บทที่ ๓
ความในใจ
มื้อเย็นวันนี้ดูเหมือนอากาศจะไม่เป็นใจ หลังจากเข้าร้านอาหารที่รุ่นพี่พิชญ์เลือก จู่ๆฝนก็ตกลงมาหนักหน่วง ต่อเนื่องจนกินเวลาเกือบสองชั่วโมงแล้ว
“น้องธีไม่ต้องกังวลนะ ฝนตกแบบนี้พี่ไปส่งบ้านก็ได้” นั่นไง เข้าทางเขาอีกแล้ว
“แปลกนะครับ ก่อนจะมา ท้องฟ้ายังไม่มีเมฆฝนเลย”
“สงสัยเทวดาท่านอยากให้เราสองคนอยู่ด้วยกันนานๆ” เขาเปรยหยอกล้อตามสไตล์จนปพนธีร์เริ่มชินแล้วล่ะ
“เออ..นี่ น้องธี พี่ถามตรงๆเลยนะครับ ยังไม่มีแฟนจริงๆหรอ” เขาวกกลับมาเรื่องนี้ เหมือนจะย้ำคำตอบนั้นอีกครั้งว่าโสดสนิท
จริงๆ
“ผมยังไม่มีใครหรอกครับ”
“แล้วคนที่คุยด้วยล่ะ?”
“ไม่มีเลยครับ” ชายหนุ่มยืนกรานตอบด้วยความหนักแน่นแต่ก็ไม่ถึงกับดุดัน
“งั้นพี่จีบได้ไหม?” ปพนธีร์ได้ยินคำนี้ก็อึ้งไปเลย เขามองดวงตาคู่นั้นของรุ่นพี่ มันไม่มีความหยอกล้อหรือแซวเล่นเหลืออยู่แม้แต่
น้อย เขากำลังสื่อความรู้สึกจริงๆออกมา ธีรู้สึกประหม่าแต่ยังพอมีสติอยู่
“พี่พิชญ์ ผมว่ามันเร็วไปไหมครับ อีกอย่างผมยังไม่รู้อะไรเลยในตัวพี่ สักนิดเดียว ” ท้ายประโยคเขาผ่อนเสียงเบาลง ว่าแล้วก็หลบสายตาคู่นั้นไป
“ฮ่าๆๆ ก็จริงของน้องธีนะ มันเร็วไป ช่างเถอะ มีเวลาอีกเยอะ ขอโทษทีนะที่ทำให้อึดอัด” เขาว่าพลางตักต้มยำกุ้งใส่ชามเล็กให้คนตรงหน้า
“ไม่อึดอัดเลยครับ ” เมื่อชายหนุ่มตอบแบบนั้น รุ่นพี่ก็เริ่มยิ้มแฉ่งอีกครั้ง
มองออกไปข้างนอก ฝนก็ยังคงตกอยู่ เห็นทีวันนี้อาจจะต้องให้พี่พิชญ์ไปส่งบ้านแล้วจริงๆ สองหนุ่มนั่งทานอาหารไปเรื่อยๆ จนกระทั่งอิ่มหนำ หลังจากเช็คบิลเสร็จ พิชญ์เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เลยเริ่มถามรุ่นน้องในระหว่างขับรถออกจากร้าน
“น้องธี วันนี้พี่ได้ยินมาว่า เจอกับ คุณชลากร หรอครับ”
“ใช่ครับ เอะ ทำไมพี่ถึงรู้เรื่องนี้ล่ะ?”
“โห ข่าวนี้ดังมากเลยนะ คงจะเป็นเพราะปกติคุณชลไม่ชอบสุงสิงใคร แต่ได้ข่าวว่ามีน้ำใจถือแฟ้มให้เราด้วย ฮึฮึ ร้ายใช่เล่น” พิชยุตญ์พูดในลำคอ
“อ๋อ ตอนนั้นจริงๆแล้วผมก็แปลกใจเหมือนกันครับ แต่คิดว่าคุณชลากรคงอยากช่วยเฉยๆ ”
“ไม่แน่หรอก อาจจะไม่เฉยๆอย่างว่าก็ได้” พิชญ์พูดพึมพำ น้ำเสียงโทนต่ำ
“ว่าไงนะครับ?”
“เปล๊า...อืม นี่ถ้าน้องธีเจอเขาอีก อย่าไปยุ่งกับเขาเลยจะดีกว่า อยู่ห่างๆไว้ เพราะแฟนเขาขี้หึงมาก”
“พี่พิชญ์ ทำไมพูดสรรนามคุณชลกรว่า เขา ล่ะครับ? นั่นเจ้านายนะ ”
“อ้อ ฮ่าๆ อย่าถือสาพี่เลย อีกอย่างตอนนี้เขาไม่ได้ยินหรอก เราก็คุยกันอยู่สองคนจริงไหม รับรองไม่มีใครรู้ เว้นแต่...น้องธีเอาไปพูดต่อ” เขาเหล่ตามามองอย่างหยอกล้อ
“มะ..ไม่ครับ ผมไม่พูดแน่นอน จะหาเรื่องให้ตัวเองเดือดร้อนทำไม แค่ก่อเรื่องให้คุณชลากรวันนี้ก็รู้สึกแย่มากแล้ว”
“ก็ดีแล้ว....เออ น้องธีได้เจอเขาแล้ว เทียบกันกับพี่ใครหล่อกว่ากัน ” พิชญ์ยังไม่หยุดอยากเปรียบเทียบความหล่อเหลาขึ้นมาขนาดนั้นเลย
“ก็...หล่อคนละแบบครับ ” ปพนธีร์รีบตอบอย่างเร็ว แบบไม่ได้คิดอะไรมาก
“ยังไง ขยายความให้หน่อยสิครับ”
“ก็...พี่พิชญ์หล่อแบบเจ้าเล่ห์ ส่วนคุณชลากรหล่อแบบสุขุม และดูดุนิดหน่อย”
“ฮ่าๆ อะไรเนี่ย นี่พี่ดูหล่อแบบเจ้าเล่ห์หรอ? ไม่ขนาดนั้นมั้ง(พิชญ์ลากเสียงยาว) เออนี่น้องธี เปิดเก๊ะรถข้างหน้าทีสิ จะมีการ์ดหนึ่งใบ พี่ให้เรานะ เก็บเอาไว้ล่ะ ถึงบ้านค่อยเปิดเข้าใจไหม?”
“ครับ” เขาปฏิบัติอย่างว่าง่ายแล้วก็เปิดเจอการ์ดสีขาวกลิ่นหอมอยู่จริงๆ เขาไม่ได้ถามต่อว่าข้างในเป็นอะไร แต่ก็อดไมได้ที่อยากรู้ว่าข้างในมีอะไร
“อะ! อย่าเปิดเชียวนะ ถึงบ้านก่อนค่อยเปิดไงครับ”
“ก็ได้ครับ...เอ่อ พี่พิชญ์ครับ ข้างหน้าเป็นทางแยก เดี๋ยวรบกวนเลี้ยวขวานะครับ”
“โอ้ ขอโทษที พี่มัวแต่ชวนคุยอะไรก็ไม่รู้ ลืมถามทางกลับบ้านน้องธีเลย”
ขับไปตามทางที่ปพนธีร์บอก ไม่นานเท่าไหร่ ก็มาจอดตรงหน้าบ้านหลังหนึ่ง เป็นบ้านปูนสองชั้น บนพื้นที่ สามงาน ไม่เล็กไม่ใหญ่และเงียบดี
“บ้านน่าอยู่เหมือนกันนี่นา อยู่กับใครหรอ?”
“จริงๆช่วงนี้ก็อยู่กับคุณแม่และป้า รวมผมแล้วเป็นสามคนครับ”
“น้องธีเป็นลูกคนเดียวหรอ? ”
“ไม่ครับ ผมมีพี่ชายหนึ่งคนและพี่สาวหนึ่งคน แต่ว่าแต่งงานย้ายไปอยู่ข้างนอกหมดแล้ว สร้างบ้านใหม่นะครับ แต่แวะเวียนมาหาบ่อยๆ” ธียิ้ม
“แล้วคุณพ่อล่ะ”
“คุณพ่อของผมท่านเสียตั้งแต่ผมยังเด็กๆแล้วล่ะครับ”
“ขอโทษนะที่เสียมารยาท พี่ไมได้ตั้งใจ” พิชญ์น้ำเสียงเศร้า
“ไม่เป็นไรครับ เรื่องมันนานมากแล้ว ผมไม่เศร้าหรอก ตอนนั้นผมก็ยังเด็กมาก”
“อันที่จริง พี่ก็เสียคุณแม่ไปตั้งแต่ยังไม่ถึงสิบขวบ อาศัยอยู่กับคุณพ่อและพี่ชาย....เอ่อ ช่างเถอะ อยู่กับปัจจุบันดีกว่าเนอะ ว่าแต่
ให้พี่ลงไปไหว้แม่ยายไหม?”
