Bully ขอบคุณที่รักกัน : ตอนที่ 4 : TARO เค้าว่าอร่อย 50% [17.1.2021]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Bully ขอบคุณที่รักกัน : ตอนที่ 4 : TARO เค้าว่าอร่อย 50% [17.1.2021]  (อ่าน 1526 ครั้ง)

ออฟไลน์ Dek_Noy15

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

admin
thaiboyslove.com

*******************************************

คำแนะนำในการอ่านเรื่องนี้

การโดน Bully ในเรื่องนี้คือ Based on True Story ของนักเขียน
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-01-2021 04:01:32 โดย Dek_Noy15 »

ออฟไลน์ Dek_Noy15

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Bully ขอบคุณที่รักกัน

บทนำ : BEFORE

การโดนบูลลี่ไม่ใช่เรื่องตลก!

ใช่ครับ ผมคิดแบบนั้นมาตลอด และผมไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องมาเจอกับตัว

วันที่ผมโดนบูลลี่

ที่สำคัญ ผมไม่รู้เลยว่าผมโดนบูลลี่เพราะเรื่องอะไร!

ผมไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับใคร แม้แต่กระทั่งที่บ้านหรือเพื่อนโรงเรียนเก่า

ผมชื่อฝน ชื่อจริงว่าสายฝน แม่บอกว่าตั้งชื่อนี้เพราะผมเกิดตอนฝนตกและเกิดในช่วงหน้าฝนพอดี ผมเป็นคนกรุงเทพฯตั้งแต่เกิดแต่สอบเข้าเรียนในมหาลัยที่จังหวัดนี้มาได้เกือบจะจบปี 1 แล้ว อันที่จริงมันก็สงบสุขมาตลอด ผมมีกลุ่มเพื่อน แม้อาจจะไม่ได้สนิทกับใครจนเรียกได้ว่าเพื่อนสนิท แต่พวกเราก็ไปกินข้าวกลางวัน เดินเล่น ดูหนังด้วยกันตลอด จนมาพักหลังผมรู้สึกได้ว่าทุกคนตีตัวออกห่าง

ตอนแรกๆผมก็ไม่ได้เอะใจสงสัย แต่มันมีเหตุการณ์ที่ทำให้ผมรู้ว่าผมกำลังโดนเพื่อนกีดกัน

เรื่องมันเกิดจากงานคอนเสิร์ตประจำปีของมหาวิทยาลัย ซึ่งก่อนหน้านั้นกลุ่มของผมพวกเรานัดกันว่าจะไปงานด้วยกัน แต่ก่อนถึงวันงานจู่ๆทุกคนก็บอกว่าไม่ว่างกันแล้ว ผมจึงพิมพ์บอกในกลุ่มไลน์ซึ่งมี 7 คนรวมทั้งผมด้วยว่าผมก็คงไม่ได้ไปแล้วเช่นกัน ผมไม่ได้เสียดายหรอกเพราะปีหน้าก็ยังมี แต่ปัญหามันเกิดขึ้นเมื่อหลังจากวันงาน ผมตื่นแต่เช้าลงไปหาอะไรกินในเร้านสะดวกซื้อที่เปิด 24 ชั่วโมงใต้หอ คือมันเช้ามากๆเวลาตีห้าครึ่ง จู่ๆผมก็สะดุ้งตื่นและรู้สึกคอแห้ง ผมเลยใส่หมวกและหน้ากากอนามัยเพราะผมขี้เกียจเปลี่ยนชุดนอนหวังว่ะไม่มีใครจำผมได้

แต่ในขณะที่ผมกำลังเปิดตู้เพื่อหยิบน้ำ จู่ๆผมก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ผมหันไปมองตามเสียงที่ผมจำได้ดี เสียงของต้น หนึ่งในกลุ่มเพื่อนของผมเอง

“โครตมันส์เลย ยิ่งตอนที่วงxxx กระโดดลงมาเต้นหน้าเวที เจ๋งสาดดด”

“จริง สนุกโครต” แอร์สัมทับ แอร์เป็นหญิงสาวหนึ่งในสามของกลุ่ม กลุ่มของผมมีทั้งหมด 7 คน ชาย 4 หญิง 3 แต่ไม่ได้มีเรื่องชู้สาวมาเกี่ยวข้องแน่นอน พวกเราคบกันเป็นเดอะแก๊งด้วยความบริสุทธิ์ใจ

ตอนแรกเธอไม่ได้อยู่ในกลุ่มของพวกเราหรอก ในเทอมแรกผมเห็นเธอสนิทกับเพื่อนผู้หญิงคนนึง แต่พอมาเทอมสองผมได้ข่าวว่าเพื่อนคนนั้นย้ายไปเรียนต่อมหาลัยในกรุงเทพฯ แบบจู่ๆก็ย้ายไปเฉยเลย แต่ผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆเธอจึงย้ายไป หลังจากเปิดเทอมสองได้ไม่กี่วันแอร์ก็มาขอต้นอยู่กลุ่มผม ในกลุ่มของผมไม่มีใครเป็นหัวหน้ากลุ่มหรอก เพียงแต่พวกเรารวบรวมตัวกันเพราะต้น ต้นจบชั้นมัธยมมาจากสาธิตของมหาวิทยาลัยจึงรู้จักคนเยอะ ผมที่มาจากกรุงเทพฯก็ได้ต้นมาทักทายตอนรับน้องก็เลยได้เข้ากลุ่มไปโดยปริยาย

“เออ แล้วเราไปเที่ยวกันแบบนี้ ไม่บอกฝนจะดีเหรอ” เปียโนพูดขึ้น ผมรู้สึกตะหงิดเล็กน้อยตั้งแต่เห็นทุกคนเดินเข้าร้านแต่งตัวเหมือนเพิ่งกลับมาจากไปเที่ยว ผมจึงเดินมาหลบมุมอยู่ตรงชั้นวางขายอาหารสัตว์ซึ่งอยู่ด้านหลัง แต่หูก็ยังคงฟังการสนทนาของทุกคน

ผมขมวดคิ้วสงสัย อันที่จริงก็รู้สึกสงสัยมาได้สักพักแล้วว่าทุกคนดูแปลกไป ดูไม่อยากพูดคุยกับผมเหมือนเดิม พอเลิกเรียนก็ไม่ได้ชวนผมไปเที่ยวหรือทำกิจกรรมอะไรเหมือนเมื่อก่อน ตอนพักกลางวันของบางวันทุกคนก็ทำท่าทีเดินออกจากห้องเรียนกันไปเฉยๆ ผมก็รู้สึกกระดากใจเลยกลับมากินข้าวที่หอคนเดียวบ่อยๆในช่วงสองสามอาทิตย์นี้

“ก็ไม่ต้องไปบอกฝนสิ ตอนลงรูปที่ถ่ายก็ปิดฝนไว้ด้วยนะ” แอร์พูดพลางเอานิ้วชี้แนบปาก ทำท่าทางเป็นความลับ ส่วนคนอื่นๆก็พยักหน้าหงึกๆแล้วคุยเรื่องอื่นกันต่ออย่างสนุกสนาน ทุกคนต่างหยิบของที่จะซื้อกินเดินไปที่เคาเตอร์จ่ายเงินและเดินออกไป
ผมตัวชาไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ ผมพอรู้ว่าผมกำลังโดนกีดกันออกจากกลุ่ม แต่ผมเองก็ไม่คิดว่าทุกคนจะรู้เห็นเป็นใจกันโกหกผมขนาดนี้

ผมเดินขึ้นห้องด้วยความว้าวุ่นใจ นอนต่อไม่หลับ ผมไม่รู้ว่าควรจะถามใครดีไหม แต่ทุกคนก็แสดงออกมาแล้วว่าทุกคนพร้อมใจกันโกหกผม จากท่าทางที่ทุกคนพูดถึงผมเมื่อกี้ไม่มีใครทักท้วงคำของแอร์

ใช่ ผมสงสัยมาสักพักแล้วว่าผมกำลังโดนกีดกัน แต่ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไร เคยคิดว่าอาจจะเป็นเพราะนิสัยที่รับมุกตลกไม่ทันของผม แต่มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ หรือเพราะผมเรียนไม่เก่ง ผมไม่ใช่คนที่ได้เอเลยสักวิชา แต่มันก็ไม่ได้ต่ำเตี่ยเรี่ยดินจนน่ากลัว ซึ่งในกลุ่มผมจะมีต้นและเปียโนที่ได้เอทุกตัว ส่วนคนอื่นๆก็มีเอบ้างประปราย เพราะแบบนี้หรือเปล่านะ เพราะผมเรียนไม่เก่งเท่าพวกเขา

จริงๆช่วงสัปดาห์ก่อนผมคิดจนหัวแตกไปแล้วรอบนึง แต่พอเช้าวันต่อมาเห็นทุกคนยังเฉยๆผมก็ทำเฉยๆ คิดว่าผมอาจจะคิดไปเอง

แต่วันนี้ผมได้พิสูจน์แล้วว่ามันไม่ใช่ ผมกำลังโดนบูลลี่แน่นอน แต่ผมต้องทำยังไงดีละ ผมหน้าด้านไม่พอที่จะกลับไปนั่งคุยกับทุกคนในขณะที่รู้ว่าทุกคนกำลังไม่ชอบหน้าผม แต่ผมก็ไม่มีเพื่อนคนอื่นๆแล้ว

จริงๆมันอาจจะถึงเวลาที่ผมต้องพึ่งพาตัวเองให้ได้มากกว่านี้แล้วสินะ

-----------------------------



สวัสดีคะ นี่ถือเป็นนิยายเรื่องแรกที่เราอยากจะแต่ง และแต่งมาจากประสบการณ์โดบบูลลี่จริงๆของเราเองด้วย

เราอยากจะแชร์ประสบการณ์ความยากลำบากของการข้ามผ่าน ความยากลำบากของการให้อภัย ทุกสิ่งทุกอย่างเกือบ 80% ถูกกลั่นกรองมาจากเรื่องราวที่เราเจอมาสมัยเรียนมหาวิทยาลัย

จนมาถึงตอนนี้ก็ผ่านมาเกือบ 10 ปีแล้ว อะไรก็ไม่รู้ดลใจอยากให้เราถ่ายทอดเรื่องราวนี้ออกมา เราเขียนไม่ค่อยเก่ง แต่ก็อยากจะเขียนมันออกมาในรูปแบบนิยายมากกว่าแค่บทความคติสอนใจอะไรทั่วไป

เราทำงานด้านเอกสารที่ค่อนข้างซีเรียสในการใช้ภาษาทางการ แต่เวลาว่างชอบอ่านนิยายที่ใช้ภาษาสบายๆ ก็เลยต้องหาภาษาที่เป็นจุดกึ่งกลางในการแต่งนิยายให้ได้

หากชอบหรือไม่ชอบยังไงก็เม้นท์พูดคุยกันได้เลย

ขอบคุณมากๆจ้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-01-2021 03:50:41 โดย Dek_Noy15 »

ออฟไลน์ Dek_Noy15

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ตอนที่ 1

AFTER เวลาจะช่วยเยียวยาทุกสิ่ง



“เฮ้ยไอ้ฝน ทำการบ้านมายังวะ”

“ทำมาแล้ว ทำไม” ผมสอดขาลงบนเก้าอี้เพื่อที่จะนั่งลงพลางวางแฟ้มที่ใส่การบ้านไว้บนโต๊ะหินอ่อนหน้าคณะ

“ทำมาแล้วก็เอามาให้ลอกสิ! ไอ้นี่นิ” ชัทรีบเปิดแฟ้มผม เอาแผ่นกระดาษาเอสี่ที่คาดได้ว่าเป็นการบ้านมาลอกทันที

“ใช่เว้ย ถามตลก ไอ้ชัทเอามาให้กูลอกด้วย สัส เหลือเวลาอีกแค่ 20 นาที ปั่นๆ” นนท์ตอบแล้วรีบหยิบกระดาษเปล่าเอสี่ของตัวเองมาลอกการบ้านผม

ผมมองดูเพื่อนสองคนนี้ที่กำลังลอกการบ้านผมด้วยความเบื่อหน่าย ตอนนี้ก็เข้าเดือนที่สามตั้งแต่เปิดเทอม และไอ้เพื่อนสองคนนี้ก็ยังรอลอกการบ้านผมไม่เคยเปลี่ยนแปลง

“เออลอกไปเลย เดี๋ยวกูไปซื้อน้ำร้านเจ๊เพ็ญแปป” ผมควานหากระเป๋าตังค์ในย่ามใบโตแล้วลุกเดินเข้าไปทางโรงอาหารที่ติดกับคณะ

ตอนนี้ผมย้ายมาเรียนมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯแล้วครับ หลังจากที่ผมคิดไม่ตกจนหัวเกือบแตกเรื่องที่ว่าทำไมผมโดนบูลลี่ วันถัดไปที่ผมไปเรียนก็เห็นคนในกลุ่มทำตัวปกติและไม่ได้พูดถึงเรื่องที่แอบไปคอนเสิร์ต แถมพอมีใครจะเข้ามาทักทายพูดเรื่องคอนเสิร์ตผมก็แอบเห็นทุกคนทำท่าอึกอักรีบเปลี่ยนเรื่อง ในตอนนั้นเองผมก็ตัดสินใจได้ว่าผมจะเลิกคบกับเพื่อนในกลุ่มนี้ทุกคน หลังจากหมดคาบบ่ายผมก็กลับห้อง ไม่เซ้าซี้ถามใครๆว่าจะไปต่อกันที่ไหนหรือเปล่าเหมือนทุกครั้ง

ผมเปิดเว็บมหาวิทยาลัยปัจจุบันที่ผมกำลังศึกษาต่อดูว่ามีรับตรงบ้างในช่วงไหน ซึ่งที่จริงตอนแรกผมตั้งใจจะเข้าที่นี่ตั้งแต่ ม.4 แต่เนื่องจากตอน ม.6 ผมได้ไปงานโอเพ่นเฮ้าส์ของมหาลัยเก่าแล้วประทับใจในธรรมชาติ เลยตั้งใจอยากจะย้ายจากตัวเมืองไปต่างจังหวัดบ้าง จึงเลือกมหาวิทยาลัยนั้นเป็นอันดับหนึ่ง พอไปเรียนแล้วถึงรู้ว่าผมคิดผิด เหอะๆ

แต่ช่างมันเถอะ ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป

มหาลัยที่ผมกำลังศึกษาอยู่ในปัจจุบันก็ไม่ถึงกับอยู่ในกรุงเทพฯหรอก แต่อยู่ชานเมือง ตอนแรกที่ผมสอบติดผมบอกกับพ่อแม่ว่าผมย้ายจะย้ายกลับมาเรียนในกรุงเทพฯและผมสอบติดแล้ว พ่อแม่ผมตกใจมากเพราะพวกท่านไม่เคยรู้ว่าผมแอบมาสองรับตรงที่มหาวิทยาลัยนี้

หลังจากที่ผมรู้ว่าผมสอบติด ผมก็ลาออกจากมหาลัยเก่าทันทีโดยไม่ได้บอกใคร เก็บข้าวของลงลังส่งไปรษณีย์กลับมากรุงเทพฯและขึ้นเครื่องบินกลับมาแบบเงียบๆ

ผมคิดว่าแบบนี้ละดีแล้ว ผมสะดวกแบบนี้ ไม่อยากมีคำถามเยอะแยะหรือคำบอกลาสวยหรูหากไม่จริงใจต่อกัน

“ป้าครับ เอากระเจี๊ยบแก้วนึงครับ”

“นี่จ๊ะ ยี่สิบบาท” ผมหยิบเหรียญสิบสองเหรียญส่งให้ป้าเพ็ญก่อนจะรับแก้วน้ำกระเจี๊ยบมาดูดอย่างสบายใจ หวานเปรี้ยวกำลังดีเลย น้ำกระเจี๊ยบที่ผมรัก

ขณะที่ผมกำลังเดินไปไถไอจีไปนั่นเอง ผมเห็นแค่เงาลางๆว่ากำลังจะมีคนส่วนมาแต่ไม่ได้สนใจ เพราะเดี๋ยวก็เลี่ยงๆเอาได้ แต่อาจจะเพราะผมเพิ่งจะผ่านปีชงมาหยกๆ ราหูอาจจะออกจากผมไปไม่หมด ผมชนกับคนที่กำลังเดินสวนมาโดยไม่ได้ตั้งใจ

พลั๊ก เคร้ง ตึก

เพราะการเดินชนกันมันค่อนข้างแรงมาก และผมที่กำลังจดจู่อยู่กับไอจี จึงทำให้ความสามารถตรงอื่นช้าลง เสียงจานข้าวและแก้วน้ำตกกลางโรงอาหาร ผมตกใจรีบปิดหน้าจอมือถือเพื่อดูคนข้างหน้าทันที

“เฮ้ย! ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ” ผมรีบนั่งลงเพื่อเก็บจาน ช้อนซ้อมและแก้วของผมขึ้นมาทันที โหย ดีนะที่คนที่ผมเดินชนกินข้าวซะเกลี้ยงจานแล้ว เลยไม่มีเศษข้าวตกกระจาย จะมีแต่น้ำกระเจี๊ยบของผมที่กระจายอยู่เต็มพื้น แต่ไม่เป็นไร ดีกว่าเศษอาหารเยอะ

“อือไม่เป็นไร” คนตรงหน้าตอบกลับมา ผมเงยหน้าไปตามเสียง

ตึกตัก

ตึกตัก

ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าผมสูงมาก ผมทรงอันเดอร์คัตที่ถูกเซ็ตอย่างเรียบร้อย ผิวขาวแบบคนสุขภาพดี หน้าตาโดยรวมคือผมบอกได้แค่คำว่าหล่อ หล่อแบบที่หล่อ ไม่ใช่หล่อแบบแค่หน้าตาดี

จู่ๆ ผมใจเต้นแรงอย่างไม่รู้สาเหตุ เกิดมา 18 ปีเพิ่งจะเคยใจเต้นแรงแบบนี้เป็นครั้งแรก แถมมาเต้นกับผู้ชายอีก!

“ผมขอโทษจริงๆครับ” ผมละล่ำละลักขอโทษทันที จากการที่ผู้ชายข้างหน้าผมไม่ได้ใส่เนคไท ผมเดาได้ว่าน่าจะเป็นรุ่นพี่ผมอย่างแน่นอน ทำไมนะเหรอ เพราะปี 1 มหาลัยนี้จำเป็นจะต้องใส่เนคไทไปจนกว่าจะขึ้นปี 2 นะสิครับ

หลังจากจบรับน้องแล้วจะไม่มีการแขวนป้ายชื่อ ซึ่งจะทำให้แยกรุ่นพี่รุ่นน้องยากกว่าเดิม ก็เลยมีกฎกลายๆแบบไม่เป็นทางการว่าปีหนึ่งจะต้องใส่เนคไทไปจนกว่าจะขึ้นปี 2 เป็นเหมือนกับแบ่งแยกปีไปในตัว

“ไม่เป็นไร แล้วนี่น้องเป็นอะไรหรือเปล่า” คนตรงหน้ายิ้มเล็กน้อย พลางเอื้อมมือมาหยิบจานและแก้วจากมือผมไป

ตึกตัก

เอาอีกแล้ว ไอ้หัวใจไม่รักดี จะใจเต้นแรงทำไมเนี่ย!

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมเอาจานไปวางที่ชั้นให้ครับ” ผมรีบเอื้อมมือหวังจะไปแย่งจานข้าวและแก้วน้ำจากพี่เค้ามาถือทันที ผมไม่ใช่พวกประเภทโวยวาย คือถ้าผมผิดผมก็ยอมรับผิด เมื่อกี้ผมเดินไม่ดูตาม้าตาเรือเอง

“ไม่เป็นไร พี่เองก็ผิดที่เดินไม่ระวัง” พี่เค้าส่งยิ้มกลับมาให้ผม คราวนี้เป็นยิ้มแบบที่ยิ้มไปทั้งตาและปาก หือ ผมใจเต้นแรงจะตายแล้วนะ

“ต..แต่...” ผมพยายามที่จะเอื้อมมือขอพี่เค้าเอาจานไปเก็บให้ ผมไม่รู้หรอกว่าพี่เค้าใช่พี่คณะผมไหม ผมเป็นพวกความจำสั้นเรื่องการจำคน แล้วถ้าเกิดใช่ ผมอาจจะโดนหมายหัวได้ว่าไม่มีน้ำใจกับรุ่นพี่

แต่หล่อขนาดนี้ผมต้องจำได้บ้างละ โอยยย นี่ผมพูดคำว่าหล่อไปกี่คำแล้วเนี่ย

“ไอ้ไทป์ เสร็จยัง เดี๋ยวอีก 10 นาทีต้องขึ้นเรียนแล้วนะเว้ย” จู่ๆก็มีเสียงของผู้ชายอีกคนตะโกนขึ้นด้านหลังผม ผมหันไปมองทันทีด้วยสัญชาตญาณความสงสัย สิ่งที่ผมเห็นก็คือกลุ่มผู้ชายสามคนหน้าตาดี (มาก) กำลังยืนขึ้นจากโต๊ะข้าวในโรงอาหารที่หันมามองทางผมและรุ่นพี่ที่ผมเดินชน ทำมือป้องปากตะโกน และกำลังตาโต

“เฮ้ย!/เฮ้ย!/เฮ้ย!” ทั้งสามคนประสานเสียงกันเฮ้ยซะผมตกใจ ผมสะดุ้งปล่อยมือจากจานข้าว แต่ยังดีที่รุ่นพี่ข้างหน้าผมยังไม่ได้ปล่อยมือจึงทำให้จานข้าวไม่ตกไปอีกรอบ

“ไอ้เชี่ยไทป์!!!!!!!!!!” พี่ผู้ชายที่ทำมือป้องปากเมื่อกี้รีบวิ่งมาตรงที่ผมยืนทันที แล้วกอดคอรุ่นพี่ด้านหน้าผมพลางตะโกนลั่น เกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่า

“เออ” รุ่นพี่ที่ผมคิดว่าเค้าจะน่าจะชื่อไทป์ตอบรับเพื่อนตัวเองพลางยักคิ้วข้างนึงขึ้น เชี่ย หล่ออะ!

ผมเคยสงสัยว่าไอ้หล่อจนใจเต้นแรงมันเป็นยังไง ผมเจอคนหล่อคนหน้าตาดีมากตั้งมากมาย แต่ตอนนี้ผมรู้ซึ้งเลย หล่อจนใจเต้นแรงเนี่ยมันมีจริง!

“จนได้นะมึง” รุ่นพี่อีกคนที่ไม่ใช่พี่ไทป์ทำหน้าตาล้อเลียน พี่ๆเค้านัดกันเป็นเพื่อนใช่ไหมครับ หน้าตาดีทั้งคู่เลย ไม่ใช่สิ ถ้ารวมพี่ 2 คนข้างหลังโต๊ะด้วยก็คือหน้าตาดีทั้งกลุ่มเลย

แต่พี่ไทป์หน้าตาดีแบบหล่อก็เท่านั้นเอง

“เออ แล้วจะทำไม”

“ฮั่นแน่ๆ”

“สัส”

“จ๊ะ!”

“เอ่อ...พี่ครับ ผมเอาจานไปเก็บให้นะครับ ขอโทษและขอบคุณมากครับ” ผมเหลือมองนาฬิกาที่อยู่ตรงโรงอาหารแล้วคิดได้ว่าถ้าไม่รีบเข้าเรียนมีสิทธิ์โดนเช็คขาดได้ จึงอาศัยจังหวะที่พี่ไทป์กับพี่อีกคนกำลังสื่อสารอะไรแปลกๆเอื้อมมือไปหยิบจานข้าวที่พี่ไทป์แกถืออยู่มากะจะไปเก็บให้แล้วรีบเดินรุดๆไปวางไว้ที่ชั้นวางจานทันที

คือผมอายปนเขินด้วยละ ก็พี่ไทป์และพี่อีกคนเล่นจ้องผมซะขนาดนั้น ผมไม่แน่ใจว่าผมเคยไปทำอะไรไม่ดีอีกรึเปล่า ผมอาจจะเคยแสดงกิริยามารยาทที่ไม่ดีไปตอนไหนแล้วมีรุ่นพี่จำได้

ผมเป็นพวกไม่สนใจอะไรมากมาย บ้างครั้งมันก็เป็นเรื่องดี แต่บางครั้งมันอาจจะย้อนกลับมาทำร้ายผมก็ได้

“เดี๋ยวน้อง!” ผมได้ยินเสียงพี่ผู้ชายคนนั้นตะโกนเหมือนจะเรียกผม ผมไม่ใช่คนไร้มารยาทนะ แต่เดี๋ยวจะไม่ทันขึ้นเรียนแล้ว หลังจากวางจานข้าวและแก้วน้ำบนชั้นวางจานเรียบร้อยแล้วผมหันกลับไปมองรุ่นพี่ทั้ง 4 คนที่ตอนนี้ยืนรวมตัวกันยังกับบอยแบนด์ตรงจุดที่ผมเดินออกมา โอ้โห หน้าตาดีกันทุกคน ผมละยอมจริงๆ

พี่ไทป์ส่งยิ้มมาให้ผม ผมรู้สึกได้ถึงความร้อนตรงรวงแก้ม ดีนะอยู่ไกลหน่อย หวังว่าพี่แกจะไม่เห็นว่าตอนนี้ผมกำลังเขินอยู่

ผมหงกหัวเป็นการขอโทษกลายๆแล้วรีบวิ่งออกไปที่ตึกเรียนหน้าคณะทันที ป่านนี้ชัทและนนท์ด่าผมตายไปแล้วมั้ง

ที่สำคัญหยุดเต้นแรงได้แล้วไอ้หัวใจบ้า!



“สัสฝน เกือบเข้าเรียนไม่ทันเพราะมึงเลย” หลังจากหมดคาบเช้าที่เรียนติดต่อกับอย่างทรหดมาป็นเวลา 3 ชั่วโมง ผม ชัทและนนท์ เราสามคนก็ลากสังขารมายังโรงอาหารเดิมเมื่อเช้าที่ผมเกิดเรื่องเพื่อหาอะไรอร่อยๆมาประทังชีวิตทันที

“แต่ก็ทันไหมละ” ผมตอบชัทก่อนจะซดน้ำซุปข้าวมันไก่ อืม ได้รสสัมผัสหวานจากหัวไชเท้าด้วย ชอบๆ

“เชี่ย แต่วิชานี้อย่างโหด กูจะตายแล้วเนี่ย ไอ้ชัทเอาไข่เจียวมาแบ่งกูบ้างดิ”

“สัสไข่เจียวกูอย่ามาหวังเลยมึงไอ้นนท์”

“มันเป็นวิชาบังคับปี 1 ทนไปอีกนิดก็จบแล้ว” ผมส่ายหน้ามองไอ้สองคนนี้ทะเลาะกันอีกแล้ว ทะเลาะกันตั้งแต่รับน้องยันตอนนี้ก็เข้าเดือนที่สามแล้ว สงสัยจะทะเลาะกันยันจบปีสี่แหงๆ

ชัทกับนนท์จบมาจากโรงเรียนเดียวกัน เห็นว่าสมัยเรียนมัธยมไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกันเพราะอยู่คนละห้องแต่เห็นหน้าค่าตากันบ้าง ตอนรับน้องวันแรกผมที่กำลังยืนเด๋อไม่รู้ว่าจะต้องไปรวมกลุ่มของคณะตรงไหนก็ได้สองคนนี้มาทักและพาไป

ผมซึ่งในตอนนั้นยังมีความกังวลเรื่องการโดนบูลลี่มาจากที่เก่ายังไม่ได้เปิดใจรับสองคนนี้เป็นเพื่อนในทันที ผมเว้นระยะห่างในการสนทนาทุกครั้ง แต่สองคนนี้ก็ไม่เคยไปไหนหรือทำอะไรโดยไม่ชวนผมเลย

พอถึงวันเปิดเทอม ทั้งสองคนยังชวนผมเข้ากลุ่มทำงานด้วย ผมที่กลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย วันแรกของการเปิดเทอมหลังจากหมดคาบเรียน ผมได้ตัดสินใจเล่าเรื่องที่ผมโดนกีดกันมาจากที่เก่าให้พวกมันสองคนฟัง ผมไม่รู้เหตุผลทำไมผมโดนบูลลี่ และผมก็ได้เล่าถึงนิสัยของการไม่รับมุกตลก นิสัยที่บางครั้งก็ไม่สนสี่สนแปดของผม

ผมบอกพวกมันสองคนว่าผมเคยถูกบูลลี่จนต้องซิ่วมาที่นี่ หากไม่ชอบใจกับการคบคนที่โดนบูลลี่มาก่อนก็ขอเลิกคบไปเลย ผมจะไม่โกธร แต่หากวันนึงมาตีตัวออกห่างจากผม ผมจะโกธรมากๆในตอนนั้น

ในความคิดของผมก็คือหากผมจะไม่มีเพื่อนสนิท ก็ขอไม่มีตั้งแต่ตอนแรกไปเลยเสียดีกว่า

หลังจากเล่าจบ สองคนนี้นิ่งเงียบไปสักพัก ผมที่เตรียมใจมาแล้วว่าจะโดนตีตัวออกห่างกลับถูกสองคนนี้เดินเข้ามากอดแล้วบอกว่าพวกมันจะไม่เลิกคบผมเด็ดขาด

ผมตอนนั้นน้ำตาร่วงเลย คิดได้ในทันทีว่าโชคดีจริงๆที่ซิ่วมาเรียนที่นี่

“เออ ใครมันจะไปขยันแบบมึงละครับคุณฝน จะเอาเอทุกตัวหรือไง” นนท์พูดในขณะที่มือกำลังยื้อแย่งไข่เจียวกับชัทอย่างไม่เลิกรา

“ก็ถ้าได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร บีก็ไม่แย่” ผมยักไหล่ตอบ ผมเห็นนท์กลอกตามองบน

“เออ เย็นนี้กูมีคัดบอล มึงสองคนไปให้กำลังใจกูหน่อยดิ” จู่ๆชัทก็พูดขึ้นมา

“เอาจริงดิมึง” นนท์หันไปมองเพื่อนที่นั่งข้างๆด้วยความสงสัย “ให้กูสองคนไปให้กำลังใจเนี่ยนะ”

“เออ ก็กูยังไม่มีแฟนนี่หว่า กูเห็นเพื่อนคนอื่นๆบอกจะเอาแฟนไปให้กำลังใจบ้าง สัส แล้วกูมีใคร ก็มีแต่พวกมึงสองตัวเนี่ย”

“เออๆ เดี๋ยวไปให้กำลังใจถึงขอบสนามเลย วันนี้ไม่มีการบ้านพอดี” ผมตอบ นึกได้ว่าช่วงนี้ผมเรียนมากไปหน่อย เพราะผมไม่ใช่คนสมองดีเลยต้องอาศัยความขยัน ผมรู้ตัวว่าตอนนี้คร่ำเคร่งกับการอ่านหนังสือมากไปด้วย ผ่อนคลายโดยการไปนั่งเล่นสนามฟุตบอลอาจจะดีขึ้นบ้าง

“นี่สิเพื่อนแท้ แต่กูก็ไม่คิดว่าจะติดตัวจริงหรอกนะเว้ย ในชมรมแม่งมีแต่ตัวควาย แต่กูก็อยากเอาเพื่อนไปอวดบ้าง”

“ก็ว่างั้น ถ้ามึงติดตัวจริงคือมึงต๋งใต้โต๊ะแน่นอน ตัวเท่าหมากระเป๋าขนาดนี้”

“ไอ้นนท์! กูหมากระเป๋ามึงก็หนูตะเภาแล้ว ตัวไม่ต่างกับกูเลยสัส”

“พอๆ เลิกทะเลาะกัน แล้วมีคัดกี่โมง ถ้าเย็นมากกูจะได้กลับหอก่อน” ผมยกมือขวางไอ้หมากระเป๋ากับหนูตะเภาที่ทำท่าจะทะเลาะกันไม่เลิก

“สี่โมง เดี๋ยวกูก็กลับหอก่อนเหมือนกัน”

“เออ กูกลับด้วย”

“งั้นก็กลับมันหมดนี่ละ เนอะไอ้หมากระเป๋ากับหนูตะเภา ฮ่าๆๆๆ” ผมหัวเราะล้อเลียนทั้งสองคนก่อนจะรีบวิ่งจู๊ดออกจากโรงอาหาร

“สัสฝน! เดี๋ยวเหอะมึง!”



เมืองไทยคือเมืองร้อน ผมรู้ดีตั้งแต่เกิด ผมเองก็ชอบอากาศร้อนนะ คือไม่ได้ชอบอากาศร้อน อธิบายให้ถูกก็คือผมไม่ชอบอากาศหนาว

แต่ผมว่าสนามฟุตบอลนี่ร้อนมากๆเลยให้ตายเหอะ

“เดี๋ยวกูคัดเสร็จพวกมึงจะรอกลับพร้อมกูไหม” ชัทถามผมกับนนท์ อะ ถ้าเปิดมาซะแบบนี้แปลว่าอยากให้พวกผมรอกลับด้วยสินะ

“แหมคุณชัทครับ พูดแบบนี้คือต้องให้อยู่รอไม่ใช่เหรอครับ” นนท์ตอบ ผมหัวเราะขำเล็กน้อยเพราะมันก็คือสิ่งที่ผมคิดเหมือนกัน ชัททำหน้ายู่เล็กน้อย ผมสังเกตเห็นความเครียดบนใบหน้าเพื่อน

“มึงเป็นไรชัท ดูเครียดนะ” ผมทัก

“ก็วันนี้พี่ปี 3 กลุ่มนึงเค้าจะมาเป็นคนคัด กูเลยตื่นเต้น”

“อะไรแค่รุ่นพี่ปี 3 เครียดขนาดนั้นเลยเหรอ”

“เออ คือกูไม่เคยเจอพี่ปี 3 กลุ่มนี้เลย กูได้ข่าวว่ากลุ่มนี้เค้าอภิสิทธิ์มาก มึงคิดดูกูเข้าชมรมมาสองจะสามเดือน ไม่เคยเจอตัว แต่อาจารย์ให้มาคัดปี 1 ที่จะลงตัวจริง ต้องขนาดไหนวะ”

“เชี่ย ต้องแบบเอ็กซ์เม็นปะ กลุ่มเหนือมนุษย์ในเหนือมนุษย์” นนท์พูดไปทางทำท่าซุปเปอร์ฮีโร่เอ็กซ์เม็นที่ผมคิดว่ามันน่าจะกำลังทำท่าไอซ์แมนแน่นอน ฟันธง!

“เออ เค้าจะเรียกรวมแล้ว กูไปแล้วนะเว้ย พวกมึงขึ้นไปนั่งบนนั้นได้เลย”

“โชคดีมึง” ผมโบกมือเป็นกำลังใจให้ชัท แล้วเดินขึ้นไปบนอัฒจันทร์ทันที

ผมผงะเล็กน้อยเมื่อเห็นมาเห็นว่าบนอัฒจันทร์มีนักศึกษามานั่งรอดูการคัดเลือกครั้งนี้อยู่เยอะพอสมควร

“เชี่ย นี่คัดเลือกหรือแข่งวะ ทำไมคนเยอะยังงี้” นนท์ขมุบขมิบบ่น ผมพยักหน้าเห็นด้วย

ผมกับนนท์ได้ที่นั่งชั้นบนที่ค่อนข้างไกลจากคนอื่นๆ เพราะชั้นอื่นๆเต็มเกือบหมด และผมก็ไม่อยากแอแดไปนั่งเบียดเสียดกับนึกศึกษาหญิงชายชั้นล่างๆ

ตอนนี้ปี 1 ในสนามกำลังวอร์มร่างกาย ชัทตัวเล็กสุดในบรรดาปี 1 ทั้งหมด มันบอกว่ามันไม่ได้หวังอยู่แล้วก็จริง แต่ถ้าติดขึ้นมาจริงๆมันคงดีใจมาก

ผมเองก็อยากให้เพื่อนผมติดตัวจริงนะ!

“กรี๊ดดดดดด!!!!!!!!!!!!!!!!” จู่ๆเสียงกรี๊ดก็ดังขึ้นแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ผมกับนนท์เอามือขึ้นมาอุดหูแทบไม่ทับ มันกิดอะไรขึ้นเนี่ย!

“แก๊!!! เอฟโฟร์มาแล้ว!!!”

“กรี๊ดพี่ไทป์ หล่อมากกกกกก”

“พี่มิลก็งานดี พี่ไนซ์คือสุด พี่เกียร์คือกระชากใจ”

“เอฟโฟร์! เอฟโฟร์!”

 เสียงผู้หญิงที่นั่งไม่ไกลจากผมชี้มือไปที่ขอบสนามทำท่าทางดีใจ ผมมองไปตามมือที่เธอชี้ก็เห็นผู้ชาย 4 คนใส่ชุดนักกีฬาสีขาว-เขียว สีประจำมหาวิทยาลัยเดินเข้ามาเอื่อยๆ ผมพยายามเพ่งมองว่าทั้ง 4 คนเป็นใครแล้วก็ต้องตกใจ

“เฮ้ย!” ใช่เลย รุ่นพี่เมื่อเช้าที่ผมเดินชน โอ้โห เดอะแก๊งเอฟโฟร์จริงๆตามคำเรียกของสาวน้อยด้านหน้า เมื่อเช้าว่าหล่อแล้ว ตอนนี้เดินเข้ามาด้วยชุดกีฬายิ่งดูหล่อ เจิดจรัสแสงจริงๆ

“เฮ้ยอะไรมึง” นนท์หันมาถามผม

“ก็เนี่ย มึงเห็น 4 คนนั้นเปล่า” ผมชี้มือไปยังรุ่นพี่ 4 คนที่เดินเข้าสนาม “ก็คือเมื่อเช้ากูเดินชนพี่คนนึงที่โรงอาหาร”

“อ๋อ เมื่อกี้กูได้ยินผู้หญิงเรียกเอฟโฟร์ด้วยวะ เชี่ย หล่อสมฉายาเอฟโฟร์จริงๆ” ผมพยักหน้ากับนนท์ หล่อจริงๆนั่นละ ผมได้ยินผู้หญิงเรียกชื่อว่าไทป์ มิล ไนซ์ เกียร์สลับกับเรียกเอฟโฟร์ไปมา โอเค ผมว่าผมรู้จักชื่อของพี่ๆทั้ง 4 คนนี้ครบแล้วละ

ในขณะที่ผมกำลังมองทั้ง 4 คนเดินเข้าสนาม จู่ๆพี่ไทป์ที่ผมเดินชนเมื่อเช้าก็เงยหน้าขึ้นมามองบนอัฒจันทร์ก่อนชะงักเล็กน้อยแล้วยิ้ม

ตึกตัก

ตึกตัก

ใจผมกระตุกวาบ เอาอีกแล้ว ทำไมเต้นแรงอีกแล้ว

“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!!!!!!!!!!!!! พี่ไทป์!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”

โอ้โห เสียงผู้หญิงมอนี้สุดยอดจริงๆ กี่เดซิเบลกันเนี่ย

สงสัยเพราะเสียงกรี๊ดดังเกินไปแน่ๆเลย!



-----------------------------



ช่วงนี้ชอบเพลงของซีรี่ย์วายเรื่องนึงมากๆ คือเพิ่งจะมีโอกาสได้ดูตอนซีรี่ย์จบไปแล้วเกือบปี

และ OST. ก็ติดอยู่ในหัวเราวนๆอยู่อย่างนั้น มันให้ความรู้สึกประมาณว่า ‘ฝน’ คือคนที่ร้องเพลงนี้ยังไงก็ไม่รู้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-01-2021 03:51:00 โดย Dek_Noy15 »

ออฟไลน์ Dek_Noy15

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
รู้ให้เท่าทันตัวเอง



การคัดเลือกนักฟุตบอลผ่านไปแล้ว 3 อาทิตย์ ซึ่งผลก็คือชัทไม่ได้ติดตัวจริงของปี 1 แต่ดันจับพลัดจับผลูใครไม่รู้เสนอชื่อมันให้เป็นผู้จัดการชมรมแทนรุ่นพี่ปี 3 ที่กำลังจะต้องยุติหน้าที่ที่ครบตามกำหนดเวลา แล้วอาจารย์ก็ดันเห็นดีเห็นงามไปด้วย มันบ่นเป็นหมีกินผึ้งมา 3 อาทิตย์เต็มๆ จะขอลาออกตอนนี้ก็ไม่ได้ เพราะดันลงชื่อไปแล้ว หากลาออกกลางคันจะมีผลต่อคะแนนความประพฤติโดยรวมตอนจบปี 4

เรียกว่าถ้าลาออกไปก็คือซวยมากกว่าสวย

เอาล่ะ ส่วนตัวผมก็มีเรื่องให้หนักใจเช่นกัน ไม่รู้ผมคิดมากไปเองหรือจังหวะมันจะโบ๊ะบ๊ะอะไรขนาดนั้น ตั้งแต่วันนั้นที่ผมได้รู้จักพี่ไทป์ผ่านปากต่อปากของผู้หญิงที่อัฒจันทร์สนามฟุตบอล ผมก็รู้สึกแปลกๆ

ไม่ใช่สับสนเรื่องเพศอะไรหรอกนะครับ ผมเป็นไบ ผมยอมรับตัวเองตั้งแต่ ม.ปลายแล้ว ที่บ้านเองก็เหมือนจะรับรู้จากพฤติกรรมที่ผ่านมาของผม ผมไม่ได้ปิดบังแต่ก็ไม่ได้เปิดเผย

โอเค เข้าเรื่องต่อ ผมพอรู้ตัว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมรู้สึกแบบนี้

ผมรู้ว่านี่คือความรู้สึกของการที่เราสนใจใครสักคนก่อนที่จะกลายเป็นการชอบและ ‘ตกหลุมรัก’

ผมกลัวการตกหลุมรักมากๆ ไม่ใช่เพราะเคยเจ็บปวดอะไรกับมันมามากมายหรอก ผมเจ็บปวดกับการโดนบูลลี่มากกว่าอีก

แต่ผมแค่กลัว กลัวว่าการรักใครจริงๆสักคนจะทำให้เราต้องเจ็บปวด

ผมเคยมีคนคุย คุยกันตั้งแต่เริ่มขึ้น ม.6 แต่พวกเราไม่เคยขยับสถานะให้กลายเป็น ‘แฟน’ เลย เพราะผมไม่พูด อีกฝ่ายก็ไม่พูด เหมือนเราสบายใจที่จะเป็นแค่คนคุยกัน ห่วงใยกัน คิดถึงกัน รู้สึกรักชอบกัน แต่ไม่ใช่ ‘แฟน’ กัน

พอจบ ม.6 อีกฝ่ายสอบติดมหาวิทยาลัยชื่อดังย่านใจกลางเมืองของกรุงเทพฯ ส่วนผมต้องไปเรียนต่างจังหวัด เราก็ไม่ค่อยได้คุยกันมากเท่าไหร่เพราะต่างคนต่างมีสังคมใหม่ บวกกับผมเห็นว่าในเฟสบุ๊คของอีกฝ่ายมักจะมีผู้หญิงคนนึงที่อยู่มหาวิทยาลัยเดียวกันมาเม้นให้บ่อยๆ บ่อยกว่าผมตอนคุยกับเค้าซะอีก ผมเองก็พอเดาอะไรได้

มันไม่ได้เจ็บปวดมากมาย ผมกลับยินดีด้วยซ้ำที่อีกฝ่ายเจอใครสักคนที่พร้อมจะเปิดเผยสถานะ

หรือจริงๆผมอาจจะแค่ ‘ชอบ’ แต่ยังไม่ได้ ‘รัก’

สมัยตอนอยู่ ม.1 ผมเคยอ่านหนังสือนิยายนอกเวลา และมีประโยคนึงที่ติดอยู่ในหัวผมตลอดเวลาเมื่อผมเริ่มจะต้องจริงจังกับความสัมพันธ์ของความรัก

มันเป็นตอนที่พระเอกคิดว่าตัวเองน่าจะชอบนางเอกเข้าแล้วจึงอยากจะสารภาพรัก แต่ก่อนที่จะได้พูดออกไป นางเอกเหมือนจะรู้ตัวว่าพระเอกกำลังจะพูดอะไร เธอจึงพูดขึ้นมาก่อนว่า

‘ถ้าหากเราสามารถรักใครคนนึงได้ง่ายๆ นั่นก็หมายความว่าเราก็สามารถเลิกกันได้ง่ายๆรึเปล่า’

ผมจำประโยคนั้นฝังใจ ผมจึงใช้เวลาพิสูจน์ว่าเรารักกันจริงๆหรือเปล่าหรือเราแค่รู้สึกชอบพอกันเฉยๆ

ผมรู้ ตอนนี้ผมสนใจพี่ไทป์ขึ้นมาแล้ว อาจจะเพราะรอยยิ้ม หน้าตา หรืออะไรก็ตามแต่ ผมสนใจกขึ้นมาซะแล้ว และผมต้องสลัดความรู้สนใจนี้ออกไปให้ได้

ผมยังไม่อยาก ‘ตกหลุมรัก’ ผมยังไม่พร้อมที่จะเจ็บปวด

จากจำนวนแฟนคลับของพี่แกในวันนั้น ผมรู้ตอนจบอยู่แล้ว

เหมือนหมามองเครื่องบินชัดๆ



“ไอ้ฝน วันนี้มึงทำงานพิเศษปะเนี่ย” ชัทถามขึ้น ตอนนี้ผม นนท์และชัทอยู่โรงโต๊ะหิวอ่อนหน้าคณะที่เดิม

สองอาทิตย์ก่อนร้านกาแฟร้านนึงแถวมหาวิทยาลัยเปิดรับสมัครพนักงานเสิร์ฟ ผมก็เลยลองถามผู้จัดการร้านดูว่ารับพาร์ทไทม์ไหมหรือรับแค่พนักงานประจำ ตอนแรกพี่เบลล์ผู้จัดการร้านเหมือนจะไม่อยากรับพาร์ทไทม์เท่าไหร่ ด้วยตัวผมที่เป็นนักศึกษาซึ่งจู่ๆก็อาจจะไม่ว่างขึ้นมาก็ได้ แต่สุดท้ายไม่รู้ว่าพระเจ้าศาสนาไหนที่คงอยากให้ผมทำงานพิเศษ บังเอิญตอนที่สัมภาษณ์อยู่ก็มีคนไปสมัครงานพร้อมกับผมวันนั้น เป็นนักศึกษาภาคเสาร์-อาทิตย์ของมหาวิทยาลัยเอกชนข้างๆ ซึ่งอีกฝ่ายสะดวกมาทำงานจันทร์ถึงศุกร์ ส่วนเสาร์-อาทิตย์ก็มาทำช่วงดึกได้ ผมเลยได้อานิสงค์ในการสมัครงานครั้งนี้ไปด้วยเต็มๆ พี่เบลล์เลยจัดตารางให้ผมทำงานศุกร์เสาร์-อาทิตย์ เพราะวันเสาร์-อาทิตย์ผมไม่มีเรียน และวันศุกร์ผมเรียนแค่ครึ่งวัน

วินๆทั้งสามคน พี่เบลล์เองก็จ่ายค่าแรงผมในฐานะพนักงานพาร์ทไทม์รานชั่วโมง แกก็เซฟเงินไปได้อีกนิด

“ทำดิ วันนี้วันศุกร์ เนี่ยกูมีเข้ากะตอนบ่ายสาม” ผมตอบก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมากดดูเวลา เหลือเวลาอีก 2 ชม.เพื่อเตรียมตัวไปทำงาน แต่ตอนนี้ต้องปั่นการบ้านของวันจันทร์ให้เสร็จก่อน

“เออ พอดี กูอยากให้มึงช่วงกันโซนวีไอพีชั้น 2 ให้หน่อย วันนี้ชมรมกูจะมีมีตติ้ง คือกูคิดอะไรไม่ออก เลยเสนอร้านกาแฟที่มึงทำงานอยู่ ก็เลยจะไปจัดมีตติ้งที่ร้านมึงอ่ะ”

“เอ้าเชี่ย แล้วไม่บอกก่อนวะ กูไม่รู้ว่าพี่เบลล์แกจะโอเคไหม วันนี้วันศุกร์ด้วย นักศึกษาน่าจะเยอะ”

“เมื่อเช้ากูโทรไปตามผู้จัดการร้านแล้วเค้าบอกได้ แค่สั่งให้ครบตามจำนวนเงินของโซนวีไอพีก็พอ ทำเหมือนมานั่งดื่มกาแฟธรรมดา”

“ถ้ายังงั้นก็โอเค มึงจะไปกี่โมงอะ”

“ห้าโมงเย็น คิดว่าจะเลิกมีตติ้งกันสามทุ่ม มึงเลิกงานกี่โมง”

“ศุกร์เสาร์อาทิตย์กูเลิกเที่ยงคืน” ร้านกาแฟที่ผมทำงานอยู่ไม่ใช่แบบเปิดตลอด 24 ชั่วโมง แต่เปิดตั้งแต่ 10 โมงถึงเที่ยงคืน

“เค ถ้างั้นเดี๋ยวเจอกันตอนห้าโมง กูไปชมรมก่อนนะ ต้องไปล่ารายการเมนูที่จะกินกันวันนี้ ไปถึงร้านจะไปไม่ต้องปัญหาเยอะ”

“เชี่ยทำงานเป็นระบบสัส” นนท์ทัก ผมพนักหน้าสมทบ ถือว่าเป็นการเตรียมการที่ดีมาก ผมลองนึกถึงผู้ชายวัยรุ่นตัวโตๆ หลายสิบคนโวกเวกโวยวายสั่งขนมกับเครื่องดื่มตรงเคาเตอร์ นึกแค่นั้นผมก็มึนแล้ว

“เออ พี่คินสอนกูมาดี” พี่คินก็คือพี่ปี 3 ที่เป็นผู้จัดการชมรมฟุตบอลที่กำลังจะหมดหน้าที่ ผมเคยเจออยู่ครั้งนึงตอนที่ชัทรับหน้าที่ใหม่ๆ แกเอาของมาให้ชัทตรงโต๊ะที่เรากำลังนั่งกันอยู่ “เจอกันเย็นนี้ กูไปละ บาย”

“บาย / บาย” ผมกับนนท์พูดพร้อมกัน

เฮ้อ เย็นนี้ชมรมฟุตบอลจะมามีตติ้งที่ร้านเหรอเนี่ย ทำไมต้องเป็นวันศุกร์ด้วย วันธรรมดาไม่ได้เหรอ ผมไม่อยากจะเจอหน้าพี่ไทป์เลย

ตลอด 3 อาทิตย์ที่ผ่านมาผมไม่เคยไปเหยียบชมรมฟุตบอลหรือแม้แต่กระทั่งเฉียดใกล้อีกเลย แต่เกือบทุกเช้าผมจะเห็นพวกกลุ่มพี่แกนั่งที่โรงอาหาร ผมก็ทำเนียนๆมองไม่เห็นเดินไปซื้อน้ำแล้วรีบเดินกลับไปที่โต๊ะหินอ่อน

เคยเจอกันแค่ครั้งสองครั้ง แกน่าจะจำผมไม่ได้หรอก แล้วที่ยิ้มวันนั้นก็คงจะยิ้มให้แฟนคลับทั่วไป

ผมได้ฟังจากปากของชัทเล่าถึงสี่จตุรเทพแห่งชมรมฟุตบอลมาบ้าง

กลุ่มแก๊งพี่ไทป์เรียนบริหารปี 3 ฉายากลุ่มคือเอฟโฟร์แห่ง NU ความดังแผ่กระจายไปต่างมหาลัยอีกต่างหาก ถึงจะอยู่ชมรมฟุตบอลก็จริงแต่ไม่จำเป็นต้องเข้าบ่อยๆ เพราะเป็นตัวจริงกันทั้งสี่ตั้งแต่ปี 1 เรียนเก่ง กีฬาเด่น บ้านมีอันจะกิน อภิสิทธิ์เยอะแยะไปหมด แม้แต่อาจารย์ยังเกรงใจ

โอ้โห คนอะไรมันจะครบครันขนาดนี้ ผมคิดว่าการตัดใจตั้งแต่เนิ่นๆมันเป็นหนทางที่ดีที่สุด ผมไม่อยากจะถลำลึกกับความรู้สึกชอบใครอีกแล้ว

หยุดได้ก็หยุด พอได้ก็พอ



“นี่เอาไปก่อนเซ็ตแรกมีทั้งหมด 10 แก้วนะ เดี๋ยวลงมาเอาต่ออีก 10 แก้ว” ผมรับถาดที่วางแก้วพลาสติกบรรจุน้ำหลากสีสันมาจากเจ๊ปลา พนักงานประจำที่ทำงานที่นี่มา 2 ปีตามคำบอกเล่า

“นี่ชมรมฟุตบอลสั่งทั้งหมดกี่แก้วอะครับ” ผมถาม

“ก็ทั้งหมด 26 แก้วนะ ค่อยๆทะยอยเอาไปเสิร์ฟ เห็นน้องผู้จัดการชมรมบอกเป็นเพื่อนฝนด้วยนิ”

“ใช่ครับ ชื่อชัทเรียนคณะเดียวกัน”

“โครตน่ารักเลย ยิ้มทีโลกสดใส” พี่ปลาพูดพลางยิ้มเคลิบเคลิ้ม ผมแหยๆส่งกลับไป คือพี่แกเป็นผู้หญิงที่ชอบผู้ชายน่ารัก ตอนแรกแกก็เต๊าะผมเหมือนกัน แต่ผมรู้ว่าแกเต๊าะเล่นๆก็ไม่ได้เล่นตอบ หลังๆมาก็คุยกันเป็นพี่น้องที่เป็นเพื่อนร่วมงานปกติ

“ครับๆ เดี๋ยวผมเอาไปเสิร์ฟก่อนนะครับ”

ผมเดินขึ้นบันไดชั้น 2 ของร้านไปยังโซนวีไอพี จริงๆชั้น 2 ก็ถือเป็นโซนวีไอพีแล้วละ เพราะปกติถ้าไม่สั่งให้ครบจำนวนเงินที่กำหนดหรือไม่จ่ายเงินเพิ่มเป็นรายชั่วโมงก็จะขึ้นไม่ได้

ผมพลักเข้าไปยังประตูห้องที่กั้นกระจกใสเอาไว้ มู่ลี่ที่ปิดเอาไว้ทำให้ไม่สามารถมองจากด้านนอกเข้าไปได้ ในบางวันจะมีพนักงานบริษัทมาเช่าห้องประชุมช่วงเย็น ส่วนถ้าเป็นเสาร์อาทิตย์ก็จะเป็นกลุ่มนักเรียนนักศึกษากลุ่มใหญ่ๆที่รวมตัวกันมานั่งทำงานกลุ่ม

ส่วนตอนนี้ในห้องกลุ่มมีชายหนุ่มวัยรุ่นชมรมฟุตบอลของมหาลัยเกือบ 30 คนกำลังนั่งถกเถียงอะไรอยู่ผมก็ไม่อาจทราบได้ เสียงกระดิ่งบนประตูดังขึ้นทำให้เกือบทุกคนหันมามองที่ผม ผมสิ่งยิ้มแหยๆด้วยความประหม่าให้ก่อนที่ชัทจะพูดขึ้น

“ไงฝน มาๆกูช่วย” ชัทพูดพลางลุกขึ้นจากเก้าอี้ริมห้อง ก่อนจะวิ่งมาช่วยผมแจกจ่ายแก้วเครื่องดื่มให้กับสมาชิกในชมรม

ผมวางถาดลงบนโต๊ะแล้วหันไปบอกกับชัท “ชื่อเครื่องดื่มกับชื่อคนสั่งถูกเขียนอยู่บนแก้ว หยิบได้เลยนะ ส่วนที่เหลือเดี๋ยวจะมาเสิร์ฟอีกที”

“ขอบใจนะมึง”

“อื้อ ไม่เป็นไร” ผมยิ้มบางๆให้ชัท ก่อนที่ผมจะหมุนตัวเพื่อออกจากห้อง เสียงสมาชิกชมรมคนนึงที่ผมจำได้ว่าชื่อพี่มิลก็ดังขึ้น

“นี่เพื่อนชัทใช่ไหม”

“ใช่ครับพี่มิล เพื่อนที่คณะผมเองชื่อฝน ฝนนี่พี่มิลอยู่ปีสาม เมื่อกี้เพิ่งได้มติโหวตให้แกเป็นหัวหน้าชมรมฟุตบอลเลย”

“หวัดดีน้องฝน” พี่มิลพูดพลางส่งยิ้มมาให้ผม

“สวัสดีครับ” ผมไหว้สวัสดีรุ่นพี่อย่างสุภาพ เมื่อเกิดการแนะนำตัวว่าเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องผมก็ต้องแสดงความเคารพตามมารยาทถึงแม้พอจะรู้จักหน้าตาและชื่อเสียงเรียงนามมาบ้างแล้วก็เถอะ และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาทผมก็ไหว้เกือบทุกคนในห้องไปด้วยเลย ไม่รู้หรอกใครรุ่นพี่รุ่นน้อง แต่ไหว้ไว้ก่อน

กึก...

ตอนที่ผมหันไปไหว้เกือบทุกคน พี่ไทป์ส่งยิ้มมาให้ผม จู่ๆใจเต้นก็เต้นเร็วอย่างห้ามไม่ได้ รู้สึกได้ว่ามือมันสั่นยังไงไม่รู้

“อ๋อ ใช่น้องฝนคณะสังคมฯใช่ไหม” ใครสักคนที่ผมไม่รู้จักพูดขึ้น ผมทำหน้างุนงง ไม่เข้าใจว่ารู้จักผมได้ยังไง

“เฮ้ยคนนี้เหรอ เคยเห็นรูปผ่านๆในเพจ เพิ่งเคยเจอตัวจริง น่ารักจริงๆด้วย”

งะ เพจอะไร แล้วมีรูปได้ยังไง

ก่อนที่ผมจะสงสัยมากไปกว่านี้ ชัทก็พูดแทรกขึ้นมา “มันไม่รู้หรอกพี่ มันไม่สนใจอะไรพวกนี้หรอก”

“รู้อะไรวะ” ผมขมวดคิ้วถาม

“เอ้า ก็มึงอะดังจะตายห่า มีคนเอารูปมึงไปลงเพจมอบ่อยๆ ไม่รู้ตัวเหรอ”

“ไม่อะ” ผมส่ายหน้าทันที อะไรอะ เอารูปผมไปลงได้ยังไง ผมไม่เคยทำอะไรเลยนะ ผมกลัวจะโดนบูลลี่จะตาย พยายามไม่ทำตัวโดดเด่นอะไรเลยในทุกๆด้าน ทำตัวอยู่แบบเงียบสงบให้มากที่สุด

“ฮ่าๆๆ จริงด้วยสินะ” ผมได้ยินเสียงใครสักคนพูดขึ้น ก่อนจะหันไปเห็นว่ากลุ่มสี่จุตรเทพที่มีพี่ไทป์นั่งอยู่ริมซ้ายกำลังหัวเราะเหมือนจะเอ็นดูระคนปนขำผมอยู่ โดยเฉพาะพี่ไทป์ที่ยังส่งยิ้มมาให้ผมไม่เลิก

งื้ออออ จู่ๆหน้าผมก็ร้อนขึ้นมาเฉยเลย เหมือนจะร้อนไปถึงหัวเลยด้วย

“ก็รูปแอบถ่ายทั้งนั้น”

“ง่ะ”

“ช่างเถอะ นี่น้ำเดี๋ยวมีอีกใช่ไหม กูช่วยยกเอาเปล่า”

“ไม่เป็นไร หน้าที่กู มึงคุยงานต่อเถอะ” ผมบอกก่อนจะรีบหมุนตัวเดินออกไปจากห้องทันที

ไม่ไหวแล้ว ทั้งเขินทั้งอายทั้งงง



“ดิว เดี๋ยวช่วยเอาไปเสิร์ฟแทนเราหน่อยดิ” ผมบอกกับดิว เพื่อนร่วมงานอีกคนที่เรียนภาคเสาร์อาทิตย์อีกมหาวิทยาลัย

“อ้าว ไมอะฝน เพื่อนฝนไม่ใช่เหรอ เผื่อจะได้คุยอะไรกันด้วย” ดิวเลิกคิ้วมองผมอย่างสงสัย

“ไม่เป็นไร เค้าแค่มีตติ้งชมรมฟุตบอล เพื่อนเราแค่ชีทที่เป็นผู้จัดการชมรมตนเดียว คนอื่นๆเราไม่ได้สนิทด้วย” ผมอ้างไป ก็จริงนะ ผมไม่ได้รู้จักใครเลยนอกจากชัท กับคนอื่นอาจจะแค่เคยเห็นผ่านๆตา แก๊งสี่จตุรเทพก็แค่ได้ยินชื่อเสียงเรียงนาม ไม่ได้รู้จักไม่ได้สนิทเลย

จะให้ผมไปคุยอะไรด้วยละ!

“อ๋อ โอเคๆ” ดิวพยักหน้ารับ ผมถอนหายใจเบาๆด้วยความโล่งใจ พอเห็นว่าดิวยกถาดครั้งที่ 2 ไปแล้วผมก็รีบคว้าถาดด้านหน้าพร้อมผ้าเช็ดโต๊ะ ทำทีเก็บแก้วกับจานทั่วร้าน เพราะยังมีอีกถาดที่พี่เบลล์และพี่ปลากำลังชงอยู่อีก 6 แก้ว ผมต้องทำตัวยุ่งๆเข้าไว้ รอให้ดิวกลับลงมาแล้วช่วยเอาไปเสิร์ฟอีกรอบ

ผมไม่ได้ขี้เกียจนะ แต่ผมไม่กล้าจริงๆ

ผมขอแอบมองและ ‘คิดถึง’ พี่ไทป์อยู่ในมุมเงียบๆ ที่พี่เค้าไม่ต้องรู้จักผมดีกว่า

มันจะง่ายต่อผมด้วยในวันที่ผมอยากจะ ‘ตัดใจ’ หากผมเผลอไป ‘ตกหลุมรัก’ แกจริงๆ



ผมแอบชำเหลืองมองดิวเอาถาดที่ 3 ขึ้นไปเสิร์ฟในขณะที่ทำทีเป็นกำลังเช็ดโต๊ะอยู่ตรงมุมร้าน

ฟู่ว แค่นี้ก็หนีพ้นในการพบหน้ากันไปอีกหนึ่งรอบแล้ว

เสียงโหวกเหวกที่ดังลอดมาจากชั้นสองทำผมใจสั่นอยู่หน่อยๆเพราะรู้ว่าหนึ่งในเสียงเหล่านั้นมีเสียงของพี่ไทป์ปะปนอยู่ด้วย

เฮ้อ ให้ตายเถอะ เมื่อไหร่มันจะหายไปนะไอ้อาการนี้ รีบๆหายไปซะทีสิ!



“ผมกลับก่อนนะครับ สวัสดีครับพี่เบลล์ บายดิว”

“บายฝน เจอกันพรุ่งนี้เย็น”

ผม ดิว และพี่เบลล์โบกมือร่ำลากันหน้าร้านกาแฟที่ปิดไฟเรียบร้อย ส่วนพี่ปลาเพราะเป็นผู้หญิงและเป็นพนักงานประจำจึงเลิกงานก่อนพวกเราตั้งแต่สี่ทุ่มไปแล้ว ส่วนดิวเองก็ถือว่าเป็นพนักงานประจำซึ่งหากนับจำนวนชั่วโมงทำงานก็ถือว่าทำงานเท่าๆกัน กับพี่ปลา จึงไม่เคยรู้สึกว่าใครทำงานมากหรือน้อยเกินไป

พวกเราทำงานแบบพี่น้อง แต่ก็เคารพกันและกันด้วย

จากร้านกาแฟไปที่หอผมถือว่าไม่ไกล นับเป็นซอยก็ห่างกันแค่ห้าซอยเท่านั้น ช่วงแรกที่เริ่มทำงานผมมีความคิดอยากจะซื้อจักรยานมาปั่นกลับหอเหมือนกัน แต่มันจะลำบากตอนจอดนะซิ ผมไม่อยากจอดไว้ริมถนนให้เสี่ยงโดนขโมยตอนเผลอหรือจอดหน้าร้านให้เสียภาพลักษณ์ ก็เลยไม่ซื้อมันซะก็ไม่เปลืองเงินด้วย และถึงแม้ตอนนี้จะเป็นเวลาเกือบตีหนึ่งแล้วก็ตาม แต่เพราะร้านตั้งอยู่แถบมหาวิทยาลัยก็เลยมีร้านอาหารอื่นๆที่ยังเปิดต้อนรับนักศึกษาอยู่ด้วย อีกทั้งยังมีร้านสะดวกซื้อเจ้าละแบรนด์ที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมงตั้งอยู่ซอยเว้นซอย แสงไฟที่ยังสว่างจ้าและเด็กนักศึกษาที่เดินเข้าออกเกือบจะตลอด คิดว่าเดินกลับหอตอนตี 1 ถือเป็นการออกกำลังกายสลายไขมันจากนมสดร้อนก็แล้วกัน

ทำงานร้านกาแฟก็จะอ้วนน้ำหวานหน่อยๆ

อีกสองซอยก็จะถึงซอยหอพักผมแล้ว ในขณะที่ผมกำลังเดินมองทางเท้าคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย จู่ๆก็มีกลุ่มผู้ชายกลุ่มใหญ่เดินออกมาจากร้านหมูกระทะเจ้าดังที่เปิดจนถึงตี 2 ชนเข้ากับผมอย่างจัง

ตึง! ผมรับรู้ได้ถึงแรงกระทกเข้าที่หัวก่อนจะซวนเซเล็กน้อย เพราะจากเงาที่ชนกันเมื่อกี้แล้วอีกฝ่ายน่าจะตัวใหญ่กว่าผม คือผมก็ไม่ใช่คนตัวเล็กนะ สูงตั้ง 172 เซนติเมตร จากที่อ่านงานวิจัยจากอินเตอร์เน็ตมา สำหรับปี พ.ศ. นี้ผมก็มาตราฐานแล้วนะ แต่ไม่รู้ทำไมคนสมัยนี้ถึงได้สูงดิบสูงดีก็ไม่รู้ ขนาดนนท์ยังสูงกว่าผมตั้ง 10 เซนเลย อ้อ ยกเว้นชัทไว้หนึ่ง รายนั้นเตี้ยกว่าผมหนึ่งเซน ตอนรู้นี่น้ำตาแทบไหล ดีใจเหลือเกิน

“ข...ขอโทษครับ” ผมละล่ำละลักกล่าวขอโทษออกไป เงยหน้ามองคู่กรณีที่ยืนเป็นยักษษ์วัดแจ้งอยู่ตรงหน้า

อึ้ง อึ้งไปเลยครับ พี่ไทป์!

“ไม่เป็นไร ไม่เจ็บใช่ไหม” เสียงทุ้มเอ่ยถามผมก่อนจะส่งยิ้มพิฆาตมาให้

อ๊ากกกก แอทแทครอยยิ้ม รบกวนรีบๆหุบยิ้มด้วยครับ

จู่ๆใจก็เต้นรัวเหมือนมีคนมาตีกลองชุดอยู่ในอก “ม...ไม่เป็นไรครับ” ฮือออออ ไม่เป็นไรอะไรกันละ ผมจะตายแล้วนะ มือสั่นไปหมดแล้ว

“ไงน้องฝน เจอกันอีกแล้วนะ” เสียงทักทายจากด้านหลังดังขึ้น ผมเอียงคอมองเล็กน้อยก่อนจะเห็นว่าคนที่พูดคือพี่มิล และเห็นว่ายังมีอีกสองคนยืนข้างๆพี่มิล พี่ไนซ์ พี่เกียร์ก็อยู่ด้วยแฮะ

“สวัสดีครับ” มองก้มหน้าเล็กน้อย โอ้โห ครบแก๊งสี่จตุรเทพ ดึกๆดื่นๆยังไม่กลับบ้านกันอีกเหรอเนี่ย

“เพิ่งเลิกงานเหรอ” ถ้าผมไม่ได้จำสลับกันคนนี้ที่พูดอยู่ก็น่าจะเป็นพี่เกียร์

“ครับ กำลังกลับหอครับ”

“หออยู่ไหนเหรอ” คราวนี้เป็นพี่ไทป์ถามขึ้น จู่ๆผมก็รู้สึกเกร็งมือยังไงก็ไม่รู้ ไม่ค่อยจะเป็นตัวเองเท่าไหร่เลยอะ

ไม่ว่าจะยังไงก็ห้าม ‘ตกหลุมรัก’ เด็ดขาด ได้แต่บอกตัวเองเอาไว้ในใจตอนนี้

“ซอย xxx ครับ”

“อีกสองซอยใช่ไหม ดึกๆแถวนี้เปลี่ยวด้วย เดี๋ยวพี่เดินไปส่ง” แล้วก็ส่งรอยยิ้มพิฆาตมาอีกรอบ

ห๊ะ ไปส่ง! ไปส่งทำไมอะ ไม่เคยคุยกันไม่เคยสนิทกัน ไม่ต้องไปโส่งงงงงงง

“เอ่อ ไม่เป็นไรครับ ไม่อันตรายเลย แถมผมก็เป็นผู้ชายด้วย”

“แหม ไม่ได้หรอก พวกพี่รู้จักน้องแล้ว รู้จักกันแล้วก็คือรู้จักแล้ว เพื่อนชัทก็เหมือนน้องในชมรม น้องในชมรมก็เหมือนน้อง แบบนี้พี่ก็ต้องดูแลสิใช่ไหม”

ตรรกะอะไรของพี่มิลเค้าวะผมงง ฟังแล้วงง จุดเชื่อมโยงอยู่ตรงไหน สาระสำคัญอยู่ในประโยคไหน

“เอ่อ...คือ...” ปฏิเสธ ต้องปฏิเสธเท่านั้น!

“อย่าดื้อสิครับ” คราวนี้พี่ไทป์เป็นคนพูด ผมอ้าปากค้างด้วยความงุนงงในประโยค ‘อย่าดื้อ’ ของแก ผมไปดื้อตอนไหนวะ แล้ววันนี้ก็เพิ่งจะรู้จักกันเอง อาจจะเคยเจอกันแค่ครั้งสองครั้งแต่ก็ไม่ได้แนะนำตัวไหม

พี่เค้าเรียนจนเพี้ยนหรือเปล่าอะ

“เฮ้ย เดี๋ยวยังไงกูขอไปซื้อบุหรี่ที่ร้าน xxx ก่อนนะ” พี่เกียร์พูดพลางทำท่าเขย่าซองบุหรี่เปล่าๆ

“กูไปด้วย จะไปซื้อเกลือแร่”

“เออ เดี๋ยวกูไปกับไอ้เกียร์และไอ้ไนซ์ด้วย ไอ้ไทป์ทำหน้าที่พี่ที่ด้วยไปส่งน้องฝนให้ถึงหอด้วยนะ” ทำไมพี่ต้องเน้นคำว่า ‘พี่’ ด้วยอะ

“เออ เดี๋ยวเจอกันที่หน้าร้าน xxx รอกูที่นั่นแล้วกัน ปะ ไปกันเถอะน้องฝน” พูดเสร็จก็คว้าแขนของผมเดินไปทางซอยหอผมทันที ผมที่กำลังจะอ้าปากปฏิเสธ จู่ๆพี่ไทป์ก็หันมามองหน้าผมด้วยใบหน้าใสซื่อเหมือนมันเป็นเรื่องปกติธรรมดา

ผมหุบปากฉับทันทีด้วยความเขินอาย คนหล่อทำหน้าอะไรก็คือยังหล่ออยู่ดี



ระยะทางจากหน้าร้านหมูกระทะกลับมาหอผมถือว่าไม่ไกลมากเพราะห่างกันแค่สองซอยเท่านั้น ปกติถ้าผมเดินกลับมาคนเดียวก็ไม่ได้รู้สึกว่าช้าหรือเร็วอะไรเท่าไหร่ แต่วันนี้ผมรู้สึกว่าเวลามันผ่านไปช้าเสียเหลือเกินเพราะมีคนมาเดินกลับด้วยข้างๆ แถมยังเป็นคนที่ทำให้ผมใจเต้นแรงทุกครั้งที่เจออีกต่างหาก

ผมเคยได้ยินใครไม่รู้พูดว่ายิ่งไม่อยากเจอจะยิ่งเจอ 19 ปีที่ผ่านมาผมไม่เคยเชื่อเลยสักนิด รู้สึกว่าเป็นประโยคคำพูดไร้สาระ แต่วันนี้ผมคิดว่าผมควรจะต้องเริ่มเชื่อกับคำพูดออกแนวประชดประชันล้อเลียนโลกบ้างซะแล้ว

“ถึงหอผมแล้วครับ” ผมและพี่ไทป์เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าหอพักชายขนาดห้าชั้นแถบกลางซอย รู้สึกอายยังไงก็ไม่รู้แหะที่ให้คนที่ผมแอบใจเต้นด้วยมาเห็นสภาพหน้าหอพักของผม มันไม่ใช่หอพักหรูหรา เป็นหอพักชายล้วนธรรมดาแถมไม่มีลิฟต์อีกต่างหาก ดีหน่อยที่ใช้ระบบคีย์การ์ดแตะประตูเพื่อเข้าหอ

ที่ผมเลือกหอนี้เพราะมันปลอดภัยในระดับนึง บวกกับราคาไม่ค่อยแพง พ่อแม่ผมไม่ได้เป็นคนมีเงินมากมาย ก็แค่พนักงานกินเงินเดือนธรรมดาเท่านั้นเอง

“อือ ขึ้นห้องดีๆนะ” พี่ไทป์พูดพลางส่งยิ้มมาให้ผม ฮือ จะยิ้มอะไรบ่อยๆเนี่ย เจอกันกี่ทีๆก็ยิ้ม เคยไปแข่งยิ้มแห่งชาติมาหรือไงกันนะ ยิ้มเก่งจริงๆ

“ขอ...ขอบคุณพี่ไทป์มากครับ ฝากของคุณพี่ๆอีก 3 คนด้วยนะครับ”

“หือ รู้จักพี่ด้วยเหรอ”

“อ่า...ก็ใครไม่รู้จักกันบ้างละครับ” ถามอะไรแปลกๆ แค่ไปนั่งบนอัฒจันทร์ตอนวันคัดเลือกของชมรมฟุตบอลวันนั้นผมก็แทบจะท่องประวัติแกได้หมดโดยไม่ต้องไปสืบจากที่ไหนแล้ว บรรดาผู้หญิงผู้ชายที่นั่งอยู่ด้านหน้าเม้าท์มอยถึงี่แกและกลุ่มพี่แกกันซะขนาดนั้น

ผมที่พยายามทำตัวไม่สนใจ ยังต้องสนใจเลย

“เหรอ ดีใจนะที่รู้จักกัน” โห่ ผมควรจะต้องทำยังไงดี ดิ้นตายเลยไหมกับประโยคนี้ อย่าตกหลุมรักๆ ท่องไว้

“ครับ ผมเข้าหอก่อนนะครับ”

“......” เงียบ

“สวัสดีครับ” พี่ไทป์เงียบไม่ตอบอะไรเลย ผมโค้งขอบคุณเป็นมารยาทที่ดีแล้วเอาคีย์การ์ดแตะประตูกระจกเดินเข้าหอ

หลังจากประตูปิดเรียบร้อย ผมหันกลับไปมองอีกรอบว่าแกเดินกลับไปหรือยัง ก็ยังคงเห็นพี่ไทป์ยืนนิ่งอยู่ตรงที่เดิมจ้องมองมาที่ผม ผมรู้สึกประหม่า เขินหน่อยๆที่โดนจ้อง แล้วรีบเดินขึ้นบันไดไปยังห้องของผมที่อยู่ชั้นสองทันที

พอกลับมาถึงห้องผมกระโจนทิ้งตัวลงบนเตียงอย่าอ่อนล้า อ่อนล้าทั้งจากการเรียน การทำงาน และจากหัวใจ

ผมทำอะไรที่ดูไม่ถูกไม่ควรหรือเปล่านะ ผมไม่ได้แสดงออกว่าสนใจหรือรังเกียจออกไป พยายามแสดงออกเป็นกลางให้มากที่สุด

เอาจริงๆท่าทีของแกก็ดูประหลาดมาก มีรุ่นพี่รุ่นน้องที่ไหนเค้าเดินมาส่งถึงหอพักกันตอนตี 1 บ้างนะ แถมไม่ใช่รุ่นพี่รุ่นน้องในคณะหรือชมรมเลยด้วย ก็แค่เพื่อนของผมอยู่ชมรมเดียวกับพี่แก การกระทำเมื่อกี้มันดูประหลาดมาก

แต่ผมก็ไม่ใช่พวกที่ชอบคิดเข้าข้างตัวเองด้วย นี่อาจจะเป็นเรื่องปกติธรรมดาของกลุ่มพี่แก พวกเราเพิ่งเห็นหน้าค่าตากันมาในช่วงเย็นก็เลยจำหน้ากันได้ หรืออาจจะเอ็นดูผมที่ผมเป็นเพื่อนกับชัทที่เป็นผู้จัดการชมรมฟุตบอล

แต่รอยยิ้มนั้น...รอยยิ้มนั้น...ฮืออออ ผมไม่อยากจะคิดถึงมันเลย มันดูสว่างสดใส เจิดจ้า ทำให้เขินและชวนฝัน

โอยยยย หยุดคิดแล้วนอนได้แล้ว เดี๋ยวจะต้องตื่นไปทำงานแต่เช้า หยุดคิดหยุดเพ้อหยุดละเมอ หยุดๆๆได้แล้วไอ้ฝน



-----------------------------



เนื่องจากหยุดปีใหม่ก็มีเวลาคิดเวลาเขียนอะไรมากกว่าปกติ

แต่คาดว่าหลังจากเปิดทำงานคงไม่ได้อัพบ่อยๆ 3 ตอนติดอีกแล้ว น่าจะอาทิตย์ละตอนหรือ 2 อาทิตย์ 1 ตอนด้วยซ้ำ

สำหรับฝน เราคิดว่าน่าจะเป็นตัวแทนของบุคคลที่แอบสนใจคนดังทั่วไป ซึ่งก็คือชอบเค้าแล้วละ แต่ไม่อยากยอมรับ ไม่อยากแสดงออกเพราะก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้

ปกติเวลาเราอ่านนิยายเราก็จะชอบอ่านนิยายที่ตัวนางเอกหรือนายเอกไม่ค่อยคิดเข้าข้างตัวเองเท่าไหร่ เพราะจริงๆบริบทสังคมเราก็เป็นแบบนั้นนะ ชอบนะแต่ไม่แสดงออก ไม่ให้รู้หรอกอะไรทำนองนี้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-01-2021 03:51:15 โดย Dek_Noy15 »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Dek_Noy15

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ตอนที่ 3

Ex=Exit เท่ากับอดีต



จริงๆแล้วผมเป็นคนสุภาพนะ ใครก็บอกว่าผมหนะสุภาพ เรียบร้อย ผมจะหยาบก็เฉพาะเมื่อคุยกับเพื่อนเท่านั้น หรืออาจจะมีเผลอพูดคำหยาบบ้างเวลาตกใจหรือโมโห ก็เป็นไปตามวัยและสถานกาณ์

แต่ตอนนี้ขอผมทีเถอะ!

เหี้x! สัXX! ว้อทเดอะXXX!

บุคคลที่ผมไม่อยากจะเจอมากที่สุดทำไมจู่ๆถึงมาโผล่ที่ร้านกาแฟที่ผมทำงานอยู่ได้ ได้ข่าวว่าเรียนมหาลัยใจกลางเมืองไม่ใช่เหรอ หรือมาหาเพื่อนที่มอนี้ แต่อะไรมันจะบังเอิญโชคชะตาฟ้าลิขิต ร้านกาแฟแถบนี้มีเป็นสิบ ทำไมต้องมาอยากดื่มกาแฟร้านนี้ด้วยอะ!

ผมกระพริบตาปริบๆมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่โต๊ะริมหน้าต่างคนเดียวด้วยความงุนงง ท่าทางสบายๆแบบนั้นผม ‘เคย’ คุ้นเคยเป็นอย่างดีเกือบหนึ่งปี

ใช่ คนนั้นๆคือกาย อดีตคนคุยของผมเอง

เป็นมากเกินกว่าเพื่อน แต่ไม่ใช่คนรัก

ผมกับกายจะเรียกว่าจบกันด้วยดีก็ว่าใช่ น่าจะเรียกว่าห่างกันไปแบบไม่ตะขิดตะขวงใจมากกว่า ผมเรียนอยู่ต่างจังหวัด กายก็มีคนคุยใหม่ ถึงสมัยนี้เทคโนโลยีจะทำให้คนเราที่อยู่ไกลกันสามารถรู้สึกเหมือนอยู่ใกล้กันได้

แต่ถ้าไม่ได้รักไม่ได้ชอบ จะมีกี่แอพให้ทักเค้าก็ไม่ทัก

ตอนที่ห่างกันไปผมก็ไม่ได้อะไรหรอกนะ ก็บอกแล้วว่ายินดีด้วยที่เค้ามีคนใหม่

แต่ ‘อดีต’ คนคุยก็เหมือน ‘อดีต’ แฟนไม่ใช่เหรอ เราก็ไม่ได้รู้สึกดีหรอกที่จะกลับไปมีความสัมพันธ์ฉันท์มิตร หลังจากที่ผมแน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายมีคนคุยใหม่แน่นอนเกิน 80% ผมก็บล็อคเฟสฯ บล็อคไลน์ของอีกฝ่ายทันที

ไม่ได้เจ็บปวด แต่ไม่อยากคุยต่อก็เท่านั้น

เหมือนผมจะตกตะลึงนานไปหน่อย จนไม่ได้ยินเสียงพี่ปลาที่กำลังตะโกนเสียงดังใส่หูผมแข่งกับเสียงเพลงคลาสสิกที่เปิดคลอเบาๆอยู่ตอนนี้

“ไอ้น้องโฝ้นนนนนนนน!!!!!”

“เฮ้ย! ครับ!” ผมหลุดออกจากภวังค์แห่งความสงสัยทันที โอ้โห ขี้หูเต้นระบำไปหมดแล้ว

“เหม่ออะไร นี่! เอาไปเสิร์ฟโต๊ะสิบ” ว่าแล้วก็ยื่นถาดที่มีแก้วน้ำสีสวยหลากหลายสีสันสองแก้วมาให้ผม ผมพยักหน้าเบาๆเป็นการรับรู้แล้วรีบยกถาดเพื่อไปเสิร์ฟน้ำทันที

กายนั่งอยู่โต๊ะริมหน้าต่าง ซึ่งห่างไม่ไกลจากโต๊ะสิบที่ผมกำลังจะไปเสิร์ฟ ผมถอนหายใจเบาๆ หวังว่าอีกฝ่ายจะไม่ทักทายผมนะ จบแล้วให้จบไป ผมไม่อยากใจร้ายไปมากกว่านี้

กรุ๊งกริ๊ง..กรุ๊งกริ๊ง...

“ยินดีต้อนรับค่า! อุ้ย!” เสียงตกใจของพี่ปลาเรียกความสนใจจากผมและคนอื่นๆในร้านได้เป็นอย่างดี ผมที่กำลังหมุนตัวเดินกลับเคาเตอร์หันไปมองด้วยความสนใจ ก่อนจะเห็นชายหนุ่มหน้าตาดี ดีกรีว่าที่เกียรตินิยมเดินเข้ามาในร้านสี่คน

เฮ้ย! งานนี้ต้องเฮ้ยด้วยคนแล้ว!

เอฟโฟร์มา!

“สวัสดีครับพี่ๆ” ผมยกมือไหว้เคารพรุ่นพี่ตามมารยาท

“หวัดดีน้องสายฝน!” ร่าเริงเกินเหตุแบบนี้มีอยู่คนเดียวเท่านั้น พี่มิลนั่นเอง

ผมส่งยิ้มแหยๆให้ทุกคน งงครับ วันนี้คือวันอะไรเหรอ ทำไมคนที่ไม่อยากเจอทั้งหลายแหล่ถึงได้แห่กันมาที่ร้านกาแฟที่ผมทำงานอยู่

พี่ๆทั้ง 4 คนเดินไปนั่งโต๊ะริมหน้าต่างถัดจากกาย โอยยยย แล้วแบบนี้ผมจะกล้าไปเสิร์ฟไหมเนี่ย ดิวก็ไม่อยู่อีก จะวานให้พี่ปลาไปเสิร์ฟแทนก็ไม่ได้ ได้ถามพอดีว่าทำไมไม่ไปเสิร์ฟเอง โดนซักจนขาวสะอาดแน่ๆ

หรือผมกำลังดวงตก ต้องไปทำบุญวัดไหนเนี่ย!

ฮือๆ เอาวะ คนนึงจบไปแล้ว อีกคนก็แค่มาทำให้ใจเต้นแรง ไม่มีอะไรหรอก!

“รับอะไรดีครับ” ใช่ สู้ๆเว้ยสายฝน นายทำได้ ก้าวข้าวผ่านความรู้สึกต่างๆให้ได้เหมือนที่ผ่านๆมานะเว้ย!

“พี่ขอ...” ต่างคนต่างสั่งน้ำดื่มกันคนละแก้วพร้อมกับคลับแซนวิสกันคนละเมนู

ผมทำตัวปกติได้ดีมากๆ แบบว่าดีมากๆ ผมมันคนเก็บอาการเก่งอยู่แล้ว ไม่ว่าจะดีหรือร้ายยังไงผมก็จะดูเหมือนชิลอยู่ตลอดเวลา บางทีก็ดูเหมือนคนไม่คิดอะไรเลย ทั้งๆที่จริงๆในหัวคิดจนหัวจะแตกอยู่แล้ว

ตอนนี้ใจก็จะแตกด้วย ฮือออ พี่ไทป์ส่งยิ้มมาให้ ถึงแม้จะเป็นยิ้มที่พี่ส่งให้น้องธรรมดาก็เถอะ แต่ใจไม่สั่นๆยังไงก็ไม่รู้

“ครับ เดี๋ยวรอสักครู่นะครับ”

ผมรีบก้าวเดินฉับๆออกมาทันที หัวใจจะวาย ผมแอบเห็นว่ากายเงยหน้าจากจอมือถือมามองผมเป็นระยะๆ ทำหน้าตาเหมือนอยากจะทักผม แต่คงเป็นเพราะเห็นผมรับออเดอร์โต๊ะพี่ไทป์อยู่ และวันนี้ผมแต่งชุดพนักงานเต็มยศขนาดนี้คงรู้แล้วละว่าผมเป็นพนักงานอยู่ร้านนี้

เห้อ หวังว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะ



“น้องฝนเพิ่งมาทำงานที่นี่เหรอ ว่าจะถามตั้งแต่เมื่อวานแล้ว” พี่มิลเจ้าเดิมเจ้าเก่าถาม ผมที่กำลังวางแก้วน้ำชะงักมือค้าง ส่งสายตาปริบๆให้ทั้งสี่คนที่กำลังมองมาที่ผมอย่างสนอกสนใจ “มีคนเค้าอยากรู้”

งื้อ ใครอยากรู้ “ครับ ทำมาได้สองาทิตย์แล้วครับ” สมัครปุ๊ปได้ทำปั๊ป ร้านขาดแคลนคนงานจริงๆ

“ไม่เหนื่อยเหรอ” เสียงทุ้มนุ่มถามขึ้น ผมหันไปมองเจ้าของเสียงด้วยความสงสัยปนเคอะเขินอยู่ในใจ แค่ฟังเสียงผมก็เขินแล้วอะ หรือผมจะเป็นเอามาจริงๆ

“ไม่เท่าไหร่ครับ ผมทำแค่ช่วงวันหยุด จันทร์ถึงพฤหัสก็เรียนตามปกติ”

“แล้วทำไมถึงเลือกมาทำงานร้านกาแฟละ” อันนี้พี่ไนซ์ถามครับ

“ก็...ผมชอบกลิ่นกาแฟครับ” ผมตอบไปตามความจริง “ผมเพิ่งจะมาหัดดื่มกาแฟตอนที่อ่านหนังสือสอบซิ่วมื่อปีก่อน รู้สึกว่ากลิ่นกาแฟมันช่วยทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายเวลาเครียดๆ แค่ได้กลิ่นก็รู้สึกสบายใจขึ้นนะครับ”

“อ้าว น้องฝนซิ่วมาเหรอ”

ผมไม่ได้ตอบอะไรนอกจากพยักงานหงึกๆ ผมไม่ได้ปิดบังจากเพื่อนๆคนไหนเลย เพียงแต่ถ้าไม่มีใครถามก็ไม่ได้ป่าวประกาศเหมือนกัน “ใช่ครับ ตอนแรกผมเรียนครุฯที่ ม. LUK”

“หือ เป็นคนต่างจังหวัดเหรอ”

“เปล่าครับ เป็นคนกรุงเทพฯเนี่ยหละครับ แต่ตอนนั้นอยากเรียนต่างจังหวัด” เป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบ เกือบทำชีวิตวอดวายด้วย “เอ่อ ผมขอตัวกลับไปทำงานก่อนนะครับ”

“เคๆ เดี๋ยวคุยกันใหม่นะน้องสายฝน” พี่มิลส่งยิ้มให้ผมก่อนจะยกมือขึ้นบ้ายบาย ผมเลี่ยงๆหลบสายตาของพี่ไทป์ที่มองมาตลอด พี่เค้าจะรู้ตัวไหมนะ

ตอนที่พี่มิล พี่เกียร์ พี่ไนซ์ยิ้มให้ผม ผมก็ปกติดีอยู่หรอก ไม่หยักกะมีอาการอะไรเลย แต่พอเป็นพี่ไทป์ ใจก็สั่นทุกที ก็เลยต้องเลี่ยงการจ้องมองหรือการสบตา กลัวมีอาการประหลาดๆให้แกรู้ว่าผมแอบคิดไม่ซื่อนิดๆกับแก

ถึงแม้จะเป็นวันเสาร์แต่คนก็ไม่ได้เยอะมากเท่าไหร่ เพราะเป็นร้านแถวมหาลัย วันหยุดก็เลยดูเงียบๆเหงาๆกว่าวันธรรมดาซึ่งสวนทางกับห้างสรรพสินค้าทั่วไป เพราะยังงี้วันนี้ก็เลยมีแค่ผม พี่ปลาและพี่เบลล์ทำงานกันในตอนกลางวัน ส่วนดิวก็เข้ามาช่วยผมช่วงปิดร้านตอนดึกเท่านั้น

ผมเข้ากะทำงานมากเกือบ 2 ชั่วโมงแล้ว และกายก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมไม่ได้ไปไหน แล้วก็ไม่มีใครมานั่งด้วย ผมคิดว่ากายน่าจะมานั่งก่อนผมเข้าทำงานไม่นาน แต่มันจะนานไปไหม มหาลัยผมกับมหาลัยกายก็ไม่ใช่ไกลๆ ห่างไกลกันเป็นโยชน์ ผมไม่คิดหรอกว่ากายอยากจะมาหาผม ก็ไม่ได้คุยกันเป็นปีแล้ว จะรู้ได้ไงว่าผมทำงานอยู่ที่นี่ น่าจะเป็นเพราะความบังเอิญมากกว่า

กลุ่มพี่ไทป์เองก็บังเอิญ บังเอิญที่อยากจะมาดื่มกาแฟกันที่นี่ ในวันเสาร์ วันที่ผมทำงาน วันที่พวกพี่เค้ารู้แล้วว่าผมทำงานที่นี่

...บังเอิ้ญบังเอิญ...

ในขณะที่ผมกำลังจัดเรียงเคาเตอร์ให้เข้าที่เข้าทาง ก็คนมันว่างอะเนอะ ต้องหาอะไรทำ ถ้านั่งเฉยๆเดี๋ยวจะโดนหักเงินเพราะหาว่าขี้เกียจทำงานเอาได้ จู่ๆเสียงของชายหนุ่มที่ผมคุ้นเคยก็ดังขึ้นไม่ไกล

“ฝน...ว่างหรือเปล่า” กายนั่นเองครับ “เราอยากคุยด้วย” ผมสังเกตุได้ว่าสีหน้าของกายไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เอาจริงๆตอนแรกผมไม่ได้สังเกตุอะไรเลย เพิ่งจะเห็นว่าหน้าตาดูซึมๆก็ตอนที่เดินเข้ามาทักผมเนี่ยละ

“เอ่อ...”

“ตอนนี้ไม่มีลูกค้า ฝนไปคุยกับเพื่อนก็ได้นะ” พี่ปลาที่เดินมาจากไหนไม่รู้พูดแทรกขึ้น ผมมองหน้าพี่ปลาสลับกับหน้ากายอยู่สักพัก เลยพยักหน้าเป็นสัญญาณว่าตกลง

“แต่ไปคุยกับที่โต๊ะด้านนอกข้างร้านนะ” ผมหมายถึงโต๊ะเก้าอี้หินอ่อนที่อยู่ริมหน้าต่างข้างร้านด้านนอก ปกติไม่ค่อยมีคนไปไปนั่งหรอกครับถ้าโต๊ะในร้านไม่เต็มจริงๆ เพราะอากาศเมืองไทยมันร้อนใครๆก็อยากตากแอร์

“ขอบใจนะ”

“อืม”



“กายมีอะไรเหรอ” หลังจากที่ตะเตรียมกาแฟเพื่อเป็นพร็อพในการสทนาครั้งนี้เรียบร้อยแล้ว ผมก็ออกมานั่งพร้อมยิงคำถามทันทีแบบไม่รีรอ

รอทำไม...ผมไม่ชอบความอึดอัด

“ฝนย้ายมาเรียนที่ ม.NU ตั้งแต่เมื่อไหร่” กายถาม “ไม่เห็นบอกเราเลย”

“ก็ตั้งแต่เปิดเทอม เราซิ่วมา” ผมตอบ “แล้วทำไมเราต้องบอกกาย”

“...” เงียบ

“เราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกัน แค่เพื่อนเก่า”

“เราสองคนไม่ใช่แค่เพื่อนเก่า ฝนก็รู้!” กายมีสีหน้าหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด “เราสองคนเกือบคบกันแล้วนะฝน!”

“กาย!” คราวนี้เป็นผมที่ขึ้นบ้าง ผมไม่รู้ผมแสดงสีหน้าแบบไหนไป แต่ผมไม่ชอบมากๆกับคำพูดของกายเมื่อกี้ “เราคิดว่าหน้าเฟสฯของกายก็บ่งบอกอะไรเราได้หลายๆอย่าง เราไม่คิดว่าจะต้องคุยหรือบอกอะไรกันอีก”

“เพราะยังงี้ใช่ไหมฝนเลยไม่ตอบไลน์กาย เปลี่ยนเบอร์ไปเฉยๆ กายโทรเป็นสิบๆร้อยๆสายก็ไม่รับ”

 “กาย...” ผมเว้นระยะในการพูด “กายก็รู้ว่าเราเป็นคนยังไง กายน่าจะเข้าใจดีนะ”

“กายไม่เข้าใจอะฝน ฝ่ายนั้นเค้าก็แค่เข้ามาคุย กายไม่ได้เล่นด้วยซะหน่อย”

“แบบนั้นคือไม่ได้เล่นด้วยเหรอกาย แล้วแบบไหนคือเล่นด้วยละ”

“ฝน!”

“กาย เราสองคนไม่ได้คุยกันมาเป็นปีแล้วนะ ฝนไม่ได้ติดใจอะไรอะไรอีกแล้ว ฝนยินดีด้วยซ้ำหากกายมีแฟนแล้ว” ผมพูดไปตามความจริง ผมไม่ได้รู้สึกเจ็บเท่ากับตอนแรกๆที่จู่ๆก็หายไปจากชีวิตของกันและกันอีกแล้ว “วันนี้เราสองคนบังเอิญเจอกัน แล้วกายก็มาพูดเรื่องนี้กับฝนเพราะอะไรไม่รู้ คือฝนไม่เข้าใจอะ”

ผมถามกายไปตรงๆ ที่ผมเคยบอกไปว่าที่เลิกคุยกับกายมันไม่ได้เจ็บปวดมากมาย มันก็คือความรู้สึกผมเมื่อผมนึกย้อนกลับไป แต่หากให้ผมนึกไปถึงความรู้สึกของตัวเองในวันนั้น ผมเองรู้สึกและสัมผัสได้ว่าตัวเองในตอนนั้นก็เจ็บเอาการอยู่

เวลามันค่อยๆเยียวยารักษาเราเอง เมื่อเราหลุดพ้นได้แล้วมันก็อดีตที่ผ่านไปแล้ว

“กายกับปิ่นไม่ได้เป็นแฟนกัน”

“บอกทำไม ฝนไม่ได้อยากรู้...ตอนนี้ฝนไม่ได้อยากรู้อะไรเกี่ยวกับกายเลย”

“ฝน...กายรู้ว่าตอนนั้นกายละเลยฝน และฝนเป็นคนยังไงกายเองก็รู้”

“อื้ม”

“กายมาที่นี่ไม่ใช่เพราะบังเอิญนะฝน แต่กายรู้ว่าฝนทำงานอยู่ที่นี่กายเลยมา”

ผมมองกายด้วยสีหน้างุนงง รู้ได้ยังว่าผมทำงานที่นี่ แต่ก็ต้องรีบปัดความสงสัยนี้ตกไป

“แล้วทำไมเหรอกาย เราควรจะต้องดีใจไหม” ผมไม่ได้ถามว่าทำไมถึงรู้ว่าผมทำงานที่นี่ ผมไม่ได้คุยกับเพื่อนที่โรงเรียนเก่าหรือแม้แต่เพื่อนที่มหาลัยเก่าตั้งแต่เปิดเทอม คนที่รู้ว่าผมทำงานที่นี่ก็มีแต่เพื่อนปัจจุบันและครอบครัวเท่านั้น

“กายอยากให้ฝนรู้ว่ากายจริงจังกับฝนนะ”

“...” ผมเงียบ ถ้าย้อนกลับไปเมื่อก่อนผมคงดีใจมากและแอบใจเต้นอยู่แน่นอน ถึงจะเป็นแค่คนคุย แต่ผมก็คุยกับกายแค่คนเดียว

คุยกันจนเกือบคบกัน...

“กายขอโอกาสให้เรากลับมาคุยกันอีกรอบนะ” กายเลื่อนมือมากุมมือของผมที่วางอยู่บนโต๊ะ ผมรีบพละมือออกทันที

“กาย มันสายไปแล้ว ตอนนั้นฝนรู้นะว่ากายกับผู้หญิงคนนั้นเป็นอะไรยังไง” ผมไม่ได้โง่จนจะไม่รู้ว่าการเม้นท์คุยกันแบบนั้นมันส่อถึงสถานะอะไร แล้วยังมีเพื่อนๆมหาลัยเดียวกันมาชงซะจนเข้มขนาดนั้น ต่อให้ไม่ขึ้นสเตตัสสถานะก็คือคบกันอยู่นั่นแหละ

“กายขอโทษ ตอนนั้นเราไกลกันแถมไม่ค่อยได้คุยกัน กายก็หวั่นไหว”

“กายยอมรับแล้วใช่ไหมว่าตอนนั้นกายกับผู้หญิงคนนั้นคบกัน”

“แค่คุยกัน ไม่ได้คบกัน”

“มันก็เหมือนเรากับกายปะ ที่แค่คุยกันไม่ได้คบกัน”

“...”

“พอเหอะกาย จบเหอะ ตอนนี้เราโอเคมากแล้วกาย ปล่อยให้มันผ่านไปเถอะ” ผมลุกขึ้นตั้งท่าจะเดินกลับเข้าไปในร้าน เมื่อกี้ผมมองผ่านหน้าต่างแอบเห็นว่าพี่ปลามองมาด้วยความเป็นห่วงอยู่ เพราะปกติผมไม่ใช่คนขี้หงุดหงิดอะไร แต่ตอนนี้สีหน้าผมคงหงิกหงอมากๆ

พอมองไปที่โต๊ะที่ซึ่งกลุ่มพี่ไทป์นั่งอยู่ตอนแรกก็ไม่เจอพวกพี่แกแล้ว สงสัยจะกลับกันไปแล้ว ก็ดีนะ ผมไม่อยากให้พวกแกมารับรู้ว่าผมมีเรื่องทะเลาะบาดหมางกับใครๆ

แต่ก่อนที่ผมจะก้าวเดินออกไปจากเก้าอี้ จู่ๆกายก็ลุกขึ้นมาคว้าแขนผม ความเจ็บจากแรงบีบรัดทำให้ผมทำหน้านิ่วด้วยความเจ็บปวด

“กาย ปล่อย!” ผมเซเล็กน้อยเหมือนจะล้ม แต่พอทรงตัวได้ก็รีบหันไปบอกอีกฝ่ายทันที

“ไม่ปล่อยฝน ฝนต้องยอมให้เราสองคนกลับมาคุยกันก่อน”

“กาย!”

“ฝนต้องยอมให้เราสองคนกลับมาคุยกันก่อนแล้วกายจะปล่อย!”

“ไม่คุย ปล่อย!” ผมจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าหงุดงหิดมากกว่าเดิม แต่ก่อนที่ผมจะพูดอะไรออกไป จู่ๆก็มือของใครไม่รู้พรืดเข้ามาดึงมือของกายออกไปแล้วดึงผมเข้าไปหาตัวเองเล็กน้อย มันไม่ได้รุนแรง แต่อ่อนโยนเสียมากกว่า

ผมรีบหันกลับไปมองด้วยความตกใจว่าใครกันนะที่เข้ามาช่วยผม ก่อนจะตาโตด้วยความตะลึงและหัวใจที่เต้นแรงมากกว่า

พี่ไทป์...

“ฝนบอกว่าไม่ก็คือไม่ ไม่เข้าใจเหรอ” เสียงทุ้มพูดนุ่มๆแต่ดูเยือกเย็น ใบหน้าเรียบเฉยไม่ปรากฏรอยยิ้มดั่งเช่นเคยที่ผมพบแกทุกครั้ง สัมผัสได้ถึงไอร้อนจากตัวพี่ไทป์ คล้ายๆกับตอนนี้กำลังโมโห ไม่พอใจ

แต่เรื่องอะไรละ...

“แล้วมึงเป็นใคร มายุ่งอะไรด้วย!”

“อย่าหยาบกาย!” กายพูดคำไม่สุภาพ ผมปรามเสียงดังด้วยความไม่พอใจ แต่ก่อนผมก็เห็นกายเป็นคนสุภาพดีนะ ไม่เคยเห็นเป็นคนพาลแบบนี้มาก่อน

“อ๋อ อย่าบอกนะว่าที่ไม่ยอมกลับมาคุยกับเรา เพราะมีเหยื่อรายใหม่แล้ว”

ท่าทางหาเรื่องของกายทำผมหงุดหงิดจนเกือบปรอทแตก ผมกำมือแน่นด้วยความไม่พอใจตั้งท่าจะว่าอีกฝ่ายให้กลับไปก่อนที่จะมีเรื่องกัน ผมไม่เคยชกต่อยกับใครเลย แต่คนเราต้องมีครั้งแรกเสมอใช่ไหม

“ก...” แต่ก่อนที่ผมจะได้อ้าปากพูดอะไร จู่ๆก็มีสัมผัสที่อ่อนโยนจากฝ่ามือมาจับที่ไหล่ผมเบาๆอย่างทะนุถนอม

ผมหันขวับกลับไปมองพี่ไทป์ทันที พอพี่ไทป์เห็นว่าผมกำลังมองอยู่ จู่ๆจากสีหน้าเรียบเฉยๆก็ปรากฎรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นและอ่อนโยนส่งมาให้ผม

งือ ใจเหลวเปวไปแล้ว

เพียงแค่รอยยิ้มของพี่ไทป์ก็ทำให้ผมที่กำลังหัวร้อนกลายเป็นเย็นลงได้ในทันที ทำให้มีโอกาสสังเกตมองรอบข้าง ณ ตอนนี้ เป็นเพราะสถานกาณ์เมื่อกี้มันร้อนระอุมากๆจนทำให้ผมไม่ได้สังเกตอะไรเลย ตอนที่เดินออกมาก็ไม่เห็นว่ามีใครอยู่รอบด้านหรือเปล่า ตั้งใจจะคุยๆ คุยเสร็จก็กลับเข้าไปทำงานต่อ บวกกับเป็นวันเสาร์ผมก็คิดไปเองว่าคนไม่เยอะ

แต่ตอนนี้มีไทยมุงที่กำลังมุงมองดูเรื่องของผมนายสายฝนอยู่เป็นสิบ รวมถึงบรรดากลุ่มเอฟโฟร์ที่เหลือที่กำลังยืนยิ้มหัวเราะอยู่ข้างหลังไทยมุงเหล่านั้น

โอยยย ตายๆๆ นี่ผมจะโดนเม้าท์อะไรไหมเนี่ย!

“ครับ ถ้าฝนเป็นนักล่า ผมก็เป็นเหยื่อ”

พีค! งานนี้ยิ่งกว่าพีคเมื่อพี่ไทป์ตอบกลับกายไปอย่างนิ่มๆด้วยคำพูดที่ผมคาดไม่ถึง ตอนนี้ผมเห็นว่าไทยมุงเริ่มเอามือถือขึ้นมาถ่ายรูปอัดคลิปกันบ้างแล้ว

“สัส!”

“ผมว่าคุณยอมรับซะเถอะครับว่าฝนเค้าไม่อยากกลับไปคุยกับคุณแล้ว ที่สำคัญ...” น้ำเสียงทุ้มพูดนุ่มๆอย่างสุภาพ เว้นจังหวะให้อีกฝ่ายที่กำลังเกรี้ยวกราดด้วยความโมโหยิ่งทวีความโมโหเข้าไปอีก “ตอนนี้ผมกับฝนก็กำลังคุยกันอยู่ คุยกันแบ...ที่จะคบกันด้วย”

บึ้ม! ใบหน้าของผมเองครับที่กำลังบึ้มอยู่ตอนนี้ มันน่าจะแดงลามไปยันหูจนถึงท้ายทอยเลย

พี่ไทป์คร้าบพี่พูดอะไรออกไป เราเพิ่งเจอกันไม่กี่ครั้งเองนะ!

“ถ้าคุณหน้าด้านจะเข้ามาแทรก ก็ลองเข้ามาดู ‘อดีต’ไม่สำคัญเท่าปัจจุบันหรอกครับ”

ตาย ตาย ตายอย่างกบอย่างเขียด ตายอย่างอะไรก็ช่างมันเถอะ แต่ผมตายแล้วเรียบร้อย!



-----------------------------

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-01-2021 03:51:38 โดย Dek_Noy15 »

ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ Dek_Noy15

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ตอนที่ 4
Taro เค้าว่าอร่อย


ไทป์ กันตพงษ์ หลี่ จะเป็นชื่อที่ผมจะจำไปจนตาย!

เพราะนอกจากจะเข้ามาป่วนทำให้ใจผมเต้นผิดจังหวะทุกครั้งที่เจอกัน ยังเข้ามาทำให้ชีวิตผมโด่งดังไปชั่วข้ามคืนอีก!

อดีตเคยถูกบูลลี่จนต้องย้ายมหาลัยหนีความทุกข์ ส่วนปัจจุบันตั้งแต่ผมเดินเข้ามหาลัยมา ผมถูกซุบซิบนินทาด้วยหัวข้อต่างๆนาๆที่ไม่รู้ว่าจะทำท่าป้องมือซุบซิบกันทำไมถ้าพูดกันเสียงดังขนาดนี้!

‘แกร๊! คนนั้นปะที่พี่ไทป์บอกว่ากำลังคุยอะ เชี่ย วิ้งคึสัส ชอบบบบบ!’

‘เออ ตัวจริงน่ารักกว่าในรูปภาพอีกวะ’

‘อร๊ายยย! คนนี้ใช่ไหม บังอาจหว่านเสน่ห์ใส่พี่ไทป์ เดี๋ยวเจอถล่ม!’

‘ข่าวจริงหรือปั่นวะ กูพร้อมเผือกมาก’

‘หน้าตากลางๆ งั้นๆอะ’

‘เหอะ! ถ้าแบบนั้นหน้าตากลางๆ แบบไหนถึงจะดูดียะ!’

มีทุกอย่าง ทั้งชม ชอบ ไม่ชอบ ด่าว่า หรือกึ่งๆบูลลี่

แต่เป็นเพราะหลังจากที่ผมผ่านการโดนบูลลี่มาเมื่อปีก่อน ผมก็เข้มแข็งขึ้น อดทนต่อคำติฉินนินทาได้ เพียงแต่ถ้าเลี่ยงปัญหาได้ก็เลี่ยงไว้ก่อน

ช่วงแรกๆก็รับไม่ได้ ถามตัวเองตลอดเราผิดอะไร แทบไม่พูดคุยกับใคร หายตัวจากสังคมไปเป็นเดือนๆ หลังจากนั้นไม่นานผมก็คิดได้ว่าชีวิตเรามันมีอะไรมากกว่านี้

แค่วันนี้ แค่ตอนนี้เราอาจจะกำลังเจอเรื่องไม่ดี ทำให้จิตใจของเราอ่อนแอ แต่ใช่ว่าเราจะอ่อนแอหรือต้องจมปรักอยู่กับมันตลอดไป

‘แก ชั้นลงเรือนี้วะ แฟนเพจไทป์ฝนต้องมา!’

แต่พอก่อนไหมสาวคนนั้น แฟนเพจมันดูจะเป็นเรื่องใหญ่ไปหน่อย พอเถอะหยุดเถอะ!

ผมเดินก้มหน้ามองแต่ทางเท้าฝ่าฝูงชนที่ซุบซิบอยู่ข้างผมตลอดทาง ทำหูทวนลมเป็นร้อยรอบ ไม่อยากพูดอะไรโต้ตอบ เดี๋ยวมันจะเข้าตัวเปล่าๆ อยู่เฉยๆไปเดี๋ยวเรื่องก็ซาๆไปเอง

หวังนะว่ามันจะซาไปเองจริงๆ

“น้องฝนจ๊ะ จะรีบไปตามหาควายที่ไหนจ๊ะ” หลังจากเดินเข้าตึกคณะมาได้ไม่นาน เสียงอันคุ้นเคยแต่ประโยคทักทายช่างกวนตีนยิ่งนักก็ดังขึ้นข้างหลังผม “ยังไม่ถึงเวลาเลย ไม่ต้องรีบจ่ะอีกตั้ง 20 นาทีกว่าจะเริ่มเรียน” ยัง...ยังไม่เลิกกวนตีน!

ผมหยุดเดินแล้วหันหลังไปมองชัทตาขวาง ใครจะมาล้อเลียนผมก็ได้ แต่เพื่อนกันห้ามล้อเลียนกันเว้ย!

“สัสชัท เงียบเลยมึง เดี๋ยวโดนตีนกู”

“หูยยยย กลัวจังเลย” ชัทพูดแล้วท่าทางสะดีดสะดิ้งจนน่าหมั่นไส้ “ไม่ได้กลัวตีนมึงนะ แต่กลัวตีนพี่ไทป์อะ!”

“อะพ่อมึงสิ!”

ผมง้างมือทำท่าจะต่อยชัท ดูคำพูดคำจา กำกวนและกวนตีนชิบหาย ถ้าใครได้ยินเข้าจะยิ่งเข้าใจผิดกันพอดี นี่ถ้าไม่ใช่เพื่อนนี่ต่อยไปจริงๆแล้วนะเนี่ย

แต่ผมไม่ต้องหัวเสียกับชัทให้นานแค่คนเดียว(?) ก็มีอีกคนเข้ามาแจมการกวนตีนครั้งนี้ด้วย คงไม่ต้องบอกหรอกเนอะว่าใคร...

“โอ้ยๆ พ่อคนฮอตคร้าบบบบ เขินแล้วชอบใช้กำลังหยอ งุงิๆ อุอิๆ” ดู๊! แท็กมือกันด้วย สองคนนี้แม่งเหมือนกล้วยหอมจอมซนชัดๆ นายคิดเหมือนฉันมั้ยบีหนึ่ง ฉันก็คิดเหมือนนายเลยบีสอง

ไอ้กล้วยหอมนรก!

“พอเลยพวกมึง กรุขอละ ไม่อายฟ้าก็อายคนมั่ง” ผมไหว้ละ หยุดเถอะ นักศึกษาที่เดินผ่านไปผ่านเริ่มหยุดมองพวกผมสามคนที่ตอนนี้มีสองคนยืนทำท่าน่ารัก(ลัก)ไปฆ่า กับผมที่กำลังพยายามกลั้นน้ำโหของตัวเองเอาไว้จนรู้สึกได้ว่ามันคงจะดำแดงไปหมดแล้ว

พุทโธ ธัมโม สังโฆ...หยุบหนอ พองหนอ...ฟู่ววววว ใจเย็นนนน เคลมดาวน์

“เออ กูเห็นคลิปแล้วนะ พี่ไทป์แม่งโคตรหล่อเลย ใจอย่างได้”

“กูก็ว่า ทำไมช่วงนี้เห็นพี่มันกับกลุ่มพี่มันมากินข้าวโรงอาหารแถวนี้บ่อย บริหารแม่งอยู่ตั้งไกล โรงอาหารก็ส่วนตัวดีกว่า ที่แท้มึงแอบคุยกันเหรอ” ห๊ะ แกมากินข้าวโรงอาหารแถวนี้เหรอ ทำไมผมไม่เคยเห็น เจอก็แค่วันนั้นที่เดินชนกันเอง “แล้ววันก่อนที่ไปมีตติ้งที่ร้านกาแฟทำเป็นไม่รู้จักกันวะ เนียนสัส!”

“เฮ้ยๆ ใจเย็น แอบคุยอะไร ไม่มี ไม่เคยเลย” ผมรีบปฏิเสธ เจอหน้ากันนับครั้งได้ พูดกันนับประโยคได้อีก อย่าว่าแค่คุยเลย แค่ไลน์ยังไม่มีเลย!

“เพื่อนคร้าบบบอย่าโกหกเพื่อนนะคร้าบบบ พี่มันพูดซะขนาดนั้น หน้าตาตอนพูดก็โคตรจริงจัง ดูแค่ในคลิปมองจากดาวอังคารยังรู้เลยว่าพูดจริงหรือเล่น”

“เฮ้ย นี่กูพูดจริงๆ กูไม่ได้คุยกับพี่ไทป์จริงๆ เบอร์โทร ไลน์ วีแชท คาเคาทอล์ค แอพฯเชี่ยไรของพี่แกกูก็ไม่มี เฟสฯ ไอจียังไม่มี ไม่เคยส่องด้วย มึงเอามือถือกูไปเช็คได้!” ผมล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วยื่นโทรศัพท์ให้ดู อธิบายให้หมดอย่าให้เหลือ เดี๋ยวจะหาว่าผมตอแหล

พอชัทและนนท์เห็นผมยืนกรานปฏิเสธท่าเดียว ไอ้สองตัวก็หันมองหน้ากันด้วยท่าทางโคตรกล้วยหอมซน ก็คือท่าทางสงสัยพร้อมเผือกเต็มที่นั่นละ

“สุปยังไงวะไอ้ฝน” นนท์พูดพลางขมวดคิ้วอย่าสงสัย ส่วนชัทก็คว้ามือมาเอามือถือผมไปเช็คคร่าวๆ พอมันเห็นว่าผมไม่มีข้อมูลการติดต่อใดๆของพี่ไทป์เลยก็ยื่นกลับมาวางไว้ผมมือผมเหมือนเดิมพร้อมทำหน้างงๆ

ไม่อยากจะบอกเลยว่าผมก็งงเหมือนกัน

“กูจะรู้ไหม กูยังงอยู่เลยจนถึงตอนนี้เนี่ย”

“แต่ในคลิปมันชัดมากเลยนะ พี่มันแม่งโคตรจริงจัง จริงจังกว่าตอนวันคัดบอลอีกมึง”

“กูไม่รู้ กูยังงอยู่เลยว่าเกิดอะไรขึ้น” ไม่รู้...ทำไม...เป็นคำที่วนเวียนอยู่ในหัวผมมาสองวันแล้ว วนไปแล้วก็วนมา เวียนไปแล้วก็เวียนมา สับสนงุนงงไปหมด

“อ้าว แล้วหลังจากคลิปจบ ไม่ได้คุยกันต่อเหรอวะ”

“คลิปจบตอนไหนอะ คือกูยังไม่ได้ดูคลิปเลย”

ผมไม่รับแอดเฟสบุ๊คใครตั้งแต่เข้ามหาลัยใหม่เลยนอกจากชัทกับนนท์ ส่วนเพื่อนคนอื่นในคณะก็แค่กดติดตามไอจีกันตอนพูดคุยเพื่อขอคอนแทค ไลน์ก็ไม่แอดมั่วซั่ว มีแค่ชัทกับนนท์อีกเช่นเคยที่ผมแอดและคุยในกลุ่มปัจจุบัน อ้อ แล้วก็มีพี่รหัสที่นานทีปีหนจะนัดเจอกัน กับน้องเนิร์ดในคณะอีกคนที่เรียนวิชาด้วยกันทุกตัว สองอาทิตย์แรกผมเห็นหน้ามันทุกคลาสทุกวิชาและก็เห็นว่ามันดูตั้งใจเรียนดี ผิดกับไอ้สองตัวนี้ที่หลับบ้าง ตื่นบ้าง โดดบ้าง บวกกับผ่านไปสองอาทิตย์ก็ยังไม่เห็นน้องเนิร์ดมันถอนวิชาหรือย้ายวิชาสักกะตัวในขณะที่คนอื่นๆเริ่มถอนหรือย้ายกันไปบ้างแล้ว ผมเองก็อยากจะมีที่พึ่งกับเค้าบ้าง เลยคันไม้คันมือ คิดว่าไม่น่าพลาด ต้องเจอมันทุกตัวแน่ๆ ก็เลยแอดไลน์เอาไว้ถามการบ้านซะเลย

คบคนพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตพาไปหาผล

มีเพื่อนดีเป็นศรีแก่ตัว บอกเลย!

“เนี่ยมึง แม่งมีคนเอาไปโพสต์เพจคิ้วบอยคิ้วเกิร์ลมอ ยอดวิวถล่มมาก 2 วันหลักสามพัน!” นนท์ยื่นมือถือมาให้ผม ผมรีบหยิบมือถือขึ้นมาดู คลิปถูกโพสต์อยู่บนหน้าเฟสบุ๊คเพจของมหาลัยเด่นหรา ยอดวิวก็...เชี่ย! 3,526 วิว! พระเจ้า ทำไมยอดวิวมันเยอะยังงี้อะ

ยังไม่รวมที่คิดว่าน่าจะมีคนโหลดวีดีโอเอาไปแชร์ตามกลุ่มไลน์อีก

งืออออ ชีวิตตตตต

“กาย ปล่อย!”

คลิปถูกถ่ายตั้งแต่ที่ผมกับกายเริ่มมีการทะเลาะกันเล็กน้อย แถมถ่ายจากด้านหลังของกายด้วย โอโห้ ใครถ่ายเนี่ย ทันสถานการณ์มากๆ เหมือนมีเซ้นต์เผือกจับสัมผัสได้ว่าจะมีต้องมีเรื่องแน่ๆเลยหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายเอาไว้ได้ทัน ยอมใจจริงๆ

คลิปถูกเล่นไปเรื่อยๆและจบลงตรงที่กายเดินฉุนเฉียวออกไปจากบริเวณร้าน ส่วนผมที่ทำหน้าเอ๋อเหรออยู่ในคลิปก็ถูกพี่ไทป์เดินจูงมือเข้าไปในร้าน แล้วพูดคุยอะไรกับผมนิดหน่อยก่อนออกมาจากร้านเดินไปไหนสักที่พร้อมเพื่อนๆอีกสามคนที่ยืนรอนอกร้าน

ใช่ ผมจำประโยคที่พี่ไทป์พูดกับผมได้ คืองงไม่หายจนถึงตอนนี้เลย

“เดี๋ยวคุยกันอีกทีนะครับ”

แต่จะหลังจากนั้นจนตอนกลางคืนหรือวันอาทิตย์ผมก็ไม่เห็นหน้าพี่ไทป์โผล่มาคุยอะไรให้มันเคลียร์เลย

“เออ อธิบายด่วนครัชเพื่อนฝน ชัชวาลย์คนนี้อยากเผือกเต็มกำลังแล้ว” ชัททำท่าทางอยากรู้จนตัวสั่นประกอบ เหอะๆ ไม่ค่อยเลย

“เดี๋ยวไปขึ้นเรียนก่อน ใกล้เข้าเรียนแล้วสัส” ผมหยิบมือถือขึ้นมาเปิดดูเวลาแล้วเห็นว่าจาก 20 นาทีตอนแรกตอนนี้เหลือแค่ 5 นาทีเท่านั้น “เรียนเสร็จแล้วเดี๋ยวกูเล่าให้ฟัง” เอาวะ มาถึงขนาดนี้แล้ว เล่าให้พวกมันฟังน่าจะดีกว่าว่าเกิดอะไร ยังไงซะมันก็ไม่มีอะไรให้น่าตื่นเต้นอยู่แล้ว เรื่องแม่งโคตรน้ำไม่มีเนื้อเลย

ผมยังจับใจความเหตุกาณณ์ระหว่างผมกับพี่ไทป์ว่าเราสองคนมีจุดเชื่อมอะไรตรงไหนไม่ได้เลย งองงงง

“เออ เล่าให้พวกกูฟังให้หมด รวมถึงเรื่องไอ้หน้าแย้ชื่อกายในคลิปด้วย”

“เออ เล่าแน่ สัญญาด้วยเกียรติของลูกเสือเลย” ชูสามนิ้วให้เลย!



------------------------------------- 50%
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-01-2021 03:56:15 โดย Dek_Noy15 »

ออฟไลน์ Dek_Noy15

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ต่อ

...

“เรื่องมันก็เท่านี้ละมึง ไม่มีอะไรมาก” ผมพูดขณะที่มองควันสีขาวน้อยๆกำลังลอยปุ๊ดๆ เป็นสัญญาณบอกว่าอาหารข้างหน้าพร้อมกินแล้ว

หลังจากเรียนคาบเช้าเสร็จและประจวบเหมาะที่คาบบ่ายอาจารย์ยกคลาสไปเรียนวันอื่นแทน ผมก็ถูกชัทและนนท์ลากขึ้นรถแท็กซี่มาที่ร้านชาบูชื่อดังซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากมหาลัย ในคาบเรียนผมเห็นมันสองตัวซุบซิบคุยอะไรกันสักอย่าง แต่เพราะปกติมันสองตัวก็ชอบซุบซิบคุยเรื่องไร้สาระกันอยู่แล้วผมจึงไม่ได้สนใจมาก พอเรียนเสร็จเพิ่งรู้ว่ามันตกลงจะมากินชาบูร้านนี้โดยไม่ไถ่ถามสุขภาพความอยากของผมเลย

ไอ้กล้วยหอมนรก! ปรึกษากันเองแต่ไม่เคยปรึกษาผมเลย ให้ตายซิ!

หลังจากที่พวกเราต่างรับรู้กันด้วยด้วยตัวเองแล้วว่าอาหารในหม้อสุกพร้อมกิน พอผมเปิดฝาหม้อไม่เกินห้าวินาที ชัทและนนท์รีบจ้วงกันแย่งหมูสไลด์ที่หยิบเทลงไปก่อนน้ำเดือดไม่นานเป็นอันดับแรก แรร์ไอเทมสุดเพราะแพงสุดจึงสั่งมาน้อย ใครดีใครได้และหารเงินเท่ากัน!

พอวางฝาหม้อเสร็จ ผมก็รีบเข้าสู่การแข่งขันแย่งหมูสไลด์ด้วยทันที กลุ่มพวกเราไม่มีหรอกครับมาเกรงใจ ลวกจิ้มกินทีละชิ้น เสียเวลา เทพรวดๆแล้วกินพร้อมกันหมดทั้งหมดได้ฟีลดีกว่าเยอะ!

“เท่าที่ฟังมึงเล่ามา กูว่ามันแปลกๆวะ” ชัทพูด แต่ปากก็ยังเคี้ยวหมูสไลด์ที่คีบมาได้ไปด้วย ขอเถอะช่วยกลืนหมูก่อนพูดได้เปล่า ผมรับไม่ได้ มารยาทนิดนึงเพื่อน!

“แปลกยังไงวะ”

“ก็มึงบอกมึงกับพี่มันเจอกันแค่ไม่กี่ครั้ง พูดคุยไม่กี่ประโยค เรียนก็คนละคณะ แถมมึงก็ไม่ได้เข้าชมรมฟุตบอลกับกูด้วย เรียกว่าไม่มีสตรอรี่ห่าเหวร่วมกันเลย แล้วทำไมพี่มันต้องเข้าไปช่วยมึงจากไอ้กายแฟนเก่ามึงด้วยวะ”

“ไม่ใช่แฟนเก่าเว้ย แค่คนเคยคุยกัน” ผมเถียงคอเป็นเอ็น ก่อนจะเห็นนท์กรอกตามองบนอย่างเบื่อหน่าย คือตอนที่เล่าเรื่องระหว่างผมกับกาย ไอ้สองตัวนี้ก็พูดแต่ไอ้หน้าแย้แฟนเก่ามึง ผมต้องย้ำเน้นบ่อยมากว่าไม่ได้เป็นแฟน เป็นแค่คนคุย คนคุยที่คุยกัน 1 ปีอะ เข้าใจปะ!

“สัส คุยเชี่ยอะไร 1 ปี ปกติกูคุย 1 เดือนก็เต็มที่แล้ว ไม่ใช่ก็ต้องรีบถอนตัวอะมึง”

“…!” ผมถลึงตามองนนท์แต่ไม่ได้เถียงอะไรต่อ ก็แล้วผมบอกไหมละว่าตอนนั้นกายไม่ใช่ ตอนนั้นกับตอนนี้มันคนละเวลาคนละความรู้สึกกันก็เท่านั้น แต่เอาเถอะ ขี้เกียจสาธยายแล้ว เรื่องมันก็จบไปแล้วด้วย

“เออ เข้าเรื่องต่อดีกว่า” นนท์พูดพลางวางตะเกียบลงบนถ้วยตรงข้างหน้าตัวเอง แล้วจ้องผมอย่างจริงจัง “ไอ้ฝน จากที่กูฟังมึงเล่ามาทั้งหมด ให้กูสรุปไหม”

“สรุปว่า”

“กูว่าพี่ไทป์ชอบมึง”

พร๊วดดด

ผมสำลักหมูสไลด์ที่กำลังคีบเข้าปากทันที ดีที่ไม่หกเลอะเทอะเพราะผมถือถ้วยมารองขณะกินด้วย คนมีมารยาทอะครับ ที่บ้านสอนมาดี

“สัสนนท์ สรุปอะไรของมึงเนี่ย! สำลักเลย” ไม่ได้ฟังที่เล่าเลยใช่ไหมว่าเจอกับพี่ไทป์แค่ไม่กี่ครั้งเอง จะมาชงมาชอบอะไร

บร๊า!!!!!!!!!!!!

ไม่ปล่อยให้ความสงสัยเข้าครอบงำอยู่ได้นาน ผมคว้าหยิบทิชชู่มาเช็ดปากให้สะอาดก่อนจะเอ่ยถามออกไป

“ชอบกู? มึงเล่นมุขปะ”

“กูก็เห็นด้วยกับนนท์นะไอ้ฝน จากที่มึงเล่ามา กูว่าพี่ไทป์ชอบมึงวะ”

ห๊ะ  ให้ตายเถอะ ไอ้สองตัวนี้หมดสิทธิ์เป็นนักสืบกันแล้วนะ ตั้งข้อสงสัยอะไรเนี่ย!

“คือในคลิปแม่งชัดมาก ชัดมากว่าพี่มันชอบมึงจริงๆ” นนท์อธิบายอย่างจริงจัง “ถึงมึงจะเจอกับพี่มันไม่กี่ครั้ง แต่กูว่าพี่มันชอบมึงแน่ๆ แล้วก็เห็นไอ้กายจะกลับมาขอคุยกับมึง พี่มันก็เลยหึง เข้าไปขัดขวาง”

“หึง ขัดขวาง” ผมชี้นิ้วเข้าหาตัวเองทำหน้างง

“งานนี้กูเห็นด้วยกับนนท์นะเว้ย” ชัทพยักงานสบทบกับการตั้งข้อสงสัยของนนท์ทันที “กูก็สงสัยอยู่ตั้งแต่เห็นคลิป พอคิดดีๆ กูว่าพี่มันกำลังพยายามเข้าหามึงแน่นอน”

“พยายามเข้าหา ยังไงวะ” งงซิ พยายามเข้าหายังไงวะ ผมก็แค่บังเอิญเดินชนพี่แกที่โรงอาหาร แล้วก็บังเอิญไปดูคัดบอลวันที่พี่แกมาคัดพอดี บังเอิญชมรมฟุตบอลมามีตติ้งที่ร้านกาแฟที่ผมทำงาน บังเอิญเจอพี่แกหลังจากทำงานเสร็จ และบังเอิญที่พี่มันมาดื่มกาแฟที่ร้านผม

เห็นไหม มันก็แค่บังเอิญทั้งนั้นอะ

“เอาจริงๆก็พูดยาก ข้อมูลแม่งน้อยสัส แต่ให้ตั้งข้อสังเกตตอนนี้ก็คือพี่มันชอบมึง ชอบที่แปลว่าอยากได้เป็นแฟนอะ”

“หูยยย คำคม คมสัสรัสเซีย” นนท์ทำปากอู้หู้ว ส่วนชัทยืดอกแบนๆของมันทำหน้าตาภาคภูมิใจ

ผมกรอกตามองบนสองสามที ไม่รู้จะแก้ตัวหรืออธิบายอะไรต่อดี เพราะอันที่จริงผมก็ไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้ว่าความคิดของใครกันแน่ที่ถูก ครั้นจะให้เดินดุ่มๆไปถามพี่ไทป์แกเลนก็ไม่ใช่

เฮ้อ ช่างมันเถอะ มันจะเป็นอะไรยังไงก็ช่างมัน ผมแค่มีสติก็พอแล้ว



หลังจากที่มะรุมมะตุ้มกับหม้อสุกี้กันเสร็จเรียบร้อย มันก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว เมื่อกลับมาถึงมหาลัยพวกเราทั้งสามเลยแยกย้ายกันไปทำธุระของตัวเอง โดยที่นนท์กำชับให้ผมกับชัทกลับหอก่อน 2 ทุ่ม มีการบอกจะวีดีโอคอลกลุ่มมาถามด้วย บางทีนนท์มันก็ทำตัวเป็นพ่อของผมกับชัทเหมือนกันนะ พ่อที่หมายถึงพ่อจริงๆอะ

ผมขำกับท่าทีของนนท์ที่เหมือนพ่อกำนันหวงลูกสาวตามละครหลังข่าว ถึงมันจะหยาบคาบกับผมกับชัท แต่ก็เป็นความหยาบคายที่เกิดจากการสนิทสนม ไม่ใช่ความหยาบคายจากนิสัยหรือสันดาน

ผมเคยคิดว่าจะไม่คบหาใครเป็นเพื่อนสนิทอีก แต่ตอนนี้ผมยอมรับเลยว่าชัทกับนนท์คือเพื่อนสนิทของผม และเป็นเพื่อนที่ผมสามารถไว้ใจได้

ในขณะที่ผมกำลังเดินเล่นไปเรื่อยๆที่สวนหลังมอ จู่ๆก็นึกถึงเรื่องที่ชัทกับนนท์พูดไว้ที่ร้านสุกี้ เรื่องที่พี่ไทป์แกน่าจะชอบผม

พี่ไทป์ชอบผม...พี่ไทป์ชอบไอ้สายฝนเนี่ยนะ! ใช่เหรอ

ผมหยุดยืนมองท้องฟ้าสีส้มรำไรยามเย็น มันสวยงามทุกทีที่ได้เห็น แม้ทุกครั้งที่มองผมจะรู้สึกเศร้าอย่างประหลาดอยู่ในใจ แต่ความสวยของมันก็ทำให้ผมยังอยากมองทุกทีไป

แชะ

ผมกดถ่ายรูปท้องฟ้าก่อนจะอัพโหลดพร้อมเขียนแคปชั่น ‘ตะวันลับฟ้า’ ลงบนอินสตาแกรมส่วนตัว ผมเปิดพับบลิคไอจีเอาไว้ เพราะไม่มีความลับอะไรในไอจีอยู่แล้ว ผมก็แค่ลงรูปภาพที่เกิดจากอยากถ่ายในแต่ละครั้งทั่วไปเท่านั้น ซึ่งส่วนมากก็จะเป็นอาหาร ขนม หรือวิวทิวทัศน์ ต่างจากเฟสบุ๊คของผมมาก เพราะเฟสบุ๊คค่อนข้างจะส่วนตัวมากๆ ผมไม่รับแอดใครเลยนอกจากคนสนิท ญาติบางคนแอดมาผมยังไม่เคยกดรับเลย

หลังจากผมอัพโหลดรูปภาพไปได้ไม่นาน จู่ๆก็มีการแจ้งเตือนมาว่ามีคนกดถูกใจรูปภาพของผม ผมแปลกใจนิดๆเพราะถึงแม้ผมจะเปิดพับบลิคไอจีเอาไว้ก็ตาม แต่โดยปกติผมไม่ได้ไปฟอลโล่วลิ่งใครสักเท่าไหร่ ก็จะมีแต่เพื่อนไม่กี่คนที่ผมกดฟอลโล่ว แน่นอนว่าฟอลโล่วเวอร์ของผมก็มีแต่เพื่อนกันเท่านั้น

ผมปัดหน้าจอเพื่อเปิดดูว่าใครกันนะที่มากดถูกใจภาพผมเร็วขนาดนี้ ก่อนจะตาค้างด้วยความตกใจ

Tipe_Kantapong Like your photo Just Now

เห้ย เดี๋ยว Tipe_Kantapong ใช่ ‘ไทป์ กันตพงษ์’ ใช่ไหม พี่ไทป์กดถูกใจภาพผมยังงั้นเหรอ!

แต่...เดี๋ยวก่อน! ก่อนที่จะมากดถูกใจภาพผมได้ ก็ต้องมีไอจีผมสิ

คำถามคือ...พี่ไทป์มีไอจีผมยังงั้นเหรอ...ได้ไงอะ

ผมรีบกดเข้าไปดูหน้าไอจีของพี่ไทป์ทันทีแล้วรีบเช็คว่าพี่เค้ากำลังฟอลโล่วเวอร์ผมอยู่หรือเปล่า ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ผมตกใจจนมือถือเกือบร่วง

ใช่ พี่ไทป์กำลังฟอลโล่วเวอร์ผมอยู่ ตั้งแต่ตอนไหนอะ!

ผมจำไม่ได้เลย ต่อให้ผมจะเปิดไอจีเป็นสาธารณะ แต่คนมากดติดตามผม ผมก็ต้องรู้ตัวบ้างสิ!

โอเค ไอจีผมไม่ใช่ความลับอย่างที่บอก โนซีเคร็ท มีลงภาพตัวเองบ้างประปราย 20 ต่อ 1 ภาพ ซึ่งส่วนมากจะเป็นภาพที่เพื่อนถ่ายให้ หรือดึงภาพมาจากเพื่อนๆเพื่อลงอีกที

แต่ผมกับพี่ไทป์ไม่เคยสนิทกันถึงขนาดจะมาตามกดถูกใจภาพกันและกัน

ตึกตัก ตึกตัก

จู่ๆก็รู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา ผมรีบเอามือทาบหน้าอกของตัวเอง อีกแล้วสินะ เป็นอีกแล้วสินะ ผมคงต้องยอมรับจริงๆแล้วสินะ

ผม...ชอบพี่ไทป์เข้าซะแล้ว

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด