวอนอีกคน

“เราสองคนงานยุ่งทั้งคู่นะ จะเอาเวลาที่ไหนมาเลี้ยง”

“ผมจะเป็นคนดูแลเองครับ จะไม่เพิ่มงานให้คุณหรอก”

“คุณเป็นพ่อครัวของร้าน ถ้าเส้นขนพวกนี้มันหล่นลงไปในอาหารล่ะ?”

“งั้นผมจะอาบน้ำก่อนเปิดร้านนะครับ”

“ยังไงก็ไม่ได้”

“เคน...คุณเกลียดแมวเหรอครับ?”

“......ไม่ได้เกลียด เคยเลี้ยงด้วย”

“แล้วทำไม...”

“มันตาย...เลยไม่คิดจะเลี้ยงสัตว์อะไรอีกเลย”

“...ถ้าคุณลำบากใจผมไม่เลี้ยงก็ได้ครับ แต่ช่วงนี้ขอให้พวกมันอยู่ที่บ้านเราชั่วคราวไปก่อน เดี๋ยวผมจะหาคนมารับเลี้ยงอีกทีนะ”

เสียงอ้อนวอนที่ได้ยินกี่ครั้งก็ใจอ่อนยวบ ครั้งนี้ก็ยังคงได้ผลเหมือนที่ผ่านมา

“ชื่อล่ะ? …” ดวงตาสีทองจ้องแมวน้อยทั้งสี่ตัวที่ร้องมี้ๆ ระงม

“เอาเป็น…เบรคฟัสต์ ลันช์ ดินเนอร์ แล้วก็ทีไทม์ดีมั้ยครับ”

“...ตั้งโต๊ะเลยมั้ย?” ฟังจากชื่อแมวแต่ละตัว ท่าทางจะได้หมุนเวียนให้อาหารตั้งแต่ตื่นยันเข้านอน “ถ้าจะเลี้ยงก็ต้องมีอาหาร ของเล่น ของใช้แมว พาไปฉีดวัคซีน ทำหมัน แล้วไหนจะต้องทำห้องแยกเลี้ยงระบบปิด ขืนเลี้ยงแบบปล่อยมีหวังโดนจับไปลงหม้อบ้านอื่นแน่”

สมแล้วที่เคยเป็นทาสแมว เอ้ย...เคยเลี้ยงแมวมาก่อน

“แถวนี้ไม่มีใครเค้ากินแมวกันหรอกนะครับ”

เคนกลอกตาไปมา เมืองที่รวมเอาทุกความแฟนตาซีทุกอย่างที่เขาเคยรู้จักเข้าไว้ด้วยกัน แค่เดินออกจากบ้านไปจ่ายตลาดก็จะได้เจอแม่บ้านมนุษย์หมาป่าเดินสวนยิ้มทักทายให้กันในระยะประชิด ไปร้านขายดอกไม้เจอเจ้าของร้านเป็นเอลฟ์สาวสวย แต่มีสามีเป็นดาร์คเอลฟ์ที่ว่ากันว่าสองเผ่านี้ไม่ถูกชะตากันมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ และอีกสารพัดสปีชี่ส์ที่รวมไว้ด้วยกัน จะไม่เจอสิ่งมีชีวิตที่กินแมวเลยในเมืองนี้ มันทำใจเชื่อยาก!

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด