Vector space: เราสองคนเป็นแค่ฝุ่นที่ลอยในอากาศ อัพตอนที่ 6: 28 เมย.64 (จบแล้ว)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Vector space: เราสองคนเป็นแค่ฝุ่นที่ลอยในอากาศ อัพตอนที่ 6: 28 เมย.64 (จบแล้ว)  (อ่าน 3392 ครั้ง)

ออฟไลน์ Sorrowkung

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 107
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

นิยายเรื่องนี้เป็นเหตุการณ์สมมุติ ชื่อตัวละครและสถานที่เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเท่านั้น นิยายเรื่องนี้มีเนื้อหารุนแรงหรือพฤติกรรมที่เหมาะสม ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีควรพิจารณา งานเขียนนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาของผู้เขียน ห้ามคัดลอก, ทำซ้ำ, เผยแพร่หรือตีพิมพ์โดยไม่ได้รับอนุญาต

********************************************************************************
Vector space
เราสองคนเป็นแค่ฝุ่นที่ลอยในอากาศ
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-04-2021 02:10:49 โดย Sorrowkung »

ออฟไลน์ Sorrowkung

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 107
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Vector Space ตอนที่ 1

“ใกล้จะหมดคาบแล้ว ครูจะแจ้งข่าวนะคะ วันคริสมาสต์จะมีการแข่งประกวดร้องเพลงภาษาอังกฤษของม.3 นะ มีใครอยากลงประกวดบ้างเอ่ย?” คุณครูกล่าวแล้วมองทุกคน แต่ทั้งห้องเงียบกริบ มาบอกปุบปับใครจะกล้าร้องเพลงต่อหน้าคนเยอะแยะ

“ไม่มีใครอยากแสดงความสามารถเลยเหรอคะ สนุกน้า” ครูคะยั้นคะยอ
“ดิม มริงเอาดิ” ต๊อบสะกิดผม
“จะบ้าเหรอ ก็รู้ว่าเราร้องเพี้ยนประจำ” ไปคาราโอเกะกันทีไรผมโดนเพื่อนแซวและยึดไมค์ทุกที
“ไอ้โจ้ มริงชอบร้องเพลงอ่ะ สมัครดิ”
“เชรี่ย น่าอายสาด ไม่เอาหรอก อังกฤษกรูเรียนยังไม่รอดจะให้ร้องเพลงเนี่ยนะ”

“งั้นให้ใครก็ได้เสนอชื่อเพื่อนละกันนะ” ครูเสนอวิธี เอิ่ม...ไม่ต้องถามความสมัครใจงั้นสิ
“ครูคะ ร้องอย่างเดียวหรือเล่นดนตรีด้วยคะ?” ก้อยยกมือถาม
“ถ้าใครมีความสามารถก็เล่นดนตรีด้วยได้นะ งานนี้มีรางวัล 1,000 บาทนะจ้ะ ที่สองได้ 500 ที่สามได้ 200”
“เฮ้ย! งั้นเสนอไอ้ปิงเลย! มันเล่นกีตาร์ได้อ่ะ” ต๊อบตะโกน

ทุกสายตาหันไปหาปิงที่หน้าเหวอ เขายิ้มเขิน ๆ ไม่ตกลงไม่ปฏิเสธ
“ใครว่าให้อรุณวิทย์เล่นกีตาร์ดีคะ?” ครูพูด หลายคนยกมือสนับสนุน ผมก็ยกมือด้วยเพราะเห็นเขาเคยเอากีตาร์มาเล่นที่ห้องหลายครั้ง
“งั้นก็ตกลงครับคุณครู แต่ผมเสียงไม่ดี ไม่ร้องนะครับ”

ปิงเป็นเพื่อนที่ผมเพิ่งรู้จักตอนขึ้นม.3 แทบไม่เคยคุยกัน มีแต่ทำงานกลุ่มกัน 2 ครั้ง
“แล้วใครจะร้องดีคะ?” ครูยิ้มอารมณ์ดีแต่ทั้งห้องเงียบกริบอีกครั้ง
“ผมเสนอดิมครับ” ปิงพุ่งมากอดคอผมจนผมตกใจ
“เฮ้ยยย! ไอ้ดิมแมร่งร้องโคตรห่วย!” หลายเสียงตะโกนพร้อมกัน ผมงี้หน้าชาเลย จะย้ำทำไมวะ

“เฮ้ยปิง เราไม่เอา” ก็รู้ว่าผมร้องเพี้ยนจะเสนอชื่อผมทำไม ผมหันไปบอกปิงเบา ๆ เพราะหน้าอยู่ใกล้กันแค่นี้
“ไม่รู้ล่ะ อยากยกมือให้เรานี่” ปิงหัวเราะ
“ผมว่าให้หัวหน้าห้องร้องดีกว่าครับ” ผมยกมือเสนอชื่อเป้ หัวหน้าห้องที่เก่งอังกฤษกว่าผม แต่ปิงหัวเราะและพยายามกดมือผมลง
“เราไม่กล้าอ่าดิม” เป้ก็ปฏิเสธ
“เฮ้ย! นายร้องดิ๊ เสนอชื่อเราก็ต้องมาเล่นด้วยกันเซ่” ปิงแย้งกึ่งหัวเราะ
คนอื่นก็ยกมือให้นายเยอะแยะจะมาเจาะจงผมทำไม ผมไม่ค่อยสนิทกับเขาถ้าต้องมาซ้อมด้วยกันบ่อย ๆ คงทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ทำไมปิงมากอดคอเสนอชื่อผมอย่างนั้น

ทั้งห้องถกเถียงกันเสียงดังจนเสียงออดดังขึ้น
“งั้นสรุปเป็นอรุณวิทย์เล่นกีตาร์กับมิธิวัตร้องนะคะ ถ้ายังไงอยากเปลี่ยนตัวก็มาบอกครูทีหลังได้นะ”

ผมไม่รู้จะตกใจ ดีใจ หรือเสียใจกับประโยคหลังของคุณครูกันแน่
“เดี๋ยวมาเลือกเพลงกันนะ” ปิงตบบ่าผมพร้อมฉีกยิ้ม


“เอาเพลงนี้นะ? Nothing’s Gonna Change My Love For You” ปิงเปิดยูทิวป์ในมือถือวางบนโต๊ะให้ผมดู ผมผงกหัว เพลงเก่าเนื้อไม่ค่อยยากคงรอดนะ ถึงไม่อยากร้องแต่เมื่อได้รับหน้าที่มาก็ต้องทำให้ดีที่สุด
“ไหวนะ?”
“อืม”
ผมเคี้ยวข้าวพลางกด search หาเนื้อเพลง แต่พอเห็นคอร์ดทำไมมันยุบยับจัง “โห! นายจะเล่นยากไหมอะ?”
"สบายมาก มีแค่ช่วงท้ายเพลงที่ร้องเสียงสูงต้องปรับคีย์ทั้งชุด แต่ถ้าร้องแบบเดิมทั้งเพลงก็ง่ายขึ้น เอาจริงเราว่าเพลงเก่าขนาดนี้ไม่มีใครรู้หรอกว่าพวกเราเล่นไม่เหมือน ฮ่า ๆๆ”
“เราไม่ค่อยรู้เรื่องคอร์ดเรื่องคีย์นะ ให้เราร้องยังไงก็บอกเราละกัน”

ผมยังเกร็ง ๆ ที่ต้องร่วมมือกับคนที่ไม่ค่อยสนิท แต่คิดว่าถ้าไม่เริ่มแล้วเราจะสนิทกับเพื่อนได้ไง
“เย็นนี้รีบกลับบ้านมั้ย?”
“ไม่อ่ะ จะซ้อมเลยเหรอ?”
“อืม เลิกเรียนไปห้องดนตรีกัน วันนี้ใช้กีตาร์ของโรงเรียนก่อน เดี๋ยววันหลังเราเอากีตาร์เรามา”
ผมกดเซฟเนื้อเพลงลงมือถือไว้ฝึกระหว่างวัน ทำส่วนของตัวเองให้ดีที่สุดก่อนละกัน

หลังเลิกเรียนพวกเราขึ้นไปห้องดนตรีที่ชั้น 2 หอประชุม
“เพิ่งเคยมานะเนี่ย” ตอนม.2 วิชาดนตรีจะใช้แค่เวทีของห้องประชุมเป็นห้องเรียน ไม่เคยเข้ามาห้องข้างในแบบนี้ มันเงียบจังแฮะ
“ถ้าวันไหนรุ่นพี่มีซ้อมจะดังมาก ต้องไปเล่นที่อื่นนะ แต่ช่วงนี้โชคดี มาเริ่มกันเลยละกัน ขอเราซ้อมอินโทรแป๊บนะไม่ได้เล่นเพลงนี้นานแล้ว” ปิงหยิบกีตาร์มาลองเล่นอินโทร ผมไม่รู้จะทำอะไรเลยนั่งดู

สักพักปิงก็บอกให้ผมร้องคลอเบา ๆ ผมก็ร้องตามที่เคยฟัง
“ขอซ้อมท่อนนี้อีกรอบนะ I might have been in love before but it never felt this strong...
“อืม”
พอร้องวน ๆ สักพักผมก็เริ่มรู้ละ “ปิง เราร้องเพี้ยนใช่มะ บอกตรง ๆ ได้นะ”
ปิงยิ้มบาง ๆ “นายทำได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ เลย”
“ขอบใจนะปิง”
“ซ้อมต่อนะ ท่อนนี้เราว่าพวกเราโอเคละ ไปท่อนต่อไปเลย”
เขาก้มหน้าเล่นกีตาร์ต่อ แต่ทำไมผมรู้สึกดีใจประหลาด ๆ มันไม่เหมือนดีใจเวลาคนอื่นชม รอยยิ้มเขาทำให้ผมรู้สึกดีกว่าคนอื่น ๆ ...เวลาผมทำผิดคนอื่นจะตำหนิ แต่กับปิง เขามีแต่ให้กำลังใจ...

ผ่านไปสักพักปิงเงยหน้าขึ้นมา “เบื่อไหม?”
“ไม่อ่ะ นี่ก็ได้เกือบครึ่งเพลงละ”
“เปล่า เราหมายถึงเบื่อเราไหม?”
“ห้ะ ไม่เบื่อ ทำไมเหรอ?”
“ก็จอยแฟนเราชอบพูดแบบนี้เรื่อยเวลาเราซ้อม”
เอิ่ม...ผมจะตอบยังไงดี ปกติเพื่อนเขาคุยกันเรื่องนี้เหรอ

“ไม่เบื่ออ่ะ” ผมตอบตามตรง หน้าตาปิงดูดี ใจเย็น นิสัยก็สุภาพ ไม่รู้ตรงไหนน่าเบื่อหว่า
“ขอบใจนะ” ปิงเงยหน้าขึ้นมายิ้ม
“เริ่มเย็นแล้วล่ะ วันนี้เอาแค่นี้ก่อนมั้ย?” ผมถามปิงเพราะเริ่มมืดแล้ว
“ดีเหมือนกัน เราก็เจ็บนิ้วละ”
“ทำไมไม่บอกล่ะ?”
“เล่นกีตาร์ก็เจ็บนิ้วเป็นเรื่องธรรมดาน่ะ”
“ไหนดูให้ นิ้วเป็นรอยบากเลยแฮะ”
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวหนังก็ด้านขึ้นเอง” ปิงดึงมือออกแต่กลายเป็นกำมือผมไปด้วย

พอเดินไปขึ้นรถเมล์ผมโบกมือลาปิงที่รอรถอีกสาย ...มือที่กำเมื่อกี๊...มันไม่รู้สึกเหมือนตอนผมจับมือเฟิร์สแฮะ


“ดิมเป็นตัวแทนแข่งเพลงภาษาอังกฤษเหรอ?” เฟิร์สถามตอนเดินด้วยกันหลังกินข้าวเที่ยง เพราะโรงอาหารแยกฝั่งชายหญิง
“อืม มีเพื่อนอีกคนชื่อปิงเล่นกีตาร์ด้วย”
“ปิง ที่ตี๋ ๆ อ่ะนะ”
“อืม”
“แหยะ ตานั่นเจ้าชู้จะตาย ดิมไปสนิทกับเขาได้ไง”
คำพูดของเฟิร์สทำให้ผมโมโห เฟิร์สไม่ควรวิจารณ์เพื่อนของผมแบบนั้นทั้งที่ยังไม่รู้จักกันนะ
“เฟิร์สรู้จักเค้าเหรอ?”
“แฟนจอยใช่มั้ยล่ะ? จอยห้อง 5 น่ะ”
“ไม่รู้สิ” ผมไม่อยากสนใจเรื่องพวกนี้ต่อ ปิงที่ผมเห็นเป็นคนนิสัยดี ก็แค่นั้นแหละ
“เย็นนี้เราไม่มีเรียนพิเศษ เดี๋ยวเราโทรหานะดิม”
“อืม แต่เราอาจกำลังซ้อมอยู่นะ”


“เป้ เดี๋ยวเรากับปิงทำเวรห้องให้นะ แลกกับช่วงสัปดาห์สุดท้ายพวกเราต้องไปซ้อมจะไม่ได้ทำเวร”
“โอเค”
พอทำเวรตอนเย็นเสร็จพวกเราเลยใช้ระเบียงห้องประจำชั้นเป็นที่ซ้อมได้ตามสบาย ปิงก็เอากีตาร์มาแล้ว

“ตรงนี้เย็นกว่าที่ห้องดนตรีเนอะ”
“อืม ห้องนั้นถ้าไม่เปิดแอร์นี่ร้อนมาก”
ปิงหยิบกีตาร์โปร่งขึ้นมาเริ่มซ้อม ผมร้องตามไปเรื่อย ๆ แทบไม่ต้องดูเนื้อแล้วเลยพับแว่นใส่กระเป๋า
“เกือบดีแล้วนะ คร่อมจังหวะนิดเดียว”
“ตรงไหนเหรอ?”
“ช่วงขึ้นท่อนที่สองน่ะ If the road ahead is not so easy, Our love will lead the way for us
ซ้อมอีกทีก็ยังไม่ดีขึ้น “เอางี้ดีกว่า นายนั่งหันหลัง”
แล้วปิงก็นั่งเอาหลังพิงหลังผม เออแปลกแฮะผมรู้จังหวะที่เขาดีดดีขึ้น แม้มีคนเดินผ่านไปมาบ้างแต่พวกเราไม่สนใจ พอเริ่มเย็นลงคนก็ไม่มีแล้ว

“เอ้อ ดีแฮะ ซ้อมวันที่สองก็ได้เกินครึ่งเพลงละ” ปิงพูดเสียงโล่งใจ
“อือ เจ็บนิ้วไหม?”
“ไม่อ่ะ”
“อืม”

“ดิม”
“หืม?”
“เมื่อคืนนายซ้อมต่อที่บ้านใช่มะ ร้องดีขึ้นเยอะเลย”
“อืม ก็ไม่อยากให้นายเล่นซ้ำบ่อย ๆ กลัวเจ็บนิ้ว”
“อืม...ขอบใจนะ”
ปิงหยุดเล่นกีตาร์แต่ยังนั่งพิงผมอยู่ ผมก็รู้สึกดีนะมีอะไรอุ่น ๆ แนบหลัง ไม่อยากลุกจากท่านี้เหมือนกัน

เสียงโทรศัพท์ผมดังขึ้น เป็นเฟิร์ส vdo.call มา
ผมควรลุกไปคุยส่วนตัว แต่เพราะอยากให้เค้าเห็นว่าปิงก็ตั้งใจทำกิจกรรมห้องเลยกดรับในท่านั้นเลย
“หวัดดีเฟิร์ส”
“หวัดดีดิม”
“หวัดดีเฟิร์สสสส” ปิงเอี้ยวตัวมาโบกมือเข้ากล้องด้วย เฟิร์สทำหน้าตกใจ
“อ้าว! หวัดดีปิง กำลังซ้อมกันอยู่เหรอสองหนุ่ม”
“อืม วันนี้เล่นเกินครึ่งเพลงแล้ว”
“โอเค งั้นเราไม่กวนแล้วล่ะ ไปละน้า”

เฟิร์สวางสายไปแล้ว ผมวางโทรศัพท์ลงข้างตัว ทั้งผมทั้งปิงนั่งนิ่งไม่พูดอะไร
“ร้ายนะนายเนี่ย” ปิงเอ่ยทำลายความเงียบ
“อะไร ใครร้าย?”
ปิงเอานิ้วจิ้มหัวผมโดยไม่ต้องหันมามอง “นายไง ไม่อยากคุยกับแฟนอ่ะดิ๊”
“ดูออกเหรอวะ?”
“ใครจะบ้า vdo.call กับแฟนตอนอยู่กับเพื่อนล่ะ? ถ้าไม่ใช่ตั้งใจให้เค้าวางสายเร็ว ๆ”

ผมนั่งนิ่งต่อ ไม่รู้ทำไมผมไม่รู้สึกอยากคุยกับเฟิร์ส
“เย็นแล้ว กลับบ้านเหอะ” ผมพูด
“เดี๋ยวก่อนดิม รอแป๊บ”
“รออะไร?”
“รอดูพระอาทิตย์ตกดิน”
ผมกับปิงหันหน้าไปทิศตะวันตก มันไม่มีโอกาสเห็นพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าในใจกลางเมืองสมุทรปราการที่เต็มไปด้วยตึกหรอก แต่เห็นสีของท้องฟ้าค่อย ๆ เปลี่ยนจากเหลืองเป็นส้ม...
...แดง...
...ชมพู...
...น้ำเงิน...

“พักนี้เราก็ไม่ค่อยคุยกับจอยเหมือนกัน” ปิงพูดหลังจากท้องฟ้ากลายเป็นสีน้ำเงินเข้ม
“ทำไมล่ะ?”
“แล้วนายล่ะ ทำไม”
“...ไม่มีเหตุผลอ่ะ”
“เราก็เหมือนกัน”


เกือบสองสัปดาห์การซ้อมคืบหน้าไปเรื่อย ๆ วันนี้ได้เกือบทั้งเพลงแล้ว เหลือแค่ท่อนฮุคร้องซ้ำช่วงสุดท้ายที่ต้องร้องเสียงสูงขึ้นและเล่นกีตาร์คอร์ดที่ยากขึ้น
“ไหวป่าววะดิม?”
“ถ้าร้องเสียงต่ำตั้งแต่เริ่มมันก็พอขึ้นไหวนะ แล้วปิงเล่นกีตาร์ได้มั้ย?”
“ต้องตั้งสมาธิน่ะ ทั้งเพลงใช้ตั้งหลายคอร์ด”
หลังจากซ้อมหลายครั้งไม่นิ่งซะที สรุปว่าร้องคีย์เดิมไปเลยทั้ง 3 ครั้ง หรือไม่ก็ตัดท่อนฮุคให้เหลือแค่ 2 ครั้ง
“ให้คนในห้องตัดสินใจละกัน” ผมพูด
“อืม” ปิงตอบพลางเล่นกีตาร์เบา ๆ ไปเรื่อย ๆ

“ปิง ชื่อนายแปลว่าอะไรเหรอ” ผมเอ่ยถามในท่าหลังพิงกัน
“เป็นภาษาจีนแปลว่าน้ำแข็ง”
“เหอ? ชื่ออรุณวิทย์ แต่ชื่อเล่นเป็นน้ำแข็งเหรอ?”
“อืม แม่เราตั้งชื่อนี้ให้ตั้งแต่ตอนเราอยู่ในท้อง แต่พอคลอดแล้วไปดูหมอเค้าบอกเราธาตุไฟ เกิดวันอาทิตย์อีก ชื่อก็ไฟจะยิ่งไปกันใหญ่ เลยตั้งชื่อเล่นว่าปิง น้ำแข็งแก้เคล็ด”
“เลยมีทั้งร้อนทั้งเย็นในคนเดียว?”
“อืม เข้าใจยากดีเนอะ เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็นเปลี่ยนไปเรื่อย”
“เปลี่ยนไปเรื่อยนี่ความหมายเดียวกับเจ้าชู้เปล่าวะ?”

ปิงเงียบไป แย่ล่ะผมดันหลุดปากไปแล้ว
“ปิง เราขอโทษ” ผมหันตัวไปหาปิงแต่เขาจับผมไว้จากด้านหลัง
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องหันมาหรอก เรากำลังนั่งสบาย”
“ปิง...”
“นายได้ยินมาว่ายังไงเหรอ?”
“ไม่รู้อ่ะ”
“วันนั้น...ที่นาย vdo.call กับเฟิร์สน่ะ นายอยากให้เค้ามองเราในแง่ดีใช่ปะ?”
“..........”
“แฟนนายก็รู้จักจอย พวกเค้ากลุ่มเดียวกันอ่ะ ก็รู้จักแฟนเก่าเราด้วย”

เราสองคนนั่งพิงกันดูพระอาทิตย์ตกดินเช่นเคย มันเป็นช่วงเวลาที่รู้สึกดีจนลืมเรื่องแย่ ๆ ที่เพิ่งคุยกันตะกี้
“แล้วชื่อนายแปลว่าอะไรเหรอ?”
“Dim ตัวย่อของ Dimension มิติ พ่อเราอยากให้เราเป็นนักวิทยาศาสตร์นาซ่า”
“โอ้โห! คือพ่ออยากให้อยู่นาซ่า?”
“อืม ตอนแรกพ่อจะตั้งชื่อจริงเป็นมิติวัตด้วย แต่แม่ไม่เอา แม่บอกพิลึกเหมือนมิติมืด”
“มิติวัตฟังดูศักดิ์สิทธิ์ยังไงไม่รู้ ก็ว่าชื่อนายแปลกจัง เราไปค้นกูเกิ้ลเจอแต่พิธิวัตกับนิธิวัฒน์”
“อยากรู้ขนาดนั้นเลย?” ผมหันไปหาปิง
“ก็ชื่อเราสองคนคล้องจองกันดีน่ะ อรุณวิทย์ มิธิวัต”
ปิงหันมาเหมือนกัน แก้มเราชนกันจนผมต้องรีบหันกลับ

ท้องฟ้ากำลังเปลี่ยนสี แสงสุดท้ายเกิดขึ้นอย่างเชื่องช้าแต่ก็รวดเร็ว ไม่ถึง 10 นาทีก็เริ่มมืดเป็นท้องฟ้าสีน้ำเงิน
“ดิม แล้วนายมีความฝันอะไรเหรอ? ฝันของนายเองน่ะ?”
“เราอยากเป็นโปรแกรมเมอร์”
“ก็เหมือนที่พ่ออยากให้นายอยู่นาซ่ามั้ย?”
“ไม่รู้สิ เราอยากเป็นโปรแกรมเมอร์เพราะเห็นในหนังเค้าพิมพ์เร็ว ๆ ดูเท่ดี”
“อืม เนอะ เราก็ว่าเท่”
“คนอื่นบอกว่าเราบ้า เท่กับเรื่องแค่เนี้ย ไอ้ต๊อบบอกว่าบัญชีก็พิมพ์เร็วเหมือนกันทำไมไม่เป็นบัญชี”

“แล้วนายล่ะปิง?”
“เราอยากเรียนบริหารน่ะ ฝันจะมีกิจการตัวเอง แต่ตอนนี้ที่ฝันมาก ๆ คือ...”
“คือ?”
“เราอยากอยู่กับคนที่เรารัก”
“ใครเหรอ?” ผมถามไปง่าย ๆ แต่เหมือนการตอบจะไม่ง่ายเพราะปิงเก็บกีตาร์ใส่ถุงเงียบ ๆ ไม่พูดตอบผม

“นายก็รู้ว่าใคร”
“จอยเหรอ?”
“เดาต่อสิ”
“ไม่เล่นละ”
"เพิ่งเดาไปชื่อเดียวเอง เล่นต่ออีกหน่อยสิ"
"ก็เดาชื่อแฟนนายแล้วไม่ใช่" ถ้าเดาต่อแล้วเกิดถูกนี่ดราม่าแน่นอน
"เป็นไรล่ะ คิดว่าเราเจ้าชู้เหรอ?"
"เราไม่อยากพูดเรื่องนี้"
...ประโยคนี้ควรเป็นของปิงมากกว่ามั้ย…

พอเก็บกีตาร์ในห้องและปิดประตูหน้าต่างแล้วพวกเราสองคนก็เดินออกนอกโรงเรียน ตอนนี้เริ่มค่ำแล้ว
"ขอขี่หลังไปป้ายรถเมล์หน่อยสิ"
"ห้ะ?" พูดจบปิงก็กระโดดขึ้นหลังเกาะคอผมเลย ผมเอื้อมมือไปจับใต้ขาเขาแทบไม่ทัน

"ดิมคิดว่าเราเจ้าชู้เหรอ?" ปิงยังเซ้าซี้เรื่องเดิมไม่เลิก
"ไม่รู้อ่ะ เราว่านายนิสัยดี ก็แค่นั้นแหละ เราไม่สนหรอกคนอื่นว่าไง"
"นายว่าเจ้าชู้คือยังไงล่ะ?" ปิงซุกหน้าถามที่หลังหูผม
"ก็คบทีเดียวหลายคน"
"เราคบจอยคนเดียวนะเว้ย ไม่เจ้าชู้นะ"
"แต่รักอีกคน?"
"ใช่ แต่คนที่เรารักน่ะเราไม่ได้คบ"
"แล้วทำไมนายไม่คบคนที่นายรักล่ะ?"
"ก็...คนนั้นเราไม่มีโอกาสคบเค้าได้อ่ะดิม"
"เรายิ่งงงขึ้นไปอีก"
ปิงเกยคางบนบ่าผม "นั่นสินะ นายว่าเค้าจะรู้ตัวมั้ยว่าเรารัก?"
"ปิงก็บอกเค้าสิ”

ปิงเงียบไป สักพักก็ร้องเพลงท่อนที่เคยซ้อมกัน
I might have been in love before but it never felt this strong
ฉันอาจเคยมีความรักมาก่อนแต่ก็ไม่เคยรู้สึกดีขนาดนี้เมื่อฉันเจอเธอ”
“มีแปลให้ด้วยเหรอ ดีจัง” ผมแซวแต่ปิงไม่ตอบอะไร

"Our dreams are young and we both know
They'll take us where we want to go

ความฝันของพวกเราเพิ่งเริ่มต้น ฝันนั้นจะพาเราไปทุกที่ตามใจปรารถนา" ปิงร้องต่อ
"แปลเก่งนะเนี่ย"

"Hold me now, touch me now
I don't want to live without you

กอดฉันนะ ฉันไม่อยากอยู่โดยไม่มี..."
"แปลต่อดิ รอฟังอยู่" ผมพูดกับคนที่แบกอยู่บนหลัง แต่ปิงไม่ตอบอะไร

“อ่ะถึงป้ายรถเมล์ละ" ผมหันไปบอกปิงแต่เจอปิงมองผมอยู่แล้ว ...เขามองผมใกล้อย่างนี้ตั้งแต่ขึ้นขี่หลังผมแล้วงั้นเหรอ…
“งั้นเราไปละนะ เอ้อ! พรุ่งนี้วันศุกร์เดี๋ยวซ้อมเสร็จเราไปอ่านหนังสือบ้านนายได้ไหม ช่วงนี้ซ้อมเพลงจนเรียนไม่ค่อยรู้เรื่องเลย”
“ได้ดิ เดี๋ยวเราติวให้”
ปิงขึ้นรถเมล์ไปแล้ว ทำไมผมรู้สึกไม่อยากให้เขาไป มันหน่วง ๆ ในใจ

เสียงโทรศัพท์ผมดังขึ้น เฟิร์ส vdo call มา ผมมองถนนที่ปราศจากวี่แววรถเมล์สายที่ผมรอ งั้นคงพอมีเวลาคุย
“หวัดดีเฟิร์ส”
“หวัดดีดิม ซ้อมเสร็จแล้วเหรอ?”
“อืม แล้วเฟิร์สเรียนพิเศษเสร็จแล้วเหรอ?”
“ใช่ กำลังรอแม่มารับเลยโทรได้แป๊บนึง”
“อืม” ผมนั่งลงที่ป้ายรถเมล์
“ดิม หมู่นี้ไม่ค่อยได้คุยกันเลยนะ”
“อืม เราซ้อมเย็นน่ะ โทษทีนะเฟิร์ส”
“เราเข้าใจ เวลาดิมตั้งใจก็ทำเต็มที่ เราก็เชียร์เธอนะ เอาให้ชนะห้องเราเลยนะ ฮิ ๆๆ”
“เราก็เอาใจช่วยเฟิร์สให้สอบเปียโนผ่านเกรด 7 นะ”

กิจกรรมของเฟิร์สไม่ใช่เรื่องสนุก เค้าตั้งใจสอบเปียโนถึงเกรด 5 และตระเวณแข่งงานต่าง ๆ เพื่อเป็นคุณสมบัติอีกอย่างเวลาสอบสัมภาษณ์เข้ามหาลัย บทสนทนาของเราสองคนวนเวียนแต่เรื่องพวกนี้ ผมนึกเรื่องเบา ๆ คุยเล่นไม่ออกเลย
“รถเมล์เรามาละ เราไปก่อนนะเฟิร์ส”
“จ๊ะ ไว้คุยกันอีกน้า”
...โชคดีที่รถเมล์มา ผมลำบากใจทุกครั้งที่ต้องพยายามจบการสนทนากับเฟิร์สที่คุยไม่เลิกซะที…

รถเมล์ช่วงหัวค่ำคนไม่เยอะละ ผมนั่งติดหน้าต่าง สักพักมีใครโทรมาอีก เอ๋! ปิงโทรมา
“หวัดดีปิง”
“เอ้อดิม วันเสาร์นายไปไหนมั้ย?”
“วันเสาร์เราเรียนพิเศษตอนบ่ายถึงค่ำตรงทางโค้งรถไฟน่ะ” มันเป็นย่านเงียบ ๆ ที่มีเรียนพิเศษหลายเจ้า
“ตอนเช้ายังว่างใช่มั้ย?”
“อืม”
“งั้นคืนวันศุกร์เราติวกันแล้วเช้าวันเสาร์นายไปซื้อสายกีตาร์กับเราหน่อยสิ”
“ได้ แต่เราเลือกไม่เป็นนะ”
“เดี๋ยวเราจัดการเอง ไปเป็นเพื่อนเราก็พอ แล้วที่บ้านนายมีเพลย์สี่มั้ย? เผื่อเราเอาไปด้วย”
“มี แต่นี่จะมาติวหรืออะไร ฮะ ๆๆ”
“ก็ต้องเล่นแก้เครียดบ้าง”
“เออ เรามีเครื่อง เอาจอยกับแผ่นมาก็พอ”
“ดี ๆ ชาร์จแบตจอยให้เต็มไว้เลยนะ” ปิงพูดเสียงดีใจ
“แล้วนี่ถึงบ้านยัง?”
“ใกล้ถึงแล้วล่ะ พอดีนึกขึ้นได้เลยรีบโทรมาจองคิวนายไว้ก่อน กลัววันเสาร์นายไปเที่ยวกับเฟิร์ส”
“เฮ้ย ไม่มี”
“ไม่มีคิวกับเฟิร์ส แต่มีคิวอื่นรึปล่าววว?”
“บ้า ไม่เหมือนนายนะเว้ย”
“เราก็มีคนเดียว”
“หึ ๆ แล้วคนที่นายบอกว่ารักนั่นน่ะ?”
“ฮะ ๆๆ”
“หัวเราะกลบเกลื่อนนะนายน่ะ”

ผมคุยเล่นกับปิงมาจนถึงหน้าอิมพีเรียลสำโรง
“ถึงบ้านเราละ เราวางสายละนะปิง”
“อืม ถึงบ้านปลอดภัยก็ดีแล้ว”
“เอ๊ะ! แล้วปิงยังไม่ถึงบ้านอีกเหรอ?”
“ถึงตั้งแต่นายแซวเราโน่นแล้ว นี่คุยไปเปลี่ยนเสื้อไปจะไปกินข้าวละ”
“อ้าว ก็ไม่บอก”
“ก็คุยกับนายเพลินดีอ่ะ แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะดิม”


วันศุกร์ผมเข้าห้องประจำชั้นตามปกติ แต่วันนี้ไม่ปกติเพราะปิงนั่งโต๊ะข้างโต๊ะผม
“เราย้ายที่ละ” ปิงอมยิ้ม
“แลกที่กับไอ้ต๊อบเหรอ?”
“ไม่ แลกเองเลย ของใต้โต๊ะก็ย้ายไปโต๊ะเราแล้ว”
“เดี๋ยวไอ้ต๊อบก็โมโหหรอก” ผมวางกระเป๋าลงบนเก้าอี้ ถีงปากจะพูดแบบนั้นแต่ไม่รู้ทำไมถึงดีใจที่ปิงย้ายมานั่งข้าง
“ไม่หรอก เค้าใจดี” ปิงยิ้มกวน
“เฮ้ย! ไอ้ปิงมานั่งโต๊ะเราได้ไง?”
“ย้ายเพื่อวงดนตรีอรุณวิทย์มิธิวัต” ปิงตอบพร้อมตั้งชื่อวง แถมกางแขนเกาะโต๊ะว่าไม่ย้ายกลับแน่ ๆ
“สาด ถามเราก่อนม้ายยย” ต๊อบทำท่ากอดคอปิงตีเข่าแบบขำ ๆ
“เฮ้ย! อย่าทำปิงดิ” ถึงจะรู้ว่าต๊อบมันทำตลก ๆ ก็เถอะ ส่วนปิงก็หัวเราะขำอย่างเดียว

“เอ่อ...ดิม” เป้ ปุ๊ก มิ้ม เดินมาที่โต๊ะผม ต๊อบกับปิงหยุดเล่นเมื่อเห็นหัวหน้าห้องและสองสาวมายืนใกล้ ๆ
“ครับเป้”
“คือเรามีเรื่องจะปรึกษาน่ะ”
“เอาสิ” ผมพูด
“วงดนตรีอรุณวิทย์มิธิวัตยินดีต้อนรับครับ” ปิงแซวขำ ๆ พร้อมวางแขนโอบไหล่ผม
“ก็เรื่องแข่งเพลงนี่แหละ…คือดิมเปลี่ยนตัวกับปุ๊กมิ้มได้มั้ย?”

“พูดตรง ๆ ดิมร้องเพี้ยนน่ะ เราว่าให้ปุ๊กกับมิ้มร้องดีกว่า เค้าเคยร้องประสานเสียงคู่ตอนม.2 น่ะ”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-12-2020 14:36:35 โดย Sorrowkung »

ออฟไลน์ Sorrowkung

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 107
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Vector space ตอนที่ 2

“พูดตรง ๆ ดิมร้องเพี้ยนน่ะ เราว่าให้ปุ๊กกับมิ้มร้องดีกว่า เค้าเคยร้องประสานเสียงคู่ตอนม.2 น่ะ”
คำพูดของหัวหน้าห้องทำผมหน้าชา ทำไมต้องพูดกันแบบนี้ต่อหน้าเพื่อน ๆ ทั้งห้อง ถ้าไม่อยากให้ผมร้องก็น่าจะบอกครูตั้งแต่วันแรก

“ก็ได้นะ” ผมตอบออกไปแบบเก็บความรู้สึก
“แต่พวกมันซ้อมมาเยอะแล้วนะ ชื่อวงก็มีชื่อไอ้ดิม” ต๊อบพูดขึ้นบ้าง
“ให้ดิมเป็นคนตัดสินใจดีกว่า” เป้มัดมือชก ก็รู้อยู่แล้วว่ายังไงผมต้องยอมถอย
ผมหันไปมองปิง นายจะไม่พูดอะไรบ้างเหรอ
“ก็แล้วแต่ดิมเลย” ปิงกล่าวเซ็ง ๆ
“ปุ๊ก มิ้ม สู้ ๆ นะ” ผมพูดเป็นการจบ
“พวกเราขอโทษนะดิม คือตอนแรกเราไม่กล้าแข่งอ่ะเราเขินคนเยอะแยะ แต่...”
“ไม่เป็นไรหรอก เพื่อห้อง เราเชียร์ทุกคนนะ”


“เป้แมร่งใจร้ายสาด ดิมมริงก็น่าจะแข็งสู้ซักหน่อย” ต๊อบโมโหพลางพุ้ยข้าวเข้าปาก
“ช่างเถอะ ก็รู้ว่าเราร้องเพี้ยน” ผมพยายามพูดตลกกลบเกลื่อนทั้งที่ในใจผมก็เคืองไม่แพ้กัน
“ปิงแมร่งก็ไม่ทำอะไรเลย นี่ก็หายหัวไปไหนไม่รู้”
“อย่าว่าเขาเลย ปิงก็ซ้อมหนักจนเรียนไม่ทันแล้ว”
“พูดยังกะเป็นมริงแฟนมันงั้นแหละ ปกป้องจัง”
“เรามีเฟิร์สอยู่แล้วเฟ้ย เออแล้วจะย้ายโต๊ะกลับมั้ยต๊อบ?”
“กรู-ไม่-ย้าย!! ถ้ากรูย้ายกลับก็เท่ากับยอมรับเรื่องเปลี่ยนตัว ให้อรุณวิทย์นั่งกับนายมิธิวัตแบบนี้แหละ เป้มันจะได้แสลงใจบ้าง บ้าอำนาจ”
เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อเช้า มีสองอย่างที่ทำให้ผมอารมณ์ดีได้ก็คือต๊อบเพื่อนสนิทที่สนับสนุนผมตลอดและ...ชื่อวงนี่แหละ

ตอนปิงพูดชื่อผม ไม่รู้ทำไมใจผมเต้นแรง

ทานข้าวเสร็จผมแยกกับต๊อบว่าจะไปซื้อสาหร่ายห่อ แล้วเดินขึ้นห้องดนตรีบนหอประชุม
...ปิงอยู่ที่นั่นจริง ๆ ด้วย…
“ไม่กินข้าวเหรอปิง?”
“ต้องซ้อมก่อน เหลือเวลาแค่อาทิตย์กว่าแล้ว”
ผมยื่นซองสาหร่ายให้ ปิงยิ้มรับ ถ้ารู้ว่าเขายังไม่ได้กินข้าวผมคงซื้อแซนวิชมาด้วย
ปิงเล่นกีตาร์พลางร้องเพลงที่ทำให้ผมขมวดคิ้ว

“A dragon lives forever, but not so little boys
Painted wings and giant's rings make way for other toys
One gray night it happened, Jackie Paper came no more
And Puff, that mighty dragon, he ceased his fearless roar”


...มันไม่ใช่เพลงที่พวกเราซ้อม...ผมได้แต่สงสัยแต่ไม่อยากขัดการเล่นของปิง

“His head was bent in sorrow, green scales fell like rain
Puff no longer went to play along the cherry lane
Without his lifelong friend, Puff could not be brave
So Puff, that mighty dragon, sadly slipped into his cave”


ปิงหันมามองผมที่ทำหน้าสงสัย “ปุ๊กมิ้มเลือกเพลงนี้”
“เมื่อกี๊เล่นท่อนที่เศร้าที่สุดของเพลงซะด้วย ปิงนายโอเคมั้ย?”
“เราน่าจะถามนายมากกว่า โดนเปลี่ยนตัวกะทันหันแบบนี้ นายโอเคมั้ย?”
“เราไม่เป็นไร ว่าแต่ทำไมไม่เอาเพลงเดิมที่เคยซ้อมล่ะ?”
“เราบอกให้เปลี่ยนเองแหละ เพลงนั้นเราเลือกให้นายคนเดียว ถ้าไม่ใช่นายเราไม่เล่น”
“เฮ้ย? เพื่อเราขนาดนั้นเลยเหรอ? แบบนี้นายก็ต้องซ้อมเพิ่มอีกสิ”
ปิงหันหลังให้ผม “เพลงนั้นพ่อสอนเราเล่นเป็นตั้งนานแล้ว”

ห้องเงียบไปหมด ปิงไม่พูดอะไรต่อ ผมก็พูดอะไรไม่ออกเหมือนกัน

“จริง ๆ เราเล่นได้ทั้งเพลง แต่ที่แก้ท่อนสุดท้ายเพราะนายร้องไม่ถึง อยากให้นายคนเดียวร้องกับเรา”
ผมนั่งเอาหลังพิงกับปิง “ไม่บอกเราล่ะ เราจะได้ไม่ยอมเปลี่ยนตัว”
“เรารู้ว่ายังไงนายก็ยอมเปลี่ยน” ปิงเอื้อมมือมาจิ้มหัวผม

“นายเรียนโคตรเก่ง เราไม่รู้จะหาทางคุยอะไรกับนาย พอมีโอกาสเราเลยเสนอให้ดิมร้องกับเรา...ไม่นึกว่าจะทำให้นายเจอเรื่องแย่ ๆ แบบนี้”
“เราไม่เก่งขนาดนั้นหรอก ยิ่งเรื่องดนตรีนี่เราห่วยทั้งเรียนทั้งร้อง เราเลยไม่รู้จะคุยอะไรกับนายมาตั้งแต่เปิดเทอมละ”
ผมแหงนคอไปข้างหลังวางบนบ่าของปิง มองฝุ่นลอยในอากาศ ความเงียบของห้องเหมือนเวลาหยุดนิ่ง
เสียงปิงฉีกซองสาหร่ายแล้วเอื้อมมือส่งมาให้ผม 2 แผ่น
“แน่จริงส่งให้เข้าปากดิ” ปิงจ่อแกว่งไปมาเพราะมองไม่เห็นผมเลยงับซะเอง

“เย็นนี้เหมือนเดิมมั้ย?”
ผมพูดกับอากาศตรงหน้าแต่แน่ใจว่าปิงได้ยิน เราสองคนนั่งคุยกันท่านี้จนเคยชินแล้วมั้ง
“อืม”
“เอาเกมอะไรมาบ้างอ่ะ”
“No Man’s Sky กับ Jump Super Stars มี Soul Calibur ภาคใหม่ด้วย”
“ดี ๆ เรายังไม่เคยเล่น”

เสียงออดดังขึ้นแต่ปิงยังไม่ขยับ ผมก็เหมือนกัน
“โดดเหรอ?” ผมถาม
“อยากพักบ้าง ไม่รู้เป็นไรเหนื่อย ๆ”
“ไหนว่าเรียนไม่ทัน”
“ตัวท็อปของห้องจะติวให้คืนนี้ กลัวอะไร?”
“แล้วตอนบ่ายวันเสาร์ปิงไปทำอะไรต่อ?”
“ก็เปลี่ยนสายกีตาร์”
“งั้นไปนั่งเรียนกับเราดิ”
“ไม่ได้สมัคร เข้าได้เหรอ?”
“เค้ามีทดลองเรียน”
คืนนี้อ่านหนังสือกับปิง ตอนเช้าไปช่วยกันซื้อสายกีตาร์ แล้วตอนบ่ายชวนปิงเรียนพิเศษด้วยกัน ไม่รู้ทำไมผมอยากเพิ่มกิจกรรมขึ้นไปเรื่อย ๆ ...อยากอยู่กับเขาให้นานขึ้นไปอีก...

“ดิมว่าชื่อวงที่เราคิดเจ๋งมั้ย? อรุณวิทย์มิธิวัต” ปิงพูด
“เอาชื่อจริงมาต่อกันอ่าน้า ฟังเผิน ๆ นึกว่างานแต่ง แล้วคราวนี้จะตั้งชื่อยังไงล่ะ อรุณวิทย์พิชนภาวรรณี”
“มุกนี้ใช้แค่นายกับเรา คราวนี้ไม่มีชื่อวงแล้ว งอนเป้” ปิงหัวเราะเบา ๆ พลางขยับหัวถูกับหัวผม
“อยากร้องเพลงอ่ะปิง”
“หน่วงมั้ย?”
“อืม”

“มันจึงเป็นความรัก ที่ไม่ถึงกับสุข เป็นความทุกข์ ที่ไม่ถึงกับเศร้า
เป็นความรัก ที่ทั้งซึ้งทั้งเหงาอยู่ด้วยกัน
จึงเป็นความรักที่มาพร้อมความอึดอัด และเป็นความรักที่ไม่เคยเห็นภาพชัด ๆ สักวัน
มีแค่ความรู้สึกครึ่ง ๆ กลาง ๆ ข้างในใจของฉัน เพียงคนเดียว แค่คนเดียว”


“ดิม”
“หืม?”
“เราแค่อยากเล่นเพลงคู่กับนายเท่านั้นเอง แค่นั้น...ทำไมมันยากจังวะ?”
“ตอนนี้ก็กำลังเล่นด้วยกันอยู่ไง”
นั่นสินะ แค่เพื่อนสองคนอยากร้องเพลงเล่นกีตาร์ด้วยกัน สุดท้ายโดนกดดันจนผมต้องยอมแพ้ ดูเหมือนจะมีแค่ห้องนี้ที่เราสองคนทำสิ่งที่เราอยากทำได้ ...เราสองคนเป็นแค่ฝุ่นที่ลอยในอากาศ...

คาบถัดมาผมกับปิงค่อยเข้าเรียน
“พวกมริงไปซื้อสาหร่ายที่บางปูเหรอ หายไปทั้งคาบ?” ต๊อบประชด


ตอนเย็นปิงซ้อมดนตรีกับปุ๊กมิ้ม ถึงจะทำใจแล้วแต่เห็นก็อดรู้สึกหงุดหงิดไม่ได้ เอาการบ้านมาทำฆ่าเวลารอปิงซ้อม
“หวัดดีปิง ซ้อมยังไม่เสร็จเหรอ?” เสียงใครน่ะ ผมเงยหน้าขึ้นดูก็เจอนักเรียนหญิงคนนึง นั่นจอยห้อง 5 นี่
“อือ จอยรอแป๊บนะ” ปิงตอบ
...คนนี้เอง ผมคิดในใจ
“งั้นเดี๋ยวจอยไปรอกับดิมในห้องนะ”
ปิงผงกหัวโดยไม่ละสายตาจากชีทคอร์ดเพลง Puff The Magic Dragon

“หวัดดีจ้าดิม”
“หวัดดีครับจอย”
“เราเพิ่งเคยเจอกันเนาะ?”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับจอย”
“ดิมเป็นแฟนเฟิร์สใช่มะ?” จอยกระซิบถามพร้อมรอยยิ้มกว้างตาเบิกโต
“เอ่อ...ใช่ครับ”
“อู้ย! อิจฉาจัง เฟิร์สซ้วยสวยอ่า เรียนก็เก่ง เล่นเปียโนก็เก่ง”
“เอ่อ...ครับจอย” คือผมไม่รู้จะพูดอะไรเลย
“แล้วนี่ห้องเธอลงแข่งกัน 4 คนเลยเหรอ ว้าวว ห้องนี้สุดยอดเลย”
“เราไม่ได้แข่งแล้วน่ะ มีปิง ปุ๊ก มิ้ม”
“อ้าว!? เดี๋ยวนะ ดิมชื่อมิธิวัตใช่มั้ย?”
“อืม” จริง ๆ ก็ปักที่อกเสื้ออยู่แล้ว
“เอ๊ยยย! ปิงเค้าอุตส่าห์เอาชื่อปิงกับดิมตั้งชื่อวงนะ แล้วทำไมเป็นแบบเนี้ยล่ะ?”