“แม่ยาย? พี่พิชญ์ พูดอะไรออกมาครับเนี่ย ” ธีรีบห้ามปราม แต่ก็ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองกำลังยิ้ม
“ฮ่าๆพี่ล้อเล่น นี่ก็เอาลูกชายเขาไปจนดึกดื่น พี่ว่าพี่ลงไปไหว้ขอโทษท่านดีกว่า” เอาหรอครับ? ต้องใช้คำว่า พาไหมครับถึงจะถูก ปพนธีร์ได้แต่คิดในใจ
“ไม่เป็นไรครับไม่ต้องคิดมาก พี่พิชญ์...”
ร่างสูงไม่ได้ฟังคำพูดของรุ่นน้องสักนิด เขาปลดสายคาดเข็มขัดนิรภัย แล้วลงรถไป ก็เจอกับผู้หญิงวัยกลางคนยืนชะเง้อมองดูรถของเขาอยู่ก่อนแล้ว
“สวัสดีครับคุณน้า ผมชื่อพิชญ์นะครับ พอดีผมทำงานที่เดียวกันกับน้องธี วันนี้ชวนน้องไปกินเลี้ยง เลยตั้งใจอาสามาส่ง แถมพา
มาดึกด้วย ต้องขอโทษด้วยนะครับ ” ปพนธีร์เดินตามหลังมาเอามือลูบหลังคออย่างเขินๆ
“ไม่เป็นไรลูก ขอบใจนะที่พาน้องธีมาส่งบ้าน แค่กลับมาปลอดภัยน้าก็ดีใจแล้ว จะเข้ามาข้างในก่อนไหม?”
“ขอบคุณนะครับ ไว้เป็นวันหน้าแล้วกันครับ นี่ก็ดึกแล้ว คุณน้ากับน้องจะได้พักผ่อน”
ปพนธีร์อึ้งไปเล็กน้อย นี่รุ่นพี่บทจะรู้จักกาลเทศะ ก็มีขึ้นมาปุ๊บปั๊บเลย ท่าทีเจ้าเล่ห์หายไปไหนหมดนะ แถมวางตัวได้ดีซะด้วย นี่
ตั้งใจจะล่าแต้ม ทำคะแนนอะไรไหมเนี่ย
“สวัสดีครับแม่” มือน้อยๆค่อยๆยกมือไหว้แม่ เพราะเพิ่งหาจังหวะได้
“งั้นผมขอตัวกลับเลยแล้วกันครับคุณน้า สวัสดีครับ”
“สวัสดีจ้าลูก ขับรถกลับบ้านดีๆนะ” เธอบอกพิชญ์ไปด้วยความเป็นห่วง ยืนรอส่งรถจนกระทั่งรถถูกขับลับตาไป จึงพาลูกชายเข้าบ้าน
“รุ่นพี่คนนี้ดีนะลูก ชื่อพิชญ์ใช่ไหม” ดูเหมือนแม่จะติดอกติดใจผู้ชายคนนี้เหลือเกิน ธีเหล่มองคุณแม่พร้อมรอยยิ้ม
“ใช่ครับ ”
“อยู่แผนกเดียวกันหรอ?” ได้ยินคำถามนี้ก็อึ้งอีกครั้ง นี่เป็นคำถามที่เขายังไม่รู้คำตอบจนกระทั่งตอนนี้
แต่ถ้าจะให้บอกความจริงแม่ไปว่า เขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับข้อมูลผู้ชายคนนี้เลย ถ้าตอบไปแบบนี้เชื่อว่าแม่ต้องเป็นห่วงเขาแน่ๆ ตามน้ำไปก่อนแล้วกัน
“ชะ...ใช่ครับ พี่พิชญ์อยู่แผนกเดียวกับธี อืมแม่ครับ ธีเหนื่อยแล้ว ขอตัวไปอาบน้ำนอนก่อนนะครับ”
“จ้ะๆลูก ฝันดีนะ”
เมื่อขึ้นไปถึงห้อง เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่า มีการ์ดเล็กๆที่พี่พิชญ์ให้ไว้ตอนอยู่บนรถ ความอยากรู้ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เขาแกะผนึกออกอย่างเบามือ แล้วก็เจอกับกระดาษแข็งขนาดเล็ก มันเหมือนคล้ายๆนามบัตร แต่ไม่มีชื่อมีแค่ข้อมูลเบอร์มือถือเอาไว้ ปพนธีร์ถึงกับหลุดขำส่ายหน้าไปมา
“นึกว่าอะไร ที่แท้ก็เบอร์มือถือ ผมไม่โทรไปหรอกนะคุณพิชญ์ แต่...เมมไว้หน่อยก็ดี ”
มือเรียวกดเบอร์มือถือจนครบสิบหลัก แล้วตั้งชื่อว่า คุณลึกลับ ไม่ทันไร แอพสีเขียวก็ดังแจ้งเตือนบางอย่าง ปพนธีร์ตกใจเล็กน้อย แล้วกดเข้าไปเช็คดู ปรากฏว่าเบอร์นี้พ่วงแอดไลน์ออโต้เสียอย่างนั้น
“อะไรเนี่ย ผมไมได้อยากได้ไลน์พี่สักหน่อยพี่พิชญ์” คิดไปคิดมา ว่าแล้วก็กดเข้าไป ส่งสติ๊กเกอร์ยิ้มไปหนึ่งตัวสักหน่อยดีกว่า
อีกฝ่ายเปิดอ่านเร็วมาก แล้วพิมพ์กลับมา
“นึกว่าจะไม่กดแอดซะแล้ว ถือว่าเป็นการตอบแทนที่ดิลไว้แล้วกันนะ บอกแล้วพี่ไม่โกงแน่ๆ ”
“แต่ที่ดิลไว้ไม่ใช่เรื่องเบอร์หรือไลน์นี่ครับ” ปพนธีร์ตอบกลับ
“ก็...อย่างน้อยๆ นี่ก็เป็นเบอร์ส่วนตัวพี่ และไลน์นี้ก็เป็นไลน์ตัวจริงของพี่นะ นอกจากเพื่อน พี่ชาย และคุณพ่อ ไม่มีใครมีแล้วนะ”
“โอ้โห ดีใจจังเลยครับ ” ปพนธีร์แกล้งตอบกลับไป
“จริงหรอ ”
“ประชดครับ (พร้อมสติ๊กเกอร์หัวเราะ)” อีกฝ่ายส่งสติ๊กเกอร์หน้าบึ้งกลับมา แล้วก็ปิดบทสนทนาด้วยประโยคทั่วไป
“ฝันดีครับน้องธี”
“เช่นกันครับพี่พิชญ์ ขับรถดีๆครับ”
ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์นี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ที่แน่ๆ ปพนธีร์ยังไม่ได้ยืนยันในหัวใจว่าเขาคือคนที่ใช่ ยังต้องดูกันไปยาวๆ
อีกอย่างหนึ่ง เขานึกย้อนกลับไปตอนได้เจอคุณชลากรครั้งแรก ดวงตาที่มองมา มันเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ลึกๆเรารู้สึกดีต่อกันมาก มากจนบอกไมได้ว่าขนาดไหน เหมือนเคยรู้จักกันมาก่อนอีกด้วย
บ้านสิริโรจน์บริรักษ์
คฤหาสน์หลังใหญ่สีขาวนวล ความงดงามยามค่ำคืน ไฟประดับตามหัวเสา มุมรั้ว สว่างเจิดจ้า เมื่อรถเก๋งจอดตรงหน้าประตูรั้วทันใดนั้น มันก็ค่อยๆเปิดอ้าออก พร้อมกันสองบาน
ชีวิตในแต่ละวันของพิชญ์ตั้งแต่เรียนจบ ก็มีแค่นี้ขับรถไปทำงาน แล้วก็กลับบ้าน ทุกอย่างเดินวนแบบนี้มาสามสี่ปีแล้ว แต่ช่วงนี้ดีหน่อย มีใครบางคนทำให้ชีวิตเขามีสีสันแตกต่างไปจากวันเหงาๆได้ จริงๆแล้วเขาไม่รู้หรอกนะว่า ทำไมถึงได้รู้สึกอยากรู้จัก อยากพูดคุย อยากเห็นหน้าพนักงานรุ่นน้องคนนั้นนัก ทั้งๆที่เขาไม่ได้ชายตามองใครมาก่อนเลยในชีวิต และไม่คิดจะมีความรักมาแต่ไหนแต่ไร
“สวัสดีค่ะคุณพิชญ์ยุตม์” สาวใช้ประจำบ้านเดินเข้ามาทักทายแล้วยื่นมือไปรับเอากระเป๋าทำงาน
“นี่...ผมกลับบ้านเป็นคนสุดท้ายรึเปล่าครับเนี่ย” เขาถามแบบยิ้มๆ ไม่ได้ซีเรียสอะไร
“ไม่หรอกค่ะ คุณชัชชน มีงานเลี้ยงกับเพื่อนๆค่ะ กว่าจะกลับคงดึกน่าดู”
ชัชชน สิริโรจน์บริริกษ์ พี่ชายคนที่สามของพิชญ์ บรรดาพี่น้องเจ็ดคน เขาคิดว่าชัชชนเนี่ยแหละโปรยเสน่ห์เก่งที่สุดแล้ว
“พี่ชัชนะหรอไปร่วมงานเลี้ยง?...ช่างเถอะ แล้วนี่คุณพ่อล่ะครับ ”
“เสร็จจากประชุมท่านก็กลับมาบ้านเลยค่ะ เห็นบ่นว่าปวดหัว เลยขอยาแล้วพักผ่อนไปน่ะค่ะ”
“ตามหมอมาดูอาการหรือยัง”
“ยังเลยค่ะ ท่านว่า แค่นี้ไม่ต้องโทรตามหมอค่ะ” พิชญ์ยุตม์ นิ่งไป กำลังคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะเดินเข้าบ้าน ยังไม่ทันเดิน
ผ่านห้องโถงพ้น น้ำเสียงที่คุ้นหูก็ร้องทักเสียก่อน
“ไงพิชญ์ วันนี้ทำไมกลับดึกได้ล่ะ ปกติไม่ชอบกลับกลางค่ำกลางคืนไม่ใช่หรอ”
“พี่ชล…(ยิ้มเจ้าเล่ห์) พอดีมีเดทน่ะครับ ”
“เดี๋ยวนะ? เดทหรอ...นี่แกมีคนคุยตั้งแต่เมื่อไหร่ เธอเป็นใครล่ะ พวกเรารู้จักรึเปล่า” ชลากรยิ้มปนสงสัย
“อืม...คนอื่นอาจจะยังไม่รู้จัก แต่ที่แน่ๆ พี่ชลเองก็รู้จักไปแล้วนี่ครับ ขอตัวก่อนนะพี่ชล”
พิชญ์ยุตม์ยิ้มพร้อมยักคิ้วให้หนึ่งที แล้วเดินขึ้นบันไดไป ปล่อยให้พี่ใหญ่ยืนงงอยู่อย่างนั้น ทบทวนคำพูดน้องชายวนซ้ำๆ ก็ไม่เข้าใจความหมายอยู่ดี
“ฉันรู้จักหรอ? ใครนะ” ชลากรคิดยังไงก็คิดไม่ออก เลยเลิกคิดแล้วเดินเลี่ยงไปนั่งโซฟา หยิบรีโมทขึ้นมากดเปิดทีวี กำลังฉาย ถ่ายทอดสดฟุตบอล รายการโปรดพอดี
บนห้องนอน ห้องหนึ่งเสียงดนตรีบรรเลงเปียโนดังเลดลอดออกมาเบาๆ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใครกำลังเล่นอยู่ ช่างมีอารมณ์สุนทรีอะไรขนาดนั้น จะเป็นใครไปได้นอกจากลูกชายผู้อ่อนโยนของคุณเกริกพล เขาก็คือ ปัณวิศ
พี่ชายคนที่หกของพิชญ์ยุตม์คนนี้ ไม่ชอบอยู่รวมกันหลายๆคน ส่วนมากจะปลีกตัวอยู่แบบเงียบๆ ถ้าใครคิดถึงหรืออยากคุยกับเขาจริงๆ ก็สามารถเข้าไปหาได้ ไม่ว่าอะไร แต่เอาเถอะวันนี้พิชญ์ไม่มีอารมณ์เข้าไปทักทายใคร เอาตรงๆวันนี้เขาเหนื่อยตั้งแต่ขึ้นประชุมแล้ว
ดีหน่อยที่เขาวางแผนล่วงหน้าไว้แล้ว ติดต่อไปยังคุณวาด หัวหน้าประชาสัมพันธ์โดยตรง ว่าห้ามพาเด็กใหม่ขึ้นประชุมด้วย เหตุผลนะหรอ กลัวอีกฝ่ายจะรู้นะสิว่าเขาเป็นใคร พอถึงจุดนั้นแล้ว ปพนธีร์ต้องตีตัวออกห่างเขาแน่ๆ ซึ่งเขาไม่อยากให้เป็นแบบนั้น
เผลอแปบเดียว เวลาก็ผ่านเลยมาหนึ่งเดือนเต็ม ปพนธีร์ทำงานคล่องแคล่วขึ้นมาก และได้รับคำชมจากคุณวาด หัวหน้าแผนก วันนี้เป็นวันเสาร์ พี่ราณี เสนอจัดปาร์ตี้เล็กๆช่วงระหว่างกลางวัน โดยใช้พื้นที่ห้องพักผ่อนในแผนกจัดขึ้น
ยังไม่ถึงเที่ยงวัน แต่กลิ่นหอมจากอาหารโชยออกมา กระตุ้นน้ำย่อยในกระเพาะได้ดีจริงเชียว
“อื้อหือ หอมมากเลย หิวแล้วๆ ไปกินก่อนได้ไหมเนี่ย” พี่แว่นพึมพำพลางลูบท้องเดินไปมา
“รอก่อนจ้า กำลังเคี่ยวน้ำต้มสุกี้อยู่” พี่ราณีร้องบอก
ปพนธีร์เองก็อดใจไม่ไหว แอบเดินย่องไปส่องดู เมนูวันนี้ก็มีสุกี้ยืนพื้นไว้เลย มีสลัดโรลน้ำจิ้มครีมและซีฟู้ด แล้วก็มีกุ้งชุบแป้งทอด ข้าวกล้อง บาร์บีคิว และผลไม้สองสามอย่าง
“โอ้โห อาหารน่ากินมากเลยครับพี่ราณี” รุ่นน้องเปรยพร้อมรอยยิ้ม
“ใกล้แล้วน้องธี อีกนิดเดียวก็เสร็จแล้ว ” เธอยิ้มให้
“ธี พี่วานหน่อย เอาจาน ช้อนซ้อม สิบสามชุด ไปวางไว้บนโต๊ะอาหารหน่อยเร็ว” พี่มะนาวที่กำลังเช็ดจานใกล้จะเสร็จร้องเรียก
“ได้ครับ”
ระหว่างที่ช่วยจัดโต๊ะอาหารจนเสร็จเรียบร้อย ทุกคนในแผนกก็เริ่มทยอยเข้มาทีละคนๆ เหลือพี่แว่นเป็นคนสุดท้ายที่เดินเข้ามา ก่อนจะทำเสียงกระซิบกระซาบเรียกเขา
“น้องธี น้องธี”
ปพนธีร์ที่ถือไม้บาร์บีคิวอยู่ เดินเข้าไปหา พี่แว่นก็เข้ามากระซิบที่หู ทันใดนั้นก็ต้องตาโตเพราะตกใจในสิ่งที่พี่แว่นบอก
“อะไรนะครับ คุณชลากร รออยู่หน้าประตูแผนก?” เขาทั้งงงทั้งสับสน ผ่านมาสองสัปดาห์กว่าๆแล้วที่ไมได้เจอกัน ไม่คิดไม่ฝันว่าคุณชายใหญ่จะมาหาเขา แต่จะมาด้วยเรื่องอะไร นี่ล่ะที่ยากเกินคาดเดา
ชายหนุ่มรีบกินบาร์บีคิวจนหมดไม้ แล้วเดินเข้าห้องน้ำเพื่อไปบ้วนปาก ล้างมือให้สะอาด แล้วออกไปหาแขกผู้มีเกียรติ ทันทีที่เปิดประตูออกไป เขาก็เจอชายร่างสูงในชุดสูทสีดำ มองอ่านข่าวประชาสัมพันธ์ที่บอร์ด อย่างนิ่งๆ
“ได้ยินว่าที่แผนกจัดปาร์ตี้?” เสียงทุ้มเรียบทักทาย ทั้งๆที่สภาพร่างกายยังยืนนิ่งอ่านข่าวที่บอร์ดเหมือนเดิม
“สวัสดีครับบอส” ปพนธีร์ติดเรียกสรรพนามตามคนอื่นๆ
“นี่คงเรียกตามคนอื่นๆสินะ เอาล่ะ...เรียกฉันว่า ชล ก็พอ” สิ้นประโยคเขาก็หันหน้ามามอง
“ครับ”
“ขอโทษทีนะที่มาหาขัดจังหวะ ฉันไม่คิดว่าพวกนายจะมีปาร์ตี้ ที่จริงฉันตั้งใจจะชวนไปทานข้าวด้วย”
“....!?”
ปพนธีร์ยืนงงเป็นไก่ตาแตก เขาได้ยินไม่ผิดใช่ไหม คุณชลากร สิริโรจน์บริรักษ์ ชวนเขาไปทานข้าวเที่ยง เขาไม่ได้ฝันไปใช่ไหม
“ว่าไง...สละเวลาสักหน่อย ไปทานข้าวเป็นเพื่อนฉันสักมื้อได้ไหม”
“เอ่อ...คือว่า” ปพนธีร์สับสน นี่ก็เจ้านาย ส่วนนั่นก็ปาร์ตี้แผนกที่ทุกคนตั้งใจจัดขึ้น แล้วเขาจะเลือกอะไร
“ลำบากนายแล้วล่ะ แต่ไม่เป็นไร ฉันยินดีรับฟังคำตอบของนาย”
“คือ...ผมขอโทษนะครับคุณชล ผมคิดว่าไปทานข้าวกับคุณชลคงไม่เหมาะ ผมเป็นพนักงาน เดี๋ยวถูกมองไม่ดีในสายตาคนอื่นๆ”
“นี่นายกำลังจะบอกว่า ไปทานข้าวกับฉันไม่ได้ เพียงเพราะสถานะเป็นแค่ผู้บริหารกับพนักงานใหม่อย่างนั้นหรอ? ” เสียงราบเรียบนั้น ฟังแล้วเหมือนตัดพ้อ แต่ก็เหมือนประชดพูดให้คิดใหม่
“มะ...มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ ”
“ถ้าไม่ใช่อย่างที่ฉันพูด แล้วมีเหตุผลไหนที่อธิบายได้ดีและชัดเจนกว่านี้ไหม”
ปพนธีร์จุก มืดบอดเหมือนเดินเข้าไปในซอยแล้วเจอทางตัน มันก็จริงของคุณชลากร เขาพูดถูก และแน่นอนไม่มีคำอธิบายไหนที่จะทำให้คิดหลุดไปจากคำว่า เจ้านายกับลูกน้องอีกแล้ว
“ขอโทษนะครับ คือ แผนกเพิ่งจัดปาร์ตี้ ผมเองก็อยากร่วมทานอาหารกับพี่ๆที่แผนกน่ะครับ” ตอบไปแบบนี้แหละ ตอบแบบไม่
ต้องคิด ตอบแบบเอาความรู้สึกล้วนๆ เผื่อเขาจะเข้าใจ
“เฮ้อ(เสียงถอนหายใจ)...ถ้าอย่างนั้น ก็ช่วยไม่ได้ ฉันหิวสุดขีดแล้ว ฉันขอเข้าไปร่วมปาร์ตี้ด้วยคนได้ไหม”
“ฮะ! อะ...เอ่อ” ชายหนุ่มเอามือปิดปากแทบไม่ทัน ไม่คิดว่าคุณชลากรจะพูดออกมาแบบนี้
“ทำไม นี่ก็ไม่ได้อีกหรอ?” ดวงตาคู่นั้นมองอย่างคาดหวังคำตอบ
“ได้ครับ เชิญครับคุณชล”
พนักงานน้องใหม่ รีบผลักประตูเข้าไปแล้วเดินนำเจ้านายไปยังห้องพักผ่อนของแผนก ที่ตอนนี้กลายเป็นห้องอาหารไปแล้ว
กลิ่นหอมฉุยลอยแตะจมูกมาแต่ไกล พอปพนธีร์เดินไปหยุดที่ประตู พี่มะนาวก็ร้องถามด้วยความอยากรู้
“อ้าวน้องธี คุณชลากรไปแล้วหรอ ”
“ยะ...ยังหรอกครับพี่ๆ คือว่า ผม...ผมขอจานกับช้อนอีกหนึ่งชุดได้ไหมครับ ”
“ทำไมล่ะ มีคนมาเพิ่มหรอ” พี่แว่นถามทั้งๆที่เคี้ยวสุกี้เต็มปาก
“ขอฉันร่วมปาร์ตี้ด้วยคนนะ” เมื่อร่างสูงใหญ่ปรากฏตัวด้านหลังปพนธีร์ ทุกคนที่กำลังทานอย่างอเอร็ดอร่อย หัวเราะเฮฮา กลับนิ่ง
เงียบไปอย่างกะทันหัน
“พอดีคุณชลากร อยากร่วมรับประทานอาหารด้วยครับ”
“ได้ค่ะบอส เชิญเลยค่ะ” เหมือนพี่วาดจะได้สติก่อนใคร รีบเดินเข้าไปหาแล้วพาไปนั่งพื้นที่ว่างไว้สำหรับธี
ชลากรเดินตามคุณวาดไป แล้วนั่งลงเก้าอี้ที่เธอจัดสรรให้ แล้วก็สะกิดน้องธีให้นั่งข้างๆเจ้านาย เหมือนปพนธีร์เองก็รู้งานใช่ย่อย รีบเสิร์ฟน้ำแล้วถามเขาเรื่องอาหาร
“คุณชลกรทานอะไรได้บ้างครับ มีแพ้อาหารอะไรไหม”
“ฉันไม่แพ้อะไร แต่ไม่ชอบแครอท” ปพนธีร์ได้ยินก็นิ่งไปแล้วมองหาผักสีขาวต้องห้าม ส่วนใหญ่มันอยู่ในหม้อต้มสุกี้ และแล้วก็
จัดแจงอาหารทุกสิ่งอย่างให้ชลากร
ดูเหมือนเขาจะชอบ ตักอาหารเข้าปากไม่หยุด จะว่าไป เขาก็ดูเป็นคนกินง่ายอยู่ง่าย ไม่เรื่องมากเท่าไหร่ แถมไม่ถือตัวด้วย ช่างแตกต่างจากครั้งแรกที่ธีแอบประเมินเจ้านายไปรอบหนึ่งแล้ว
ระหว่างรับประทนอาหารกันไป กว่าทุกคนจะละลายพฤติกรรมได้ บางคนก็จนอิ่ม ทยอยเอาจานไปล้าง แล้วออกจากห้องไป ตอนนี้ก็เหลือกันแค่ สามสี่คน
“ฉันอิ่มแล้ว” ชลากรว่าพลางยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม
“จะรับผลไม้ไหมครับ” ปพนธีร์ถาม
“ไม่ล่ะ ผลไม้พวกนี้มีแต่น้ำตาล ” เมื่อได้ยินคำตอบก็พยักหน้างกๆ ร่างสูงเหมือนทำท่าจะลุกขึ้น ปพนธีร์ก็ลุกตาม
“ไม่ต้องลุกหรอก นายก็ทานได้แล้ว เสิร์ฟฉันตลอด นายยังทานได้ไม่ถึงไหนเลย”
“ครับ”
ชลากรเดินจากไป คนที่เหลือสามคนก็โล่งใจเป็นแถบๆ โดยเฉพาะพี่แว่น จากที่นั่งกินด้วยความเอร็ดอร่อยและมูมมาม ต้องได้กินแบบเรียบร้อยและเคี้ยวช้าๆ ข่างเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในการรับประทานอาหารแล้ว
“เฮ้อ ไปแล้วสินะ จะได้กินแบบมาราธอนสักที” ว่าแล้วนายแว่นก็หยิบอาหารเข้าปากคำใหญ่ เคี้ยวตุ้ยๆราวกับอร่อยมาก
“น้องธี ทำไมจู่ๆคุณชลากรถึงได้...” มะนาวกำลังจะถาม แต่คำถามนั้น ปพนธีร์ไม่มีคำตอบให้
“พี่มะนาว ผมเองก็ยังไม่รู้เลยครับ ” พี่วาดมองสองคนสลับกันไปมาก่อนจะตัดสินใจถามบ้าง
“ก่อนหน้านี้น้องธีเคยเจอคุณชลากรหรอ?”
“ใช่ครับ แต่ก็สองสัปดาห์มาแล้วนะ”
“แปลก ช่างเถอะ ก็ยังดีกว่าเจ้านายไม่เหลียวแล เจ้านายรักก็ดีแล้วไม่ใช่หรอ?” พี่วาดยิ้มให้ก่อนจะหยิบแตงโมหนึ่งชิ้นขึ้นมากิน
“หนูว่า รักก็ดีอยู่หรอกนะคะพี่วาด แต่รักแบบอื่นไม่น่าจะโอเค คุณอรินน่ะแค่นึกถึงหน้าก็ไม่อยากจะกวนน้ำให้ขุ่นแล้ว” มะนาวทำ
หน้าตาเหยเก
“ก็จริง แต่น้องธีเป็นผู้ชาย คุณอรินเธอไม่ติดใจอะไรหรอก”
“แรกๆก็อาจจะไม่ แต่คุณชลากรมายุ่งด้วยบ่อยๆ เธอก็อาจจะคิด สมัยนี้แล้วพี่วาด ผู้ชายชอบผู้ชาย มันเกิดขึ้นง่ายและเป็นเรื่อง
ปกติมาก ถ้าเธอมีเลเวลหึงหวงเกินอัตรา น้องธีก็คงจะเจอเรื่องลำบากแล้วล่ะ”
คุณวาดฟังแล้วคิดตาม แล้วก็ไมได้พูดอะไรอีก แต่คนที่คิดคือปพนธีร์ เขากลัวจริงๆ แม้ว่าจะไม่เคยเห็นหน้าคุณอรินมาก่อน แต่เท่าที่ได้ฟังจากรุ่นพี่คนอื่นๆในที่ทำงานเอ่ยถึง นับว่าเป็นผู้หญิงที่อันตราย และอยู่ห่างๆจะดีที่สุด ไม่ใช่แค่ห่างจากตัวของเธอ แต่ต้องหากจากคุณชลากรว่าที่คู่หมั้นด้วยถึงจะดี
จบตอน