เสียงโวยวายของจอยเริ่มส่อสัญญาณจะรื้อฟื้นความบาดหมางเมื่อเช้า ปุ๊กกับมิ้มก็หันมามองละ
“คือเราร้องห่วยมากน่ะ เลยถอนตัวดีกว่า ฮ่า ๆๆ”
“ไม่ ๆๆ ก็คลิปที่ปิงถ่าย ดิมร้องดีเลยอ่ะ” จอยเปิดคลิปในมือถือ ปิงตั้งกล้องถ่ายผมตอนไหนเนี่ย
ผมหันไปหาปิงที่ยิ้มแหย ๆ รออยู่แล้ว
“แย่แล้ว เราไม่น่าเลย” จอยบ่น
“อะไรไม่น่าเลย?”
“ก็เราส่งคลิปนี้ต่อให้เฟิร์ส เฟิร์สก็เลยไม่เป็นตัวแทนห้องเล่นเปียโนแข่งรายการนี้ เฟิร์สบอกดิมตั้งใจมากไม่อยากแข่งกันเอง”

เราเข้าใจ เวลาดิมตั้งใจก็ทำเต็มที่ เราก็เชียร์เธอนะ เอาให้ชนะห้องเราเลยนะ
...เฟิร์ส…
“เดี๋ยวเรามานะจอย” ผมรีบวิ่งไปหลังตึก กดโทรหาเฟิร์ส

“หวัดดีดิม”
“เฟิร์สถอนตัวจากการแข่งเหรอ?”
“ใครบอกดิมอ่ะ?”
“ไม่สำคัญหรอก!”
“แล้วอะไรสำคัญล่ะ?”
“เฟิร์สอยากมีผลงานเยอะ ๆ ไว้ใช้ตอนสมัครมหาลัยไม่ใช่เหรอ เฟิร์สเล่นเปียโนด้วยร้องด้วยยังไงก็ชนะอยู่แล้ว” ผมโง่ชะมัดไม่เคยเอะใจเลยว่าทำไมเค้าไม่แข่ง
“เราเห็นดิมตั้งใจ ดิมสำคัญกว่า เราไม่อยากแข่งเวทีเดียวกับดิม”
“เอ่อ...เราไม่ได้แข่งแล้วน่ะ”
“หืม?”
“เพื่อนในห้องบอกว่าเราร้องห่วย เค้าเปลี่ยนตัวน้กร้องแล้ว”

“ไม่น้า เราเห็นดิมร้องดีมากอ่ะ ทำไมเค้าเปลี่ยนตัวล่ะ”
“ช่างมันเถอะ”
“ฮื้อ...เสียใจด้วยนะดิม ไม่เป็นไรหรอกนะแค่ดิมตั้งใจก็ชนะตัวเองแล้ว อุ๊ย! เรานี่พูดเหมือนคนแก่เลยอ่ะ ฮิ ๆๆ”
“เฮ้อ...เราเลยทำให้เฟิร์สพลาดการแข่งไปด้วย ขอโทษนะ”
“ดิมยังไม่ได้ทำอะไรผิดซักหน่อย อ้อ ถ้าส่งคลิปให้เราเป็นคนแรกก็ยิ่งดีนะ นี่เราเห็นเป็นคนสุดท้ายเลยอ่ะ ฮิ ๆๆ ตอนจอยส่งมาให้เราดู เราอึ้งเลยว่าแฟนเราร้องเก่งขนาดนี้เลย”
“คลิปนั้นเราไม่ได้ถ่ายนะ ปิงแอบตั้งกล้องถ่าย”
“ปิงแฟนจอยเค้านิสัยดีเนอะ”
“อืม”
“ดิม...ไหน ๆ เราทั้งคู่ก็ไม่ได้ลงแข่งรายการนี้ แปลว่าคืน 24 ดิมว่างใช่มั้ย?”
“อืมว่าง คริสมาสต์อีฟใช่มั้ย? เฟิร์สอยากไปเที่ยวไหน?”
“แล้วแต่ดิมอ่ะ”
“งั้นเราหาที่สวย ๆ ก่อนนะ”

พอวางสายเสร็จ ปิงกับจอยก็เดินถือกระเป๋าผมมาให้
“พวกเราปิดห้องเรียบร้อยแล้วนะ เก็บกระเป๋านายมาให้ด้วย”
“ขอบใจนะปิง จอย”
“เราขอโทษนะ ไม่นึกว่าที่เราอัดคลิปไว้จะกลายเป็นเรื่องจนเฟิร์สถอนตัว”
“ไม่เป็นไรหรอกปิง แล้วนี่พวกเราจะกลับบ้านกันยังไงดี?”
“พวกเราไปส่งจอยก่อน แล้วไปบ้านดิมนะ”
“ไม่ต้องก็ได้ บ้านจอยอยู่คนละทางกับบ้านดิมเลยนะ” จอยหน้าเสีย
“งั้นส่งจอยแล้วเราไปค้างบ้านปิงละกัน”
“ห้ะ...เอ่อ” ปิงชะงัก
“ดี ๆ ดิมไปคุมพฤติกรรมปิงให้เราทีนะ”


หลังจากส่งจอยที่บางพลีเสร็จ ปิงก็นำทางต่อรถเมล์ไปบ้านเขา
“ปิง นายดูแปลก ๆ นะ”
“แปลกยังไง?”
“นายดูใจลอยยังไงพิกล”
“ไม่หรอก แค่กังวลว่าห้องเรารกน่ะ”
พอมาถึงบ้าน เปิดประตูเข้าไปก็เจอชั้นเก็บแผ่นเสียงและเครื่องเล่นหัวเข็มยุคโบราณ ดูปุ๊บรู้ปั๊บว่าคุณพ่อคุณแม่ของปิงเป็นนักฟังเพลง ที่ปิงบอกว่าพ่อสอนเล่นเพลงเก่าให้คงเป็นเพราะแบบนี้เอง แผ่นเสียงส่วนใหญ่เสียบเก็บไว้ในชั้น แต่บางแผ่นก็วางหันหน้าออกมา ผมสะดุดตากับแผ่นหนึ่ง



...มิน่าที่ปิงบอกว่าพ่อสอนเล่นเพลงนี้จนถนัดอยู่แล้ว คงเป็นเพลงโปรดของทั้งบ้านสินะ...
“พ่อครับ แม่ครับ วันนี้ดิมมาค้างครับ”
“อ้าว ไหนปิงบอกว่าคืนนี้ไปค้างบ้านดิมไง แล้วทำไมสลับบ้านกันล่ะจ๊ะ? ฮ่า ๆๆ”
“เรื่องมันยาวครับแม่”
“สวัสดีครับคุณลุงคุณป้า”
“มา ๆ กินข้าวกันนะลูก”
“เห็นว่าลูกดิมซ้อมดนตรีกับปิงเหรอ?”
“ใช่ครับ ปิงเล่นเก่งมากเลยครับ” ผมละเรื่องที่โดนบังคับถอนตัวเพราะวันนี้เจอเรื่องปวดหัวมาเยอะแล้ว
“เห็นว่าเล่นเพลงฝรั่งไปแข่งงานวันคริสมาสต์ใช่มั้ย? แล้วเล่นเพลงอะไรกันเหรอ?”
“Nothin..”
“Puff The Magic Dragon ครับ” ผมจะพูดชื่อเพลงแต่ปิงแย่งตอบก่อน ก็ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องโดนถามเรื่องเปลี่ยนตัวเปลี่ยนเพลง

“ดิม เดี๋ยวขึ้นไปห้องนอนเรา เดี๋ยวเราหาชุดกับผ้าเช็ดตัวให้นะ”
พอผมอาบน้ำเสร็จ ปิงก็เปิดเกมเพลย์ให้ “นั่งเล่นก่อนนะ เราไปอาบน้ำแป๊บ”
ผมนั่งเล่น Soul Calibur พลางมองสำรวจไปรอบห้อง ก็ไม่รกนี่หว่า ถ้าเทียบกับห้องผมนะ
“มา ๆ แข่งกัน เราชอบตัว Maxi” ปิงอาบน้ำเสร็จเดินมาหยิบจอยสองทันทีทั้งที่ยังไม่ใส่เสื้อ
“ติวววววว” ผมใช้ศอกกระทุ้งปิงเบา ๆ แต่ไม่ละสายตาจากจอ
"เอาฉากนี้นะ ตกเวทียาก จะได้สู้กันนาน ๆ" ทำหูทวนลมซะงั้น
"ใส่เสื้อดิ เดี๋ยวเป็นหวัดหรอก"
"เกมเดียว ๆ"

“ดิม เราขอโทษนะ”
“เรื่องอะไรเหรอ?” ผมถามแต่ตาก็ยังจ้องจอ ขอจังหวะคอมโบ้สักชุดเหอะ
“ที่เราไม่ช่วยค้านเป้” ปิงตอบทั้งที่ตาก็มองจอ
“เราร้องเพี้ยน ยังไงก็โดนเปลี่ยนตัวอยู่แล้ว ไม่เกี่ยวกับนายหรอก”

“ที่เราอัดคลิปนายส่งให้จอยจนเฟิร์สถอนตัวนั่นก็ด้วย”
“คนหล่อร้องดีจนเพื่อนอยากอวด ไม่ใช่ความผิดนายอ่ะใครจะรู้ว่าเฟิร์สจะ..เอ๊ย! อย่าใช้ไม้ตายดิ!”
“นายก็กดสิ เนี่ยเกจเต็มก็กดปุ่มนี้” ปิงหันมากดปุ่มให้ผม
“เดี๋ยวอย่าเพิ่งกด ให้เราไปยืนใกล้ตัวนายก่อน!”
“กดตอนนี้แหละท่าจะได้หมด ๆ”
“เฮ้ย! อย่าโกงงงง” ผมดิ้นดึงจอยหนีจนปิงล้มมาทับตัว

“ดิม เราขอโทษ เราไม่รู้ว่าจอยจะแวะมา”
“จะไม่ให้เราเจอแฟนนายเลยเหรอ ปิดบังอะไรไว้เปล่าาาา”
"ฟังเราหน่อยดิ"
"อ๊ะ ๆ ฟังก็ได้ ทีเราบอกให้อ่านหนังสือล่ะทำหูทวนลม"
“เราขอโทษ แทนที่จะไปค้างบ้านนาย กลายเป็นนายต้องมาส่งจอยแล้วค้างบ้านเราแทน”
“ค้างบ้านใครก็เหมือนกันแหละ ดี จะหาว่านายซ่อนหนังสือโป๊ไว้ตรงไหน” ผมเอื้อมมือไปยกฟูกเล่น
“ยุคนี้เค้าดูในมือถือแล้ว”
“หมดสนุกเลย ลุก ๆ ได้เวลาติวละ เอาวิชาอะไรก่อน?”
“หายโกรธแล้วใช่ป่ะ?” ปิงฉีกยิ้มทั้งที่ยังนอนทับผม
“ก็บอกแล้วว่าไม่ใช่ความผิดปิง และเราก็เลิกโมโหเรื่องเมื่อเช้าแล้วด้วย...แต่ถ้าอยากให้หายโกรธก็...”
“ก็?”
“บอกมาว่านายรักใคร?”
“ไม่”
“เปิดประเด็นแล้วไม่เฉลยซะที อยากรู้นะเนี่ย”
“เดาสิ”
“ไม่ ติวๆๆ”
“อืม” ปิงอมยิ้มแล้วลุกไปปิดเกม หยิบเสื้อใส่แล้วกางโต๊ะเล็ก

“เอาวิชาไหนก่อนดี?”
“เลขอ่ะ ช่วงสัปดาห์นี้ตามไม่ทันเลย”
ผมทบทวนตั้งแต่บทที่แล้วเพราะเนื้อหาต่อเนื่องกันจนมาทันเรื่องสมการเชิงเส้นที่เพิ่งเรียนสัปดาห์นี้
“ไม่ไหวแล้ว นอนดีกว่า” ปิงฟุบหัวลงกับโต๊ะ
“อีกนิดเดียวแล้วทำแบบฝึกหัดละ” ผมให้กำลังใจแต่ปิงยังนอนนิ่ง
ผมชะโงกหัวเข้าไปใกล้ “ปิง...ตื่นมาก่อน อีกนิดเดียวจะจบบทแล้..”

ปิงใช้มือจับหัวผมเบา ๆ โน้มไปหาเขา...อะไรวะ...ผมไม่รู้เขาคิดจะทำอะไร...แต่ก็ยอมให้เขาโน้มเข้าไปใกล้ทีละช้า ๆ จนหน้าผมแตะหลังหัวเขา
“ขอดูดความรู้หน่อย” ปิงพูดทั้งที่ก้มหน้าฟุบกับโต๊ะ

ทั้งห้องเงียบกริบ หน้าผมจมลงในเส้นผมเขา กลิ่นแชมพูอ่อน ๆ
...เสียงลมหายใจของผม...ลมหายใจเข้าออกของปิง...เสียงหัวใจผมเต้น...
“โอเค หายง่วงละ” ปิงเงยหัวขึ้น ผมกลับมานั่งที่เดิม
“งั้นมาทำแบบฝึกหัดแล้วเดี๋ยวติววิทยาศาสตร์ต่อนะ”

“เรียน 2 ชั่วโมงเพิ่งได้แค่ 2 วิชา” ปิงยิ้มแห้ง ๆ
“ไม่ต้องรีบหรอก ช้าแต่เข้าใจถูกต้อง เดี๋ยวต่อไปก็เรียนได้เร็วเองแหละ”
“เอ๊ะ! ชื่อตรงมุมหนังสือนี่ชื่อใครน่ะ? ไม่ใช่ชื่อดิมนี่” ปิงจับหนังสือเรียนวิชาเลขของผม
“ของรุ่นพี่”
“นายยืมมาเหรอ?”
“เราขอมาน่ะ เราไปขอตอนปีที่แล้วว่าถ้าพี่เรียนจบผมขอหนังสือได้ไหม ทำให้เราประหยัดค่าตำราเรียนไปได้เยอะเลย พี่เค้าไฮไลต์เขียนสรุปเนื้อหาไว้ให้ด้วย เราเลยเข้าใจได้ง่ายขึ้น”
“เทคนิคดีจัง เราเอาไปใช้บ้างดีกว่า”

แปรงฟันเสร็จก็ปิดไฟเข้านอน ปิงหลับไปเร็วมาก วันนี้คงเพลียมากสินะทั้งซ้อมดนตรีและติวด้วย
ผมมองหน้ายามหลับของเขาในความมืด ดีใจที่ผมช่วยปิงได้บ้าง เขาเสียสละเล่นกีตาร์เพื่อห้องเยอะแล้ว


รุ่งเช้าพออาบน้ำเสร็จเดินกลับเข้าห้องนอน ปิงเปิดตู้เสื้อผ้า “เอาชุดไหนเลือกเลย”
“เราใส่ชุดเดิมก็ได้” ผมชี้เสื้อยืดกางเกงขายาวที่ใส่นอนมาทั้งคืน
“อันนั้นชุดนอน อายเค้า” ปิงหัวเราะ
เป็นครั้งแรกที่ผมเลือกเสื้อผ้าจากตู้ของคนอื่นแฮะ “ปิงเลือกให้เราละกัน”
...ปิงหยิบเสื้อยืดรูปกบยักษ์เกาะแท่งไอติมให้ผม…

หลังจากซื้อสายกีตาร์เสร็จพวกเราก็แวะทานข้าวที่ห้างแล้วไปที่เรียนพิเศษของผมต่อ
“ดิม อะไรดลใจให้มริงซื้อเสื้อตัวนี้ฟระ เชรี่ยย! เห็นแล้วขนลุก” เพื่อนผมถามพร้อมทำหน้าพิลึก อย่าว่าแต่นายเลยเรายังสยอง น่าอายกว่าชุดนอนนั่นตั้งเยอะ ส่วนปิงหัวเราะขำทุกครั้งที่คนมองผม

ติวเสร็จหนึ่งทุ่ม ผมกับปิงเดินออกมาแบบมึน ๆ เพราะคอร์สนี้สอนตะลุยโจทย์เข้มข้นจริง ๆ
“เราไปหาอะไรกินแล้วแยกย้ายกลับบ้านกัน”
“ดิม เราไปค้างบ้านนายได้มั้ย? นายช่วยอธิบายที่เรียนวันนี้ให้เราหน่อยสิ”
“ได้ บ้านเราอยู่ไม่ไกล เดี๋ยวหาอะไรกินตรงตลาดก่อนละกัน”
“ตัวติดกันมาจะสามวันแล้วนะเนี่ย ดิมเบื่อเราป่าว?”
“ไม่อ่ะ”
“คือจริง ๆ เราก็เข้าใจที่เรียนวันนี้นะ” ปิงพูดตอนก้มหน้ากินข้าวกะเพราหมูสับไข่ดาว
“แต่พรุ่งนี้ไป เราต้องซ้อมกับปุ๊กมิ้ม เราอาจไม่มีเวลาให้ดิม เลยอยากอยู่กับนายนาน ๆ”
ปิงมองผมแบบ...แบบอะไรไม่รู้เหมือนกัน
“แม่ ดูพี่เค้ามีกบตรงเสื้อตัวเบ้อเร่อเลย” ปิงหัวเราะร่วนตอนเด็กน้อยชี้มือมาที่ผม
...ที่บ้านมีเสื้อน่าเกลียดสุดตัวไหน เดี๋ยวเราจะเอาให้นายใส่บ้าง…


“แม่ครับ คืนนี้ปิงนอนค้างติวหนังสือนะครับ”
“หวัดดีจ้าลูกปิง ใช่คนที่เล่นกีตาร์คู่กับดิมมั้ย?”
“ใช่ครับ ที่เล่นคู่กันงานโรงเรียนครับ” ผมชิงตอบก่อนเลย
“สวัสดีครับคุณป้า”
“แล้วทานข้าวกันมาหรือยังจ๊ะ?”
“ทานมาแล้วครับแม่”
“ยังไงแม่เตรียมข้าวต้มกับขนมไว้ให้เผื่ออ่านหนังสือดึก ๆ ก็มากินกันนะ”

“นายไม่บอกแม่เรื่องเปลี่ยนตัวเหรอ?” ปิงถามหลังจากพวกเราเข้าห้องนอนผมแล้ว
“ขี้เกียจอธิบายน่ะ วันนี้เรียนก็ปวดหัวแล้ว”
“อ้าว เดี๋ยววันคริสมาสต์เค้าจะไม่ถามเหรอว่าทำไมไม่ได้แข่ง”
“เค้าจำไม่ได้หรอก” ผมตอบสั้น ๆ
“แล้วพ่อดิมล่ะ?”
“พ่อเราเป็นหัวหน้าแผนกโรงงาน วันนี้คงอยู่ดึกน่ะ ส่วนพี่เราอยู่หอมหาลัย”
ปิงคงพอเข้าใจเรื่องในบ้านผมเลยไม่เซ้าซี้อะไรต่อ ผมหยิบเสื้อผ้ากับผ้าเช็ดตัวให้
“ปิงไปอาบน้ำก่อนนะ เดี๋ยวเราจัดโต๊ะแป๊บ”
พอปิงอาบเสร็จผมก็ไปอาบบ้าง พอเปิดประตูเข้าห้องนอนก็เจอปิงยืนนิ่งหน้าโต๊ะหนังสือของผม

“ดิมจะไปต่อม.4 ที่อื่นเหรอ?” ปิงเห็นใบสมัครสอบที่ผมวางไว้บนโต๊ะสินะ
“ก็ลองไปสอบก่อนน่ะ”
“โรงเรียนดังซะด้วย ดีนะต่อไปดิมได้เข้ามหาลัยดี ๆ ได้เป็นโปรแกรมเมอร์นาซ่า”
“ยังไม่รู้เลยจะได้ขนาดไหน มาติวกันเหอะเดี๋ยวดึก”

“แล้วนายบอกเฟิร์สยัง เรื่องไปสอบ?” ปิงเอ่ยหลังทวนชีทตะลุยโจทย์เสร็จ
“...ยัง”
“ดิม นายมีอะไรไม่สบายใจมั้ย เห็นนายทำหน้าเครียด”
ผมไม่รู้จะตอบยังไง ปิงกระโดดขึ้นนั่งพิงหัวเตียง “มานั่งนี่ด้วยกัน เล่าให้เราฟังนะ”
“ไม่เอา”
“เหอะ เผื่อจะสบายใจขึ้น” แล้วปิงก็ดึงผมไปนั่งพิงบนตัวเขา

“คือ...เราไม่กล้าบอกใคร ๆ เพราะกลัวว่าเดี๋ยวสอบไม่ติดแล้วจะหน้าแตก” ผมพูดความกลัวลึก ๆ ในใจที่ไม่เคยบอกใคร
“ดิมเล่าไปเรื่อย ๆ นะเราอยากฟัง” ปิงกอดเอวผม
“ทุกคนบอกว่าเราเรียนเก่ง เรายิ่งกดดัน โดยเฉพาะกับเฟิร์ส คือ...ไม่รู้สิ กับเฟิร์สเราเหมือนยิ่งโดนกดดันให้ต้องเก่งตามเค้า”
ปิงนิ่งเงียบไม่พูดอะไร มีแต่เสียงลมหายใจ

“เราไม่เคยบอกใครนะ คือ...เราฝืนตัวเองให้ชอบเค้ามาตลอดเลย”
“ยังไงเหรอ?”
“ตอนม.2 เพื่อนในห้องเริ่มมีแฟนกันหลายคน เพื่อนก็เชียร์ให้เราจีบเค้า ตอนนั้นช่วงกีฬาสี เราเห็นเฟิร์สนั่งอยู่คนเดียว เพื่อนบอกให้เราเข้าไปขอถ่ายรูป ปิงรู้มั้ยเค้าว่าไง?”
“ว่าไงเหรอ?”
“เค้าบอกขอ 20 นาที ให้เราไปเดินเล่นก่อนค่อยมาถ่ายรูปเค้า เราก็งง ๆ แต่เพื่อนเราบอกว่าผู้หญิงขอ 20 นาทีมริงก็เชื่อเค้าเหอะ พวกเราก็ไปเดินถ่ายรูปงานกีฬาสีสักพักแล้วกลับมาใหม่ ปรากฎว่าเฟิร์สเค้าไปแต่งหน้าแต่งผมใหม่มานั่งรอเราให้ถ่ายรูป...เราว่าเค้าน่ารักดี”
“แล้วไงต่อล่ะ?”
“เราก็ถ่ายรูปแล้วบอกขอบคุณ พอเราจะเดินออกเพื่อนเรากระซิบว่ามริงจีบติดแล้วก็นั่งคุยกับเขาสิ เรางงเลยว่าจีบคือแค่นี้เองเหรอ”
“ฮะ ๆๆ ดิมจีบสำเร็จนี่ไม่รู้ตัวเลยเหรอ?”
“ไม่รู้อ่ะดิ”
“ก็เริ่มต้นดีนี่นา แล้วทำไมบอกว่าฝืนตัวเองล่ะ?”
“ตอนแรกมันก็ดีน่ะนะ เวลากินข้าวเสร็จก็เดินด้วยกัน ตอนเลิกเรียนเราก็เดินไปส่งเค้าที่ประตูโรงเรียน ...แต่หลังจากนั้นเราก็ไม่รู้จะคุยอะไร ก็คุยแต่เรื่องเรียน เค้าเองก็เรียนพิเศษเยอะและเรียนเปียโนด้วย เราเหนื่อยทุกครั้งเวลาคุยกับเฟิร์ส เราคิดว่าคนเป็นแฟนกันก็ต้องปรับตัวเข้าหากันแบบนี้ล่ะมั้ง แต่พอนานวันเรายิ่งเหนื่อย เค้าต้อง vdo.call อย่างเดียว เราต้องหาที่เงียบ ๆ คุยโทรศัพท์กันไม่งั้นคุยไม่รู้เรื่องแล้วเค้าก็งอน คุยทีไรเค้าก็คุยยาว ๆ ไม่อยากให้เราวางสาย เราต้องหาเรื่องอะไรตัดบททุกที แต่...เวลาเค้าดีกับเราก็ดีมาก ๆ เลยนะ”
“ก็จับมืออะไรบ้างสิ จะได้หวาน ๆ น่ะ มีบ้างไหม?”
“ไม่มีเลย”
“เหรอ?” ปิงจับมือผมลูบ ๆ บีบ ๆ ผมมองปลายนิ้วสากของปิงที่เกิดจากการเล่นกีตาร์
“ไปเที่ยวกันบ้างมั้ย?”
“ไม่มีเลย เค้าเรียนพิเศษทุกวัน สองปีเคยไปเดินห้างกันไม่กี่ครั้ง”
“เหรอ?”
“ตอนแรกเราก็พยายามชวนเค้าเที่ยว แต่พอติดเรียนพิเศษบ่อย ๆ เราก็เริ่มไม่อยากไปแล้ว แค่คุยโทรศัพท์ยังเหนื่อย ถ้าต้องไปเที่ยวด้วยกันคงเหนื่อยใจกว่านี้”
“แล้วที่ดิมไปค้างบ้านเรา ทำธุระกับเราทั้งวัน เรียนพิเศษแล้วเรามาค้างบ้านนายอีกนี่ดิมเหนื่อยไหม?”
“ไม่นะ แล้วปิงล่ะ?”
“ไม่เหนื่อยเลย สนุกดี”
“อืม...ที่เรากลุ้มใจที่สุดตอนนี้คือ 24 นี้เค้านัดเราไปเที่ยวงานคริสมาสต์อีฟ”
“เหรอ? กลุ้มใจอะไรล่ะ?”
“ก็...เพื่อนเราหลายคนเขา เอ่อ...ได้กับแฟนแล้ว”
ผมบีบมือปิง “เรากลัวว่าเฟิร์สจะขอเราอะไรแบบนั้น”
“นายไม่อยากทำเหรอ?”
“ไม่อ่ะ ก็อย่างที่เราบอกน่ะเราฝืนตัวเองกับเค้าในหลายเรื่องเลย...เราไม่แน่ใจว่า...เราชอบเค้าจริงมั้ย ถ้าทำไปแล้วเราไม่ได้ชอบเค้าจริง ๆ เราคงรู้สึกผิดมาก และอีกอย่าง...เราก็...ไม่อยากทำอย่างว่า ไม่รู้สิ บอกไม่ถูก มันไม่มีความอยาก”
“ไม่ใช่ว่าหมดสมรรถภาพนะเว้ย?”
“บ้า ใช้อยู่ทุกวัน”

“แล้วปิงกับจอยล่ะ?”
“ก็อย่างที่บอกแหละ เค้าบ่นเราประจำ แล้วช่วงนี้ก็ซ้อมงานนี้ด้วย จอยยิ่งบ่นอุบเลย”
“งั้นต้องสลับที่กันละ” ผมขยับตัวออกเปลี่ยนให้ปิงมาพิงผมแทน
“เราก็กลุ้มเรื่องจอย ก็พอเข้าใจเค้านะ เวลาเราซ้อมดนตรีมันก็นานจริง ๆ”
“อืม” แค่วันนี้ที่ผมได้แต่นั่งดูผมก็ยังหงุดหงิดเลย ไม่รู้หงุดหงิดที่ต้องรอนานหรือเพราะโดนบังคับให้เปลี่ยนตัวกันแน่
“เค้าไม่ชอบให้เราจับมือด้วย เค้าบอกนิ้วด้าน”
“เหรอ?” ผมกอดเอวปิงด้วยแขนซ้าย ใช้มือขวาจับนิ้วด้าน ๆ ที่ปิงใช้กดคอร์ด
“อันนี้ไม่เคยบอกใครเลยนะ บอกดิมคนเดียว คือบางทีเราก็คิดว่าเราอาจเข้ากับจอยไม่ได้ แต่พอเห็นเค้านั่งรอเรา เค้าช่วยเป็นธุระเคลียร์เรื่องอื่น ๆ ระหว่างที่เราซ้อม เราก็รู้สึกดีกับเค้าน่ะ”
“เหรอ?”
“ปัญหาเราคล้าย ๆ กันเนอะ เราก็ฝืน ๆ ตัวเองเหมือนกัน เราไม่แน่ใจว่าคนรักกันจริง ๆ เค้าต้องฝืนปรับตัวให้เข้ากับอีกคนขนาดไหนกันแน่”
“อืม...”
“เรายังไม่มีอะไรกับเค้านะ และก็ใช้งานได้ดีทุกวัน”
“ยังไม่ได้ถามเลย”
“อยากบอกน่ะ” ปิงหันมาหัวเราะเบา ๆ
“เฮ้อ...ดีนะคุยกับนายเนี่ย เราไม่เคยคุยระบายเรื่องพวกนี้กับใครเลย”
“คุยแล้วดีขึ้นใช่มั้ย?”
“อืม ปิงนี่เหมือน...”
“เหมือนอะไรเหรอ?”
“เหมือนตู้อบฆ่าเชื้อ”
“อะไรนะ?”
“ก็แบบเรามีเรื่องกลุ้มใจอะไร พอมาอยู่กับนายแป๊บเดียวเราก็รู้สึกดีขึ้นมาเลย”
ผมอยากบอกปิงว่าเขาเหมือนแสงอาทิตย์ตอนเช้าที่ทำให้รู้สึกดีสมกับชื่ออรุณวิทย์ แต่มันฟังดูเหมือนบทละครไปหน่อย
“แต่พอออกจากตู้อบฆ่าเชื้อ นายจะกลับไปรู้สึกเหมือนเดิมมั๊ย?”
“ไม่รู้สิ ยังไงปัญหามันก็ยังอยู่เหมือนเดิมน่ะ”

“ดิม”
“หืม?”
“งั้นเราเป็นมากกว่าตู้อบฆ่าเชื้อได้ไหม?”
“ยังไงเหรอ?”

ปิงกุมมือผม “มาลองเป็นแฟนเล่น ๆ กันมั๊ย? เป็นเล่น ๆ ถึงสิ้นปี ทำอะไรที่อยากทำ รู้สึกยังไงก็พูดกันเลยไม่ต้องฝืน อยากไปไหน อยากกินอะไร หรือไม่อยากทำอะไรก็พูดกันตรง ๆ ทุกเรื่อง จะได้รู้ไปเลยว่ามันจะดีกว่าที่เป็นอยู่มั๊ย?”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-12-2020 12:35:34 โดย Sorrowkung »

ออฟไลน์ Sorrowkung

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 107
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Vector space ตอนที่ 3

ปิงกุมมือผม “มาลองเป็นแฟนเล่น ๆ กันมั๊ย? เป็นเล่น ๆ ถึงสิ้นปี ทำอะไรที่อยากทำ รู้สึกยังไงก็พูดกันเลยไม่ต้องฝืน อยากไปไหน อยากกินอะไร หรือไม่อยากทำอะไรก็พูดกันตรง ๆ ทุกเรื่อง จะได้รู้ไปเลยว่ามันจะดีกว่าที่เป็นอยู่มั๊ย?”

ผมนั่งอึ้ง ปิงหันหน้ามา “แค่เสนอไอเดียนะ ถ้านายไม่ชอบก็ไม่เป็นไร”
ถ้าเป็นคนอื่นเสนอความคิดนี้ผมคงขนลุก แต่เป็นปิง...ทำไมผมไม่รู้สึกแย่…

“อยากทำอะไรก็บอกได้เลยเหรอ?”
“อืม”
“เราอยากกินบิงซูร้านในโรบินสันน่ะ เคยไปกินกับเฟิร์สครั้งเดียวแล้วเราทำหก เฟิร์สเค้าทำหน้าแบบ...ไม่พอใจน่ะ จากนั้นเราก็ไม่เคยไปร้านนั้นอีกเลย แต่เราอยากกินมากอ่ะ ชวนเพื่อนคนอื่นมันก็บอกว่าบ้า มีแต่แฟนกันจะไปกินบิงซูด้วยกัน”
“ป่ะ งั้นพรุ่งนี้กินบิงซู”
“แล้วก็อยากไปท้องฟ้าจำลองด้วย”
“ดิมนี่สมกับเป็นโปรแกรมเมอร์นาซ่า แต่อันนั้นไกลมาก อยู่เอกมัยเลยนะ”
“เอาใกล้ ๆ หน่อยก็ไปบางกระเจ้า พ่อแม่เราเคยพาไปตอนเด็ก”
“อือ”
“แล้วปิงล่ะอยากกิน อยากไปเที่ยวไหน?”
“อยากเล่นสเก็ตน้ำแข็ง”
“ห้างหน้าบ้านเราเลย”
“อยากไปย่านร้านกีตาร์กับแผ่นเสียงแถวเยาวราชด้วย อยากกินหมูกรอบล้วน ๆ ถาดยักษ์ อยากไปคาราโอเกะที่มีแค่นายกับเรา”
“สงสัยสองสัปดาห์ไม่พอนะปิง ฮะ ๆๆ”

ปิงหันหน้ามา “ก็ถ้าอยากเป็นไปนาน ๆ ก็แค่คุยกันน่ะ”
“แล้วถ้าเกิดอยากทำ ‘อย่างว่า’ นี่ทำไงล่ะ?” ผมถาม
“นายอยากเหรอ?” ปิงเลิกคิ้ว
“ก็แค่สงสัย”
“แล้วตกลงมั้ย?”
“อืม ตกลง ที่นั่งกอดเอวกันบนเตียงนี่ก็แทบจะเป็นแฟนกันอยู่แล้วนี่” กับเฟิร์สผมยังไม่เคยถึงขนาดนี้เลย
ปิงหันมายิ้มแล้วขยับตัวไปหยิบสายชาร์จเสียบโทรศัพท์ “เข้านอนกันเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าคิดกันว่าไปไหนก่อนดี”
ปิงกดเปิดเพลงในโทรศัพท์

Stars shining bright above you, Night breezes seem to whisper "I love you"
Birds singing in the sycamore tree, Dream a little dream of me
Say nighty night and kiss me, Just hold me tight and tell me you'll miss me
While I'm alone and blue as can be, Dream a little dream of me


ปิงนอนตะแคงหันมาทางผม เขาหลับตาแต่ไม่รู้หลับจริงไปแล้วหรือยัง
...สองสัปดาห์...จากจุดเริ่มต้นที่ปิงกอดคอเสนอชื่อผมให้ลงแข่งคู่กับเขา...
...จากเพื่อนร่วมห้องที่แทบไม่เคยคุยกันเลย ตอนนี้เรากำลังแกล้งเป็นแฟนกันเล่น ๆ สองสัปดาห์...
...มันเป็นความคิดที่พิลึกมากแต่ผมกลับรู้สึกดี...
...เสียงเพลงเก่าจากมือถือของปิงที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน ค่อย ๆ กล่อมให้ผมหลับลงในที่สุด…



เช้าตรู่ ผมตื่นมาอาบน้ำเสร็จแล้วเปิดตู้เสื้อผ้า เอาตัวไหนให้ปิงดีหว่า
“ฮะ ๆๆ จะล้างแค้นเหรอ?” ปิงตื่นมางัวเงีย
“สรุปที่เลือกเสื้อกบให้เรานั่นนายตั้งใจใช่มั้ย ฮ่า ๆๆ”
“ก็อยากให้นายจำเราได้นาน ๆ”
“วันนี้ไปเล่นสเก็ตน้ำแข็งกันมั้ย? เอาที่ใกล้ ๆ ก่อน แล้วเดี๋ยวหลังแข่งเราไปเที่ยวกรุงเทพกัน”
“อืม งั้นเราไปอาบน้ำก่อนนะ”

ผมเลือกเสื้อยืดแขนยาวกับเสื้อกันหนาวให้ปิงแล้วลงมาอุ่นข้าวต้มเมื่อคืนให้พร้อมทาน
“แล้วพ่อแม่นายล่ะดิม?”
“วันนี้ก็ทำงานน่ะ”
“วันอาทิตย์เนี่ยนะ?” ปิงถาม
“อืม”
ปิงทานข้าวต้มเงียบ ๆ ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นมา “ไปบางกระเจ้ากันดีกว่า”
“อ้าว ทำไมล่ะ?”
“อยากไปน่ะ สเก็ตอยู่หน้าบ้านนาย มาเล่นวันไหนก็ได้” ปิงถอดเสื้อกันหนาวคืนให้ผม ผมเลยกลับขึ้นห้องไปหาหมวกแก๊ปใส่กันแดดให้ปิง

พวกเรานั่งรถเมล์ไปขึ้นเรือข้ามฟาก ตอนอยู่บนเรือปิงยื่นหูฟังมาให้ข้างหนึ่ง
“เพลงอะไรเหรอ?”
“ลองฟังดู”

Baby let's cruise, away from here. Don't be confused, the way is clear
And if you want it you got it forever, This is not a one night stand
Let the music take your mind, Ooh just release and you will find

You're gonna fly away, glad your goin' my way
I love it when we're cruising together
The music is played for love, Cruising is made for love
I love it when we're cruising together


“ถามจริง นี่ปิงสามารถหาเพลงเก่าให้เข้าบรรยากาศได้ตลอดเลยเหรอ?” ผมทั้งขำทั้งดีใจ
“แล้วชอบป่ะ?”
“อืม...You're gonna fly away, glad your goin' my way
I love it when we're cruising together
ผมฮัมเนื้อเพลงที่เริ่มจำได้ง่าย ๆ

วันนี้ทั้งวันเที่ยวบางกระเจ้า ทั้งปั่นจักรยาน ถีบเรือเป็ด นั่งทานข้าวที่กระท่อมริมคลอง
“อากาศดีเนอะ”
“อืม” ปิงยิ้มแล้วจิ้มลูกชิ้นในชามก๋วยเตี๋ยวยื่นมา
“บ้า”

ตกบ่ายพวกเราปั่นจักรยานเที่ยวอีกส่วนของสวน “ดิม จอดก่อน ๆ มาถ่ายรูปตรงป้ายสะพานกัน”
“ดิมยืนตรงนั้นนะ ขยับอีก เออ ๆ ตรงนั้นแหละ”
“เป็นไง รูปสวยมั้ย?” ปิงพูดพลางเปิดรูปในมือถือที่เพิ่งถ่ายผม
“ร้ายนะนายเนี่ย”
“อะไร ใครร้าย?” ปิงยิ้มถามกลับ
“เห็นรูปเราในตู้โชว์ใช่มั้ย?” มันเป็นรูปที่ผมถ่ายกับแม่และพี่ตรงนี้เมื่อ 2 ปีที่แล้ว พ่อเป็นคนถ่ายให้
“บอกแล้วเราเป็นได้มากกว่าตู้อบฆ่าเชื้อ”
“ขอบใจนะปิง มาถ่ายคู่กันด้วยนะ”
“แล้วอีก 2 ปีพวกเรามาถ่ายด้วยกันอีกนะ” ปิงกระซิบตอนกำลังยืนข้างผม
“จองเรานานจัง ฮ่า ๆๆ”

บ่ายสามพวกเรานั่งเรือกลับมา “แล้ววันหลังไปเที่ยวกันอีกนะ”
“อืม ขอบใจนะปิง แล้วพรุ่งนี้เจอกันที่โรงเรียน”

ผมนั่งรถเมล์กลับบ้านคนเดียว แต่ไม่รู้สึกอยู่ตามลำพัง ผมเปิดรูปในมือถือที่ปิงส่งมาให้ทางไลน์
“You're gonna fly away, glad your goin' my way คือเพลงอะไรหว่า?” ผมฮัมเพลงทวนความจำพร้อมพิมพ์ค้นหาในอินเตอร์เน็ต...Smokey Robinson - Cruisin' เหรอ...ผมกดเซฟลงใน favorites

Nothing’s Gonna Change My Love For You
Puff The Magic Dragon
Dream A Little Dream Of Me
Crusin’
อีกไม่นานผมคงเป็นสายเพลง oldies ตามปิงไปด้วยแน่ ๆ



เช้าวันจันทร์ ปิงนั่งยิ้มรอผมที่ห้องตั้งแต่เช้าแล้ว
“มาเช้าจังนะปิง”
“ไม่รู้ทำไมอยากมาเจอนายตั้งแต่เช้าน่ะ” ปิงตอบยิ้ม ๆ
“นี่ถ้าจีบจริง ๆ มีหวังแพ้แหง ๆ” ผมพูดเสียงเบา
“ดิมว่าอะไรนะ”
“นี่ เราทำสรุปวิธีแตกสมการที่อาจารย์ชอบใช้มาให้ละ ดูจากข้อสอบเก่า มุกมันไม่ค่อยเปลี่ยนหรอก เปลี่ยนแค่ตัวเลข” ผมดึงสมุดโน้ตที่ตั้งใจทำเพื่อปิงออกมายื่นให้
“โห! หนาเตอะเลย นี่ทำตอนไหนน่ะ? เมื่อวานก็ไปด้วยกันทั้งวัน”
“ก็ทำตอนค่ำไง ถึงได้ตื่นสายเนี่ย”

“เฮ้ย! ทำไมทำให้ไอ้ปิงคนเดียววะ เอามานี่! ไอต๊อบโว้ยกรูได้คัมภีร์แล้ว เอาไปซีรอกซ์ด่วนๆๆ” โจดึงไปจากมือผม
“นี่พวกมริงเป็นแฟนกันเหรอวะ อิจฉาไอ้ปิงฉิบหาย” โจแซว
“ใช่ ๆๆ” ปิงหัวเราะ

ตอนเที่ยงปิงย้ายมานั่งทานข้าวกับกลุ่มผม เพื่อน ๆ ก็แซวกันบ้างแต่ผมทำเป็นไม่สนใจ ปิงก็ยิ้มอย่างเดียวจนเลิกแซวไปเอง เป็นช่วงเวลาดี ๆ ที่ผมอยากตักตวงไว้นาน ๆ เพราะเดี๋ยวตอนเย็นปิงก็ต้องไปซ้อมกับปุ๊กมิ้มแล้ว

ตอนเย็นผมนั่งทำการบ้านในห้อง นอกห้องสามคนนั้นก็ซ้อมด้วยกัน เอาจริงผมก็ไม่ค่อยมีสมาธิเพราะเงี่ยหูฟังพวกเขาตลอด เมื่อไหร่จะซ้อมเสร็จซักที
“เจ็บนิ้วละ ขอพักแป๊บนะ”
ปิงเดินมานั่งโต๊ะหน้าผม หันเก้าอี้มาหา “เบื่อป่าวดิม?”
“ไม่อ่ะ ก็ทำการบ้านไปด้วย แล้วปิงล่ะนิ้วเป็นไงบ้างเจ็บมากมั้ย?”
ปิงไม่ตอบแต่อมยิ้มแล้วแบมือให้ดู ไม่มีรอยอะไรเลย แค่นั้นก็เข้าใจกันแล้ว
“เดี๋ยวเล่นอีกรอบเอารวดเดียวทั้งเพลง ถ้าโอเคพวกเรากลับบ้านกันเลยนะ” ปิงบอก
“อืม” ผมผงกหัว ปิงยิ้มแล้วเดินกลับไปหยิบกีตาร์
“เดี๋ยวเราต้องกลับบ้านแล้วน่ะ ซ้อมอีกรอบนึงทั้งเพลงเลยนะ”

รอบนี้ทุกคนเล่นดีมากจนผมหันไปร้องคลอตามด้วย เสร็จซักที
“เราว่ามันธรรมดาไปหน่อยน่ะ ใส่ลูกเล่นตอนท้ายอีกนิดได้มั้ย ช่วงที่มังกรเศร้าน่ะ” ปุ๊กพูดขึ้นมา
“ยังไงเหรอ?” ปิงถาม
“เอาแบบเราร้องตอนเศร้า มิ้มร้องย้อนไปตอนมีความสุข สลับกัน อะไรงี้”
ผมมองปิง ปิงก็มองมา “เอ่อ...ปุ๊กกับมิ้มลองคุยกันดูก่อนละกัน วันนี้เรามีธุระต้องไปแล้ว”
ปิงถือกีตาร์กลับเข้ามาใส่ถุงวางไว้หลังห้อง ผมก็เก็บกระเป๋าเงียบ ๆ แล้วเดินออกไปพร้อมกัน

คำพูดของปิงลอยอยู่ในหัวผม เราแค่อยากเล่นเพลงคู่กับนายเท่านั้นเอง แค่นั้น...ทำไมมันยากจังวะ
“เบื่ออ่ะ ปิงน่าจะปฏิเสธไปเลย ตะกี้ก็เล่นดีเป๊ะมากแล้ว จะได้เอาเวลามาทำอย่างอื่นบ้าง”
ปิงยิ้มบาง ๆ ผมรู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่ชอบบ่นออกมาชัด ๆ
“ขอบใจนะ” เขาพูดสั้น ๆ แล้วเงียบไป ผมก็ไม่รู้จะพูดอะไร รู้สึกตัวเองเริ่มขี้บ่น กลัวปิงจะเบื่อผม แต่พวกเราเคยตกลงกันแล้วนี่ว่ารู้สึกอะไรก็พูดกันตรง ๆ
“ไปกินบิงซูกัน” ปิงเอ่ยขึ้นมา
“เดี๋ยวกลับบ้านค่ำน่ะสิ”
“มีคัมภีร์แล้ว คืนนี้จะตั้งใจอ่าน”

หลังจากจ้วงบิงซูไปหลายคำสมใจอยาก ผมก็เริ่มชวนคุย
“ปิง นายอยากท้าทายความสามารถตัวเองใช่มั้ยถึงไม่แย้งตอนปุ๊กเสนอไอเดีย”
“อืม ก็อยากลองดูน่ะ งานนี้ขึ้นเวทีด้วย”
“ขอโทษนะที่เราบ่น”
“ไม่หรอก เราก็เข้าใจดิม ช่วงนี้อาจต้องซ้อมนานหน่อย เราว่าดิมไม่ต้องรอเราดีกว่านะ”
“อืม เอาเป็นว่าเราจะทำการบ้านที่ห้อง ถ้าเสร็จแล้วปิงยังซ้อมไม่เสร็จเราก็กลับก่อนนะ”
“ไม่หึงเรากับปุ๊กมิ้มนะ?”
ผมตักบิงซูยัดปากปิงแทนคำตอบ

เหลือเวลาอีกแค่ 8 วันก็จะถึงวันแข่งแล้ว เป็นเรื่องท้าทายสำหรับปิง
...ส่วนผม ก็แค่ทนอีก 8 วันเท่านั้นเอง…ผมนึกถึงคนอีกคนที่ตอนนี้ก็น่าจะกำลังทนเช่นกัน
“ปิง เรามีอะไรอยากพูด ไม่รู้นายจะว่าไหม?”
“เอาสิ”
“พวกเราชวนจอยมารอตอนซ้อม มาเที่ยวด้วยกันบ้างมั้ย?”
“ทำไมเหรอ?”
“ก็พูดตรง ๆ เราต้องรอปิงอีก 8 วันถึงจะแข่งเสร็จ จอยเองก็คงรอเหมือนกัน เราน่ะยังดีที่อยู่ห้องเดียวกัน แต่จอยคงรู้สึกแย่กว่าเรา”
“โอ้โห! พอไม่หึงนี่ชวนมาเพียบเลยนะ” ปิงยิ้มดีใจ
...ผมไม่รู้ว่านั่นเป็นความคิดที่ดีมั้ย แต่อย่างน้อยผมก็โล่งใจที่พูดออกไป…
“งั้นเราสัญญาจะไม่สวีตกับจอยให้นายหึงเด็ดขาด เราจะไม่ให้เป็นแบบในละครหรืออะไรอย่างนั้น”
“พวกเราน่ะแค่แกล้งเป็นแฟนกัน เราไม่หึงหรอก เราว่าการพูดอะไรกันตรง ๆ แบบนี้ก็ดีนะ”



เย็นวันรุ่งขึ้นจอยก็มาตอนเลิกเรียน
“ทุกคน เราเอาน้ำผึ้งมะนาวแช่เย็นมาด้วยน้า เสียงจะได้เพราะ ๆ กัน”
“ขอบใจนะจอย”
“ดิมทำการบ้านอยู่เหรอ? งั้นเราทำด้วยดีกว่า”
“อืม มาเลยช่วยกันทำ”
“ปิงบอกดิมทำคัมภีร์สรุปโจทย์ให้เขาด้วย”
“อืม เราเห็นปิงซ้อมเยอะกลัวเรียนไม่ทันเลยช่วยเท่าที่ช่วยได้น่ะ”
“ปิงโชคดีจังเพื่อนน่ารักทั้งห้องเลย เออข้อนี้หาค่าความร้อนยังไงเหรอ?”
“มีคำบอกใบ้อยู่ตรงขนาดของวัตถุที่ขยายตัวขึ้นน่ะ...”

“ขยันจังเลย เสร็จแล้วขอลอกการบ้านหน่อยนะ” ปิงเดินยิ้มเข้ามา
“ไม่ให้ลอกหรอก ให้ดิมสอนเรารู้เรื่องคนเดียวพอ” จอยแซวกลับ
“ดิมสอนเราด้วยสิ” ปิงเข้ามากอด เฮ้ย! ต่อหน้าแฟนนายเลยนะ! แต่จอยกลับหัวเราะร่วน
พอปิงกลับไปซ้อมต่อได้สักพักผมก็ทำการบ้านเสร็จ จอยไปนั่งเล่นข้างปิง ผมก็เดินไปข้างล่างตึกเพื่อโทรหาเฟิร์ส

“สวัสดีดิม”
“สวัสดีเฟิร์ส เรียนเปียโนเสร็จยัง?”
“เพิ่งเสร็จน่ะ กำลังรอแม่มารับ”
“เฟิร์ส พรุ่งนี้ตอนเย็นเราไปเที่ยวกันมั้ย?”
“พรุ่งนี้เรามีเรียนพิเศษ”
“เอ๋ วันพุธนี้เฟิร์สไม่มีเรียนนี่?”
“อื้อ แต่ครูเค้าจะหยุดยาวช่วงปลายเดือน เค้าเลยเลื่อนมาพรุ่งนี้แทน”
“แล้ว...แล้ววันอื่นล่ะ”
“ตอนนี้เราเรียนทุกวันเลย ก็ว่างคืน 24 วันเดียวน่ะ แล้วตกลงคืนนั้นเราไปไหนกันดี”
“โรบินสันละกัน เราเห็นเค้าประดับไฟน่าจะสวย แล้วเราไปกินบิงซูกัน”
“เราไม่อยากกินอ่ะ แล้วเราอยากไปถ่ายที่อื่นบ้าง ปีที่แล้วก็ถ่ายที่นี่”
“อืม แล้วเฟิร์สอยากไปที่ไหนล่ะ?”
“ก็แล้วแต่ดิม”
...เบื่อประโยคนี้จัง พอผมเลือกอะไรเฟิร์สก็ไม่เอา…
“ดิม พวกเราซ้อมเสร็จแล้วนะ!” ปุ๊กตะโกนลงมาจากบนตึก
“ขอบใจนะปุ๊ก เดี๋ยวเราขึ้นไปช่วยปิดห้อง”
“เฟิร์ส เดี๋ยวเรากลับบ้านละนะ เฟิร์สเลือกละกันจะไปไหน”
“ก็ไหนดิมบอกว่าจะเลือกไง”
“งั้นก็เมก้า”
“ไกลไป แม่ไม่อนุญาต”
“อิมพีเรียล”
“อันนั้นหน้าบ้านดิมเลยอ่ะ ไม่โรแมนติกเลย”
“เรานึกไม่ออกแล้ว เฟิร์สเลือกละกัน”
ผมกดตัดสายแล้วเดินกลับขึ้นตึกไปช่วยเพื่อนปิดห้อง เก็บกระเป๋าเดินลงพร้อมปิงกับจอย

“คุยกับเฟิร์สอ่ะดิ๊” ปิงกระเซ้า
“อืม” ผมหันไปแกล้งยิ้ม
...ผมอยากเป็นเหมือนปิง คนใจเย็นเหมือนน้ำแข็งที่ยิ้มได้กับทุกเรื่อง และอบอุ่นเหมือนแสงอาทิตย์ยามเช้าทำให้ทุกคนรอบตัวยิ้มและมีความสุข เป็นตู้อบฆ่าเชื้อให้ทุกคน…
“เดี๋ยวเรากลับคนเดียวนะ ปิงไปส่งจอยเถอะ”
“วันนี้เลิกไม่เย็น ไปด้วยกันก็ได้นะ แวะกินขนมที่ตลาดด้วยกันยังได้เลยเนอะจอย”
“ใช่ ๆ ดิมไปด้วยกันเถอะ”
“เราจะไปซื้อของพอดีน่ะ พวกนายไปเถอะ”

ผมนั่งรถมาลงที่ปากน้ำ อยากนั่งริมน้ำ ไม่อยากกลับบ้าน ไม่อยากทำอะไรเลย
กดเปิดไลน์มีแต่ติวเตอร์ส่งทริคข้อสอบกับโปรโมชั่นคอร์สติวเต็มไปหมด สำหรับคนอื่นไลน์อาจมีข้อความแชทสนุก ๆ จากเพื่อน ๆ แต่ของผมมีแต่เรื่องน่าเบื่อแบบนี้
...ผมเป็นแบบปิงไม่ได้ จะให้ยิ้มกับทุกเรื่อง ทำให้ทุกคนมีความสุขผมทำไม่ได้…

ข้อความเด้งขึ้นมา คอร์สติวสอบเข้าม.4 ลด 10%
ผมกดปิดมือถือ...ผมไม่ไหวแล้ว...ผมมองไปบนฟ้าที่เริ่มมืด...ผมต้องลอยไปที่ไหนถึงจะเจอความสบายใจ
...มีที่หนึ่ง...อาจจะเป็นที่เดียว...แต่ที่ตรงนั้นตอนนี้คงอยู่กับแฟนของเขา...นี่ผมเป็นอะไรอยู่…

ผมนั่งรถมาลงที่ห้างแล้วเดินต่อมาถึงซอยบ้านผม นั่นใครนั่งอยู่?
“ดิม นายเพิ่งมาเหรอ?”
“ปิง ทำไมนายมาอยู่นี่ล่ะ?”
“เราโทรหาดิมแต่โทรไม่ติด เราไม่รู้จะหานายที่ไหนเลยนั่งรอตรงนี้”
“โทษนะเราปิดเครื่อง...เราไม่ได้ไปซื้ออะไรหรอก เราไปนั่งเล่นริมน้ำน่ะ”
“อืม นายกินข้าวยังเนี่ย?” ปิงยิ้มและแตะบ่าผม
“ยัง”
“เราก็ยัง ไปหาข้าวกินกันแถวนี้กันเถอะ แล้วค่อยไปนั่งคุยกันที่ห้องนายนะ”

ปิงยื่นหูฟังมาให้ระหว่างทานข้าวขาหมูนครปฐม

When life doesn't seem worth the living
And you don't really care who you are
When you feel there is no one beside you
Look for a star
When you know you're alone and so lonely
And your friends have traveled afar
There is someone waiting to guide you
Look for a star


“ปิง นายหาเพลงเข้ากับทุกสถานการณ์จริง ๆ ฮะ ๆๆ”
“นายมีอะไรไม่สบายใจ บอกเราได้นะ”
“เราทะเลาะกับเฟิร์สน่ะ”
“เหรอ?”
“เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ น่ะ แค่หาที่เที่ยวคืนคริสมาสต์อีฟ ไม่รู้ทำไมกลายเป็นทะเลาะกันได้”
“นายบอกเราได้นะ ไม่ต้องไปนั่งคนเดียวที่ริมน้ำ พวกเราตกลงกันแล้วนี่”
“..........”
“อ้อ เราเข้าใจละ จอยอยู่ด้วยใช่มั้ย?”
ถ้าจอยรู้ว่าผมทะเลาะกับเฟิร์ส อาจเอาไปบอกต่อ นินทา หรืออะไรผมก็เดาไม่ได้ ผมบอกปิงได้คนเดียวเท่านั้น
“งั้น ถ้าต่อไปพวกเรามีอะไรที่อยากบอกกันให้ยกมือแบบนี้นะ” ปิงทำมือนิ้วกลางกับนิ้วนางแยกกัน
“ท่าสวัสดีของชาววัลแคน”
“ดิมรู้ด้วยเหรอ?”
“ก็เราชอบอวกาศ ขอบใจนะปิงที่เลือกท่าจากหนังที่เราชอบซะด้วย”

เปิดประตูเข้าบ้านไม่เจอใครแต่เห็นรองเท้าแม่วางอยู่ แม่คงนอนแล้ว ส่วนพ่อยังไม่กลับตามเคย
“มา ๆๆ” ปิงนั่งพิงหัวเตียงตามเคย
“ปิง เราอยากถามนายน่ะ”
“ถามมาสิ”
“ระหว่างเราคืออะไร?”
“เพลงฮิตของลีเดีย อัลบั้ม Inside Out พ.ศ.2550”
“กวนน่ะ กวนที่สุดเลย”
“โอเคไม่เล่นละ ทำไมนายถามแบบนั้นล่ะดิม”
“เวลานายอยู่กับจอย เราทำตัวไม่ถูก...แต่ไม่ได้หมายความว่าเราหึงหรือไม่อยากให้ปิงอยู่กับจอยนะ เราแค่ทำตัวไม่ถูกน่ะ แต่...ยังไงเราก็รู้สึกดีนะว่าเวลาพูดอะไรทุกอย่างที่รู้สึกให้ปิงฟัง มันโล่งใจดี”
“อืม”
“เราทะเลาะกับเฟิร์ส เราเบื่อเรื่องเรียน เราอยากมีใครหรืออะไรทำให้สบายใจบ้าง เราอยากยิ้มได้กับทุกเรื่องแบบปิง อยากให้คนรอบข้างสบายใจเวลาอยู่กับเรา”
“นายทำอยู่แล้วนะ เนี่ยเราอยู่ใกล้ดิมทีไรเราก็สบายใจทุกที”
“จริงเหรอ? ยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”
“จริงดิ เรารู้สึกแบบนี้ตลอด ตอนเล่นกีตาร์ร้องเพลงด้วยกันเรารู้สึกดีตลอดเลยนะ ...จริง ๆ แล้วนายทำดีกับเรามาตั้งแต่เทอมแรกแล้ว จำได้มั้ย?” ปิงกอดเอวผมแน่นขึ้น

“ตอนแบ่งกลุ่มทำอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ไง ตอนนั้นเรายังไม่มีกลุ่มแล้วนายหันมาชวนเรา นายสอนเราคำนวณค่าไฟฟ้า ตอนเราต่อสายไฟไม่เป็นนายก็สอนเรา”

ปิงหันมามองผม “นายทำดีกับคนอื่นมาตลอด นายติวเพื่อนหลายคน วันนี้นายก็ให้พวกโจเอาคัมภีร์ไปซีรอกซ์ นายอธิบายการบ้านให้จอย...นายเป็นคนแบบที่นายอยากจะเป็นอยู่แล้ว”
“อืม ขอบใจนะปิง”
“เราว่านายคงเครียดนิดหน่อยน่ะ ไม่สบายใจอะไรก็ยกมือวัลแคนบอกเราได้ หรือโทรหาก็ได้”
“อืม ขอบใจนะ เราสบายใจละ เออ! เพลงที่ปิงเปิดนั้นชื่อเพลงอะไรนะเราจะเซฟเก็บไว้” ผมเดินไปหยิบโทรศัพท์มา
“ชื่อเพลง Look For…” ปิงชะโงกหน้ามาดูหน้าจอโทรศัพท์ในมือผม หน้าผากเราสัมผัสกัน

...ถึงผมกับปิงจะอยู่ใกล้ชิดกันมากว่าสองสัปดาห์แล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่หน้าเราชิดกันขนาดนี้
...ตานั้น ปลายจมูกนั้น...ปากนั้น…
...ทำไมหน้าของปิงดึงดูด…
...ปิงบอกว่ารู้สึกดีกับผม...
...ถ้าพวกเราเป็นแฟนกันเล่น ๆ...
...แปลว่าผมก็จูบเล่น ๆ ได้ใช่มั้ย...

“Look For A Star นะ ของ Garry Miles” ปิงพูด
“อ๋อ เอ่อ...ขอบใจนะ”

...เมื่อกี้ทำไมผมรู้สึกอะไรแบบนั้น...

“งั้นเรากลับมาก่อนนะดิม”
“อืม พรุ่งนี้เจอกันที่โรงเรียนนะ” ผมเดินมาส่งปิงที่ประตูบ้าน
"ดิม เราลืม" ปิงหันกลับมาพูด
"ลืมอะไรเหรอ?"
ปิงไม่ตอบแต่กอดผม "ลืมบอกว่าเราดีใจที่นั่งรอแล้วเจอนาย"

...เขาคงอยากบอกผมว่าอย่าปิดมือถือสินะ ปิงไม่เคยตำหนิผม เขามีวิธีพูดให้ผมสบายใจตลอดเวลา...

"ขอบใจนะปิง เราสัญญาจะไม่ปิดมือถือให้นายกังวลแบบนั้นอีก"
"แล้วพรุ่งนี้เจอกันนะ"
"ปิงถึงบ้านแล้วโทรบอกด้วยนะ"
ปิงผงกหัวยิ้มโบกมือลา

To be continued...

ออฟไลน์ Sorrowkung

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 107
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Vector space ตอนที่ 4
วันอังคารที่ 24 ธค.

วันนี้บอร์ดวิชาภาษาอังกฤษกลางโรงเรียนถูกตกแต่งเป็นงานคริสต์มาส มันควรเป็นเทศกาลแห่งความสุขแต่คงไม่ใช่สำหรับผมเพราะพรุ่งนี้จะเป็นวันแข่งดนตรีแล้ว เย็นนี้พวกปิงจะซ้อมใหญ่ แปลว่าเขาจะไม่มีเวลาให้ผม…และผมก็มีนัดไปเที่ยวคืนคริสมาสต์อีพที่ห้างเมก้าบางนากับเฟิร์ส

ผมแอบชำเลืองมองปิงที่นั่งข้างกันระหว่างเรียน...ผมอยากบอกใครสักคนว่าผมไม่อยากไป ผมหวังว่าจะมีสักเสี้ยวความคิดของปิงให้เขาอยากบอกผมว่าถ้านายไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป
“ดิม มีอะไรรึเปล่า?” ปิงหันมาถามเบา ๆ
“เอ่อ...ปากกาเราหมดหมึกน่ะ ปิงมีให้ยืมมั้ย?”
“มี ๆ” ปิงหยิบปากกาน้ำเงินในกล่องดินสอยื่นมาให้
“ขอบใจนะ”

...ผมอยากบอกปิง แต่มันคงงี่เง่า เด็กหนุ่มคนไหนก็อยากไปเที่ยวกับแฟนทั้งนั้นแหละ ยิ่งรู้ว่าเค้าอาจเตรียมพร้อมสำหรับเรื่องอย่างว่า

...มันคือการกลายเป็นผู้ใหญ่ ใครบางคนบอกแบบนั้น แต่ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงไม่อยากทำ หรือผู้ชายทุกคนก็กลัวแบบนี้ ถ้าผมกลั้นใจทำผมอาจได้เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ผมอาจชอบเฟิร์สไปอีกระดับ ผมอาจมีความสุขก็ได้ ก็แค่กลั้นใจนิดเดียว

...บางทีปิงเองก็คงอยากทำอย่างนั้นกับจอย ถ้าผมบอกเขาว่าผมกำลังรู้สึกยังไง...ผมกับเขาอาจไม่ใช่คนฝั่งเดียวกันอีกต่อไป การคิดว่าผมจะไม่เหมือนปิง ไม่คิดเหมือนกัน ไม่รู้สึกแบบเดียวกัน ในที่สุดปิงก็จะไม่รู้สึกดีที่มีผมอยู่ข้างเขาอีกต่อไป...

ตอนเย็นพอหมดคาบ 8 ปิงปุ๊กมิ้มก็ไปนั่งซ้อมกันที่ระเบียงตามเคย ผมนั่งทำการบ้านอ้อยอิ่งในห้อง หวังว่าปิงจะพูดว่าวันนี้ซ้อมเบา ๆ พอนะจะได้กลับไปพักให้เต็มที่…

“วันนี้ขอซ้อมแบบเต็มเพลงหลายเที่ยวหน่อยนะ ปุ๊กกับมิ้มไหวมั้ย?”
“ได้เลย เอาให้สุด ทีมเราต้องได้ 1,000 บาท”
นั่นสินะ ผมควรเลิกฝันแบบไร้เหตุผลสุด ๆ อย่างนี้ ปิงกำลังตั้งใจเต็มที่และผมก็ควรสนับสนุนเขา

ผมเดินลงไปร้านน้ำหน้าโรงเรียน ซื้อชาเขียวน้ำผึ้ง 3 ขวดกลับมาให้เพื่อน ๆ
“ดื่มกันนะจะได้เสียงใสหายเหนื่อย”
“ขอบใจนะดิม”
“ดิมมาเล่นด้วยกันสิ” ปิงยิ้มแล้วขยับกระเป๋าให้มีที่ว่าง
“เราไม่ได้ลงแข่งด้วยนี่นา”
“ไม่เป็นไรหรอก อยู่กันเยอะ ๆ สนุกดี” ปุ๊กพูด
“เราจะกลับบ้านแล้วน่ะ วันนี้มีธุระ”
“อ้าวเหรอ”
“แล้วพรุ่งนี้เจอกันนะ สู้ ๆ นะทุกคนเราเอาใจช่วย”

ปิงมองผมนิ่ง ๆ เขาคงอยากให้ผมอยู่ด้วยในการซ้อมครั้งสุดท้าย แต่ผมอยู่ไม่ได้จริง ๆ ไม่ใช่เพราะผมนัดเฟิร์สแต่เป็นเพราะผมรู้สึกว่าไม่ควรอยู่ตรงนี้ ผมตอบตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำว่าความรู้สึกแย่ ๆ ในใจตอนนี้คืออะไร ...กลัว...เหงา...น้อยใจ...ผิดหวัง...จะอะไรก็ตาม ตอนนี้ผมไม่สามารถอยู่ข้างปิงด้วยความรู้สึกแบบนี้ได้

ผมนั่งรถไปห้างตามที่นัดกับเฟิร์ส ตอนที่ออกจากโรงเรียนก็เริ่มเย็นแล้ว
เสียงโทรศัพท์ผมดังขึ้น เป็น vdo.call จากเฟิร์ส
“ดิมอยู่ไหนแล้วน่ะ?”
“กำลังนั่งรถเมล์ไป” ภาพที่เค้าเห็นในจอบอกว่าผมไม่ได้โกหก แต่ถีงอย่างนั้นความไม่สบอารมณ์ก็ยังแสดงออกชัดอยู่ดี
“เราบอกดิมแล้วว่ามารถคุณแม่พร้อมเราก็ได้”
“เราต้องทำธุระก่อนน่ะ”
“ธุระอะไรเหรอ? ดิมไม่ได้แข่งดนตรีแล้วนี่”
“เอาเถอะ อีกเดี๋ยวดิมก็ไปถึงแล้ว”
ผมกดวางสายแล้วมองไปนอกหน้าต่างรถ ...ที่ที่ผมอยากอยู่กลับอยู่ไม่ได้...แต่ต้องไปที่ที่ผมไม่อยากไป



ผมมาถึงห้างเกือบหนึ่งทุ่ม เจอเฟิร์สกับคุณแม่นั่งรอที่ร้านกาแฟ
“สวัสดีครับคุณน้า” ผมยกมือไหว้
“สวัสดีจ้ะหนูดิม สบายดีไหมไม่ได้เจอกันนานเลย ตัวสูงขึ้นนะเนี่ย”
“สบายดีครับ คุณน้ากับคุณอาสบายดีไหมครับ?”
“สบายดีจ้า แล้วการเรียนเป็นไงบ้าง ยังได้ท้อปของห้องเหมือนเดิมเลยสินะเห็นเฟิร์สเล่าให้ฟัง”
“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ”
“ดิมเกือบได้แข่งประกวดร้องเพลงภาษาอังกฤษด้วยนะคะคุณแม่” เฟิร์สเอ่ยชมผมต่อหน้าคุณแม่เลย
“เก่งจัง ไม่รู้นะเนี่ยว่าร้องเพลงเก่งด้วย แบบนี้มาเล่นคู่กับเปียโนของเฟิร์สบ้างนะ”

ผมกำลังจะเล่าว่าผมไม่ได้แข่งเพราะโดนเปลี่ยนตัว แต่เฟิร์สขยิบตาเหมือนรู้ว่าผมจะพูดอะไร ผมเลยนิ่งเงียบไป การสนทนาตามมารยาทดำเนินไปอีกครู่หนึ่งแล้วคุณแม่ของเฟิร์สก็ขอตัว
“พอดีแม่จะได้เดินซื้อของหน่อย ฝากหนูดิมพาเฟิร์สเดินเที่ยวทีนะ”
...มาแล้ว เรื่องที่ผมลำบากใจที่สุด…

“เดี๋ยวสามทุ่มครึ่งมาเจอกันอีกทีที่ร้านนี้นะ”
...โล่งอกที่มันจะเป็นการเดทจำกัดเวลา ไม่มีทางที่จะเลยเถิดไปมากกว่านั้น…

พวกเราเดินห้างกันก่อน เฟิร์สชอบดูร้านเครื่องประดับกับเสื้อผ้า
“ดิมว่าตุ้มหูคู่นี้เข้ากับเรามั้ย? หรือคู่สีแดงดีกว่า?”
“เราว่าคู่แรกสวยดี”
“งั้นเราเอาตามที่ดิมเลือก เดี๋ยวไปจ่ายตังค์ก่อนนะ ดิมเดินเล่นแถวนี้ก่อนก็ได้”
โชคดีแถวนี้มีร้านเกมผมเลยไปยืนดูอยู่พักใหญ่ พอดูนาฬิกาอีกทีก็เกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ทำไมเฟิร์สจ่ายเงินนานจัง
“เรามาละ”

เฟิร์สมายืนข้างหลังผม ตอนนี้เค้าทำผมแต่งหน้าใหม่ มีผ้าโปร่งคลุมไหล่ กับตุ้มหูคู่ใหม่ที่ผมเลือกและกลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ
“ตะลึงเลยเหรอ? หรือว่าไม่สวย?”
“เปล่า สวย”
“ฮิ ๆๆ ไปกินขนมกันเถอะ มีร้านบิงซูเปิดใหม่นะ เค้าว่ามีเมนูพิเศษช่วงคริสต์มาสด้วย”
“เฟิร์สบอกว่าไม่ชอบกินบิงซูเพราะมันจะหกเลอะไม่ใช่เหรอ?”
“วันนี้วันพิเศษน่ะ อย่าช้าดิ๊เวลามีน้อย”

เค้าคงอยากเอาใจผม ถึงแม้ว่าจะกินอย่างลำบากก็ตาม มือหนึ่งตักกินอย่างระมัดระวังไม่ให้หกเลอะชุด อีกมือคอยจับผมที่ปรกหน้าหลบออก เห็นเฟิร์สพยายามแบบนี้ก็น่ารักดีเหมือนกันแฮะ บวกกับเพลงฝรั่งที่เป็นแนวคริสต์มาสด้วยทำให้บรรยากาศในร้านดีมาก ๆ พวกเรานั่งคุยกันบ้าง ฟังเพลงบ้าง

Sing, sing, sing the song of sirens if that is what it takes
Bring, bring, bring them back again to to each lonely heart that aches


“เพลงนี้เพราะดี ชื่อเพลงอะไรเหรอปิง?”
“........” เฟิร์สนิ่งเงียบ แย่แล้ว
“ท...โทษทีเฟิร์ส เราเรียกชื่อผิด”
“ชื่อเพลง Arrival” เฟิร์สตบแบบไม่สบอารมณ์ “ดิมอิ่มยัง? ไปเดินดูไฟกันเถอะ”
“เฟิร์สอย่าโมโหดิ เราแค่เผลอน่ะ เวลาเราอยากรู้ชื่อเพลงฝรั่งเก่า ๆ เราจะถามปิงตลอด”
“เปล่า ไม่ได้โมโห”
ไม่โมโหอะไรเล่า แสดงออกชัดขนาดนี้

พวกเราไปเดินถ่ายรูปตามจุดต่าง ๆ ที่ประดับประดารอบห้างแล้วมานั่งพักที่ลานน้ำพุกลางห้าง
“เราไม่ได้โมโหนะ แค่อิจฉา”
“อิจฉา?”
“ดิมเรียกหาปิง”
...ผมรู้สึกหน้าชา ประโยคสั้น ๆ แต่ทำให้ใจผมเต้นแรง…หรือเฟิร์สรู้ว่าผมคิดอะไร

“จอยเล่าให้เราฟังว่าตอนเค้ากับปิงทำการบ้านด้วยกัน ปิงก็เคยพูดผิดว่าข้อนี้ทำยังไงเหรอดิม”
...อะไรนะ?...

“พวกเธอนั่งด้วยกันตลอดเลย สนิทกันขนาดนี้ด้วย เป็นอะไรกันหรือเปล่าน้า?”
“บ้า ผู้ชายด้วยกัน”
เฟิร์สหัวเราะเบา ๆ แล้วนิ่งเงียบไปอีก
เฮ้อ...อยากให้ถึง 21:30 เร็ว ๆ จัง จะได้จบการเที่ยวคืนคริสต์มาสอีฟนี้ซะที
 
“ดิม วันสิ้นปีนี้ไปเที่ยวไหนหรือเปล่า?”
“ไม่อ่ะ เราไม่ชอบเที่ยววันเทศกาล คนเยอะ”
“อืม เราก็ไม่ชอบ ที่บ้านเราจะไปเที่ยวหัวหินยาว 4 วัน แต่เราไม่ไปน่ะ”

...ผมหวังว่าเฟิร์สจะไม่…

“คืนสิ้นปี พวกเราอยู่นับถอยหลังด้วยกันสองคนได้มั้ยดิม?”
“เอ่อ...เฟิร์ส”
“คือ...มีแค่...เรากับดิม”
หัวใจผมเต้นแรง คนตรงหน้าขยับเข้ามาพิงตัวผมช้า ๆ

“...ดิมเข้าใจใช่มั้ยว่าเราหมายถึงอะไร”
“อ...อืม”
“นะดิม”
“ก็...ก็ได้”

ผมพาเฟิร์สเดินกลับไปส่งให้คุณแม่ที่ร้านกาแฟ จำไม่ได้ด้วยว่าบอกลาท่านยังไง ผมนั่งรถเมล์กลับบ้านด้วยความรู้สึกมากมาย ...เชรี่ยเอ๊ย ทำไมผมดันตกปากรับคำเฟิร์ส ผมอยากทำแบบนั้นจริง ๆ เหรอ? ผมไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงไม่อยากทำอย่างว่ากับเฟิร์ส เด็กผู้ชายคนไหนก็น่าจะอยากทำไม่ใช่เหรอ

ปิงก็คงอยากทำกับจอย ถึงปากจะบอกว่ามีปัญหากับจอยบ่อย ๆ แต่สุดท้ายคนเป็นแฟนกันก็ต้องอยากมีสัมพันธ์แบบนั้นจนได้

หรือผมควรทำ? จะได้เป็นหนุ่มเต็มตัว แบบเดียวกับปิง จะได้เป็นเพื่อนเขาคุยกันเรื่องเดียวกันต่อไปได้ ผมไม่รู้เลย...ตอนนี้ผมอยากเจอเขา อยากโทรหาเขา แต่ก็เป็นไปไม่ได้ ปิงคงกำลังซ้อมใหญ่หรือไม่ก็อยู่กับจอย ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง ไม่ว่ายังไงคืนนี้ผมก็คงต้องอยู่คนเดียว

เอ๋? นั่นใครนั่งอยู่หน้าปากซอยบ้านผม ชุดนักเรียนเสื้อสีขาวนั่น ภาพเดจาวูเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว มีคนคนเดียวที่ผมแสนคุ้นเคย คนที่นั่งอยู่เงยหน้ามาเรียกชื่อผม “ดิม กลับมาเร็วจัง”
“ปิง! นายมาได้ไง?”
“คืออยากเจอน่ะ” ปิงตอบเรียบง่ายแต่ทำให้ใจผมปั่นป่วน อยากเจอผมเหรอ?
“แล้วทำไมไม่โทรหาเราล่ะ?”
“ก็...คิดว่านายคงกำลังอยู่กับเฟิร์ส เราเลยไม่กล้าโทร”
“โธ่! ถ้าไม่โทรแล้วนายจะนั่งรอไปเรื่อย ๆ เหรอ? นายโทรหาเราได้ตลอดนะ แล้วนี่กินอะไรมาหรือยัง?”
“ฮะ ๆๆ ยังเลย”
ชายหนุ่มตรงหน้ายิ้มฟันขาว ถึงมันจะเป็นการเจอกันตามปกติของเพื่อนผู้ชายสองคนที่นั่งด้วยกันมาทั้งวัน แต่สำหรับผมมันเป็นของขวัญคืนคริสต์มาสอีฟ

“ปิงเข้าบ้านมา เดี๋ยวเราทำอะไรให้กิน” แม้ร้านอาหารข้างทางจะอยู่ห่างไปไม่ไกล แต่ผมไม่ให้ของขวัญชิ้นพิเศษสุดนี้อยู่ไกลตัวผมสักวินาที ผมเปิดตู้เย็นและตู้กับข้าว ได้ปลากระป๋องกับผักและไข่ไก่ มีข้าวเย็นเหลืออยู่ด้วย
“เดี๋ยวเราทำข้าวผัดปลากระป๋องให้นะ นั่งรอแป๊บ”
“โห! ดิมทำอาหารเป็นด้วยเหรอ?”
“ก็ต้องฝึกไว้บ้าง เราติวเสร็จดึกประจำไม่อยากให้แม่เป็นห่วงเลยทำอาหารเอง”

ระหว่างที่ผมกำลังทำอาหาร ปิงก็เปิดเพลงในมือถือ

I'll have a blue Christmas without you
I'll be so blue just thinking about you
Decorations of red on a green Christmas tree
Won't be the same dear, if you're not here with me


“ชื่อเพลงอะไรเหรอปิง?”
“Blue Christmas ของเอลวิส” ตู้เพลงเคลื่อนที่อมยิ้มอย่างภาคภูมิใจ

ปิงก้มหน้าก้มตากินข้าวผัดฝีมือผม ทุกอย่างเรียบง่ายในบ้านที่เงียบสงัดแต่ผมมีความสุขชะมัด
“ทำไมนายมานั่งรอเราล่ะปิง ไม่กลับบ้านไปพักเยอะ ๆ พรุ่งนี้จะแข่งแล้วนะ”
“ก็นายเคยบอกว่านายกลุ้มใจที่ต้องไปเที่ยวคืนคริสต์มาสอีฟกับเฟิร์ส” ปิงรวบช้อนส้อมหลังกินเสร็จจนเกลี้ยง
“เราเป็นห่วง แต่ก็ไม่กล้าโทร”

ดวงตาคู่นั้นดูจะคลายความกังวล ตาของปิงดึงดูดผมจนละสายตาไม่ได้
“ก็เลยมานั่งรอ ถ้านายกลับมาดึกก็แปลว่านายแฮปปี้กับเฟิร์ส แต่ถ้านายกลับเร็วเราจะได้พานายไปกินขนมที่ตลาดแก้เซ็งไง”
“ขอบใจนะปิง” ความห่วงใยของเขาทำใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะ ทำไมนายต้องทำดีกับผมขนาดนี้ด้วย

“แล้วที่ดิมกลับมาเร็วนี่คือ...” ปิงเอาจานไปล้างที่อ่าง
“ยังไม่มีอะไรกัน”
“เหรอ”
“แต่เค้าขอให้อยู่ด้วยกันตอนเค้านต์ดาวน์สิ้นปี”
“.........”
“บ้านเค้าจะไปต่างจังหวัดกันหมด”

ไม่รู้ผมคิดอะไรถึงเล่าหมดทุกอย่าง ผมแค่อยากระบายให้ปิงฟังในฐานะเพื่อนสนิท? หรือเพราะเราตกลงกันเป็นสถานะพิเศษ ‘แกล้งเป็นแฟนกันที่คุยกันได้ทุกเรื่อง’? หรือผมอยากเห็นปฏิกิริยาของปิง อยากให้ปิงห้ามไม่ให้ผมไป

“แล้วดิมจะไปมั้ย?”
“เราไม่อยากไป...แต่เราก็ตกลง”
“ทำไมล่ะ?”
“เราก็ไม่รู้” ผมไม่รู้จริง ๆ ว่าทำไมถึงตกปากรับคำ
“แล้วจริง ๆ ดิมอยากทำอย่างว่ามั้ย?”
“เรารู้สึกดีกับคนนึง อยากทำแบบนั้นกับเขา แต่ไม่ใช่กับเฟิร์ส” ผมขยับเข้าไปชิดปิง

ครั้งที่แล้วที่หน้าผมกับปิงอยู่ใกล้กันจนหน้าผากชนกัน ใจผมก็เต้นรัว คราวนี้มันยิ่งกว่านั้นอีกเพราะชิดกันทั้งตัวเลย ปิงก็ไม่กระเถิบถอยหนี เราสองคนมองกันโดยไม่มีคำพูด ทุกอย่างเงียบจนได้ยินเสียงหัวใจเต้น เราสองคนใกล้กันเกินไปแล้ว...ใกล้จนผมคุมตัวเองไม่ได้
“แล้วใครล่ะดิม?”
“ที่ปิงบอกว่ารักคนนึงที่ไม่ใช่จอย แล้วใครล่ะ?”

ช่วยบอกผมที ว่าที่นายเป็นห่วงผมมากขนาดมานั่งรอหน้าปากซอยทั้งที่ไม่รู้ว่าต้องรอไปถึงเมื่อไหร่ ทั้งที่พรุ่งนี้มีแข่งดนตรีที่ตั้งใจมาก นายคิดอะไร? คิดเหมือนผมหรือเปล่า?

ปิงยืนนิ่งไม่ตอบ มีแต่สายตาที่มองมากับเสียงลมหายใจ
“เราสองคนคุยกันได้ทุกเรื่องใช่มั้ยปิง?”
“ใช่”
“แล้วเรื่องที่เราถาม...”
ปิงเงียบไปอีก แต่แววตาของเขาพยายามตอบคำถาม ตอบออกมาแบบไม่มีเสียง ผมว่าผมรู้คำตอบที่เขาไม่กล้าตอบ ผมภาวนาให้คำตอบนั้นคือผม ถ้าใช่ ถ้าเขาพูดออกมาอย่างนั้นจริง ๆ ผมจะเลิกกับเฟิร์ส ผมจะพร้อม

เสียงเพลงเบา ๆ จากมือถือของปิงทำให้ใจผมพูดคำตอบนั้นออกมา คนที่ผมรู้สึกดีคือนายไง...ผมไม่รู้ว่าทำไม รู้แค่ผมอยากใกล้ปิงให้มากกว่านี้ ใกล้แบบที่ไม่ใช่เพื่อนทำกัน
“พรุ่งนี้...เอาไว้พรุ่งนี้ได้มั้ยดิม เราจะตอบนาย”

...นี่คือคำปฏิเสธใช่มั้ย…

“พรุ่งนี้นะดิม หลังแข่งเสร็จเราจะตอบนาย” ปิงจับบ่าผมอย่างแผ่วเบา

to be continued...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-04-2021 01:08:58 โดย Sorrowkung »

ออฟไลน์ Sorrowkung

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 107
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Vector space ตอนที่ 5
วันพุธที่ 25 ธค.

เช้าวันคริสต์มาส ผมมาตั้งแต่เช้าเพราะนอนไม่ค่อยหลับ บรรยากาศในห้องวุ่นวายโหวกเหวกตามปกติ...แต่โต๊ะของปิงยังว่างเปล่า ไม่มีกระเป๋าบนเก้าอี้แปลว่าเขายังไม่มาหรืออาจไปซ้อมกับปุ๊กมิ้มที่ไหนสักแห่งก็ไม่รู้เหมือนกัน

ผมจัดหนังสือเรียนออกจากกระเป๋าใส่เข้าใต้โต๊ะพลางมองโต๊ะว่างข้าง ๆ ครุ่นคิดจินตนาการคำตอบต่าง ๆ นานาที่คิดว่าเขาจะตอบ มันอาจเป็นแค่คำง่าย ๆ อย่างที่ผมหวังจะได้ยิน หรืออาจเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม เขาอาจแค่หัวเราะแล้วพูดขำ ๆ ว่า “หลงเราแล้วอ่ะดิ๊” แล้วผมก็จะตอบว่าบ้า จากนั้นเราสองคนก็นั่งเรียนไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น...

...ผมไม่น่ารุกถามปิงไปแบบนั้นเลย ถ้าย้อนเวลากลับไปเมื่อคืนได้ ผมคงแค่ทำข้าวผัดให้เขากินแล้วก็กลับบ้านไป…เราทั้งสองคนจะทำเหมือนเดิมต่อไปจนถึงสิ้นปีอย่างที่ตกลงกันตอนแรก แล้ววันสิ้นปีผมกับเฟิร์สก็จะ...

“ดิม กูยืมลอกการบ้านเลขหน่อยสิ” นิ้วใครบางคนสะกิดไหล่ผมจนสะดุ้ง
“เฮ้ย! หลับอยู่เหรอ?” โจเลิกคิ้ว
“ป...เปล่าอ่ะ นึกอะไรเพลินไปหน่อย จะเอาการบ้านเลขใช่มั้ย?”
“เออ กูยังเหลืออีกหลายข้อเลย” โจตอบและเกาหัว ความกังวลและกลุ้มใจแสดงชัดเจน “ได้คัมภีร์จากนายมาแต่ก็ยังงง ๆ อยู่ดี”
ผมหยิบสมุดเตรียมจะยื่นให้โจแต่ก็เปลี่ยนใจ “ยังพอมีเวลาก่อนไปเข้าแถว เราอธิบายการทำโจทย์ให้ดีกว่า นายจะได้เข้าใจ”
“เฮ้ย! กวนนายเกินไปเปล่าวะ?”
“ไม่หรอก เราเพื่อนกัน” ผมกางหนังสือเรียนขึ้นมาเพื่อเตรียมอธิบายสูตรที่ใช้ในการแก้โจทย์ ตอนนั้นมือถือผมก็ดังตะดึ๊งขึ้น

ปิง: เรามาเตรียมตัวแข่งที่หอประชุมนะดิม ฝากบอกครูด้วย คาบ 2 มาเชียร์เรานะ

ผมพิมพ์ตอบกลับไปสั้น ๆ ได้เลย ชนะให้ได้นะ

เขาไม่พิมพ์อะไรมาอีก คงกำลังยุ่งมั้ง แต่แค่นั้นก็ทำให้ผมรู้สึกดีแล้ว
“เฟิร์สเหรอวะ? พิมพ์ไปยิ้มไป” โจพูดหยอก
“เปล่า พวกปิงไปเตรียมตัวแข่งอยู่ที่หอประชุมน่ะ จะไม่อยู่คาบ 1 เลยให้เราช่วยบอกครู”
ผมพยายามตอบเรียบ ๆ ทั้งที่ใจเต้นแรง นี่ผมดูออกง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ แค่เห็นข้อความจากเขาผมก็เป็นขนาดนี้แล้ว

หลังจบคาบ 1 ก็มีประกาศออกลำโพงโรงเรียนให้นักเรียนชั้นม.3 ทุกห้องขึ้นหอประชุมเพื่อร่วมชมการแข่งประกวดร้องเพลงภาษาอังกฤษ

ลำดับการขึ้นเวทีจัดตามการจับสลาก หลังจากดูการแสดงของ 3 ห้องแล้วก็ถึงคราวห้องผม ปิง ปุ๊ก มิ้ม ออกมาจากด้านหลังเวที ปิงสะพายสายกีตาร์ขึ้นพาดบ่า เขาดูแตกต่างไม่เหมือนปิงที่ผมคุ้นเคย ดูเป็นผู้ใหญ่และมีความมั่นใจ
“สวัสดีครับ ห้องม.3/2 นะครับ” ปิงเอี้ยวตัวไปพูดกับไมโครโฟนที่อยู่หน้าปุ๊กมิ้ม ผมได้แต่นั่งดูราวกับต้องมนต์สะกด
“ดิม ไปหน้าเวทีกัน” ต๊อบหันมาบอกผม
“ได้เหรอ?” ผมถามกลับเพราะอาจารย์นั่งอยู่แถวหน้าสุดหลายคนเลย
“ห้องเรานะเว้ย ไปช่วยให้กำลังใจพวกมัน” ว่าแล้วต๊อบกับอีกหลายคนก็ลุกออกไปทันที ผมกับคนอื่น ๆ ในห้องเลยลุกตามไปด้วย ผมหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายวิดีโอขณะที่ปิงเริ่มเล่นกีตาร์ ปุ๊กกับมิ้มเริ่มร้องเพลง...ตอนนี้เขาเท่เหลือเกิน ...มันคือความรู้สึกอะไรกันนะ ความอุ่นร้อนผ่าวใจเต้นแรงนี้
“ปิงเล่นดีเนอะ” จอยเข้ามานั่งข้างผมและถ่ายวิดีโอเช่นกัน สีหน้าเธอตื่นเต้นมีความสุข
ปิงหันมามองทางนี้และยิ้มให้ ไม่รู้ว่ายิ้มให้ใคร...จอยหรือผม?
ผมพยายามสลัดความคิดแย่ ๆ ออกจากหัว ปิงมองจอย ผมควรดีใจกับพวกเขาทั้งคู่

เมื่อการแสดงของห้องเราจบลง ทุกคนก็กลับมานั่งในแถวที่นั่ง สักพักปิงก็เดินออกมาจากหลังเวทีมานั่งที่ปลายแถวที่ยังเหลือที่ว่างอยู่เพื่อรอดูการแสดงของห้องอื่น (ทำไมผมลืมคิดเรื่องนี้นะ ถ้าเมื่อกี้ผมไปนั่งรอที่ปลายแถวผมก็จะได้นั่งกับปิงแล้ว)

และแล้วผู้อำนวยการโรงเรียนก็ขึ้นมาประกาศผลรางวัล
“รางวัลรองชนะเลิศอันดับสองได้แก่...ห้อง...”
ทั้งหอประชุมนิ่งเงียบรอฟังผลด้วยความตื่นเต้น
“ได้แก่ห้อง 9 ค่ะ!”

“ต่อไป รางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่ง ได้แก่...ห้อง 10 ค่ะ!”
...โอ๊ย เหลืออีกรางวัลเดียวแล้ว ผมลุ้นมาก ปิงต้องชนะสิ

“และรางวัลชนะเลิศการประกวดดนตรีภาษาอังกฤษระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ประจำปีนี้ได้แก่...”
ผมชะเง้อหันไปมองปิง เขาก็หันมามองผม
“ได้แก่ห้อง 2 ค่ะ!”
“ชนะแล้วโว้ย!!!!” ต๊อบกระโดดชูมือขึ้นด้วยความดีใจยิ่งกว่าคนแข่งเองซะอีก เสียงปรบมือดังลั่นหอประชุม แล้วนักดนตรีนักร้องทั้งสามห้องก็ขึ้นไปรับรางวัลจากผู้อำนวยการบนเวที พวกปิงชนะแล้ว ผมเดินไปถ่ายรูปให้ปิงด้วยความชื่นชม ปิงปุ๊กมิ้มหันมายิ้มโบกมือ
"ห้อง 2 ชนะโว้ย!" เสียงต๊อบตะโกนลั่นหอประชุมอีกที อายจังเป็นเพื่อนนายเนี่ย

หลังจากจบงานก็เป็นเวลาพักเที่ยงพอดี ทุกคนแยกย้ายกันเดินไปโรงอาหาร ผมยืนรอปิงที่กำลังให้อาจารย์ถ่ายรูปหมู่บนเวที แต่พอคิดถึงคำที่เขาพูด...พรุ่งนี้นะดิม หลังแข่งเสร็จเราจะตอบนาย… มันก็เหมือนผมกำลังยืนรอคำตอบ...คำตอบที่ผมเริ่มกลัวที่จะรู้
“ดิมไปกินข้าวกันเหอะ พวกปิงถ่ายรูปทำข่าวน่ะคงอีกนาน” โจสะกิดเรียกผม
“มันรอผัวมันอยู่” ต๊อบแซว
“ผัวบ้าอะไรเล่า”
"ห้อง 2 ชนะโว้-" ต๊อบตะโกนอีกทีแต่โจอุดปากทัน "มึงจะตะโกนอะไรบ่อย ๆ กูอายเค้า!"
"ก็กูดีใจนี่หว่า!!"
"ไป ๆ รีบไปแดกข้าวเลยมึง" โจรีบลากต๊อบลงจากหอประชุมผมเลยเดินไปกินข้าวพร้อมกับพวกต๊อบ

จนถึงเวลาคาบบ่าย ปิงเดินมานั่งที่โต๊ะในห้องเรียน
“เพิ่งกินข้าวเสร็จน่ะ อาจารย์ถ่ายรูปนานเลย” เขายิ้ม
“ดีใจด้วยนะปิง”
“อืม”
จากนั้นเราสองคนก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีกเลย ผมไม่รู้เขาจะตอบคำถามนั้นเมื่อไหร่ ส่วนปิงเองก็เงียบผิดปกติทั้งที่ตามธรรมดาแล้วเขาจะถามเรื่องเนื้อหาที่เรียนบ้างชวนคุยบ้าง ยิ่งเงียบแบบนี้ผมยิ่งเครียด

ผมหยิบกระเป๋าออกมาเปิดดูของข้างใน กล่องของขวัญใบเล็กที่ผมเตรียมมาให้เขา ปิ๊กกีตาร์พิมพ์รูปซานต้าคลอสที่ผมแอบซื้อเตรียมไว้ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว ผมควรจะให้เขาตอนนี้ดีมั้ย? มันไม่มีจังหวะดีเลยสักนิด ยังไงผมก็ต้องให้วันนี้แหละก็มันวันคริสต์มาสนี่นา ก็แค่เพื่อนให้ของขวัญวันคริสต์มาสทำไมผมถึงไม่กล้า…

ตอนจบคาบ 5 ผ่านไป...ตอนจบคาบ 6 ก็ผ่านไป...ทั้งที่เขานั่งติดกับผมแท้ ๆ แต่มันยากเหลือเกิน

คาบ 7 เป็นคาบวิชาภาษาอังกฤษที่สอนโดยคุณครูประจำชั้นของห้องผมเอง
“ครูยินดีกับนักดนตรีและนักร้องคนเก่งของพวกเราด้วยนะคะ เก่งมาก ๆ เลย” ครูเดินเข้ามาพร้อมพูดชม
“ฉลองกันยังไงดีน้า? นี่ก็วันคริสต์มาสด้วย” ครูยิ้มเป็นนัยให้ทุกคนแสดงความคิดเห็น
“เลี้ยงขนมดีมั้ยคะคุณครู?” เสียงหนึ่งมาจากหลังห้อง
“ก็ดีน้า ทุกคนว่าไงคะ? ใครเห็นด้วยยกมือขึ้น”
แน่นอนว่าทุกคนยกมือสลอนและส่งเสียงฮือฮาว่าครูจะเลี้ยงจริงเหรอ
“โอเคค้า งั้นเลิกเรียนแล้วไปกินร้านเบเกอรี่ที่ห้างตรงข้ามโรงเรียนกันนะคะ ตอนนี้มาเรียนกันก่อนนะคะ”
“โห! ครูจะเลี้ยงขนมล่ะปิง! เพราะนายชนะเลยนะเนี่ย” ผมหันไปหาเขาด้วยความดีใจ...แต่ปิงกลับทำหน้าเคร่งเครียด ในมือกำลังพิมพ์ข้อความในโทรศัพท์อยู่
“ปิง นายเป็นอะไรหรือเปล่า?”
“ไม่เป็นอะไรหรอก” เขาตอบพร้อมยัดโทรศัพท์มือถือเข้ากระเป๋ากางเกง ผมเลยคิดว่าไว้ให้ของขวัญที่ร้านขนมน่าจะดีกว่า
-----------------------------------------------------------

พอจบคาบ 8 ทุกคนก็แยกย้ายแต่ละกลุ่มเพื่อนของตัวเองเพื่อไปขึ้นสะพานลอยไปร้านเบเกอรี่ที่คุณครูบอก
“ดิม ไหน ๆ จะไปที่ห้างละ มึงไปดูร้านเกมกับกูก่อนดิ”
“อือ ก็ได้”
กว่าจะรวมพลทั้งห้องได้คงใช้เวลาไปน้อยกว่าครึ่งชั่วโมง ถ้าผมกับต๊อบรีบไปดูเกมก่อนก็คงมาทันกินขนมพอดี

พอดูเกมเสร็จผมกับต๊อบก็ลงมาที่ร้านเบเกอรี่ที่ชั้นหนึ่งของห้าง ร้านประดับเป็นบรรยากาศคริสต์มาสด้วย เป็นสถานที่ที่เหมาะกับการฉลองให้วงดนตรีของห้องเราจริง ๆ ในร้านตอนนี้มีเพื่อน ๆ ห้องเราอยู่กันเต็มไปหมด คุณครูก็อยู่ด้วย ผมหยิบกล่องของขวัญออกมาเตรียมพร้อม จังหวะนี้แหละดีที่สุดแล้ว
“ไอ้ต๊อบ หัวหน้าบอกว่าจานนึงกินกันสามคนนะเว้ย เกรงใจครูเค้า” ก้อยกระซิบบอก
“เออ ๆ เดี๋ยวพวกกูกินกับไอ้ปิงก็ได้ ว่าแต่มันอยู่ไหนวะ?” ต๊อบตอบ
“อ้าว! ก็อยู่กับพวกแกไม่ใช่เหรอ? ชั้นเห็นพวกแกคุยกันตอนเลิกเรียน”
“ตอนนั้นกูชวนแค่ดิมมาดูเกม ปิงมันไม่ได้มาด้วย” ต๊อบแหวกลับ
“ปิงอยู่กับปุ๊กมิ้มหรือเปล่า?” ผมถาม
“ไม่อ่ะ สองคนนั่นจับคู่กับโบว์อยู่มุมโน้น” ก้อยชี้มือไปที่โซฟามุมร้าน
ผมมองไปรอบร้าน ตอนนี้แต่ละคนยืนนั่งจับกลุ่มกันดูยากเลยว่าปิงอยู่ไหน แต่มองทั่ว ๆ แล้วก็ไม่เจอแฮะ ผมหยิบโทรศัพท์มาโทรหาแต่กลับไม่มีสัญญาณ

“ปิงปิดเครื่องแฮะ”
“อ้าว! ยังไงวะ? นี่ครูเค้าฉลองให้มันแท้ ๆ นะ ดูดียังวะ?”
ผมเดินไปทั่วร้านก็ไม่เจอปิง ถามปุ๊กกับมิ้มก็บอกว่าไม่ได้มาด้วยกัน
“คุณครูครับ ปิงมาหรือเปล่าครับ?” ต๊อบตัดสินใจถามคุณครู
“ไม่รู้สิ ตอนเลิกครูก็กลับไปเก็บของที่ห้องพักครู งั้นเอางี้ นักเรียนทุกคนคะใครเห็นอรุณวิทย์บ้าง?” คุณครูเอ่ยเสียงดัง ทั้งร้านเงียบกริบ ทุกคนมองซ้ายมองขวา
“ไม่เห็นค่ะครู”
“ไม่เห็นครับครู”

มีอะไรแปลก ๆ แล้ว ผมโทรหาเขาอีกครั้งแต่ก็ไม่มีสัญญาณ
“เดี๋ยวกูกลับไปดูที่ห้องดีกว่า” ต๊อบพูด
“งั้นเราไปดูที่ห้องดนตรี” ผมพยักหน้าให้ต๊อบแล้วยัดกล่องของขวัญกลับเข้ากระเป๋านักเรียน เราสองคนวิ่งข้ามสะพานลอยกลับไปที่โรงเรียน

ปิงนายอยู่ไหนเนี่ย? ทำไมนายไม่มากินขนมกับเพื่อน ๆ? แล้วท่าทีแปลก ๆ เมื่อตอนบ่ายนั่นคืออะไรกัน? ทั้งที่วันนี้น่าจะเป็นวันที่เขาดีใจมีความสุขมากแท้ ๆ เพราะเพิ่งชนะการประกวด

“ดิม ห้องล็อกแล้วว่ะ กูส่องดูทางหน้าต่าง กระเป๋ามันก็ไม่อยู่ กีตาร์ก็ไม่อยู่” ต๊อบโทรมาบอกผม
“ที่ห้องดนตรีก็มีแต่รุ่นพี่ ไม่มีใครเห็นปิงมาเลย”
“เดี๋ยวกูเดินไปดูที่ห้อง 5 นะเผื่อมันไปหาจอย”
“อือ เราไปดูร้านน้ำกับโรงอาหาร”
แต่ที่นี่ก็ไม่มีเขาอีกเช่นกัน ต๊อบโทรมาอีกครั้ง ผมหวังว่าเขาจะเจอปิงแล้ว
“ห้อง 5 ก็กลับไปหมดแล้วว่ะ ห้องล็อกแล้วด้วย”

...ปิงหายไปไหน...ผมไม่เข้าใจเขาเลย...หรือจริง ๆ แล้วที่ผ่านมาผมไม่เคยเข้าใจเขาสักนิด
ผมมืดแปดด้าน เขาหายไปไหน หรือปิงอาจจะแค่อยากอยู่คนเดียวด้วยเหตุผลบางอย่าง ผมอาจคิดมากไปเอง ผมควรเลิกคิดแล้วกลับบ้านไปเฉย ๆ พรุ่งนี้ก็คงเจอเขาตอนเช้าตามปกติ...หรือเขาอาจมีอุบัติเหตุ ผมควรหาเขา ปั๊ดโธ่เว้ย! อย่างน้อยนายก็น่าจะเปิดมือถือสิ

ใช่...ผมเองก็เคยทำแบบนั้น เคยปิดมือถือหนีจากโลกหนีจากทุกคนไปชั่วเวลาหนึ่ง ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าตอนนั้นผมทำให้ปิงร้อนใจขนาดไหน

...จริง ๆ แล้วเราสองคนไม่ได้เปิดใจคุยกันทุกเรื่อง...มีแต่เขาที่รับฟังผมบ่น...มีแต่เขาที่ดูแลผมมาตลอด...แต่ปิงไม่เคยพูดสิ่งที่อยู่ในใจเขาออกมาเลย

ผมบอกปิงว่าตอนนั้นที่ผมกลุ้มใจผมไปนั่งเล่นริมน้ำ ไม่แน่เขาก็อาจจะไปบ้าง ถึงจะเป็นความคิดที่ไม่มีเหตุผลอะไรสนับสนุนแต่ก็ดีกว่ายืนอยู่ในโรงเรียนที่ปิงไม่อยู่แน่ ๆ ผมนั่งรถไปปากน้ำพลางคิดว่าจะมีที่อื่นที่ไหนอีก ปิงเคยบอกว่าอยากไปเล่นไอซ์สเก็ต หรือร้านบิงซูที่โรบินสันที่เราเคยกินด้วยกัน บางกระเจ้าก็ไกลไปและเขาไม่น่าจะไปตอนค่ำแน่ หรือเขาจะไปรอผมหน้าบ้าน หรือเขาอาจจะแค่เบื่อ ๆ ก็เลยกลับบ้าน โอ๊ย! แต่ละที่ไกลกันทั้งนั้น

ผมมาถึงจุดนั่งชมวิวริมน้ำ มีคนพอสมควรแต่เดินจนทั่วก็ไม่เจอเขา
“นายอยู่ไหนนะปิง อย่าทำให้เป็นห่วงแบบนี้สิ” ผมบ่นกับตัวเองพลางโทรหาแต่เครื่องเขาก็ยังปิดเหมือนเดิม ตอนนี้เริ่มมืดแล้วถ้าปิงไปบ้านผม ตอนนี้เขาน่าจะนั่งรอที่ปากซอยละ ช่วยไม่ได้ผมตัดสินใจโทรหาแม่
“ฮัลโหลแม่”
“ลูกเหรอ จะกลับบ้านยัง? หรือวันนี้จะไปเรียนพิเศษเหรอถึงได้โทรมา?”
“เอ่อ...ผมจะไปธุระอีกสักพักน่ะครับ คงกลับดึกนะแม่ไม่ต้องห่วง”
“จ๊ะ ๆ รีบกลับนะ ดึกแล้วอันตราย”
“ครับแม่ เอ่อ...แม่ช่วยเดินไปดูที่ปากซอยได้ไหมว่าเพื่อนผมอยู่ตรงนั้นหรือเปล่า?”
“เพื่อนลูก?”
“ครับแม่ แม่จำปิงได้มั้ยครับ?”
“อ้อจำได้ ปิงจะมาหาลูกเหรอ? ทำไมเขาไม่มาที่บ้านเลยล่ะ?”
“เอ่อ...คือเขาขี้อายน่ะแม่ แม่ช่วยเดินไปดูถ้าเจอเขาบอกให้ปิงมารอผมในบ้านเลยนะครับ”
“จ๊ะ ๆ เดี๋ยวแม่เดินไปดูตอนนี้เลย”
ตอนนี้เริ่มดึกแล้ว ผมไม่มีเวลาตระเวณหาเขาแล้ว ผมตัดสินใจเลือกขึ้นรถเมล์ไปบ้านปิงด้วยความกระวนกระวายใจที่เพิ่มมากขึ้นทุกที ระหว่างนั้นก็หวังว่าแม่ผมจะเจอปิง หวังว่าเขาจะนั่งรอผมที่ปากซอย หวังว่าเขาจะกลับบ้าน

...หรือเป็นเพราะผมคาดคั้นให้เขาตอบเรื่องนั้น เขาเลยไม่อยากเจอหน้าผม...
“ที่ปิงบอกว่ารักคนนึงที่ไม่ใช่จอย แล้วใครล่ะ?”
“พรุ่งนี้...เอาไว้พรุ่งนี้ได้มั้ยดิม เราจะตอบนาย”

ปิง เราไม่ถามแล้วก็ได้ นายไม่ต้องตอบแล้ว อย่าหายไปแบบนี้ก็พอ...ผมไม่อยากรู้คำตอบแล้ว...

โทรศัพท์ผมดังขึ้น เป็นแม่ที่โทรมา ผมกดรับด้วยความหวัง
“ดิม แม่ไม่เจอใครที่ปากซอยเลยนะ”
“ค...ครับแม่ ขอบคุณครับ แม่ไปพักเถอะเดี๋ยวอีกสักพักผมจะกลับบ้านนะครับ”

ผมมองไปนอกหน้าต่างรถ มันเกิดอะไรขึ้น ปิงนายไปอยู่ไหน เป็นเพราะผมหรือเปล่า
ผมกอดกระเป๋าไว้แน่น ในนี้มีของขวัญที่ผมจะให้นายนะ ถ้าผมให้เขาไปตั้งแต่ตอนบ่าย บางทีปิงอาจรู้สึกดี อาจไปกินขนมที่คุณครูเลี้ยง คงไม่หายไปแบบนี้ ...เป็นเพราะผมไม่ตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง…

โทรศัพท์ผมสั่น! เสียงข้อความเข้า! ปิงแน่ ๆ!! ผมรีบดึงมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง แต่มันไม่ใช่อย่างที่ผมคิด...เป็นข้อความจากจอย ผมขมวดคิ้ว จอยไม่เคยส่งข้อความหาผมเลยนี่ ผมกดเข้าไปอ่านด้วยความสงสัย

ดิม ปิงเลิกกับเราแล้ว ดิมรู้ใช่มั้ยว่าเพราะอะไร

...to be continued...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-04-2021 01:23:43 โดย Sorrowkung »

ออฟไลน์ Sorrowkung

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 107
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Vector space ตอนที่ 6

ผมตัวแข็งทื่อเมื่อเห็นข้อความจากจอย

ดิม ปิงเลิกกับเราแล้ว ดิมรู้ใช่มั้ยว่าเพราะอะไร

เกิดอะไรขึ้น...จอยกำลังบอกว่า...ไม่นะ...ผมคือตัวการงั้นเหรอ…

ผมกำมือถือไว้ ในหัวตอนนี้มีเรื่องมากมายเต็มไปหมดแต่ไม่มีคำตอบใด ๆ ได้เลย ผมได้แต่มองไปนอกหน้าต่างรถเมล์ที่กำลังแล่น มองผู้คนมากมายข้างทางแต่ไม่มีใครช่วยผมได้ ผมควรทำยังไงดี? ผมต้องหาปิงให้เจอ...ไม่สิ ผมนี่แหละตัวต้นเหตุ!

พอรถเมล์มาถึงป้าย ผมเดินไปบ้านเขา ใจหนึ่งอยากรีบไปให้เร็วที่สุดด้วยความเป็นห่วง อีกใจบอกว่าผมควรกลับบ้านไปแล้วเลิกยุ่งกับปิง ควรอยู่ให้ไกลจากเขา แต่ไม่ว่ายังไงอย่างน้อยผมขอรู้ว่าเขาปลอดภัยดี แค่นั้นก็พอ ได้โปรดเถอะ

ในที่สุดผมก็มาถึงหน้าบ้านเขา...แต่บ้านปิดไฟมืดหมด ผมกดกริ่งหน้าบ้านแต่ไร้การตอบรับใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่มีคนอยู่หรือว่านอนกันหมดแล้ว
“ขอโทษครับ” ผมตะโกนแต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมตะโกนอีกสองครั้งก็ไร้เสียงตอบ ลองโทรเข้ามือถือเขาแต่ก็ไม่มีสัญญาณ หัวใจผมบีบรัด ผมรู้สึกผิดกับเขา เจ็บปวด ...หรือผมเป็นต้นเหตุทำให้ปิงหนีหน้าทุกคน เป็นตัวการทำให้เขาเลิกกับจอย
...ขอร้องล่ะ อย่างน้อยขอให้ผมเจอเขา

“ขอโทษครับ ปิงอยู่มั้ยครับ?” ผมตัดสินใจตะโกนอีกครั้ง นั่น! ไฟในห้องชั้นสองเปิดขึ้น
ผมยืนรอด้วยใจระทึก ในที่สุดไฟชั้นล่างก็สว่างขึ้นแล้วประตูบ้านก็เปิดออก ชายหนุ่มในชุดนักเรียนเดินเข้ามาเปิดประตูรั้วช้า ๆ

“ปิง” ผมเอ่ยพร้อมเดินเข้าไปช้า ๆ ราวกับกลัวเขาจะหนีไป...ได้โปรด อย่าหนีผมนะ...ผมขอโทษ
“ดิม” เขามองมาที่ผมด้วยสีหน้านิ่ง ๆ และเหนื่อยอ่อน
ผมไม่รู้จะพูดอะไรดี ความดีใจและเสียใจปนเปอยู่ในหัวจนพูดไม่ออกแล้ว
“ขอโทษนะที่ปิดมือถือ”
“ไม่เป็นไรหรอก คราวที่แล้วเราก็ทำน่ะ”
“เข้ามาสิ” เขาพูดเบา ๆ แล้วเดินเข้าบ้าน

ทุกอย่างในบ้านยังเหมือนเดิม ชั้นวางแผ่นเสียงยังตั้งเด่นรับแขก รวมถึงแผ่นเสียงเพลง Nothing’s Gonna Change My Love For You แผ่นนั้นก็ด้วย แต่ตอนนี้เหมือนมันกำลังสื่อความหมายที่ตรงกันข้ามออกมา และบ้านก็เงียบกริบ
“พ่อกับแม่ไปแสดงดนตรีงานคริสต์มาสที่พัทยาน่ะ กลับพรุ่งนี้”
“เหรอ” ผมตอบและวางกระเป๋าลงบนโซฟาอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมมาที่นี่เพื่ออะไร ผมแค่อยากรู้ว่าปิงอยู่ไหนปลอดภัยดีมั้ย...และรู้ตัวว่าผมไม่ควรอยู่ที่นี่ ผมอาจเป็นต้นเหตุให้ปิงกับจอยเลิกกัน แต่สีหน้าที่ไม่สู้ดีนักของเขาทำให้ผมเป็นห่วง

“นายเป็นอะไรมั้ย? ตอนเลิกเรียนนายหายไปเลย”
“.......” เขาไม่ตอบ
“ครูเค้าอุตส่าห์เลี้ยง”
“เรามีเรื่องนิดหน่อยน่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราไปขอโทษครู”
ผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อทั้งที่มีเรื่องอยากถาม ปิงเองก็คงเช่นกัน เพราะวันนี้เราสองคนสัญญากันว่าจะตอบคำถาม และตอนนี้ก็เหลือแค่ไม่กี่ชั่วโมง ใช่...คำถามที่ผมไม่อยากได้ยินคำตอบแล้ว คำถามที่ผมไม่อยากยอมรับว่าผมรู้คำตอบแล้ว

“กินอะไรมายัง?” ปิงเอ่ยทำลายความเงียบ
“ยังเลย ขนมที่ครูเลี้ยงก็ยังไม่ได้กิน ฮะ ๆๆ”
“เดี๋ยวทำแซนวิชให้นะ”
ผมมองดูแผ่นหลังของเสื้อนักเรียนสีขาวชายเสื้อลุ่ยนั้นกำลังทำอาหารและชงโอวัลติน คนที่ผมรัก คนที่ผมไม่กล้ารัก...คนที่ผมไม่มีวันบอกให้เขารู้ว่าผมรักเขา ผมไม่รู้ว่าการพูดคุยกันที่กำลังจะเกิดขึ้นในคืนนี้จะทำให้เกิดอะไรบ้าง แต่ที่แน่ ๆ คือเราสองคนคงไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว ผมจึงนั่งเงียบ ๆ มองเขา พยายามจดจำช่วงเวลานี้

“ปิง...เอ่อ..” ผมเอ่ยหลังจากจัดการแซนวิชและโอวัลตินหมดแล้ว ผมตัดสินใจถามเรื่องที่ผมลำบากใจที่สุด
“หืม?” ปิงนั่งลงบนโซฟาและหันมายิ้มบาง ๆ
“นาย...เลิกกับจอยเหรอ?”
“อือ” เขาผงกหัวตอบโดยไม่มองผม
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” ผมกลั้นใจถาม แต่เขานิ่งเงียบแทนคำตอบ เขากำมือแน่นราวกับว่าคำตอบนั้นยากที่จะเอ่ยออกมา

“ก็ดิมไม่ชอบคนเจ้าชู้ ไม่ชอบคนที่คบทีเดียวหลายคน”
“ปิง...” ผมมองปิง ภาพเหตุการณ์ทุกอย่างย้อนกลับมา ที่เขาขี่หลังผมและแปลเนื้อเพลงให้ผมฟัง...เขาไม่ได้แปลเนื้อเพลง...
...เพลงนั้นเราเลือกให้นายคนเดียว…

“เราถามคำถามของนายแล้วนะ” ปิงหันมาจ้องตาผม “เรารักนายนะดิม”

“น...นึกว่าพวกเราแค่แกล้งเป็นแฟนกันเล่น ๆ” ผมยังแทบไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน เขาคิดเหมือนผม ผมไม่ได้คิดไปข้างเดียว ผมไม่ได้หลงรักเขาอยู่ฝ่ายเดียว
“ดิม เราขอโทษที่ทำแบบนั้น ร...เราไม่รู้จะทำยังไง เราไม่ใช่ตู้อบฆ่าเชื้อหรอก เราไม่ได้ทำให้นายรู้สึกดี เราก็แค่คนโกหก” ปิงดึงผมเข้าไปกอด “ก็นายกำลังจะไปสอบเข้าโรงเรียนอื่น”
“ปิง”
“ไม่มีเวลาแล้ว อีกไม่กี่เดือนนายก็จะไปอยู่ที่อื่นแล้ว” วงแขนนั้นรัดแน่นเหมือนความทุกข์ทุกอย่างกำลังบีบให้เขาทรมาน “ตอนแรกเราคิดว่ายังมีเวลาอีกเยอะ ยังมีเวลาอีกหลายปี เราขอโทษ ดิม เราขอโทษ!” ปิงพูดเสียงสั่นเครือ
“ปิง อย่าว่าตัวเองแบบนั้นสิ”

“เราชอบนายตั้งแต่ทำงานกลุ่มด้วยกัน เราไม่รู้จริง ๆ ว่าเราชอบนายแบบไหน แต่มันก็รู้สึกมากขึ้น ๆ ทุกวัน เราไม่รู้ว่ามันคืออะไร แค่เห็นนายเราก็ดีใจทุกครั้ง อยากมาเจอนายทุกวัน เราคิดว่าค่อย ๆ คบกันเป็นเพื่อนแล้วสักวัน...สักวันเราอาจเลิกรู้สึกแบบนั้น แต่พอวันนั้นที่นายโหวตให้เรา รู้มั้ยเราดีใจมากตอนได้ยินชื่อเราจากปากนาย เรามีความสุขมากจนกอดคอนายไว้”

...พวกเราไม่ได้เริ่มด้วยความเป็นเพื่อนตั้งแต่แรกแล้ว...ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วที่เขากอดคอผมก็รู้สึกดีอย่างประหลาด...
"แต่พอเราเห็นใบสมัครสอบ ม.4 ของดิม...ฮึก ๆ เราไม่มีเวลาแล้ว เราต้องทำอะไรสักอย่าง...เราขอโทษ”
“เราไม่ได้โกรธนะ ปิงอย่าร้องไห้เลย”
ตัวอุ่น ๆ ของเขาที่โอบกอดผมไว้ กับหน้าที่ซบลงบนบ่าทำให้ผมลืมทุกอย่างว่าอะไรไม่ควร ผมกอดเขาไว้อย่างนั้นปล่อยให้ความรู้สึกทุกอย่างแสดงออกมา เราสองคนไม่ต้องเสแสร้งปิดบังอะไรอีกแล้ว เราสองคนกำลังพูดทุกอย่างในใจออกมา

“ปิง” ผมเอ่ยสั้น ๆ ที่ข้างหูเขา
“หืม?”
“ตอบแล้วนะ”
เขาเงยหัวขึ้นจากบ่าของผม ตายังแดงก่ำแต่ใบหน้าเริ่มยิ้มหัวเราะ “อะไรอ่ะ ตอบสั้นห้วนแค่เนี้ย!”
“ก็ตอบแล้วน่ะ” เขินนะว้อย
“ครูสอนว่าเวลาตอบต้องทวนคำถามไม่ใช่เหรอ?” คนตรงหน้าเริ่มยิ้มร่ากลั้วเสียงขำ
บรรยากาศทำให้ความคิดที่ผมไม่เคยกล้าเอ่ยปากแต่ตอนนี้ผมพร้อมแล้ว เอางั้นก็ได้

“เรารู้สึกดีกับคนนึง อยากทำแบบนั้นกับเขา”
ปิงมองผมตาไม่กะพริบ
“คนนั้นคือนาย” ผมเอ่ยออกมาอย่างปลดปล่อยความรู้สึกทุกอย่าง

ปิงค่อย ๆ แนบหน้าเข้ามา ปลายจมูกเขาแตะลงบนหน้าผม ...ลมหายใจอุ่น ๆ
เขาถอดแว่นผมออกช้า ๆ ริมฝีปากแตะไปทั่ว ผมตัวสั่นเมื่อรู้ว่ากำลังทำสิ่งที่เคยคิดหวาดหวั่น...แต่มันกลับอบอุ่นนุ่มนวลและค่อย ๆ เคลื่อนไปสู่สิ่งที่ผมไม่เคยกล้าทำ

ปิงเอนตัวผมลงกับโซฟา เขาขึ้นคร่อมบนตัวผม เสื้อขาวของปิงทิ้งตัวลงให้ผมมองลอดคอเสื้อเข้าไปเห็นผิวเนื้อภายในที่ผมไม่เคยเห็น ผมแกะกระดุมเสื้อออกอย่างเผลอไผลเหมือนแกะห่อของขวัญ ปิง...ของขวัญของผม คนที่สนิทแนบชิดเสมือนตัวติดกันมาตลอด เกือบ 1 เดือน ไออุ่นยามชิดใกล้ที่ดึงดูดให้ผมอยากสัมผัสให้มากขึ้น ๆ ทุกครั้งเวลาพิงกายบนตัวเขา ผมไม่รู้ความรู้สึกนี้เริ่มขึ้นเมื่อไหร่

คงเป็นเพราะแสงแดดที่ชอบยิ้มและพูดให้ผมอารมณ์ดีมาตลอด ใบหน้าเกลี้ยงเกลาใจเย็นที่คอยพูดให้กำลังใจเสมอนั้นปัดเป่าความทุกข์อย่างที่ผมไม่เคยเจอ แค่ชิดใกล้ก็อบอุ่นแล้ว...แต่นี่ ผมกำลังลูบผิวกายภายในที่ร้อนเหมือนไฟ พระอาทิตย์ที่ผมเคยได้แต่ฝัน ตอนนี้ผมได้กอดจับทุกส่วนตามใจปรารถนา ใบหน้าและริมฝีปากของเขาก็รุกล้ำบดสำรวจตัวผมแลกเปลี่ยนกันอย่างอ่อนโยน

“ดิม” ริมฝีปากอ่อนนุ่มพูดพลางคลุกที่ซอกคอ
“รู้มั้ย เมื่อคืนที่นายไปเที่ยวกับเฟิร์ส เราโคตรคิดมากเลย เรากลัว...เรากลัวนายทิ้งเราไว้คนเดียว”
“ปิง” ผมเรียกชื่อคนตรงหน้า ริมฝีปากเขาเคลื่อนมาดูดเม้มเลียไรฟัน สายตาเว้าวอนทำให้ผมยอมให้ลิ้นของเขาเข้ามา สัมผัสแรกช่างแปลก เปียกและสากจนผมสะดุ้งแต่เขากอดแน่นลูบตามเนื้อตัวและแขนไม่ยอมปล่อย ปิงผละใบหน้าออกแล้วบดริมฝีปากอีกครั้ง ...จูบแรกของผมเป็นของปิงครั้งแล้วครั้งเล่า

“ตอนนายติวให้คนอื่น รู้มั้ยเราอิจฉา เราอยากเป็นคนที่นายคุยด้วย”
มือของปิงแกะกระดุมเสื้อผมออกแล้วในที่สุดเนื้อตัวของเขาก็แนบทับลงมา มันเป็นสัมผัสที่ผมไม่เคยได้รับมาก่อน ตัวเปลือยเปล่าที่แสนอุ่นเคลื่อนไปมาแลกสัมผัสทุกส่วนบนตัวผม
“หน้าของนายมุมนี้คือมุมที่เราแอบมองประจำ เวลาที่นายอธิบายการบ้านให้เพื่อน ๆ” เขาซบหน้าลงที่ซอกคอผม
“นายช่วยเพื่อนเสมอ นั่นแหละที่เราชอบดิม จำได้มั้ยตอนนายชวนเราให้ทำงานกลุ่มวิชาไฟฟ้าแล้วเราต่อไฟไม่เป็น”
“จำได้”
“นายอธิบายตั้ง 3 รอบเราก็ยังไม่เข้าใจ คนทั้งกลุ่มมองมาที่เรา ตอนนั้นเราคิดว่านายคงโมโหหรือเบื่อเราแล้ว แต่นายใจเย็นมาก เราจำได้ตอนนายยิ้มแล้วอธิบายช้า ๆ ให้เราฟัง” ปิงจ้องผมด้วยตาใส “ตั้งแต่ตอนนั้นเราก็ชอบนาย ชอบมากขึ้นเรื่อย ๆ”

เขาช้อนตัวผมขึ้นมากอดแน่น “พอวันนั้นเราเห็นใบสมัครสอบม.4 โรงเรียนอื่นของนาย เรา...เราทนไม่ได้ เรากำลังจะเสียนายไป...แต่...แต่...”

“แต่เราก็ทำแบบนี้กับนายไม่ได้เหมือนกัน เรายังชอบจอย ฮึก ๆๆ ดิม...เราไม่รู้ เราไม่รู้”
“ปิง...”
คนตรงหน้าหลับตานิ่ง คนที่เคยเป็นแสงอาทิตย์ให้ผมรู้สึกอบอุ่น คนใจเย็นที่พูดให้กำลังใจไม่เคยตำหนิ

ถ้าผมรักปิงที่เป็นแบบนั้น ผมก็ต้องเป็นอย่างเดียวกันให้เขาในเวลาที่เขาต้องการที่สุด

ภาพตอนเด็กผุดขึ้นมาในหัว ตอนแม่พาผมไปเที่ยวบางกระเจ้าและซื้อลูกโป่งให้ผม แต่เชือกกลับหลุดจากมือ...จำได้ว่าผมร้องไห้เพราะคว้าไม่ทัน

แม่กอดผมแล้วพูดว่า...ดิม ดูลูกโป่งลอยขึ้นฟ้าสวยจังเลย…ลูกโป่งลอยไปหาดวงอาทิตย์แล้วน้า
เด้กน้อยที่น้ำตาอาบแก้ม แหงนมองลูกโป่งลอยขึ้นฟ้า...ลอยไปหาดวงอาทิตย์...ลอยไปในอวกาศ...

ผมแตะตัวปิงเบา ๆ ให้เอนหลังมาพิงตัวผม ผมคล้องแขนกอดเอวเขา ท่าที่เราสองคนทำเสมอเวลาจะพูดคุยอย่างเปิดใจ
“ปิง เราสองคนอาจไม่ได้รักกันแบบนั้น”
“แต่ดิมก็อยากทำไม่ใช่เหรอ?”
“เราชอบปิงจริง ๆ นะ เราอยากกอดนาย อยากอยู่กับนาย อยากพูดคุยทุกเรื่องที่ไม่กล้าคุยกับคนอื่น...นายรู้สึกเหมือนเรามั้ย?”
“อ...อืม” เขาบีบมือผมเบา ๆ

“พอปิงไม่อยู่เราก็เหงา เราอยากอยู่กับปิงนาน ๆ รู้มั้ยเราไม่ได้อยากนั่งดูพระอาทิตย์ตกหรอก...เราแค่อยากใช้เวลากับนายน่ะ”
“จริง ๆ เราก็ไม่ได้อยากดูพระอาทิตย์ตกเหมือนกัน เราหาเรื่องถ่วงเวลาดิมให้นานที่สุด”
ผมซบหน้ากับหลังคอของปิง...ภาพที่เราสองคนนั่งหลังพิงกันดูพระอาทิตย์ตกดิน เราสองคนคิดเหมือนกันนานแล้ว ตั้งแต่แรก ตั้งแต่ก่อนจะรู้ตัวด้วยซ้ำ 

“เย็นวันนี้ที่ปิงหายไปเราเป็นห่วงนายมากนะ”
“เรานัดจอยมาบอกเลิก เรา...เราอยากพร้อมจะบอกรักดิม” ปิงบีบมือผมแน่น เช่นเดียวกับที่ผมอยากจับจองเป็นเจ้าของเขา...แต่เมื่อทำไม่ได้ก็ขอแค่สัมผัส แค่จับไว้ไม่ให้หลุดลอยไป
“เรากลัว เรากลัวพูดไปแล้วดิมจะไม่ได้คิดเหมือนเรา เราเลยต้องทำทุกอย่าง แต่พอเราบอกเลิกจอยเราก็รู้สึกแย่ ไม่เข้าใจว่าทำไมมันไม่เหมือนที่เราเคยคิดไว้...เราเลยไม่เจออยากใคร” ความรู้สึกทั้งหมดพรั่งพรูออกมา

“แล้วดิมล่ะ?”
“หืม?”
“นายรู้สึกยังไงกับเรา?” ปิงหันข้างมาพูดกับผม
“เรา...” ผมกอดปิงแน่น ซุกหน้าลงที่ซอกคอ สูดกลิ่นกายของเขา
“เราชอบปิงนะ เราชอบตอนนายเล่นกีตาร์ดูเท่ดี เราชอบที่นายใจดี เวลาอยู่ใกล้ก็อบอุ่น เราชอบที่นายไม่พูดตำหนิเราตรง ๆ แต่บอกเราอ้อม ๆ อย่างตอนที่เราปิดมือถือ”
“จริง ๆ ตอนนั้นเราก็โมโหนะ เป็นห่วงด้วย แต่พอคิดว่านายเจออะไรมา เราเศร้าแทนนายแฮะ เลยไม่อยากพูดอะไรแรง ๆ แล้ว”

ใช่...เมื่อตอนเย็นที่ปิงหายไปผมก็รู้สึกแบบนี้เหมือนกัน โมโห เป็นห่วง น้อยใจว่าเราสองคนคุยกันได้ทุกเรื่องไม่ใช่เหรอ นายมีอะไรทำไมไม่บอกผม

“ปิง เราว่าบางที...”
“บางทีอะไรเหรอ?”
“เราสองคนไม่ได้รักกันแบบแฟนหรอก นายเคยได้ยินคำว่า soulmate มั้ย?”
“คืออะไรเหรอ?”
“คล้าย ๆ เพื่อนรักเพื่อนสนิทที่เป็นยิ่งกว่าเพื่อนสนิท คล้ายคู่รักแต่ก็ไม่ใช่ความรักแบบนั้น ผูกพันกันมาก อยากอยู่ด้วยกัน เข้าใจกันชนิดแค่มองตาก็รู้แล้ว อะไรแบบนั้นน่ะ”

ปิงนิ่งเงียบไป ทุกอย่างนิ่งสงัด มีแต่เสียงนาฬิกาบนผนังบ้านเดินเบา ๆ
“เราไม่เข้าใจน่ะดิม เรารักนาย นายก็รักเราไม่ใช่เหรอ?”

ผมผละออกจากปิง เปิดกระเป๋าหยิบสมุดปากกาออกมา “เหมือนเราสองคนเป็นจุด 2 จุดที่อยู่บนพิกัด x,y เดียวกัน” ปิงกระเถิบเข้ามาดูสิ่งที่ผมเขียน
“แต่เมื่อมองจากระนาบ z จริง ๆ แล้วจุด 2 จุดนั้นไม่ใช่อยู่บนพิกัด z เดียวกัน...มันแค่อยู่ใกล้กัน” ผมมองตาปิง “เรากับปิงมีความสัมพันธ์ยิ่งกว่าเพื่อนสนิทโดยไม่ต้องอยู่ด้วยกันบนจุดเดียวกัน”
“ถึงไม่อยู่ด้วยกันแต่มีความสัมพันธ์ยิ่งกว่าเพื่อนสนิทได้งั้นเหรอดิม?”
“อืม”

เขาหันมาหาผม ดวงตาเราสองคนจ้องมองกัน ปิงเอื้อมมือมาที่ผมช้า ๆ...แล้วเคาะมะเหงกลงมา
“โอ๊ย! ทำไรเนี่ย?”
“ตะกี้เรากำลังเศร้าอ่ะ แต่ดิมเล่นอธิบายเป็นคณิตศาสตร์ หมดกันเลยความโรแมนต่งโรแมนติก!”
“ก็อธิบายปากเปล่าแล้วไม่เข้าใจนี่หว่า”

ผมดึงเบาะโซฟาทุบกลับเบา ๆ ใส่ปิงที่หัวเราะทั้งน้ำตาคลอเบ้า เขาแย่งเบาะไป ผมหันไปหยิบเบาะอีกใบแต่ปิงกอดผมไว้
“soulmate นี่เลิกเป็นไม่ได้ใช่มั้ย?”
“ก็...ก็คงงั้นมั้งปิง มีแต่แฟนอ่ะที่เลิกกันได้”
“งั้น...” ปิงกระชับวงแขนเข้าช้า ๆ “เราสองคนเป็น soulmate กันนะ อย่าเลิกกับเรานะ”
“อืม ก็เป็นเพื่อนรักกันตลอดไปแหละ”
“ดิมสัญญานะจะคุยกับเราทุกเรื่อง”
“ฮะ ๆๆ ทนฟังให้ได้ก็แล้วกัน บางทีเราก็อยากหาคนคุยเรื่องมิติเวลาเดินเป็นวงกลมน่ะ”

เขายิ้มออกซะทีทั้งที่ตาแดงก่ำ
“อยู่ด้วยกันนะดิม”
“อืม อยู่ด้วยกัน”
ผมมองตาเขาที่อยู่ห่างไปแค่ไม่กี่เซ็น “ถึงเราไปอยู่โรงเรียนอื่น เราก็ยังเป็น soulmate กันนะ”

ปิงหลบตาลงต่ำ ผมไม่อยากโกหกให้เขาผิดหวังซ้ำอีก อีกไม่นาน อีกไม่กี่เดือนผมก็จะไปเข้าม.4 ที่โรงเรียนอื่นแล้ว
“ดิม คืนนี้นอนคุยกับเราได้มั้ย? นายเล่าเรื่องมิติเวลาอะไรนั้นให้เราฟังที”
“ฮะ ๆๆ ได้เลย”

ปิงพาขึ้นชั้นสอง จัดเตียงนอน ปิดไฟและเปิดเพลงจากมือถือ
 
Lullaby and good night. In the sky stars are bright
'Round your head, Flowers gay. Set you slumbers 'til day


“เล่ามา ๆ” ปิงนอนตะแคงเหมือนเด็กน้อยรอฟังนิทาน มีเพียงแสงสลัวจากมือถือและเสียงเพลงกล่อมนอน
“ปิงเคยได้ยินเรื่องบิ๊กแบงมั้ย?”
“เคย ที่เขาว่ามันคือกำเนิดจักรวาลใช่มั้ย? เกิดระเบิดครั้งใหญ่ออกมาเป็นดาวทั้งจักรวาล”
“อืม ดาวทั้งเอกภพกำลังเคลื่อนที่ช้า ๆ นักดาราศาสตร์เลยคิดว่าถ้าลากเส้นย้อนกลับ เส้นทางการเคลื่อนที่ของดาวทุกดวงจะชี้กลับไปยังจุดที่เกิดบิ๊กแบง แต่ก็ยังหาไม่เจอ”
“แล้วมันเกี่ยวกับเรื่องเวลาเดินเป็นวงกลมยังไงล่ะ?”
“เราคิดว่าที่หาจุดเกิดบิ๊กแบงไม่เจอก็เพราะมันยังไม่เกิดไง”
“แต่เอกภพกับดวงดาวต่าง ๆ เกิดขึ้นแล้วนะ?”
“ใช่ เพราะอดีตกำลังจะเกิดในอนาคต” ผมวาดมือเป็นวงกลมบนอากาศ
ปิงยกมือชี้ใกล้ ๆ มือผม “ในอนาคตจะเกิดบิ๊กแบง ดาวทั้งเอกภพโดนทำลาย แล้วเศษสะเก็ดก็กลายเป็นเอกภพอีกครั้งงั้นเหรอ?”
“ใช่ เพราะวงกลมไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดจบ ในพุทธศาสนาก็มีกล่าวไว้นะว่าวัฏสงสารนี้มิอาจหยั่งถึงจุดเริ่มต้นหรือจุดจบ ซึ่งถ้าเวลาเดินวงกลมจริงก็จะอธิบายเรื่องการกลับชาติมาเกิด, การเดินทางย้อนเวลาหรือแม้แต่เรื่องจักรวาลคู่ขนานได้ แต่การเดินของเวลาแต่ละรอบอาจไม่เหมือนกันซะทีเดียว มันอาจเป็นทรงแบบ Lissajous patterns บิ๊กแบงอาจมีมากกว่า 1 ที่ด้วยปัจจัยเบี่ยงเบน...”

ผมพูดทฤษฎีต่าง ๆ ที่ผมคิด พอหันไปดูอีกทีปิงก็หลับไปแล้ว เสียงเพลงกล่อมนอนยังบรรเลงเบา ๆ เพราะเขาตั้งให้เล่นวน

Close your eyes
Now and rest
May these hours
Be blessed


ปิงตอนหลับหน้าตาน่ารักเหลือเกิน ปิงที่ไม่ร้องไห้อีกแล้ว
สำหรับปิง...ผมคือ soulmate ของเขา
สำหรับผม...เขาคือ…

ผมลงจากเตียงช้า ๆ ไม่อยากให้เขาตื่น ลงชั้นล่างหยิบกระเป๋าเดินออกมาปิดล็อกประตูบ้านให้เรียบร้อย

ตอนนี้ตีหนึ่งแล้วอากาศเริ่มหนาวเย็น ผมถูมือกับท่อนแขนให้อุ่นคลายความหนาวเย็น ผมโบกแท็กซี่เพื่อเดินทางกลับบ้าน ท้องฟ้ายามราตรีมีบางที่จุดพลุประปราย ท้องฟ้ามืดสนิทของคืนคริสต์มาสถูกแต่งแต้มด้วยสีสันของดอกไม้ไฟ ไฟประดับตามหน้าห้างและไฟถนนสีเหลืองที่ล้วนไม่ใช่สิ่งธรรมชาติ เหมือนที่ผมแต่งเรื่อง soulmate ให้ความสัมพันธ์ของผมกับปิงจบลงด้วยการเป็นเพื่อนสนิทกันในความคิดของเขา ไม่ต้องทรมานกับความสับสนอีกต่อไป

สำหรับปิง...ผมคือ soulmate ของเขา
สำหรับผม...เขาคือพระอาทิตย์
ผมคือลูกโป่งที่ลอยขึ้นไป ลูกโป่งลอยสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ เหมือนจะเข้าใกล้พระอาทิตย์ได้...ตอนเด็กผมคิดอย่างนั้น

แต่มันไม่มีวันไปถึง ยิ่งขึ้นสูงความหนาแน่นอากาศยิ่งน้อย ลูกโป่งจะขยายตัวขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อถึงความสูงที่แรงกดอากาศเท่ากับก๊าซในลูกโป่งมันก็จะลอยค้างอยู่อย่างนั้น...หรือไม่ก็...แตกแล้วตกลงมา

ผมทนดูปิงกับจอยไปอีก 3 ปีไม่ได้หรอก...ผมเปิดดูรูปใบสมัครสอบม.4...มีแค่ทางนี้ที่ผมจะไม่ต้องเห็นอะไรให้ทรมานอีกต่อไป

ลูกโป่งไม่มีวันลอยไปถึงพระอาทิตย์ได้ มันแค่ดูเหมือนใกล้กันเข้าไปทุกทีแค่นั้น

========จบ========
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-05-2021 20:14:52 โดย Sorrowkung »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด